ทำยังไงจะชนะอารมณ์กามราคะที่เกิดขึ้นคะ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ChiChi_jaruwee, 24 กันยายน 2016.

  1. ChiChi_jaruwee

    ChiChi_jaruwee สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2016
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +2
    รบกวนขอความเห็น ชี้แนะ เตือนสติ ให้ข้อมูล หรือสุดแท้แต่จะตัดสิน
    ดิฉันเป็นสาววัยทำงาน ไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อน เคยมีแฟนแต่ดิฉันก็วางตัวดีอยู่ตลอด ถึงแม้จิตใจจะคิดทะลึ่งอยู่บางครั้งแต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหา เมื่อดิฉันสามารถบังคับร่างกายและจิตใจตัวเองได้ รวมทั้งการได้อยู่กับแฟนนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีเรื่องราวดีๆเกิดขึ้นเสมอ ไม่ได้นำพากันไปในทางเสื่อมเสียแต่อย่างใด



    เรื่องของเรื่องก็คือดิฉันได้พูดคุยกับชาวต่างชาติท่านหนึ่งในโลกออนไลน์ ได้ประมาณ1เดือนแล้วค่ะ ด้วยความรู้สึกว่าอยากฝึกภาษาอังกฤษด้วย และคนนี้ภาษาอังกฤษของเขาอยู่ในระดับสูงทีเดียว หรืออาจสูงกว่าดิฉันแน่ๆ ดิฉันก็พอจะดูออกนะคะว่าเขาไม่ได้จริงจังหรือสนใจถามไถ่เรื่องราวในชีวิตสักเท่าไร อันที่จริงดิฉันพยายามชวนเขาคุยเรื่องราวชีวิต สิ่งต่างๆที่พบเจอ เพราะอยากฝึกภาษา และอีกใจก็คิดว่าเขามีเสน่ห์อยู่เหมือนกัน แต่ระยะห่างระหว่างเรามันช่างห่างไกลเหลือเกิน และไม่มีแพลนว่าเราต่างจะขยับย้ายหรือจะเข้ามาใกล้กันในชีวิตจริงเลยด้วย เขาออกจะเป็นคน (น่าจะคบได้) ในชีวิตจริงค่ะ ดูเป็นคนฉลาดพูด แต่เจ้าเล่ห์และดูเหมือนหลอกฟัน แต่ด้วยความทิ่ดิฉันคิดว่าห่างไกลกันขนาดนี้ ดิฉันสามารถควบคุมการส่งผ่านตัวอักษรของดิฉันได้อยู่แล้วแน่นอน จึงคุยต่อมาเรื่อยๆ และคิดว่าการพูดตรงๆจะทำให้เขาหยุดทะลึ่งกับดิฉัน (ไม่ได้ถึงกับเข้าขั้นลามกแต่อย่างใด) แต่ในที่สุดเมื่อคืนดิฉันก็แพ้กิเลสกามราคะจนได้




    ใจหนึ่งก็คิดไปว่า เกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่น่าจะผิดที่จะลองลิ้มรสกามตัณหาดูสักครั้งว่ามันรสชาติหอมหวานเพียงไร ไม่มีใครผิด ไม่มีใครเสียหาย ดิฉันยังไม่ได้ทำจริงๆด้วยซ้ำ เพียงแต่เป็นการ chat กันเท่านั้น



    แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ดีว่าหากมีครั้งนี้จะนำมาซึ่งครั้งต่อๆไป และอาจเป็นปัญหาในการมองโลก รวมถึงความศรัทธาในความดีของตัวดิฉันเองด้วย แต่ดิฉันก็ไม่อาจต้านทานอำนาจราคะได้ ดิฉันได้ตามน้ำ และโหมไฟลงไปในกองเพลิงที่เขาจุดขึ้น จนท้ายที่สุดดิฉันก็คิดว่า ก็ลองให้มันรู้ไปสักครั้ง ไม่มีใครเสียหายอะไร จริงๆเสียด้วย เมื่อไฟติดแล้วก็ห้ามที่จะไม่ให้ลามได้ยาก ดิฉันมีสติ สลับกับขาดสติในบางช่วง ดิฉันรู้ว่าถ้าหากหยุดแชท หยุดคิด และหยุดทำ มันจะนำพาดิฉันไปยังจิตที่สว่างสไวกว่านี้มากนัก แต่ดิฉันก็ไมอาจต้านทานข้ออ้างส่วนลึกเพียงเพราะอยากลิ้มลองในกามเสียไม่ได้ เหตุผลที่ดีต่างๆกลับเสียงเบาลง เบาลง และหายไปในที่สุด มีก็แต่ผัสสะทางสายตาที่จ้องมองข้อความเหล่านั้น … ปล่อยใจไปตามอารมณ์และตอบสนองเขาเช่นเดียวกัน




    ดิฉันรู้ดีแก่ใจว่านั่นมิใช่ความสุขที่แท้จริง ความสุขนั้นเป็นเพียงความสุขเพียงชั่วครู่ ที่จะหายไปในอีกไม่นาน เกิดและดับวนอยู่อย่างนั้น บางครั้งดิฉันเกิดรังเกียจและเกลียดการกระทำของตัวเองเมื่อคืนเสียมากๆ บางครั้งดิฉันก็คิดว่า “เราต่าง win win ทั้งคู่” และดิฉันคิดว่าไม่ได้เกิดความรู้สึก “รัก” หรือ “หลง” ในตัวฝ่ายชายแต่อย่างใด แต่ทั้งหมดนั่นเพียงเพราะอยากลิ้มรสกาม เท่านั้น ดิฉันรู้ว่าแค่กด Block ไปปัญหาทุกอย่างก็จบ แต่ในใจดิฉันมันไม่จบน่ะสิคะ เพราะเราต่างก็ใช้เวลาแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆในชีวิตมาเป็นช่วงเวลาหนึ่ง และดิฉันก็ไม่ได้อยากให้เขาโกรธแค้นหรือโกรธเคืองดิฉันด้วย




    ทำอย่างไรดีคะถึงจะทิ้งกิเลสความอยากได้อยากลองอยากลิ้มรสในกามราคะครั้งแล้วครั้งเล่านี้ไปได้ รู้สึกกลัว และแย่กับตัวเองมากๆเลยค่ะ ที่ไม่สามารถเอาชนะใจตัวเอง ไม่สามารถเอาชนะกิเลสได้ เหมือนรู้สึกพ่ายแพ้ยับเยินต่อความชั่ว เหมือนตัวเองกำลังดึงตัวเองลงสู่เหวนรก (เปรียบเทียบเฉยๆนะคะ) คือรู้สึกว่านี่เราเป็นคนดีจริงๆหรือเปล่า เราเป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆหรือเปล่า สับสนและรู้สึกแย่มากค่ะ ช่วยด้วยค่ะ เราจะสามารถหลุดออกจากความต้องการเรื่องอย่างว่าได้จริงหรือเปล่าคะ ทำยังไงถึงจะตามจิตใจตัวเองได้ทันท่วงที
     
  2. Unborn

    Unborn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +9
    หลายคนเห็นสิ่งที่จิตมันคิดไปทางอกุศลแล้วไปปรุงต่อเป็นความไม่ชอบ ยึดอารมณ์จนปรุงต่อเป็นความเศร้าหมอง แต่... นี่คือแบบฝึกหัดชั้นดี อันดับแรกต้องยอมรับด้วยใจกลางๆให้ได้ว่า เราคือคนธรรมดา จิตย่อมเกิดกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เป็นเรื่องปกติ ไหลไปให้รู้ว่าไหลไป พลาดไปก็ช่าง

    จิตไม่ใช่เรา มันจะคิดดีคิดชั่วก็ปล่อยมันไป ทำตัวเป็นผู้ดูที่ดี ดูว่าจิตมันจะแสดงอะไรให้เราดู ดูแล้วก็จบไป แค่คอยระวังอย่าให้ความคิดมันล้นไปจนเกิดการก่อกรรมต่อตัวเองและผู้อื่น ช่วงแรกย่อมทำยาก เพราะเรายังไร้กำลัง คอยจะไหล ถลำตามไปรวมกับความคิด กับอารมณ์ แต่นั่นก็เรื่องปกติ

    (ช่วงแรกลองดูอาการมันระหว่างใจที่เฉยๆ กับใจที่แว่บไปคิดเรื่องกามราคะ แล้วพอมันแว่บไปคิด ก็รู้ทันว่ามันแว่บไปคิด รู้แล้วจบ ไม่ต้องไปคอยเพ่งว่ามันจะแว่บรึป่าว)

    เราจะเห็นได้เองว่าจิตมันปรุงเอง เด่วมันก็ดับเอง ตราบเท่าที่เราไม่เอาตนไปปรุงต่อ ประมานเหมือนไม้ขีดถูกจุดขึ้นมา ถ้าเราไม่เอาไปจุดอะไรต่อ เด่วมันจะดับไปเอง (ถ้าดูเฉยๆได้จะเห็นเลย)

    เราจะเห็นธรรมชาติของมันว่ามันบังคับไม่ได้ (ตลอดเวลา) มันแปรเปลี่ยน มันชอบไหลลงที่ต่ำ มันชอบวิ่งออกไปหาเรื่องให้เราทุกข์ และมันไม่ใช่เรา ดูจนเกิดอาการ อ๋อ จนรู้เท่าทันอาการของจิต รู้แล้วปล่อยๆ เด่วความคิดเรื่องกามหรือเรื่องที่เราติดจะค่อยๆบรรเทาเอง

    การเอาสมาธิสมถะไปข่ม ช่วยได้ในระดับนึง แต่ยิ่งกด ยิ่งห้าม มันเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ แก้ได้ชั่วคราว ยังไงมันจะปะทุขึ้นมาในวันนึง แต่การรู้เท่าทันในอาการจิต รู้เฉยๆ ไม่ห้าม ไม่ตาม จะเป็นต้นทางในการวางอย่างถาวร
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ปรารภมาเยอะ

    จริงๆ เอาแค่การปรารภ ก้จะถือว่า
    เปนอริยะ แล้ว ตามอำนาจแห่งธรรม

    เพียงแต่ว่า เปนเพียงแนวโน้ม ยังไม่ปรากฏเปนมรรคผล

    ดังนั้น ถ้ามาปรารภเพื่อ ฝันฝ่าต่อ รู้ลำพังตนอยู่
    แล้ว ไม่ต้องฟังจากใครอีก ก้แค่รู้ตน ความโน้มไป
    ความสัททา พิจารณา อินทรีย และพละ ตามที่มี
    อยู่ไปนั่นแหละ มีพอตัวแล้ว

    ถ้าไม่พ้น ชาติหน้า น่าจะเกิดเปน เพสชาย แล้วออกบวชได้สะดวก

    ถ้าฟังถตรงนี้ แล้วจิตมันถอยออกจากโลก ออกจากหน้าจอ การอ่าน การรับฟังจากภายนอก
    ก้ให้ฉลาดในจิต ที่กำลังปรากฏ แล้วเหนความไม่เที่ยง อนัตตา ของจิตที่สงบสงัดนั้น ซะ



    *******

    ถ้าไม่เกิดการถอย ไปตั้งมั่น ก้ฟังปริยัตต่อ

    สิ่งที่คุณกังวล ก้เหมือนพระอานนท์ ตอนที่
    พระพุทธทรงปลงสังขาร

    โลกกำลังสูญสิ้นผู้ช่วยสอดส่องดูแล เหลือแต่นัก
    ภาวนา นักรบ รบโดยลำพัง หากต้องไปเกี่ยวข้อง
    กับเพศตรงข้ามทำไง

    ลองไปอ่านพระสูตรแท้ๆ ดูก่อน อ่านต่อ

    .......
    .......

    จัเหนว่า ไม่มีการบอกกรรมฐานอะไรมาแก้ ทั้งนั้น

    หนี ไม่คุยด้วย เปนสิ่งที่ควรที่สุด

    และสิ่งที่ทำร้ายจิต ไม่ใช่รูป ไม่ใช่เสน่ห์

    มันเปน "อาการพอใจในดำริ" ของมันตื้นๆแค่นี้

    แต่ทว่า การถอนความพอใจในดำริ ไม่ใช่สังโยชน์พื้นๆ ที่จะไปถอนมันได้

    ยิ่งเปนสาวก ยิ่งเหนว่า ความพอใจในดำริ เปนสิ่ง
    ที่ทำให้เกิด ปฏิปทา เพราะยากที่จะยอมรับ ปฏิปทาใดๆ ก้เปนของไม่เที่ยง เปนอนัตตา

    ที่นี้ มันมีแต่เรื่อง เพียรปรารภ ก้ถือว่าเปนอริยะ

    ซึ่งจะกล่าวอะไรไป มันก้ตื้นไป สำหรับเจ้าของกระทู้

    เพราะเพียรถูกทางแล้ว แต่คราวหลังไม่ต้องประกาศแบบนี้อีก ควรหาคนที่น่าสัททา แล้ว
    ปรึกษากันเงียบๆ พอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2016
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ธรรม 15 อย่างสำหรับบ่มอินทรีย์
    กระทู้ข่าว
    ปฏิบัติธรรมมหาสติปัฏฐาน 4
    ในพระสูตรนั้น คำว่า บ่มวิมุตติ มีวิเคราะห์ว่า ที่ชื่อว่า
    บ่มวิมุตติ ก็เพราะทำวิมุตติให้สุกงอม. คำว่า ธรรม ได้แก่ ธรรม
    ๑๕ อย่าง. ธรรมเหล่านั้น พึงทราบด้วยอำนาจแห่งของความหมดจดแห่ง
    อินทรีย์มีความเชื่อเป็นต้น . สมจริง ดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า

    (๑) อินทรีย์คือความเธอย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ อย่างเหล่านี้ คือ
    ก. เว้นบุคคลผู้ไม่มีความเชื่อ.
    ข. เสพ คบ เข้านั่งใกล้ บุคคลผู้มีความเชื่อ.
    ค. พิจารณาสูตรที่เป็นเหตุให้เกิดความเลื่อมใส.

    (๒) อินทรีย์คือความเพียรย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ อย่างเหล่านี้ คือ
    ก. เว้นบุคคลเกียจคร้าน.
    ข. เสพ คบ เข้านั่งใกล้บุคคลผู้ปรารภความเพียร.
    ค. พิจารณาถึงความเพียรชอบ.

    (๓) อินทรีย์คือความระลึกย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ อย่างเหล่านั้น คือ
    ก. เว้นบุคคลผู้หลงลืมสติ.
    ข. เสพ คบ เข้านั่งใกล้บุคคลผู้ตั้งสติมั่น.
    ค. พิจารณาหลักการตั้งสติ (สติปัฏฐาน).

    (๔) อินทรีย์คือความตั้งใจมั่นย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ อย่างเหล่านั้น คือ

    ก. เว้นบุคคลผู้ไม่ตั้งใจมั่น.
    ข. เสพ คบ เข้านั่งใกล้บุคคลผู้ตั้งใจมั่น.
    ค. พิจารณาฌานและวิโมกข์.

    (๕) อินทรีย์คือความรู้ชัดย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ อย่างเหล่านี้ คือ

    ก. เว้นบุคคลผู้มีปัญญาทราม.
    ข. เสพ คบ เข้านั่งใกล้บุคคลผู้มีปัญญา.
    ค. พิจารณาญาณจริยาที่ลึกซึ้ง.

    เมื่อเว้นบุคคล ๕ พวก เสพ คบ เข้านั่งใกล้บุคคล ๕ พวก พิจารณา
    กองสูตร ๕ กองเหล่านี้ ดังว่ามานี้ ด้วยอาการ ๑๕ อย่างเหล่านี้ อินทรีย์ทั้ง
    ๕ อย่างก็ย่อมหมดจด.

    ยังมีธรรมสำหรับ บ่มวิมุตติอีก ๑๕ อย่างคือ อินทรีย์
    มีความเธอเป็นต้น เหล่านั้น ๕ อย่าง ความสำคัญอันเป็นส่วนแห่งการแทงตลอด
    (นิพเพธภาคิยสัญญา) ๕ อย่างเหล่านี้คือ ความสำคัญว่าไม่เที่ยง ความสำคัญว่า
    เป็นทุกข์ในสิ่งที่ไม่เที่ยง ความสำคัญว่าไม่ใช่ตัวตนในสิ่งที่เป็นทุกข์ ความ
    สำคัญในการละ ความสำคัญในวิราคะ และธรรมอีก ๕ อย่างมีความเป็น
    ผู้มีมิตรดีงาม เป็นต้น ที่ตรัสแก้พระเมฆิยเถระ.

    ที่มา : อรรถกถาราหุโลวาทสูตร
    ( พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 483 )
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    โพสที่ 4 เอามาจาก พันทิป

    ตอนแรกว่าจะไม่ตอบ แต่พอไปพันทิป
    เหนกระทู้ใหม่เขาแสดงอยู่

    และ เหมาะสมแก่ คำถาม ง่ายต่อการวิเคราะห์

    ถึง วิถีจิต ว่า วางผิดตรงไหน
     
  6. ChiChi_jaruwee

    ChiChi_jaruwee สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2016
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +2



    ขอบพระคุณในคำตอบมากค่ะ ดิฉันพอจะเข้าใจแล้ว และคงไปศึกษาต่อให้กระจ่างมากกว่านี่ภายหลัง
    แต่แหม ถ้าดิฉันไม่ได้มาตั้งกระทู้ถามที่นี่ คงไม่ได้พบคำตอบที่ชี้ทางสว่างแห่งปัญญาแบบนี่น่ะสิคะ
     
  7. ChiChi_jaruwee

    ChiChi_jaruwee สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2016
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +2





    ขอบพระคุณมากๆค่ะ
    เข้าใจง่ายมากๆ
    แต่ขอเรียนถามอีกนิดว่า ที่คุณบอกว่า จิตมันไม่ใช่ของเรา นี่มันอย่างไรคะ
    ทำไมมันถึงไม่ใช่ของเรา
    เพราะว่าเราบังคับมันไม่ได้ใช่ไหมคะ

    ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา (ถึงแม้ว่ายังไม่ถึงวัยกลางคน)
    ดิฉันก็พยายามตามให้เท่าทันจิตอยู่ตลอด
    ย่อหน้าสุดท้ายที่คุณชี้แนะ ดิฉันค่อนข้างเข้าใจเลยค่ะ
    เว้นแต่ว่ายังปฏิบัติไม่ได้ทุกครั้งไป


    ขอบคุณมากค่ะ
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เน้นนะว่า

    ควรหาสัปปายะ แล้วปรารภปัญหา


    ถ้า.คุยกับใครไปทั่ว. ไม่เลือกหน้า

    และยังไม่เข้าใจ. อาการ. เพลินพอใจในจิตที่มันทำกิจดำริ

    ต่อให้เสวนาธรรม


    อาการ. จ๊ะจ๋า. จะปรากฏ. ล้มประดาตาย. ตรงกระทู้นี่

    ส่วนเรื่องอืนๆที่ตามมา. มันแค่ วิบากกรรม


    ขออนุญาติ หนี ไม่ขอเสวนาใดๆ ด้วยอีก
     
  9. Unborn

    Unborn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +9
    ยกตัวอย่าง เช่น ตอนเราจะนอน เคยมั้ยที่จิตมันคิดฟุ้งซ่านเรื่องนู้นนี้ไม่หยุด ทั้งที่เราต้องการจะหลับ

    อีกตัวอย่าง อยู่ดีๆ จิตก็ร้องเพลงขึ้นมาเอง โดยที่เราไม่ได้อยากจะร้องเพลงขึ้นมาเลย

    หรือเรากำลังทำอะไรซักอย่างอยู่ เรา 'เห็น' ว่าจิตมันกำลังคิด แต่ไม่รู้ว่ามันคิดอะไร

    การที่เรา 'เห็น' มันแยกออกไปอย่างนี้ มันจะรู้ได้เองว่ามันไม่ใช่เรา เพราะมันถูกเห็นนั่นเอง ผู้ดู กับ สิ่งที่ถูกดู งงมั้ย

    จากประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเอง ก็เคย 'พยายาม' จะรู้ให้ทันตลอดเวลา แต่กลับกลายเป็นการประคองหม้อน้ำร้อนไว้บนหัวตลอดเวลา ผลคือจิตอยู่นิ่งๆ เวลากระทบก็เฉยๆไปหมด กลายเป็นไม่ธรรมชาติไป

    จนได้มีอาจารย์ที่เคารพท่านนึงชี้แนะว่าให้กล้าๆหน่อย ออกมากระทบอารมณ์ไปตามธรรมชาติ จะได้เห็นธรรมชาติส่วนนึงของจิตที่มันแปรปรวน และอีกส่วนที่มันมีความปกติของมันอยู่แล้ว เห็นจนเกิดความรู้สึกว่ามันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น รู้ไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปคอยดู คอยระวัง สบายๆ ^^
     
  10. เงาเทวดา

    เงาเทวดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +314
    ทำยังไงจะชนะอารมณ์กามราคะที่เกิดขึ้นคะ?
    ตอบว่า ไม่ต้องเอาชนะ มีกินก็กินไป เวลาจะพาให้จิตใจตนแข็งแกร่งได้เอง ถึงตอนนั้น ถึงอยากจะกินก็กินไม่ลงจ้า....

    ถ้าขาดกาม แม่ทรามชื่น ไม่ได้เกิด
    ทั้งประเสริฐ เลวร้าย เรื่องชั้นจิต
    กามมีคุณ เลี้ยงสรรค์ นี่ควรคิด
    ติดไม่ติด โสดาบัน ท่านมีกิน

    แปลว่า... ในเบื้องต้น อยากรับประทานก็ทานไป เอาไว้หลังจากได้เป็นพระโสดาบัน ค่อยมาคิดใหม่ นั่นคือเรื่องนี้ไม่ขวางทางการเป็นพระโสดาบัน ขยายความว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต” ดังนี้แล....
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    การตั้งใจหรือพยายามละทิ้งกิเลสหรือความอยากลิ้มรสในกามราคะ
    ไม่ใช่ว่าไม่ดีครับ แต่ว่ามันจะเป็นการปิดกั้นตัวเราเอง ก็คือปิดกั้นใจเราได้ครับ
    เพราะว่ายังไงตัวจิตเรามันก็ยังเกิดขึ้นได้หรือจิตกระเพื่อม
    ลองเอามือวางบริเวณลิ้นปี่ตรงกลางหน้าอกดูนะครับ
    เวลาที่เราคิดเรื่องนี้ กิริยาตรงนั้นหละครับคือจิตมันเกิดอยู่
    หรือที่เรียกว่าจิตกระเพื่อมครับ ซึ่งมันจะส่งผลให้เราคิด
    ในเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในศรีษะของเราครับ

    ให้เปลี่ยนมาเป็นการสร้างสติทางธรรม ด้วยการเจริญสติในชีวิต
    ประจำวันให้ต่อเนื่องแทนครับ จะด้วยวิธีการอะไรก็ได้ ขอให้มีฐาน
    อยู่ที่กายของเราครับ จะเดินนับจำนวนก้าวเวลาไปห้องน้ำ ไปรัปประทานอาหาร
    ไปขึ้นรถ ไปโน้นไปนี้ หรือเวลาอยู่นิ่งๆจะนับนิ้วไปเล่นๆเป็นเซทๆ
    หรือถ้านิ่งๆอยู่ จะทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมหายใจเข้าหยุดที่ปลายจมูก
    แต่หายใจให้ลึกถึงท้องจนท้องพองโดยไม่ต้องตามลม และเวลาหายใจออกทำความ
    รู้สึกรับรู้ว่ามีลมหายใจออกหยุดที่ปลายจมูกและท้องแฟ้บ..
    ทำทั้ง ๓ นี้ตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อม ทำให้มันต่อเนื่อง...

    มันถึงจะสร้างตัวสติทางธรรมขึ้นมาได้ครับ ตัวสติทางธรรมนี่หละครับ
    ที่จะทำให้เราไปรู้เท่าทันได้ก่อนครับ พูดง่ายๆรู้ทันความคิดนั่นหละครับ
    แต่พอรู้ทันแล้ว ให้เรามาดูก่อนว่า จิตเรามันหายกระเพื่อมไหม
    ยังเกิดอยู่แค่นิดเดียวก็ไม่ได้นะครับ และถ้าไม่หาย
    เราก็กำหนดดับมันซะ หรือเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นๆ หรือไม่ก็มาเจริญสติต่อครับ

    ทันปุ๊บดับปั๊บ เปลี่ยนเรื่องบ่อยๆ เจริญสติบ่อยๆ เรื่องกิเลสความอยากลิ้มรสกามราคะ
    มันก็จะอ่อนกำลังลงไปเอง เมื่อมันอ่อนกำลังลงไป มันก็ไม่มีกำลังพอที่เกิดขึ้นมาอีก
    ได้ของมันเองครับ ยังไม่ต้องไปสนใจว่าจะเดินปัญญาโน้นนี่นั้นอะไรครับ
    หรือไปสนใจว่า จะต้องตามไปดูไปรู้ หรือไม่ปรุงร่วมอะไรกับมัน ณ เวลานี้ครับ
    เราใช้เฉพาะกำลังสติทางธรรมให้รู้ทันความคิดก่อน จนกระทั่งว่า ตัวจิตมันคลาย
    มันละ ความคิดเรื่องนี้ได้ก่อนครับ เพราะไม่งั้นถ้าไปทางทฤษฎีก่อนโดยที่
    กำลังสติทางธรรมยังไม่มากพอ ที่จะแยกความคิดตรงนี้ออกจากจิตได้

    มันจะกลายเป็นว่ามันแก้ปัญหาไม่ได้จริง จะเป็นเพียงความรู้ทางสมมุติ
    ถึงถูกในระดับหนึ่ง เป็นปัญญาทางโลก ที่ไม่ได้แก้ปัญหาจริงๆ
    เด่วพอกำลังสติไม่ต่อเนื่อง เรื่องกิเลสพวกนี้ก็จะกลับมาได้อีกครับ
    ให้เจริญสติไป จนกระทั่งจิตมันละ มันคลาย ความคิดพวกนี้ไปเองนะครับ
    จนกระทั่งอีกซักพัก จิตมันจะเป็นกลางของมันได้เอง ณ เวลาปัจจุบันนั้น
    พอมันเป็นกลางได้ เด่วกำลังสติจะทำหน้าที่ ควบคุมตัวจิตให้ได้รู้ ได้เห็น
    ได้เข้าใจอะไรๆของมันได้เองครับ..และถ้าจิตคลายได้ จิตมันจะทิ้งเรื่องนี้ได้เลย
    กิริยาที่มันคลายได้ ณ เวลานั้น ตรงกลางลิ้นปี่หรือหน้าอก เราจะรู้สึกโล่งๆ
    เบาๆสบายๆ คล้ายตอนเราไปทำบุญนั้นหละครับ

    และเรื่องอะไรถ้าจิตมันคลาย
    ได้จริง ต่อให้เราพยายามนึก พยายามคิด มันก็จะนึกจะคิดไม่ออกครับ
    ปล.ประมาณนี้ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะครับ (^_^)..
     
  12. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ผมก็มีอาการแบบคุณเลยครับ วิธีแก้ผมก็ไม่รู้เพราะปฏิบัติธรรมไม่เป็น ที่ผมทำก็คือ นึกถึงศีลข้อ 3 ครับ กับนึกถึงผล หรือโทษที่มันจะเกิดตามมาเนื่องจากการกระทำของเรา ว่ามันจะทำให้เราเป็นอย่างไร ๆ ได้บ้าง
    จะเป็นยังไงถ้าอนาคตเรามีครอบครัว มีลูก อนาคตเราจะสอนให้เขาเป็นคนดีได้อย่างสนิทใจหรือเปล่า เมื่อเราเคยทำเรื่องที่ไม่ดีมาเหมือนกัน ฯลฯ

    พลาดครั้งเดียว บางที อาจทำให้เราลงนรกได้เลยนะ หรือไม่ก็กลายเป็นว่าครั้งเดียวไม่พอ ก็ลองชั่งใจดูเอาครับ

    คนที่ยังไม่ถึงขั้นอริยะ เขา สามารถรักษาพรหมจรรย์ได้เพราะยึดมั่นในศีลนี่แหละครับ และสิ่งที่จะสิ่งเสริมการรักษาศีลก็คือ หลีกเลี่ยง สิ่งที่กระตุ้นให้เราไปคิดเรื่องพรรค์นั้นนะแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2016
  13. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425
    ใครที่พูดว่า จะแก้ราคะ โดยไม่ใช้กรรมฐาน จขกท. อย่าไปหลงเชื่อ

    ผู้ที่กล่าวแบบนั้นแปลว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติเลย เอาแต่อ่านอย่างเดียว แล้วก็คิดฟุ้งซ่านไป

    ถ้าราคะไม่แก้ด้วยกรรมฐาน พระพุทธเจ้า จะบอกกรรมฐานที่จะแก้จริตทั้ง 6 ทำไม



    ถ้า จขกท. สนใจจะแก้ราคะ ก็ลองไปหาฟัง กรรมฐานที่แก้ ราคะจริตดู

    หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านแนะนำ วิธีแก้ราคะจริต ไว้ว่า

    ให้แก้ด้วย กายคตานุสติกรรมฐาน และอสุภกรรมฐาน และพร้อมพิจารณาใน ความไม่เที่ยง ความทุกข์ และการต้องสลายตัวไปของร่างกายนี้



    กายคตานุสติกรรมฐาน คือ การดูความสกปรกของร่างกายที่เราอาศัยอยู่นี้ และร่างกายที่ผู้อื่นอาศัย

    ว่าร่างกายนี้สกปรกไหม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง สกปรกไหม ถ้ามันสะอาดก็คงไม่ต้องอาบน้ำ ที่ต้องอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ก็เพราะร่างกายนี้มันสกปรก

    เวลาฉี่ เวลาขี้ เหม็นไหม สกปรกไหม ก็ตอบว่าเหม็น สกปรก น่ารังเกียจ

    แล้วสิ่งเหล่านี้ออกมาจากไหน ก็ออกมาจากร่างกายนี้ ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความสกปรก โสโครก

    แล้วร่างกายนี้ก็ไม่ใช่แท่งทึบ มีทั้งกระโหลก ตับ ไต ไส้ ปอด น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง สิ่งเหล่านี้เป็นของสกปรกและน่ารังเกียจทั้งสิ้น

    ร่างกายเราสกปรกแบบนี้ แล้วร่างกายของผู้อื่นก็สกปรกเหมือนกัน

    แม้แต่ชาย หรือหญิง สัตว์ และวัตถุ ก็ไม่มีอะไรสะอาด

    ในเมื่อร่างกายเรา และร่างกายเขามันสกปรก และน่ารังเกียจ แล้วเรายังจะปรารถนาอยู่ไหม



    อสุภกรรมฐาน คือ การไปดูซากศพ

    ท่านจะไปดูรูปในเว็ปเริ่มต้นไปก่อนก็ได้ มีเยอะ

    เวลาร่างกายพัง เป็นศพ แล้วมีความสวยงามไหม

    ต่อให้เป็นคนรักกันแค่ไหน เมื่อร่างกายพังเป็นศพ ก็ไม่มีใครต้องการ

    ท่านให้พิจารณาดูซากศพ ที่ตายมา 1 วัน 2 วัน 3 วัน จนถึงซากศพเป็นโครงกระดูก

    ซากศพ ไม่มีความสวยงาม เป็นที่น่ารังเกียจ เมื่อร่างกายที่เราอาศัยอยู่พัง ก็เป็นแบบนั้นหมด

    ต่อให้เป็นคนหล่อ คนสวยแค่ไหน เมื่อตายก็เป็นซากศพเหมือนกันหมด ไม่มีความสวยงามเลย มีแต่ความน่ารังเกียจ และเรายังปรารถนาอยู่อีกหรือ



    จากนั้นท่านก็ให้พิจารณาในความไม่เที่ยง ของร่างกาย ถ้าร่างกายเที่ยง เกิดมาก็ต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลง

    เกิดมาก็ต้องเป็นหนุ่มเป็นสาวเลย และไม่มีวันแก่ ไม่มีวันตาย

    แต่นี่เกิดมาก็เป็นทารก ความเป็นทารกก็ไม่เที่ยง จึงกลายเป็นเด็ก

    ความเป็นเด็กก็ไม่เที่ยง จึงกลายเป็นหนุ่มสาว

    ความเป็นหนุ่มสาวก็ไม่เที่ยง จึงกลายเป็นวัยกลางคน

    ความเป็นวัยกลางคนก็ไม่เที่ยง จึงกลายเป็นคนแก่

    ความเป็นคนแก่ก็ไม่เที่ยง แล้วก็ตาย ร่างกายพังสลายตัวไปในที่สุด



    ร่างกายนี้ไม่เที่ยง ร่างกายนี้สกปรก ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์

    หิวก็ทุกข์ ปวดขี้ก็ทุกข์ ร้อนก็ทุกข์ หนาวก็ทุกข์ ป่วยก็ทุกข์ ร่างกายจะพังก็ทุกข์

    และสุดท้ายร่างกายนี้ก็พัง และสลายตัวไปในที่สุด



    เมื่อร่างกายนี้พัง เราก็ต้องออกจากกายนี้ เพราะร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกายนี้ กายนี้ไม่มีในเรา

    ร่างกายนี้เป็นเพียงบ้านเช่า ที่เรามาอาศัยแต่เพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง

    ในเมื่อร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา และเราคือใคร

    เราคือจิต คือธาตุรู้ ที่เรียกว่าอทิสมานกาย เป็นเพียงอากาศและลม ที่มาอาศัยในร่างกายนี้แค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง

    ในเมื่อร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แล้วจะมีอะไรที่เป็นของเรา พ่อแม่พี่น้อง คนรัก ลูกหลาน เมื่อร่างกายพัง ก็ต้องพรัดพรากจากกันในที่สุด



    ดังนั้นเราจะขอเกิดเป็นชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ถ้าหากตายในวันนี้ เราก็ไม่ขอเกิดอีก ขอเข้านิพพานทันที

    การเกิดนั้นมีแต่ความทุกข์ การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เข้าสู่พระนิพพาน นั้นแหละคือความสุข

    นี่เป็นคำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ที่ผมพอจำได้มากล่าวอีกทีครับ



    ถ้า จขกท. สนใจก็ลองไปหาอ่านหาฟังดูได้ครับ

    ถ้าพิจารณาแล้วฟุ้ง ก็ไปจับลม

    ถ้าจับลมแล้วจิตอยากคิด ก็พิจารณาไปครับ

    ถ้าท่านพิจารณาทุกวันราคะก็จะลดลง ถ้ามีกำลังใจเต็มเมื่อไร ก็จะสามารถละราคะได้ (ราคะกับโลภะ ท่านกล่าวรวมเป็น โลภะ)

    เมื่อละราคะได้ กำลังของโทสะ และโมหะ ก็จะลดกำลังลง

    เหมือนกับโต๊ะที่มี 3 ขา เมื่อขา 1 พัง อีก 2 ขา ก็ทรงตัวไม่ไหวเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2016
  14. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ความอยากทั้งหลายเกิดจากการปรุงแต่งของความคิดครับ การปรุงแต่งจากสิ่งที่เราคิด พูดและแสดงออกทำให้เกิดความรู้สึกอยาก ไม่อยากขึ้นมา พอมีความคิดซ้ำ พูดซ้ำๆ ตอบสนองต่อสิ่งเดิมซ้ำๆ มันก็เหมือนจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาว่าเราอยาก เราชอบ ไม่ชอบ ทั้งที่ความเป็นจริงเราอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย เป็นแค่สิ่งที่เราจินตนาการไปเอง สร้างขึ้นมาเอง แต่เสมือนจริงมาก การแก้ไขก็คือการระวังความคิด คำพูด และการกระทำ ถ้าเราคิดว่าอยาก พูดว่าอยาก แสดงออกและตอบสนองว่าอยากมันก็จะกลายเป็นความจริงของเราว่าอยาก แต่ถ้าเรารู้ทัน ความคิด คำพูดและการแสดงออกเหล่านี้ เราก็จะแก้ไขความอยากได้นั้นได้ ด้วยการคิดความคิดอื่นแทนที่ความคิดที่จะนำไปสู่ความอยาก แม้แต่ความรู้ว่าไม่อยากเหมือนกันก็เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรง เวลาเราไม่ชอบอะไรเราจะคิดถึงสิ่งนั้นบ่อยๆ และทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาได้ง่ายมาก ถ้าเราไม่ชอบก็อย่าไปคิดถึงมัน ยิ่งเราคิดหรือพยายามต่อต้านมันมันก็จะกลายเป็นความจริงที่เราหนีไม่พ้น ดังนั้นอย่าพยายยามต่อต้านอะไร ให้เราเปลี่ยนทัศนคติต่อสิ่งนั้นแทน พยายามรู้ทันความคิดปรุงแต่งที่เราคิดซ้ำๆ แล้วทำให้เราทุกข์ แล้วก็ไม่ปรุงแต่งต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2016
  15. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    อยากฝึกภาษาเยอรมันครับมีเว็บไหนเเนะนำป่ะครับ
     
  16. ChiChi_jaruwee

    ChiChi_jaruwee สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2016
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +2


    ขอบพระคุณมากค่ะ
    บอกตรงๆว่าเคยคิดเรื่องที่รู้สึกว่า ไม่อยากเกิดอีกแล้วเหมือนกัน
    แต่ไม่เคยพิจารณาหรือตั้งใจจะทำกรรมฐานเลย
    เคยยกประเด็นนี้มาคุยกับคนรอบตัว
    แต่ดูเหมือนเขาจะมองว่าเราเพี้ยนๆ เลยไม่ได้พูดลงลึกอะไร แต่ก็ไม่ได้จะทิ้งการศึกษาธรรมะนะคะ

    พอมีความทุกข์ทีนึง เราก็คิดถึงธรรมะทีนึง
    พอเจอแบบนี้อีกเลยรู้สึกว่าตัวเรานี่ความรู้หรือเข้าใจหรือในทางปฏิบัติของธรรมะก็ไม่ได้ถึงไหนเลย
    ขอบพระคุณที่กรุณามาตอบค่ะ
     
  17. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425
    ถ้าคนรอบตัว จขกท. ไม่สนใจในเรื่องนี้ ท่านก็ไปศึกษาและปฏิบัติธรรมแบบเงียบๆคนเดียว ไม่ต้องให้ใครรู้ก็ได้

    ท่านจะศึกษาจากพระองค์ไหนก็ได้ที่ท่านศรัทธา เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

    และสอนธรรม ได้ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า



    โดยส่วนตัวผมชอบฟังคำสอน ที่หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง เทศน์สอน เป็นพิเศษ

    ถ้าท่านสนใจ ก็ลองหาอ่านหาฟังดูได้ครับ

    พระที่ดีๆ มีเยอะ อย่างเช่น

    พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

    หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก

    ทั้งหมดที่กล่าวมาก็เป็น พระอริยะเจ้าทั้งสิ้น และก็มีพระอริยะสงฆ์ดีๆอีกมาก

    ท่านก็ลองหาอ่านหาฟังดูได้ครับ



    เมื่อท่านถูกใจคำสอนของพระองค์ไหน ก็แสดงว่าท่านกับพระองค์นั้นเคยมีบุญเกื้อกูลกันมาก่อน อาจจะเคยเป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์กันมา ก็ได้

    ท่านก็จะพอใจที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์นั้น เมื่อท่านมีความพอใจในการปฏิบัติ ท่านก็จะมีความเพียร และการปฏิบัติจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ

    อย่างผมมีความพอใจในคำสอนของหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุงเป็นพิเศษ

    เวลาได้ฟังท่านเทศน์ ผมจะมีความสุขมาก และผมก็พอใจที่จะปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำ



    และท่าน จขกท ก็ค่อยๆศึกษาและปฏิบัติไปตามกำลังใจของท่านไปก่อนครับ

    อย่าเพิ่งไปเร่งรีบ ค่อยๆทำไปตามกำลังใจของท่าน

    ทั้งทาน ศีล สมถะ และวิปัสสนา

    เริ่มจากวันละนิด แต่ทำทุกวัน กำลังใจก็จะเพิ่มขึ้นทีละนิดทุกวัน



    จนวันหนึ่งกำลังใจในการปฏิบัตินั้นเต็มเปี่ยม เมื่อกำลังใจเต็มเมื่อใด

    เมื่อนั้นท่านจะสามารถละกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เป็นพระอริยะเจ้าขั้นสูง มีพระนิพพานเป็นที่ไป

    และไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดให้เป็นทุกข์อีกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2016
  18. meephoo

    meephoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +2,133
    แจมนิด ผมว่าท่านไม่มีอะไรหรอกเพียงแต่อยากหาวิธีหรือทางผ่อนคลายไปเล่นๆมากกว่า ทำไมถึงกล่าวเช่นนี้ จิตสำนึกของคุณไง เอาเข้าจริง คุณคือสุดยอดของการวางตัววางตนในทางที่ดี เชื่อผมเหอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2016
  19. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231

    การถอดวิญญาณไปเสพสมกับหญิงสาวนี้ทำได้จริงรึ ??? :boo:
    สมัยเด็กๆเคยได้ยินแต่พวกผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า
    มีคาถาที่ทำให้คนถอดวิญญาณออกไปหลับนอนกับหญิงสาวที่ตนชอบได้
    โดยจะออกไปเป็นเงาดำๆ
    แต่คนที่เล่าเองก็ไม่มีใครทำได้หรือรู้ว่าคาถาว่ายังไง มีแต่คำบอกเล่าเฉยๆ
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ คำถามอยู่ที่ "ทำยังไงจะชนะอารมณ์กามราคะที่เกิดขึ้นคะ?"

    +++ คำตอบง่าย ๆ ของผมคือ

    +++ พยายาม "ดูข่าวพวก ชาวต่างชาติ หลอกหญิงไทยไปเป็นโสเภณี" ลองค้นคว้าเรื่องพวกนี้ดูสักพัก "อารมณ์กามราคะ ที่เกิดจากการ คุยกัน" ก็จะค่อย ๆ หายไป และ งดการดู "ละครน้ำเน่า" โดยเด็ดขาด การกล่อมจิตจากละครน้ำเน่า ก็จะค่อย ๆ หายไปเอง

    +++ อีกประการคือ "ระวัง ความคิดของคุณเอง ที่มันจะหลอกตัวคุณเองนะ" ตรงนี้เป็น "การหลอกลวงส่วนบุคคล" โดยไม่ต้องมีใครหลอก มันก็หลอกตัวมันเองอยู่แล้ว

    +++ ต้องระวัง "ความคิด" ให้มาก ๆ นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...