ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ไม่ต้องไปดับทุกข์ ไม่ต้องแสวงหาทางพ้นทุกข์อะไร


    จิตเดิมแท้มาจากพุทธะ มนุษย์ทุกคน สัตว์ทั้งหลาย สรรพชีวิตทั้งหลาย เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ล้วนมาจากพุทธะ เพื่อขยายองค์แห่งมหากรุณาให้แผ่ไพศาลกว้างขวางออกไปอย่างไร้ประมาณ หากไม่มีองค์นิรมาณกายแห่งพุทธะเหล่านี้แล้ว พุทธะก็เป็นพุทธะ ซึ่งคงมีธรรมะดุจเดิม ในขณะที่ปวงสัตว์หลงทางออกไปไกล พุทธะก็ไม่อาจโปรดสัตว์เหล่านั้นได้เพราะเอื้อมไม่ถึงกัน ดังนั้น ด้วยคุณแห่งมหากรุณานั้น จึงบังเกิดมีนิรมาณกายแห่งพุทธะ เป็นสิ่งอื่นๆ เป็นสัตว์ต่างๆ มากมาย แลนิรมาณกายทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมต้องหวนกลับคืนสู่ "พุทธะ" ในวันใดวันหนึ่ง สรรพสัตว์ทั้งหลายแม้ไม่ใช่พุทธะอยู่ตลอดเวลา เพราะอาศัยองค์คุณแห่งมหากรุณานั้น จึงนิรมาณตัวตนออกไป เป็นสัตว์ต่างๆ ที่หลากหลาย แต่สุดท้ายก็ต้องกลับคืนสู่พุทธะ ด้วยมีศักยภาพที่เท่าเทียมกันในการบรรลุซึ่งพุทธสภาวะ เช่นนี้ จึงไม่มีสัตว์ตนใดหลง เพราะทุกเส้นทางล้วนมีเนื้อหาแห่งการเรียนรู้เพื่อปรกโปรดเวไนยสัตว์ ขยายองค์คุณแห่งมหากรุณาทั้งสิ้น แลไม่มีทุกข์ที่จะต้องดับ เพราะทุกข์นั้นแลเป็นเพียงสภาวะๆ หนึ่งที่ช่วยให้เราได้สติ กลับคืนสู่ "พุทธะ" เท่านั้นเอง ขาดความทุกข์เป็นเครื่องเตือนสติแล้ว อริยสัจสี่จะสมบูรณ์ได้อย่างไร? ดังนั้น จึงไม่ต้องไปดับทุกข์

    กิเลสและอาสวะทั้งหลายก็เป็นเพียงเหตุปัจจัย อันเป็นสมมุติธรรมในตัว มีอนิจจังในตัว ไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับไปเช่นนั้นเอง ดุจเมฆน้อยลอยมาบดบังดวงจันทร์ เมื่อเคลื่อนผ่านดวงจันทร์ไปแล้วย่อมเผยให้เห็นดวงจันทร์สว่างไสวไร้มลทิน เรียกว่า "จิตประภัสสร มีกิเลสมาจรเป็นครั้งคราว" จึงไม่มีสาระอันใดที่จะเพียรจมในการดับกิเลสในเมื่อมันไม่เที่ยง มันดับตามธรรมชาติเองอยู่แล้ว องค์ธรรมต่างๆ ล้วนบริบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว เมื่อเรามีความคิดเห็นที่เป็นกลางต่อธรรมทั้งหลายเช่นนี้ "สัมมาทิฏฐิ" พึงบังเกิดมีแก่เราได้ และเราก็จะกลับคืนสู่ความเป็นปกติ มีมโกรรมที่เป็นกลางตามปกติ เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ มีการพูดที่เป็นกลางตามปกติเรียกว่า สัมมาวาจา มีการกระทำที่เป็นกลางตามปกติ อันเรียกว่า สัมมากัมมันตะ มีอาชีพที่เป็นกลางตามปกติที่เรียกว่า สัมมาอาชีวะ ทั้งห้าประการนี้จะเป็นพื้นฐานไปสู่มรรคแปด อีกสามประการที่เหลือต่อไป ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อบรรลุธรรมขั้นสูงยิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งยังไม่ขออธิบายในที่นี้

    อนึ่ง ไม่มีทางพ้นทุกข์ที่ไหน ที่เราจะไปแสวงหาเอาได้หรอกครับ
     
  2. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ตามหาความอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็เจออนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแหละครับไม่เจออะไรมากกว่านี้หรอก
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พุทธภาวะมีภาวะผู้นำและภาวะผู้ตามที่บริบูรณ์ในตัว


    หลายคนคิดว่า "พุทธะ" จะต้องเชื่อใครไม่ได้ ฟังใครไม่ได้ ยอมใครไม่ได้ จะต้องเชื่อแต่ตัวเองเท่านั้น อันนี้ เป็นแนวคิดแบบพระปัจเจกพุทธะนะครับ จริงอยู่ว่าพระปัจเจกฯ และพระพุทธเจ้าล้วนตรัสรู้เองได้ แต่ที่ต่างกันคือ พระปัจเจกฯ ไม่ยอมใครเลย เป็นตัวของตัวเองอย่างเดียว ส่วนพระพุทธเจ้าท่านจะยอมรับพระพุทธเจ้าด้วยกัน และทรงนับถือพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาด้วยครับ ดังนั้น จึงต่อสายธรรมกันได้ไม่ขาดสาย และไม่เป็นพระปัจเจกฯ ดุจสายธารธรรมที่ไม่เคยขาดหาย ไม่เคยเหือดแห้งนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เชื่อมต่อสายธรรมกันด้วยความศรัทธาต่อกันอย่างสมบูรณ์ กล่าวได้ว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายล้วนศรัทธาพระพุทธเจ้าด้วยกัน ไม่ใช่ว่าถือตัวว่าตนตรัสรู้เอง เลยไม่ยอมก้มหัวให้ใครเลย หรือว่าไปก้มหัวให้คนที่ไม่ควร ไม่เหมาะ ไม่ใช่ เพียงเพราะอยากได้การยอมรับ หรือการช่วยเหลือจากเขาก็ไม่ใช่ครับ พระพุทธเจ้านั้นจะทรงศรัทธาพระพุทธเจ้าด้วยกันเท่านั้น มิใช่อย่างอื่น และมิใช่ว่าจะไม่มีศรัทธาต่อใคร ไม่ศรัทธาใคร ไม่เห็นใครดีกว่าตนเลยก็มิใช่ เพราะมิใช่พระปัจเจกฯ ครับ

    ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน จะทรงปฏิบัติจนเชื่อมต่อสายธรรมกับพระพุทธเจ้าองค์อดีตได้ ถามว่า พระพุทธเจ้าองค์อดีตนิพพานไปแล้วจะเชื่อมต่อกันได้อย่างไร? ถ้าเข้าใจแบบนั้นแสดงว่าเข้าใจนิพพานผิดแบบสุดโต่งไปทางนิพพาน คือ คิดว่าต้องนิพพานให้ถึงที่สุด ให้หมดไม่เหลือเชื้อ ไม่ใช่ครับ และไม่จำเป็น เพราะในการตรัสรู้นั้น เราได้สอุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานบางส่วน นิพพานไม่หมด ยังเหลือเชื้อ) เราก็บรรลุธรรมได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องนิพพานให้หมด ทีนี้พอเหลือเชื้อเกิดก็ไม่ลงมาเกิดบนโลกอีกแล้ว เพราะได้สอุปาทิเสสนิพพานแล้ว จิตมีความตื่นแจ้งมาก ไม่หลงโลกแล้วแต่เดินธรรมต่อไปก็สุดสายสาวกยาน แล้วมาต่อสายโพธิยานได้ พอถึงที่สุดแล้วจบ ก็ถึงพุทธะได้ อันนี้ไม่จำเป็นต้องทำให้หมดสิ้นเชื้อ เพราะไม่ได้ยึดมั่นสุดโต่งในนิพพานว่าต้องนิพพานให้หมด พอถึงนิพพานแล้วก็มีจิตเป็นกลางต่อนิพพาน ก็จะนิพพานแต่พอดี ไม่ถึงกับมากเกินไป หรืออยากนิพพานมากเกินไป พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านก็จะเหลือเชื้อเกิดเพื่อมาโปรดสัตว์ใหม่กันทั้งนั้น เพราะได้ถึงนิพพานแล้ว ไม่ต้องกลัวหลงอีกแล้ว ท่านจะทำตามๆ กันอย่างนี้จึงเกิดมีสัตว์ทั้งหลาย เราทั้งหลาย ที่กำเนิดมาจาก "พุทธะ" แล้วต้องกลับคืนสู่พุทธะอย่างไรละครับ ท่านจึงเป็นผู้ตาม คือ ตามรอยทางของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ และเป็นผู้นำ คือ นำทางปวงสัตว์ที่ยังไม่ถึงพุทธะ ท่านเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามอย่างสมบูรณ์

    เพราะบำเพ็ญบารมีมาเต็มสมบูรณ์แล้ว ภาวะผู้นำ-ผู้ตามจึงสมบูรณ์
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เคล็ดลับความสุขของฮ่องเต้เจ้าสำราญ "เฉียนหลง"


    ฮ่องเต้เฉียนหลง ได้ชื่่อว่าเป็นฮ่องเต้เจ้าสำราญ
    ทั้งยังมีสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนปรารถนาครบ 10 ประการ
    ถามว่า อะไรทำให้ท่านเป็นฮ่องเต้ที่มีความสุข?

    หลายคนคงคิดว่าท่านคงแสวงหาความสุขเก่ง?

    ไม่ใช่เลย เพราะหากเป็นเช่นนั้น ท่านก็คงทำให้
    บ้านเมืองวิบัติล่มจมเหมือนโจวอ๋องที่หลงต๋าตี่ไปละ
    หากใครได้ดูหนังเรื่อง "องค์หญิงกำมะลอ" คงทราบ
    ว่าฮ่องเต้เจ้าสำราญองค์นี้ ดุยิ่งกว่าเสือเสียอีก ดุจน
    ลูกเต้าอยู่ไม่ได้ หนีกระเจิดกระเจิงคิดว่าพ่อจะฆ่า

    นั่นเพราะเคล็ดลับความสุขของท่านไม่เหมือนใคร?

    คือ "การกล้าเผชิญหน้ากับความเครียดและทุกข์"
    ทุกข์หรือ? ความเครียดหรือ? มึงมาเจอกูเลย ดูสิ
    ว่ามึงกะกูใครจะแน่กว่ากัน? สุดท้าย ไอ้ความทุกข์
    ทั้งหลายและความเครียดทั้งหลาย มันก็หนีเตลิด
    หายไปเลย เจอคนจริงอย่างเฉียนหลงฮ่องเต้เข้า

    หลายคนหนีงาน กลัวความเครียด หารู้ไม่ว่ายิ่งคุณหนีมัน มันยิ่งไล่ล่าคุณ!
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เมื่อใดผมเอาเรื่องเครียด เอางานหนักๆ ยุ่งๆ
    มาอยู่ต่อหน้าคุณ แล้วคุณหนีมัน จงรู้ไว้ว่า ...

    คุณกำลังตกเป็นเหยื่อที่ถูกความเครียดไล่ล่าแล้วครับ!



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กรกฎาคม 2016
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การไม่อยากเกิดอีกเป็น "วิภวตัณหา" ของเจ้าชายสิทธัตถะ


    ซึ่งยังมีอวิชชาอยู่ครับตอนนั้นเจ้าชายยังไม่ได้ตรัสรู้แล้วเกิดอาการเตลิดไปเพราะยอมรับความจริงไม่ได้ ครั้งที่เสด็จไปพบเทวทูตทั้งสี่ หลังจากตรัสรู้เป็นพระสมณโคดมแล้ว จึงพบว่า "ความพอดี" มันไม่ใช่การไม่เกิดเลย การเกิด การดับ เป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมะ เป็นธรรมชาติของสมมุติเท่านั้นเอง ส่วนสิ่งที่ไม่เกิด ไม่ดับนั้น ก็มีอยู่แล้ว เรียกว่า "วิมุติธรรม" ทั้งหลาย ซึ่งพ้นสมมุติไปแล้ว จึงไม่มีการเกิด การดับอีก ความคิดที่ว่าจะไม่เกิดอีกนั้น จึงเป็นเพียงความคิดที่ถูกอวิชชาครอบงำ แต่ก็เข้าลักษณะของ "กิเลสเป็นโพธิ" คือ นำพาท่านออกมาแสวงหาสัจธรรมซึ่งก็ได้ค้นพบในที่สุดตรัสรู้แล้วจึงพบ "ความพอดี" ว่าการไม่เกิดอีก เป็นความหลงอย่างหนึ่ง ด้วยความกลัวการเกิด, การแก่, การเจ็บ และความตาย หากเราเห็นแจ้งได้ว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นธรรมะ ธรรมดา ของสมมุติธรรมทั้งหลาย เราก็จะไม่อะไรกับมัน ไม่ไปปฏิฆะหรือปฏิเสธมัน ย่อมเห็นการเกิดเป็นสิ่งธรรมดา การตายก็เป็นสิ่งธรรมดา เมื่อมีใจเป็นกลางได้อย่างนี้ สัมมาทิฏฐิจึงเกิดขึ้น ความเอนเอียงในเชิงลบ และมีอคติกับการเกิด การตาย จึงหมดสิ้นไป ความไม่อยากเกิดอันเป็นวิภวตัณหา และความอยากนิพพานอันเป็นตัณหา ก็จบเช่นกัน

    หลายท่านตกอยู่ภายใต้ "วิภวตัณหา" คือ "ความไม่อยากเกิด" และมีอคติกับการเกิดเหมือนเจ้าชายสิทธัตถะ และยังไม่ได้ตรัสรู้ แจ้งดังเช่นพระสมณโคดม มีใจเอนเอียงไปในทางลบกับการเกิด การตาย จึงไปตั้งจิตฝังด้วยอุปทานเอาว่า "ฉันจะไม่เกิดอีก" แทนที่จะเห็นแจ้งว่า การเกิด ก็ดี การตายก็ดี ล้วนเป็นธรรมะ ธรรมดาของมัน เช่นนั้นเอง สมมุติธรรมทั้งหลายล้วนมีการเกิด และการตายเป็นสิ่งธรรมดา นอกเสียจาก "วิมุติธรรม" เท่านั้น ที่ไม่เกิด ไม่ตาย และมันก็มีอยู่ในทุกๆ สมมุติธรรมโดยไม่ต้องหา เป็นแก่นแท้ของสมมุติธรรมนั้นๆ ดังนั้น คำว่า "สอุปาทิเสสนิพพาน" พึงบังเกิดได้แก่เขานั้น เมื่อถึงวาระของมัน เฉกเช่น "อนุปาทิเสสนิพพาน" ซึ่งเกิดตามวาระ ไม่อาจกำหนด มิอาจคาดหวัง มิอาจตั้งเอา เจตนาเอาได้แต่อย่างใดเลย ทุกอย่างเป็นแค่ธรรมะ ธรรมชาติ ดำเนินไปเช่นนั้นเอง เพียงแต่เราเข้าไปกำหนด, ควบคุม, บังคับ, ตั้งเอา, เจตนามันหรือไม่? หากเข้าไปทำ เราก็วุ่นวายใจเอง หากปล่อยวางแล้ว คลายใจเสียได้แล้ว เราก็จบส่วนของเรา โดยไม่เกี่ยวกับการต้องไปทำอะไรหรือไม่ทำอะไร แต่อย่างใดเลย

    แลพระโพธิสัตว์ทั้งหลายล้วนก้าวข้ามภาวะนี้มาได้แล้วทั้งสิ้น!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2016
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    คนเราก่อนบรรลุธรรมกับหลังบรรลุธรรม ไม่เหมือนกัน (พระสมณโคดมจะไปคิดเหมือนเจ้าชายสิทธัตถะได้ยังไง?)


    ชายโพสว่าเจ้าชายสิทธัตถะนั้น ยังไม่ได้บรรลุธรรม จึงมีความหลงไปว่าการเกิดเป็นสิ่งเลวร้าย มองแง่ลบและมีอคติอยู่ แต่หลังจากบรรลุธรรมแล้ว เจ้าชายก็ถือว่าได้ตายจากโลกไปแล้ว คนๆ ใหม่ได้กำเนิดขึ้นมาแทน คือ พระสมณโคดม ซึ่งไม่ได้คิดเหมือนเจ้าชายสิทธัตถะ พระสมณโคดมไม่ได้มองการเกิดในแง่ลบแต่มองเป็นกลาง คือ การเกิด การดับ เป็นเรื่องธรรมดา เรียกว่า อนิจจัง แค่นั้น ท่านจึงแสดง "มรรคมีองค์แปด" หรือทางสายกลาง โดยมีธรรมตัวแรก คือ "สัมมาทิฏฐิ" หรือการมีความคิดเห็นที่เป็นกลางต่อธรรม

    หลายคนยอมรับ "ความจริง" ข้อนี้ไม่ได้ ว่าคนเราก่อนและหลังบรรลุธรรมนั้น คิดไม่เหมือนกัน เจ้าชายสิทธัตถะนั้นยังไม่บรรลุธรรม และความคิด "ไม่อยากเกิด" ของเจ้าชายสิทธัตถะนั้นยังมีอวิชชาอยู่ อีกทั้ง พระสมณโคดมก็บอกแล้วว่าท่านเป็นคนใหม่แล้ว กำเนิดใหม่แล้ว ไม่ได้คิดแบบเดิมแล้ว ท่านแสดงไตรลักษณ์ หลักอนิจจัง การเกิด ดับ เป็นเรื่องธรรมะ ธรรมดา และแสดงมรรคแปด อีกทั้งสัมมาทิฏฐิว่าเป็นความเห็นที่เป็นกลางต่อธรรมไว้ ไม่ได้มีอคติต่อการเกิด เหมือนเจ้าชายสิทธัตถะอีกแล้ว แต่หลายคนรับไม่ได้ครับ ยังคง "ยึดถือความเชื่อเดิม" ว่าต้องไม่เกิดอีก เช่นเดิม

    หลายคนเลยมองว่าชายเป็นมารครับ เพียงเพราะอธิบายแบบนี้แหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2016
  8. OSR

    OSR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +107
    ขอไว้อาลัยกับเหตุการณ์ที่ ฝรั่งเศส ครับ ตายทันทีกว่า 70 บาดเจ็บอีกอื้อ ส่วนใหญ่เป็นเด็กและสตรี โลกกำลังเข้าสู่สถานะใหม่ มันบอกเราว่า มนุษย์เอ๋ย... อนาคตมีความสุกงอมเพียงพอแล้ว พวกเจ้าพร้อมรึยัง? ผมได้ยินเสียงบอกให้ เดินออกจาก นิสัยเอาตัวรอดและสงครามได้แล้ว ไปสู่โลกแห่งความเข้าใจที่ถูกต้อง ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างช้าๆ ทุนนิยม ใกล้ถึงวันล่มสลาย ลัทธินับถือเงินเป็นพระเจ้ากำลังสั่นคลอนอย่างหนัก มันเริ่มแล้วครับ ลูกบอลหิมะเล็กๆลูกนึงได้กลิ้งลงมาจากยอดเขาแล้ว
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722


    ครับ ศาลโลกตัดสินให้จีนแพ้คดี ในกรณีพิพาททะเลจีนใต้แล้ว
    จีนเริ่มด้วยการใช้ ปชช. ไปหักไอโฟนออกข่าวไปก่อน

    คงไม่นานจริงๆ แล้วละครับ
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ผี "มเหสักข์" ใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด? (นอกเรื่องสักนิดครับ แต่คิดว่าน่าสนใจ)


    ผีมเหสักข์ไม่ใช่ผีบรรพบุรุษนะครับ อย่าสับสนเอามาปนกัน ผีบรรพบุรุษ คือ บรรพบุรุษของเราที่ล่วงลับไปแล้ว เรากราบไหว้ได้ ส่วนผีที่ไม่ใช่ผีบรรพบุรุษของเรา เราเอามาเลี้ยงได้ไหม? ก็ได้ครับ บางคนไปขอมา บางคนไปซื้อมาก็มี ผีดีๆ เก่งๆ แรงๆ ก็มี แต่อยากแนะนำให้คุณรู้จักผีอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงดูกัน นั่นก็คือ "ผีมเหสักข์"

    เขาคือใคร? เขาก็คือ คนที่เป็นใหญ่เป็นโตมาก่อนในอดีต แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แล้วตายไป เช่น เคยเป็นแม่ทัพไปรบ แพ้ ตาย แล้วเมืองล่ม เลยไม่มีใครเลี้ยงดู วิญญาณไม่ไปไหน เมืองล่มแล้ว ญาติเลยไม่ได้เลี้ยงดู ไม่ได้เป็นผีบรรพบุรุษ เพราะลูกหลานก็เอาตัวไม่รอดเหมือนกัน แบบนี้เรียกว่าผีมเหสักข์ ซึ่งยังไม่ได้รับการแต่งตั้งอะไร ถ้าได้รับการแต่งตั้งเป็นผีบ้านผีเมืองแล้ว ชาวเมืองเคยบูชามาก่อนแล้ว จะนับรวมเป็น "พญาแถน" นะครับ ผีมเหสักข์จึงมีฐานะรองจากพญาแถนก็ว่าได้ พญาแถนเป็นผีที่ชาวเมืองกราบไหว้มาก่อน เรียกว่าเป็นผีสาธารณะที่ใครจะไปไหว้ก็ได้ แต่ผีมเหสักข์ไม่ใช่ ยังไม่ได้ไปถึงจุดนั้น แต่ก็นับว่ามีศักดิ์ใหญ่ เป็นเจ้าคนนายใหญ่นายโตในบ้านในเมืองมาก่อน ดังนั้น คนกลุ่มหนึ่งจึงนิยมเอามาเลี้ยง

    บางครั้งเขาจะเร่ร่อนไป แล้วหา "ร่างอาศัย" ครับ สังเกตุง่ายๆ อย่างนี้ ใครที่ทำตัวเหมือน "คนที่ผิดหวังในชีวิต" วันๆ บ้าอำนาจ แต่ไร้น้ำยา ดีแต่ด่าลูกเมีย แต่ไปนอกบ้านสู้ใครเขาไม่ได้ แพ้ตลอด ขี้แพ้แต่มีปม อยากใหญ่ อยากดัง อยากมีอำนาจเหนือคนอื่น เลยมาลงกับลูกเมีย ชอบทำตัวเหมือนคนรวยสมัยโบราณ คือ ไม่ทำงาน กินแต่เหล้า เอาแต่ด่าว่าลูกเมียสารพัด ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าใหญ่ในบ้าน นี่ละฮะ ร่างของผีมเหสักข์ ดูง่ายๆ ประมาณนี้เลย เห็นไหมครับ ว่าเขาอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด ผีมเหสักข์ไม่ใช่ปอบ จึงไม่ได้กินของสดของคาว แต่ถ้าเสื่อมลงไปเป็นปอบ ก็จะกินของสดของคาวได้เหมือนกันครับ

    โปรดผีมเหสักข์นี่ บางทียากกว่าปราบปอบอีกนะครับ เหอๆๆ
     
  11. มนุษย์835

    มนุษย์835 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +182
    ที่เขาเรียก เจ้าพ่อ มเหสักข์นี่ มันอะไรน่ะ !
     
  12. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722


    เป็นผีมเหสักข์ที่คนเอาไปแต่งตั้งเป็นเจ้าพ่อทีหลังหรือเปล่าครับ?
     
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เถรวาทกับมหายานก็สัจธรรมเดียวกันนะครับ


    แต่หากท่านยังไม่บรรลุธรรม ท่านก็จะคิดว่าขัดแย้งกัน เวลาศึกษาแล้วก็พบแต่ความขัดแย้งเช่น ของมหายานกล่าวว่าบรรลุธรรมแล้วเกิดได้อีก แต่ของเถรวาทจะบอกว่าไม่เกิดอีก เป็นต้น อันนี้เป็นด้วยไม่ได้บรรลุธรรมจึงไม่เข้าใจ และเกิดความขัดแย้ง แต่ถ้าบรรลุแล้วก็จะทราบว่าสัจธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน ดุจด้ายเส้นเดียว เชื่อมถึงกันไม่มีขัดแย้งเลย เพียงแต่จิตของคนเรามีกำลัง มีบารมีรับธรรมได้ไม่เท่ากัน พระมหากัสสปะ จึงแยกเอาธรรมะของพระสมณโคดมไว้สองส่วน เถรวาทนี่ไม่ใช่ทั้งหมดไม่ใช่ถูกที่สุดอะไรนะแต่มันเหมาะกับ "สาวกยาน" ที่สุด ส่วนธรรมะที่ไม่เหมาะกับสาวกยาน เพราะมันสูงเกินไป ท่านก็แยกเอาไว้ใน "นิกายเซน" ดังนั้น พระมหากัสสปะจึงเป็นผู้ให้กำเนิดทั้งนิกายฝ่ายเถรวาทและมหายาน (เซน) ท่านก็รู้ถึงนัยยะนี้ว่าสัจธรรมแท้แล้วไม่ต่างกันของทั้งเถรวาทและมหายาน แต่ถ้าให้คนที่มีความเป็นสาวกยาน มารับธรรมชั้นสูงของมหายานแล้วก็จะเกิดปัญหาได้ ท่านเลยแยกธรรมะส่วนหนึ่งไว้ในนิกายเซนนั่นเอง

    ปัจจุบัน พระสายเถรวาทในไทย จึงเริ่มสนใจนิกายเซนกันมากขึ้น นี่ก็ไม่แปลกอะไร เพราะนิกายเซนกำเนิดจากพระมหากัสสปะเช่นกัน พระสายเถรวาทสนใจก็ไม่แปลก และถ้าจะสังเกตุมากขึ้นไปอีก ก็จะพบว่าเซนเข้ากันได้กับฝ่ายเถรวาทมากกว่าแนวคิดอื่นๆ เอาละ ถึงแม้จะศึกษาอย่างนั้น ก็ยังต้องระวังเรื่อง "ธรรมวินัย" ครับ เพราะถ้าปฏิบัติผิดเพี้ยนไปจากธรรมวินัยเดิมของนิกายของตนแล้ว ก็จะมีปัญหาเข้าข่ายสังฆเภทได้เช่นกัน ซึ่งไม่ควรทำนะครับ (ชายเป็นฆราวาสจึงศึกษาได้หมดทุกศาสนาและนิกายต่างๆ ครับ) หลายคนไม่เข้าใจธรรมขั้นสูงๆ มักด่าว่า ปรามาสคนอื่นเข้าง่ายๆ ให้ระวังไว้ ว่าศีลตัวเองยังน้อยนะครับ คนมีศีลดีจะไม่เป็น ไม่ทำอย่างนั้น หากธรรมของมหายานผิดจริง พระมหากัสสปะคงไม่แยกเอาไว้ในส่วนของนิกายเซน แต่ที่แยกเพราะมีเหตุผลดังกล่าวว่า "สาวกยาน" นี้ ไม่มีภูมิจิต ภูมิธรรม ที่สูงพอจะรับธรรมของมหายานได้ ซึ่งก็จริงนะครับ พอกล่าวธรรมมหายานออกไปให้คนเหล่านี้ฟัง พวกเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนเหมือนไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวกกันใหญ่ ไม่รู้เป็นอะไรสิ? แต่ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทั้งที่ตนเองก็ไม่ได้เข้าใจธรรมของมหายานแต่ก็ทำเหมือนว่ารู้หมดทุกอย่างแล้วไปต่อต้านไปเอาชนะธรรมของฝ่ายมหายานเขาเสียยกใหญ่ แปลกดี

    ถ้าคุณยังเห็นสัจธรรมของสองนิกายต่างกันแสดงว่ายังไม่บรรลุฮะ!
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    นิพพานเป็นอัตตา?

    คือ ความหลงผิดอย่างหนึ่ง ที่คิดว่านิพพานเป็นตัวกูของกูครับ ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นกันมาก เหมือนคำที่ท่านธัมมยโชพูด "นิพพานเป็นอัตตา" นี่คือ ปริศนาธรรมนะ ไม่ใช่สัจธรรม คือ เป็นคำที่เบื้องบนให้มาขบคิดว่ามันคืออะไร? คำตอบก็คือ คนสมัยนี้หลงผิดคิดไปว่านิพพานเป็นอัตตา เป็นตัวกูของกู ก็เลยคิดไปว่ากูได้นิพพานแล้ว กูต้องไม่เกิด ไม่ดับ อีกแล้ว จึงลืมไปว่าเรานี้มีทั้งส่วนสมมุติธรรมและวิมุติธรรม ส่วนวิมุติธรรม ย่อมไม่เกิด ไม่ดับอยู่แล้ว แต่ส่วนสมมุติธรรมนั้น เกิดๆ ดับๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดา นั่นคือ เราตื่นแจ้งในนิพพานแล้ว แต่เราไม่ได้ยึดนิพพานเป็นตัวกูของกู เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นนิพพาน ไม่เกิด ไม่ดับ เพราะเรานั้นแท้แล้วมีทั้งสองส่วนคือวิมุติและสมมุติ "ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่มีขาดหาย" ส่วนสมมุติของเราก็ยังเกิดๆ ดับๆ ไปเป็นธรรมดา หากยึดติดว่านิพพานเป็นเรา เราเป็นนิพพาน เห็นนิพพานเป็นตัวกู ของกูแล้ว ย่อมมองไม่เห็นเราว่ามีทั้งสมมุติและวิมุติ ก็จะยึดว่าเราต้องไม่เกิดอีก ดังนั้น พระสมณโคดมจึงบอกว่า "อย่ากล่าวเช่นนั้น" เมื่อคนถามว่านิพพานแล้วเกิดอีกมั้ย?

    นี่ละฮะ ที่มาของปริศนาธรรมว่า "นิพพานเป็นอัตตา"
     
  15. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๑๕.๒๘

    ยังครับ ยัง บอลหิมะสะดุดก้อนหิน ที่บังเอิญมาขวางได้ทัน
    นี่แค่เป็นการเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
    อาจจะเป็นผลงาน "สมาคมแม่มดไหม้เกรียม"
    ที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล หลายร้อยปี
    บังเอิญตื่นมาเคลียร์บัญชีเก่ามั้ง นะ


    กระต่ายป่า แห่งหมู่บ้านในนิทาน / แฮรี่ คอปเตอร์
    .
     
  16. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๑๕.๔๓

    แค่โยนหินถามทางเองน่า เนอะ
    อีกสิบปีก็ยังไม่รบกันหรอก
    ทั้งจีนและเมกาก็รู้ดี


    สำนักข่าวนั่งเทียน / นั่งเทียน เขียนได้ดังใจ
    .
     
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    ถ้าทรัพม์ได้เป็น ปธ. เมื่อไร
    เขาคงเดิมเกมของ NWO เต็มที่


    ต่างจากโอบาม่าที่ไม่ค่อยยอมทำเท่าไรครับ
     
  18. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๑๖.๑๑

    จะได้เป็นรื้อ บ้าออกหยั่งงั้นน่ะ
    แล้วเมกาต้องวุ่นวายกันพักใหญ่
    ทรัพม์ต้องก่อเรื่อง ป่วนประเทศแน่

    แล้วจีนก็จะชิงจังหวะ ดึง หรือเปลี่ยนเกมส์
    มังกรไม่ตายน้ำตื้นหรอกน่า แผนเค้าแยะ
    ยังไงก็ยังไม่รบกัน ในสิบปีนี้แน่ มโนนะ


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ชาวหมู่บ้านในนิทาน
    .
     
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722


    ได้สิครับ

    มันเป็นแผนของ NWO อยู่แล้วที่จะเอาคนที่ยอมทำทุกอย่าง
    ตามแผนของพวกเขา ขึ้นมาเป็น ปธ. ซึ่งโอบาม่าไม่ยอมทำ
    และพวกเขาเร่งแผนให้ดำเนินไปตั้งแต่ยุคโอบาม่าแล้ว ถ้า
    ไม่มีโอบาม่าขวางไว้ แผนการณ์ก็คงดำเนินไปแล้วละครับ

    นี่คือ เหตุผลที่เขาจะต้องได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพไงครับ
     
  20. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    จริงๆ เรื่องโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคนี่ไม่ยากนะ


    ถ้าทางสลิ่มคิดว่ามันเป็นภาระ ทำให้คนเข้า รพ. เยอะ เพราะเห็นเป็นของถูก บวกกับรัฐบาลต้องอุ้ม แบกค่าใช้จ่ายที่เกินจริง วิธีการก็ไม่ยากครับ ใช้หลักการเดิม การทำงานแบบเดิม ปรับแค่ 30 บาทให้เป็น 300 บาท ก็ได้ละ ง่ายๆ ถามว่าทำไมต้องขึ้นราคา ก็ไม่ยากครับ ด้วยค่าครองชีพมันเพิ่ม อะไรก็ว่าไป ถามว่าทำไมต้องจ่าย ก็บอกว่าเป็นระบบประกันสุขภาพแบบ "ประชาชนร่วมรับภาระ" ไงครับ เรียกว่าทุกคนทุกโรคจ่ายเท่ากัน สมมุติ คนเป็นโรคไต ล้างไตครั้งหนึ่งอาจต้องใช้เงินเป็นหมื่น และล้างบ่อยๆ เช่น อาจจะทุกเดือน ทีนี้ ก็จ่ายแค่สามร้อยบาทไปเท่านั้นเอง จบละ ส่วนบางคนที่เคยคิดว่าของถูกเลยชอบไปใช้บริการ ก็จะลดลงเองตามกลไกลราคา (ของแพงขึ้น ความต้องการซื้อก็ลดลง คนไข้ก็ลดลงไปเอง) มันก็จะกลายเป็นการ "ถัวเฉลี่ย" แบ่งจ่าย แบ่งเบาภาระร่วมกันรับผิดชอบไป ถามว่า 300 บาท แพงไปไหม? ชายว่ามันก็ปกตินะ ถ้าไปคลีนิก เป็นหวัดก็ประมาณนี้ แต่ถ้าเป็นโรคไต จ่ายแค่นี้ นับว่าเป็นการช่วยเหลือเขาได้มากเลย ทีนี้ คนที่ชอบของฟรี ของถูก ต้องจ่ายแพงละ ก็ไปช่วยถัวเฉลี่ยให้คนที่เขาลำบากจริงๆ ได้ไงครับ รพ. ก็ได้รายได้เพิ่ม คนไข้ก็ไม่กระทบ ก็เพราะสามร้อยบาท เป็นค่าใช้จ่ายคลีนิกอยู่แล้ว

    แค่นี้ ระบบก็ไม่รวน ข้าราชการทำงานได้ปกติ ปรับนิดเดียวเองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...