ท่านฝึกละสังโยชน์ ๓ เพื่อเตรียมตัวเป็นโสดาบันอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์โง๋, 11 เมษายน 2017.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ต่อนะ คุณรโชฯ..


    ไอ้ที่มานั่งอธิบายกันอยู่นี่ ผมไม่ได้บอกให้เชื่อสักหน่อย แค่ปฏิบัติเห็นมายังไงก็ว่าไปตามนั้น แต่คนซักไซร้มันดันมาซักไซร้เรื่องรูปแบบลีลากันอยู่นั่นเอง ไม่ดูว่าเขาเอาสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นนั้นไปทำอะไรต่อ จะเป็นคุณยังไงต่อการภาวนาไม่ดู เขาก็พูดอยู่ชัดๆ แล้วว่า นี่แค่เริ่มต้นทำให้เห็นหนทาง การภาวนาต่อไปก็จับหลักนี้ไป แต่ก็ดันมาจับผิดแต่รูปแบบไม่ตรงตามตำราอยู่นั่นเอง ไอ้นี่แหละที่เขาเรียกว่า สีลพตปรามาส คือมัวแต่ลูบๆ คลำๆ วิธีการปฏิบัติอยู่ไงครับ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจเนาะ ยังจะท่องตามตำรา สีลพตปรามาสหมายถึงอย่างนั้นอย่างนี้อยู่นั่นเอง โงวไหมล่ะครับ

    ทีนี้ผมก็ว่าของผมมาตลอดว่า ผมมุ่งหลุดพ้นพ้นทุกข์ จบกิจอย่างเดียว เรื่องอริยะอะไรนี่ผมไม่สนนะ คือถ้าเขาบอกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ได้ขั้นนั้นขั้นนี้แล้วมันจะมีผลให้การปฏิบัติดีขึ้นเหรอ มันเกี่ยวอะไรด้วย นอกเสียจากพวกอยากได้หน้า หลงลาภยศสรรเสริญเขาก็คงจะปรารถนากันแบบยศตำแหน่งทางโลกละมั้ง ปฏิบัติมาตั้งนานยังจะหลงโลกอยู่ เมื่อไหร่จะออกจากทุกข์ได้ล่ะครับ

    ดังนั้นอย่ามัวสนใจมีขั้นแข้นอะไรเลย อัตตาทั้งนั้น ให้มันจบกิจก็พอ ถ้าเป็นห่วงว่าจะหลงก็ขอบใจมากๆ ยังไงก็ต้องเพียรฝึกไปจนตายกันไปข้างหนึ่งนั่นแหละครับ การปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ก็คือการไม่ประมาทนั่นแหละครับ
     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ทีนี้อีกเรื่องหนึ่ง คุณไปกล่าวพาดพิงชื่อกลุ่มบุคคลบางกลุ่มอะไรนั่น เอามาเป็นเชิงล้อเลียนบุคลิกของเพื่อนสมาชิก ผมไม่ได้เดือดร้อนแทนเพื่อนสมาชิกนะครับ แต่มันฟ้องอะไรรู้ไหม

    คนเรานะต่อให้เขาหลงผิดคิดชั่วเพียงใดนะ นั่นก็เพราะเขายังหลงอยู่ ทุกข์เขามากนะ เขาทำไปเพราะความไม่รู้ ทีนี้คุณเอาเขามากล่าวทำเป็นเชิงเอามาล้อเลียน ก็หมายความว่าคุณขาดเมตตาธรรมไง คุณลองพิจารณาดูดีๆ สิครับ ครูบาอาจารย์พระอริยเจ้าที่ไหนเขาทำแบบนี้กัน ความละเอียดอ่อนตรงนี้ของคุณไปไหนหมด กล่าวธรรมสูงส่งแต่ความละเอียดอ่อน เมตตาธรรมตรงนี้ไปไหนหมดครับ อย่าหลงเชียว ว่าตัวเองเป็นอริยะ
     
  3. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ผมไม่ใช่ พ่อพระแม่พระในอุดมคติครับ ก็มันเป็นธรรมแบบ isis จริงๆ เห็นภาพชัดดีครับ ก็กล้าตายได้ แต่ทนเห็นแย้งไม่ได้ (เพิ่มเติมคือ ใครเห็นต่าง เสกคุณไสย เหมือนพวก isis พาคนเห็นต่างไปฆ่าทิ้ง) จะให้บอกว่าอะไรหละครับ
    ทีกิเลสมาแรง ทำไมธรรมจะแรงบ้างไม่ได้หละครับ ผมว่าผมพูดไม่ค่อยจะแรงเท่าไรเสียด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2017
  4. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ไม่ใช่ปฏิบัติไม่ตรง แต่คุณพูดผิดหลักการ คนเขาเชื่อพระสูตรมากกว่า จะให้เขาทำอย่างไรหละครับ ต้องให้เชื่อคุณหรือ
    ผมแย้งแค่ประโยคเดียวเอง คุณก็ตอบไม่ได้แล้ว

    คือ นิพพานแจ้งก่อนไม่ได้ ทั้งพระสูตรก็ยกมาให้ดูแล้วนี่ครับ
     
  5. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    สีลพตรปรามาส นี่คือ ถือข้อวัตร และยึดมั่นในวิธีการแบบไม่มีเหตุไม่มีผล นะครับ

    การที่เรา ปฏิบัติแล้วตรวจทาน ไม่ใช่สีลพตรปรามาสนะครับ เป็น จิตตะ และ วิมังสา ในอิทธิบาท 4 เสียด้วยซ้ำครับ

    ส่วนคุณ Tboon จะมุ่งไปทางธรรมก็อนุโมทนาด้วย แต่จะผิดหรือถูกก็แล้วแต่บุญแต่กรรมหละครับ ผมไม่ได้เป็นห่วงใครหรอกครับ มาสนทนาธรรมในเว็บ เพราะเขาบอกว่า ห้องนี้มีผู้ปฏิบัติเยอะ ก็อยากจะลองวิชาตัวเองหละครับ :D:D:D
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ป้าด หน้าด้านเนาะ
    โม้ระดับ ดิฟ อิทิเกรท
    ถามแค่สูตรคูณพื้นฐาน
    ยังตอบไม่ได้ อุตสาห์ท้าในเรื่อง
    ที่คุณโม้ว่าเก่งสุดแล้วนะ ๕๕๕
    สงสัยว่าจะกินหญ้าแทนข้าว ขำดี
    ถึงบอกว่า ขำถึงดาว
    อังคาร
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ไอ้นี่มามุข ดิสเครดิสอีกแระ ๕๕๕
    ตามฟอร์มพวกที่มันคิดเอาว่ามันเก่งกว่าใคร
    แต่ปฎิบัติห่วยแตกมาก
    ยังกล้ามาย้อนอีก ๕๕ เอาอะไรทำหน้า??
    อ่อผมปากดีนะครับอย่าเจ้าใจผิด
    แค่ส่วนมากพูดแล้ว
    พวกกินหญ้าแล้วยังมั่น
    มันจะเสียหน้าครับ

    และผมพูดอย่างนี้นะ กับ
    นาย รโชหรณัง ต่อสมาชิกในเวบนี้
    ให้ทุกคนร่วมเป็นพยาน
    ถ้าผมเล่นคุณไสย์จริงๆนะ
    อย่างที่นาย รโชหรณัง มโนเอาไว้นะ
    ขอ ให้ผมตายไม่ดีภายใน ๓ วัน
    ๗ วันเลยคับ และขอให้ผมโง่ๆ
    ทุกๆกรรมฐานทุกๆกองแต่ดันเจือก
    อวดว่าตนรู้มาก หรืออวด
    ฉลาดและปัญญาอ่อนแบบที่คุณ รโชหรณัง
    เป็นตอนนี้เลยครับ

    แต่ถ้าผมไม่ได้เล่นคุณไสย์ อย่างที่
    นาย รโชหรณัง กล่าว
    ขอให้นาย รโชหรณัง ไม่สำเร็จกรรมฐานทุกๆกองในชาตินี้ และขอให้ยังทำตัวโง่ๆแบบเด็กๆ
    และโง่ทั้งด้านปัญญา แต่คิดว่าตัวเองเก่งอย่างนี้ตลอดไปทั้งชาติ

    ปล. เอาแบบนี้เนาะ. แล้วมาดูกัน
    ว่าคำพูดใคร
    จะศักดิ์สิทธิ์ กว่ากันเนาะ
    เด่วรอคิดตามได้ ในอนาคตอันใกล้นี้

    ผมชอบนะ พวกไปไม่เป็นเวลาผมแย้ง
    ทั้งที่พูดดีก่อนแล้วนะ และมากล่าวหาอย่างนี้
    อ่อ อย่าลืมทานนมก่อนนะครับ
    เด่วโตขึ้นสมองจะไม่ดีนะครับ (^_^)
     
  8. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    เอ เครื่องมือเปลี่ยนรูปแบบตัวอักษร สี-font ขีดเส้นใต้ มันอยู่ตรงไหนหว่า? เว็บปรับรูปแบบผมหาเครื่องมืออันเดิมมะเจอ ศิษย์โง่ โง่สมชื่อ หาไม่เจอเบย ^^


    จึ๋ย ต่อว่าแรงจังฮะ ศิษย์โง่แค่ไปก๊อปหัวข้อมา และอ้างอิงตามมารยาท เพื่อจะให้เป็นหัวข้อแห่งการสนทนาเพียงเท่านั้นฮะ ขอบคุณฮะที่โพสในลำดับถัดมาอธิบายธรรม ขยายความ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ต่อผู้อ่าน ^^

    ขอบคุณฮับ ที่อธิบายและแนะแนวการปฏิบัติ ตามที่ผมเข้าใจ การละสักกายะ มีแบ่งลำดับการละด้วยใช่ไหมครับ เหมือนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็ยังเคยอธิบายว่า ขนาดโสดาบันยังมีถึง 3 ระดับ ระดับการละ ระดับการยึด ในวงการโสดาบันด้วยกันเองยังแบ่งความละเอียดที่ไม่เท่ากัน ^^

    จึ๋ย จะไปรอกระทืบใครเขาทำไมละฮะ ฟังธรรม ถกธรรมกันสนุกกว่าเยอะ เขาไม่เรียกว่าทืบฮะ เขาเรียกว่า”แย๊ป”
    แย๊ปจนธรรมแตก ไม่แตก ก็เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่มหาชนชาวสยามเท่านั้นเองฮะ ย่อหน้าถัดมาแนะนำธรรมได้ลึกซึ้งมักๆ ขอบคุณฮะ ศิษย์โง่รู้สึกซาบซุ้ง ^^

    ส่วนตัวคิดว่า ข้อที่ 1 ก็คือมรณานุสติครับ ข้อนี้ในวงการโสดาบันก็นึกถึงความตายอยู่บ่อยๆฮะ อ้างอิงจากตำราครับ

    อิอิ
    ขำขำครับ อิอิ
    เมื่อไม่ละสัญโญชน์ทั้งหลายแล้ว จักทำนิพพานให้แจ้งนั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้เลย.
    เมื่อไม่ละสังโยชน์ นิพพานก็แจ้งไม่ได้ ข้อนี้ชัดเจน ละได้ 3 ก็แจ้งนิพพาน 1 รอบ ละได้เพิ่มอีก ก็แจ้งอีกรอบ วนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบกิจ กิจที่ควรทำไม่มี อิอิ

    อรรถกาถา ที่ยกมาอ่านนี้ลึกซึ้งมากเลยครับ มีการอธิบายไว้อย่างละเอียด ขอบพระคุณที่นำมาให้ผู้อ่านได้เรียนรู้จริงๆครับ

    วิปัสสนาญาณเท่าที่ศิษย์โง่พอจะเข้าใจ ก็มีการวนไปวนมาซ้ำๆ 1 ขึ้นไป2 , 2ลงมา1 ขึ้นไป 3, 3ลงมา 2 ขึ้นไป 3 ลงมา1, ตัวเลขที่ยกมานี้เป็นเพียงการสมมุติ อธิบายเพื่อให้เห็นภาพเท่านั้น เพราะตามที่เข้าใจ มันจะขึ้นๆลงๆของมันเองไปตามธรรมชาติ ไม่สามารถไประบุ บังคับ หรือควบคุม ให้มันขึ้น หรือลง ไปที่จุดนั้นจุดนี้ได้ เพราะวิปัสสนาญาณคือการอบรม บ่มเพาะจิต ใช้ปัญญาเรียนรู้ ให้จิตเกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายจึงคลายกำหนัด การคลายกำหนดตามที่ศิษย์โง่เข้าใจ ก็คือ สังขารุเปกขาญาณ เมื่อคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น การหลุดพ้นคือการข้ามโคตรภูญาณ
    แจ้งนิพพาน ชั่วสายฟ้าแลบ ตามที่คุณ Xtream ได้ยกอรรถกาถา มาแถลงไขให้กระจ่าง แต่เมื่ออินทรีย์ พละ ปัญญา ยังไม่แก่กล้าพอ จึงยังหลุดพ้นไม่หมด จึงต้องกลับมาทำกิจต่อจนกว่าจะเสร็จกิจโดยสมบูรณ์


    ขอปาดแว๊ปนึงนะครับ คิดเล่นๆนะครับ ถ้าขึ้นโรงขึ้นศาลคงจะขำ ฮากันลั่น ทั้งตึกแน่ มูลเหตุคดีมาจากการแสดงพลังเพลิง ^^
    อีกเรื่อง เชื่อว่าสมาชิกท่านอื่นๆก็คงจะคิดเหมือนกัน สำนวนการพิมพ์ เหมือนก๊อปตานิวรณ์มาเป๊ะๆ เพราะลาย watermark มันคล้ายๆกัน
    อันนี้เค้าแค่แซวนะ อย่าถือสาศิษย์โง่^^


    ๑.กิริยาที่จิตกระเพื่อมเป็นอย่างไร เพราะอะไรมันถึงกระเพื่อม
    และมันกระเพื่อมที่ตรงไหนของร่างกาย
    ๒.ความคิดที่เกิดจากจิตเป็นอย่างไร มันมีต้นกำเนิดตรงไหน
    และมันขึ้นมา หน้าตาทางนามธรรมมันเป็นอย่างไร
    ๓.ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ นามธรรมกิริยาเอกลักษณ์มันเป็นอย่างไร
    ๔ .ขันธ์ ๕ นามธรรมอยู่ต่ำแหน่งไหนของจิต
    เวลามามันมาด้านไหนและมาลักษณะอย่างไรของจิต

    อืม....คำถามยากแฮะ ขออนุญาตร่วมเกมส์ตอบคำถามชิงรางวัลเงินสดมูลค่า 10 บาทด้วยคนครับ
    1 จิตไปรับรู้ธรรมมารมณ์ต่างๆ กระเพื่อมเพราะจิตปรุงแต่งผ่านทางอายตนะทั้ง 6 กระเพิ่อมที่ตรงจิตไปคบหามันเอง
    2 มีต้นกำเนิดจากการปรุงแต่ง เพราะถ้าไม่มีการปรุงแต่ง จิตจะเป็นกลาง เป็นเพียงผู้รู้ ผู้ดู รับรู้สิ่งต่างๆที่เข้ามากระทบผัสสะผ่านทางอายตนะ เท่านั้น แต่ไม่ร่วมปรุงแต่งไปด้วย
    3 ข้อนี้ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่เดาว่าเอกลักษณ์นามธรรม คือ ฟุ้งซ่าน
    4 ไม่มีทิศทางที่แน่นอน ทุกสิ่งเกิดขึ้นเป็น อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา มากระทบ แล้วไปรับรู้มัน ห้ามมันไม่ได้ บังคับบัญชาควบคุมไม่ได้ ลักษณะของจิต ก็อยู่ที่แต่ละบุคคลเป็นปัจจเจก ผู้ที่ฝึกมาดี ก็รับรู้แต่ไม่ร่วมปรุงแต่ง ส่วนผู้ที่ไม่เคยฝึก ไม่คิดทวนกระแส ก็จะร่วมปรุง แต่มีวิตก วิจารณ์ ร่วม สร้างกรรม สร้างวิบากตามมา

    ตอบยากแหะ - -“
    มั่วด้นสดเอาเลย ขอเฉลยหน่อยครับ อยากรู้ว่าได้กี่คะแนน ^^
     
  9. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    พยาบาทรุนแรง ออกไม่ได้ เลยแช่งตัวเองซะงั้น
    ไปสาบาน ส่งๆ เดชๆ ระวังนะครับ
    ผมนะไม่ได้ใส่ใจ คำสาบาน คำแช่ง อะไรของคุณหรอก
    กลัวว่า คุณเกิดเป็นอะไรไปจริงๆ ผมจะมีบาปติดตัว

    ปากไม่ดี ขนาดนี้ จะมีสัจจะวาจาได้อย่างไรหละครับ

    แล้วกรรมฐาน ทั้งวิปัสสนาทั้งสมถะที่ผมฝึกสำเร็จแล้วหละครับ จะให้หายไปด้วยหรือเปล่า
     
  10. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    คนชอบสาบาน ชอบแช่ง นี่มันมีโทสะ รุนแรง
    ทีนี้ เวลาไปสาบานไปแช่ง แล้ว ตัวเองก็คับแค้นอยู่อย่างนั้น
    ความดันมันขึ้น เส้นเลือดในสมองตีบ แล้วมันก็จะล้มป่วย กลายเป็นอัมพฤก อัมพาตไป เดือดร้อนลูกหลานอีก ตรงนี้ต้องรู้จักประมาณตัว
    มาเล่นเว็บธรรมะ แทนที่จะได้บุญกุศล อิ่มเอม ติดตัวไป กลายเป็นได้บาป ได้ความโชคร้ายไป ต้องระวังนะคุณ nopphakan

    เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้จักประมาณตัว ชีวิตจริง ไม่ต้องยิงกับคนอื่นเลยหรือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2017
  11. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    พระพุทธองค์ ท่านกล่าวใจความว่า
    เวลาไปเดินทางไปเยี่ยมเยียนคนอื่น ซื้อของไปให้เขา เมื่อถึงบ้านเขาแล้ว เอาของยื่นให้เจ้าของบ้าน แล้วเจ้าของบ้านไม่รับ ของที่ถือไปเยี่ยมนั้นตกเป็นของใคร
    ก็ต้องตกเป็นของคนที่ถือไป

    เรื่องนี้จึงต้องระวัง ในการที่จะแช่งคนอื่น อีกประการหนึ่ง
    มันไม่ใช่เรื่องจะต้องมาพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์ของปาก นั่นมันกิเลสล้วนๆ
    ทั้งสักกายะทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีลพรตรปรามาส โทสะ โมหะ อวิชชา ยกกันมาทั้งขบวน
    สุดท้ายตัวเองนั่นแหละจะเสียหายครับ
     
  12. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    แสดงว่าไม่เก็ทหรือไงครับ ผมหมายถึงว่า คนที่เขามีปัญญาเห็นทุกข์จริงๆ แล้วเนี่ย เขาจะทำแบบที่คุณทำพูดคิดหรือครับ ไม่ใช่ว่าจะต้องมาเสแสร้งทำตัวเป็นพ่อพระแม่พระอะไรนะครับ ของพวกนี้ควรจะสำเหนียกรู้ได้เองโดยอัตโนมัติทันที เหตุผลก็คือมันเห็นความทุกข์ความยากของตนเองมา คนทั้งโลกมันก็ทุกข์ยากลักษณะเดียวกันหมดนั่นแหละครับ เขามีแต่จะเมตตากัน ถ้าเป็นไปได้ ช่วยได้ก็ช่วยครับ ช่วยไม่ได้ก็วางเฉยไป แต่ไม่ใช่ไปซ้ำเติมกันทางใดทางหนึ่งเข้าไปอีก แบบนี้เมตตามันไม่มีเลยนะครับ นั่นก็หมายความว่าอะไรครับ ชี้ให้ดูก็ยังคิดไม่ได้เนาะ
     
  13. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    เข้าใจครับ แต่ไม่เมตตาหรอกครับ มีแต่หมั่นไส้ :):) จะต้องไปเมตตาอะไรครับ
    คนมาด่าเรา เราก็หมั่นไส้ ก็เท่านั้นหละครับ
    กิเลสมันต่อยเราปาวๆ จะไปนั่งเมตตาอยู่ได้ยังไงครับ

    เมตตาไม่มีเลย ก็หมายความว่า อุเบกขาได้ไงครับ
     
  14. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ก็ผมถามคุณอยู่นี่ไงครับ ว่า 84,000 พระธรรมขันธ์เนี่ยคุณอ่านคุณศึกษาหมดครบหรือยัง ถึงได้จะมาตรวจสอบออกใบเซอฯชาวบ้านเขาน่ะครับ คือถ้ามุกนัยที่ว่าด้วยเรื่องอาศัยอ้างอิงพระสูตรมาตัดสิน ก็หมายความว่าคนอ้างจะต้องรู้ครบทุกพระสูตรก่อน จึงกล้ายืนยันว่าอย่างนี้ไม่มีแน่นอน หรือคุณจะอ้างว่าคำตรัสของพระพุทธองค์จะไม่มีขัดกันเอง ผมก็ยอมรับครับว่าไม่มีขัดกันเองแน่ เว้นเสียแต่ไม่คุณก็ผมที่ศึกษาไม่รอบคอบแล้วด่วนตัดสินไปเอง

    ดังนั้นเมื่อคุณอาศัยอ้างอิงถูกผิดด้วยหลักวิชาการ ด้วยพระสูตร คุณก็ต้องเรียนครบให้หมดทุกพระสูตร รวมทั้งพระวินัย และพระอภิธรรมด้วย จึงจะมาตัดสินเป็นเอกฉันท์ได้จริงไหม เพราะอะไร ย้ำ เพราะเมื่อคุณเรียนธรรมแบบเรียนวิชาการ คุณก็ต้องเรียนให้ครบก่อนไงครับ แล้วตกลงเรียนครบหรือยัง ถามแค่เนี๊ย ตอบยากจัง
     
  15. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ผมไม่ได้ออกใบเซอร์ครับ ผมแค่บอกว่า คุณกล่าวผิด

    พูดเรื่อง บวกเลข ก็ยกเอาแค่บวกเลขมา เท่านั้น
    จะต้องไปยกเรื่องอื่น มาสนับสนุน ทำไมหละครับ

    แต่ถ้าคุณจะถามว่า ผมเรียนครบหรือยัง ตอบว่า ถ้าครบก็พระอรหันต์นะสิครับ ผมยังเรียนไม่ครบครับ

    สิ่งที่ผมยกมา เพียงบอกว่า คุณกล่าวผิดกับพระสูตร
    ถ้าคุณแจ้งแล้ว คุณก็อธิบายสิครับว่า ที่คุณผิดไปจากพระสูตรนั้นมีเหตุใด
    ในเมื่อคุณแจ้งแล้ว คุณพร้อมจะเป็นพยานให้พระพุทธองค์ และคุณได้ธรรมแล้ว ก็อธิบายให้คนอื่นเข้าใจสิครับ ไม่เห็นยากเลย
     
  16. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    สุดยอดครับ "เมตตาไม่มีเลย ก็หมายความว่า อุเบกขาได้" คุณลืมอ่านไปหรือไงครับว่า ถ้าช่วยไม่ได้ก็วางเฉย แต่ไม่ใช่ไปซ้ำเติมกัน และกรุณาอย่าโบ้ยไปเป็นคุณนพเลย อย่าทำอย่างนั้นเลยครับ
     
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    อ๋อ เลี่ยงไปตอบว่ายังไม่ใช่พระอรหันต์ ดังนั้นจึงยังเรียนไม่ครบนะ เลี่ยงมาทางด้านปฏิบัติแทน โอเคครับ ถือว่าคุณตอบกรายๆ แบบรักษาฟอร์มหน่อยๆ ไม่ว่ากัน เมื่อยังเรียนไม่จบก็ใจเย็นๆ หน่าครับ

    จริงๆ ชื่อที่คุณเอามาตั้ง รโชหรณัง นี้ก็เป็นที่มาของพระสูตรเหมือนกัน น่าจะพอรู้ประวัติของท่านพระจูฬปันถก มาบ้าง ว่างๆ น่าจะลองพิจารณาเทียบกับพระสูตรที่คุณยกมาอ้างบ้างก็ดีนะครับ เผื่อจะเห็นอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกบ้างครับ
     
  18. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ต้นเรื่อง คือคุณ ทีอธิบายว่าต้องเห็นธรรมฝั่งอสังขตธรรมก่อน ก็ถูกต้องแล้ว แต่คุณรโชกับแย้งว่าคุณจะแจ้งนิพพานก่อนไม่ได้มันผิดหลัก ซึ่งคุณทีพยายามอธิบายให้คุณฟัง แต่คุณรโชไม่ฟัง ยืนยันว่าผิดท่าเดียว เอามาสูตรมาอ้างอิง ซึ้งเรื่องนี้ไม่จำเป็นเลย เพราะคนปฎิบัตเขาย่อมรู้หลัก ไม่มีใครหรอกที่จะกระโดดข้ามไปแจ้งนิพพานก่อน คุณรโชพยายามดึงดัน เอาภูมิอรหันต์มาอวดท่าเดียว ซึ่งตนเองก็ยังรู้ไม่ถึงภูมินั้น ไม่ได้ดูหัวกระทู้จั่วว่าอย่างไร ถ้าจะจับผิดเพราะเข้าใจไม่ตรงกัน กับคำว่าแจ้งหรือไงครับ หรือว่าคำว่าแจ้งใช้ได้กับจบกิจแล้วเท่านั้นหรือไงครับ ผมจึงบอกว่าคุณรโชยังมีทิฐฐิอยู่นะครับ
    รู้จากตำรา กับรู้จากการปฎิบัติ มันต่างกัน
    ไม่งั้นคนอ่านตำราก็บรรลุธรรมหมดแล้ว
    มีแต่ความรู้ แต่บอกสภาวะแท้จริงไม่ได้
    ความรู้จากตำรามันฟังดูดีใช่ไหมละ ต้องย้อนถามใจตนเองดูว่ารู้เท่าตำราหรือยัง
    การยกตำราพระสูตรออกมาส่งเดช โดยตนเองไม่มีสภาวะรองรับ สุดท้ายมันจะฟ้องตนเองนะครับ
     
  19. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    สำหรับคนชอบอ่าน



    สังวัณณนาแห่งทัสสเนนปหาตัพพติกะ


    [๙๒] บทว่าทสฺสเนนโดยอรรถว่า อันโสดาปัตติมรรค.
    ก็โสดาปัตติมรรค พระผู้มีพระภาคตรัสว่าทัสสนะ
    เพราะเห็นนิพพานครั้งแรก.

    ส่วนโคตรภูเห็นนิพพานครั้งแรกก็จริง;
    ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เรียกว่า เห็น
    เพราะไม่มีการประหาณ (การละ) กิเลส อันเป็นกิจที่พึงเห็นนิพพานทำ,

    เหมือนอย่างบุรุษกล้าสู่ราชสำนักด้วยกรณียะเฉพาะบางอย่าง
    แม้ได้เห็นพระราชาซึ่งเสด็จทรงช้างไปตามถนนแต่ไกลเทียว
    เมื่อถูกถามว่า “ท่านได้เฝ้าพระราชาแล้วหรือ”
    (คำว่า เฝ้า หรือเข้าเฝ้าในภาษาบาลี ใช้กริยาศัพท์เดียวกันกับ เห็น นั่นเอง เพราะเฝ้า หรือเข้าเฝ้าก็คือเห็น หรือพบนั่นเอง)
    ก็ย่อมจะตอบว่า “ยังไม่ได้เฝ้า”
    เพราะ
    ยังมิได้ทำกิจที่พึงเข้าเฝ้า กระทำฉันใด, ก็ฉันนั้น นั่นแหละ.

    แท้จริงโคตรภูญาณนั้น ก็ตั้งอยู่ในฐานะแห่งอาวัชชนะของมรรค.
    บทว่า ภาวนาโดยอรรถว่า มรรค ๓ ที่เหลือ. ก็มรรค ๓ ที่เหลือ
    บังเกิดขึ้นด้วยอำนาจภาวนา ในธรรมที่ปฐมมรรคเห็นแล้วนั่นเอง.
    ไม่ได้เห็นธรรมอะไรๆที่ปฐมมรรคไม่เคยได้เห็น;
    เพราะฉะนั้น
    พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า ภาวนา. บทที่ ๓ตรัสโดยการปฏิเสธบททั้ง ๒.

    บรรดาธรรมทั้ง ๓ นั้น จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง
    และที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาดวงหนึ่ง รวม ๕ ดวง
    เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรค (ทัสสนะ) พึงประหาณ(พึงละ) เทียว.
    จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นธรรมอันมรรค ๓ ที่เหลือ (ภาวนา) พึงประหาณนั่นเทียว.

    อกุศลจิตตุปบาท๖ ที่เหลือ ทั้งที่เป็นไปและไม่เป็นไปโดยความเป็นเหตุแห่งอบาย เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคพึงประหาณ ก็มี,
    เป็นธรรมอันมรรค ๓ที่เหลือไม่พึงประหาณก็มี.
    ส่วนจิตตุปบาททั้งปวงเว้นอกุศล, รูป,และนิพพาน
    เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรค หรือมรรค ๓ ที่เหลือไม่พึงประหาณ.

    ส่วนบรรดาเจตสิกทิฏฐิ วิจิกิจฉา อิสสามัจฉริยะและกุกกุจจะเป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคพึงประหาณเทียว.

    อกุศลที่เหลือเป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคพึงประหาณก็มี.
    เป็นธรรมอันมรรค ๓ที่เหลือพึงประหาณก็มี;
    เจตสิกที่เหลือจากที่กล่าวแล้ว ๑๓ อย่าง
    อันมีชาติ ๓ เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคหรือมรรค ๓ ที่เหลือ
    ไม่พึงประหาณเทียว.

    ส่วนการประหาณแม้ซึ่งกุศลและอัพยากฤตที่ท่านอนุญาตไว้

    โดยนัยมีคำว่า
    “นามและรูปที่พึงบังเกิดในสังสารวัฏ อันไม่รู้เงื่อนต้นเงื่อนปลายเว้น ๗ ภพย่อมดับลงในที่นี้เพราะอภิสังขารวิญญาณดับลงด้วยโสดาปัตติมรรคญาณ”

    ดังนี้เป็นต้นนั้น

    ท่านกล่าวหมายปริยายนี้ว่าเพราะได้ประหาณบรรดากิเลสอันเป็นอุปนิสสัยปัจจัยแห่งนามและรูปที่พึงบังเกิดขึ้นเพราะมิได้ยังมรรคนั้นๆให้เกิด.
    อนึ่ง ติกะนี้เป็นนิปปเทสัตติกะ.ทัสสเนนปหาตัพพติกะจบ


    เครดิต http://palungjit.org/threads/๑๓-โมหวิเฉทนี-เสสติกสังวัณณนา.295973/
     
  20. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ผมไปซ้ำเติมอะไรคุณ nop หรือครับ
    คุณ Tboon กำลังสวดมนต์เงียบๆ ในบ้าน ในที่สำหรับสวดมนต์ แล้วหากมีผีได้ยินแล้วร้อน จะไปว่า เราไม่เมตตา เราไม่อุเบกขาได้ยังไง
    ใจเราอุเบกขา ไม่ได้หมายความว่า ห้ามเราพูดธรรม หรือโต้ตอบด้วยธรรมนี่ครับ

    อย่าไปสนใจเรื่องของคนอื่นเลยครับ เอานิพพานแจ้งของตัวเองให้เข้าใจก่อน
     

แชร์หน้านี้

Loading...