ท่านฝึกละสังโยชน์ ๓ เพื่อเตรียมตัวเป็นโสดาบันอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์โง๋, 11 เมษายน 2017.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    รับทราบ แย้งแบบสร้างสรรค์ยินดีเสมอคับ
    จะเล่าให้ฟังนะคับอย่างนี้นะครับ พอดีส่วนตัวอาจจะยังอธิบายไม่เคลียคับ

    จะขออธิบายเชิงกิริยาของจิตดังนี้นะคับ(^_^)
    ส่วนจะเกทไหมเป็นอีกเรื่องนะคับ

    ๑.การที่ตัวจิตจะละสักกายะฯ
    ทางกิริยาที่เกิดกับจิต ก็คือว่า
    ตัวจิตนั้น มันพร้อมที่จะตายและ
    พร้อมที่จะทิ้งร่างกายนี้
    ในขณะที่ร่างกายยังใช้ได้ปกติคับ
    นั่นหมายความว่าจะต้องปฎิบัติจนจิต
    รู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์จนกระทั่งจิต
    มันไม่อยากที่จะเกิดครับ
    นั่นคือจิตทิ้งได้ทุกเรื่องที่มีปกติ
    ซึ่งต้องอาศัยปัญญาญานที่จะไปรู้
    กระบวนการปรุ่งแต่งก่อน ตัวปัญญานั้น
    มันเพียงพอที่จะเห็นผู้ดู กับผู้รู้
    แต่มันไม่ฉลาดพอที่จะรู้กระบวนการเกิด
    ของสิ่งที่ผู้รู้ที่ถูกส่งจากผู้ดูไปกระทบ
    มันแค่รู้เห็นว่าเป็นอะไรแต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร เรียกหล่อๆว่า
    ไม่รอบรู้ในกองสังขารคับ
    ยกตัวอย่าง คือจิตไม่ปรุงแต่งได้แล้ว
    คล้ายๆว่าเราตัดนิ้วโยนทิ้งไป
    เอามีดไปฟันเราจะไม่เจ๊บนิ้วนั้น
    แต่ว่าไม่ปรุงในขณะที่มีนิ้วอยู่ปกติคับ

    กิริยาของจิตไม่ใช่เป็นเชิงพิจารณา ความเห็น หรือทัศนคติอย่างที่คุณเข้าใจ
    และไม่ใช่ปัญญาพิจารณาเพื่อยอมรับ
    หรือรู้เห็นตามความเป็นจริง
    แบบที่ใช้พิจารณาร่างกายตอนเจ๊บป่วย
    หรือกำลังจะตายนะคับ
    มันคนละกิริยากันคับ

    ๒.มหาสตินั้น กิริยาจิตมันคือ
    ตัวจิตตามรู้ ตามค้นคว้า ตามทำความเข้าใจ
    ทุกๆเรื่อง ย้ำว่าทุกๆเรื่อง
    ที่ผุดขึ้นมาจากจิต
    และเป็นไปอย่างอัตโนมัติ
    ย้ำว่าอัตโนมัติคือเป็นไปของมันเอง
    ไม่ใช่ตามไปปรุงแต่งร่วม
    ตามไปมีความเห็น มีความพยาม
    ที่จะเข้าใจ พยามที่จะวางนะคับ
    แยกดีๆ

    ๓.มหาปัญญา กิริยาของจิตคือ
    ตัวจิตคลายตัวเองออกเป็นธรรมชาติก่อน
    ด้วยตัวจิตเองและขยายออกไปกว้างสู่
    ภายนอกจนเป็นเหตุให้เกิดองค์ความรู้
    ต่างๆในเรื่องนั้นๆทีลึกเข้าไป
    ตามแต่ที่จิตนั้นๆเคยสะสมมา
    เป็นเนื้อหาเดิมแท้ของดวงจิตนั้นๆครับ
    ง่ายๆบางคนเรียกเชื่อม บ้างเรียกองค์
    ความรู้จากคุรุ
    กิริยาจิตมันก็คือ จิตขยายจนเจอองค์ความรู้
    เดิมในจิตตนซึ่งมีสัญญากับคุรุท่านนั้นๆ
    มาก่อนนั่นเอง (ไม่รู้ว่าจะเข้าใจไหม)
    ไม่ใช่ปัญญาหรือมหาปัญญาแบบที่สติ
    จับได้ปุ๊บแล้วตัดปั๊บนะคับ
    นี่คือตัดแต่ไม่รู้เหตุที่เกิด
    ที่ทั่วไปมักจะไม่ทันว่าเกิดเพราะอะไร
    ไม่ค่อยทันว่าดับตอนไหน
    และดับเพราะอะไรนั่นหละคับ เกทเนาะ

    ๔. คนบ้ากิริยาของจิตคือ ไม่มีเครื่องมือ
    ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของจิตคับ
    ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ตะเป็นไปตามความคิดที่วกวนในสมองร่วมกับสิ่งที่ได้รับเข้ามา
    จากภายนอกร่วมกันคับ
    ๕.คนกล้า คนไม่กลัวใคร นักเลงโต
    พูดผิดหูตบคว่ำ ในโลกนี้ ไม่กลัวใครทั้งนั้น
    ยกเว้นเมีย(มุขๆ)กิริยาจิตคือมีตัวไปคลอบจิตหรือไปกะทำจิตอยู่ คือเป็นการสร้าง
    เป็นการพยามทำให้เกิดอยู่คับ
    ก็คือความกล้าซึ่งเป็นทิฐิอยู่คับ
    ถ้ามีจิตแบบนี้ และมาฝึกสติจนแยกรูป
    แยกนามได้แล้ว ให้อยู่เฉยๆจิตมันจะเหงา
    และกลัว ไม่กล้าเพราะขาดเพื่อนความกล้าฝที่เป็นทิฐินั้นหละคับ ใครเคยผ่านมา
    ถือว่าดีคับ เพราะต่อไปสติกับปัญญาจะ
    มาทำหน้าที่แทนทิฐิหรือพวกความคิดแทนครับ ดังนั้นไม้ใช่พวกที่ละสักกายะฯได้
    แต่หากเป็นจิตที่ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้
    ยังเร่ิมเดินปัญญาไม่ได้ด้วยซ้ำคับ

    ปล ถ้าคุณยังกลัวตายถ้าเมื่อมีคนเอาปืนมาจ่อหัวเพื่อที่จะฆ่าคุณ
    หรือมีงูใหญ่มารัดร่างกายคุณ เจอเสือในป่า
    แล้วกลัวมันกินคุณ
    กิริยาคือจิตยังละสักกายะฯ
    ไม่ได้ เราต้องยอมรับความจริงตรงนี้คับ
    ไม่ใช่ยอมรับตามความเป็นจริงที่มาตากการพิจารณาตอนร่างกายเจ๊บกรือกำลังตะตายเพราะร่างกายหมดอายุไขนะคับ

    ถ้าคุณไม่กลัวผีมีสองอย่าง๑ จากทิฐิหรือ
    ๒ จากการที่จิตไม่ปรุงและรู้ตามความเป็นจริง
    ซึ่งจะส่งผลต่อพฤติกรรมของคุณที่จะแสดง
    ออกกับผีโดยตรงคับ คงทราบเนาะ
    ๓ ถ้าขนาดร่างกายยังปกติดี แล้วหมอมาขูดหินปูนคุณยังแยกจิตกับกายไม่ได้
    แล้วจะไปหวังว่าตอนที่ร่างกายใกล้จะพัง
    จิตมันจะทิ้งกายได้จริงๆหรือคับ
    มันจะไม่รู้สึกกลัวตายหรือคับ
    จะนึกถึงบุญถึงพระออกหรือคับ
    ขนาดร่างกายปกติแค่นี้ยังทำไม่ได้
    ทิ้งกายไม่ได้ ตรงนี้เราต้องยอมรับคับ
    จิตมันจะได้ซ้อมตายไว้ก่อนให้ชินคับ
    มันต้องซ้อมตอนร่างกายปกตินี่หละคับ
    ๔ ท่านผู้เป็นเลิศด้านฤทธิ์หนีเพื่อไม่สร้างเหตุให้เกิดขึ้นอีกครับ และที่ท่านไม่หนีก็เพื่อยุติสาเหตุแห่งการที่จะทำให้เกิดเหตุขึ้น
    มาจนวกวนและวรเวียรอีกคับ
    ไม่ใช่แบบที่คุณคิดคับ
    ปล หวังว่าจะเข้าใจ และยินดีที่ได้สนทนาคับ


     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    :) ผมว่านะ ต้องไปแจ้งในส่วนที่เป็นอสังขตธรรมก่อน แล้วจะรู้ว่า ที่ผ่านมาหลงกระทำอะไรไปบ้าง อะไรคือความหลงกระทำ สมมุติ วิมุติ อยู่ตรงไหน นั่นแค่เห็นนะครับ เป็นปัญญาเห็นชอบ สัมมาทิฏฐิ

    พอแจ้งในส่วนที่เป็นอสังขตธรรมแล้ว เหมือนคนถูกหลอก โดนตบหน้านะ เห็นสมมุติ เห็นโลกวัฏฏะที่ไปหลงวนเวียนหลงกระทำ เราไปจมอยู่แต่ส่วนนั้นเอง ทีนี้ก็ทำความศึกษาใหม่ ถอดถอนความเห็นผิด ใจมุ่งไปที่จุดเดียวคืออสังขตธรรมความสิ้นทุกข์แล้ว (ไม่รู้จะตรงกับที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวเอาไว้หรือเปล่านะว่า มีจิตรักพระนิพพาน)

    คือใจมันมุ่งชำระความเห็นผิดจริงๆ ส่วนไหนหลงคิดหลงกระทำ รู้แล้วก็เลิก ไม่ใช่ไม่รู้แต่เลิกไปก่อน อันนี้รู้แล้วจึงเลิก ค่อยๆ เลิก ละ ถอนอุปาทานในขันธ์ไป

    อย่างเวทนาถ้าไม่ไปหลงบัญญัติว่าเป็นอะไร มันจะไม่ทุกข์ต่อ อุปาทานต่อ ความเพียรคือแบบนี้ ความสงบใจก็จะมีมากขึ้นเอง กำลังใจดีการรักษาศีลรักษาใจ ก็ง่ายขึ้นเอง เรารู้เหตุอะไรมันจะเกิด เราก็ระวังตัวก่อนเลย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ทันหรือไม่ทันค่อยว่ากันไปครับ ของอย่างนี้บางทีก็โดนลองกำลังใจเยอะเหมือนกัน ทั้งหลับทั้งตื่นอยู่เลย ผมเป็นแบบนี้นะ กำลังใจเพื่อไปนิพพานถึงที่สุดทุกข์อย่างเดียว อย่างอื่นไม่ต้องคิดมาก แล้วแต่เหตุปัจจัย
     
  3. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    พระอริยะเจ้า ไม่จำเป็นจะต้องกล้า และไม่กลัว เมื่อตนอยู่ในภัย
    บางท่านยังมี วิภวตัณหา ก็ไม่อยากให้สิ่งไม่ดีเกิดกับตน
    บางท่านมีสติปัญญา ก็รู้ว่า ไม่จำเป็นต้องพาตนไปอยู่ในภัย
    ท่านจึงยังต้องหลบหลีก ภัยที่เกิดกับตน
    กิริยาจิต ไม่ใช่ กลัวแบบลุกลี้ลุกลน

    แม้กระทั่งความเจ็บ ความปวด พระพุทธเจ้าก็ยังต้องหลบหลีก
    ท่านจึงยังต้องฉันยา ก่อนพระองค์จะปรินิพพานพระองค์เข้าฌาณระงับอาพาธ นอกจากนี้ยังสอนให้พระสงฆ์ระงับกายสังขาร เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีกับตน
    พระท่านเรียกว่า ไม่กล้าไม่กลัว ครับ

    คำถามที่ถามต่อไปคือ หากพระอริยเจ้าถูกเอาปืนจ่อหัว หรือ จะถูกเสือกิน นั้นท่านจะทำอย่างไร
    ก็ตอบว่า ท่านต้องกลัวภัยที่จะมาถึงตน ดังนั้นท่านก็ต้องหาทางเลี่ยง หลีกหนี ให้พ้นในสถานการณ์นั้น ด้วยสติปัญญา ซึ่งไม่ใช่อาการกลัวลุกลี้ลุกลน อย่างที่เข้าใจครับ
    แต่สุดท้ายถ้าเลี่ยงไม่ได้ ท่านก็สามารถตายได้ด้วยสติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2017
  4. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    อสังขตธรรม คือ นิพพาน
    เมื่อบุคคลยังเต็มไปด้วยกิเลส ย่อมไม่สามารถทำนิพพานให้แจ้งก่อนได้ เพราะถ้าแจ้งนิพพานคือ พระอรหันต์ครับ

    สัมมาทิฎฐิ นั้นกล่าวถึง ความเชื่อในผลของการกระทำ ตั้งแต่ภายนอก คือ บาป บุญ คุณโทษ กรรมดี กรรมชั่ว มาจนถึง กรรม ภายใน คือ การจี้ลงที่จิต จะเป็นการสัมประยุตอริยมรรค คือ สัมมาทิฎฐิจนถึงสัมมาสมาธิมารวมเป็นหนึ่งครับ
     
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    IMG_20170228_121805_455.JPG
    นี่เป็นความเข้าใจผิดนะครับ การจะเริ่มถอดถอน สลัดออก จะมีได้ก็ต่อเมื่อเห็นส่วนที่เป็นอสังขตธรรมก่อน หมายถึงทุกคนจะต้องเห็นเองก่อน (คนอื่นเห็นแทนกันไม่ได้) จึงจะเกิดปัญญาเริ่มรู้จักหนทางสลัดออกซึ่งทุกข์อย่างแท้จริงได้ครับ
     
  6. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    คุณ tboon บอกว่าต้องทำให้แจ้งก่อน
    การเห็นกับการแจ้งนั้นต่างกันมากครับ

    เหมือนคนเห็นตึกแต่ไกล กับเข้าไปอยู่ในตึกนั้นแล้วก็ต่างกัน
    และ การเห็นพระนิพพานครั้งแรกนั้นเกิดกับผู้ได้โคตรภูญาณนั้น เป็นเพียงการเห็นชั่วฟ้าแล๊บเท่านั้นครับ เหมือนคนขับรถมาเร็วๆกลางคืนแล้วเห็นอะไรวิ่งตัดหน้าแล้วหายไปครับ

    อีกประเด็นหนึ่งคือ พระสูตรที่ยกมานั้น ไม่มีส่วนใดที่บอกว่าจะต้องทำให้แจ้งก่อนจึงจะปฏิบัติไปถึงได้ครับ
     
  7. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    พระสูตรที่ยกมานั้น กล่าวถึง และกล่าวถึง ธรรมชาติ อันไม่ปรุงแต่งนั้นมีอยู่

    พระพุทธเจ้ากล่าวยืนยันด้วยตรรกะว่า ถ้าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริงแล้ว จะไม่สามารถสลัดความปรุงแต่งออกได้เลย แต่เพราะเราสามารถสลัดความปรุงแต่งออกได้ เพราะธรรมชาติของนิพพานมีอยู่
     
  8. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ต้องไปเห็นส่วนที่เป็นอสังขตธรรมนั้นก่อนครับ จึงจะรู้จักว่าอันใดเป็นทางหรือไม่ใช่ทาง จะชัดตรงนี้ แล้วเดินหน้าต่อไปในทางที่ทำให้หลุดพ้นตามที่เห็นแจ้งมาแล้วในเบื้องต้นนั้นต่อไป ทำไมผมถึงว่าเห็นแจ้ง เพราะไม่ใช๋แค่เห็นแบบเห็นเป็นตึกรามบ้านช่องอะไรแบบนั้น แต่แจ้งในสภาพธรรมความที่เป็นอสังขตธรรมนั้นด้วยครับ มันถึงได้เกิดปัญญารู้ทุกข์ขึ้นมาไงครับ ว่าทุกข์มันอยู่ตรงไหน มันจะไม่เหมือนกับที่คุณกล่าวเลยครับ จะคนละเรื่องกันเลย
     
  9. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    คงจะเป็นอย่างที่คุณว่า..
     
  10. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +470
    ศิษย์โง่ ยังใช้มุขนัยแบบเดิม ดูเกิดดับ อยู่เป่า
    ถ้าถามเพื่อหาวิธีการอื่น อย่างอื่น รึจะรอกระทืบคน
    ก็ข้ามไป

    ถ้าสมมติว่ายัง ทำแบบเดิม
    ดูจิตมันเกิดดับ หยาบละเอียดช่างมัน รู้ได้เท่าที่รู้....

    เราทำกรรมฐาน สังเกต ว่าจิต(วิญญาณ)มันเกิดดับ ตามอายตนะต่างๆ
    ถ้าทำถูกส่วน ไม่ไปเพ่งไว้
    พอเห็นมันเกิดดับจะมี ปิติ ให้สัมผัส
    การภาวนาก็จะเห็นจิตเกิดดับ สัมผัสปิติ เกิดดับ
    นักภาวนาจะมีจิต ไม่ห่างจากปิติ ได้ทั้งวัน

    ทีนี้ถ้าไม่เปลี่ยนกรรมฐานก่อน (ถ้ากลับไปฝึกของเก่า สับปิติ ก็อีกอย่าง)
    มั่นคงในอุบายเดิม หยาบก็ได้ ละเอียดก็ได้

    จิตมันจะค่อยๆ ร่อน อายตนะออกไปเอง
    เราก็อนุโลม สุข อุเบกขา มันก็จะละเอียดขึ้นเรื่อยๆ
    เราสังเกตภพมันดับไปๆ ไม่ใช่ตัวตน
    ภพต่างๆ ไม่ว่าหยาบ กลาง ละเอียด เราอาศัยเห็นมันเกิดดับ ไม่ใช่ตัวตน

    สังเกตบ่อยๆ ตรงไตรลักษณ์สัญญา มันก็เกิดดับ
    วิจัยธรรมฉันทะ ในปัญญา นี้อีกทีหนึ่งว่า มันก็เกิดดับด้วย จะไม่มีอะไรค้างเติ่ง
    ถ้าเป็นสัมมาสมาธิซักครั้ง ถึงยังละสังโยชน์ไม่ได้
    จะมั่นใจได้ว่าธรรมอีกฟากนั้นมีอยู่ ทางพ้นมีแน่
    ทำความเพียรให้พอ ไม่ประมาทในธรรม จะไม่เสียทีที่เกิดมาพบพระพุทธองค์
     
  11. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    เวทนาเป็นอาการของจิต จิต ปล่อยอาการของจิต
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คุณรโชหรณัง ส่วนตัวเชื่อว่า
    มีแต่ดวงจิตที่พ้นแล้วจะละสักกายะฯ
    ได้จริงๆครับ ถึงได้บอกว่า
    ใครเป็นจริงส่วนตัวยอมรับ
    ส่วนมากที่เคยเจอมีแต่ห่มเหลือง
    ตำ่กว่าผู้ที่จิตพ้นแล้วกลัว
    ตายหมดแระครับ

    เรื่องราวที่ส่วนตัวพูดคือเห็นกับตา
    ตัวเองนะครับ ยกเว้นท่านที่เจองูรัด
    นี่ท่านเล่าเอง และท่านที่เจอเสือฟังมา
    และท่านที่กระดูกขาหัก ภายในฟัง
    ท่านนี้ได้สนทนาและสอนข้าพเจ้าด้วย


    ปล ส่วนนี้ถามจริงๆนะ คุณมีอะไรหรือรู้
    ได้อย่างไรว่าดวงจิตไหนถือได้ว่าเป็นอริยะเจ้า คุณมีเครื่องรู้ตรงนี้ไหม ถ้ามีคุณต้องบอกได้ว่าได้ว่ากิริยาที่ตัวจิตเป็นอย่างไร
    หรือสังเกตุจากอะไรจากภายนอกต่างๆ
    ตรงนี้ถามเฉยๆ ตอบไม่ได้ไม่เป็นไรครับ

    แค่จะบอกว่า ถ้าจิตคุณไม่มีเครื่องรู้ตรงนี้
    ก็อย่าไปกล่าวอ้างพูดถึงเลยครับ
    เพราะพูดอย่างไรก็ไม่ถูกครับ
    ไม่ได้กวนนะ แค่เตือน
    และที่สำคัญถ้าคุณอยากพัฒนาคุณภาพ
    ทางจิตคุณนะครับ
    ลป ที่คุณชอบอ้างธรรมท่าน
    เพื่อประกอบความเห็นคุณ ไม่จำเป็นอย่าเอามาอ้างครับ มันจะสร้างวิบาก
    ขวางการพัฒนาของตัวเอง
    เพราะท่านนี้ไม่ใช่ธรรมดา
    แม้แต่สายมหายานยังยอมรับ
    ยิ่งถ้าคุณไม่มีพื้นฐานทางพลังงาน
    คุณจะเข้าใจแค่อักษรไม่ใช่สภาวะครับ
    เข้าใจที่สื่อนะ ไม่ได้ว่าคุณไม่ดีนะครับ
     
  13. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    การจะทราบได้ว่าใครอยู่ภูมิไหน เราต้องมีภูมิเสมอกันหรือสูงกว่าครับ
    แต่ถ้าภูมิไม่เสมอก็ต้องคลุกคลี สังเกตุดู ศีล สมาธิ ปัญญา

    พูดไม่ถูกก็ไม่เป็นไรครับ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น
    และการที่เราจะพัฒนาจิตเรานั้น ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการแสดงความเห็นไม่ใช่หรือครับ

    อันนี้ผมไม่เข้าใจว่า คุณพูดถึงอะไร
    แต่ถ้าพูดถึงธรรมของพระพุทธเจ้า หรือ พระสงฆ์
    ก็เป็นเรื่องดีนี่ครับ จะไปสร้างวิบากขวางการพัฒนาตนเองอย่างไร
    ถ้าเช่นนั้นแล้วก็คงไม่ต้องศึกษา เพื่อพัฒนา เพราะความกลัวจึงทำให้ถือข้อวัตรผิดๆ นี่หละครับสีลพตรปรามาส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2017
  14. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    แสดงว่า คุณ tboon ทราบแล้วว่านิพพานเป็นอย่างไร
    ถ้าอย่างนั้น ช่วยอธิบายนิพพานให้ผมฟังอย่างแจ่มแจ้งสักหน่อยเถิดครับ
     
  15. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ตื่นเช้าตั้งจิตเจตนารักษาศีล
    เคารพนับถือพระรัตนตรัยอย่างจริงใจ
    คิดไว้เสมอว่า ชีวิตไม่เที่ยง ความตายเที่ยง อย่าประมาท
    ก่อนนอนตรวสอบว่าทั้งวันที่ผ่านมา ทำได้ตามที่ตั้งใจไหม
    ก่อนหลับตั้งจิตอีกครั้ง
    ตื่นเช้ามาก็ทำเหมือนเดิม
     
  16. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    นิพพาน กับ อสังขตธรรมก็คืออันเดียวกันนั่นแหละครับ คือเป็นสภาพธรรมที่การปรุงแต่งอะไรๆ ก็ไปไม่ถึง ไม่อาจกระทบกระเทือนถึงสภาพธรรมนั้นได้เลย แม้ที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ ก็ล้วนเป็นการคิดนึกปรุงแต่งไปเองเพียงฝ่ายเดียวทั้งสิ้นครับ อสังขตธรรมหรือนิพพานอยู่เป็นเอกเทศต่างหาก ไม่ขึ้นกับใครหรือสิ่งใดทั้งนั้น และการเห็นแจ้งในสภาพธรรมนี้ไม่ได้เกิดจากการจงใจจะให้เห็นแต่อย่างใด ในชีวิตไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีแบบนี้ครับ ไม่ได้เห็นนาน แปบเดียว แต่ก็แจ้งได้ในสภาพธรรมตามที่อธิบายมาทั้งหมดนั่นแหละครับ

    การเห็นนี้มีประโยชน์มหาศาล อันเนื่องมาจากทำให้ทราบลักษณะความเป็นอสังขตธรรม เป็นเหมือนแผนที่ วิธีการ เข็มทิศชี้ทางเดินทางธรรมที่ชัดเจนที่สุด นำไปสู่ทางแห่งความหลุดพ้นอย่างแท้จริงได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2017
  17. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ท่าน Tboon กล่าวว่า เป็นการคิดนึก และเห็นไม่นาน แล้วจะแจ้งได้อย่างไรหละครับ
    แล้วจะทราบได้อย่างไรว่า การคิดนึกนั้นถูกต้องแล้ว
    เพราะใครๆก็กล่าวได้ว่า นิพพานนั้นเป็นสภาพธรรมที่ไม่ปรุงแต่งอะไร

    ดังที่ผมกล่าวไปนั่นแหละครับ เห็นตึกสูงๆไกลๆ กับ การเข้าไปอยู่ในตึกแล้วต่างกัน
     
  18. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ทำไมคุณรู้ล่ะ คุณเห็นเหมือนกันเหรอ
     
  19. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ผมไม่รู้ว่า คุณ Tboon เห็นอะไรครับ รู้แต่ว่า คุณ Tboon ยังไม่เห็นแจ้ง
     
  20. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ธรรมดาครับ ไม่รู้ไม่ผิด ภาวนากันไปทุกเวลาที่ระลึกได้กันนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...