ขอค้าน หลวงพ่อเกษม อาจิณสีโล

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 27 กุมภาพันธ์ 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    ถูกต้องครับคุณขันธ์ ความชั่วในใจผมนี่
    เอาชนะมันยากนะ เพราะเหตุปัจจัยไม่เอื้ออำนวยให้ ชนะ
    ..............
    แต่พยายาม กำจัด ความชั่ว ที่พอกำจัดได้ก่อน....ความชั่วที่เก่งกาจ
    คงต้องรอ ให้มีอาวุธครบมือ พลังเต็มเปี่ยม ปัญญาพร้อม
    ถึงจะขึ้นเวทีเผชิญหน้ากับมันตรงๆ ตอนนี้ หลบมันก่อน ยอมมันก่อนครับ
    .............
    .............แป็ว ว วววว..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2008
  2. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    คุณเอกวีร์ครับ
    .....................
    สถานะการณ์สร้างวีระบุรุษ ...บางอย่างต้องใช้ให้เหมาะ ให้ถูกกาละ เวลาครับ.........จึงจะเกิดประโยชน์ที่แท้จริง......
    ...............
    ..............แป็ว ว ว ว .........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2008
  3. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    ผมยังเดินเตาะแตะล้มแผละล้มแผละอยู่เลย
    คุณฐานัฏฐ์ไปถึงหลักกิโลไหนแล้วผมยังไม่รู้เลย ;)
    ยังไงก็รอกันมั่งก็แล้วกัน

    ก่อนที่จะมาเจออานาปานสติในพระไตรปิฏก ผมเคยได้ยินเขาว่าให้ดูกาย ดูจิต
    ผมไม่รู้หมือนกันว่าเขาทำกันยังไง

    ดูกาย ผมใช้วิธีเหมือนถอยออกมาเป็นเงาตัวเองอยู่ข้างหลัง แล้วดูว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ มันก็เห็นอ่ะนะ เห็นตัวเองเดินทื่อๆ ทำโน่นทำนี่ เหมือนหุ่นกระบอก ตอกอยู่ในบ้านปกติก็ไม่ต่อยมีปัญหาอะไรหรอก แต่พอขับรถออกไปนอกบ้านนี่สิ มันจะชนเอา ผมไม่รู้ว่าไอ้ที่ผมเคยทำมาก่อนนี่มันผิดหรือเปล่าท่านขันธ์

    ส่วนดูจิตนี่ผมใช้วิธีคอยสังเกตุอารมณ์ว่าเกิดอารมณ์อะไรขึ้นมาบ้าง แต่มันยากที่จะนั่งสังเกตุอย่างเดียว มันหนักไปทางระงับไม่ให้เกิดอารมณ์เสียมากกว่า เช่นพอจะโกรธปุ๊บ ก็รีบคิดเรื่องอื่นเสีย หรือบีบไว้ไม่ให้มันเกิด ซึ่งก็น่าจะไม่ถูกอีกเหมือนกันใช่ใหมครับท่านขันธ์

    ตอนนี้ก็เลยเริ่มกลับมาดูลมหายใจแบบในอานาปานสติใหม่ เริ่มนับหนึ่งใหม่เลย กะว่าไม่เกิน 10 ปี น่าจะสำเร็จนะ ;)
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขอแทรกละกัน แต่รอคุณขันท์ตบอีกที ของท่านแจ่มกว่า

    เรื่องของเรื่อง ไม่ว่าจะปกฏิบัติอะไร ต้องเข้าใจวัตถุประสงค์

    อานาปานสติ คือ การเอาจิตไปเกาะกายลม เกาะทำไม เกาะไม่ให้ตัฌหาแทรก
    เข้ามาได้ เพราะถ้าจิตอยู่กับลมตลอด ลมมันไม่มีอะไร มันหายใจไปเรื่อยๆ
    มันไม่มีความอยาก มันจะพ้นการบังคับ เพราะถ้าบังคับลม ก็จะแน่นหน้าอก
    ก็จะรู้ทันทีว่าผิด ต้องปล่อยให้จิตตามรู้ลมที่เขาหายใจเป็นปรกติ ทำได้ก็จะ
    เบา ตัณหาเข้ามาแทรก ความคิดเข้ามาแทรก นิมิตหยาบๆเข้ามาแทรก จะรู้
    ทันทีเพราะจิตจะลืมลมไป เหตุนี้ ผมก็เลยต่อว่า การโอนบุญ มันศัตรูของ
    อานาปานสติแน่นอน -- ลองไปอ่านพระสูตรนะครับ อานาปานสติ จะเป็นไป
    เพื่อตัณหาแทรกเธอไม่ได้ ไม่มีเธอเป็นที่ตั้ง เธอจะเจโตฯ ปัญญาฯ .... แล้ว
    ก็อีกบท เธอจงรู้ชัดในศัตรู ....

    ดูกาย ก็น่าจะถูกต้องแล้วนะครับคุณสถิตย์ แต่การดูกายนั้น ต้องชี้ก่อนว่าเป็น
    ของ สมถะยานิก ถ้าจะปฏิบัติ จะต้องหาที่หาทางสัปปายะ จะทำแบบในชีวิต
    ประจำวันไม่ได้ คือ ถ้าจิตมีกำลัง มันจะโดดไปเกาะที่อากาสา แล้วมองมาที่
    เรา อันนั้นจะลำบาก คนข้างๆจะงง แต่สำหรับคนที่เจริญสติด้วย(ดูจิต) จะมี
    สัมปชัญญะเข้ามาช่วย ทำให้ขับรถเห็นว่าขับรถ ในขณะที่มันจะสลับกลับมาที่
    ข้างในตัวแล้วดูผัสสะ แล้วออกไป สลับไปสลับมาได้ แต่ก็ต้องทำมามาก ไม่
    แนะนำดีกว่า

    ดูจิต ตรงที่มีการเห็นแล้วคิด หรือ จงใจคิดเรื่องอื่นเสีย หรือ หาเหตุและผลเพื่อ
    ระงับอารมณ์โกรธ อันนั้น คือ ทำสมถะ อยู่ครับ ดูจิตแท้ๆ จะเหมือนแมลงมุมน้ำ
    ยืนอยู่บนระลอกคลื่น ไหวตามอารมณ์แต่ไม่จมไปกับมัน ไม่ขัดขืนสร้าง
    คลื่นสะท้อนเพื่อหักล้าง รับรู้เฉยๆเท่านั้น ทำเรื่อยๆ เอาศรัทธาตั้ง แล้วจะ
    เหมือนคุณฐานัฏฐ์เอง

    เริ่มกลับมาดูอานาปานสติ ถ้าต้องการดูจิตเพื่อลัดเข้าทางเอก ทางตรงเข้า
    นิพพาน ก็ให้ตามรู้อารมณ์ปิติ อาการสว่าง อาการใดๆ สภาวะธรรมใดๆ ให้
    เป็นเพียงคลื่นใต้แมลงมุมน้ำ ให้สภาวะธรรมเหล่านั้นเป็นเพียงของถูกรู้ถูกดู
    แล้วคุณจะเห็น จิตที่ไหลไปเกาะตรงนู้นตรงนี้ได้ เขาจะตั้งมั่นอยู่ในกาย เมื่อ
    เจอแล้วก็รับรู้ไป ระหว่างนั้นก็จะมีอาการของสมถะ พาไปดูนิมิต หรือ อะไรก็
    ให้รู้สึกว่ามันเกิด แต่อย่าเอาจิตไปเกาะตามรู้ตามดูอีก ตั้งไว้ที่เดิม ทำอย่างนี้
    ไปเรื่อยๆ งานจะได้น้อยๆ รู้เท่าที่รู้ รู้ชัดเท่าที่รู้

    แล้ววันไหน คิดว่าบรรลุแล้วนี้ ผมมียาแก้ คือ คุณขันท์ ท่านไม่เคยอ้อมค้อม
    เล่นกันตรงๆ ยาดีจริงๆนะ ใครกินแล้วถ้ามีอัตตาจะแสลงกันทุกคน

    :)

    ขอโทษนะ แม้ยังไม่เคย แต่ก็รู้ว่าผมก็ต้องโดน แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามีอัตตาอยู่
     
  5. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    ขอบคุณคุณเอกวีร์ครับ

    ไอ้ถนนกรุงเทพนี่ท่าทางมันจะไม่ใช่สถานที่ที่เป็นสัปปายะแหงๆ เลย
    แต่ผมว่าบางครั้งถนนกรุงเทพก็เป็นที่ที่ใช้สังเกตุอารมณ์ อัตตาได้ดีมาก มีครบทุกอย่าง

    เมื่อไหร่ขับรถกลับมาถึงบ้านแล้วไม่พบน้ำกระเพื่อมเลย จะมาให้คุณขันธ์กระแทกอัตตาทดลองดูว่าแสลงหรือเปล่า ;)

    ว่าแต่คุณขันธ์ คุณเอกวีร์ คุณฐาณัฏฐ์ เข้ามาใช้เว็บบอร์ดนี้ในการดูจิต ทดสอบอัตตาตัวเองอยู่หรือเปล่าเนี่ย ;)
     
  6. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +283
    กระทู้ไร้สาระ หาประโยชน์มิได้ อัตตาล้วน ไม่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น
     
  7. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075

    คุณคิดเหมือนผมเลย

    สติปัฏฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม อะไรเด่นก็ดูตัวนั้น ปรับเปรียนกันไปตามสภาวะการณ์
    ถ้าใจเป็นปกติ ก็ดูลม ครับ
    ให้ทำตลอดที่ตื่น จะนั่งก้ได้เห็นชัดดี หรือ จะยืน เดิน นอน
    เริ่มจากทำช้าๆแล้วตามดู จนละเอียด
    แล้วก็ทำให้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน จิตก้จะตามทัน ครับ(ทำให้เป็นนิสัย)


    เราใช้เวปบอร์ด
    ตาเราจ้องข้อความไล่ไปทีละประโยค
    หูเราก็ฟังเสียงเงียบ
    เสียงเงียบนี่ เข้าใจว่าเป็นเสียงเดียวกับสมาธิ
    สติ ก็ไปจับที่ลมหายใจเข้าออก

    ส่วนข้อความที่โพสไปมา มันสะท้อนเราได้ดีเลย
    มันออกมาจากใจหรือเปล่า เราย่อมรู้ของเรา ว่ามีอารมณ์ใดเจอหรือไม่
    ถ้ามีก้ตามดูไป พอเราเจอเหตุสภาวะซ้ำๆอีกทีนี้จิตมันจำได้
    ก็ไม่ต้องไปดูแล้ว มันรู้ทัน ก็ดับอารมร์นั้นเอง ครับ

    ส่วนตอนอยู่นอกบ้าน ก็จำเอาอารมณ์แจ่มใส เบิกบานมาใช้คืออยู่กับปัจจุบัน

    พระท่านบอกว่า ไม่ต้องไปคิดไกล แต่ให้ปฎิบัติไปวันต่อวัน ชั่วโมงต่อชั่วโมง นาทีต่อนาที มีสติอยู่ในปัจจุบัน

    ก็บอกเล่ากันสนุกๆ ครับ(||)
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผมไม่ได้เข้ามาทดสอบจิต แต่เข้ามาหาความเพลิดเพลิน
    และ ทำกิจ ที่ตั้งใจไว้คือ ลบสีลพตรปรามาส ตามโอกาส
    โดยไม่ทำให้เดือดร้อนตนเอง
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ผมก็ไม่ได้มาดูจิต ดูไม่ค่อยทัน ก็จะเห็นว่าโพสผมแก้บ่อย

    ถ้าถามประโยชน์ ก็คือ เข้ามาดูความปริเฉทของคน การสนทนา
    การโต้ธรรม สำหรับคนที่สนใจในเรื่องที่มากกว่าอาชีพ การงาน
    ซึ่งก็คือ เรื่องของศรัทธาล้วนๆ แต่ใครจะมาเอาศรัทธาไปใช้ทางไหน
    อันนี้แหละ ที่น่าสนใจ เพราะศรัทธาคือประตูเมือง และจะทำอย่างไรให้
    ศรัทธาเกิดได้ถูกต้อง คนถึงจะเดินมายังวิหาร ไม่แวะพักที่ไหนๆ

    ส่วนเรื่อง สติ ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นเป็นผลพลอยได้
     
  10. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ท่านเล่าปังครับ ผมไม่เคยทำร้ายจิตใจใครให้แสลงครับ
    แต่เขา ทำร้ายตัวเองกันเองครับ

    ผมเคยบอกไปแล้วว่า เรื่องการบรรลุนี้ มันจะดูยาก บางทีเราเข้าใจ เรารู้ธรรม แต่ มันรู้อยู่ที่ สัญญา มันเข้าใจเหมือนคนมีธรรม เพราะว่าเราได้รับ สุตมยปัญญามา เราก็เข้าใจ แต่สิ่งที่ พิสูจน์ได้คือ ใจเราหวั่นไหวแค่ไหน
    เราเจอทุกข์ แล้วดับได้ทันทีไหม โลกธรรมนั้นเรายังมีไหม อาจจะมีได้แต่ไม่หวั่นไหว

    ข้อนี้ ให้สำรวจตัวเอง ทีนี้ ถ้ามีธรรมขั้นสูงแล้ว ก็จะเข้าใจ ดับกิเลสได้ เห็นกิเลส ชนิดที่ว่า มองไปนี่มัน ว่างไปเลย มันเห็นอนัตตาของทุกข์ มันก็ไม่มีตัวตนของทุกข์นั้น เราก็ไม่ได้ยึดอะไรไว้

    ขอให้ธรรมนั้นมาอยู่ที่ใจ ให้ได้ อย่าให้มันอยู่ที่หัว
    ผมฝ่ามา กว่าจะได้ธรรมมา ไม่ใช่ง่ายนะครับ เผชิญมาร้อยแปด พญามาร
    แต่ตัวที่ ทำให้ผ่านมาได้ คือ ขันติ และ อภัยทาน
    และ ธรรมทานที่คอย มาให้ผู้อื่น


    คนหลายคนเข้าใจธรรม รู้ธรรมหมด แต่พอสำรวจใจไปดูนี่ยังหยาบ ไม่เคยมีเมตตา ไม่เคยทำทาน มีแต่ตักตวงเข้าตัว ทานนี้ก็ต้องเป็น ปรมัตนะครับ คือ ทำเพราะเมตตา อยากให้เขา ไม่ใช่ทำเพราะอยากให้เข้าตัว
    ข้อนี้ จะสลัดอัตตาออกไปมาก

    อภัยทาน กุศลมากจริงๆ ให้ทำให้บ่อย เกลียดใคร แล้ว เมตตาเขาได้นั่นแหละ ประเสริฐ

    กุศลทั้งหลายนี้ต้องถึงพร้อม อกุศลก็ต้องละ ชำระจิต ให้ผ่องใส ถ้าเราเอาแต่ชำระจิต เราไม่สร้างกุศล ไม่มีการอภัย
    แบบนี้ก็ไม่ครบองค์ประกอบ

    ก็ อย่าประมาทว่าเรามีธรรม
    ผมเคยประมาทมาก่อน เห็นธรรมชัดเจน พอประมาท หูตาที่เคยสว่าง มันก็มืดไป จำได้อยู่แต่ที่หัว แต่ใจมองไม่เห็น
    นั่น จิตตก พอจิตตก นี่มันตั้งไม่ได้นะครับ ตั้งปั๊บ ไปแว็บ

    ก็เล่าให้ฟัง ผมก็ไม่ได้อวดตัวนะ แต่เล่าเรื่องราวให้ฟัง
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    :)

    โดนเลย คุณฐานัฏฐ์แท้เลยนะนี้ ผมเผลอไปตัวเดียวโดนเข้าเต็มๆ

    ถูกหมดทุกบรรทัด โดนว่าทุกช๊อท แต่ดีครับ ชอบมากๆ

    ใครฝึกธรรมะนี้ อย่าเอาอัตตามาด้วยนะครับ ถ้าอยากตรวจ ก็ให้ ครู ที่เรา
    ศรัทธาเขาชี้ให้ ชี้แล้วก็รับไป ไม่ใช่ชี้แล้ว เศร้า หมอง เกลียด ดิ้นไปฝั่งตรง
    ข้ามอย่างกับเด็กประชด

    สิ่งนี่เรียกว่า การปวารณา ซึ่งสิ่งที่ ครู ชี้ ก็คือ ชี้ที่เรา ใครเป็นคนมีอัตตา แน่
    นอนตัวเรา ไม่ใช่ครู ถ้าเรามายอมน้อมตนให้เขาชี้ตักเตือน เสร็จแล้วไปเห็น
    ครูมีตัวตน มีอัตตา แล้วไปโกรธครู ก็เท่ากับ มีกริยาไม่สุจริต ต่อการรับปราวณา

    ว่าไปแล้ว การปวารณา นี้เป็นนิมิตเตือนพุทธภูมิของผมตัวแรกเลยนะนี้

    กราบขอบพระคุณคุณขันท์ครับ ตอนนี้เริ่มเข้าสู่การเจริฐภาวนาแล้วครับ
    คงไม่เน้นการอ่านเอาแต่สุตมัยปัญญาแล้ว แต่ก็แปลกๆอยู่ พอเริ่มปฏิบัติ
    รู้สึกว่าจะมีอะไรมากั้นๆ ไม่ให้ไป เหมือนจงใจให้ติดวังวน
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ท่าน เอกวีร์ครับ ท่านอย่าถ่อมตัวเลยครับ ท่านมีภูมิธรรมดีแล้ว
    เท่าที่ผมอ่าน ข้อความของท่าน ท่านก็มีเมตตา ท่านมีทาน อยู่แล้ว
    ที่ผมพูดนั้น คือ โดยทั่วไป
     
  14. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    รบกวนถามคำถามคุณขันธ์อีกทีครับ

    คือเคยอ่านเจอพระท่านว่า

    จิตจริงแท้นั้นไม่มีรูปร่างและไม่มีอาการมาหรืออาการไป ธรรมชาติเดิมแท้ของจิตนั้น เป็นสิ่งๆ หนึ่งซึ่งไม่มีการตั้งต้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตายแต่เป็นของสิ่งเดียวกันรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ในส่วนลึกจริงๆ ของมันทั้งหมด

    ไอ้คำว่า เป็นของสิ่งเดียวกันรวดนี่ มันหมายความว่ายังไงครับ
    มันนึกภาพไม่ออก
     
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    จุ๊ๆ ทั่วไปนี้แหละ ยังโดนอยู่เลย

    ยังแอบซื้อขนมมานั่งกินคนเดียวอยู่เลย ตระหนี่ถี่เหนียว

    พยาบาทนี้ ตามได้ทันมากขึ้น แต่เห็นอยู่ว่ามันไม่ได้หายไป

    ส่วนอีกตัวนี้ กามราคะ อันนี้เสร็จทุกทีที่ถูกทดสอบ แต่พึ่งเห็นว่า
    เริ่มปล่อยวางได้บ้างแล้ว

    รวมๆแล้วก็ดีขึ้นครับ เริ่มเห็นมันดับได้โดยไม่มีรำคาญ หรือเสียใจ หรือตื่นเต้น
    มันเริ่มราบเรียบ ไม่กระเพื่อม ไม่ถลำ

    ตอนคุณฐานัฏฐ์มาถามนี้ มีตัวหนึ่งมันเกิด อิจฉา กระมัง เลยเกิดอาการ
    อยากปฏิบัติ โลภกิน ฝึกทั้งวันเมื่อวาน แต่ฝึกด้วยกิเลส ก็เลยโดน โอนบุญ
    เจ้าสัญญาสังขารมันแหลมเข้ามาเล่นงาน กรรมเลย ก็เลยรู้เลิก ดูตัณหาที่
    เกิดแทน มันเลยหงอไป

    :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2008
  16. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ผมว่าเรื่องที่น่าทำกว่านี้ยังมีอีกคุณขันธ์ เมืองไทยพระพุทธศาสนาปะปน กับพุทธพิธีกรรม นี่ยังไม่รวมเรื่องนอกศาสนา ในสังคมไทยที่บอกตัวเองว่าเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนากลับเละตุ้มเป๊ะกิเลสตัณหา ผมเลยเฉยๆนะกับเรื่องโอนบุญ
    พอไปอ่านจริงๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องแผ่ส่วนบุญกุศล ทุกความดีเป็นบุญ ที่จริงเครื่องมือทุกอย่างมันก็มีสองด้านอยู่แล้ว แม้แต่บทสวดชิณบัญชร หรือทำสมาธิก็ตาม ใช้ผิดก็ไปสร้างอัตตา ว่าเราเก่ง เราปลอดภัย แต่เครื่องมือทางใจต่างก็เป็นแค่เครื่องมือที่ถึงเวลาใช้เสร็จก็ต้องปล่อยไป ผู้ต้องใช้ยังมี เพราะระดับปัญญาของผู้คนก็แตกต่างกันตามลำดับ อยู่ๆจะไปบอกให้ผู้คนฝึกสติปัฏฐานสี่ทีเดียวไม่ได้หรอก ต้องไปตามลำดับ ศีล สมาธิ ปัญญา

    เรื่องหลวงพ่อเกษม ผมอยากให้คุณทำใจเป็นกลาง แล้วกลับไปอ่านงานของท่านใหม่ ค่อยๆดูถึงเจตนา แรงขับดันของท่าน (รู้สึกตอนนี้ผมเห็นความเห็นคุณสรุปไปเองว่าแรงผลักดันของท่านมาจากความอยากดัง) ลองอ่านดูความเห็นท่านตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน หลังๆจะพบว่าท่านแสดงทัศนะลดลง การตอบเทียบเคียงพระธรรมในไตรปิฏกมากขึ้น โดยยกตัวอย่างในพระไตรปิฏกโดยตรง

    ผมยืนยันคำเดิมนะ ตัดสินคนอื่นไม่ง่ายอะ (ขอยกตัวอย่างเรื่ององคุลิมาล ฆ่าคนเป็นร้อยๆ จะฆ่าแม่ตัวเองด้วยซ้ำถ้าผมตอนนี้ไปเจอตอนที่ท่านเป็นโจร ผมต้องมองท่านเป็นโจรน่ากลัวแน่ๆ) เรื่องแบบนี้ต้องพิจารณาแยบคายทั้งฝั่งจิตตัวเอง และจิตอีกฝ่าย เห็นคุณบอกว่าคุณเคยไปพบท่าน จิตที่กระตุ้นคุณออกเดินทางคืออะไร

    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนมหาบพิตร ศีลถึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ก็ศีลนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้
    “ดูก่อนมหาบพิตร กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย ก็กำลังใจนั้น จะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้
    “ดูก่อนมหาบพิตร ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ก็ปัญญานั้น จะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้
    “คนผู้เกิดมาดี ไม่ควรไว้วางใจ เพราะผิวพรรณและรูปร่างไม่ควรไว้วางใจ เพราะการเห็นกันชั่วครู่เดียว เพราะว่านักบวชผู้ไม่สำรวมทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปในโลกนี้ ด้วยเครื่องบริขารของเหล่านักบวชผู้สำรวมดีแล้ว ประดุจกุณฑลดินและมาสกโลหะ หุ้มด้วยทองคำปลอมไว้ คนทั้งหลายไม่บริสุทธิ์ในภายใน งานแต่ภายนอก แวดล้อมด้วยบริวาร ท่องเที่ยงอยู่ในโลก”

    ชฏิลสูตรที่ ๑ ส. สํ. (๓๕๖)
    ตบ. ๑๕ : ๑๑๔ ตท. ๑๕ : ๑๑๓
    ตอ. K.S. I : ๑๐๕-๑๐๖
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ ไฟสถิตย์ ผมก็ไม่รู้จะบอกว่ายังไง แต่พระท่านนั้นคงเห็นจิตเดิมแล้ว

    การที่บอกว่ามันเป็นสิ่งเดียวกันรวดไป คือ พอมันไม่มีสมมติ นี่มันก็ดับไปว่า สิ่งนั้นคือ อะไรสิ่งนี้คืออะไร มันก็ไม่มีอะไรแตกแยกกัน จิตนี้ ตรึงไม่ไหว ไม่ต้องวิพากษ์อะไรอีก มันก็เป็นอย่างเดียวกันไป ทั้งหมด
    มันก็หยุดกาลเวลา หยุดดับ อะไรทั้งปวงไปนั่นแหละ แต่ไม่ไ้ด้หมายความว่าดับ กายดับจิตไปนะ

    ข้อนี้อธิบายให้ชัดไม่ได้จริงๆ ครับ แต่บอกอย่างเดียวว่านั่นแหละ พระนิพพาน ก็ ถ้าสัมปยุต ดับกิเลสทั้งปวง ปัญญามันก็ไม่ต้องมี สติมันก็ไม่ต้องมี เพราะมันไม่มีกิเลส ปัญญาผมยังไม่แจ้งพอที่จะอธิบายให้กระจ่างด้วยคำพูดได้ แต่ถ้ามันเห็น นี่มันเห็น แว็บเดียวนะในครั้งแรก ก็เรียกว่า โคตรภูญาณนั้นแหละ ถ้ายังมีกิเลส มันก็กลับมาปิดอีก แต่เห็นทีเดียวแล้ว รู้ไปเลย
     
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    พระพุทธองค์ อนุญาติให้ตรวจสอบความเป็นพุทธะ

    พระพุทธเจ้ารับสั่งให้สงห์ตรวจสอบความเป็นพุทธว่าพระองค์เป็นพุทธะจริงโดยตลอดหรือไม่
    "พึงตรวจสอบตถาคต เพื่อจะได้รู้แน่ว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะจริงหรือไม่"
    ม. มู 12/487/431 วีมังสกสูตร

    ในวันอุโสสถ พระองค์ทรงปวารณาต่อสงฆ์ว่า

    "ขอปวารณาท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะไม่ติเตียนกรรมไรๆ ทางกาย
    วาจาของตถาคตบ้างเลยเชียวหรือ"
    สํ ส. 15/215/230 ปวารณาสูตร

    ทำไมพระพุทธองค์ถึงได้กล่าวเช่นนั้น

    ก็เพราะการอยู่ในบริษัท เป็นการอยู่ในสังคม การคงความสมัครสมานสามัคคี
    ให้เกิดในสังคม ชนในกลุ่มนั้นย่อมต้องเคารพซึ่งกันและกัน สมารถตักเตือนกัน
    และกันได้ โดยไม่มีการแบ่งเขาแบ่งเรา แบ่งท่านรู้ คนอื่นไม่รู้ แต่ถ้ามีผู้ไม่รู้
    ประชุมอยู่ด้วยในสังคมแล้ว ก็ต้องเปิดให้เขาตักเตือนสงสัยได้ ไม่ใช่ปิดกั้น ไม่
    ใช่ก่อกำแพง แบ่งแยก จะทำให้ความสามัคคีในบริษัทสั่นคลอน

    พระพุทธองค์แม้จะประเสริฐ ก็ไม่ละเมิดพระวินัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2008
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จริงๆ ท่าน หลับตา ก็ยกมาถูกแล้วนี่
    นั่นแหละ ยกไปทาง โน้น ไม่ใช่ทางนี้

    ทีนี้ ท่านหลับตาก็ควรจะลืมตาก่อน เปลี่ยนชื่อก็ได้ เป็น ลืมตา

    ส่วนเรื่องอื่น เราจะไปยก ปุถุชน หรือ คนทั่วไป ที่เขามีกิเลสตัณหามาเทียบไม่ได้หรอก เพราะนี่หลวงพ่อเขา้เป็นพระ และ เขาก็อาศัย บารมีพระพุทธเจ้า มาตู่ว่า ธรรมตนเองเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า
    คนก็แห่ไป จริงๆ แล้วมีอีกมากมายนะ ผมขี้เกียจสาธยายแล้วแหละครับ
     
  20. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    ขอบคุณครับคุณขันธ์ คงต้องไปเห็นด้วยตาตนเองจึงจะเข้าใจเป็นแน่แท้
    พอดีกำลังฝึกดูจิตอยู่ไปเห็นเรื่องจิคคือพุทธะ http://www.se-ed.net/platongtum/a_dul/jit.html
    ก็เลยอ่านดู เผื่อจะเข้าใจ อ่านไปอ่านมา มันยิ่งใหญ่เกินที่จะเห็นได้ในตอนนี้
    แต่ก็ได้ประโยชน์กลับมาหลายอยู่

    ผมมันประเภทความรู้น้อย ยังไม่ค่อยมีกุศลจะแบ่งให้ใคร ตอนนี้ได้แต่เอาอย่างเดียว ฮ่าฮ่า ;)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...