เตรียมตัวให้พร้อม...มันกำลังมา!

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย >_<.ST.>_<, 6 พฤศจิกายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. มิติที่แปด

    มิติที่แปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2017
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +26
    เขียนมาตั้งยาว

    นานๆทีจะได้เจอผู้เลื่อมใสศาสนานี้ ขอถามมั่ง

    1. เป้าหมายของศาสนาที่คุณ Jityim เอามาเผยแผ่นี่คืออะไรครับ

    2. พระบิดาในศาสนานี้ที่ผมเห็นพูดถึงบ่อยๆ ทรงเป็นผู้สร้างทุกอย่าง อันนี้ผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ

    3. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณJityim บอกว่าดูแลกระทู้นี้อยู่ อันนี้คือพระบิดาด้วยมั้ยครับที่มาคุ้มครอง
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ โดยธรรมชาติของ "ฌาน" จะเป็นความ "สมถะ" อยู่ในตัว นั่นคือ "อาการปิดกั้นสิ่งอื่น ไม่รับ รู้/เห็น สิ่งอื่น" จึงได้ชื่อว่า "สมถะ+สมาธิ"

    +++ เหตุเริ่มต้นอยู่ที่ "วิญญาณัญจา-ยตนฌานจิต" หากใคร "ทำ/เข้า/อยู่" ในฌานตรงนี้ได้ ก็จะเป็นคล้าย "สภาพรู้ (ไม่ใช่สภาวะรู้ ที่เป็นคนละสภาวะ)" ที่กว้างขวาง ไร้ขอบเขต/ไร้ทิศทาง "แต่" ไม่รับรู้สิ่งภายนอก (อยู่ในสมถะ)

    +++ ณ ขณะนั้น ๆ จิตดวงใดก็ตามหาก มีสิ่งเร้าจากภายนอกขึ้นมา ก็อาจจะไม่ได้ "ถอนจิตออกจาก วิญญาณัญจายตนฌานจิต" จึงมีอาการคล้าย "เปิดอายตนะ ออกมารับรู้ สภาพภายนอก" แม้ว่าจิตจะยังทรงตัวใน วิญญาณัญจายตนฌานจิต ก็ตาม (ละ/ออก จากสมถะ ทั้ง ๆ ที่ยังทรงอารมณ์ "รู้/ว่าง ไร้ขอบเขต" อยู่)

    +++ ด้วยสภาวะที่ Compatible (สัมปะยุตตาธัมมา = สภาวะเข้ากันได้) กับ "เนื้ออวกาศ" อาการ "ตนรู้+ตนว่าง (อรูป)" จึงทำการ Teleport (จุติ) ความเป็นตน เข้าไปใน "เนื้ออวกาศ" ณ ขณะที่ยังเป็น "อรูป วิญญาณัญจายตนฌานจิต" อยู่

    +++ ณ ขณะที่ "จิต เกิดอาการ อยู่" แบบมีเสถียรภาพ (อัปปนาสมาธิ) ใน "กาล/อวกาศ" แล้ว พร้อมทั้งความ "เป็นอรูป" จึงเกิด "อาการ map (เป็นเนื้อเดียวกัน) กับ อวกาศ" จนเป็น "หนึ่งเดียวกัน กับ อวกาศ" ตรงนี้ คือ ที่มาของอาการ "ตนคืออวกาศ ตนคือจักรวาล"

    +++ หลังจากที่ "อายตนะ เปิด ในวิญญาณัญจายตนฌานจิต" ก็จะสามารถ "ท่องเที่ยว/สื่อสาร" ในกาลอวกาศได้ ตามธรรมชาติของจิตทุกดวง "หากใครทำได้ ก็ ไม่มีอะไรแปลก"

    +++ เหตุการณ์ในลักษณะนี้ จะเปลี่ยนสภาพของ "สมถะ เป็น วิปัสสนา" ให้เข้าใจไว้ว่า "สมถะคือการปิดตน ส่วน วิปัสสนาคือการเปิดตน" เท่านั้นพอ

    +++ ผู้ที่ "ท่องเทียว" ได้ในลักษณะนี้ หาก อยู่มายาวนาน (จิตเก่าแก่) ก็จะยิ่งมี "ประสพการณ์" มาก ย่อมล่วงรู้ในเรื่อง กาลอวกาศ ได้ละเอียด

    +++ และ นี่คือที่มาของ "จิตจักรวาล รวมทั้ง GOD บางประเภท" ผมและกลุ่มฝึกได้ "เคยเจอ" GOD นานาเผ่าพันธุ์ มาพอสมควร

    +++ วิธีที่จะทำให้ GOD เหล่านี้ "เปลี่ยนทิฐิ" อย่างง่าย ๆ ก็คือ "การชวน" ให้ไปที่ "ขอบ Arc Bow" ของกาแลคซี่บ้าง ของบิกแบงค์บ้าง

    +++ แล้วใช้การ "ชำแรก" ไปมา เข้า/ออก ระหว่าง ภายนอก/ภายใน Arc Bow จน GOD เหล่านี้ สำเหนียกได้ว่า "เนื้ออวกาศ (กาย)" มีความต่างกัน

    +++ GOD ที่ได้ "สติ" จะเปลี่ยน ทิฐิ ทันทีว่า "ตนคือตน อวกาศคืออวกาศ" หลังจาก say thank you แล้วก็มักจะ แยกตัวไปเร่งความเพียร ต่อไป

    ======================================================
    +++ จิตบางดวง หรือ บางคน สามารถ map จิตเข้ากับ เนื้ออวกาศ ได้ (มีมาก่อนพุทธกาล)

    +++ ไม่ว่าจะ บังเอิญหรือไม่ ก็ตาม "การสื่อสารทางจิตต่าง ๆ" ไม่ใช่การสื่อสารระหว่าง "จิต กับ เนื้ออวกาศ"

    +++ หาก "สติ+สัมปชัญญะ" ไม่สามารถ "มีเสถียรภาพ" ได้เพียงพอ ณ ขณะ map เข้ากับเนื้ออวกาศ

    +++ ก็จะทำให้เข้าใจได้ว่า "เนื้ออวกาศ" สามารถสื่อสารได้ ตรงนี้ให้คุณ jityim ทำ remark ได้เลยว่า เป็นความ "เข้าใจผิด"

    +++ จิตในขณะนั้น อยู่ในสภาพ "ไร้รูป ไร้ลักษณะ" แต่ยังมี "วจี+มโน จิตตะสังขาร" เป็นองค์ประกอบอยู่

    +++ และตัว "มโนจิตตะสังขาร" นั้นเอง ทึ่เข้าใจเอาเองว่า "เนื้ออวกาศ สื่อสารกลับมาได้"

    +++ ตรงนี้ คือ "ตัวมโน สื่อสาร กับตนเอง" และเข้าใจเอาเอง

    +++ ยามใดที่ยัง "ดับ/หยุด" ตัวมโน ไม่ได้/ไม่เป็น เหตุการณ์แบบนี้ ย่อมมีได้ เป็นธรรมดา

    +++ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จิตที่ไม่ได้ "อยู่" ในเนื้ออวกาศไม่มี (ก็ให้วางไว้ก่อนเช่นกัน)
    ======================================================
    +++ อยู่ในโพสท์นี้นะ

    https://palungjit.org/threads/เตรียมตัวให้พร้อม-มันกำลังมา.627051/page-12#post-10683339
    +++ หลัก ๆ จะเป็น เกรโย่ง + เกรเตี้ย ในช่วงก่อน กันยา 2558 มีทั้ง ธรรมะ/อธรรม ไป ๆ มา ๆ เอาแน่ไม่ได้ว่าใครเป็นใคร

    +++ หลังจาก เจ้าโย่ง รู้และเข้าใจว่า golden race เป็นใครแล้ว จึงเกิดการ "เกลี้ยกล่อมเปลี่ยนแปลง" ในเผ่าพันธ์ตนเอง

    +++ ปัจจุบันเป็น ธรรมะทั้งหมด ในอดีตพวกนี้มาเอาวัตถุดิบบางอย่าง ที่มนุษย์ไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ (ไม่ไฮเทคพอ)

    +++ อดีต พวกนี้มา "ธุระส่วนตัว" แต่ในอนาคต กลุ่มนี้ จะมาปรากฏตัวแบบ "เป็นทางการ" ก่อนเผ่าพันธ์อื่น

    +++ มีดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ค่อนข้างทึบแสงไม่สะท้อนแสงอาทิตย์ วงโคจรคล้าย ๆ ดาวหาง เป็นส่วนหนึ่งของระบบสุริยะ

    +++ ปัจจุบันยังอยู่ "ข้างนอก" Kuiper belt หากดาวดวงนี้เรียกว่า นิบิรุ ก็ถือว่า "มี" แต่ถ้าหากไม่เรียกว่า นิบิรุ ก็ถือว่า "ไม่มี" ก็แล้วกัน
    +++ ขึ้นอยู่กับ "อวตาร ทั้ง 2" ที่กล่าวมาแล้ว หาก "ทั้งคู่" ยังไม่ แก่ตายหรือโดนสังหาร สงครามโลก ก็จะ ผลัดไปเรื่อย ๆ หรือ ผ่อนหนักเป็นเบา ไปเรื่อย ๆ
    +++ ยุคของความรุ่งเรือง ที่เป็น rebound ใน down trend จะมีอยู่บ้างเป็นช่วง ๆ

    +++ แต่จะให้บอกว่าเป็น ระดับขนาดของ "ยุคของพระเจ้าจักรพรรดิ" ในตำรานั้น ยังน่าสงสัยอยู่เหมือนกัน

    +++ การ rebound ขนาดใหญ่ของประเทศไทย ในอนาคต ยังมีอยู่ หลังจากพวก คอรัปชั่น หมดอิทธิพลลงไป นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2018
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เรียนท่านอาจารย์ธรรม-ชาติ

    จากข้อความที่ท่านอาจารย์ธรรม-ชาติ ได้กล่าวมานี้ ก็พอจะสรุปได้ว่า "จิตจักรวาล" หรือ "GOD" นั้นมีอยู่จริง แต่ไม่ได้มีอำนาจที่จะสร้างโลก สร้างทุกสรรพสิ่ง หรือ ชำระล้างโลก พิพากษาโลก ทำลายล้างโลกได้ ตามที่ระบุเอาไว้ในศาสนาคริสต์ และ ศาสนาอิสลาม อย่างนี้กระผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ และ "การเตือนภัย" จากจิตที่อยู่ในเนื้ออวกาศนี้ เป็นเรื่องที่เชื่อถือได้หรือไม่ครับ เพราะมีพระอริยะสงฆ์หลายรูป ที่มีอนาคตังสญาณ สามารถล่วงรู้อนาคตได้ ก็ได้กล่าวเตือนเรื่องภัยพิบ้ติในอนาคตอันใกล้นี้ เอาไว้เช่นเดียวกันครับ

    ไหนๆก็ถามมาถึงขนาดนี้แล้ว กระผมขอถามเรื่องของคุณมณีส่องแสง(หัวใจ!) เจ้าของกระทู้ เกิดก่อนเกิด..พรแปดประการ ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้
    https://palungjit.org/threads/เกิดก่อนเกิด-พรแปดประการ.349475/page-3

    ตัวตนที่แท้จริงของเธอเป็นใคร ได้รับพรแปดประการจริงหรือไม่ และตัวเธอมีอำนาจในการควบคุมเรื่องภัยพิบ้ติในโลกมนุษย์นี้ ตามที่เธอได้กล่าวอ้างเอาไว้จริงหรือไม่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2018
  4. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,205
    ตอบท่านมิติที่แปด ลองพิจารณาเรื่องเหล่านี้ดูค่ะ

    สิ่งที่มีชีวิตบนโลกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
    ๑.มีผู้แก่นแท้เป็นพลังงานที่ไม่สมดุล เรียกว่า "วิญญาณ"
    ๒.ผู้มีแก่นแท้เป็นพลังงานที่สมดุล เรียกว่า "จิตวิญญาณ"

    สิ่งมีชีวิตรูปธรรมทางพลังงานที่ไม่สมดุล ซึ่งเรียกว่า "วิญญาณ" สรรพสิ่งนั่นเรียกว่า "พืช"
    สิ่งที่มีชีวิตแก่นแท้ทางพลังงานที่สมดุล ซึ่งเรียกว่า"จิตวิญญาณ" สรรพสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า "สัตว์ประจำโลก" และ มนุษย์ ด้วยกันนั่นเอง

    ความแตกต่างของสองสิ่งนั้น หากเป็นวิญญาณซึ่งหมายถึงแก่นแท้ในพืชและหินดินทรายเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่ต้องสั่นสะเทือนตนเองไปตามคลื่นความถี่เฉพาะตัวอย่างต่อเนื่องเท่านั้น สะเทือนไปตามหน้าที่นั้น ๆ เสมอ เช่น ถ้ากิ่งหักหรือยอดหัก ก็สามารถสร้างสั่นสะเทือนกิ่งใหม่ยอดใหม่ขึ้นมาทันที แต่จิตวิญญาณ มนุษย์หรือสัตว์ มีพลังอำนาจที่จะสั่นสะเทือนตนเอง เพื่อการแสดงออกหรือกระทำสิ่งใดได้ด้วยตนเอง มนุษย์ต้องรู้ว่าทุกชีวิตต่างมีหน้าที่สำคัญในการช่วยเหลือดาวเคราะห์โลกเพื่อให้สมดุลทั้งทางมิติกายภาพโลกและมิติพลังงาน แต่มนุษย์หรือคน หลงตนเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐล้ำเลิศทางสติปัญญาและเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นใด จะทำเป็นอวดดื้อถือดีหาญกล้าจะทำหน้าที่ค้ำจุนโลกให้สมดุลแต่เพียงลำพังนั้นไม่อาจสามารถประสบความสำเร็จได้เลย ทุกรูปธรรมของสิ่งมีชีวิตต้องร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ ในยุคพลังงานเก่ามนุษย์ส่วนใหญ่กระทำตนเสมือนหนึ่งเป็นเจ้าโลก ใครคิดจะกระทำย่ำยีเพื่อนร่วมโลกของตนเองอย่างไรก็ได้ และใครคิดจะกระทำย่ำยีต่อโลกของตนอย่างไรตามใจชอบก็ได้ เพราะคิดว่าตนมีอำนาจเหนือสรรพสิ่งอื่น ๆ และหลงตนเองว่ามีอำนาจเหนือมนุษย์ด้วยกัน และพยายามที่จะแสดงความมีอำนาจเหนือธรรมชาติเพื่อจะเอาชนะธรรมแวดล้อมให้จงได้อย่างเหิมเกริม

    มนุษย์แสดงออกและกระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างโหดร้าย ด้วยการเอาเปรียบ เบียดเบียน ก้าวล่วง ทำร้ายหมายชีวิต และทำศึกสงครามกันด้วยอาวุธร้าย ๆ มนุษย์แสดงออกและกระทำต่อสัตว์ทั้งหลายซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโลกของตนอย่างใจดำอำมหิต ด้วยการฆ่า ล้างผลาญชีวิต เบียดเบียน กินเลือด กินเนื้อ กักขังให้ทุกข์ทรมานไร้อิสรภาพ และนำมาดัดแปลงตกแต่งพันธักรรมให้ตกต่ำวิปริตผิดแผกไปจากเดิมที่กำหนดไว้

    พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมาจาก จิตที่ไร้สำนึก เพราะจิตหยาบลืมไปว่าตนนั่นยังมีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้เร้นอยู่ภายใน

    มนุษย์ที่ไม่สมดุล คือ มนุษย์ที่ไม่สามารถดำรงชีวิตเป็นคนสองมิติได้อย่างองอาจได้ ไม่สามารถดำเนินชีวิตไปตามทางสายกลางระหว่างมิติโลกทางกายภาพกับมิติพลังงานที่เป็นแก่นแท้แห่งตน คือ จิตวิญญาณได้อย่างลงตัวนั่นเอง
    คือ มองโลกทางกายภาพแค่เพียงด้านเดียว ถามหาแต่ตัวตน ยึดติดกับรูปลักษณ์และมายาของสรรพสิ่งมากเกินไป กระทำด้วยความหลงไหลต่อมายานั้น คิดจะเอามากกว่าคิดจะให้ พร้อมฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้อื่นทันทีที่มีโอกาส ถือตัวตนเป็นเรื่องใหญ่ใครแตะต้องล่วงเกินมิได้

    ด้วยเหตุดังนี้เองมันเป็นการสร้างใหม่นำความเสื่อมโทรมมาสู่ระบบโลกมากกว่า เพราะมันเป็นขยะที่รังแต่จะรกโลกทั้งสิ้น

    นอกจากการสร้างขยะที่รกขึ้นมาแล้ว มนุษย์ยังหันมาทำลายระบบตนเอง ทำลายสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ทำลายสิ่งแวดล้อมในระบบโลก และทำลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ยิ่งมนุษย์ทำลายเพื่อนร่วมโลกของตนมากขึ้น เท่ากับว่ามนุษย์กำลังทำลายระบบของตนมากขึ้น ท้ายที่สุดผลกรรมที่ย้อนกลับมาสู่ตัวมนุษย์เองก็คือ ซึ่งหมายถึงมหันตภัยธรรมชาติที่วิปริตผิดธรรมชาติที่มนุษย์ทั้งโลกต่างได้เผชิญกันมาแล้ว

    มนุษย์จะต้องปฏิบัติตนต่อผู้อื่นที่อยู่ในระบบโลกด้วยความรักและเมตตา ให้สมกับที่สำนึกได้ว่าต่างมีความสำคัญต่อกัน เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมที่เป็นเปลือกนอกแตกต่างกันดั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ตามใจที่ชอบกันเท่านั้น

    ดังนั้นหน้าที่หลักของรูปธรรมสิ่งมีชีวิตในโลก ต่างจะต้องสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกเป็นหนึ่งเดียวกันคือ

    ๑.จะไม่เป็นผู้แสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใด ๆที่เป็นเงื่อนไขด้านลบ ในอันที่จะทำให้ผู้อื่นสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดหรือกระทำด้านลบตามไปด้วย

    การกระทำยั่วยุทางอารมณ์ การแสดงออกทางอารมณ์หยาบต่อผู้อื่น การก้าวล่วงเบียดเบียนผู้อื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ เงื่อนไขด้านลบทั้งสิ้น

    ๒.จะเป็นผู้แสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใด ๆ ที่เป็นเงื่อนไขด้านบวก ในอันที่จะทำให้ผู้อื่นสั่นสะเทือนอารมณ์รู้สึกนึกคิดหรือกระทำด้านบวกตาม

    การยิ้มแย้มแจ่มใส การแสดงออกซึ่งความเป็นมิตร การยอมรับนับถือและการให้เกียรติกัน คือด้านบวกพึงประสงค์ของผู้อื่น

    ๓.จะปฏิบัติบำเพ็ญตนในการเป็นผู้ "ให้" ทั้งทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดและสรรพสิ่งใด ๆ ในอันที่จะทำให้ผู้ได้รับและตนเองที่เป็นผู้ให้ล้วนมีความสุขร่วมกัน

    บทบาทพฤติกรรมอารมณ์รู้สึกนึกคิด นอกจากจะเป็นการกำจัดกรรมแล้ว การที่แสดงต่อกันเสมอยังกระตุ้นให้กลไกไฟฟ้าในเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนผลิตสร้างพลังงานใหม่ด้านนบวกและอนุภาคประจุบวกป้อนให้แก่ดาวเคราะห์โลก นั้นคือ

    อดทน กับการกระทำที่ไม่ดีงามต่อตนเองของผู้อื่น เพื่อเปิดโอกาสให้ตนเองสามารถสร้างความเป็นหนึ่งเดียววกันกับเขาต่อไปได้ หากถือโทษโกรธแค้นเขาเราย่อมสอบตกเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้

    อดกลั้น กับการกระทำที่ไม่ดีงามต่อตนเองของผู้อื่น เพื่อเปิดโอกาสให้เขาแก้ไขตนเองใหม่ให้ถูกต้องในครั้งต่อไป ในอันที่จะกระทำให้ถูกต้องต่อตัวเราในครั้งใหม่ต่อไปได้
    ถ้ามนุษย์จะช่วยค้ำจุนความสมดุลของผู้อื่น ไม่ให้เขาเสียสมดุลอีกต่อไป มนุษย์ต้องมอบความรัก ความเมตตาปารถนาดีจากจิตใจของตนให้เขาไปให้จงได้ แน่นอนความอดกลั้น นี่เองคือการแสดงออกซึ่งความรักที่เป็นพลังงานอำนาจด้านบวก ที่มนุษย์สามารถมอบให้แก่ผู้อื่นที่ไม่สมดุลซึ่งกระทำไม่ถูกต้องต่อตนเองอยู่ในขณะนั้นได้ การยินยอมให้เขากระทำไม่ถูกต้องด้วยความไม่สมดุลของเขาในครั้งนี้โดยไม่ติดใจเอาความ ก็เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้แก้ไขตนเองใหม่ด้วยการกระทำให้ถูกต้องต่อตัวเราในครั้งต่อไปดังที่ได้กล่าวมานั่นเอง

    อภัย ให้กับการกระทำที่ไม่ดีงามต่อตนเองของผู้อื่น โดยไม่ถือสาหาความด้วยการแก้แค้นเขาให้ถึงที่สุด ด้วยสำนึกว่าตัวเราเองก็มีโอกาสกระทำผิดพลาดต่อเขาหรือผู้อื่นได้เหมือนกัน

    ความอดทน เป็นพลังอันลึกล้ำภายใน เป็นทบเรียนหลักบทหนึ่ง ที่จะบรรลุความสำเร็จเพื่อการกำจัดกรรมนี้ได้ มนุษย์ต้องใช้"พลังอดทนเป็นเครื่องมือ" ความอดทนเป็นการกระทำเพื่อตนเอง การอดกลั้นใช้พลังความอดทนของตนเองมอบให้ผู้อื่นด้วยพลังความรักเมตตา การให้อภัย อันเป็นเครื่องบ่งชี้ความมี "มโนธรรม" ของแต่ละคนไม่เท่ากัน ถ้าจิตสำนึกของมนุษย์ถูกยกระดับให้สูงขึ้นได้มากเท่าใด มนุษย์ก็จะมีมโนธรรมในจิตใจสูงขึ้นมากเท่านั้น วิธีที่ง่ายที่สุดในการยกระดับจิตสำนึกสู่การเรียนรู้ในกรณีนี้ก็คือ "ความมีสติ" นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2018
  6. มิติที่แปด

    มิติที่แปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2017
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +26
    ถามรังสิตตอบบางรัก ถามบางรักตอบห้วยขวางนะครับ ถามซ้ำแล้วกัน

    1. เป้าหมายของศาสนาที่คุณ Jityim เอามาเผยแผ่นี่คืออะไรครับ

    2. พระบิดาในศาสนานี้ที่ผมเห็นพูดถึงบ่อยๆ ทรงเป็นผู้สร้างทุกอย่าง อันนี้ผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ

    3. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณJityim บอกว่าดูแลกระทู้นี้อยู่ อันนี้คือพระบิดาด้วยมั้ยครับที่มาคุ้มครอง
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ไม่มี "จิตจักรวาล" หรือ "GOD" ใด ๆ ที่สร้างจักรวาล หรือ สร้างโลกรวมทั้งสัพสิ่งได้

    +++ จะมีได้สูงสุดก็แค่เพียง "ได้อยู่ ได้ดู ได้เห็น" กระบวนการทางธรรมชาติที่ เกิดขึ้น/ตั้งอยู่/ดับไป แล้ว "วงจรใหม่" ก็วนกลับมาอีก

    +++ กรณีตัวอย่างตรงนี้ คือ "ยาห์เวห์" นี่คือ "จิตจักรวาล ชนิด Original ที่มนุษย์รู้จัก" เป็น "จิตเก่าแก่ ดึกดำบรรพ์ มาก ๆ" ดวงหนึ่ง

    +++ ได้มีโอกาส "อยู่/ดู/เห็น" อาการของ "ดับสนิท ก่อนเกิด อสงไขยใหม่" และตรงนี้เองที่มีคำพูดกล่าวว่า "ก่อนกำนิดแสง จักรวาลมืดสนิท"

    +++ ด้วยการที่ "จิต map อยู่กับเนื้ออวกาศ" ดังนั้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอวกาศ จึงมีอาการ "ประดุจ ตน เป็นผู้ทำ" (มีอวกาศ เป็น กาย (สักกายะทิฐิ))

    +++ หลังจาก "เนื้ออวกาศ หย่อม นี้" รวมตัวกันเต็มที่แล้ว ก็ ระเบิดออกมาใหม่ ตรงนี้จึงกลายเป็น "แสงกำเนิดแล้วในจักรวาล"

    +++ จากนั้นจึงเกิดการ "สาดกระจายตัวออกมา ระยิบระยับ" ตรงนี้จึงเป็น "กำเนิดจักรวาล และ ดวงดาวใหญ่น้อยทั้งหลาย"

    +++ ยาห์เวห์ ได้อยู่เป็น "ประจักษ์พยาน" ในเหตุการณ์นี้ แต่เนื่องด้วย "ยึดอวกาศเป็นกาย" อาการของ "พระผู้เป็นเจ้า" จึงถือกำเนิดขึ้นมา
    +++ การเตือนภัยจาก "จิตเก่าแก่ ผ่าน ประสพการณ์มากมาย" สำหรับผมและกลุ่มฝึก จะถือว่า "ให้รับฟังไว้ก่อน" จนกว่าจะ "รู้" ถึง ต้นสายปลายเหตุแล้ว จึง พิจารณา ระวังป้องกัน แต่ที่แน่ ๆ คือ "กาลเวลา" ที่แตกต่างกัน หากเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระยะที่ ไกลตัวมากเกินไป ผมและกลุ่มฝึกจะ "วาง" ไว้ก่อน มันอาจจะ "ล่วงเลย กาลเวลา" ของพวกเราไปอีกไกล ก็ได้ ดังนั้น "ถึงแม้มันจะเกิด แต่ก็ถือได้ว่า ไม่เกิด เพราะ กาลเวลา เลยสมัยของพวกเราไปไกลเกินไป"
    +++ เคยอ่านผ่าน ๆ นานมาแล้ว ถือว่า "อ่านเล่น ๆ เฉย ๆ" จะดีกว่า ให้พิจารณาตรง ๆ ในสิ่งที่เรารู้ "ชัดเจน" เท่านั้นพอ

    +++ เรื่อง เจ้าหญิงแอนโดรมีด้า พญาครุฑ ต่าง ๆ นั้น กระทู้นั้น จินตนาการขึ้นมาเฉย ๆ สนุก ๆ ไม่มีอะไร

    +++ โดยเฉพาะ แอนโดรมีด้า จะใช้คำว่า "เจ้าหญิง/ชาย" ไม่ได้เลย เหมือนกับ ลูกสาวประธานสภา จะไม่เรียกว่า "เจ้าหญิง" อะไรทำนองนั้น

    +++ ลักษณะเฉพาะของ แอนโดรมีด้า คือ ชาย/หญิง จะทำหน้าที่ไม่แยกกัน ช/ญ จะดูเหมือน ๆ กันไปหมด หากอยากจะรู้ ต้องดูใกล้ ๆ เท่านั้น จึงรู้ว่า ใครเป็น ช/ญ
    +++ ให้ถือว่าเป็น นักเล่านิทาน จากการอ่านแล้วเอามาผสมจนยุ่ง ๆ ในหัว ก่อนจะเอาออกมาเล่าในกระทู้ เท่านั้น อย่างอื่น "ไม่มี" นะครับ
     
  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,205
    เป็นความรู้ใหม่ที่วิทยาศาตร์โลกยังก้าวไปไม่ถึง เช่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก เพื่อการเปลี่ยนแปลงโลกและมนุษย์โดยตรง ในอันที่จะก่อให้เกิดภัยวิกฤติธรรมชาติที่รุนแรงที่มนุษย์ต้องเผชิญ เป็นอภิปรัชญาที่มิใช่มาจากพื้นฐานของศาสตร์แขนงใด ๆ หรือหลักศาสนาใดศาสนาหนึ่งในโลก แต่เป็นข้อมูลและหลักการที่พ้องกับวิทยาศาตร์ของโลก ซึ่งสามารถอธิบายปรากฎการณ์และคุณสมบัติได้เป็นอย่างรูปธรรม ไม่ขัดแย้งกับทฤษฎีใด ๆ ที่มนุษย์ยอมรับ และสามารถแสวงหาความรู้แจ้งจากสัจธรรม ซึ่งเป็นความจริงที่จริงแท้ของตนเองกับทุกสรรพสิ่งบนโลกและจักรวาล อันเต็มไปด้วยกระบวนการการเกิดใหม่ กระบวนการเปลี่ยนแปลงและกระวนการดำรงอยู่ จากกลุ่มรูปธรรมพลังงานที่ดำรงคุณสมบัติอยู่ในสนามพลังงานจักรวาลเหนือโลก(จิตจัรวาล) ที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานและอำนาจในการรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง โดยเฉพาะมนุษย์ยุคพลังงานใหม่สามารถโต้ตอบกับจักรวาลได้ง่ายขึ้น ขณะที่โลกยุคพลังงานเก่าไม่อาจกระทำได้ ด้วยพลังอำนาจแม่เหล็กโลกที่ต่ำกว่ายุคพลังงานใหม่ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างเปลี่ยนแปลงนี้นี่เอง

    ใช่ค่ะ..หมายถึง "แก่นแท้" ศูนย์กลางแห่งการสั่นสะเทือน ทั้งในทางมิติแก่นแท้และในมิติทางกายภาพของสรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่ในระบบเพื่อก่อให้เกิดกระบวนการกระทำพฤติกรรมต่าง ๆ ขึ้น เช่น กระบวนการเพื่อการดำรงอยู่ กระบวนการเพื่อการสร้างใหม่ และกระบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลง เป็นต้น

    ถ้าเป็น "จิต" ในเครื่องยนต์แห่งกรรมของมนุษย์ ก็ย่อมหมายถึง "แก่นแท้" ของความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนทั้งในมิติของแก่นแท้และในมิติของกายภาพของเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์(ร่างกาย)เพื่อก่อให้เกิดพฤติกรรมและผลลัพธ์ของการกระทำพฤติกรรมในสองมิติ(กาย-ใจ) นั้นนั่นเอง

    การเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองของรูปธรรมทางพลังงานเพื่อสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในระบบของตนเองนั้น มีต้นแบบมาจากรูปธรรมทางพลังงาน(พระผู้สร้าง/พระบิดา ที่ใช้เรียกขานกันตามสมมุติบัญญัติเพราะอุบัติขึ้นมาจากจากสนามพลังงานว่างเปล่าเป็นสิ่งแรก) นับจากอุบัติขึ้นมาใหม่ ๆ เป็นอนุภาคของแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา ซึ่งเป็นต้นกำเนิดที่เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งที่มีอัตตาทั้งหลายนั้น มันทั้งหลายสามารถดำรงอยู่ภายในรูปธรรมของพระบิดาอย่างสมดุลได้ก็เพราะทั้งรูปธรรมมีการหมุนวนรอบจุดศูนย์กลางของตนเองอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้เกิดแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งทุก ๆ อนุภาคเข้าหาจุดศูนย์กลางการหมุนหรือนิวเคลียสของรูปธรรมนั้น ๆ นั่นเอง

    ไม่ทราบค่ะ แต่สิ่งที่ทราบ...คือ..ข้อมูลที่นำมาลงมีเหตุการณ์ไม่ดาดคิดแสดงออกมาเป็นปรากฏการณ์ให้เข้าใจได้ในข้อความและการที่จะส่งโพสออกไป เพราะมิใช่เกิดเพียงแค่ครั้งสองครั้ง แต่นับสิบตั้งแต่โพสข้อความในกระทู้นี้มาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2018
  9. มนุษย์835

    มนุษย์835 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +182
    อวกาศที่กล่าวถึงนี่ คือ แยก อากาศ หรือไม่ครับ ในความหมาย ( ความหมายคุณ ธรรมชาติน่ะครับ)
     
  10. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
    ในปฏิสัมภิทาพระบาลีมหาวรรค ได้แสดงไว้ว่า จิตมีชื่อต่างๆใช้เรียกขานกันถึง ๑๐ ชื่อ ดังแสดงว่า.... " ยํ จิติตํ หทยํ มานสํ ปณฺฑรํ มนายตนํ มนินฺทฺริยํ วิญฺญาณํ วิญฺญาณกฺขนฺโธ ตฺชชา มโนวิญฺญาณธาตุ อิทํ จิตฺตํ " อัฏฐสาลินีอรรถกถาธิบายไว้ว่า
    ธรรมชาติใดย่อมคิด ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า "จิต"
    ธรรมชาติใดย่อมน้อมไปหาอารมณ์ ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า "มโน"
    จิตที่รวบรวมไว้ภายในนั่นแหละ ชื่อว่า "หทัย"
    ธรรมชาติฉันทะ คือความพอใจที่มีอยู่ในใจนั้น ชื่อว่า "มานัส"
    จิตเป็นธรรมชาติที่ผ่องใส จึงชื่อว่า "ปัณฑระ"
    มนะที่เป็นอายตนะ คือเครื่องต่อ จึงชื่อว่า "มนายตนะ"
    มนะที่เป็นอินทรีย์ คือครองความเป็นใหญ่ จึงชื่อว่า "มนินทรีย์"
    ธรรมชาติใดที่รู้อารมณ์ ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า"วิญญาณ"
    วิญญาณที่เป็นขันธ์ จึงชื่อว่า"วิญญาณขันธ์"
    มนะที่เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งรู้อารมณ์ จึงชื่อว่า "มโนวิญญาณธาตุ"

    ภิกษุทั้งหลาย ! ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับ จะพึงเบื่อหน่ายได้บ้าง พึงคลายกำหนัดได้บ้าง พึงปล่อยวางได้บ้าง ในกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า การก่อขึ้นก็ดี การสลายลงก็ดี การถูกยึดครองก็ดี การทอดทิ้งซากไว้ก็ดี แห่งกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้ ย่อมปรากฏอยู่ เพราะเหตุนั้น ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับ จึงเบื่อหน่ายได้บ้าง จึงคลายกำหนัดได้บ้าง จึงปล่อยวางได้บ้างในกายนั้น

    ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนที่เรียกกันว่า “จิต” ก็ดี ว่า “มโน” ก็ดี ว่า “วิญญาณ” ก็ดี ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับ ไม่อาจจะเบื่อหน่าย ไม่อาจจะคลายกำหนัด ไม่อาจจะปล่อยวาง ซึ่งจิตนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?

    ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้นเพราะเหตุวา่ สิ่งที่เรียกว่าจิตเป็นต้นนี้ เป็นสิ่งที่ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับได้ถึงทับแล้วด้วยตัณหา ได้ยึดถือแล้วด้วยทิฏฐิโดยความเป็นตัวตนมาตลอดกาลช้านานว่า “นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา” ดังนี้

    เพราะเหตุนั้น ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย ไม่อาจจะคลายกำหนัด ไม่อาจจะปล่อยวางซึ่งสิ่งที่เรียกว่าจิตเป็นต้นนั้น

    ภิกษุทั้งหลาย ! ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอากายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้ โดยความเป็นตัวตน ยังดีกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตัวตน ไม่ดีเลย ข้อนี้เป็นเพราะเหตุใดเล่า ?

    ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า กายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้ ดำรงอยู่ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง เกินกว่าร้อยปีบ้าง ปรากฏอยู่


    ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนสิ่งที่เรียกกันว่า “จิต” ก็ดี ว่า “มโน” ก็ดี ว่า “วิญญาณ” ก็ดี นั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ตลอดวัน ตลอดคืน
    ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือน วานร เมื่อเที่ยวไปอยู่ในป่าใหญ่ ย่อมจับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น จับกิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่จับเดิม เหนี่ยวกิ่งอื่น เช่นนี้เรื่อย ๆ ไป ข้อนี้ฉันใดภิกษุทั้งหลาย ! สิ่งที่เรียกกันว่า “จิต” ก็ดี ว่า “มโน” ก็ดีว่า “วิญญาณ” ก็ดี ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ตลอดวัน ตลอดคืน

    นิทาน. สํ. ๑๖/๑๑๔- ๑๑๕/๒๓๐ - ๒๓๒.
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อวกาศ คือ "สภาพที่อยู่ นอก แรงดึงดูด/โน้มถ่วง/สนามพลัง" ของจุดที่ระบุ

    +++ เช่น อวกาศนอกโลก ก็จะเป็น สภาวะที่พ้นสนามพลังของโลก (นับที่โลก)

    +++ อวกาศนอกระบบสุริยะ ก็จะเป็น สภาวะที่พ้นสนามพลังของระบบสุริยะ (นับที่ระบบสุริยะ)

    +++ อวกาศนอกกาแลคซี่ ก็จะเป็น สภาวะที่พ้นสนามพลังของกาแลคซี่ (นับที่กาแลคซี่)

    +++ อวกาศนอกบิกแบง ก็จะเป็น สภาวะที่พ้นสนามพลังของบิกแบง (นับที่บิกแบง)

    +++ อวกาศนอกหย่อมอวกาศ ก็จะเป็น สภาวะที่เป็นคนละหย่อมกัน (นับที่หย่อมอวกาศ)

    +++ เนื้ออวกาศ "แต่ละเนื้อ" จะมีความ "เข้มข้น/จางคลาย" แตกต่างกันไป

    +++ เนื้ออวกาศทุกเนื้อผมมักจะ "ระบุจุดอ้างอิง" ไว้ด้วย เพราะมีความ "แตกต่างหลากหลาย" มากเกินไป นะครับ
     
  12. มิติที่แปด

    มิติที่แปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2017
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +26
    1.ผมว่าอันนี้ครับเป้าหมายของศาสนาของคุณจิตยิ้ม สรุปก็คือไปรวมอยู่กับพระบิดาครับ อันนี้เหมือนศาสนาคริสต์เด๊ะๆเลย

    ?temp_hash=fb9ed2e84ed5aea687369e4d0f7905a9.jpg
    http://www.jitchakraval.com/home/in...1-09-29-10-01-57&catid=70:facebook&Itemid=251

    ส่วนข้อ2. คุณจิตยิ้มพูดซะเป็นนามธรรมเลย พระบิดาเนี่ย คือผมสังเกตมานะครับ ส่วนใหญ่ศาสนาจิตจักรวาลเวลาไปตามบอร์ดต่างๆของพุทธ มักจะเลี่ยงๆยังไงไม่รู้ ไม่ค่อยพูดถึงพระบิดา ไม่ก็ตอบแบบคุณจิตยิ้มนี่แหละ แก่นพลังงานการสั่นสะเทือนอะไรกันครับ

    จริงๆพระบิดาเป็นบุคคลครับเนื่องจากศาสนาจิตจักรวาลรับมาจากศาสนาคริสต์ ไม่เชื่อไปเปิดพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ดูก็ได้ ถ้อยคำประเภท เรากล่าวแก่เจ้าทั้งหลายว่า เราจะบอกแก่เจ้าว่า นี่พบเห็นทั่วไปในพระคัมภีร์ทั้งเก่าและใหม่ คุณป.ก็พูดแบบนี้เสมอไม่ใช่หรือครับ หาดูได้ทั่วไปในเน็ต อันนี้เป็นsample แล้วกัน

    ?temp_hash=fb9ed2e84ed5aea687369e4d0f7905a9.jpg
    http://www.jitchakraval.com/home/in...1-09-29-09-51-47&catid=70:facebook&Itemid=251

    3.สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคุณจิตยิ้มก็คือพระบิดานี่แหละครับ ตามลิงค์เลย
    http://www.jitchakraval.com/home/index.php?option=com_content&view=article&id=223&Itemid=238

    ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าแม่ชีจะเผยแผ่ศาสนาอื่นได้มั้ย ผมว่ามันก็ไม่ได้มีข้อห้ามอะไรนะน่าจะได้ไม่ผิด แล้วแต่ว่าเราเห็นว่าควรมั้ย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.1 KB
      เปิดดู:
      49
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.2 KB
      เปิดดู:
      35
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,205
    ข้อความบางตอนจาก.. ตติยนิพพานสูตรที่ ๓

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่ เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว
    ...มีอยู่

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้วเกิดแล้ว
    ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว
    จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรม-ชาติที่เกิดแล้ว
    เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว
    จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย


    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว
    ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้วปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่

    ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว
    เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำแล้วปรุงแต่งแล้ว
    จึงปรากฏ.
     
  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,205
    ความเป็นคนของเราไม่ได้วัดคุณค่าที่การนับถือศาสนา ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ศาสนาหรอกค่ะ แต่...ทุกคนมีแก่นแท้ที่เหมือนกันคือ จิตวิญญาณ ทุกคนล้วนมาจากจุดเดียวกัน ความแตกต่างของเรา ก็คือ กรรมเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดค่ะ
     
  15. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
    เกล้ากระผมขอกราบคุณแม่ชี jityim นะครับ ท่านก็คงจะได้เข้า แก่นแท้ตามที่ท่านบอกแล้วซึ่งนั่น คือ จิตวิญญาณ
    แต่เกล้ากระผม ขอกราบเรียนถาม ในเรื่อง สติปัฏฐาน 4
    สติปัฏฐาน 4 เป็นหลักการภาวนาตามมหาสติปัฏฐานสูตร[1] เป็นข้อปฏิบัติเพื่อรู้แจ้ง คือเข้าใจตามเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงโดยไม่ถูกกิเลสครอบงำ สติปัฏฐานมี 4 อย่าง กาย เวทนา จิต และธรรม

    คำว่าสติปัฏฐานนั้นแปลว่า สติที่ตั้งมั่น, การหมั่นระลึก, การมีสัมมาสติระลึกรู้นั้นพ้นจากการคิดโดยตั้งใจ แต่เกิดจากจิตจำสภาวะได้ แล้วระลึกรู้โดยอัตโนมัติ โดยคำว่า สติ หมายถึงความระลึกรู้ เป็นเจตสิกประเภทหนึ่ง ส่วนปัฏฐาน แปลได้หลายอย่าง แต่ในมหาสติปัฏฐานสูตรและสติปัฏฐานสูตร หมายถึง ความตั้งมั่น, ความแน่วแน่, ความมุ่งมั่น

    โดยรวมคือเข้าไปรู้เห็นในสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ตามมุ่งมองของไตรลักษณ์หรือสามัญลักษณะ โดยไม่มีความยึดติดด้วยอำนาจกิเลสทั้งปวง ได้แก่

    1. กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้กายเป็นฐาน ซึ่งกายในที่นี่หมายถึงประชุม หรือรวม นั่นคือธาตุ 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟมาประชุมรวมกันเป็นร่างกาย ไม่มองกายด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา แต่มองแยกเป็น รูปธรรมหนึ่งๆ เห็นความเกิดดับ กายล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
    2. เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้เวทนาเป็นฐาน ไม่มองเวทนาด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขาคือไม่มองว่าเรากำลังทุกข์ หรือเรากำลังสุข หรือเราเฉยๆ แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ เวทนาล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
    3. จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้จิตเป็นฐาน เป็นการนำจิตมาระลึกรู้เจตสิกหรือรู้จิตก็ได้ ไม่มองจิตด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา คือไม่มองว่าเรากำลังคิด เรากำลังโกรธ หรือเรากำลังเหม่อลอย แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ จิตล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
    4. ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้สภาวะธรรมเป็นฐาน ทั้งรูปธรรมและนามธรรมล้วนมีความเกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
    สิ่งที่ขอกราบเรียนถามคือ จิตวิญญาณ ที่เป็นแก่นแท้ตามที่ท่านบอก กับ จิต ใน
    จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน ของท่านเป็นอย่างเดียวกันหรือคนละอย่าง ครับ???????
     
  16. มิติที่แปด

    มิติที่แปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2017
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +26
    ไม่ได้พูดเรื่องความเป็นคนอะไรซักหน่อยครับ ผมก็แค่ชี้ให้เห็นว่าศาสนาที่คุณจิตยิ้มเอามาเผยแผ่มันมีที่มายังไง เพื่อที่ว่าคนเข้ามาอ่านข้อความของคุณจิตยิ้มจะได้เข้าใจคุณจิตยิ้มมากขึ้น เช่นคุณจิตยิ้มบอกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองกระทู้นี้อยู่นะ คนเค้าจะได้รู้ว่า อ้อ! นี่คือพระบิดาในศาสนานั่นเอง


    ที่คุณจิตยิ้มเอามาเผยแผ่นี่เอาแค่เปลือกเขามา นี่ผมเอาแก่นศาสนาของเขามาพูดเลยนะคับ

    ปล.แล้วที่กดไม่เห็นด้วย นี่ไม่เห็นด้วยยังไงครับ ที่ผมยกตัวอย่างมา ก็เอามาจากเว็บศาสนาที่คุณจิตยิ้มเอามาเผยแผ่นะครับ รูปมีเสร็จสรรพ ลิงค์เครดิตก็มีให้เรียบร้อย ผมไม่ได้คิดมโนขึ้นมาเองเลย ไม่เห็นด้วยนี่ต้องไปคุยกับคุณป.เองนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2018
  17. เเสงเทียน

    เเสงเทียน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +156
    มีศาสนาไม่มีศาสนา. มีความรู้ไม่มีความรู้ จะดีหรือเลว ตายหมดทั้งสิ้น รวมทั้งโลกนี้จักวาลนี้ หรือ มหาจักรวาล ต้องเกิด ตั้ง ดับดิ้น
     
  18. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
    ขอกราบเรียนถาม นะครับ ตามตติยนิพพานสูตรที่ ๓ แล้วสภาวะที่ท่าน jityim นำมานี้ ท่านเข้าใจว่าอย่างไร
     
  19. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    ลัทธินี้ คริสต์จิงๆก้ไม่ยอมรับนิ ไปโหนพระเจ้าเขา คำสอนก้เอาหลายศาสนามามิกซ์เปนของตัว

    ก้ว่าเวลานางเขียนตอบบทความชอบเวิ่นเว้อ ออกแนวเลี่ยงๆ ชอบตัดต่อพันธุกรรมลัทธินี้เข้ากับคำสอนพุทธตลอด อ่านแล้วแปลกๆ... ที่แท้นับถือลัทธินี้นี่เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2018
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ โพสท์นี้ของคุณ jityim นะ จากการที่ผมเข้าไปอ่าน "คร่าว ๆ แค่หน้าเดียว" ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ หากคุณ ปริญญา ซื่อสัตย์จริงใจแล้วละก็ ผมว่าคุณ ปริญญา อาจโดนหลอกมาอย่าง "เนียน ๆ" เรียบร้อยแล้วนะ

    http://www.jitchakraval.com/home/index.php?option=com_content&view=article&id=224&Itemid=257

    +++ ในหน้านี้ "การสื่อสารกับ จิตจักรวาล" "อาจารย์ปริญญา ตันสกุล กล่าวโอวาทแทนพระองค์ได้อย่างไร?" มีพิรุธมากมาย และเป็น "พิรุธแบบตื้น ๆ ทั้งนั้น"

    +++ คุณ jityim คงทราบอยู่แล้วนะว่า ผมเอา "ความจริง ที่ทำได้จริง พิสูจน์ได้จริง" มากกว่า ส่วน "ความเชื่อ" นั้น ทั้งผมและกลุ่มฝึก ไม่เอาเป็น "สะระณังคัจฉามิ"

    +++ ผมจะ "คัดเอาแต่ เนื้อหาหลัก ๆ ในแต่ละย่อหน้า มาทีละเรื่อง" แล้วจะบอก "เหตุ/ผล" ให้คุณ jityim พิจารณาเอาเอง ก็แล้วกัน

    --- อาจารย์ปริญญาจะใช้วิธีการสื่อสารกับพระองค์ ด้วยกระบวนการถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิตแบบแนวดิ่ง ที่เรียกว่า VERTICAL TELEPATHY โดยระยะห่างระหว่างองค์จิตจักรวาลที่ทรงประทับอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของสนามพลังงานสากลนอกระบบเอกภพ กับอาจารย์ปริญญาที่ดำรงรูปธรรมอยู่ในระบบโลก คิดเป็นหน่วยเวลาในการสื่อสารทางจิตทั้งไปและกลับนานเท่ากับ 3 นาที ---

    +++ 1. "จิตสู่จิตแบบแนวดิ่ง ที่เรียกว่า VERTICAL TELEPATHY" คำศัพท์คำนี้ "เป็นการใช้ภาษา กำกวม ที่ไม่ตรงกับอาการ ที่เกิดขึ้นจริง" การสื่อสารใน กาล/อวกาศ จะไม่มี แนวดิ่ง/แนวนอน หากจะให้คำศัพท์ว่า "มี" จะต้องระบุ "จุดอ้างอิง" มาประกอบเสมอ

    +++ หากคุณ ปริญญา จะยังใช้คำศัพท์ในหมวดหมู่ของ TELEPATHY แล้ว อาการตรงนี้ ควรเป็น DIRECTLY TELEPATHY คือ อาการ "สื่อจิตโดยตรง เฉพาะเป้าหมาย" มากกว่า และหาก "จิตจักรวาล" ดวงนี้ อยู่ในระดับ "มาตรฐาน ของกลุ่ม จิตจักรวาล" จริง ๆ แล้ว ตรงนี้จะมี คำศัพท์ที่เป็นภาษาทางการ คือ Channeling

    +++ คุณ ปริญญา เป็นผู้มีการศึกษา ดังนั้นไม่พิจารณาว่าจะมีเจตนา บิดเบือนภาษา ยกเว้นจะโดนบิดเบือนมาทั้งแท่ง จากแหล่ง Channel (ตัวจิตจักรวาล)

    +++ 2. ตำแหน่ง "จิตจักรวาล อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของสนามพลังงานสากล นอกระบบเอกภพ" "คิดเป็นหน่วยเวลาในการสื่อสารทางจิตทั้งไปและกลับนานเท่ากับ 3 นาที"

    +++ การสื่อสารทางจิต ในระดับ 3 นาที ตรงนี้เป็นการ "บิดเบือน" แน่นอน อาการของตรงนี้ "ไม่ใช่อาการของ TELEPATHY แต่มันเป็นอาการของ TECHNOLOGY"

    +++ ตรงนี้เป็นการ "เลียนแบบวิทยุดาราศาสตร์" 3 นาทีจากโลก ยังไปไม่ถึงวงของ Asteroid belt (15-16 นาที ห่าง 2 เท่าของดวงอาทิตย์/โลก) ต่อให้มีอัตราการเร่ง ตามที่ระบุไว้ข้างล่างก็ตาม ก็จะไปไม่เกิน Kuiper Belt ไปได้

    +++ ดังนั้น "จุดศูนย์กลางของสนามพลังงานสากลนอกระบบเอกภพ" นี้ ยังไปไม่พ้น Arc Bow ของสนามพลังระบบสุริยะเลย

    ความหมายคือ ถ้าประโยคใดที่อาจารย์ปริญญากล่าวออกมา ขณะที่กำลังกล่าวโอวาทของพระองค์ต่อหน้าเพื่อนมนุษย์อยู่นั้น ย่อมแสดงว่าพระองค์ได้ทรงตรัสประโยคดังกล่าวนั้นไว้ เมื่อนาทีครึ่งที่ผ่านมาตามเวลาโลก ก่อนหน้าที่อาจารย์ปริญญาจะรับรู้ได้ในรูปแบบของ ผลึกแห่งการคิด ด้วยปัญญาญาณของจิตกับสมองซีกขวา แล้วจึงค่อยใช้สมองซีกซ้ายช่วยถ่ายทอดสดผลึกแห่งการคิดนั้นออกมาเป็นคำพูดอย่างพรั่งพรูในที่สุด

    +++ 3. ตรงนี้แหละ ที่เป็นการ "สื่อสารแบบ TECHNOLOGY ไม่ใช่ TELEPATHY" ไม่ว่าจะมี "สมองกี่ซีก" ก็ตาม นี่เป็นการสื่อสารที่ไม่มี "วิตก/วิจารณ์" ที่เป็นองค์ประกอบหลักของ "จิตสื่อสาร/TELEPATHY" เลยแม้แต่นิดเดียว

    อัตราความเร็วในการเดินทางเคลื่อนที่ของคลื่นการคิดของจิตอาจารย์ปริญญา ต่ำสุดจะเท่ากับความเร็วของแสงที่เปลี่ยนค่าเป็นสองเท่าในทุกๆวินาที

    +++ ฮ่วย ทำไม "มีอัตราเร่ง" เร็วกว่า "เป็ดเดิน" นิดหน่อยเอง อัตราสื่อสารของคุณ ปริญญา ตามที่กล่าวมานี้ "ใช้ได้แค่ ภายใน Arc Bow ของระบบสุริยะนี้" เท่านั้น

    +++ Technology ของจิตจักรวาลรายนี้ ยังไม่ถึงระดับ "ไอ้เตี้ย" ด้วยซ้ำ ทำไมทำตัวเหมือนไอ้พวกต่างดาวที่ "ไร้การศึกษา" อย่างนั้น

    เป็นพระเมตตาของพระองค์ ที่ทรงเป็นผู้ประทานมิติการสื่อสารทางจิตสองทาง (2 ways telepathy) ให้แก่อาจารย์ปริญญาได้ติดต่อสื่อสารกับพระองค์เป็นกรณีเฉพาะ

    +++ 4. นี่คือ Channeling นั่นเอง ส่วนการระบุว่าเป็น "สื่อสารทางจิตสองทาง (2 ways telepathy)" ไปกลับ = 1.5+1.5 = 3 นาทีนั้น ตรงนี้ในภาษา Networking เรียกว่า ยังเป็นระบบ Half Duplex อยู่ ขอให้ช่วยบอก "ท่านจิตจักรวาล ตัวนี้" ด้วยว่า ระบบ Half Duplex นั้น ทางโลกเขา โยนทิ้งไปหมดแล้ว ขั้นต่ำเป็นระบบ Full Duplex ล้วน

    ผลึกแห่งการคิดรู้ (PRISM OF THOUGHT) เป็นคุณสมบัติหรือเป็นรหัสของคลื่นติดมาด้วย เมื่ออาจารย์ปริญญาได้รับสื่อแล้วก็จะนำเอาผลึกแห่งการคิดรู้ซึ่งเป็นข้อมูลที่องค์จิตจักรวาลทรงเมตตาทยอยประทานมาให้ดั่งการเคลื่อนไหลของสายธาร ไปผ่านกระบวนการถอดรหัสเพื่อแปลความหมายออกมาเป็นภาษาพูดอย่างพรั่งพรู ด้วยความช่วยเหลือของสมองซีกซ้ายต่อไป

    +++ 5. "เวนกำ" ผลึกแห่งการคิดรู้ (PRISM OF THOUGHT) ทำไมไม่ใช่คำว่า "Concept = สังกัปโป" มาซะก็สิ้นเรื่อง

    +++ Concept ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็ต้อง "แปลมาเป็น ภาษาพุด ทั้งนั้น" มันเป็นกระบวนการ "สังกัปโป สู่ วาจา ก่อนจะไป กัมมันโต"

    +++ คุณ jityim ด้วยความปรารถนาดีนะ ผมว่าคุณ ปริญญา "โดนหลอก" มาจาก "จิตจักรวาล ที่ไร้การศึกษาตัวนี้" เสียแล้วล่ะ

    +++ อาการ "ทึ่ม ๆ ที่ Channeling มาแบบนี้" น่าจะเป็น "ไอ้เตี้ย ที่แตกแถว อู้งาน" มาหาอะไรเล่นกับมนุษย์ ที่เพิ่งมีประสพการณ์ใหม่ ๆ มากกว่า นะครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...