ขอผู้รู้ช่วยผมที ผมเหมือนโดนไฟเผาเวลานั่งสมาธิครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย Kkchi, 2 พฤษภาคม 2016.

  1. Kkchi

    Kkchi สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2016
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +41
    ก่อนอื่นผมขอแนำนำตัวก่อน คือผมไม่ค่อยรู้เรื่องการนั่งสมาธิสักเท่าไหร่ ส่วนมากนั่งเอง แต่ด้วยีวามบังเอิญหรืออะไรไม่ทราบได้มีโอกาสไปเข้าครอส์ปฏิบัติธรรมของท่าน อ.โกเอ็นก้า 10 วันมา ไปมา 2 ครั้งแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนมาถึงครั้งที่ 3 ผมได้เข้าปฏิบัติ 10 วันอีกครั้ง และในช่วงและในช่วงอธิษฐาน บารมี จะต้องนั่ง โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง วันละ 3 ครั้ง ของการเริ่มปฏิบัติวันที่ 3 ใน 3 วันแรก จะทำอานาปานสติ พอวันที่ 4 จะเข้าช่วงอธิษฐานบารมี ผมนั่งมามีอาการหลายอย่าง ตัวโยกบ้าง เหมือนมีประจุไฟฟ้าตามตัวบ้าง แต่มันหนักสุดตอนวันที่ 9 ตอนเช้า ผม รู้สึก เจ็บขามาก เพราะไม่ได้เปลี่ยนท่านั่งเลย ผมเลยบอกตัวเองว่า เป็นไงเป็นกัน จากนั้น ก็เกิดปาฏิหาริย์ ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกเลย และหรือเหมือนมีประจุไฟฟ้าวิ่งตลอดทั้งขา และหลังจากนั้น ความรู้สึกร้อน เหมือนโดนเผาจากข้างใน ก็เริ่มที่แขนข้างซ้าย แล้วลามมาแขนข้างขวา จากนั้นก็ตั้งแต่อกจนถึงท้อง รู้สึกแสบร้อนไปหมด จดมาอีกทีในวันที่ 10 ผมก็เกิดรู้สึกแสบร้อน ทางแขนด้านซ้าย และเหมือนโดนเผา มีไอร้อนออกมา แสบร้อนมาก จากนั้น ก็ขึ้นไปถึงหัว และถึงเท้า แต่แปลกมากที่เป็นเฉพาะทางซีกซ้ายทั้งหมด ทางด้านซีกขวา ไม่รู้สึกอะไรเลย เป็นอย่างนี้ เกือบทั้งวัน ผมต้องนั่งอธิษฐานบารมี เป็นเวลา 1 ชั่วโมง 3 ครั้ง ก็เกิดแต่อาการอย่างนี้ แต่พอออกจากสมาธิ จับที่ผิวหนังทั้งด้านที่คล้ายทั้งหมด ก็ไม่รู้สึกมีอาการ แสบร้อนเกิดขึ้น ผิวหนังเป็นปกติ แต่ในสมาธิ ผมรู้สึกเลยว่ามันร้อนมาก และแปลกมากที่มันมีแค่ครึ่งซีกซ้าย มีใคร พอจะแนะนำได้ไหม ว่าผมเป็นอะไร และต้องทำยังไงต่อไป ขอบคุณครับ
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ โดยปกติแล้ว "การปฏิบัติธรรมในสายใดก็ตาม ควรที่จะให้ผู้ที่ชำนาญในสายนั้น ๆ แก้ให้" เพราะการใช้ภาษาของแต่ละสาย มักจะเป็นภาษาแบบ "วงใน"

    +++ "ตัวคำศัพท์ภาษา" บางคำแม้ว่าจะเป็น "คำเดียวกันก็ตาม" แต่อาจระบุบ่งชี้ไปที่ "อาการ" ที่แตกต่างกันได้ ตัวอย่างง่าย ๆ คือคำว่า "จิตกับใจ" เช่น "จิตคิดใจรู้ หรือ ใจนึกจิตรู้" เพียงแค่ศัพท์ 2 ตัวนี้แม้ว่าจะ "บ่งชี้ไปที่อาการเดียวกัน คือ สิ่งหนึ่งรู้ แต่อีกสิ่งหนึ่ง นึก-คิด" เป็นต้น แต่จะทำให้ "ผู้ที่ติดยึดกับคำศัพท์" มึนงงถกเถียงกันจนไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ ตัวอย่างตรงนี้มีมากมาย

    +++ ตรงคำศัพท์ "อธิษฐาน บารมี" ของคุณนั้น หากเป็น "ความตั้งใจที่จะ นั่ง โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง วันละ 3 ครั้ง" แล้วละก็

    +++ คำว่า "อธิษฐาน" ในสายการปฏิบัติของคุณทำให้ผมมองว่า "ใช้คำศัพท์เพื่อทำให้ดู ศักดิ์สิทธิ์ เกินความจำเป็น" แต่อาจใช้เป็น "อุบาย" เพื่อให้เกิด "ความตั้งใจมั่น" ก็ได้

    +++ เพราะหากผมจะเป็นผู้ใช้คำว่า "อธิษฐาน" แล้ว ผู้อฐิษฐานต้องเป็น "ผู้เดินจิตในอัปนาสมาธิ" คือ "กำหนดในวิตก ฌาน 1 แล้ว เข้าไปอยู่ ในวิจารณ์ จนเกิดเสถียรภาพ กลายเป็น ฌาน 4" ตรงนี้เรียกว่า "การเดินจิต" ในภาษาของผม

    +++ ดังนั้นคำว่า "อฐิษฐาน" ในสายการปฏิบัติของคุณ มีค่าเท่ากับ "ความตั้งใจ ในระดับ ฉันทะ" เฉย ๆ ส่วนของผม จะเลยไปถึง "วิมังสา" เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง อาการจะเป็นคนละระดับกันโดยสิ้นเชิง

    +++ ดังนั้นคำว่า "อธิษฐาน บารมี" ของคุณ ตรงนี้ "ผมจะโดดข้ามไป" เพราะคำศัพท์ระบุมา "ต่างอาการ" กับของผม

    +++ สรุปสั้น ๆ ก็คือ สายการปฏิบัติของท่าน โกเอ็นก้า ก็คือ "อานาปานสติ" นั่นเอง

    +++ วิธีของ "อานาปานสติ คือ รู้ลมหายใจทั่วถึง" แต่หลายคนที่ ทำไม่ได้ ครูบาอาจารย์บางท่านจึงให้ "ท่องคำบริกรรม ผูกจิตไว้อีกชั้นหนึ่ง" ท่าน โกเอ็นก้า กำหนดมีตรงนี้ด้วยหรือไม่ ผมจะโดดข้ามตรงนี้ไป เพราะอาการของคุณ "ข้าม-เลย ตรงนี้ไปแล้ว"

    +++ ตรงอาการของ "ตัวโยกบ้าง เหมือนมีประจุไฟฟ้าตามตัวบ้าง" นั้น ตรงนี้ผมเรียกมันว่า "กายเวทนา" เป็นกายของปิติ และ เป็นกายของสัมปชัญญะ

    +++ อาการตรงนี้ ผมใช้ภาษา "แยกต่างหากออกไปเลย" ตรงนี้ "จิตยึดเอา เวทนากาย เป็นตน" ไม่ได้ยึดเอา "กายเนื้อ" เป็นตนอีกต่อไป ผมจึงใชัคำว่า "กายเวทนา ตามอาการที่ จิตยึดเอาเป็นตน"

    +++ อีกประการหนึ่งก็คือ "กายเวทนา เป็นกายที่ ไม่ต้องอาศัยลมหายใจแบบกายเนื้อ" ดังนั้น ตรงนี้ "วางลมหายใจ" ไปเรียบร้อยแล้ว อย่าไปหวลคืนกลับมาก็แล้วกัน ไม่งั้นจะไปต่อไม่ได้

    +++ ตรงนี้น่าเสียดาย ที่ครูบาอาจารย์ในสายการปฏิบัติของคุณ ไม่ได้ "สอนการเดินจิต ในการ แยกเวทนา" ในขณะนั้นให้ หรือมิฉะนั้น "คุณก็ไม่ได้บอกกล่าวให้ท่านทราบ" คุณเลยพลาดโอกาสในการ "แยกเวทนาขันธ์" ซึ่งเป็น "วิปัสสนาญาณทัศนะ" ทั้ง ๆ ที่อยู่ใน "อัปปนาสมาธิ" เรียบร้อยแล้ว

    +++ คำว่า "เกิดปาฏิหาริย์" สำหรับคุณ ผมก็ถือว่า "ก็น่าจะเหมาะสมอยู่" แต่ถ้าวันใดที่คุณ "รู้ ต้นสาย-ปลายเหตุ" เรียบร้อยแล้ว คำว่า "ปาฏิหาริย์" ก็จะกลายเป็นเรื่อง ธรรมดา ๆ ไปโดยปริยาย

    +++ ตรงคำว่า "เหมือนมีประจุไฟฟ้า" นั้น อาการของมันคือ "ซาบซ่าน" แต่ยังไม่ถึง "อิ่มเอิบ" ภาษาของฌานใช้คำว่า "ปิติ" ภาษา Hi-Tech ใช้คำว่า "คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า" หรือจะใช้คำว่า "การแตกประจุของอิออน" ก็ได้ แล้วแต่ชอบก็แล้วกัน

    +++ ตรงนี้ หากใช้ภาษาว่า "การจูนคลื่นจาก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มาเป็นคลื่นความร้อน" ก็ได้ ดูเป็น วิทยาศาสตร์ ดี หากจะใช้ภาษาทาง "กายภาพ" จะเรียกว่า "การสันดาป" ก็ได้ หากจะใช้ภาษาของ "การเดินธาตุ จะเรียกว่า เดินเตโช" ก็ได้อีกเช่นกัน หรือจะเอา ภาษา Hi-Tech ใช้คำว่า "คลื่น Microwave" เลยก็แล้วแต่สะดวก แต่อาการทั้งหมด มันเป็นอาการเดียวกัน

    +++ ส่วนอาการ "ร้อน เหมือนโดนเผาจากข้างใน" นั้น เพราะตอนนั้น "คุณอยู่ในชั้น ข้างนอก" แต่หลังจากที่รู้ว่า "ร้อน" แล้ว จิตคุณกลับ "ย้าย เข้าไป อยู่" กับคลื่นชั้นความร้อนนั้น จึงกลายเป็น เอาความร้อนเป็นตน ตนเป็นความร้อน

    +++ ตรงนี้เกิดจากอาการ "ดู" ที่เริ่มทำการ "ขยายผัสสะ" จากแขนข้างซ้าย แล้วลามมาแขนข้างขวา จากนั้นก็ตั้งแต่อกจนถึงท้อง

    +++ ตรงนี้เกิดจาก "จิตยึดเอาความร้อน เป็นตน จึงทุกข์"

    +++ หากคุณทำ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง แล้วอยู่กับมัน" ก็จะรู้ชัดเจนว่า "ตัวคลื่นความร้อนนั้น อยู่ถัดออกมาจากชั้นผิวหนัง ตั้งแต่ 1 นิ้วถึง 1 คืบ" ปกคลุมอยู่รอบผิวหนัง เป็นชั้นรอบนอก (เป็นชั้น เวทนากาย) ส่วนชั้นตรงกลางนั้น ดูคล้าย ว่างอยู่ แต่หากดูให้ดี ๆ ก็จะรู้ได้ว่า มันเป็น "ชั้นใส ๆ ขั้นอยู่" แต่อยู่ข้างนอกชั้นผิวหนัง (หากจิตยึดเอาตรงนี้เป็นตน ก็จะเป็น กายจิต) ส่วนภายในถัดจาก "ชั้นผิวหนังเข้ามา จะสงบนิ่งเฉยอยู่ ตรงนี้เป็นชั้น ธรรมารมณ์" หากจิต "ยึดและอยู่ในชั้นนี้ ก็จะเป็น กายธรรมารมณ์" หากอยู่ได้สนิทดี ก็จะวางขอบเขตของร่างกายไปเลย และจะกลายไปเป็นชั้น "อรูป" จริง ๆ นอกชั้นความร้อนออกไป ยังมีอีกชั้นหนึ่ง ตรงนี้เรียกว่า "ชั้นออร่า" แต่การฝึกในระดับของคุณ น่าจะยังมองไม่เห็น ตรงนี้ "การแผ่ขยายของ สติ ของคุณ ยังไม่ครอบคลุมออกมาถึงตรงนี้" เหตุเพราะคุณยังทำ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง ไม่ได้" ยังมีอีกมากในบริเวณนี้ แต่จะข้ามไปก่อน

    +++ อาการ "แยกซีก" เกิดขึ้นได้ด้วยการ "กำหนดเพียงซีกเดียว" แต่ตรงนี้คุณคงยังไม่ทัน แต่ไม่เป็นไรหรอก

    +++ ให้ลอง "กำหนดความรู้สึก เพียงแค่ซีกซ้าย" ดูก็ได้ มันก็จะรู้สึกแค่ซีกนั้น ส่วนอีกซีกหนึ่ง "มันจะรู้อยู่เฉย ๆ โดยไม่รู้สึก" คุณเล่นตรงนี้ สลับข้าง ไป-มา ก็จะถึง "บางอ้อ" ได้เอง ไม่ยากหรอก

    +++ ลองทำอย่างทื่ผมกล่าวมา "ในท่ายืนก็ได้" แล้วทำความรู้สึก "สลับซีก ไป-มา" ก็จะเข้าใจได้เอง

    +++ แล้ว "ถอนจิตออกมา" อาการต่าง ๆ ก็ถอนได้ พอเดินจิตกลับเข้าไปใหม่ "อาการก็กลับมาเป็นอีกได้"

    +++ พอเข้าใจไปเรื่อย ๆ ก็สามารถ "จูนคลื่นความร้อน ให้แปรเป็นสภาพอื่น ๆ ได้" เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหลสะพัด โบกสะบัด ต่าง ๆ จะเรียกว่าการ "เดินจิตแปรธาตุ" ก็ได้ จะเรียกว่า ปฐโว อาโป วาโย เตโช หรือแม้กระทั่ง "โอ้โฮ" ก็ได้ ตามสะดวก ไม่ว่ากัน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่า "ทำได้หรือไม่" เท่านั้นเอง

    +++ หากฝึกเล่น ไป-มา ในบริเวณนี้เรื่อย ๆ ก็จะสามารถเข้าใจถึง "กฏเกณฑ์ในการเดินจิต และ ผลลัพธ์ของมัน" ในชั้นเบื้องต้น ซึ่งจะสามารถทำให้ต่อยอดไปถึง การเรียนรู้ใน กฏแห่งกรรม หรือ กฏแห่งการเดินจิต ในชั้นที่ละเอียดกว่าได้

    +++ หลังการฝึกทุกครั้งก็อย่าลืม "แผ่เมตตา" ตามที่คุณ nilakarn บอกไว้ด้วย และตรงนี้ก็เป็น "ธรรมเนียม" ของสำนักปฏิบัติธรรมโดยทั่วไป นะครับ
     
  3. Kkchi

    Kkchi สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2016
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +41
    สุดยอดครับ ขอบคุุณมากครับ
     
  4. Kkchi

    Kkchi สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2016
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +41
    ผมแผ่เมตตาให้วันที่ 11 ตอนเช้าของการเข้าปฎิบัติธรรมครับ เพราะเขาห้ามพููดกันเลยในขณะปฎิบัติ แต่ในวันที่ 11 อาจารย์จะทำพิธีแผ่เมตตาใหญ่ให้น่ะครับ คือกา่เข้าอบรมคอร์สนี้ ไม่ค่อยเหมือนกับการปฎิบัติในไทยที่จะมีการสวดมนต์ทำวัดเช้าเย็น เขาสอนทำอานาปนสติ3วัน และอีก7 วันสอนทำวิปัสนาน่ะครับ และมีข้อห้ามตอนเข้าอบรมว่า ขอให้ทำตามที่เขาบอก ส่วนหลังจบ คอร์สเราจะใช้การอบรมนี้หรือไม่แล้วแต่เรา คือเหมือนประมาณว่า ให้ทำตามเขาทั้งหมดก่อน การอบรมนี้จะเน้นแต่นั่งปฎิบัติ ทำตั้งแต่ตี 4.30 ถึง สามทุ่มทุกวัน นั่งสมาธิอย่างขี้เกียจก็ประมาณ 5 ชม.ต่อวัน ถ้าทำตามเวลาที่เขากำหนดจริงๆ นั่งมากกว่า8 ชม. อย่างเดียวไรทำนองนี้น่ะครับ ผมเลยไม่ได้แผเมตตาให้ทุกวัน แต่วันสุดท้ายแผ่ให้ทุกคนในสามโลกเลยครับ
     
  5. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ถ้าเป็นไม่หายเขาเรียกว่าติดสภาวะ
    พอมีสมาธิก็จะเป็น
    แก้ได้ด้วยการเพ่งฌาน
     
  6. yo09()

    yo09() เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +4,897
    สภาวธรรมชัดแล้ว

    ไม่ต้องกังวลอะไร
    ไม่ต้องสงสัยอะไร
    ไม่ต้องแก้อะไร

    มีหน้าที่รู้ไปเรื่อยๆ
    ตรงไหนสภาวธรรมมันแสดงตัว( เวทนาทางกาย ทางใจ) ชัดๆ
    ก็ตามรู้ไปเรื่อยๆ
    มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรๆของมัน ก็ไม่ต้องไปข้องกับมันทั้งนััน

    มีแค่พยายามอย่าเปลี่ยนอิริยาบท
    แล้วตามรู้ไปเรื่อย ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พิจารณาให้เห็นความเป็น อนิจจัง ทั้งหมด
    เมื่อเวทนากล้าขึ้นๆ จนรุนแรงที่สุด ปานชีวิตจะทำลายจริงๆ ก็อย่าหยุด
    อย่าหลบ อย่าสู้ ตามรู้เข้าไปที่กลางของกลางของกลางของเวทนาอันกล้ายิ่งนั้น
    แล้วพิจารณาความเป็น อนิจจัง ที่ได้กระทำมาตลอด พิจารณาสภาวธรรมทัังหมด
    ทั้งมวล ทั้งปวง ทั้งสิ้น ว่าเป็นเพียง " อนิจจัง " ๆๆๆๆๆ......

    กุญแจดอกเดียวที่ใช้ไข " ที่สุดแห่งทุกข์ " คือ ใจที่ยอมตายถวายชีวิตจริงๆ
    ผ่านประตู " อนิจจัง " หรือ " ทุกข์ขัง" หรือ " อนัตตา " ประตูใดประตูหนึ่ง

    อนึ่ง คำว่า " อนิจจัง". หรือ " ทุกข์ขัง". หรือ " อนัตตา". นั้น ไม่ใช่แค่คำบริกรรม
    ท่านต้องเข้าใจความหมายของมันอย่างถ่องแท้ และใจยอมรับมันอย่างราบคาบ
    เมื่อเหตุ ปัจจัยครบสมบูรณ์ สุดยอดอัศจรรย์จะบังเกิดที่ใจท่านเอง

    ท่านใกล้แล้ว ขอให้สำเร็จ..
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เพิ่มเติมเล็กน้อยถ้าเวลาปกติรู้สึกร้อนๆที่หน้าอกซึ่งอาจจะมีอาการร่วม
    กับตึงๆใต้กะโหลกศรีษะเล็กน้อย
    และเหมือนมีลมหมุนที่หน่อง และแขน
    ก็ให้ไปกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลจนรู้สึกตัวเบา
    ส่วนคำแนะนำอื่นๆที่ผ่านมาดีอยู่แล้วครับ
     
  8. มิลินท์

    มิลินท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +25
    ลองศึกษาเตโชวิปัสสนาไหมคะ เคยอ่านผ่านตาค่ะ ประมาณว่าใช้ไฟเผากิเลส ไม่รับรองผลเพราะไม่เคยฝึกค่ะ แต่ถ้าร้อนมากๆเพ่งอาโปกสิณช่วยได้ค่ะ
     
  9. มิลินท์

    มิลินท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +25
    เพิ่มเติม กระทู้ "เมื่อท่านคิดจะดูดพลังงาน" หาอ่านดูค่ะ
     
  10. สมิง สมิง สมิง

    สมิง สมิง สมิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2017
    โพสต์:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +952
    โปรดใช้วิจารญาณ
    ...เกิดจากบุพกรรมตั้งแต่อดีตที่เคยทำมามันมาส่งผล ทำให้เรารับรู้รับทราบได้ทางการปฏิบัติ เช่นบางคนนั่ง ๆ สมาธิไม่ได้เลย สวดมนต์ไม่ได้เลยเพราะถ้าทำมักมีอาการแปลก ๆ คือ เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงและ
    ได้แสดงอาการออกมา...
    ...ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เขาจะได้รับอานิสงส์จากตรง ๆ นั้น แล้วมันจะหายไปเองครับ...
    ---อนุโมทนาบุญ---
     
  11. Kkchi

    Kkchi สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2016
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +41
    ผมอยากจะสอบถามว่า ตอนนี้ ความร้อนที่แขนซ้ายข้างเดิมมันเปลี่ยนเป็นเหมือน เปลวไฟออกมาจากตรงที่เดิม เปลวไฟสูงแก้มเลนครับ ผมรับรู้ความรู้สึกได้ ว่ามันคือเปลวไฟจริงๆ แต่ไม่ได้ลืมตา ผมให้มันเผาแก้มผมจนผมทนนั่งต่อไม่ไหว แล้วก็เลิกนั่ง แบบนี้คืออะไรหรือครับ แล้วตอนนี้ มีความรู้สึกทุกวันเวลาเดิมๆ ถ้ายังไม่ได้นั่งสมาธิ แขนจะเหมือนโดนเผา ที่เดิม ทุกวันเลยครับ เหมือนมาเติมให้นั่งสมาธิหรือเปล่า หรือว่าผมคิดไปเอง ... แต่ช่วงนี้เวลานั่งสมาธิมันเหมือนนิ่งๆ ไม่ก้าวหน้า เลยอะครับ ควรแก้อย่างไรดีครับ ขอบคุณครับ
     
  12. rattanasak

    rattanasak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    414
    ค่าพลัง:
    +617
    อนุโมทนา สาธุๆด้วยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...