ห้องแมวยิ้ม สัพเพ เหระ อะไรก็เอามาลงกระทู้นี้ได้ครับ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย zalievan, 9 ธันวาคม 2018.

  1. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    ญาณผู้รู้ยังอยู่...ญาณพระอรหันต์ยังอยู่...ยังรอคอยการโปรดสัตว์โลกอยู่ไม่มีกาลไม่มีเวลาเป็นอกาลิโก...ผู้เข้าถึงแล้วจะรู้ได้ด้วยตนเองเป็นปัจจัตตัง...ผู้ปฏิบัติต้องดำเนินไปเอง..


    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     
  2. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    เมื่อเข้าถึงธรรมแล้ว...จะกราบบูชาพระอรหันต์ครูบาอาจารย์ไม่มีเบื่อ...กราบด้วยอาการยกมือท่วมหัวพร้อมทั้งน้ำตาไหลไปด้วยจากอาการปิติอันหาที่สุดไม่ได้...ผู้เข้าถึงแล้วจะรู้ได้ด้วยตนเอง..


    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     
  3. Cheewin...

    Cheewin... อิ่มแล้ว...ไปต่อไม่ไหวแล้ว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2018
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +1,514
    เป็นอีกแล้วครับ เวลานอนร่างกายกับไอ้ตัวที่อยู่ด้านในมันพยายามที่จะแยกออกจากกัน ผมพยายามที่จะเรียนรู้มันและใช้มันให้เป็น ลองผิดลองถูกไม่รู้อะไรเป็นอะไร พยายามที่จะใช้มันให้เป็นยังไง สุดท้ายก็ยังหาไม่เจอว่าวิธีไหนคือวิธีที่ถูก
     
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ท่านชีวิน .....นี้เลยค่ะ สิ่งที่ท่านสงสัยที่อยากเรียนรู้และใช้เป็นมีคำตอบอยู่ในนี้หมดค่ะ.....

    https://palungjit.org/threads/ฝึก-กรรม-ฐาน-ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย.512443/page-2
     
  5. Cheewin...

    Cheewin... อิ่มแล้ว...ไปต่อไม่ไหวแล้ว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2018
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +1,514
    ขอบคุณครับคุณจิตยิ้ม เลิกงานจะเข้ามาอ่านครับ
     
  6. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    เมื่อหิมะท่วมเมืองแล้วกลับมาร้อนจัด..หิมะคงละลายท่วมเมืองเป็นแน่แท้...ปรากฏการณ์ภัยธรรมชาติยากจะคาดเดาได้...ถ้าเกิดในเมืองไทยที่ไม่ค่อยมีภัยธรรมชาตินัก..คงจะวุ่นวายไม่เบาเลย...เตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างท่านทั้งหลายอะไรก็เกิดขึ้นได้
     
  7. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    "เมื่อนกจับต้นไม้ต้นใด มันก็ถือว่าสักแต่จับอยู่เท่านั้น เมื่อบินไปแล้วก็หมดเรื่อง ไม่มีความอาลัยกับต้นไม้นั้น"

    คติธรรม..
    หลวงปู่ท่อน ญาณธโร


    **ทำใจให้ได้อย่างนก เมื่อมันจากต้นไม้นั้นไปแล้วมันก็ไม่ได้รำพึงรำพันหาต้นไม้นั้นแต่อย่างใด เมื่อต้นไม้นั้นแห้งตายไปมันก็ไม่อาลัยอาวรณ์ต่อต้นไม้นั้นเลย**


    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     
  8. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391

    หลวงตาผู้เมตตาต่อคนไทย

    ประโยชน์ท่านหาใช่ประโยชน์เราไม่..


    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     
  9. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    " สังขารธรรมนี้ มีเกิดแล้วก็ดับ ทำลายฉิบหายไปจะเป็นที่ชอบเนื้อเจริญใจแก่ปราชฌ์ ผู้พิจารณาเห็นโทษด้วยปัญญาจักษุแล้วก็หาไม่สังขารธรรมนี้แต่ละล้วนแล้วเป็นของปฏิกูลพึงเกลียดมีกลิ่นอันเหม็น อันเน่า อยู่ตลอดกาลและเวลา.."

    โอวาทธรรม..
    หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ


    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     
  10. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    FB_IMG_1549112018889.jpg
    ติดสิ่งเหล่านี้ไม่มีโทษ...


    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2019
  11. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    เมื่อไรที่จิตเราตื่นเมื่อนั้นปัญญาอันยิ่งเราตื่นด้วย..

    เมื่อไรที่จิตเราตื่น(กระเพื่อม)เมื่อนั้นคนทั้งหลายจะลำบาก...

    เมื่อไรที่จิตเราตื่นเมื่อนั้นเราเข้าถึงธรรม..

    เมื่อไรเราหายไปจากเวปนี้ให้ทุกท่านดูแลตนเอง ดูแลใจตนให้ดี..

    **ราตรีสวัสดิ์**


    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เฉลยปัญหา "ปริศนานกยาง"

    sport-175.jpg

    ต้นกำเนิดสักกะปัญหา ปริศนานกยาง

    หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานผ่านมาได้ ๒,๐๐๐ ปีแล้ว ท้าวสักกะองค์อินทร์ระลึกถึงกิจที่พระศาสดาสั่งไว้ได้ จึงเนรมิตตนเป็นชีผ้าขาวลงมาสู่กรุงศรีอยุธยา. ชีผ้าขาวนั้นท่องเที่ยวถามปัญหาแก่สมณะ ชี พราหมณ์ทั้งหลาย โดยบอกว่า ถ้าใครแก้ปริศนาเหล่านี้ได้ จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ.

    คนโดยมากได้ พบเห็นชีผ้าขาวเข้าไปถามปัญหาก็พากันคิดว่า พราหมณ์เฒ่านี้ท่าจะบ้า จึงไม่มีใครใส่ใจพิจารณาปัญหานัก ท้ายที่สุด ชีผ้าขาวก็กลับร่างเป็นพระอินทร์ นั่งอยู่บนอากาศแสดงปริศนานกยางไว้ดังนี้

    ๑. นกยางเฮย ทำไมจึงไม่ร้องขอก นกยางว่าปลามันไม่ออก
    ๒. ปลาเฮย ทำไมจึงไม่ออก ปลาว่า หญ้ามันรก
    ๓. หญ้าเฮย ทำไมจึงรก หญ้าว่า วัวมันไม่กิน
    ๔. วัวเฮย ทำไมไม่กินหญ้า วัวว่า เจ้าของเขาไม่ปล่อย
    ๕. เจ้าของวัวเฮย ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว เจ้าของว่าท้องข้าเจ็บมาก
    ๖. ท้องเฮย ทำไมจึงเจ็บ ท้องว่า ข้ากินข้าวไม่สุก
    ๗. ข้าวเฮย ทำไมจึงไม่สุก ข้าวว่า ไฟมันไม่ลุก
    ๘. ไฟเฮย ทำไมจึงไม่ลุก ไฟว่า ฟืนมันเปียก
    ๙. ฟืนเฮย ทำไมจึงเปียก ฟืนว่า ฝนมันตกมาก
    ๑๐. ฝนเฮย ทำไมจึงตกมาก ฝนว่า กบเขียดมันร้องนัก
    ๑๑. กบเขียดเฮย ทำไมจึงร้องนัก กบว่า งูมันไล่กินพวกข้า
    ๑๒. งูเฮย ทำไมจึงไล่กินกบเขียด งูว่าเพราะกบเขียดเป็นอาหารข้า

    พระอินทร์สั่งให้จารึกปริศนานี้ไว้ใน ใบลาน และย้ำว่า ถ้าใครแก้ปริศนานี้ได้ ก็ให้บอกแก่พระอินทร์ คนผู้นั้นจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แล้วพระอินทร์ก็กลับคืนสู่ดาวดึงส์เทวโลก

    ตั้งแต่นั้นมา ก็มีผู้พยายามจะแก้ปริศนานกยางนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะบอกพระอินทร์ให้รู้ได้อย่างไรดี จึงทำได้เพียงจารึกความคิดเห็นของตนลงในใบลานไว้ว่าปริศนานกยาง มีความหมายว่าอย่างไรกันบ้าง แม้อย่างนั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าคำตอบที่ถูกต้องของปริศนานกยางนั้นคืออะไรแน่ เพราะพระอินทร์ก็ยังไม่ได้มาเฉลยให้ใครได้รู้เลยว่า ปริศนานี้แก้ได้ว่าอย่างไร

    Kariang สมาชิก

    จำเขามาตอบนะครับ

    ๑.นกยางเฮย ทำไมจึงไม่ร้องบอก นกยางว่าปลามันไม่ออก

    นกยางไม่ร้องบอก หมายถึงพระโพธิสัตว์ไม่แสดงตัว ปกตินกยางมีนิสัยกินปลาเฉพาะเวลาหิวเท่านั้นเป็นสัญลักษณ์แสดงแทนความมักน้อยไม่สะสมโภคทรัพย์ของพระโพธิสัตว์ขณะสร้างบารมี 30ทัศน์ ปลาหมายถึงคนทั่วไปที่ใฝ่ธรรมมะก็ไม่ขนขวายออกมาแสวงหาธรรมะ นกยางจึงไม่ส่งเสียงร้องใดๆเนื่องจากคนทั่วไปในสังคมมีคนที่ใผ่ธรรมน้อย

    ๒. ปลาเฮย ทำไมจึงไม่ออก ปลาว่า หญ้ามันรก

    ปลาหมายถึงคนทั่วไปส่วนมากในสังคมที่ใฝ่ธรรมมะมีน้อยคนส่วนมากไม่ขนขวายออกมาแสวงหาธรรมะเนื่องจาก หญ้า หมายถึงบ้านเมืองสังคมที่เป็นที่อาศัยของปลามันรกคือไม่มีความสงบสุขคนจึงไม่ขนขวายในธรรมะ

    ๓. หญ้าเฮย ทำไมจึงรก หญ้าว่า วัวมันไม่กิน

    หญ้า หมายถึงบ้านเมืองสังคมที่เป็นที่อาศัยของปลา. มันรกคือไม่มีความสงบสุขเนื่องจากวัวซึ่งหมายถึงข้าราชการไม่ดูแลให้บ้านเมืองสงบสุข

    ๔. วัวเฮย ทำไมไม่กินหญ้า วัวว่า เจ้าของเขาไม่ปล่อย

    วัวซึ่งหมายถึงข้าราชการไม่ดูแลให้บ้านเมืองสงบสุข อ้างว่าเจ้าของวัวคือผู้มีอำนาจไม่ปล่อย คือขังวัวไม่ให้กินหญ้าที่รกหมายถึงข้าราชการตกอยู่อำนาจผู้มีอำนาจที่มาจากประชาชนเอง

    ๕. เจ้าของวัวเฮย ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว เจ้าของว่าท้องข้าเจ็บมาก

    เจ้าของวัวคือผู้มีอำนาจไม่ปล่อยวัว อ้างว่าเจ็บท้องหิว. คือไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอซึ่งเป็นค่านิยมของคนทั้งหลายที่โลภในสังคมเต็มไปด้วยคนที่บริโภคนิยม

    ๖. ท้องเฮย ทำไมจึงเจ็บ ท้องว่า ข้ากินข้าวไม่สุก

    ท้องที่หิวหมายถึงความไม่รู้จักพอนี้เกิดจากทรัพย์ทั้งหลาย ในที่นี้คือข้าว มันไม่มีความสุก คือทรัพย์ทั้งหลายที่คนบริโภคนั้นบริโภคด้วยความโง่เขลาจึงไม่รู้จักสุก บริโภคแล้วปวดท้อง

    ๗. ข้าวเฮย ทำไมจึงไม่สุก ข้าวว่า ไฟมันไม่ลุก

    ข้าว มันไม่มีความสุก คือทรัพย์ทั้งหลายที่คนบริโภคนั้นบริโภคด้วยความโง่เขลาจึงไม่รู้จักพอ เนื่องจากไฟ คือปัญญาไม่ลุก หมายถึงไม่รู้จริงในการใช้ทรัพย์ไม่รู้จักการเสพโภคทรัพย์แต่พอดี

    ๘. ไฟเฮย ทำไมจึงไม่ลุก ไฟว่า ฟืนมันเปียก

    ไฟ คือปัญญาไม่ลุก หมายถึงไม่รู้จริงในการใช้ทรัพย์ เนื่องจากฟืนมันเปียก คือเชื้อฟืนไม่พร้อมจะติดไฟ คือจิตคนทั้งหลายยังไม่พร้อมจะเกิดปัญญา ยังชุ่มอยู่ด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ตามค่านิยมของสังคม

    ๙. ฟืนเฮย ทำไมจึงเปียก ฟืนว่า ฝนมันตกมาก

    ฟืนมันเปียก คือเชื้อฟืนไม่พร้อมจะติดไฟ คือจิตคนทั้งหลายยังไม่พร้อมจะเกิดปัญญา ยังชุ่มอยู่ด้วย โลภะ โทสะ โมหะ เพราฝนตกมาก หมายถึงการปรุงแต่งยึดมั่นในโภคทรัพย์หรือที่เรียกว่าตัณหาอุปปาทานของคนมีมากและไม่สามารถรู้ทันในตัณหาอุปปาทานขณะบริโภคโภคทรัพย์

    ๑๐. ฝนเฮย ทำไมจึงตกมาก ฝนว่า กบเขียดมันร้องนัก

    ฝนตกมาก หมายถึงการปรุงแต่งยึดมั่นในโภคทรัพย์หรือที่เรียกว่าตัณหาอุปปาทานของคนมีมากและไม่สามารถรู้ทันในตัณหาอุปปาทาน เนื่องจากกบเขียดร้อง คือการไม่รู้ในสิ่งกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเหมือนกบเขียดที่สักแต่ว่าร้องตามกันไปเวลาจิตรับอารมณ์ทางทวารต่างๆ

    ๑๑. กบเขียดเฮย ทำไมจึงร้องนัก กบว่า งูมันไล่กินพวกข้า

    กบเขียดร้อง คือการไม่รู้ในสิ่งกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เนื่องจากงูคือความไม่รู้ในวิชชาที่ทำหน้าที่ทำให้จิตรู้ทันอารมณ์ทั้งหก

    ๑๒. งูเฮย ทำไมจึงไล่กินกบเขียด งูว่าเพราะกบเขียดเป็นอาหารข้า

    งูหมายถึงอวิชชาที่กินหรือครอบงำจิตที่ไม่รู้ทันอารมณ์ทั้งหกเพราะเป็นธรรมดาของอวิชชาจะครอบงำชีวิตของคนทั่วไป

    โดยสรุปการที่พระโพธิสัตว์ไม่แสดงตัว เพราะในยุคปัจจุบันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมแก่การแสดงธรรมะ และอวิชชายังครอบงำคนทั้งหลาย. หากบุคคลใดปราถนาพบปะศาสนาพระศรีอารยเมตตรัย ต้องหมั่นภาวนาอยู่เนืองๆในวิชชาทั้งหลาย จึงจะมีโอกาสได้พบเจอท่าน

    ที่มา https://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมตอบปริศนานกยาง-นำโลกสู่ยุคศิวิไลซ์.295193/


    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ
    สมาชิก

    ใครที่ตามหาพระยาธรรมิกราช ไม่ต้องตามหาหรอก...เพราะเขาจะไม่ปฏิบัติให้สำเร็จธรรมบรรลุธรรมแน่นอน...ถ้าโลกใบนี้ยังเต็มไปด้วยอำนาจของเงิน...เป็นถึงพระยาธรรมิกราช มาถือกำเนิดขึ้นบนโลกทั้งที จะมาต่ำกว่าอำนาจเงินได้อย่างไร...ส่วนใครที่ว่าตนเองทำงานให้พระยาธรรมิกราชอยู่...ก็ให้เร่งรีบทำให้เสร็จตามหน้าที่พวกท่านเถิด...ส่วนหน้าที่เราจะจบลงในไม่ช้านี้...อย่างช้าสุดก็อยู่ที่กลางเดือนกุมภาพันธ์....แล้วหน้าที่พวกท่านทุกคนล่ะ..ได้มีกำหนดวันเสร็จหรือยัง.........ย้ำอีกครั้ง พระยาธรรมิกราช จะไม่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกแน่นอน ถ้าอำนาจบารมีต่ำกว่าอำนาจเงิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2019
  13. Cheewin...

    Cheewin... อิ่มแล้ว...ไปต่อไม่ไหวแล้ว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2018
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +1,514
    ผมคิดว่าถ้าท่านมาจริง แล้วทำมั้ยพระหรือผู้วิเศษทั้งหลายถึงหาตัวท่านไม่เจอครับ ผมเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง 50 50
     
  14. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    .
    จิตตื่นแล้วคนทั้งหลายจะลำบาก? แหงดิ ลำบากมาช่วยจับมึงส่ง รพ บ้าอีก โดยเฉพาะ พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับวิปลาส แบบมึง

    จิงๆ ควรพากันไปกันยกทีมนะ ไอ้ประเภทคิดว่าตัวเองเปน ผวศ มีหน้าที่มากุ้โลกเนี่ยะ เหนมีหลายตัว อายุก้อลุงๆ ป้าๆ แล้ว จะได้กลับมาปกติกะเขามั่งนะมึง
     
  15. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    พระอรหันต์ต่างรู้ทุกองค์นั้นแหละและรู้ภัยที่จะเกิดขึ้นกับโลกด้วย...ส่วนนักอภิญญาทุกคนนั้นถ้าไม่ได้อธิษฐานมาเกิดร่วมกันก็คงเข้าไม่ถึงตัวได้...ถ้าหาตัวได้ง่ายๆก็อาจจะมีภัยจากมารทั้งหลาย...ด้วยจิตใจคนยุคนี้เต็มไปด้วยกิเลสมาร...เมื่อเหตุปัจจัยยังไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่างก็ยังไม่ปรากฏ


    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     
  16. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    หนักขึ้นอีกสิ..แค่นี้มันเบาไปเอาให้แรงขึ้นอีก...อยากเห็นความโกลาหลของคนทั่วไป...เอาพายุเข้าแผ่นดินไทยด้วย..ยิ่งหนักเหตุปัจจัยยิ่งสมบูรณ์เร็ว..


    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     
  17. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    วันนี้วันที่ ๓ กุมภาพันธ์เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถร รำลึก ๗๘ ปี อาจาริยบูชาคุณ "พระปรมาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกัมมัฏฐาน" หลวงปู่เสาร์ท่านมีความเพียรเป็นเลิศ มีความสงบเสงี่ยม พูดน้อย อ่อนน้อม สุขุม และพอใจแนะนำสั่งสอนผู้อื่นทางนั้นด้วย เป็นผู้ใฝ่ใจในธุดงควัตร หนักแน่นในพระธรรมวินัย ชอบวิเวก ไม่ติดถิ่นที่อยู่ ต้องเดินธุดงค์ไปหาวิเวกเจริญสมณธรรมตามชายป่าดงพงเขาในไทย และลาว ท่านพระอาจารย์เสาร์ ผู้เป็นพระอาจารย์อบรมกรรมฐานให้กับท่านพระอาจารย์มั่น เป็นองค์แรก ผู้ที่ท่านพระอาจารย์มั่น ให้ความเคารพศรัทธา ยอมรับใช้ลงมืออุปัฏฐากท่านพระอาจารย์เสาร์ด้วยองค์ท่านเอง เหมือนเป็นพระหนุ่มเณรน้อยคอยรับใช้ครูบาอาจารย์แม้นตนเองจะมีพรรษากาลมากแล้วก็ตาม ข้อนี้เป็นการแสดงถึงความนบนอบของท่านพระอาจารย์มั่น ที่มีต่อท่านพระอาจารย์เสาร์
    ท่านพระอาจารย์เสาร์ และท่านพระอาจารย์มั่น ท่านทั้งสอง ผู้เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์อบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ ท่านเป็นผู้ปูแนวทางการปฏิบัติข้อวัตรขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เคยเลือนหายให้พลิกฟื้นขึ้นมามีกำลังแผ่ขยายแนวการปฏิบัติไปทั่วภาคอีสาน จนก่อเกิดกองทัพธรรมพระกัมมัฏฐาน เข้ามาฝากตัวจากทั่วสารทิศ และน้อมนำข้อวัตรปฏิปทามายึดเป็นแบบอย่างจนถึงทุกวันนี้
    • ชาติภูมิ
    ท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ถือกำเนิด ตรงกับวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๐๒ แรม ๑๔ ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา ณ บ้านข่าโคม ต.หนองขอน อ.เมือง จ.อุบลราชธานี อุปสมบท ที่วัดใต้ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี และญัตติเป็นพระธรรมยุต ณ วัดศรีทอง(วัดศรีอุบลรัตนาราม) จ.อุบลราชธานี โดยมี ท่านพระครูทา โชติปาโล เป็นพระอุปัชฌายาจารย์
    ปี พ.ศ.๒๔๓๔-๒๔๓๖ หลวงปู่เสาร์ได้ธุดงค์ผ่านหมู่บ้านคำบง อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี ได้เทศนาสั่งสอนท่านพระอาจารย์มั่น สมัยยังเป็นฆราวาสจนเกิดศรัทธาเลื่อมใสติดตามออกบวช จุดนี้เป็นความยิ่งใหญ่ของวงศ์กรรมฐานตราบจนถึงปัจจุบัน
    ท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ผู้เป็นพระอาจารย์อบรมกรรมฐานให้กับท่านพระอาจารย์มั่น เป็นองค์แรก อันถือว่าเป็นพระปรมาจารย์ใหญ่สายพระกัมมัฏฐาน ผู้ที่ท่านพระอาจารย์มั่น ให้ความเคารพศรัทธา ยอมรับใช้ลงมืออุปัฏฐากหลวงปู่เสาร์ด้วยองค์ท่านเอง เหมือนเป็นพระหนุ่มเณรน้อยคอยรับใช้ครูบาอาจารย์แม้นตนเองจะมีพรรษากาลมากแล้วก็ตาม ข้อนี้เป็นการแสดงถึงความนบนอบของท่านพระอาจารย์มั่น ที่มีต่อหลวงปู่เสาร์ ผู้เป็นพระอาจารย์
    หลวงปู่เสาร์ ท่านประพฤติองค์เป็นแบบอย่างแก่สานุศิษย์มากกว่ากล่าวอบรมสั่งสอน อุปนิสัยโน้มน้าวไปทางพระปัจเจกเจ้า ไม่มีนิสัยเทศนาธรรมสั่งสอนทั่วไป
    • หลวงปู่เสาร์เคยปรารถนาพระปัจเจกภูมิ หลวงปู่มั่นเคยปรารถนาพุทธภูมิ
    จากพระธรรมเทศนาของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน...อันนี้ก็ยกตัวอย่างเช่นหลวงปู่มั่นเรา ท่านเคยเล่าให้ฟัง ทีแรกท่านปรารถนาเป็นพุทธภูมิท่านว่างั้นนะ เพราะฉะนั้นลวดลายของท่านจึงมี ความรู้ความฉลาดนี้เป็นลวดลายของพุทธภูมิยังติดอยู่ในนั้นนะ ทีนี้เวลาท่านพิจารณาพอจะเข้าได้เข็มทีไร เรื่องพุทธภูมิผ่านมาแล้วท่านว่างั้นนะ จิตพอจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร มันจะพุ่งทีไร พุทธภูมิจะผ่านเข้ามา ๆ ก็ทำให้อาลัยเสียดายพุทธภูมิ ถอยเสียท่านว่างั้นนะ พอกำหนดเข้าไปที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร เรื่องพุทธภูมิจะสวนกันเข้ามาเลย เสียดายพุทธภูมิก็ถอยเสีย ทีนี้หลายครั้งต่อหลายครั้ง เอ๊ ว่าเป็นพุทธภูมิก็ไม่ได้ประมาทพระพุทธเจ้า ความสิ้นกิเลสสิ้นด้วยกัน เป็นแต่เพียงทำประโยชน์ให้โลกได้มากน้อยต่างกันกับสาวกเท่านั้นเอง เราได้แค่นี้เราก็เอาละ เราไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม ขอให้จิตบริสุทธิ์อย่างเดียวแค่นี้ก็เอาละ
    พออย่างนั้นท่านก็ขอหยุดอธิษฐานเป็นพุทธภูมินะ จากนั้นจิตก็พุ่งเลยท่านว่า อย่างนั้นแล้ว อารมณ์อันนี้ไม่ครอบ นี้คือยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งยังไม่พยากรณ์ ถ้าลงได้พยากรณ์แล้วยังไงก็ลบไม่สูญเลย พุ่งถึงนั้นเลย ถึงจุดนั้นเลย เรียกว่าลบไม่สูญ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ถ้ายังไม่ได้ทำนายนี้มันเอียงได้ เอียงนั้นเอียงนี้ไปได้ อย่างหลวงปู่มั่นท่านเล่าให้ฟัง เพราะฉะนั้นนิสัยพุทธภูมิของท่านจึงมีอยู่ ลวดลายของพุทธภูมิยังมี ความรู้ภายนอกภายในอะไรนี้คล่องแคล่วทุกอย่าง เรื่องจิตรวมฟาดนี้เหาะเหินฟ้า ใครจะเก่งยิ่งกว่าท่านอาจารย์มั่นวะพึบนี้ลงพื้นปฐพีพึบไปเลย ผึงนี้ก็ขึ้นเลย อันนี้ท่านเล่าให้ฟัง จนกระทั่งท่านอาจารย์เสาร์ท่านว่า ท่านนี่มัผาดโผนเกินไป
    ท่านอาจารย์เสาร์ท่านไม่ค่อยชอบพูด ท่านปรารถนาพระปัจเจกภูมิแต่ท่านก็พลิกอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นนิสัยท่านจึงไม่ชอบพูด นั่งที่ไหนเหมือนหัวตอไม่พูดไม่คุยกับใครเลย ถ้าจะพูดก็ เออ พากันทำบุญนะ บาปมันเผาหัวเด้ เท่านั้นแหละไม่มาก บาปมันเผาหัวทั้งนั้นแหละ บุญเป็นความสุข เท่านั้นท่านไม่พูดมาก เป็นพระปัจเจก ทีนี้เวลาท่านอาจารย์หลวงปู่มั่นเรานี้เล่าเรื่องภาวนาสู่ท่านฟัง เล่าภาวนาทีแรกก็ฟาดไปแต่เรื่องปีติเรื่องตัวลอย สำหรับท่านหลวงปู่เสาร์นี้พอนั่งภาวนานี้ตัวลอยขึ้น ๆ ลอยทีแรกขึ้นไปได้เมตรหนึ่ง พอรู้สึก เอ๊ นี่เหมือนตัวลอย ลืมตาขึ้นมาจิตมันปล่อยหมดมันก็หนัก ตูมลงเลย เจ็บเอว โหย ตั้งหลายวันท่านว่า
    คือมันเป็นทีแรกท่านสงสัย เอ๊ นี่ทำไมมันเหมือนตัวลอยน้าท่านว่างั้นเหมือนว่าตัวลอยขึ้น ๆ เลยลืมตาขึ้น ลืมตามันสูงจริง ๆ เลยตกใจ จิตเลยออก ออกก็ตูมเลยซี มันไม่มีกำลังพยุงใช่ไหมล่ะ ตั้งแต่นั้นมาท่านเลยทดลองใหม่ เอาใหม่ ทีนี้ท่านเอา เช่นอย่างท่านเอาเศษไม้หรือเอาอะไรไปเหน็บไว้ เพื่อความแน่นอนท่านว่า พอมันลอยขึ้นไป คือพยุงจิตไว้นะ นี่ละถ้ามันเจ็บแล้วต้องเข็ดเข้าใจไหม ต้องพยุง ทีนี้พยายามดูพอขึ้นไป ๆ ไปถึงหญ้า พอถึงหญ้าแล้วท่านก็เอามือคลำ จับเอาอันนี้ออกมาแล้วท่านค่อยลืมตา จิตท่านก็ยับยั้งเอาไว้นะไม่ปล่อย ถ้าปล่อยก็ตูมเลย ค่อยพยุง ๆ แล้วค่อยลง ๆ กึกถึงพื้น นี่พลังของจิตพยุงไว้ ถ้าปล่อยอย่างที่ท่านตกใจนั่นนะพอขึ้น โอ๊ย มันตก พอว่างั้นจิตมันออกหมดทั้งตัวมันก็ตูมเลย จากนั้นมาท่านก็พยุงนี่ท่านพูดถึงเรื่องจิตของท่าน จิตของท่านเป็นอย่างนี้นะ จิตของผมมันไม่เป็นอย่างนั้นว่างั้นนะที่นี่ มันเป็นยังไงเราว่า โอ๊ย เวลามันลงนี้ฟาดนี้ทะลุแผ่นดินนี้ไม่มีเหลือพุ่งลงเลย พื้นพิภพพิเภ็บที่ไหนก็ไม่ทราบ เวลามันขึ้นก็พุ่งเลย โอ๊ย มันพิลึกท่าน ท่านไม่พูดมากละ พิลึกท่าน ท่านพูดอย่างนั้นนะ จิตของผมยังไม่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แหละว่า จิตของท่านมันพิลึกท่านว่า นี่คือความผาดโผนของจิตหลวงปู่มั่นเรานี้ไปแบบหนึ่ง ส่วนหลวงปู่เสาร์นี้ก็ไปอย่างนั้นแหละ ไปเรียบ ๆ นี่ก็อัฐิเป็นพระธาตุเหมือนกันนะ หลวงปู่เสาร์อัฐิก็เป็นพระธาตุ หลวงปู่มั่นก็เรียกว่าเป็นมาแล้ว นั่นก็เป็นตั้งแต่นู้นแหละ ตั้งแต่มรณภาพแล้วทีแรก หลวงปู่เสาร์ก็เป็นเหมือนกัน ท่านเป็นคู่กันนะไปที่ไหนไปด้วยกัน ท่านติดกันมาแต่นู่นแหละ นี่ละสององค์นี้เบิกกรรมฐานเรานะ จากนั้นก็หลวงปู่มั่นเป็นผู้เบิกจริง ๆ เบิกกรรมฐาน จึงได้มีร่องรอยมาจนกระทั่งทุกวันนี้มาจากหลวงปู่มั่นเรา

    (ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา ของ ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๔ ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี)
    • หลักปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์ให้ไว้อาศัยอยู่ตามถ้ำบ้าง ตามโคนต้นไม้บ้าง
    พระบูรพาจารย์ของเรา เราถือว่าพระอาจารย์เสาร์ กตนฺสีโล เป็นพระอาจารย์องค์แรก และเป็นผู้นำหมู่คณะลูกศิษย์ลูกหา ออกเดินธุดงคกรรมฐาน ชอบพักพิงอยู่ตามป่าตามที่วิเวก อาศัยอยู่ตามถ้ำบ้างตามโคนต้นไม้บ้าง และท่านอาจารย์มั่นก็เป็นอีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์เสาร์ หลวงพ่อสิงห์ ขนฺตยาคโม ก็เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์เสาร์ และท่านอาจารย์มั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอาจารย์สิงห์เปรียบเสมือนหนึ่งว่าเป็นเสนาธิการใหญ่ของกองทัพธรรม ได้นำหมู่คณะออกเดินธุดงค์ไปตามราวป่าตามเขา อยู่อัพโภกาส อยู่ตามโคนต้นไม้ อาศัยอยู่ตามถ้ำ พักพิงอาศัยอยู่ในราวป่าห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๕๐๐ เมตร การธุดงค์ของพระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์สิงห์จะไม่นิยมที่จะไปปักกลดอยู่ตามละแวกบ้าน ตามสนามหญ้า หรือตามบริเวณโรงเรียน หรือใกล้ๆ กับถนนหนทางในที่ซึ่งเป็นที่ชุมนุมชน ท่านจะออกแสวงหาวิเวกในราวป่าห่างไกลกันจริงๆ
    บางทีไปอยู่ในป่าเขาที่ไกล ตื่นเช้าเดินจากที่พักลงมาสู่หมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้ว กลับไปถึงที่พักเป็นเวลา ๑๑.๐๐ น. หรือ ๕ โมงก็มี อันนี้คือหลักการปฏิบัติของพระธุดงคกรรมฐานในสายพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เสาร์ ซึ่งบางทีอาจจะผิดแผกจากพระธุดงค์ในสมัยปัจจุบัน ซึ่งไปปักกลดอยู่ตามสนามหญ้า หรือตามสถานีรถไฟ ตามบริเวณโรงเรียนหรือศาลเจ้าต่างๆ พระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์สิงห์ ไม่นิยมทำเช่นนั้น ไปธุดงค์ก็ต้องไปป่ากันจริงๆ ที่ใดซึ่งมีอันตรายท่านก็ยิ่งไปเพื่อเป็นการทดสอบความสามารถของตัวเอง และเป็นการฝึกฝนลูกศิษย์ลูกหาให้มีความกล้าหาญเผชิญต่อภัยของชีวิต ตะล่อมจิตให้ยึดมั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่วแน่

    ปี พ.ศ.๒๔๘๐ เจ้าจอมมารดาทับทิมนำผ้าป่าทอดถวายและนิมนต์ท่านขึ้นแสดงธรรม ท่านขึ้นธรรมาสน์ตั้งนโม ๓ จบ กล่าวเทศนาสั้นๆว่า "ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค" จบด้วย "เอวังฯ" แล้วก้าวลงธรรมาสน์

    • บรรลุธรรม
    วันหนึ่ง หลวงปู่เสาร์ นั่งพิจารณาอริยสัจ ได้รู้ได้เห็นตามความเป็นจริงนั้น ท่านได้ตัดเสียซึ่งความสงสัยเด็ดขาด จวนจะถึงกาลออกพรรษา ท่านได้บอกกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ผู้เป็นศิษย์ว่า... "เราได้เลิกการปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว และเราก็ได้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว!"
    ท่านพระอาจารย์มั่น ได้ยินดังนั้นแล้วก็เกิดปีติอย่างมาก และได้ทราบทางวาระจิตว่า...
    "หลวงปู่เสาร์พบวิมุตติธรรมแน่นแล้วในอัตภาพนี้"

    • วาระนิพพาน
    ขณะหลวงปู่เสาร์ ท่านอาพาธหนักนั้น ท่านสั่งให้พระอาจารย์บัวพา พระอุปัฏฐาก และคณะศิษย์นำท่านไปที่วัดอำมาตย์ นครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว โดยมาทางเรือ ตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ ท่านนอนบนแคร่ในเรือประทุน หลวงปู่เสาร์ หลับตานิ่งมาตลอด เพราะตอนนั้นท่านกำลังอาพาธหนัก อันเกิดจากผึ้งที่ได้ต่อยท่านตอนที่อยู่จำพรรษาที่วัดดอนธาตุ เมื่อถึงนครจำปาศักดิ์แล้ว ท่านลืมตาขึ้นพูดว่า... "ถึงแล้วใช่ไหม ให้นำเราไปยังอุโบสถเลย เพราะเราจะไปตายที่นั่น"
    ท่านพระอาจารย์บัวพา และคณะศิษย์ช่วยกันยกแคร่หามพาหลวงปู่เสาร์ เข้าไปในอุโบสถ แล้วหลวงปู่เสาร์สั่งให้เอาผ้าสังฆาฏิมาใส่ แล้วเตรียมตัวเข้านั่งสมาธิ ท่านกราบพระ ๓ ครั้ง พอกราบครั้งที่ ๓ ท่านนิ่งงันโดยไม่ขยับเขยื้อน นานเท่านานจนผิดสังเกต ท่านพระอาจารย์บัวพา และท่านพระอาจารย์เจี๊ยะ จุนฺโท ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เอามือมาแตะที่จมูกท่าน ปรากฏว่าท่านหมดลมหายใจแล้ว ไม่ทราบว่าหลวงปู่เสาร์ท่านมรณภาพไปเวลาใด แต่พอสันนิษฐานได้ว่า ท่านมรณภาพในอิริยาบถนั่งกราบพระ ท่านจึงพูดขึ้นกับหมู่คณะ (ซึ่งตอนนั้นมีพระเถระผู้ใหญ่ และพระเณรมานั่งดูอาการป่วยของหลวงปู่เสาร์) ว่า "หลวงปู่ได้มรณภาพแล้ว"
    ข่าวการมรณภาพ ก็แพร่กระจายไปเรื่อยๆ จนทางบ้านเมือง ญาติโยม พระเณร ชาวนครจำปาศักดิ์ขอทำบุญอยู่ ๓ วัน เพื่อบูชาคุณขององค์หลวงปู่ พอวันที่ ๔ บรรดาพระเถระ ญาติโยมชาวอุบล จึงได้มาอัญเชิญสรีระสังขารขององค์หลวงปู่เสาร์ ไปวัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่เสาร์เคยอยู่มาก่อน วันที่หลวงปู่เสาร์มรณภาพตรงกับวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๔
    "แต่นี้จะไกลห่าง เหลือเพียงร่างร้างชีวา
    สุดสิ้นแห่งสังขาร สลายลับดับตามกาล
    สิ้นชีพก็สิ้นห่วง บรรลุล่วงห้วงนิพพาน
    สุขใดไหนจักปาน เปรียบสุขนี้ไม่มีเลย..."
    ขอนอบน้อมกราบบูชาธรรมแห่งดวงอรหันต์
    (คัดลอกจากหนังสือฐานิโยวาท หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

    • มรณภาพ
    หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ตรงกับวันอังคารที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๔ องค์ท่านมรณภาพขณะก้มกราบพระประธาน ในอิริยาบถท่านั่ง มือสองข้างเท้ากับพื้นยันตัวอยู่ ประกอบด้วยสติอันไพบูลย์ ณ วัดอำมาตยาราม เมืองโขง นครจำปาศักดิ์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สิริอายุ ๘๒ ปี ๓ เดือน ๑ วัน ๖๒ พรรษา ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๔ จนถึงปีนี้ พ.ศ.๒๕๖๒ จึงเป็นวันครบรอบวันมรณภาพปีที่ ๗๘
    “..ทำให้ดูมันยังไม่ดู ปฏิบัติให้ดูอยู่ทุกวัน มันยังไม่ปฏิบัติตาม เทศน์ให้ฟัง มันจะฟังหรือพวกเจ้า..ข้อยเฮ็ดให้เบิ่ง บ่ เบิ่ง เทศน์ให้พวกหมู่เจ้าฟัง หมู่เจ้าสิฟังฤา..” โอวาทธรรมคำสอนท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล



    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     
  18. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    “อัตตา”
    ที่สุดแห่งความหลงผิด
    ของชีวิตมนุษย์
    อัตตา ท่านพุทธทาสภิกขุให้คำแปลว่า “ตัวกู-ของกู”

    ตัวกู คือ ตัวของเราเอง
    และเมื่อมีตัวของเรา สิ่งที่ตามมาคือเราจะตีเส้นวงกลมล้อมรอบตัวเราไว้
    อะไรที่อยู่ภายในขอบเขตนี้ คือ ของของเราหรือของกูนั่นเอง

    เมื่อมีอัตตา จึงมีการสร้างตัวตนคือตัวเราและมีการตีวงว่าอะไรที่อยู่ในนี้คือของๆเรานอกวงคือไม่ใช่ของเรา
    เนี่ยแหละสาเหตุของความทุกข์นานาประการในชีวิตนี้

    เพราะเมื่อมีตัวกู-ของกูก็ย่อมมีสิ่งที่ไม่ใช่ตัวกู-ไม่ใช่ของกูคือมีสิ่งที่เราคิดว่าไม่ใช่เราไม่ใช่ที่เราชอบไม่ใช่ที่เราอยากได้ไม่ใช่ที่เราต้องการไม่ใช่ของของเรา

    คือมันจะมาคู่กันถ้าเรายึดว่ามีตัวเรา และมีของเราก็ย่อมเกิดสิ่งที่ไม่ใช่ตัเรา ไม่ใช่ของเรา

    ยกตัวอย่างให้เห็นภาพหนึ่งในของๆเรา คืออาหารหวานเราชอบอาหารหวานมากๆ

    ซึ่งพอมีเราชอบอาหารหวาน
    แกง ก๋วยเตี๋ยว อาหารต่างๆต้องหวานหมดถ้ามีคนตำส้มตำใส่น้ำตาลเยอะให้ เราจะชอบมากเพราะอาหารคือหวานคือของกู พอกูเจอของกู กูเลยมีความสุข

    แล้วถ้าไปร้านอาหารที่ไม่เคยไปแล้วไปเจออาหารที่ทำมาแล้วไม่หวาน
    นั่นคือไม่ใช่ของกูละ กูเลยทุกข์

    เห็นภาพไหมพอมี “ของกู” มันจะมี “ไม่ใช่ของกู” ตามมาเสมอถ้าเรามีสิ่งที่เราชอบ มันจะเกิดสิ่งที่เราไม่ชอบตามมาทันทีถ้าเรามีสิ่งที่อยากได้
    มันก็จะเกิดสิ่งที่เราไม่อยากได้ทันทีเช่นกัน

    วินาทีที่เราสร้าง กำหนด และยึดว่าอะไรคือ “ตัวสุข” ของเรา วินาทีนั้น เราก็ได้สร้าง “ตัวทุกข์” เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัวในชีวิตแล้วเสมอ

    ต้นตอมันมาจากอัตตา ที่มีตัวกู เลยต้องมี “ของกู” “ของกู = ตัวสุข” ในชีวิตกูของกูมีหลายอย่างมาก
    หนึ่งในอย่างนั้นคือ “อาหารหวาน” เนี่ยแหละดังนั้น สิ่งที่ไม่ใช่ของกู = อาหารที่ไม่หวาน อาหารที่ไม่หวาน = ตัวทุกข์ของชีวิตกู

    สมมติถ้าวันนี้ แฟนเราทำแกงส้มให้เราทานแล้วไม่ได้ใส่น้ำตาลเยอะๆ
    อาจเพราะลืมหรือพลาดยังไงก็แล้วแต่
    เราโกรธมาก โกรธแกงส้มยังไม่พอ
    โกรธย้อนไปถึงแฟนเราแค่นี้ยังไม่รู้อีก ว่าฉันชอบหวานๆนี่รักกันจริงรึเปล่า ใส่ใจกันจริงๆรึเปล่าไม่รักกันแล้วก็เลิกกัน หย่ากันไปเลยไปเหอะ”

    นั่น! ว่าไปนู่นแค่แกงส้มถ้วยเดียวเนี่ยนะ!?

    หลายๆอย่างในชีวิตบานปลายจากน้ำผึ้งหยดเดียวคือเรื่องเล็กน้อยๆ แต่จริงๆแล้ว มันมาจากอัตตา มาจากตัวกูของกูเนี่ยแหละ

    ลองนึกภาพสถานการณ์นี้ถ้าคนๆนั้นไม่ยึด “อาหารหวาน = ของกู = ตัวสุขในชีวิตกู” คือจบเลยนะ คนๆนั้นจะไม่มีทางทุกข์จากอาหารที่หวานหรือไม่หวานเลย ในชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย

    เห็นภาพไหม?
    อัตตา ตัวกูของกู คือบ่อเกิดของความทุกข์ทั้งปวงนี่แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างแค่อาหารนะทุกเรื่องในชีวิตมันมาจากอัตตาทั้งนั้นอัตตาทำให้เราเกิดความคาดหวังอยากให้อะไรๆหลายอย่างเป็น “เช่นนี้” ที่เราต้องการแต่เรื่องจริงคือทุกอย่างมันเป็น “เช่นนั้น” เอง
    มันเป็นเช่นนั้นของมันอยู่แล้ว

    “ตัวกู ของกู” จึงเป็นเรื่องไม่มีจริง
    มันเป็นเรื่องที่จิตเราคิดมโนเอาเอง
    และยึดติดไปตามสั่งที่จิตคิดมโนขึ้นมาพอมโนว่าอันนี้คือ ของกู คือตัวสุข ของกูมันก็เกิดสิ่งตรงข้าม คือของที่ไม่ใช่ของกู ที่มันเป็นตัวทุกข์ในชีวิตกูขึ้นมา

    มโนและยึดติดไปซะอย่างนั้นทั้งๆที่ของในธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้นของมันอยู่แล้วมันไม่ใช่ตัวสุข หรือตัวทุกข์ของชีวิตใครมันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย

    มีแต่ตัวเราเนี่ยแหละ ที่ยึดตัวเรา
    และตั้งขึ้นมาเอง หยิบมันมาให้ความหมายเองยึดติดกับมันเอง ว่านี่คือของๆเราคือของที่จะสร้างความสุขให้เราเรายึดติดคิดไปเองทั้งสิ้น

    ธรรมชาติในโลกนี้ไม่มีแบ่งแยก
    เราไปแบ่งเอง แบ่งอันนี้เป็นของกู
    อีกอันก็เลยไม่ใช่ของกูเราก็แบ่งเอง ทุกข์เอง ช้ำเอง เจ็บเอง

    เนี่ยแหละอวิชชาหรือความโง่ของมนุษย์ที่พระพุทธองค์ทรงสอนของในธรรมชาติมันเป็นอยู่เช่นนั้นของมัน
    ดันหยิบมามโน หยิบมาให้ความหมาย
    หยิบมายึดติด หยิบมาปรุงแต่งให้ตัวเองทุกข์วนไปวนมาข้ามภพข้ามชาติไม่จบไม่สิ้น


    หลังจากอ่านบทความนี้จบแบบเข้าใจ
    ครูบาอยากให้เราลองพิจารณาตัวเอง
    ว่าเรายึดอะไรให้เป็น “ของกู”
    ให้เป็น “ตัวสุข” ในชีวิตของพวกเราบ้าง


    ลองหยิบกระดาษปากกามานั่งลิสต์ดู
    แล้วให้หาตัวตรงข้าม
    ที่เป็นสิ่งที่ “ไม่ใช่ของกู” ซึ่งเป็น “ตัวทุกข์”
    ของชีวิตพวกเรา


    แล้วลองพิจารณาฝึกละมัน ปล่อยมัน
    ไม่ยึดติดกับมันไปทีละตัวๆๆปล่อยได้ ละได้มากเท่าไหร่ลด “ของกู” ได้มากเท่าไหร่ยิ่งลดทุกข์ เพิ่มสุขให้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น


    นี่คือสูตรง่ายสไตล์ฆราวาสนะ
    ลด “ของกู”ไปทีละตัวๆๆ


    แต่ถ้าสูตร Advance เลย
    ให้วิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้เห็นปัญญาพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนังพิจารณากาย 32พิจารณาธาตุ 4 ขันธ์ 5

    เพื่อให้ไปจัดการที่ตัวต้นขั้วเลย
    คือ “ตัวกู”
    .
    เพราะ “ของกู” มันเกิดขึ้นจากการหลงผิดคิดไปว่ามี “ตัวกู” ดังนั้น ให้ไปรู้แจ้งที่ “ตัวกู” เลยว่าตัวเรา ตัวตนของเรา นั้นไม่มีจริงร่างกายของเราก็ไม่มีจริง

    พอเราลด “ตัวกู” ได้ “ของกู” ก็จะลดไปเอง“ตัวสุข” หายไป “ตัวทุกข์” ก็หายตามถ้าละได้หมดเมื่อไหร่ ก็วิมุตติหลุดพ้นหลุดจากความทุกข์ทั้งปวงได้เมื่อนั้นถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้บางทีมันจะลดทุกข์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ได้ทันทีบางคนถามครูบามาทุกข์เรื่องลูก
    สอนอะไรลูกไม่ฟัง เรื่องจริงๆคืขนาดร่างกายของเรายังไม่ใช่ของเลยลูกเราก็ไม่ใช่ของเราแน่ๆลูกเป็น “เช่นนั้น” ของเขา ส่วนเราหวังให้เขาเป็น “เช่นนี้” แบบที่เราหวังเพราะเรายึดว่าเขาเป็นของเรา เลยต้องเชื่อฟังเราเราก็เลยเกิดทุกข์

    บางคนเครียดเรื่องตำแหน่งหน้าที่การงานเจ้านายไม่เลื่อนตำแหน่งให้
    ถ้าเราอ่านบทความนี้เข้าใจเราจะรู้ทันทีว่า “ตำแหน่ง” = ของกู = ตัวสุขในชีวิตกูเรายึดอัตตา ว่าเราเก่ง เรามีความสามารถเห็นตัวกูไหม พอมีตัวกู ก็ตามมาด้วยของกูตำแหน่งคือ ของกู ของที่กูควรได้ต้องได้พอไม่ได้ มันก็เป็นทุกข์

    เนี่ยไง ทุกข์ใดๆในชีวิตเรามันมาจากอัตตามาจากตัวกูของกูทั้งนั้น
    ซึ่งอัตตามันเป็นของปลอมของมโนไง
    มนุษย์แต่ละคนยึดคนละแบบ คนละเรื่องกันไปเพราะมันไม่ใช่เรื่องจริงอะไรทั้งนั้น

    “ต้นเหตุของความทุกข์ทั้งปวงแบบจริงๆ คือเกิดจากสิ่งที่เรามโนและยึดไปเองทั้งนั้น”

    คลายความยึดมั่น ลดอัตตา ละตัวตน
    กำจัดตัวกูของกูทิ้งไปมันคือวิธีการกำจัดทุกข์อย่างถาวรและถอนราถอนโคนที่สุดในโลกนี้ครูบาขอเจริญพร

    [ปล. บทความนี้แนะนำให้อ่านหลายๆรอบ
    และลองนำมาพิจารณาตัวเราจริงๆ
    ถ้าทำแบบตั้งใจ ชีวิตจะเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย]



    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     
  19. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    FB_IMG_1549153112884.jpg
    บางครั้งความเมตตาก็มีให้เพียงผู้สมควรแก่ความเมตตา..

    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     
  20. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    “เราจำเป็นต้องอบรมใจของเราทุกๆคน เมื่อมันโกรธขึ้นก็ดูความโกรธ ความโกรธนี้มันมาจากไหน เราให้มันโกรธหรือเปล่า ดูว่ามันดีไหม ทำไมเราถึงชอบมัน ทำไมเราถึงไม่ทิ้งมัน เมื่อโกรธขึ้นมาแล้วไม่ดี ไม่ดีเราเก็บมันไว้ทำไม ก็เป็นบ้าเท่านั้น ทิ้งมันเสียถ้าเห็นว่ามันไม่ดี มันก็จะไปในทำนองนี้ เมื่ออยู่ด้วยกันกับคนมากๆ มันก็ยิ่งให้การศึกษาเรามากที่สุด ให้มันวุ่นวายเสียก่อน ให้รู้เรื่องขอความวุ่นวายเสียก่อนมันจึงจะถึงความสงบ อย่าหนีไปที่ไหน พระอานนท์กัพระพุทธเจ้าของเราในสมัยก่อนไปบิณฑบาตบ้านมิจฉาทิฏฐิ พอไปถึงหน้าบ้านพระพุทธองค์ก็สะพายบาตรยืนเฉย ท่านก็สบายเพราะท่านเข้าใจว่าเรายืนอยู่เฉยๆ มันไม่บาปหรอก เขาจะให้ก็ไม่เป็นไร เขาจะไม่ให้ก็ไม่เป็นไร ท่านยืนอยู่เฉยๆ พระอานนท์เดินย่ำเท้าไปมา อายเขาคิดว่าพระพุทธองค์นี้อยู่ทำไม ถ้าเขาไล่ก็น่าจะหนีไป เขาไม่ให้ก็ยังทนอยู่ ไม่ก่อประโยชน์อะไรเลย พระพุทธองค์ก็เฉย จนกว่าสุดวิสัยแล้วก็ไป บางทีเขาก็ให้ ให้ในฐานที่ไม่เคารพ พระพุทธเจ้าก็เอาเขาให้พระพุทธเจ้าก็เอา ท่านไม่หนีไปไหน ไม่เหมือนพระอานนท์
    พอกลับมาถึงอาราม พระอานนท์ก็กราบพระพุทธองค์ถามว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรงไหนที่เขาไม่ใส่บาตรให้เรา เราจะไปยืนอยู่ทำไม มันเป็นทุกข์ อายเขา เขาไม่ให้ก็รีบไปที่อื่นเสียดีกว่า "พระพุทธองค์ตรัสอานนท์ ตรงนี้ถ้าเรายังไม่ชนะมันไปที่อื่นก็ไม่ชนะถ้าเราชนะอยู่ที่นี่ไปที่อื่นเราก็ชนะ" พระอานนท์ว่า"ชนะไม่ชนะไม่รู้เรื่องแหละ อายเขา" อายทำไมอานนท์ อย่างนี้มันผิดหรือเปล่า เป็นบาปไหม เรายืนอยู่เขาไม่ให้ก็ไม่เป็นไร พระอานนท์บอกว่า "อาย" "อาย ทำไมเรายืนอยู่เฉยๆ มันเป็นบาปที่ไหน อานนท์เราจะต้องทำอยู่อย่างนี้ ถ้าเราชนะมันตรงนี้ ไปที่ไหนมันก็ชนะ แต่ถ้าเขาไม่ให้เราก็ไปที่โน่น ถ้าไปที่โน้นแล้ว เขาไม่ให้เราจะไปไหน อานนท์" "ไปอีก ไปบ้านโน้นอีก" "ถ้าหากบ้านโน้นเขาก็ไม่ให้ เราจะไปตรงไหน" "ไปตรงโน้นอีก" "เลยไปไม่มีหยุดเลย อานนท์ ถ้าเราไม่ชนะตรงนี้ ไปข้างหน้ามันก็ไม่ชนะ ถ้าเราชนะอยู่ที่นี่แห่งเดียว ไปที่อื่นมันก็ชนะทั้งนั้น อานนท์เข้าใจผิดแล้ว ไม่ต้องอายซิ"

    พระธรรมคำสอน
    พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
    วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
    (พ.ศ. ๒๔๖๑ - ๒๕๓๕)



    22.."จงสงบเถิดนี่แหละเรา"
     

แชร์หน้านี้

Loading...