ถามเกี่ยวกับกสินอากาศ

ขอทราบวิธีฝึกเริ่มต้นโดยมองท้องฟ้าจะได้รึเปล่า ขอทราบเกี่ยวกับการฝึกได้อุคคหนิมิตรจะเป็นอย่างไร จนถึงให้สามารถอธิษฐานใช้งานได้ จะเป็นลักษณะไหน หายตัวได้หรือว่ายังไง

 

คงต้องรออาจารย์นพมาตอบครับ

 

ในกระทู้กสิณอะไรฝึกง่ายสุด
แนะนำไปถึงการใช้งานอรูปฌานถึง
ขั้นที่ ๓ ในแบบพลังงาน
และ กสิณทุกกองแบบพลังงาน
และแบบลืมตาใช้งานในชีวิตประจำวันนี่หละ
และก็แนะทริค เทคนิค
ไปหลายรอบมากกกกก ตั้งแต่เริ่มต้น
จนการนำไปใช้งาน และเขียน
แนวทาง นิสัย การวางเป้าหมาย
ของผู้ที่มีโอกาสจะถึงระดับ
ใช้งานได้ ตลอดจนการป้องกัน
ข้อควรระวัง และประโยชน์
ต่างๆที่มาหนุนด้านปัญญา

ดังนั้นถ้าสนใจจริง
ลองไปค้นอ่านดู
แล้วดูว่าใจเรา
มีปฏิปทาความสำเร็จ
แห่งการใช้งานได้จริงไหมอีกที


จขกท พูดแบบนี้
แสดงว่าเน้นผลด้านพิเศษก่อน
กสิณในกำลังเริ่มต้นระดับปฎิภาคนิมิต
ไปได้ ๓ ทาง คือ ๑. อฐิษฐานจิต
๒.พลังงาน ๓.อรูปฌานขั้นที่ ๓
ในแบบพลังงาน. ข้อ ๑. ยากสุด
ส่วนระดับ อุคหนิมิต แบบหลับตาปี้ ครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือลืมตาเห็นตอนคะระรี่
กำลังระดับนี้ สามารถใช้
เป็นแนวทางเดินปัญญาได้
แต่ต้องมีองค์ประกอบจากวิธีการปฏิบัติอื่นๆ
มาร่วมด้วย ถึงจะไม่หลงตัวเอง
เล่าให้ฟังเฉยๆ.


ส่วนอุคหนิมิตไม่เน้น
เพราะแม้ว่า จะเป็นอุคหนิมิตตรง
ก็ยังไม่มีประโยชน์และทำให้หลงได้
หากจะเน้นเห็นผลด้านพิเศษก่อน
ถ้าเผลอคิดว่าเป็นฌาน ๔ แต่ไร้กำลังจิต
ด้านพลังงาน ยึดอดีต ยึดนามธรรม
ประกันว่า ดูเพี้ยนแน่นอน
หรือไม่ก็ป่วยทางจิต คิดว่าตน
เป็นผู้วิเศษ

กสิณอากาศ มีพื้นฐานวิธีสร้างอุคหนิมิต
คล้ายกสิณลมและน้ำ เพราะมันใส
เหมือนกัน แต่ปกติมันมองไม่เห็น
แต่ฝึกให้เห็นได้
ถ้าปรับระบบหายใจ และการวาง
สายตาเพื่อสร้างให้จิตเห็นสิ่งเหล่านี้เป็น
ปกติ มีอยู่ในกระทู้ที่แนะนำนั่นหละ

พวกนี้แม้ทำได้ มันก็เป็นเพียงฐาน
ที่จะนำกำลังที่ได้มาเดินปัญญาต่อ
จะได้เปรียบเรื่องสภาวะทางนามธรรม
ต่างๆ ที่ในตำรามีแค่ตัวอักษร

ปล. ควรฝึกหลังจากที่แยกรูปแยกนามได้แล้ว. คือ จิตเห็นและแยก ตัวจิต ความคิด
ความคิดผุดหรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
ที่เป็นฝ่ายอารมย์ และเดินปัญญามาก่อน
ซักระยะหนึ่งตนมั่นใจว่า การยึดตัวตนมีน้อย
และไม่ยึดในกริยาหรือสัมผัสทางนามธรรม
ต่างๆให้ได้ก่อน. เพราะสำคัญมากๆ
ที่จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ
ในระดับที่สามารถนำมาใช้งานได้จริง
อื่นๆลองไปอ่านเพิ่มเติมในกระทู้ดูเองครับ

อีกอย่างของแบบนี้ ถ้าพื้นฐานพร้อม
ทั้งทางกายและใจพร้อม บางทีมันไม่ต้องฝึก
มันก็สามารถเกิดขึ้นได้กับตัวเราเอง
คุณสมบัติทางกายและใจที่พร้อม
มาจากตัวเราเองครับ
นี่ก็เล่าให้ฟังเฉยๆ

 

โฮมฮับ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้น่ะครับ
อาจจะไม่เกี่ยวกับกสิณอากาศ (แต่โพสที่เกี่ยวกับที่อจ นพแนะนำลองเข้าไปอ่านดูครับ ค้นหาคีย์เวิร์ด "กสิณอะไร" จะเจอครับ มีข้อมูลเยอะมาก)
..
ส่วนผม
ก็ชอบมองดูท้องฟ้าครับ
คลายเครียดดี ดูแล้ว ปลอดโปร่ง โล่งใจ
ออกแนวๆ อารมณ์สมาธิได้ด้วย
ดูแล้วทำให้รู้สึกว่ามนุษย์เราก็เล็กน้อยเดียว
บ้างครั้งก็ดึงอารมณ์นี้มาใช้ตอนสมถะวิปัสสนาครับ
..
ยิ่งขยายความรู้สึกออกจากท้องฟ้าบนโลก
ขยายเป็นจักรวาลและกาแล็กซี่
ยิ่งทำให้รู้สึกความเป็นตัวตนของเรายิ่งน้อยๆ แทบจะหาสาระไม่ได้เลย
อารมณ์จะเข้าใจเวียนว่ายตายเกิดมากขึ้น
ทำให้ปลงได้
..
เผือเป็นข้อมูล

 

เด่วข่วยเสริมข้างบนอีก
ในทางปฎิบัติการสำเร็จกรรมฐานกองนี้
วัดตรงที่การเข้าถึงอารมย์นะครับ
ไม่ใช่วัดจากที่เราสามารถใช้
พลังงานมันไปทำโน่นนี่นั้นได้

แน่นอนว่าความสำเร็จ มันจะมาจากฐาน
ด้านการเดินปัญญาเป็นหลัก

ไม่ได้วัดกันตรงที่ว่า
ใช้งานได้นะครับย้ำอีกรอบ

สมมุติ นาย ก ใช้งานได้ด้านพลังงานมาหลายปีจากกำลังจิตที่ได้จาก
การปั่นปฎิภาคนิมิตมา หรืออฐิษจิตจน
เกิดผลขึ้นจริงได้ในเรื่องต่างๆ
(ตรงนี้ถ้าเข้าถึง จิตจะพอมีกำลังจิต
เล่นในเรื่องพลังงานได้ปกติ
ในชีวิตประจำวันทุกคน
ย้ำว่าทุกคนที่ทำได้)

แต่ถ้า นาย ก ยังเข้าถึงอารมย์ไม่ได้. จนย้อน
ไปถึงต้นกำเนิดมันได้ เหมือนย้อนไปถึง
เหตุแห่งการเกิดอารมย์ต่างๆ
เหมือนของการเดินปัญญา
ในเรื่องอื่นๆ จะยังเรียกไม่ได้ว่า
นาย ก สำเร็จ. เรียกได้ว่า ใช้งานได้

เล่าให้ฟังเพื่อว่าใครเกิดใช้งานได้
แล้วเผลอดูแคลนคนที่เข้าถึงอารมณ์ได้
ซึ่งโดยมาก บุคคลเหล่านี้จะเน้นทางด้านปัญญาไม่ได้เน้นการใช้งาน
เพราะไม่มีเหตุปัจจัยต้องให้ได้ใช้อะไร


ประเด็นคือสำเร็จนั้นมันอยู่จุดไหน ลองสังเกตุในกรรมฐาน ๔๐ ดู จะเน้น
แต่การเข้าถึงอารมย์

แล้วอาจจะงงว่า มันจะวัดได้อย่างไรครับ
ว่าใครได้หรือไม่ได้. หรือเราได้
วัดได้ครับ

ถ้าเราปั่นปฎิภาคนิมิตได้จริง
ในกำลังสมาธิระดับสูง
(ไม่ใช่อุปจาระสมาธินะครับ)
จนจิตพอมีกำลังจิตจริง
จิตจะมีความสามารถไปเข้าถึงตรงนี้
ได้เป็นปกติ. เป็นที่มาที่ทำให้เราทราบว่า
ดวงจิตนั้นๆเด่นในเรื่องอะไร ไม่ว่าปัญญา
ความสามารถแบบไหน แบบภายในหรือภายนอก ทำอะไรได้บ้าง มันจะรู้ได้หมด
เป็นเรื่องธรรมดา เพียงอาศัยการ
สังเกตุลักษณะพลังงานเฉพาะ
ซึ่งพลังงานนั้น
มันไม่สามารถ
สร้างภาพให้เป็นได้ ด้วยการคิด
การวิเคราะห์ การเข้าใจไปเองจากการอ่าน
การพูดหรือการโฆษณา

เราก็ดูตามเหตุและปัจจัยของเรา
เพราะแม้จะเข้าถึงได้ ใช้งานได้
เราก็ต้องทิ้ง เพื่อมาด้านปัญญาต่ออยู่ดี
ไม่งั้นมันจะเสื่อม ไม่พัฒนา
ไปต่อทางปัญญาญานไม่ได้นั่นเอง


เผลอจะหลงตัวเอง จากความสามารถ
ที่ตนทำได้ กลายเป็นคิดว่าตน เหนือใคร

ฝึกกรรมฐานกองนี้. ห้ามมมมมมมมมมมม
ไปดูดวง ห้ามไปสนใจกิริยาระหว่างทาง
แม้ว่าจะพิศดาร ระดับจักรวาลแค่ไหน
ก่อนที่จะใช้งานได้จริงนะครับ

ไม่วั้นจะเสร็จ ถูกแหย่
กลายเป็นพวกสายอสูรกายบำเพ็ญได้
โดยที่คาดไม่ถึง อย่างไม่รู้ตัวครับ จบ

 

กสินสีต่างๆ ฝึกง่ายที่สุด ลองดูก่อนไหม
คล่องดีแล้ว ค่อยฝึก กสินอากาส ซึ่งยากมาก
ถ้าทำได้ ค่อยมาว่ากันใหม่
หรือเคยฝึกอย่างอื่นมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ
เลยอยากลอง กสิน ดู ก็เล่ามาให้ฟังหน่อย

 

คนถามเด่นอากาศกับลม
ไม่แปลกที่จะสนใจสองกองนี่ครับ

กสิณถ้าฝึกได้แค่กองเดียว
กองอื่นจะมาเอง เพราะกำลังที่ได้
มันเท่ากัน เลยเรียกกองอื่นได้ครับ


และจะไม่ฝึกกองโน้นกองนี้ก่อน
แล้วมากองอื่นๆ
มันเป็นวิสัยของจิต ที่ไม่มีทางฝึกสำเร็จ
ในชาตินี้ หรือไม่ก็วิสัยพวกชอบมโน
ไม่เชื่อพิสูจน์ได้เลย ว่ามโนอย่างไร
ด้วยการให้เรียกพลังงานให้ดูครับ
ถ้าใครแนะนำแบบนี้ครับ

พูดง่ายๆว่ามั่วววววว และเริ่มป่วยทางจิต
คือหลงสภาวะ กิริยาเล็กๆน้อยเข้าใจว่า
เป็นระดับสูง ทั้งที่ไม่ทีความสามารถ
ใช้งานทางจิตได้ ยังคิดว่าเป็นฌานระดับสูง

งึดหลายยยย

 

กลัวผีไหมครับ จขกท.

 

เกี่ยวอะไนกัน ฝึกกองนี้จะเห็นผีหรอ

 

ถามเฉยๆน่ะ

ส่วนเรื่องกสิณมันยังไม่เหมาะกับ จขกท.หรอกครับ

 

แล้วอะไรเหมาะ เอาอะไรมาวัดว่าเหม่ะไม่เหมาะ

 

ส่วนตัวก็สงสัยเหมือนน้อง จขกท นะครับ
แต่จะสงสัยมากกว่าน้อง จขกท หน่อยนะครับ
ว่าคนที่ใช้งานกสิณในด้านพลังงานยังไม่ได้
และ คนที่ฝึกกสิณยังไม่สำเร็จซักกอง ถึงระดับใช้งานได้ อย่าง คุณ ปราบเทวดา
ยกเว้นว่า จะสำเร็จกรรมฐาน แอบ เนียน กวนๆถามคนอื่นๆไปเรื่อยๆแบบนี้
คุณรู้ได้ไง คุณเอาอะไรเป็นตัวชี้วัด ว่าน้อง จขกท. ไม่เหมาะครับ
อยากรู้เหมือนกันครับ
ช่วยอธิบายเป็นความรู้หน่อยครับ
พร้อมรับฟังครับ ถ้าเหตุผลพอฟังขึ้นครับ

ปล. ถ้าผมพูดอะไรผิดตรงไหนแย้งได้นะครับ.... ^_^

 

มันละเอียดไป
สัปปายะต้องดี
หากจะเหมาะก้พวกสีเขียว
หรือแสงสว่างแต่ก้อย่างว่าหากกลัวผีฝึกแสงสว่างไม่ได้


เดี๋ยวจะบ้าสะก่อน

และที่สำคัญคือความขี้เกียจว่าจะมีมากหรือนน้อย

 

คุณนพ ฝึกสำเร้จแล้วเหรอครับ

 

เจ้าของกระทู้ตั้งใจทำความดี อยากฝึกก็เริ่มได้เลยครับ ตั้งมั่นเข้าไว้ครับ ไม่ว่าที่ทำงาน ที่ไหนๆก็ฝึกได้ครับ
ผมก็พยายามฝึกไปเรื่อยๆเหมือนกัน สู้ๆนะครับเป็นกำลังใจให้ครับ

 

ท่าน nopphakan เป็น instructor ในห้องนี้ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการ
ฝึกกสิณ
มาตั้งแต่โดนปู๊น จัดว่าเป็นผู้เชี่ยว
ชาญเฉพาะด้านอาจหาญที่สุด
อธิบายได้ละเอียดยิบทุกแง่มุม
ที่มีคำถามจากผู้ต้องการเรียนรู้
หรือผู้อยากฝึกจริงๆ
และผู้ต้องการจะลองของ ฉะนั้น
จึงไม่น่าสงสัยว่าท่านนพจบวิชานี้
หรือยังฮับ

 

คือสงสัยว่าคนสำเร้จวิชา รู้ฌานสมาบัติยันอรูปฌาน
รุ้จิตคนอื่นรู้ระลึกชาติ
แต่

ใครเป้นใครหน้าบอร์ดยังทายไม่ถูกเลยครับ
เลยสงสัยนะครับ

 

นิดนึงนะ ไม่ค่อยอยากยุ่งเท่าไหร่ พูดถึง อ.นพ เวลาแกท้าไม่มีใครรับคำท้าแกสักทีน่ะ ไม่รู้ยังไง บ่ายเบี่ยงไปมา แล้วก็เลยไม่รู้เรื่องกันสักที อ้างโน่นอ้างนี่ ผลสุดท้ายก็อีหรอบเดิมคือเดาไปเรื่อย

ถ้าถามเรื่องกสิณแบบใช้งาน ส่วนตัวเคยสัมผัสกับ อ.นพอยู่ ทางโทรศัพท์ แกเรียกขึ้นมาให้คนคุยด้วยดู แบบทีละกอง 5 กองหรือจะเรียกว่า 5 ธาตุก็ได้ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ เรียกได้ และตอนนั้นไม่ใช่นึกๆจะเรียกเพื่อจะมาอวดอะไรกัน แต่มันมีเหตุคับขันบางอย่าง ก็เลยเป็นจุดให้ได้เกิดการเรียนรู้ในเรื่องธาตุ ดังนั้นถ้าส่วนตัวก็ต้องว่า อ.นพแกทำได้จริง คนอยู่ห่างกันห้าร้อยกว่ากิโลเมตร เชื่อมกระแสกันได้ชัดเจนขนาดนี้ ก็ต้องยกให้ว่าแรงดีไม่มีตกในความเป็นของจริง รับรองว่าไม่ใช่แบบคุยโวแบบรู้อยู่คนเดียวหรือรู้แค่ทฤษฎีไง อย่างเรื่องจักระอะไรนี่ แกก็ไล่ให้ดูหมด นั่นก็มีเหตุผลในการจัดระบบพลังงาน มันเป็นงานสงเคราะห์กันตามโอกาส ทำให้เกิดการเรียนรู้ไปด้วย อ้อมันมีจริงๆนะ อ้อเขาเอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง

ในเรื่องของการปฏิบัติก็เหมือนกัน คนรู้จริงเขารู้กันหมดแหละคุณ ใครเข้าถึงจริงหรือไม่จริง มันพอมองกันออก เพราะอะไร เพราะของแบบนี้ไม่ได้มีอะไรปิดบังซ่อนเร้น เป็นของเปิดปกติ อย่างสาธารณะ เหมือนอย่างกับน้ำแข็งมันก็มีความเย็นแผ่ออกมาของมัน ไฟมันก็มีความร้อน มันปิดบังตัวเองที่ไหนกัน มันบอกโดยตัวของมันเองเสมอนะครับ

บางทีสิ่งที่เรารู้ มันก็แค่เรารู้ได้เท่าที่เราสามารถรู้ได้เท่านั้น บางทีอาจจะยังมีอีกเยอะที่เราไม่รู้ก็ได้ รวมทั้งการประเมินกันด้วยแหละ อย่าเผลอไปเหมาเข่ง ว่าโลกนี้ มีแค่ที่เราหรือกูรู้นี่แหละแค่นี้เองหมดแล้ว มันจะเสียโอกาสไป นั่นแหละเขาถึงพูดว่า ชาตินี้จะทำอะไรไม่ได้ เป็นต้น ก็เพราะเราดันไปปิดช่องทางการเรียนรู้ที่อาจจะช่วยส่งเสริมให้เท่าทันในมายาได้มากขึ้นไปเสียเอง ไม่มีใครทำำ เราทำตัวเราเอง

 

ไว้มีโอกาส คงจะขอชมมั่ง

 

เวลาเรียก ธาตุลม เรียกแบบเป็นลม “ลมหัวกุด”
เวลาเรียก ธาตุน้ำ เรียกแบบเป็นฝน “ฝนทั่วฟ้า”
อันนี้อยากรู้จริง ถ้าทำได้แบบนี้ น่าปฏิบัติในหมวดหมู่ “กสิน” เหล่านี้