น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นมัสการท่านเตชปญโญ
    ข้อความจากธรรมะของท่าน
    สิ่งที่เราจะใช้ในการศึกษาเพื่อให้เกิดดวงตาเห็นธรรมก็คือ (๑) กฎสูงสุดของธรรมชาติ และ (๒) ร่างกายและจิตใจของเราเอง<O:p</O:p
    กฎสูงสุดของธรรมชาติเป็นอย่างไร?<O:p</O:p
    ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่ จะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ทั้งสิ้น<O:p</O:p
    สิ่งที่มีตัวตนที่แท้จริง (อัตตา) นั้น จะมีลักษณะที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นมาเป็นเหตุและปัจจัยเพื่อปรุงแต่งหรือสร้างมันขึ้นมาเลย คือมันจะมีสภาวะเป็นตัวตนของมันเองจริงๆ และสภาวะนั้นจะไม่มีวันเสื่อสลายหายไปอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะมีสิ่งใดมาทำลายก็ตาม หรือไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปสักเท่าใดก็ตาม เรียกว่ามันจะเป็นอมตะ หรือไม่ตาย หรือจะตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดร<O:p</O:p
    >>คำตอบนี้มีอยู่ ตอบไว้ท้ายสุดของคำตอบกระทู้อันนี้
    ตัวตนที่แท้จริงนี้ เป็นเพียงความเชื่อ หรือการคาดคะเนขึ้นมาเองว่ามันมีอยู่จริง ซึ่งความเชื่อเรื่องว่าจิตหรือวิญญาณของคนเรานี้เป็นตัวตนที่แท้จริง<O:p</O:p
    ถ้าเราเข้าใจแล้วว่า วัตถุทั้งหลายไม่มีตันตนที่แท้จริง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ที่จะเข้าใจว่าร่างกายก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง<O:p</O:p
    เพื่อที่จะไปศึกษาให้เกิดความเข้าใจเรื่องว่าจิตใจก็ไม่มีตัวตนที่แท้จริงต่อไป<O:p</O:p
    >>คนที่คิดว่าจิตใจไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่มีทางที่จะเข้าใจพระพุทธศาสนา ยังห่างไกลจากพระพุทธศาสนา<O:p</O:p
    พระพุทธศาสนาสอนเรื่อง รูปธรรม(ร่างกาย) และนามธรรม(จิตใจ) ท่านจะยึดถือแต่เรื่องรูปธรรมที่จับต้องได้เป็นเครื่องมือพิสูจน์ความรู้ แล้วปฏิเสธเครื่องมือพิสูจน์นามธรรมที่จับต้องไม่ได้หรือ<O:p</O:p
    >> การที่ท่านมีความคิดว่า ร่างกายไม่มีอยู่จริงจิตใจไม่มีอยู่จริง วัตถุทั้งหลายไม่มีอยู่จริง เป็นการเพียงพอแล้ว เพราะทุกอย่างไม่มีอยู่จริง จึงไม่จำเป็นต้องศึกษาอะไรให้ยุ่งยากอีกต่อไป ไม่กิจที่ต้องทำอีกต่อไป รู้ระดับสัญญา(จำได้)เพียงพอแล้ว <O:p</O:p
    >>การท่องคาถา (หมายถึงความรู้จากการจำ ความทรงจำของสมอง ) วัตถุทั้งหลายไม่มีตันตนที่แท้จริง<O:p</O:p
    >> กับการที่จิต เข้าใจว่าวัตถุทั้งหลายไม่มีตันตนที่แท้จริง<O:p</O:p
    >> เป็นดังธรรมะของหลวงตามหาบัว<O:p</O:p
    ก็เพราะความรู้เกิดจากปัจจุบันจิต อันกลายเป็นปัญญาไปในตัว
    กับความรู้คาดคะเน (สัญญา)
    มันต่างกันราวฟ้ากับแผ่นดินนั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    >>ถ้าท่านไม่เปิดใจ ยอมรับเรื่องการมีอยู่ของจิต ท่านย่อมพลาดเรื่องสำคัญที่สุดในการศึกษาพระพุทธศาสนาที่แท้จริง <O:p</O:p
    >> ดังคำสอนหลวงพ่อพุทธทาส ท่านยังให้ความสำคัญกับจิตใจ ต้องให้ตัวใจรู้ว่าไม่มีตัวตน <O:p</O:p
    จิตใจที่ควบคุมไม่ได้มันก็เกิดกิเลส<O:p</O:p
    ประพฤติปฏิบัติควบคุมกำจัดกิเลสได้จนกระทั่งว่าไม่มีความยึดถือว่าตัวตน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ขออ้างถึงบทความของคุณ ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน<O:p</O:p
    ไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ<O:p</O:p
    <<<ถ้าไม่รู้จักตัวจริง ก็ไม่รู้ว่ามีตัวปลอม >>><O:p</O:p
    ถ้าเราไม่รู้จัก ตัวจริง ๆ ของเรา แล้ว เราก็จะไม่รู้จัก ตัวปลอม ของเราเช่นกัน จะเข้าใจผิดว่าตัวปลอมของเราคือตัวจริง ตัวจริง ๆ ที่พูดถึงในนี้ก็คือ สภาวะที่เจ้าของชีวิตสามารถเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุด หรือเข้าถึงพระนิพพาน หรือ เมื่อเจ้าของชีวิตสามารถรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์ได้นั่นเอง<O:p</O:p
    ตัวจริงของเรา อยู่ที่ไหน?<O:p</O:p
    ร่างกายและจิตใจของเรานี้ ส่วนไหนที่เราสามารถกำหนดลงไปได้อย่างแน่ชัดว่านั่นคือตัวจริง ๆ ของเรา ตัวคุณจริง ๆ หรือ ตัวฉันจริง ๆ <O:p</O:p
    ฝรั่งมักเชื่อว่าจิตใจอยู่ที่สมอง<O:p</O:p
    เมื่อกล่าวถึงคำว่า จิตใจmind ขึ้นมาทีไร ความซับซ้อนและสับสนจะเกิดขึ้นทันที จะบอกว่าจิตใจในส่วนที่เป็นสมองอันเป็นก้อนเนื้อสีเทา ๆ ที่นอนขดอยู่ในกะโหลกศรีษะ ซึ่งเรามักจะ (ถูกนักวิทยาศาสตร์บอกให้) คิดว่าเป็นส่วนที่ผลิตความคิดและความรู้สึก หรือ จิตใจ ในฐานะที่เป็นสภาวะอันเป็นนามธรรมและเป็นหน่วยงานอิสระซึ่งสามารถควบคุมและสั่งงานให้เราทำตามความคิดและความรู้สึก <O:p</O:p
    ปัญญาชนชาวตะวันตกส่วนมากจะเห็นพ้องกันว่า จิตใจ คือ ส่วนที่เป็นหัวสมองของมนุษย์มากกว่าส่วนที่เป็นนามธรรมอันเป็นองค์กรอิสระแน่นอน <O:p</O:p
    ฉะนั้น หากคุณคิดว่าจิตใจคือสมองแล้วละก็ ย่อมหมายความว่าคุณยังไม่ได้พูดอะไรที่ห่างไกลจากส่วนของร่างกายเลย จริงหรือไม่เล่า เพราะว่า สมองก็คือส่วนหนึ่งของร่างกาย ส่วนจิตใจเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง formless คุณต้องการเข้าใจสิ่งที่ไม่มีรูปร่างเช่นความคิดกับความรู้สึก แต่คุณกลับไปเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นก้อนเนื้อของร่างกาย จุดนี้เองที่ดิฉันพูดว่า นักสมองศาสตร์กับนักจิตวิทยากำลังต่อสู้กับศัตรู (ความคิด กับ ความรู้สึก) ผิดสนามรบ fighting in the wrong battle field ศัตรูอยู่สงขลา แต่กลับส่งทหารไปเชียงใหม่ ทำนองนั้น <O:p</O:p
    นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์เชื่อว่าความว้าวุ่น กลุ้มใจ วิตก กังวล หงุดหงิด คิดมาก ฟุ้งซ่านจนตั้งตัวไม่ติดของเรานั้น เกิดจากสารเคมีในร่องของสมองไม่สมดุลกัน หมายความว่าคุณไม่มีอำนาจเหนือชีวิตจิตใจของคุณเลย เช่นนั้นหรือ <O:p</O:p
    คุณเห็นแล้วหรือยังว่า เมื่อเราค่อย ๆ วิเคราะห์เข้าไปสู่เรื่องการหา ตัวจริง ๆ ของเรานั้น มันไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ๆ และตรงไปตรงมาอย่างที่คิดเลย เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ <O:p</O:p
    ต้องเปิดประตูใจ ให้โอกาสพระพุทธเจ้า<O:p</O:p
    ปัญหาทั้งหมดนี้จึงวกกลับมาที่คำว่า จิตใจ และการให้คำนิยามแก่คำ ๆ นี้ ตราบใดที่เรายังไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่า จิตใจ และไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนแล้วละก็ เราจะไม่มีวันหา ตัวจริง ๆ ของเราได้พบเลย<O:p</O:p
    ตรงนี้แหละ คือ เหตุผลหลักที่ให้เพิกเฉยและแกล้งลืมความรู้ที่ได้เรียนมาเสียก่อนโดยเฉพาะภาควิชาจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่องจิตใจในแง่ที่เชื่อมโยงกับสมองทั้งหมด เพราะเขาคิดว่าจิตใจคือสมอง The mind is the brain. <O:p</O:p
    หากคุณไม่แกล้งลืมและเปิดประตูใจของคุณให้กับความรู้ของพระพุทธเจ้า คุณจะไม่มีวันเข้าใจความรู้ของพระพุทธเจ้า ว่าจะสามารถให้คำตอบเรื่องตำแหน่งแห่งหนของจิตใจแก่คุณได้ชัดเจนมากกว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน <O:p</O:p
    ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว<O:p</O:p
    หากเราวิเคราะห์ตามความรู้ของพระบรมศาสดาของชาวพุทธแล้วละก็ จิตใจ เป็นสภาวะ (หรือองค์กร) อิสระที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับร่างกายอยู่บ้าง แต่ไม่ทั้งหมด ส่วนที่เกี่ยวข้องกับร่างกายนั้นคือ ส่วนที่คุณหมอสามารถใช้ยาสลบฉีดเข้าไปในร่างกาย ซึ่งยานั้นมีส่วนเข้าไปบังคับให้สมองส่วนหนึ่งหยุดทำงาน ไม่รับรู้ความรู้สึกของร่างกายอีกต่อไป บางครั้งก็สามารถทำให้หมดสติไปเลย และเปิดโอกาสให้คุณหมอทำศัลยกรรมผ่าตัดคนไข้ได้ และ คนไข้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับสมองที่เนื่องกับระบบประสาท ทำให้กระทบต่อเรื่องการคิด การจำ ซึ่งดิฉันยอมรับว่าสมองมีส่วนเกี่ยวข้องกับจิตใจจริง<O:p</O:p
    แต่มันยังมีสิ่งนอกเหนือจากนั้นที่นักการศึกษาทางโลกยังไม่เข้าใจพระพุทธเจ้าท่านกลับเห็นว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว งานทุกอย่างจะสำเร็จได้ก็เพราะมีจิตใจก่อน จึงทำให้ จิตใจมีระบบการทำงานที่เป็นอิสระจากร่างกายอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของหัวสมองเพียงถ่ายเดียว นอกจากนั้น มันยังทำงานในลักษณะที่ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของวงการแพทย์ทั่วไป นั่นคือ จิตใจต่างหากที่เป็นปัจจัยทำให้การทำงานของร่างกายตลอดจนสารเคมีในสมองปั่นป่วน <O:p</O:p
    ความรู้สึกในใจก่อให้เกิดการหลั่งสารเคมีในร่างกาย<O:p</O:p
    ความรู้สึกทางอารมณ์ที่ฉุนเฉียวของคนเราจะเป็นปัจจัยทำให้ร่างกายปั่นป่วน ความโกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา พยาบาท เคียดแค้น จองล้างจองผลาญ เป็นอารมณ์ทางใจที่มาก่อน เกิดก่อนสภาวะความปั่นป่วนของร่างกาย เช่น เพราะโกรธจัด หัวใจจึงเต้นแรง ท้องไส้จึงปั่นป่วน ไม่ใช่เพราะหัวใจเต้นแรงก่อน ท้องไส้ปั่นป่วนก่อนแล้วค่อยเกิดความโกรธ เพราะ กลัวจัดจึงทำให้ความดันโลหิตสูง อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น ร่างกายจึงปล่อยสารเคมีที่เรียกเอ็นไซม์หรือฮอร์โมนบางชนิดออกมา <O:p</O:p
    เอ็นไซ์มตัวที่รู้จักกันดีคือ อะดรีนารีน สารตัวนี้จะถูกปล่อยออกมาจากต่อมหมวกไตเมื่อมีอาการตื่นเต้น ตกใจ กลัว และ โกรธจัด ทำให้หัวใจเต้นแรง เพิ่มพลังงาน หรือมีแรงมากขึ้น ก่อปฏิกิริยาให้ร่างกายสามารถทำในสิ่งที่ทำไม่ได้ได้อย่างรวดเร็วขึ้น ไม่รู้สึกเจ็บปวด เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ คนตกใจสามารถยกของหนักได้เหมือนเป็นของเบา ๆ เพราะสารอะดรีนาลินนี้ <O:p</O:p
    การรวมตัวของคนกลุ่มใหญ่เช่นตามสนามฟุตบอลที่เต็มไปด้วยคนมีอารมณ์สุดขีด ไม่ตื่นเต้นจัด ก็กลัวจัด หรือไม่ก็โกรธจัดเมื่อทีมฟุตบอลตัวเองแพ้ ชาวอังกฤษไม่น้อยที่นับถือฟุตบอลเหมือนเป็นศาสนา รักทีมฟุตบอลของตนเองมากกว่ารักพระเจ้า จึงมักมีปัญหาเรื่องการใช้ความรุนแรงตามสนามฟุตบอล ความคิด ความรู้สึก ที่อยู่ในหัวในใจของคนเหล่านี้กำลังปั่นป่วน สร้างอารมณ์สารพัดนึก สารอะดรีนาลินในคนเหล่านั้นจึงถูกหลั่งออกมาพร้อม ๆ กัน ทุกคนล้วนรู้สึกมีพลังมากขึ้น จึงมีเรื่องการใช้ความรุนแรงบ่อยมาก สามารถทุบตี ชกเตะต่อย โยนเก้าอี้ใส่กันได้โดยไม่รู้สึกเจ็บ เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป สารอะดรีนาลินลดลงและหยุดหลั่งแล้ว ร่างกายจะเหนื่อยและอ่อนเพลียมาก คนหนีไฟไหม้ไม่สามารถยกของหนักกลับบ้าน คนชกต่อยกันก็อาจต้องหยอดน้ำข้าวต้ม <O:p</O:p
    ถ้าคุณควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ปล่อยให้ตื่นเต้น กลัวและโกรธบ่อย ๆ แล้วละก็ คนเราสามารถทำอะไรที่บ้าระห่ำ ทำสิ่งที่แม้ตนเองก็คาดไม่ถึง เช่น สามีฆ่าภรรยา ภรรยาฆ่าสามี ลูกฆ่าพ่อแม่ได้เมื่อไม่สามารถได้อะไรดังใจดังที่มีข่าวออกมาเสมอ หลายรายที่เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป และจำเลยถูกนำขึ้นศาลพิจารณาคดี ผู้ต้องหามักตอบไม่ได้ หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น หลายคนรู้สึกเสียใจ อยากหมุนนาฬิกากลับ แต่ก็สายไปเสียแล้ว <O:p</O:p
    ที่จริงพระพุทธเจ้าได้ตรัสแล้วว่า ความโกรธนั้นสามารถทำให้มนุษย์กระทำในสิ่งที่ทำได้ยากหรือทำไม่ได้ในยามที่จิตใจเป็นปกติ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าท่านเห็นการทำงานของจิตใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว <O:p</O:p
    การกระทำที่ผิดศีลธรรมอย่างร้ายกาจจึงล้วนเกิดจากตัวใจถูกความคิดและความรู้สึกของเราหลอกเอาก่อน ทำให้อารมณ์ทางใจปั่นป่วนก่อน ร่างกายจึงปั่นป่วนตาม เป็นผลให้ร่างกายหลั่งสารเคมีต่าง ๆ ออกมา รวมทั้งทำให้สารเคมีในสมองไม่สมดุลซึ่งเป็นเรื่องของปลายเหตุมากกว่าที่จะเป็นต้นเหตุดังที่วงการแพทย์วิเคราะห์กัน <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเห็นว่า <O:p</O:p
    จิตใจปั่นป่วน ---> ร่างกายปั่นป่วน ---> การกระทำผิดศีล <O:p</O:p
    วิทยาศาสตร์การแพทย์เห็นว่า<O:p</O:p
    ร่างกายปั่นป่วน ---> จิตใจปั่นป่วน ---> การกระทำผิดศีล<O:p</O:p
    (มีต่อ)<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2008
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    (ต่อ)
    ขันธ์ ๕
    ฉะนั้น การที่จะค้นหาตำแหน่งแห่งหนของจิตใจเพื่อเข้าใจธรรมชาติการทำงานของมัน เพื่อแก้ปัญหาจิตใจและเพื่อหาตัวจริง ๆ ของเรานั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้วิธีการวิเคราะห์ ร่างกาย-จิตใจ โดยวิธีการของพระพุทธเจ้าเสียก่อน นั่นคือ ท่านบอกว่า ร่างกาย-จิตใจ ของมนุษย์นี้ประกอบด้วยส่วนที่เป็น รูป หนึ่งส่วน และที่เป็น นาม อีกสี่ส่วน หรือ ที่ชาวพุทธเรียกว่า ขันธ์ ๕ นั่นเอง <O:p</O:p
    1. รูปขันธ์ คือ ส่วนของร่างกายทั้งหมดรวมทั้งสมองด้วย<O:p</O:p
    2. เวทนาขันธ์ คือ ส่วนของความรู้สึกของกาย เช่นรู้สึกได้ว่า นี่ร้อน เย็น แข็ง อ่อน นุ่ม สบาย ไม่สบาย เจ็บ ปวด ระอุ ระบม เป็นต้น<O:p</O:p
    3. สัญญาขันธ์ คือ ความทรงจำ อันคือ ความคิดทุกอย่างที่เนื่องกับอดีตเช่น ความรู้ที่ได้จากการอ่านหนังสือ ภาษาตลอดจนเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตองค์กรที่เป็นนามนี้เปรียบเหมือนกล่องเก็บข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งภาษาคอมพิวเตอร์เรียกดาต้าเบส database ที่มีความสามารถเก็บเหตุการณ์ทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเรา
    <O:p</O:p4. สังขารขันธ์ คือ ความคิดใหม่ ๆ สด ๆ ที่กำลังคิดอยู่ในขณะนี้ อันเนื่องกับจินตนาการของอนาคต หรือจะเรียกว่าความคิดปรุงแต่งก็ได้ มันทำงานร่วมกับสัญญาขันธ์ คนที่มีความทรงจำมาก เช่น มีความรู้มากเพราะได้อ่านมาก ฟังมาก หรือเก็บเหตุการณ์อดีตไว้มาก ก็จะสามารถสร้างความคิดใหม่ ๆ สด ๆ ได้มากขึ้น และอดไม่ได้ที่จะคิดพาดพิงจินตนาการต่อไปถึงอนาคต ความคิดที่สดใหม่นี้เปรียบเหมือนเครื่องปรุงแต่งความคิดเก่าเพื่อทำให้เรื่องเก่ากลายเป็นเรื่องใหม่ในหัวในใจเราอยู่เสมอ และปรุงแต่งให้เรื่องราวในใจมีรสชาติเข้มข้นมากขึ้น แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนานหลายปีแล้วก็ตาม สังขารขันธ์นี้สามารถนำความคิดเก่ามาใส่เครื่องปรุงใหม่และทำให้เป็นเรื่องใหม่เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้ได้อยู่เสมอ ฉะนั้น คนที่เรารักมากเช่น พ่อ แม่ สามี ภรรยา หรือลูก แม้ได้ตายไปแล้วหลายปี แต่สังขารขันธ์ของเราที่ทำงานร่วมกับสัญญาขันธ์นี้จะสามารถทำให้คนตายเหล่านี้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในหัวเราบ้าง ในจิตใจเราบ้างได้อยู่เสมอ <O:p</O:p
    5. วิญญาณขันธ์ คือ ความรู้สึกตัวว่าเรายังมีชีวิตอยู่ เป็นคนเป็น ๆ ที่เดินเหินได้และต่างจากคนตายอย่างลิบลับ รู้ได้ว่าเราไม่ได้นอนหลับสนิท ไม่ได้สลบหรือเป็นลมหมดสติ ไม่ได้อยู่ในอาการโคม่า และไม่ได้ตาย รู้แน่ชัดว่ามีตัวเราอยู่แน่นอน ไม่ใช่เป็นผีเป็นสาง ความรู้สึกที่รู้ว่าตัวเรามีอยู่ เป็นอยู่นี้แหละ คือ การทำงานของวิญญาณขันธ์นั่นเอง <O:p</O:p
    ฝ่ายนามมีทั้งตัวดูและตัวถูกดู<O:p</O:p
    สิ่งที่คุณจะต้องรู้ในขั้นต่อไปคือ ส่วนที่เป็นนามขันธ์ทั้งสี่ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้เปรียบเหมือนกับของเหลวสี่ชนิดที่แตกต่างกัน แต่ถูกเทรวมอยู่ในภาชนะเดียวกันหมด เมื่อมันรวมตัวกันเช่นนั้นแล้ว เราจึงเรียกมันรวบเป็นคำ ๆ เดียวว่า จิตใจ หรือ mind คำศัพท์ไทยเรายังสามารถดูออกได้ว่าธรรมชาติส่วนนามทั้ง ๔ ชนิดนี้มีส่วนที่เป็น จิต และ ส่วนที่เป็น ใจ แต่เมื่อมันอยู่คละเคล้ากัน จึงเกิดสภาวะที่เป็น จิตใจ ขึ้นมา แต่ศัพท์ภาษาอังกฤษเช่น mind นี้จะไม่สามารถบอกใบ้อะไรได้เลย การเรียนรู้เรื่องจิตใจของมนุษย์นี้ ภาษาไทยเราซึ่งมีอิทธิพลจากภาษาบาลี สันสกฤต อันเป็นภาษาของพุทธศาสนาจึงได้เปรียบมากกว่าภาษาอังกฤษ เพราะเป็นภาษาที่มีสภาวะจิตใจรองรับอยู่ <O:p</O:p
    ปัญหาจึงอยู่ตรงที่ว่า ธรรมชาติในส่วนนามทั้งสี่อย่างนี้มี ๑ ส่วนที่เป็นเครื่องมือใช้งาน หรือ เป็นตัวดู observer อันเป็นส่วนของใจ และอีก ๓ ส่วนเป็นสิ่งที่ถูกใช้งาน หรือ เป็นตัวถูกดู observed ซึ่งเป็นส่วนของจิต <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ตา หู จมูก ลิ้น กาย = อายตนะภายใน<O:p</O:p
    รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส = อายตนะภายนอก<O:p</O:p
    ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนังของกายของเรานั้นเปรียบเหมือนสะพานเชื่อมโลกภายนอกกายกับโลกภายในจิตใจของเราให้พบกัน โดยที่เรื่องราวของโลกภายนอกทั้งหมดที่เป็นรูปเป็นร่างมีสีสันเหลี่ยมกลมทั้งหลายจะเดินเข้ามาทางสะพานตาเพื่อเข้ามาอยู่ในโลกภายในของเรา สิ่งที่เป็นเสียงทั้งหมด จะเดินเข้ามาโดยผ่านสะพานหู กลิ่นทั้งหมดก็เข้ามาทางจมูก รสชาติทั้งหมดของอาหารเครื่องดื่มก็เดินเข้ามาทางสะพานลิ้น และความรู้สึกทางกายทั้งหมดก็เข้ามาทางสะพานของผิวหนังเพื่อเดินทางเข้าสู่โลกภายในหรือจิตใจของเรา <O:p</O:p
    เมื่อรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เดินผ่านเข้ามาทางสะพานของตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเราแล้ว มันก็เข้ามารวมอยู่ในโลกของใจและกลายเป็นธรรมชาติฝ่ายนามที่ไม่มีรูปร่างอีกต่อไป หรือ กลายเป็น ความคิด (สังขาร) ความจำ (สัญญา) ความรู้สึก (เวทนา) นั่นเอง ฉะนั้น คุณจะเห็นว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นธรรมชาติฝ่ายวัตถุหรือสสาร กับ ธรรมชาติฝ่ายนามอันคือ ความคิด ความจำ ความรู้สึก นั้น เป็นเรื่องเดียวกัน ต่างกันตรงที่ว่า กลุ่มหนึ่งเป็นรูป อีกกลุ่มเป็นนามเท่านั้นเอง<O:p</O:p
    ไอน์สไตน์พิสูจน์ให้พระพุทธเจ้า<O:p</O:p
    ที่จริงแล้ว หลักการของไอน์สไตน์ในเรื่อง มวลกับพลังงาน ก็สามารถนำมาพูดเทียบเคียงกับสมการดังกล่าวข้างต้น ปัญญาชนทุกคนล้วนรู้จัก e=mc<SUP>2</SUP><SUP></SUP>ซึ่งเป็นสูตรที่นำมาสร้างระเบิดปรมณู ดิฉันดูสารคดีที่อังกฤษเกี่ยวกับสมการนี้ของไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษท่านหนึ่งพูดว่า ไอน์สไตน์เป็นคนแรกที่พูดออกมาอย่างชัดเจนว่า พลังงาน หรือ e (energy) กับมวล หรือ m (mass) เป็นสิ่งเดียวกัน แต่ต่างรูปแบบเท่านั้น ฉะนั้น ถ้าเราไม่พูดเรื่องการสร้างพลังงานนิวเคลียร์อันเป็นผลจากปฏิกิริยาลูกโซ่ และเลือกพูดแต่ความคิดหลัก ๆ ของไอน์สไตน์ที่สามารถประสานกับความรู้ของพระพุทธเจ้าได้แล้วละก็ เราสามารถเอาความเร็วของแสงยกกำลังสอง หรือ c<SUP>2</SUP> ออกไป สมการที่เหลือจึงได้ <O:p</O:p

    E =m<O:p</O:p
    energy = mass<O:p</O:p
    พลังงาน = มวล<O:p</O:p
    นาม = รูป<O:p</O:p
    ความคิด ความจำ ความรู้สึก = ภาพ (รูป) เสียง กลิ่น รส สัมผัส<O:p</O:p
    นามธรร= รูปธรรม<O:p</O:p
    โลกภายใน = โลกภายนอก<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    ฉะนั้น คุณจะเห็นว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้อธิบายนั้นเป็นเรื่องเดียวกับที่ไอน์สไตน์ค้นพบภายหลังพระพุทธเจ้าถึง ๒๕๐๐ กว่าปี นั่นคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็คือ มวล ที่มีค่าเหมือนกับความคิด ความจำ ความรู้สึก อันเป็นส่วนของพลังงาน คำว่า รูป ที่เขียนคู่กับ นาม ของพระพุทธเจ้านั้น ต่างจากความหมายของ รูป อันเป็นสิ่งที่เห็นได้ทางตา หรือ ภาพ รูป คำใหญ่ที่เขียนคู่กับ นาม นั้น มีความหมายกว้างมาก ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ มีความหมายเหมือนกับคำว่า ธรรม แต่เป็นทุกอย่างของโลกภายนอกในเชิงกายภาพ จึงมีคำใช้ที่เหมาะเจาะว่า รูปธรรม คือทุกสิ่งทุกอย่างในฝ่ายกายภาพหรือฝ่ายรูป ฉะนั้น ถ้าจะกระจายคำว่า รูป ก็จะแยกรายละเอียดออกมาเป็น ภาพ (รูป) เสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งตรงกับสมการด้านบนที่เขียนไปแล้ว เมื่อ รูปธรรม เหล่านี้เข้าไปในใจของเราแล้ว ก็กลายเป็นธรรมชาติฝ่ายนามของโลกภายใน หรือ นามธรรม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในส่วนที่จับต้องไม่ได้ ที่มีอยู่ในรูปกายของเรา ก็จะแยกรายละเอียดออกมาเป็น ความคิด ความจำ ความรู้สึก ดังสมการด้านบน เช่นกัน
    (มีต่อ)</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2008
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    (ต่อ)
    อายตนะที่ ๖
    นี่เป็นข้อเท็จจริง fact ที่พระพุทธเจ้ามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ท่านจึงเป็นมนุษย์คนแรกของโลกที่กล้ายืนขึ้นมาบอกว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีอายตนะ ๖ ทาง ไม่ใช่ ๕ ทาง นี่เป็นความคิดที่ท้าทายมาก เพราะสังคมอินเดียยุคนั้นเต็มไปด้วยนักปราชญ์ พระพุทธเจ้ากล้ายืนขึ้นมาพูดต่างจากคนอื่น แม้ในยุคนี้ก็ยังเป็นเรื่องท้าทายไม่น้อย อาจจะมากขึ้นด้วยเพราะยังไม่มีใครพูดเรื่องนี้อย่างจริงจังและเป็นระบบ<O:p</O:p
    อย่างไรก็ตาม อายตนะที่ ๖ นี้คือ วิญญาณขันธ์นั่นเอง ความรู้สึกตัว หรือ วิญญาณขันธ์นี้เป็นอายตนะที่ ๖ อันเป็นสะพานรับรู้ความคิด (สังขาร) ความจำ (สัญญา) กับความรู้สึก (เวทนา) วิญญาณขันธ์จึงเป็นส่วนของใจ ที่เป็นฝ่ายนามในขณะที่ เวทนา สัญญา สังขาร เป็นส่วนของจิต ซึ่งก็เป็นฝ่ายนามเช่นกัน คุณจะเห็นชัดขึ้นเมื่อเขียนเป็นสมการโดยใช้ทั้งภาษาธรรมดาและภาษาบาลี ดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ความคิด ความจำ ความรู้สึก = จิต<O:p</O:p
    ความรู้สึกตัว หรือ อายตนะที่ ๖ = ใจ หรือ ตัวใจ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สังขารขันธ์ สัญญาขันธ์ เวทนาขันธ์ = จิต<O:p</O:p
    วิญญาณขันธ์ หรืออายตนะที่ ๖ = ใจ หรือ ตัวใจ<O:p</O:p
    ทำไมฝรั่งจึงสรุปว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2008
  4. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    นมัสการท่านเตชปญโญ
    ขอถามท่านดังนี้
    ท่านเกิดดวงตาเห็นธรรมหรือยัง
    ท่านดับกิเลสได้หมดสิ้นหรือยัง
    ท่านประพฤติปฏิบัติควบคุมกำจัดกิเลสได้จนกระทั่งว่าไม่มีความยึดถือว่าตัวตน หรือยัง

    ***************

    ***ขออภัย .... ผู้มีดวงตา จักไม่ถามปัญหาเช่นนี้***
     
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#e7e7de><TD vAlign=top align=right> </TD><TD align=left width="100%" bgColor=#ffffff>kwankao ....
    เรียนถามค่ะ
    หลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๖ ตามลิ๊งค์นี้
    http://www.whatami.net/web-w/hatami/ms/ms.html
    ใช้เป็นตำราสอนจริงหรือไม่คะ เนื่องจากผู้แต่งตำรา เตชปญฺโญ ภิกขุ
    อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี ให้แจ้งไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่นี่
    http://www.moe.go.th/webrad/samnukphut/samnukphut.html
    แต่เข้าไม่ได้ ช่วยแนะนำด้วยค่ะจะไปแจ้งที่ไหนได้บ้าง เนื่องจากเนื้อหาบางส่วนขัดกับคำสอนในพระไตรปิฎก
    ขอบคุณค่ะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    -----------
    ให้แจ้งตามเว็บไซต์นี้นะคะ http://www.onab.go.th/ เป็นเว็บไซต์ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติค่ะ
    *********************

    ***นี่ซิ คนจริง ช่วยกันแจ้งเข้าไปมากๆ จะได้มีคนไปตรวจสอบ ไม่ใช่เอาแต่มาเพ้อเจ้อกันอยู่***

    ***(บังเอิญได้รับข่าวนี้มา)***
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นมัสการท่านเตชปญโญ
    ดิฉันไม่เคยบอกว่าดิฉันเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม และขอบอกว่าดิฉันยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม ยังดับกิเลสไม่ได้ เป็นความสัจจริง ดิฉันเพียงอยากทราบจริงๆ ว่าท่านทำกิจของการบวชเข้ามาในพระศาสนาถึงไหนแล้ว (การปฏิบัติเพื่อละกิเลส ดับกิเลส เป็นกิจของสงฆ์ใช่หรือเปล่าคะ หรือว่าดิฉันเข้าใจผิด) การที่ท่านกล่าวว่า พระไตรปิฎกเป็นขยะกองโต ยิ่งทำให้ดิฉันรู้สึกทึ่งในภูมิรู้ของท่านมาก เลยอยากรู้ต่อไปว่าท่านใช้ความรู้อะไรมาตัดสิน(ความรู้จากสมอง หรือความรู้จากใจ) เลยคิดว่าท่านน่าจะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ดับกิเลสได้สิ้นแล้ว เลยมาขอคำยืนยันจากท่าน (หลวงตามหาบัวและหลวงปู่ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หลายท่านกล่าวว่าตัวท่านถอดถอนกิเลสสิ้นแล้ว ทั้งยังบอกด้วยว่าท่านทำอย่างไรบ้าง สภาวะตอนนั้นเป็นอย่างไร) ถ้าท่านทำได้ขอให้ท่านตอบมาเลย หรือท่านเห็นว่าไม่ต้องทำการถอดถอนกิเลส ก็มีดวงตาเห็นธรรมได้ ขอให้ตอบมาชัดๆเลย ไม่ต้องเขินอาย เพื่อว่าดิฉันจะได้พิจารณาว่าควรเชื่อท่าน หรือเชื่อหลวงปู่ทั้งหลาย (ดิฉันยังเป็นผู้ศึกษาธรรม ยังไม่ใช่ผู้รู้ จึงไม่มีความรู้ของตัวเองมาเผยแพร่แบบท่าน สิ่งที่ดิฉันทำได้ตอนนี้คือ พิจารณาคำของครูบาอาจารย์ หลวงตา หลวงพ่อ หลวงปู่ที่ดิฉันพิจารณาแล้วว่าเป็นที่พึ่งได้ เหมือนที่พิจารณาคำของท่านว่าควรปฏิบัติตามได้หรือไม่) ดิฉันขอบอกว่าดิฉันเองยังโง่เขลาอยู่มาก แต่ยังพอมีสติพิจารณา หากท่านถือว่าสิ่งที่ดิฉันทำไปนี้เป็นการล่วงเกินท่าน ก็ขออภัย ขอให้ท่านอโหสิกรรม แก่ดิฉันด้วย

    สำหรับดิฉันเองศึกษาและคิดว่าเห็นหนทางที่พระบรมศาสดาชี้ให้แล้ว ซึ่งเป็นคนละทางกับของท่าน ดิฉันปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีพระอริยสงฆ์ สุปฏิปัณโณ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้แนะนำไปในทางเดียวกันเป็นการยืนยันผลการปฏิบัติว่าทางนี้ได้ผลทำแล้วละกิเลสได้ ถอดถอนกิเลสได้ ใครทำจริงก็ได้ผลจริง

    ดิฉันเองอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้นไม่กล้าไปว่ากล่าวท่านหรอก เพียงเห็นว่าท่าน เชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านเผยแพร่ เลยคิดว่าท่านน่าจะเห็นผลอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้อื่นที่เดินตามได้ทราบ ถ้าท่านเองยังไม่เห็นผลแล้วคนที่ปฏิบัติแบบท่านจะคาดหวังผลอะไรได้บ้าง

    อีกอย่างหนึ่งดิฉันได้ไปเดินดูหนังสือที่ใช้สอนวิชาสังคม ซึ่งมีสอนเรื่องพระพุทธศาสนาของชั้น ม.1-6 ก็ไม่มีเนื้อหาแบบที่ท่านเผยแพร่ เลยไม่ทราบว่าเอาไปใช้เป็นแบบเรียนที่ รร. ไหนบ้าง ดิฉันคิดว่าเนื้อหาที่ท่านเผยแพร่ไม่น่าจะผ่านคณะกรรมการอนุมัติฯ ของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (kwankao ที่โพสท์ถามไว้นั้น คือดิฉันเองค่ะ)

    ดิฉันยังรักษาศีล 5 อยู่ถึงแม้ยังไม่ได้ตลอดเวลาแต่พยามยามไม่ให้ศีลขาด ศีลของข้าพเจ้ายังไม่เข้าถึงจิตใจ ถึงใจ แต่กำลังพยายามอยู่ ดิฉันยังรักษาศีลยังไม่ถึงระดับ ศีลรักษาดิฉัน แต่ดิฉันมีสติและรู้ตัวว่าทำอะไร

    ดิฉันขออนุญาติถามท่าน ท่านรักษาศีล 227 ข้อ หรือศีล 227 ข้อรักษาตัวท่าน ถ้าท่านไม่เข้าใจคำถามก็ไม่เป็นไร ถือว่าดิฉันโง่เขลา ไร้สาระ กระทำการที่ไม่ควรต่อท่าน และไม่ควรปุจฉาท่านในเรื่องทุกเรื่องที่ดิฉันกระทำไป และขอให้ท่านอโหสิกรรม ให้ดิฉันด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2008
  7. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ถ้าท่านทำได้ขอให้ท่านตอบมาเลย หรือท่านเห็นว่าไม่ต้องทำการถอดถอนกิเลส ก็มีดวงตาเห็นธรรมได้ ขอให้ตอบมาชัดๆเลย

    **************

    ****ถามอย่างนี้แสดงว่าไม่เคยรู้ธรรมะระดับสูงเลย***

    ****อย่าเชื่อจากเขาว่ามา คนอื่นบอกมานั้นมันอาจเป็นเรื่องโกหกก็ได้***

    ***คนที่เชื่อก็โง่ แม้คนที่ไม่เชือ่ก็โง่ เพราะตัวองไม่ได้รู้จริง หรือไม่มีดวงตา***

    ***ไปสร้างดวงตาให้เกิดขึ้น แล้วคำถามว่า "ทำไม?" จะหมดสิ้นไป ***

    ***เพราะลืมตาแล้ว ไม่หลับตาศึกษา***

    *** www.whatami.net ***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2008
  8. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    วิธีทำให้แจ้งในพระนิพพานเป็นอย่างไร

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->การ
    กระทำให้แจ้งในนิพพาน


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="85%" border=0>[​IMG]
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามต่อไปว่า
    " ข้าแต่พระนาคเสน  พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า  นิพพานไม่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันไม่ใช่เกิดแล้ว ไม่ใช่ยังไม่เกิด ไม่ใช่จักว่าเกิดก็ผู้ที่ปฏิบัติชอบย่อมได้สำเร็จนิพพานมีอยู่ ผู้นั้นสำเร็จนิพพานที่เกิดแล้ว หรือว่าทำให้นิพพานเกิดแล้วจึงสำเร็จ? "
    พระนาคเสนตอบว่า
    " ขอถวายพระพร ไม่ใช่ว่าสำเร็จนิพพานที่เกิดแล้ว ไม่ใช่ว่าทำให้นิพพานเกิดแล้วจึงสำเร็จเป็นแต่ว่า นิพพานธาตุนั้นมีอยู่ ผู้ปฏิบัติชอบก็สำเร็จนิพพานธาตุนั้น "
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า
    " ข้าแต่พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าทำปัญหานี้ให้ปกปิดเลย จงแสดงออกให้แจ่มแจ้งเถิด สิ่งใดที่ผู้มีฉันทะอุตสาหะ ได้ศึกษาแล้วในเรื่องนิพพาน ขอจงบอกสิ่งนั้นทั้งสิ้นเพราะในเรื่องนิพพานนั้น ประชุมชนสงสัยกันอยู่มาก ขอจงทำลายความสงสัย อันเป็นเหมือนลูกศร ที่ฝังอยู่ในดวงใจของคนทั้งหลายเถิด พระผู้เป็นเจ้า


    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]สภาวะแดนนิพพาน [/color]</CENTER>
    " ขอถวายพระพร นิพพานธาตุ ธาตุคือนิพพานอันสงบ อันเป็นสุข อันประณีตนั้นมีอยู่ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อพิจารณาสังขารตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็กระทำให้แจ้งนิพพานธาตุด้วยปัญญา เหมือนเป็นศิษย์กระทำให้แจ้งวิชา ตามคำสอนของอาจารย์ด้วยปัญญาฉะนั้น
    อันนิพพานนั้น บุคคลควรเห็นอย่างไร..ควรเห็นว่า เป็นของไม่มีเสนียดจัญไร ไม่มีอุปัทวะเป็นของสงบ ไม่มีภัย ปลอดภัย สุขสบาย น่ายินดี เป็นของประณีต เป็นของสะอาด เป็นของเย็น ขอถวายพระพร เรื่องนี้เปรียบเหมือนอะไร..เปรียบเหมือนบุรุษที่ถูกล้อมด้วยกองไฟใหญ่เบียดเบียน ก็พยายามหนีจากกองไฟไปอยู่ในที่ไม่มีภัย แล้วเขาก็ได้สุขยิ่งฉันใด
    ผู้ปฏิบัติชอบ เร่าร้อนด้วยไฟ ๓ กอง ก็หนีจากไฟ ๓ กอง ด้วยโยนิโสมนสิการ ( ทำจิตไว้ด้วยอุบายอันชอบธรรม ) เข้าไปอยู่ในที่ไม่มีไฟ ๓ กอง แล้วเขาก็กระทำให้แจ้งนิพพาน อันเป็นเอกันตบรมสุขฉันนั้น "
    ควรเห็นไฟ ๓ กองเหมือนกับกองไฟใหญ่ ควรเห็นผู้ปฏิบัติชอบ เหมือนกับผู้หนีกองไฟใหญ่ ควรเห็นนิพพานเหมือนที่ไม่มีกองไฟใหญ่ฉะนั้น
    อีกประการหนึ่ง บุรุษผู้มีซากศพงู หรือซากสุนัข หรือซากมนุษย์ ผูกติดคอ แล้วพยายามสลัดซากศพนั้นไปสู่ที่ไม่มีซากศพแล้วเขาก็ได้เสวยความสุขอย่างยิ่งฉันใด ผู้ปฏิบัติชอบก็กระทำให้แจ้งนิพพาน อันเป็นบรมสุข อันไม่มีซากศพคือกิเลส ด้วยโยนิโสมนสิการฉันนั้น
    ควรเห็นกามคุณ ๕ เหมือนซากศพ ควรเห็นผู้ปฏิบัติชอบ เหมือนผู้พยายามหนีซากศพควรเห็นนิพพานเหมือนที่ไม่มีซากศพฉะนั้น
    อีกอย่างหนึ่ง บุรุษผู้กลัวภัย ย่อมพยายามหนีจากที่มีภัย ไปสู่ที่ไม่มีภัย แล้วเขาก็ได้ความสุขอย่างยิ่งฉันใด ผู้ปฏิบัติชอบก็กระทำให้แจ้งนิพพานอันเป็นบรมสุข อันไม่มีภัย ไม่มีความสะดุ้ง ด้วยโยนิโสมนสิการนั้น
    ควรเห็นภัยอันมีเรื่อยไป เพราะอาศัยความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกับภัย ควรเห็นผู้ปฏิบัติชอบเหมือนกับผู้กลัวภัย ควรเห็นนิพพานเหมือนที่ไม่มีภัยฉะนั้น
    อนึ่ง บุรุษผู้ตกเลนตกหล่ม ย่อมพยายามหนีจากเลนจากหล่ม ไปสู่ที่ไม่มีเลนไม่มีหล่มแล้วเขาก็ได้ความสุขยิ่งฉันใด ผู้ปฏิบัติชอบก็ได้สำเร็จนิพพานอันเป็นสุขยิ่ง อันไม่มีเลนไม่มีหล่มคือ กิเลส ด้วยโยนิโมนการฉันนั้น
    ควรเห็นลาภสักการะสรรเสริญ เหมือนเลนเหมือนผู้ปฏิบัติชอบเหมือนผู้พยายามหนีเลนหนีหล่ม นิพพานเหมือนที่ไม่มีเลนมีหล่มฉะนั้น

    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]วิธีกระทำให้แจ้งนิพพาน [/color]</CENTER>
    " ข้าแต่พระนาคเสน นิพพานนั้น บุคคลกระทำให้แจ้งว่าอย่างไร ? "
    " ขอถวายพระพร ผู้ใดปฏิบัติชอบ ผู้นั้นย่อมเห็นความเป็นไปแห่ง สังขารทั้งหลาย ผู้เห็นความเป็นไป แห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมเห็นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในสังขาร แล้วก็ไม่เห็นสิ่งใด ๆในสังขารว่าเป็นสุข ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด ไม่เห็นอะไรในร่างกายที่จะควรยึดไว้
    เหมือนกับบุรุษที่ไม่เห็นสิ่งใดในเหล็กแดงที่ตนควรจะจับ ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดฉะนั้น
    เมื่อเห็นสังขารอันเป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดถือ ความไม่ยินดีก็เกิดขึ้นในจิตใจ ความเร่าร้อนก็ย่างลงในกาย ผู้นั้นเมื่อเห็นว่า ไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่หลบหลีก ก็เบื่อหน่ายในภพทั้งหลาย
    เปรียบเหมือนบุรุษเข้าไปสู่กองไฟใหญ่ เห็นว่าไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่อาศัย ก็เบื่อหน่ายกองไฟฉะนั้น
    ผู้ที่เห็นว่าน่ากลัวในสังขาร ก็คิดขึ้นได้ว่า สังขารที่เป็นไปนี้เป็นของเร่าร้อน แล้วก็เห็นความทุกข์มากความคับแค้นมาก ในภพทั้งหลาย เห็นความดับสังขารทั้งปวง ความสละกิเลสทั้งปวงความสิ้นตัณหา ความคลายตัณหา ความดับตัณหา นิพพาน คือความ ไม่มีตัณหา ว่าเป็นความสงบอย่างยิ่ง
    เมื่อเป็นอย่างนั้น จิตของผู้นั้นก็แล่นไปในความไม่เป็นไปแห่งสังขาร แล้วจิตใจก็ผ่องใสร่าเริง ยินดีว่าเราได้ที่พึ่งแล้ว เปรียบเหมือนบุรุษที่หลงทาง ไปพบทางเกวียนที่จะพาตนไปถึงที่ประสงค์ จิตก็แล่นไปในทางนั้น แล้วก็สบายใจว่า เราได้ทางแล้วฉะนั้น
    ผู้เล็งเห็นความไม่เป็นไปแห่งสังขารว่าเป็นของหมดทุกข์ทั้งสิ้น แล้วก็อบรมความรู้ความความเห็นนั้นให้แรงกล้าเต็มที่ แล้วก็ตั้งสติ วิริยะปิติ ไว้ในความไม่เป็นไปแห่งสังขาร จิตของผู้นั้นก็ล่วงเลยความเป็นไปแห่งสังขาร ไปถึงความไม่เป็นไปแห่งสังขาร
    ผู้ไปถึงความไม่เป็นไปแห่งสังขารแล้วเรียกว่า ผู้ปฏิบัติชอบ กระทำให้แจ้ง นิพพาน ดังนี้แหละ ขอถวายพระพร " " ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "




    <TBODY></TBODY></TABLE>​
    ที่มา http://larnbuddhism.net/milintapanha/milin08_index.html

    <!-- / message --><!-- sig -->
    ผมว่าคุณอลัชชีก็ควรหาวิธีศึกษาหรือทำให้แจ้งในพระนิพพานดีกว่า นะบวชมาทำไม มัวแต่ขอเขากินโดยไม่คิดจะสงเคราะห์เขาให้รู้แจ้งไม่รู้บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่คนเขาอุตส่ห์ใส่มา พอเขาถามคุณก็อ้างว่าเขาโง่บ้าง ไม่มีดวงตาเห็นธรมบ้าง ลืมตาแล้วไม่หลับตาศึกษาบ้างผมอ่านมาคุณขวัญข้าวถามด้วยความจริงใจแต่คุณอลัชชีไม่ให้ความรู้ความกระจ่างกลับตอบแบบเล่นลิ้นอย่างนี้นี่ ทำให้ผมเห็นว่าศาสนาพุทธคงอับตาจนเพราะอลัชชีแน่ๆไม่ต้องไปรอ5000ปีหรอกกึ่งพุทธกาลก็มีอลัชชีแล้ว อ้อไม่ต้องเป็นห่วงว่าผมจะตกนรกเพราะคุณอลัชชีเคยบอกนรกไม่มีก็อย่าแช่งให้ผมตกนรกล่ะกันเดี๋ยวจะกลายเป็นพวกสัญชัยโลเลไปมามีทิฏฐิไม่แน่นอน ส่วนตัวผมไม่กลัวนรกอยู่แล้วกำจัดพระอลัชชีแม้จะลงนรกก็ยอม
     
  9. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    พระพุทธองค์ทรงเทศน์โปรดหลวงปู่จันทา ถาวโร
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงเทศน์โปรดหลวงปู่จันทา ถาวโร

    เมื่อล่วงถึงคืนวันที่ ๑๐ ก็ตั้งสัจจะต่ออีก ๑ คืน ๑ วัน ทำความเพียรยืน เดินและนั่งไม่ลดละ ไม่หวั่นไหว เพราะใจชนะใจ !
    ใจมีความเพียร ความอดทนความกล้าหาญชาญชัยน่าอัศจรรย์ ใจเห็นธรรมแล้ว ! ไม่อยากอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป ! เพราะกลัวการเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ลำบาก (เหลือเกิน)
    ได้นิมิตเห็นพระนิพพาน เห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงเทศน์ว่า
    ให้พิจารณาชาติ ความเกิดเป็นทุกข์
    ชรา ความแก่เป็นทุกข์
    พยาธิ ความป่วยไข้เป็นทุกข์
    มรณะ ความตายเป็นทุกข์
    ทั้งภายในคือตัวเรา และภายนอกคือคนอื่น
    ให้พิจารณาโดยอนุโลมปฏิโลม ในสกนธ์กายนี้ รูปกายเป็นมูลฐานโรงงานใหม่สำหรับผู้มีสติปัญญาจะมาค้นคว้าขุดค้นหาของดีมีมนุษยสมบัติ (การเกิดเป็นมนุษย์) สวรรคสมบัติ (การเกิดในสวรรค์)พรหมโลกสมบัติ (การเกิดในพรหมโลก)
    เครื่องกลั่นกรองมูลฐานได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๘ ปฏิบัติกรรมฐาน โพชฌงค์ ซึ่งจะกลั่นกรองเอาขี้แร่ออกจากโรงงานแล้วก็จะเหลือแต่ของดี คือ แก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆ
    ส่วนขี้แร่คือ โลภะ โทสะโมหะ คัดออกหมดแล้วเหลือแต่ของดี ได้ชื่อว่าตน เมื่อได้ตนแล้วชื่อว่าหมดสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ เป็นผู้พ้นทุกข์จากการเกิดแก่เจ็บตาย
    นี้แหละพระพุทธเจ้าเทศน์โปรด


    หลวงปู่จันทา ถาวโร
    วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร (ขณะนี้หลวงปู่อายุ86ปียังทรงธาตุขันธ์อยู่)
    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13441
    <!-- / message --><!-- sig -->
    อันนี้เป็นธรมะบรรณาการแด่ทุกท่านครับเป็นเรื่องราวของหลวงปู่จันทาถาวโร วัดป่าเขาน้อยอริยสงฆ์สายพระกรรมฐาน ที่ใช้ใจปฏิบัติธรรมครับ
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ***คนที่เชื่อก็โง่ แม้คนที่ไม่เชือ่ก็โง่ เพราะตัวองไม่ได้รู้จริง หรือไม่มีดวงตา***
    ขอลาละท่าน ทางสายนี้ของท่านเดินต่อไปก็ยังคงจะโง่อยู่นั่นเอง
    คนที่ศรัทธา...ก็โง่ คนที่ไม่ศรัทธา...ก็โง่ คนเห็นแตกต่าง...ก็โง่
    ถ้าท่านยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม ยังถอดถอนกิเลสไม่ได้ทั้งหมด ดิฉันขอร้องท่านอย่าล่วงเกินธรรมของพระพุทธเจ้าและของพระอริยสงฆ์ เลย

    ถึงดิฉันหลับตาศึกษา ท่านก็คงจะไม่รู้

    ตัวเองรู้จริง ตัวเองไม่รู้จริง
    ตัวเองมีดวงตาฯ ตัวเองไม่มีดวงตาฯ
    ตัวเองมีกิเลส ตัวเองไม่มีกิเลส
    รู้ไม่รู้ก็เริ่มวน

    ***ดีใจ ไปสวรรค์ ร้อนใจไปนรก เย็นใจไปนิพพาน***
    ดิฉันแน่ใจว่า นิพพานในความหมายของท่านกับดิฉันต่างกันแน่นอน เพราะดิฉันเชื่อเรื่องจิตใจอยู่เหนือสมอง เชื่อว่าคนเราจะทำดีชั่วขึ้นอยู่กับจิตใจสั่งการ และความเชื่อนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ ต่างกับการไม่เชื่อก็คงไม่จำเป็นต้องพิสูจน์มั้ง

    ขอใช้อุเบกขา ลาก่อนค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2008
  11. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    สรุปลำดับขั้นการเกิดดวงตาเห็นธรรม

    (๑) "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น หรือตั้งอยู่ก็ตาม ล้วนต้องอาศัยทั้งเหตุและปัจจัย (ปัจจัย หมายถึง สิ่งที่มาช่วยสนับสนุน) เพื่อมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น หรือตั้งอยู่ ทั้งสิ้น"

    (๒) "ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆ โดยไม่อาศัยเหตุและปัจจัย"


    (๓) ร่างกายที่ยังไม่ตายนี้ ต้องอาศัย อาหาร, น้ำ, ความร้อน, และอากาศบริสุทธิ์ เพื่อมาปรุงแต่งให้ตั้งอยู่ ถ้าขาดปัจจัยใดไป ร่างกายก็ย่อมที่จะแตกสลาย หรือตาย ไปทันที

    (๔) สรุปได้ว่า "ร่างกายของเราจริงๆนั้นไม่มี" มีแต่สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราว และสมมติเรียกว่า "ร่างกาย" เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ควรยึดถือ ว่าร่างกายนี้เป็นเรา หรือร่างกายของเรา รวมทั้งไม่ควรยึดถือ ว่ามีร่างกายของใครๆอีกด้วย ถ้าโง่ไปยึดถือ ก็จะเป็นทุกข์

    (๕) จิต หรือ ใจ ก็เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยร่างกายที่ยังไม่ตายเพื่อเกิดขึ้นมารับรู้สิ่งต่างๆ และยังต้องอาศัยความทรงจำจากสมองเพื่อมาใช้คิดนึก ถ้าไม่มีร่างกายที่ยังไม่ตาย ก็ไม่มีจิต หรือถ้าไม่มีความทรงจำจากสมอง ก็คิดนึกอะไรไม่ได้

    (๖) สรุปได้ว่า "จิตใจของเราจริงๆนั้นไม่มี" มีแต่สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น และสมมติเรียกว่า "จิตใจ" เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ควรยึดถือ ว่าจิตใจนี้เป็นเรา หรือเป็นจิตใจของเรา รวมทั้งไม่ควรยึดถือ ว่ามีจิตใจของใครๆอีกด้วย ถ้าโง่ไปยึดถือ ก็จะเป็นทุกข์

    (๗) "ความรู้สึกว่ามีเรา" นี้ เป็นเพียงความรู้สึกของจิต ที่อาศัยสัญชาติญาณว่ามีตัวเอง (สัญชาติญาณ หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับชีวิต ตามธรรมชาติ โดยไม่มีใครมาสอน) กับความทรงจำจากสมอง มาร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกว่ามีเรานี้ขึ้นมา ดังนั้น เมื่อจิตก็ยังไม่มีตัวตน แล้วความรู้สึกว่ามีเรา ที่เป็นเพียงความรู้สึกของจิต จะมีตัวตนที่แท้จริงได้อย่างไร?.

    (๘) พระพุทธเจ้าทรงสรุปคำสอนทั้งหมดของพระองค์ไว้ในประโยคที่ว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2008
  12. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ท่านศึกษาคำสอนท่านพุทธทาส แต่ท่านตีโจทย์ไม่แตก
    ดังนั้นไม่ควรมาอ้างให้เสียธรรม

    ดวงตาเห็นธรรมนั้น เกิดจากปัญญาสั่งสมมา

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=431 border=0><TBODY><TR><TD width=472 bgColor=#c0c0c0 colSpan=2>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ดวงตาเห็นธรรม




    ดวงตาเห็นธรรมนั้นคือดวงตาเห็นอะไร คือดวงตาเห็นสิ่งใดสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นเบื้องต้น ความแปรไปเป็นท่ามกลาง ความดับเป็นที่สุด สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็คือทั้งหมดจะเป็นรูปก็ช่าง จะเป็นนามก็ตาม สิ่งใดสิ่งหนึ่งครอบรวมเลยทีเดียวได้แก่ ธรรมชาติทั้งหมดเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะเป็นรูปธรรมก็ช่าง จะเป็นนามธรรมก็ตาม เกิดขึ้นแล้วก็แปรดับไป อย่างตัวสกลร่างกายของเราก็เหมือนกัน มันเกิดแล้วก็แปรไปตามธรรมดาของมันแล้วมันก็ดับไป
    อย่างเด็กก็แปร จากเด็ก ดับจากเด็กมาหนุ่ม จากหนุ่มก็ดับไปเป็นแก่ จากแก่ก็ดับ จากแก่ก็เป็นชรา จากชราก็ตายต้นไม้ ภูเขา เถาวัลย์ก็เหมือนกันมันแปรไปแล้วก็แก่ไป สิ่งทั้งหลาย เหล่านี้ ธรรมชาติเหล่านี้ เรียกว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความเห็นหรือความเข้าใจ อันเกิดมาจากผู้รู้ในคราวที่นั่งฟังธรรมอยู่นั้นเข้าไปถึงใจอย่างแจ่มแจ้ง สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเลยเข้าฝังในดวง จิตของพระอัญญาโกณฑัญญะ จนเป็นเหตุให้ถอนตัวอุปธิหรืออุปาทานออกจากสังขาร ทั้งหลายทั้งปวงนั้นได้ เป็นต้นว่าสักกายทิฐิ คืออาการที่ไม่ถือเนื้อ ถือตัวทั้งหลายนี้ เห็นตามสกลร่างกาย ของเราแล้ว ก็ไม่เห็นว่าเป็นตัวเป็นตนของเรา เห็นชัดลงไปจนเป็นเหตุให้ถอนจากอุปาทานนั้น ไม่ถือตัวซึ่งเป็นสักกายทิฐิ และไม่มีวิจิกิจฉา
    เมื่อถอนอุปาทานออกมาจากความยึดมั่นถือมั่นแล้วก็มิได้สงสัยเลยในธรรมทั้งหลาย หรือในความรู้ทั้งหลาย เข้าไปเห็นธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล้วก็เปลี่ยนออกไปเลยทีเดียว รู้ว่านี่วิจิกิจฉา นี่สีลัพพตปรามาส การปฏิบัติของท่านนั้นแน่แน่วตรงเข้าไป ไม่ได้เคลือบแคลงสงสัย ไม่ได้ลูบหรือไม่ได้คลำถึงแม้ว่า สกลร่างกายมันจะเจ็บ มันจะไข้เป็นไปอย่างใด ท่านก็ไม่ลูบไม่คลำมัน ไม่ได้สงสัยเสียแล้วการที่ไม่ได้สงสัยนี่ก็คือถอนอุปาทานออกมาแล้ว ถ้ามีอุปาทานอยู่ก็ต้องไปลูบไปคลำใน สกลร่างกายนี้
    อาการลูบคลำในสกลร่างกายนี้ เป็นสีลัพพตปรามาสเมื่อถอนสักกายทิฐิออกจากกายนี้ สีลัพพตปรามาสก็หมดไปวิจิกิจฉาก็ไม่มี ถ้าถอนสักกายทิฐิขึ้นอย่างเดียว วิจิกิจฉาก็ไม่มี ถ้าถอนสักกายทิฐิขึ้นอย่างเดียว วิจิกิจฉาก็เลิก สีลัพพตปรามาสก็เลิก ถ้ายังมีสีลัพพตปรามาสอยู่ วิจิกิจฉาก็ยังอายู่ อุปาทนก็ยังอยู่

    เมื่อดวงตาเห็นธรรมก็หลุดพ้นจากอุปาทาน


    อันนี้แสดงว่าธรรมะที่สมเด็จพระบรมศาสดา ของเราท่านแสดงคราวนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะฟังแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม ดวงตาอันนั้นก็คือผู้รู้แจ้งนั่นเอง เรียกว่าดวงตาเห็นธรรม คือเห็นธรรมหรือธรรมดาอันนี้เอง เมื่อเห็นชัดลงไปอย่างนี้ก็ถอนอุปาทานได้
    ฉะนั้นการถอนอุปทานได้นี้ จึงรู้สึกว่ามันเกิดผู้รู้ขึ้นมาจริงๆ เมื่อก่อนก็รู้อยู่เหมือนกันแต่มันถอนอุปาทานไม่ได้ นั่นเรียกว่าผู้รู้ธรรม อยู่แต่ไม่เห็นธรรม เห็นธรรมอยู่แต่ไม่เป็นธรรม เพราะไม่รู้ตามสภาวะของมัน ฉะนั้นพระบรมศาสดาท่านจึงตรัส"อัญญาสิ อัญญาสิวตโภ โกณทัญโญ ได้รู้แล้วหนอ รู้แล้วหนอ " รู้อะไรล่ะ ท่านรู้อะไรก็คือได้รู้ธรรมชาติที่มันเป็นอยู่นี่เอง เราทั้งหลายมักหลงธรรมชาติ อย่างสกลร่างกายนี้ กายของเรานี้ประกอบขึ้นด้วยดิน น้ำ ไฟ ลม มันก็เป็นธรรมชาติที่เรียกว่าวัตถุที่มองเห็นด้วยตา มันอยู่ด้วยอาหารเจริญมาเจริญมาเจริญขึ้นมาแล้วก็แปรไป ถึงที่สุดมันก็ดับไปเช่น



    ท่านตอบข้อข้องใจ หรือ เพิ่มความข้องใจกันแน่ครับ.
     
  13. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    บุคคลที่บรรลุธรรมแต่ละขั้นมีลักษณะอย่างไร?

    การบรรลุธรรมทุกขั้น จำต้องเข้าถึงด้วยปัญญาทั้งสิ้น เพียงแต่ต่างระดับกันเท่านั้น เรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรม หรือบรรลุ “จักษุ” ต่างกัน เช่น “ปัญญาจักษุ” นับเอาตั้งแต่ผู้มีดวงตาเห็นธรรมขั้นโสดาบันขึ้นไป ส่วน “ธรรมจักษุ” หมายถึงผู้มีดวงตาเห็นสัจธรรมแท้จริง คือ อรหันต์เท่านั้น ส่วน “พุทธจักษุ” นั้น คือ ดวงตาที่เห็นทุกสรรพสิ่งใดตามจิตปรารถนา ได้แก่ ฌานระดับสัพพัญญู หรือ สัพพัญญูญาณ ที่มีเฉพาะในพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ปัญญาบารมีครบ ๓๐ ทัศเท่านั้น ไม่มีในพระอรหันต์นั่นเอง ดังนั้น ปัญญาของพระอริยบุคคลแต่ละระดับจึงแตกต่างกันดังนี้




    พระโสดาบัน (ผู้รู้ตัวว่าโง่ พลาดไปที่หลงโลก ต่อไปจะเข้าทางธรรม)

    คือ บุคคลผู้มีปัญญาหยั่งรู้จนถึงขั้นละคายความเชื่อเดิมๆ ในระดับลึกอย่างสิ้นเชิง ได้ว่า ความสุขทางโลกนั้นไม่ทำให้พ้นทุกข์ได้แท้จริง จำต้องทำให้เหตุแห่งทุกข์สิ้นไปเท่านั้น จึงพ้นทุกข์ได้ หรือก็คือ การเห็นอริยสัจสี่ตัวแรกอย่างแจ้งชัดนั่นเอง คือ ได้รู้ “ทุกข์” อย่างแจ่มแจ้งทะลุทะลวงไปถึงแก่นแท้ว่ามิใช่สิ่งควรหลีกเลี่ยงแต่ประการใด แต่ทุกข์นี่แหละ คือทางดับทุกข์ จะดับทุกข์ ต้องเข้าทางทุกข์ ต้องรู้ทุกข์ ต้องไม่หนีทุกข์ ต้องไม่แสวงหาสุขทางโลกมาแก้ทุกข์ แต่ต้องแก้ทุกข์ที่ตัวทุกข์ และเข้าใจที่มาของทุกข์ว่ามาจากผลจากการกระทำของเราเอง ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก ไม่ใช่คนอื่นทำให้เราทุกข์ แต่เราเองเคยก่อไว้ สร้างไว้ เราเองนั่นแหละที่พลาดพลั้งไป จึงมีเอกลักษณ์คือ ยอมฟังธรรมจากคนที่ต่ำต้อยกว่าได้ โดยแยกแยะออกได้ว่าเป็นธรรมะแท้จริง และเชื่อในกฎแห่งกรรม และยินดีทำตามศีลต่างๆ อย่างเคร่งครัดเพราะเห็นประโยชน์ของศีลว่าไม่ใช่ข้อบังคับที่บีบตนเองให้ทุกข์ แต่เป็นเครื่องช่วยให้พ้นทุกข์ได้ประการหนึ่ง จึงถือศีลไม่ใช่แบบลูบๆ คลำๆ อีกต่อไป (แต่มีผิดได้บ้าง) แต่ยังไม่อาจต่อกรกับกิเลสได้ ยังไม่คิดจะเอาชนะ ไม่คิดจะหลุดพ้นจากกิเลส ยังมีกามได้ เหมือนนางวิสาขาที่บรรลุโสดาบัน แต่แต่งตัวสวยงาม มีทรัพย์และลูกเต้ามากมายได้นั่นเอง




    พระสกิทาคามี (ผู้รู้ตัวว่าจะต้องเอาชนะกิเลส รู้ตัวว่าชนะบ้าง แพ้บ้าง))

    คือ บุคคลที่หลังจากรู้เหตุแห่งทุกข์บรรลุโสดาบันแล้ว ก็ยังคิดจะเอาชนะกิเลส จะทำให้กิเลสของตนหมดสิ้นไปให้ได้ จึงได้เกิดการต่อสู้กับกิเลส จิตใจฝ่ายดีและเลวต่อกรกันเองภายใน เกิดการกระทบกระทั่งกันเองภายใน จึงมีเอกลักษณ์ คือ การกระทบกระทั่งกันภายในใจ ยื้อกันไปมา เดี๋ยวก็ไม่อยากตามกิเลส เดี๋ยวก็พ่ายแพ้ทำตามกิเลส จนต้องเสียใจภายหลัง ดังนั้น ภาวะของพระสกิทาคามีจึงเดี๋ยวแพ้เดี๋ยวชนะ ยื้อกิเลสกันไปมาอยู่อย่างนั้น (อาจเพราะยังฝึกกรรมฐานไม่เป็น)




    พระอนาคามี (ผู้รู้ตัวว่าจะฝึกจิตอย่างไร ทำสมาธิถูกวิธีจนชนะกิเลสได้ชั่วคราว)

    คือ บุคคลผู้เข้าใจหลักการฝึกจิต หลักการทำกรรมฐาน จนสามารถฝึกจิตให้กำราบกิเลสได้ชนะแน่นอนทุกครั้งไป เป็นครั้งๆ ชั่วคราวไป แต่ไม่ใช่ขุดรากถอนโคนกิเลสได้อย่างถาวรก็หาไม่ ดังนั้น จึงยังมีกิเลสอยู่ แต่สามารถเอาชนะได้ทุกครั้งด้วยกรรมฐาน หรือกำลังจิตที่เหนือกว่านั่นเอง ดังนั้น จึงมีผู้กล่าวว่าพระอนาคามีเอาชนะกิเลสได้หมด แต่ยังไม่มีปัญญาเห็นธรรม กิเลสจึงยังมีอยู่ จักต้องบรรลุอรหันต์เท่านั้น จึงเอาชนะกิเลสได้หมดแท้จริง ดังนั้น จึงมีเอกลักษณ์ คือ ยังมีความถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ ยังมีกามและโกรธให้เห็นอยู่ได้แบบเบาบางนานๆ ครั้ง แต่ปกติจะเหมือนคนไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่มีกิเลสฉะนั้น พระอนาคามีบางคนไม่รู้ตัวว่ามีกิเลส บ้างก็คิดว่าตนเป็นพระอรหันต์ มีการวางท่า มีฟอร์ม เต๊ะท่าว่าเป็นพระอรหันต์ก็มี แถมทำให้ดูน่าเชื่อถือดูขลังกว่าอรหันต์เสียอีก




    พระอรหันต์ (ผู้รู้ตัวตลอดจนสรรพสิ่ง ถึงเป็นความเป็นสากล จนคลายอวิชชาได้ถาวร)

    คือ บุคคลผู้มีปัญญาแจ้งในท้ายที่สุดของสรรพสิ่ง จึงทำให้จิตละคลายจากความหลง, ความอยาก, ความยึดมั่นถือมั่น, กิเลสตัณหาใดๆ ได้ทั้งหมดอย่างสิ้นเชิงแบบถอนรากถอนโคน ไม่ได้ ไม่มี ไม่เป็นใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น พระอรหันต์ที่บรรลุอรหันต์ จึงไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่เป็นคนธรรมดาที่เกิดดับไปตามวาระ แต่บรรลุธรรมถึงระดับอรหันต์ก็เท่านั้นเอง ดังนั้น จึงไม่มีการวางท่า ไม่มีการถือตัวว่าเป็นพระอรหันต์, เป็นครูบาอาจารย์, เป็นเจ้าสำนัก, เป็นเจ้าอาวาส, เป็นผู้คงแก่เรียน ฯลฯ ไม่สนใจว่าตนเองจะเป็นใครใดๆ ทั้งสิ้น ได้แต่ทำกิจที่ควรทำไป ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ มีชีวิตอยู่แต่พอควรพอดี สงบสมถะเรียบง่าย และมักไม่ค่อยยิ้ม จนบางท่านคิดว่าพระอรหันต์ไม่มีความสุขแต่แท้แล้วท่านสุขสงัด จนไม่ต้องยิ้ม อุปมาเหมือนคนที่กินข้าวอิ่มแล้วย่อมไม่แสดงอาการอร่อยออกมา ในขณะที่คนที่ยังแสดงความอร่อยออกมา แสดงว่ายังหิวโหยอยู่ ยังไม่อิ่ม ไม่เต็มอยู่นั่นเอง




    กิเลสดับชั่วคราว ไม่มีสิ่งบดบัง จึงเห็นธรรมตามจริง คือ เสี้ยววินาทีบรรลุธรรม?

    บุคคลไม่ใช่ฝึกสมาธิเพื่อเอาสมาธิ หากทำเช่นนั้น อุปมาก็เหมือนคนทำนาเพื่อทำนา ทำให้ต้องทำนาจนตายเท่านั้นเอง ย่อมเป็นบุคคลผู้ยอมทนทุกข์ ย่อมไม่พ้นทุกข์ไปได้ บุคคลพึงฝึกสมาธิเพื่อให้ได้ผลเป็น “ฌาน” อันจะยังผลเป็นความสงบสุข ซึ่งเป็นเหตุใกล้แห่งนิพพาน และฝึกฌานให้มากขึ้นเพื่อให้เกิดผลเป็น “ญาณหยั่งรู้” ไม่ใช่นั่งเข้าฌานทั้งปีแต่ไม่รู้อะไรเลยก็หาไม่ บุคคลผู้ฝึกจิตถูกวิธีจะเริ่มมีญาณหยั่งรู้ในสิ่งที่ไม่อาจใช้เครื่องมือใดๆ วัดได้ นอกจากจิต เช่น การทำนายทายทักล่วงหน้าได้ถูกต้อง และเมื่อฝึกถึงขั้นเกิดญาณหยั่งรู้แล้ว บุคคลพึงต้องให้ได้ผลสุดท้ายเป็นปัญญา จึงจะล่วงพ้นความทุกข์ไปได้ เพราะหากมีญาณหยั่งรู้เรื่องต่างๆ มากมาย แต่ไม่รู้เรื่องที่ทำให้จิตคลายทุกข์ ก็เรียกว่าไม่มีปัญญาทางธรรม เท่านั้นเอง ดังนั้น บุคคลจึงควรฝึกจิตดังต่อไปนี้


     
  14. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ดวงตาเห็นธรรม

    (๘) พระพุทธเจ้าทรงสรุปคำสอนทั้งหมดของพระองค์ไว้ในประโยคที่ว่า
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เอาคำพูดของอาจารย์มาอ้างอิงเพียงบางส่วน แล้วใส่ความคิดมิจฉาทิฐิของตัวเองในบทความของตัวเอง ไม่ละอายแก่ใจบ้างรึ

    มีความรู้จริงของตัวเองบ้างไหมนี่

    ครูบาอาจารย์แต่ละท่านต้องปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา จนจิตใจของท่านสามารถถอดถอนกิเลสได้หมดสิ้น ท่านถึงได้มีดวงตาเห็นธรรม

    แล้วท่านสอนอะไร วิธีของท่าน ท่านเองยังตอบไม่ได้เลย มีแต่เอาธรรมะบางส่วนของครูบาอาจารย์มาอ้าง ไม่อ้างถึงการปฏิบัติของครูบาอาจารย์ เป็นการบิดเบือนสิ่งที่ครูบาอาจารย์สอนสั่งไว้

    ปล.เคยอ่านบทความนึง มีขบวนการของบางกลุ่มที่จ้องจะยึดประเทศไทยมานานแล้ว แต่ไม่สำเร็จเพราะประเทศไทย มี 3 สถาบันหลักเป็นที่ยึดเหนี่ยว คือ ชาติ ศาสนา (พุทธ) พระมหากษัตริย์ ทำให้กลุ่มเหล่านี้มีเป้าหมายทำลายศาสนาพุทธ บิดเบือนศาสนาพุทธ ทำให้ประชาชนอ่อนแอ จิตใจอ่อนแอ จะได้ครอบงำความคิดได้ง่าย พระพุทธศาสนา พระไตรปิฎก สืบทอดมาเป็นเวลา 2551 ปีแล้ว มีพระอริยะเจ้าเกิดขึ้นสืบทอดมาตลอด ยังไม่มีท่านใดกล่าวเหมือนท่านซึ่งไม่ได้เป็นแม้พระอริยะเจ้าระดับต้น!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2008
  16. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ผิดอีกแร้นนนนนนนนนน

    นี่ท่านกำลังจะบอกว่า จิต เกิดจากกาย โอ้มายก๊อด...
    คลั่งวิทยาศาสตร์เกินไปรึเปล่าท่าน สงสัยดูรายการสารคดีมากเกินไป

    แล้วเคยดูรายการสารคดีที่เขาเข้าฌานมั้ยท่าน ร่างกายหยุดทำงาน
    ในทางแพทย์ถือว่าตาย แต่จิตเขายังดำรงอยู่ตราบเท่าเขาออกจากฌาน
    ไปหาดูซะนะ เจอแล้วบอกด้วย

    ทำไมกล้าบอกคนอื่นให้ทำสมาธิอ่ะ
    ตัวเองยังไม่ได้เรื่องเลย
    ถ้าทำสมาธิได้เรื่อง คงไม่มีเรื่องอย่างนี้

    ขี้เกียจตอบจริงๆ
    แต่ก็สงสารคนที่เพิ่งเข้ามาอ่าน
    กรรมของเวร เวรของกรรม
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#e7e7de><TD vAlign=top align=right></TD><TD align=left width="100%" bgColor=#ffffff>kwankao ....
    เรียนถามค่ะ
    หลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๖ ตามลิ๊งค์นี้
    http://www.whatami.net/web-w/hatami/ms/ms.html
    ใช้เป็นตำราสอนจริงหรือไม่คะ เนื่องจากผู้แต่งตำรา เตชปญฺโญ ภิกขุ
    อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี ให้แจ้งไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่นี่
    http://www.moe.go.th/webrad/samnukphut/samnukphut.html
    แต่เข้าไม่ได้ ช่วยแนะนำด้วยค่ะจะไปแจ้งที่ไหนได้บ้าง เนื่องจากเนื้อหาบางส่วนขัดกับคำสอนในพระไตรปิฎก
    ขอบคุณค่ะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    -----------
    ให้แจ้งตามเว็บไซต์นี้นะคะ http://www.onab.go.th/ เป็นเว็บไซต์ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติค่ะ
    *********************
     
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ขอเชิญทุกท่าน.. แจ้งภัยพระศาสนา.... ได้ที่นี่...


    http://www.phrathai.net/forum/46
     
  19. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    แน่จริงหรือเปล่า หากตัดตัวกูของกูจริง ไม่ยึดแล้วจริงๆมานั่งเถียงอยู่ทำไมว่าของกูถูกของคนอื่นๆผิด ทำไมไม่ยอมเสนอหลายความเห็นโดยเฉพาะความเห็นที่แตกต่างจากคุณ ไว้ในหนังสือเรียนเล่า ทำตำราเป็นลักษณะ Critiques or discussion ไปเลย

    ขอเสริมอีกหน่อยที่ไม่ร้องเรียนเพราะบางทีมันไม่เป็นประโยชน์เห็นพวกที่เชื่อตายแล้วสูญเยอะ เพราะปทปรมะก็มีปะปน พวกจ้องทำลายศาสนาพุทธก็มีอยู่ แต่ของที่เชื่อกันเป็นส่วนมากไม่จำเป็นต้องถูกนี่ใช่ไหม ท่านผู้ชำนาญในกาลามสูตร ช่วยพิสูจน์หน่อยซิว่าท่านตัดตัวกูได้แล้วจริงๆช่วยๆกันเน้นหลักกาลามสูตรอีกนิด อย่าปิดหูปิดตามบีงปัญญาให้เด็กๆอ่านอยู่ทัศนะเดียวความเห็นเดียว มันแย้งกับหลักกาลามที่ท่านยึดมั่นอย่างเห็นได้ชัด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2008
  20. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ดวงตาเห็นธรรม

    ฉันคืออะไร?
    พุทธศาสนาดั้งเดิมที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นอัจฉริยะบุคคลระดับสุดยอด สำหรับบุคคลระดับอัจฉริยะ เท่านั้น
    (ง่ายๆ ลัดเข้าสู่ความเป็นอัจฉริยะด้านความคิด ชนิดที่ผู้มีปัญญาของโลกต้องยอมรับ)
    # พุทธศาสนาแนววิทยาศาสตร์ ที่ล้ำไปในอนาคต ชนิดที่คนรุ่นปัจจุบันอาจยังรับไม่ได้
    # พุทธศาสนาดั้งเดิมซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ จับต้องได้ มีสาระ และจะไม่มีความงมงายอย่างเด็ดขาด
    # พุทธศาสนาที่แท้จริง มีเหตุผล และมีของจริงมายืนยัน กล้าท้าให้ผู้มีปัญญามาพิสูจน์
    # ธรรมะในพุทธศาสนา ไม่เยิ่นเย้อน่าเบื่อ แต่ลัดสั้น ชัดเจน และช่วยให้มีปัญญาเห็นแจ้งชีวิตได้อย่างแท้จริง
    # ความรู้ระดับอัจฉริยะบุคคล ที่จะช่วยปลดปล่อยสติปัญญาของเราให้เป็นอิสระได้อย่างแท้จริง ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...