ท่านฝึกละสังโยชน์ ๓ เพื่อเตรียมตัวเป็นโสดาบันอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์โง๋, 11 เมษายน 2017.

  1. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    มีภาษาธรรม อย่างหนึ่งที่นักปฏิบัติมักพูดกันว่า ธรรมอยู่ฟากตาย ซึ่งมีความหมายไปถึงการบรรลุพระโสดาบัน
    คำนี้ หมายความว่า นักปฏิบัติขณะพิจารณาเจริญวิปัสสนานั้น จะมีกิเลสความปรุงแต่งขึ้นมาให้เกิดความกลัวขึ้นจับใจ ซึ่งหากผ่านจุดนี้ไปได้ย่อมจะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของความกลัวนั้น ว่าเป็นเรื่องหลอกลวง ความกลัวนั้นย่อมดับไป กลายเป็นความอาจหาญในธรรมขึ้นมา

    แต่ถ้าหากนักปฏิบัติยังไม่รู้จัก จิตตานุปัสสนา ย่อมแยกไม่ออกว่า คำว่า กลัว นั้นมีอะไรเกิดขึ้นในจิตบ้าง ความกลัวจึงเป็นสภาพปรุงแต่งของจิต ที่มีทั้ง วิภวตัณหา และปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆ ความไม่สงบของใจ สภาวะทุกข์ บีบคั้นให้เจ้าของปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ อันเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวง เป็นการมองแบบรวมๆ อันเป็น สักกายทิฎฐิ

    ตามความเห็นของผม ความกลัวในแบบพระอริยเจ้าจึงยังมี แต่ไม่ใช่กลัวแบบไม่รุ้เนื้อรู้ตัว ไม่ใช่กล้าแบบบ้าบิ่น และไม่ใช่รักตัวกลัวตาย
    ต้องขอสรุปว่า พระอริยเจ้าสามารถสงบใจได้เมื่อพบความตายตรงหน้า
    แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่หลีกหนี หรือท้าทายกับความตาย อันเป็นทางสุดโต่ง
     
  2. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    แล้วคุณ Tboon เห็นอะไรหละครับ ลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ
     
  3. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    อะไรที่ว่าแน่ๆ มักจะมีเหตุมาจากความไม่แน่
    เพราะความห่วงทำให้มีความวิตก กังวล
    เพราะมีความวิตก กังวล จึงต้องวกกลับมาดูเพื่อความแน่ใจ
    หากเราต้องรออะไรที่ทำให้แน่ใจก่อน เราก็จะไม่พ้นจากความเชื่อ

    ความเชื่อที่สนิทใจ ก็คือการที่เราไม่มีอะไรต้องกลับมาปกป้อง กลับมาดูแล กลับมารักษา อีก
    หากยังต้องกลับมาดูแลกันใหม่ นั้นแสดงว่ายังไม่แน่ใจ
    ยิ่งดูแลดีมากไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดเลย เพื่อความสมบูรณ์แบบ
    ก็เสมือนกับใข่ในหิน สงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรมากระทบได้
    หากกระทบก็ไม่ได้ถึงกับกระเทือนอะไรๆมาก แต่ก็ออกจากใข่ไม่ได้เช่นกัน
    เพราะถูกรัดกุมไว้ข้างนอกอย่างแน่นหนา รัดกุมด้วยรู้ เลยเป็นการรู้รอบ
    แต่ออกจากรู้ไม่ได้ การพยายามนำพารู้ ให้ออกไปหาธรรมต่างๆนี้หละ
    เป็นการติดรู้ธรรม รู้ในใข่ยังไม่ออก รู้นอกออกไปก่อนแล้ว
    และเมื่อมีความห่วงอยู่ในธรรม ก็จะเป็นการดึงรู้จากข้างนอกเข้ามาปกป้องข้างใน
    เพื่อเอามาปกป้องดูแล ได้เกิดความแน่ใจสบายใจ

    สนิทใจใหม ก็คงต้องสังเกตดูว่า ยังมีห่วงอะไรใหม ?
    หากยังมีห่วงอยู่ อะไรที่ว่าแน่ๆ มักจะมีเหตุมาจากความไม่แน่
    เมื่อไม่แน่ก็ย้อนกลับไปใหม่ ก็วนเวียนกันอยู่แบบนี้หละ วัฏฏะสงสาร


    ในส่วนที่พิมพ์ไปครั้งที่แล้วจะหนักไปทางข้อ 3 ครั้งนี้หนักไปทาง 2
    ในส่วนของข้อ 1 ยังไม่มีครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ธรรมะพูดได้ครับ ไม่มีใครว่าครับ คุณ รโชฯ
    เผยแพร่ได้ ก็ดี
    แต่ไม่ใช่ยกเอามาพูดเสริม
    ในสิ่งที่ตนเข้าไม่ถึงแล้วเอาไป
    เพื่อแย้งคนอื่นๆครับ

    ถ้าคุณจะแย้งคุณต้องแย้ง
    จากการปฎิบัติครับ
    เพราะเราไม่ได้มาปฏิบัติเอาเกรด
    หรือใบปริ(ญาญ่าครับ


    ธรรมะเป็นกลางครับ
    การดึงมาเป็นตัวเรา
    แล้วอ้างระดับโน้นนี่นั่น
    มันเป็นวิบากเฉพาะเราครับ
    ตรงนี้ไม่เชื่อเรื่องของคุณ
    แต่ให้ย้อนดูอดีตได้ว่า
    รู้ขนาดนี้ ปัจจุบันจิต
    ทำอะไรได้บ้าง จะเข้าใจครับ

    ปัญญาในทางธรรมคุณนะมี
    แต่เวลาถ่ายถอดคุณทิ้งไม่เป็น
    มันเลยติดสมมุติ
    มันเลยทำให้อ่านอย่างไรก็รู้ว่า
    ไม่พ้นวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ครับ

    คุณทิ้งได้ จิตมันถึงจะะคลาย
    ไอ้ปัญญาที่สะสมมาดีแล้วแต่เดิม
    มันถึงจะอัตโนมัติ
    ไม่ตะกุกตะกัก แบบมีตัวพยายามกระทำ
    เหมือนการเขียนที่ผ่านๆมาได้ครับ
     
  5. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ไหนคุณ nopphakan ลองแย้งจากการปฏิบัติให้ดูหน่อยสิครับว่า ปฏิบัติอย่างไร ได้ผลอย่างไร จึงทำให้ เมื่อละสักกายทิฎฐิได้แล้ว ถึงไม่กลัวตาย เมื่อปืนจ่อหัว
     
  6. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    หากมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางไปยังเมืองๆหนึ่ง
    คุณ nopphakan คิดว่า คนในกลุ่มนั้นเถียงกันว่า ทางนั้นถูก ทางนี้ถูก
    ในกลุ่มนั้น ใครจะเชื่อใครได้
    คนหนึ่งพูดปากเปล่าว่า ฉันไปมาแล้ว ไปทางนี้
    อีกคนหนึ่งพูดปากเปล่าว่า ฉันไปมาแล้วเหมือนกัน ไปอีกทางหนึ่ง
    ก็ต้องยกแผนที่ขึ้นมา หรือ ยกคำบอกของคนที่น่าเชื่อถือว่า ไปทางใดจึงจะถูกทาง


    พระพุทธองค์ได้กล่าวไว้ครับ “ดูกรอานนท์ พระธรรมและพระวินัยอันใดที่เรา (ตถาคต) ได้แสดงไว้แล้ว ได้บัญญัติไว้แล้ว แก่เธอทั้งหลาย โดยกาลที่ล่วงไปแห่งเรา (ตถาคต) พระธรรมและพระวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอ”

    หมายความว่า ถ้าเมื่อไรที่พวกลูกศิษย์และสาวกรุ่นต่อๆไป เถียงกัน ก็ให้ยกคำสอนที่พระพุทธองค์แสดงไว้แล้วนั้น นั่นแหละเป็นผู้ตัดสิน
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ผมเขียนไปแล้วคับ ตัวสีแดง
    ย้อนอ่านข้อความเดิมที่ผมเคย
    เขียนไปแล้วดูครับ ในกระทู้นี้หละครับ
    เกี่ยวกับเรื่องปัญญาญานไงคับ
    ใน #rep ที่สองคับข้อ ที่ ๑
    ส่วน # rep แรกแค่พื้นฐานครับ

    ปล อย่างทั่วๆไป เอาแค่มีใครจะมาฆ่า
    เราในฝันและเราไม่กลัวตายได้
    ก็หายากแล้วครับ ไม่ต้องเจอของจริง
    แบบห่มเหลืองหรอกครับ
    สนามจริงกับสนามซ้อม
    มันต่างกันคับ
    ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะครับ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ธรรมะนะคับ
    ปกติคนเข้าถึงได้
    จิตจะเข้าถึงก่อนครับ
    จากนั้นก็ละ และวาง
    มันค่อยมาดูภาษาสมมุติครับ
    สมัยก่อนตำรามาที่หลังจากการปฎิบัตินะครับ เข้าใจเนาะ
    ตัวจิตมันถึงจะไม่สงสัยคับ และ
    ไม่ค้างคาหากย้อนมาอ่านตำราครับ

    มันก็จะไม่เกิดการวิพากษ์ วิจารณ์ขึ้น
    คือมันจะ อ่อๆๆๆๆ

    ผมถึงบอกว่า อ้างนะอ้างได้
    ปัญหาคือจิตคุณมันเข้า
    ถึงสภาวะนั้นๆได้หรือยัง
    หรือแค่อ่านอักษรแล้วเข้าใจ
    ถ้ายังแล้วพูด มันจะขวางเราเองครับ

    ก็ขนาดผมเขียนไปแล้วถึงวิธีการ
    คุณก็ยังมาย้อนถาม ที่เขีนนไปแล้ว
    นั่นหละครับที่มันฟ้องครับ
    ปล ค่อยๆเป็นค่อยๆไปคับ
     
  9. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    เห็นกระทู้ข้างๆมีคนเล่าความฝันของตนเอง. เลยอยากจะเล่าความฝันที่ตนเองชอบฝันถึงบ่อยๆให้ฟังบ้าง.
    1 ชอบฝันว่าวิ่งแข่งเท่าไรก็วิ่งไม่ทันเขา ออกแรงขาจนเหนื่อยก็เหมือนจะก้าวขาไม่ออก
    2. เหมือนข้อ 1 แต่เปลี่ยนเป็นชก สาวหมัดยังไงก็สาวไม่ออกไม่มีแรงเลย
    3 ชอบฝันว่าเรียนไม่จบ ติดอยู่ 2 วิชาสุดท้าย
    เมื่อเช้านี้ฝันข้อ 3.
    3ข้อนี้ฝันบ่อย. แต่แปลกว่าถ้าช่วงไหนหัดทำสมาธิบ่อย. ความฝันทั้ง 3 ข้อจะเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม. คือวิ่งชนะ. มีแรงชก ฝันว่าสอบไม่จบไม่มีฝัน
    ใครพยากรฝันเก่งบ้าง. อิอิ
     
  10. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เรื่องฝันว่าวิ่งไม่ค่อยออกหรือวิ่งปร๋อเลย เคยฝันอยู่หลายครั้งเหมือนกัน จนมาจับได้ว่า ตอนฝันว่าวิ่งไม่ค่อยออก มักจะนอนเอาขาไขว้ทับกันเองอยู่ เวลาฝันว่าวิ่งปร๋อนี่ นอนกางขาหน่อยๆ และไม่มีอะไรมาพันมาทับขาด้วย

    เรื่องฝันนี่บางทีต้องดูเรื่องอุณหภูมิห้องด้วย เคยฝันว่าเดินตากฝนตัวเปียก เพราะอากาศเย็น และนอนเป่าพัดลมตรงตัวด้วย ยังมีเรื่องของอาหารที่สังเกตได้ คือถ้าเผลอไปกินก่อนจะนอน หรือกินมื้อเย็น กินค่ำไป และกินแบบจัดเต็ม แบบนี้ก็เรียบร้อย มีสิทธิเมาเพราะฤทธิ์อาหารได้มากครับ เมาก็คือจะฝันมั่วไปหมด อาหารมื้อเย็นที่ท่านสอนให้งดนี่เป็นเรื่องจริงมากที่สุด

    ความฝันคือความคิดอย่างหนึ่ง ทุกวันนี้แทบไม่อยากเรียกว่าฝันเลย เพราะบางทีก็เห็นว่าเป็นการปรุงแต่งกันสดๆ คือคิดจะให้เป็นดังใจแล้วก็เป็นดังใจได้ มันมีสติรู้ตัวบ้างเหมือนกันในฝัน แต่อาจจะไม่ชัด เหมือนคนนอนหลับไม่สนิท บางทีนอนกรนก็ได้ยินเสียงตัวเองนอนกรน ยาวๆหน่อยก็สามครอกเลย ถ้าสั้นๆ ก็ครอกเดียวตื่นเลย แต่ถ้าเพลียมาก ตื่นมาดันมีเจ็บคอด้วย อันนี้จะรู้แล้วแสดงว่ากรนแน่ๆ แต่ไม่รู้ตัวเอง

    เรื่องนิมิตพวกนี้ส่วนตัวจะรู้ว่า นั่นไม่ใช่ฝัน แต่อาศัยคล้ายฝัน เพราะจับได้ว่ามันเป็นอารมณ์เดียวกับการนั่งสมาธิแล้วเคลิ้มไปเห็นนิมิตโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนมากจะเป็นการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าของวัน จริงหรือไม่จริงว่ากันไปอีกเรื่องครับ
     
  11. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ขำๆนะครับ

    หากฝันช่วงก่อนเช้า

    ข้อ 1. สิ่งที่ทำไม่ว่าจะเป้นการงาน หรือการเรียน จะมีอุปสรรคขัดขวาง
    จนทำให้ท้อ หาก อดทน เพียรพยายาม ก็จะฝ่าฝันไปได้สำเร็จ

    ข้อ 2. จะมีโชคมีลาภเข้ามา เช่นว่ามีคนให้อะไร ที่ไม่คาดคิด ได้รับสิ่งของแบบไม่เสียตัง

    ข้อ 3. ความหนักใจ หรือเรื่องอะไรที่ทำให้ คิดมาก
    หนักใจ จะค่อยๆหายไป มีข่าวดีเข้ามาแทน


    หากวันว่าวิ่งได้เร็ว จะได้ของที่ถูกใจ สิ่งที่ติดขัดจะผ่านไปด้วยดี
    หากชกได้ออกหมัดได้ จะมีลาภลอย ได้งานใหญ่
     
  12. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    คุณ nopphakan ครับ การอธิบายแบบนี้ไม่ได้ถือว่าแย้งในทางปฏิบัติหรอกครับ
    เพราะ การพูดแบบนี้เป็นการพูดแต่ผล และเป็นการพูดแบบไม่ได้อ้างถึงรายละเอียดในขั้นตอนการปฏิบัติ
    การพูดแบบนี้ ใครๆก็ล้วนแต่พูดกันได้ พูดไปถึงพระอรหันต์ก็ได้ครับ

    ผมจะลองยกตัวอย่าง วิธีการละอวิชชาของพระอรหันต์ให้ฟังแบบเดียวกัน ลองพิจารณาดู

    ทางกิริยาที่เกิดกับจิต ก็คือว่า
    ตัวจิตนั้น มันพร้อมที่จะทิ้งอวิชชา
    นั่นหมายความว่าจะต้องปฎิบัติจนจิต
    รู้ว่าการเกิดอวิชชาเป็นทุกข์จนกระทั่งจิต
    มันพร้อมที่จะทิ้งอวิชชาครับ
    นั่นคือจิตทิ้งได้ทุกเรื่องที่มีปกติ
    ซึ่งต้องอาศัยปัญญาญานที่จะไปรู้


    ยกตัวอย่าง คือจิตไม่ปรุงแต่งอวิชชาได้แล้ว
    คล้ายๆว่าเราตัดนิ้วโยนทิ้งไป
    เอามีดไปฟันเราจะไม่เจ๊บนิ้วนั้น

    ละอวิชชาได้ก็เป็นแบบนี้หละครับ


    ก็สรุปว่า คุณ nopphakan กำลังเข้าใจผิด ในเรื่องของ การละสักกายทิฎฐิ ที่ว่าจะต้องไม่กลัวตาย เอาปืนจ่อหัวก็ไม่กลัว และคุณ nopphakan ยังไม่แจ้งในวิธีการของการละสักกายทิฎฐิครับ
     
  13. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    คุณ nopphakan แย้งธรรมที่ผมกล่าวไปดีกว่าครับ ว่าคำกล่าวใดผิดหรือถูกในแง่ใด
    จะดีกว่าจะมาบอกว่า ผมอ่านตำราบ้าง หรือห้ามยกคำพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์มาสนับสนุน มันจะเป็นการยกตนข่มท่านไปเสียมากกว่า สนทนาธรรมหละครับ

    ผมเฉลยให้ก็ได้ครับ ตามคำสอนขององค์พระศาสดา
    ว่า ผู้ที่ไม่สะดุ้งกลัวภัย มีแต่พระอรหันต์ ครับ
    พระอริยะเจ้า คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคา และ พระอนาคามี ยังมีกิเลส
    ย่อมสะดุ้งกลัวภัยที่จะมาถึงตนครับ

    ตราบใดที่ยังมีความโศก ยังสะดุ้งต่อความพรัดพราก ยังมีอวิชชา ราคะ โทสะ อุปาทานแล้ว ย่อมมีความกลัว
    ดังที่ พระอานนท์ร้องไห้เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในขณะนั้นพระอานนท์ทรงเป็นพระโสดาบันบุคคล
     
  14. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เอางี้นะครับ คุณรโชฯ ผมจะอธิบายเป็นภาษาสภาวะที่ปรากฏให้ฟังคร่าวๆ พอสังเขปนะครับ

    คือเริ่มแรกเนี่ย ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนผมหรือเปล่า การภาวนาเริ่มแรก อันนี้จะพูดในลักษณะการปฏิบัติในรูปแบบไปก่อน เริ่มแรกจะมีความคิดเยอะแยะไปหมดนะครับ ความคิดพวกนี้จะสัมผัสว่า มันจะลอยฟุ้งขึ้นข้างบนไปที่ส่วนของสมองทั้งหมด (อย่าเพิ่งไปสงสัยว่า ใช้สมองคิดแท้ๆ ทำไมยังจะมามีความรู้สึก มีกลุ่มความคิดอะไรลอยขึ้นสมองแบบนี้ขึ้นมาอีก ให้ตัดทิ้งไปก่อนนะครับ)

    มันเป็นความคิดลอยๆ คล้ายคนใจลอย ซึ่งถ้าลอยมากๆ อาจจะมีเบลอ ถึงขั้นตาลอยก็เป็นได้นะครับ (ถ้าอาการขนาดหลังนี่ ถ้าจะให้นึกเทียบเคียงดู ดูแล้ว จะไม่ต่างกับเวลาที่เราเคลิ้มตาลอยเมื่อถึงภาวะจุดสุดยอดยังไงยังงั้นเลย เคยสังเกตตัวเองไหม ..ขออภัยอย่าหาว่าผมกล่าวน่าเกลียดอะไรเลย ผมพูดตามที่สังเกตสภาวะได้จริงๆ จากเมื่อสมัยก่อนตอนที่ยังเป็นพวกนึกสนุกอยู่ เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นนะครับ)

    ทีนี้เราต้องตามรู้ในจุดนี้ให้ทัน ผมไม่คิดว่าเราควรจะเริ่มวิปัสสนา ณ สภาวะตรงนี้ มันจะเป็นภาวะกล่อม สะกดจิตกันเสียมากกว่า สภาวะที่ความคิดฟุ้งขึ้นสมองมากบ้างน้อยบ้าง ส่วนตัวสังเกตว่ามันเป็นสภาวะมาจากความหลงเก็บกด แล้วมันระบายออกมา ต้องปล่อยให้เขาระบายออกมาให้หมด ถ้าเราไปกล่อมหรือเปลี่ยนทางเขา มันจะได้อารมณ์เก็บกดใหม่มาเพิ่มแทน เหมือนจะดี แต่จริงๆ มันเปลี่ยนแนวเฉยๆ ตรงนี้ต้องระวังให้ดี

    ขณะที่เราตามระลึกรู้ รู้ทันอย่างเดียว ตรงนี้จะต้องมองให้ออก (กว่าจะเห็นจริงๆ นี่ ไปติดแหง็กหลงคิดพิจารณาตามมันไปอยู่นานครับ ไม่น่าเชื่อเหมือนกัน) นั่งสมาธิอยู่ก็ดี เดินจงกรมอยู่ก็ดี อย่าไปหลงความคิดเก็บกดพวกนี้ รู้ทันความคิดบ่อยๆ ครับ

    บางทีว่าบทธรรมออกมากันได้เป็นฉากๆ ลงตัวหมดเลย แต่ไม่เห็นอาการที่ความคิดมันลอยตัวขึ้นส่วนหัวสมองเลยสักนิด สังเกตไม่ได้ก็หลงจมส่วนนี้กันเป็นว่าเล่นตลอดครับ ตรงนี้ต้องหมั่นมีสติตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว แต่ไม่ใช่นิ่งทื่อ มีสติให้มาก จะแยกออก ผมว่ามันเป็นภาวะเก็บกด เราต้องตามรู้ทันและข้ามผ่านไปให้ได้ อย่าได้ไปคิดว่ามันเป็นการเจริญวิปัสสนาแต่อย่างใด อย่าไปเชื่อใจตัวเอง...
     
  15. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ต่อนะครับ..

    ทีนี้ถ้าความคิดเก็บกดมันลดลงๆ มาก (บางทีจนถึงไม่มี จนหมดไปเลย (ชั่วคราว)) การมีสติเห็นกาย อยู่กับเวทนาทางกาย จะชัดขึ้นๆ ภาวะของความสงบจะเริ่มปรากฏขึ้นมา จะเห็นความหลงคิดหลงกระทำ มันน่าจะเริ่มพอเห็นแยกได้แล้วล่ะว่า ความคิดฟุ้งๆ เก็บกดๆ นั่น กับการรู้สภาวะตามความเป็นจริงตรงนี้มันต่างกันยังไง มันมีลักษณะรู้ ไม่ไหลตามความคิด แม้คิดก็ยังรู้ว่าคิด มีสติคอยกำกับอยู่ ไม่ปล่อยให้เผลอจมจนกลายเป็นหลงล่องลอยไปอีก

    ตรงนี้แหละ จะเริ่มเห็นจิตเห็นใจตามความเป็นจริงชัดขึ้น จะไม่มีคำวิพากษ์วิจารณ์ จะเห็นกริยาจิตตรงไปตรงมา จิตกำเริบ/ไม่กำเริบอย่างไรก็รู้ไปตามความเป็นจริงตามที่มันเป็น วิปัสสนาจริงๆ มันควรจะเริ่มจากตรงนี้เป็นต้นไป เพราะจะไม่เอาความคิดความเชื่อเดิมๆ อะไรมาเปรียบเทียบบดบัง จะเป็นกลางๆในการตามดู จะมีสติตามรู้เมื่อหลง หลงคิดไปเองหลงปรุงไปเอง หลงสัญญา สังขาร

    ตรงนี้จะเป็นไปในลักษณะ ปล่อยให้ธรรมเขาสอนเราเองตามความเป็นจริง ผู้รู้ผู้เห็นจิต เป็นกลางอยู่ มีอุปาทานหลงยึดมั่นถือมั่นก็รู้ ไม่มีก็รู้ ก็เห็นไปตามจริงตรงนี้เรื่อยไป มันจะค่อยๆ แจ้งในทุกข์และเหตุแห่งทุกข์ไปเอง ถึงเวลายามปกติที่ไม่ได้ภาวนาในรูปแบบ เวลาทำอะไร ความคิดแบบไหน อารมณ์แบบไหนมันเกิด จะแยกได้ ตรงไหนเป็นความคิดลอยๆ ความคิดมาจากส่วนเก็บกด การรู้ตามความเป็นจริง มันจะแยกออก เห็นทุกข์เห็นโทษ จะค่อยๆ มีสติลดละเลิก ปรับปรุงการดำเนินชีวิตได้มากขึ้นเอง นี่แหละศีล สมาธิ ปัญญา ไม่หลงกระทำ ไม่หลงก่อทุกข์ก่อโทษเพิ่มให้กับตัวเองอีก ส่วนเรื่องผลอันยิ่งกว่านี้ ก็ให้เป็นเรื่องแล้วแต่เหตุปัจจัยไปก็แล้วกันครับ ธรรมเป็นอกาลิโก คือปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมครับ เรื่องอสังขตธรรม นิพพานนี่ไม่ขอตอบแล้ว เฝือเปล่าๆ ครับ
     
  16. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    แล้วตรงไหนหละครับ ที่ว่าเห็นนิพพาน
    ที่คุณ tboon กล่าวมา คนทั่วไปก็ทำได้ครับ บางทีเขาอาจจะสงบมากกว่าคุณ Tboon โดยไม่ต้องคิดมากเสียด้วยซ้ำหละครับ
     
  17. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ธรรมของพระพุทธองค์ต้องเหนือชั้น เพียงพอที่จะทำให้ พระอัญญาโกณทัญญะ ทึ่งและกราบพระพุทธเจ้าราบคาบสิครับ เพราะท่านเป็นยอดพราหมณ์ ที่รอบรู้ทุกด้าน ถ้าธรรมที่พระพุทธเจ้าบอก เป็นแบบที่คุณ Tboon พูดมานี่ คิดดูสิครับว่า จะทำให้ท่านอัญญาโกณทัญญะ เชื่อได้อย่างไร
    อย่างน้อยผู้ที่รู้เห็นธรรม ก็จะต้องอัศจรรย์ใจไม่แพ้ท่านอัญญาโกณทัญญะ จนถึงกับศรัทธานั้นจะไม่คลอน
     
  18. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    คนไม่เก็ท กล่าวยังไงก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับ ต่อให้สงบมากกว่านี้ก็ไม่แน่ว่าจะเห็นได้ครับ ถ้าไม่เห็นส่วนที่เป็นปัญหาคือทิฏฐิความเชื่อเดิมของตัวเองให้ได้เสียก่อน ยากครับ มันไปขวางอยู่ งงไปเถอะครับ อย่าพยายามจะเทียบเคียงเลย ไม่มีทางใช่แน่ๆ ครับ ถ้าใช่นี่จะไม่ต้องพูดต้องถามอะไรกันเยอะเลย :D
     
  19. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    กล่าวไม่รู้เรื่องนี่ เป็นไปได้อีกกรณีหนึ่งครับว่า คนกล่าวไม่รู้เรื่อง เพราะไม่เห็นจริง
    อุปมา คนบอกว่า ไปเที่ยวในตึกมาแล้ว แต่บอกไม่ได้ว่า ในตึกนั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง หรืออย่างน้อยก็ต้องบอกได้ว่า ก่อนไปถึงตึกนั้นพบเจออะไรมาบ้างสิครับ :)
     
  20. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    แค่มีสติกลางๆ ไม่ตามรู้สิ่งภายนอก เป็นเพียงผู้ดู เท่านี้ถือว่า นิพพานแล้วหรือครับ
    กรรมฐานแบบนี้จะต่างอะไร กับ คนที่เพิ่งหัดบริกรรมพุทโธ แล้วมีความคิดมากวนก็รู้ แต่ใจก็ยังจับพุทโธอยู่ ยังไม่เห็นจะดับทุกข์ ดับสมุทัยตรงไหนเลย นิโรธอยู่ตรงไหน มรรคอยู่ตรงไหนหละครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...