*วัตถุมงคล เริ่มหน้า66*พระกรุ,ลป.สรวง เทวดาเล่นดิน,ลพ.ฤาษี,ลพ.หวล และอื่นๆ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Pitiphat, 25 มีนาคม 2018.

  1. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่934 ตะกรุด หลวงปู่อิเกสาโร วัดตาเจี่ย ที่ทรงอานุภาพมากด้วยอิทธิฤทธิ์ (สายแนวพระแบบหลวงปู่เทพโลกอุดร) ขนาด 2 นิ้ว
    หลวงปู่เดินหนแสดงอภินิหาริย์ให้คนศรัทธาหลั่งไหล กราบไหว้บูชาผู้ ที่เคารพท่านเสมอๆมีคนกล่าวกันว่าท่านเป็นพระยุคโบราณที่อยู่ ในถ้ำเขตเมืองกาญจนบุรี ท่านเป็นพระยุคไหนไม่มีใครสามารถตอบได้ อย่างแน่ชัด

    วัตถุมงคลทุกอย่างของหลวงปู่เดินหนทาง วัดตาเจี่ย จะอัญเชิญดวงวิญญาณของหลวง ปู่เดินหนมาปลุกเสก

    วัตถุมงคลของท่านใช้ได้จริงมีความศักสิทธิ์จริงๆและมีประสบการณ์แก่ผู้ที่เคารพบูชาอยู่เสมอๆเพียงขอให้หมั่นอธิษฐานจะสำเร็จและสมหวังทุกรายไป และหลวงปู่เดินหนองค์นี้ท่านยังเป็นบูรพาจารย์ ของหลวงปู่หลายๆองค์


    เช่น หลวงปู่กอง วัดสระมณฑล หลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน และพระเกจิอาจารย์ดังๆต่างๆอีกมากมายครับ

    หลวงพ่อหลวงปู่หลายๆองค์บอกว่า หลวงปู่เดินหน ท่านจบกิจในพระพุทธศาสนาแล้ว
    และเป็นผู้ทรงอภิญญาและทรงพระไตรปิฏกองค์หนึ่งของประเทศไทยด้วย ครับ


    ...คาถาบูชาหลวงปู่เดินหนครับ ตั้งนะโม 3 จบ...

    สิทธิโก กัสสะโป โลกะวิทู วิหิงสา ยะลา โวโว วาวา อิกะวิติ อิเกสาโร

    ....ให้สวด 9 จบครับ...

    ตะกรุดดอกนี้ อันเชิญบารมีหลวงปู่อิเกสาโรมาสร้าง และบรรจุ พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ ลงในตะกรุดดอกนี้

    อานุภาพ ใช้ได้ทุกสิ่งทุกประการ ตามแต่จะปรารถนา

    อานุภาพสูงไม่มีเสื่อม อธิฐานเอาตามประสงค์ได้108ประการ


    เกร็ดประวัติบางส่วน หลวงปู่เดินหน

    เรียกวิญญาณทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒
    เรื่องราวน่าแปลกประหลาดอัศจรรย์ใจยังมีอยู่จริงอย่างเรื่องโลกหลังความตาย เรื่องราวของเหล่าดวงวิญญาณยังมีผู้ฅนสนใจเสาะหาค้นคว้าหลายยุคสมัย โลกทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก ต่างมีความเชื่อเรื่องโลกหลังความตายทั้งสิ้น

    อาจแตกต่างกันไปบ้างในส่วนเนื้อหาตามประเพณีและความเชื่อของแต่ละศาสนาต่างท้องถิ่นไปบ้างก็ตามที

    ความเชื่อเรื่องวิญญาณหรือโลกหลังความตายของชาวไทเรานั้น มีความเชื่อเรื่องโลกหลังความตายว่ามีอยู่จริงวิญญาณมีจริง ตามหลังพุทธศาสนาได้กล่าวถึงโลกทั้ง ๓ เรียกว่าภพ หรือ ภูมิ ทั้งสามที่ว่านี้มี

    ๑. โลกมนุษย์
    ๒. สวรรค์
    ๓. นรก

    โดยส่วนใหญ่ฅนเรามักเรียกผู้ที่อยู่ในโลกหลังความตายว่า“วิญญาณ หรือ อมนุษย์” ซึ่งในความเป็นจริงวิญญาณยังแบ่งออกได้อีกหลายประเภทแยกย่อยไปได้อีกเช่น โอปปาติกะ, เปรต, อสุรกาย, สัมภเวสี

    หรือบางครั้งแม้นแต่เทพเทวดาที่มีผู้ฅนไปพบเจอเข้า เขาก็ยังเรียกรวมว่าผีด้วยเช่นกัน เช่นผีป่า ผีเรือน ผีเมือง

    ปัจจุบันบ้านเมืองเปลี่ยนไปมีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุมากขึ้น แต่ยังคงมีผู้ฅนสนใจเสาะหาข้อมูล บ้างเดินทางไปพิสูจน์เรื่องราวของ “ภูตผี วิญญาณ” ตลอดจนเรื่องเหนือธรรมชาติ โดยใช้เครื่องมือทันสมัยตรวจจับพลังงานที่เชื่อว่าเป็นวิญญาณ

    แต่ทั้งหมดยังไม่มีใครสามารถนำดวงวิญญาณหรือเรียกดวงวิญญาณมาให้พบเห็นจริงได้ ใครจะรู้ว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วในยุคปีพ.ศ. ๒๕๐๐ ในเมืองไทยเราเคยมีผู้ที่สามารถเชิญวิญญาณ หรือที่เรียกกันว่า “ผี”ให้มากินเครื่องเซ่น สามารถเดินเหินเป็นเสียง ทั้งยังกินดื่มอาหารความหวานเหมือนดังมนุษย์เรานี้ได้

    เรื่องราวนี้ข้าพเจ้ากล้านำมาเขียนด้วยตัวข้าพเจ้าเองเคยได้อยู่ร่วมในพิธีกรรม “เชิญวิญญาณ”ดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน หลายท่านคงสงสัยว่าท่านใดหนอ หรือใครที่สามารถเรียกวิญญาณฅนที่ตายแล้วกลับมาได้อีก

    ท่านคือ หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร ท่านเป็นพระโบราณมีอายุขัยผ่านโลกผ่านวันเวลามานานนับพันปี ทราบว่าท่านอยู่มาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล

    หลวงปู่เดินหน ท่านมาผ่านร่างลูกศิษย์ (ร่างทรง) คือ ท่านอาจารย์สุวัฒน์ นาคสมบูรณ์ การมาผ่านร่างทรงเพื่อโปรดสัตว์ของหลวงปู่เดินหนนี้ เป็นไปคล้ายคลึงกับหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้, หลวงพ่อสีมั่น วัดห้วยลาด, หลวงปู่เผือก วัดสาลีโข

    ซึ่งท่านที่กล่าวมานี้ก็มาผ่านร่างทรงเพื่อโปรดสัตว์เช่นกัน

    โดยศิษย์ของหลวงปู่เดินหน อิเกสาโร ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในทุกวันนี้มีอยู่มากมายหลายท่าน และมีศิษย์อยู่ท่านหนึ่งผู้ที่ได้เรียนวิชาเกี่ยวกับวิญญาณไปคือ หลวงพ่อบ๋าวเอิง วัดญวนสะพานขาว ซึ่งข้าพเจ้ายังไม่ขอนำเรื่องราวในส่วนนี้มาเสนอ

    แต่จะขอนำเรื่องราวการเชิญวิญญาณที่หลวงปู่เดินหนท่านเคยทำพิธีดังกล่าวนี้ เป็นที่รู้กันในหมู่ศิษย์ว่าหลวงปู่ท่านเคยทำพิธีเชิญวิญญาณหลายคราว

    โดยเริ่มประกอบพิธีกรรมนี้มาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต้นมา จวบจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๖สถานที่ประกอบพิธีกรรมเชิญวิญญาณมีหลายสถานที่ เช่น วัดตาเจี่ย จังหวัดสมุทรปราการ, วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี, โรงสีแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี,บ้านพักย่านเตาปูน, บ้านพักถนนประชาชื่น, บ้านพักที่ปทุมธานี (ฟาร์มเป็ด), บ้านสวนที่สระบุรี(สวนส้ม)

    การทำพิธีเชิญวิญญาณครั้งสุดท้ายกระทำที่ บ้านสวนส้ม จังหวัดสระบุรี

    เหตุการณ์ที่หยิบยกมาเล่าบอกเล่าเรื่องราวมหัศจรรย์ของ“พิธีเชิญวิญญาณ” ณ วัดทุ่งสมอ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยพิธีกรรมในครั้งนี้เคยมีนักเขียนอาวุโสท่านหนึ่งได้เข้าร่วมพิธีกรรมได้สังเกตการณ์อยู่ในพิธีกรรมดังกล่าวนี้ด้วยตนเองตลอดพิธีกรรม

    นักเขียนท่านนี้มีคือคุณทองหยก เลียงพิบูลย์ หรือนามปากกาอันเป็นที่รู้จักในนาม “ท. เลียงพิบูลย์” ท่านผู้นี้เป็นผู้สนใจค้นคว้าทั้งนำเรื่องราวของกรรมตลอดจนเรื่องราวลี้ลับอัศจรรย์มาเผยแพร่แก่ฅนทั่วไป ให้ได้รู้จักผลของกรรมดีและชั่ว เพื่อให้เกรงกลัวต่อผลอันเกิดขึ้นจากการทำผิดบาปนั้น

    ข้าพเจ้าได้สอบถามข้อมูลได้ทราบเบื้องลึกในหลายส่วนคาดว่าสาเหตุที่คุณ ท. เลียงพิบูลย์นำนามเปิดเผยเมื่อเรืองราวดังกล่าวนี้ผ่านไปแล้วเกือบ ๒๐ ปีด้วยเหตุการณ์เชิญวิญญาณที่คุณท. เลีงพิบูลย์ ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์นี้เกิดขึ้นในราวปีพ.ศ. ๒๕๐๘ - ๒๕๐๙ แต่นำมาเรียบเรียงเปิดเผยครั้งแรกในราวปีพ.ศ.๒๕๑๖

    ด้วยเรื่องราวของหลวงปู่เดินหนเป็นเรื่องราวที่ลี้ลับอัศจรรย์ เป็นเรื่องที่มองได้หลายแง่มุมทั้งดีและร้ายต่างไปตามความคิดซึ่งเรื่องราวของหลวงปู่หากฅนที่ไม่เคยได้พบเห็นหรือฅนหัวสมัยใหม่ก็ยากที่จะให้เชื่อถือในเรื่องอัศจรรย์เหล่านี้

    หากพิจารณาดูจะทราบได้ว่าในหลายส่วนของเรื่องราวที่คุณ ท. เลียงพิบูลย์ เลี่ยงที่จะกล่าวถึงหรือเบี่ยงเบนประเด็นเป็นตัดบทไปในหลายส่วนเช่น ชื่อเรื่องก็กล่าวเพียงว่า “หลวงปู่”ไม่ยอมระบุชื่อของท่าน สาเหตุก็เป็นที่รู้กันในหมู่ศิษย์ว่าหลวงปู่ท่านไม่อนุญาตให้ใครนำชื่อท่านไปเขียนหรือไปโฆษณาป่าวประกาศแก่ผู้ฅนในทุกรูปแบบ

    สาเหตุว่าท่านไม่ต้องการให้ฅนแห่กันมารบกวน มาลองดี ลองของ มันทำให้ท่านเสียเวลากับฅนพวกนี้ที่ไม่ได้มีธุระเดือดร้อนใจใดมาเพียงแค่ดูเท่านั้น พวกนี้ท่านเบื่อหน่าย

    จึงมีกฏว่าใครพาฅนมาพบหลวงปู่ฅนที่พามาต้องรับผิดชอบหากฅนที่มานั้นมาดีร้ายอย่างไร ศิษย์ผู้นำพาต้องรับผิดชอบด้วย เหตุนี้ศิษย์จึงเข้มงวดกันเองมากเรื่องพาฅนมาพบหลวงปู่ท่าน

    อีกประการคือไม่มีการกล่าวถึงชื่อฅนทรงทั้งที่คุณ ท. เลียงพิบูลย์ รู้จักนามแต่ไม่เอ่ยนาม ด้วยกลัวผู้ฅนเสาะหาสืบค้นไปรบกวนผู้เป็นร่างทรง

    จากการสอบถามครูมะลิ แนวตานาค ท่านผู้นี้เป็นอดีตครูใหญ่ โรงเรียนวัดทุ่งสมอเป็นผู้รู้ใกล้ชิดเห็นเรื่องราวของหลวงปู่กอบตลอดทุกครั้งที่มีการประทับทรงที่วัดทุ่งสมอ ทั้งยังอยู่ในพิธีเชิญวิญญาณร่วมกับ ท. เลียงพิบูลย์ ด้วย

    ท่านกล่าวว่าในพิธีกรรมตอนเชิญวิญญาณนี้ มีหลายช่วงที่ท่านเล่าไว้น่าสนใจ ด้วยในช่วงทำพิธีตัวของครูมะลิท่านนั่งอยู่ด้านหลัง คุณ ท. เลียงพิบูลย์ สวนผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าใกล้หลวงปู่เท่าที่ครูมะลิจำได้

    ส่วนมากเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ผู้พิพากษา ประธานศาล นายทหาร นายตำรวจใหญ่ คหบดีหลายท่าน รวมถึงดารานักแสดงชื่อดังอย่าง คุณมิตร ขัยบัญชา และนายตำรวจมือปราบอย่าง พล.ต.ตเนื่อง อาขุบุตร เป็นต้น

    ในช่วงที่วิญญาณทหารมาถึงนั้นครูมะลิเล่าว่าตอนที่หลวงปู่ดุวิญญาณในพิธี คุณ ท.เลียงพิบูลย์ เกิดตกใจโดขึ้นมานั่งบนตักของครูมะลิช่วงเวลานั้นครูมะลิเล่าว่าตัวท่านเองก็กลัว แต่อดขำคุณ ท. เลียงพิบูลย์ กับคนอื่นๆ ไม่ได้ที่ต่างพากันตกใจพร้อม ๆ กัน เป็นเรื่องราวที่ครูมะลิจำได้แม่นยำมาจนวันนี้

    อาจเป็นด้วยว่า คุณ ท.เลียงพิบูลย์ ต้องเสนอเรื่องอย่างเป็นกลาง ไม่แสดงตนว่าเชื่อถืองมงายในเรื่องเจ้าเข้าทรง หากท่านอ่านให้ดีจะเห็นหลายตอนที่กล่าวว่าไม่มีคำอธิบายใดได้ในเรื่องของหลวงปู่เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นท่ามกลางฅนหมู่มาก ไม่ได้ทำในที่ลับตาหรือมีสิ่งใดบังตา

    ทั้งการคว้าของจากอากาศก็ดี การเป่าตะกรุดเข้าในสายสร้อยก็ดี จึงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายเพื่อจับพิรุธว่ามีข้อสงสัยใดแอบแฝง

    เรื่องราวการเชิญวิญญาณที่ วัดทุ่งสมอ กาญจนบุรีเป็นอย่างไรนั้นของท่านทั้งหลายพิจารณาดูเอาเถิดว่า เป็นเรื่องราวน่าอัศจรรย์อย่างไร เพราะหากว่าไม่อัศจรรย์ไร้คำอธิบายในพลังจิตอัศจรรย์ของหลวงปู่แล้วไฉน คุณ ท. เลียงพิบูลย์ จึงกล้านำมาบันทึกไว้ให้ฅนทั้งหลายได้รู้

    เพราะหากว่าท่านไม่บันทึกไว้ในเรื่องนี้ เชื่อว่าต่อไปผู้ฅนอาจลืมเลือนไม่รู้ว่าเรื่องราวเหล่านี้เคยเกิดขึ้นจริง เรื่องราวเป็นอย่างไรนั้น ข้าพเจ้าได้หยิบยกเนื้อหาบางส่วนมาให้ท่านได้รับรู้ดังต่อไปนี้

    เรื่องราวต่อไปนี้นำมาจากบทความเรื่อง“หลวงปู่” เขียนโดยคุณ ท. เลียงพิบูลย์

    - จากหนังสือเรื่อง “เงาบุญ – เงาบาป(นิทานชีวิต) และ จิตตานุภาพ และวิญญาณ” จัดพิมพ์โดย สถานีวิทยุ ๐๑ ภาคพิเศษ กองบินยุทธการ ชุดจิตตานุภาพและวิญญาณ หน้า ๑ – ๓๖ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗

    - จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่มที่ ๘ หน้าที่ ๙๕ – ๑๒๓พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๔๘ จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม

    เมื่อมีผู้รู้ว่าข้าพเจ้าสนใจเรื่อง “วิญญาณ” ก็มีท่านที่เคารพนับถือและเพื่อนฝูงได้แนะนำ และได้สละเวลาพาไปสถานที่ต่าง ๆให้ไปรู้ไปเห็น และมีผู้ส่งเรื่องจิตตานุภาพกับวิญญาณมาให้มากด้วยกัน นี่เป็นเรื่องธรรมดา

    เมื่อมีความสนใจสิ่งใดก็มีผู้แนะนำในสิ่งที่สนใจนั้น ฉะนั้นข้าพเจ้าก็ต้องขอขอบคุณท่านที่ได้กรุณาแนะนำ และส่งเรื่องมาให้จำนวนมาก ซึ่งบัดนี้ข้าพเจ้าจะขอแนะนำเรื่องที่ได้ไปพบเห็นด้วยตนเอง ได้พยายามขอลงนามจริงของบุคคลที่รู้เห็นในเรื่องนี้ และสถานที่เกิดเหตุขึ้นเท่าที่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของนามมาให้

    เมื่ออ่านแล้วจะได้ใช้เวลากับปัญญาพิจารณาดูเพื่อให้เข้ากับเรื่อง“จิตตานุภาพ และวิญญาณ” เพื่อท่านจะได้ไม่หลงเชื่อลมๆ แล้ง ๆ ดังเรื่องที่ได้เล่าต่อไปนี้

    บ่ายวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์ แม้เรื่องจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ดี ข้าพเจ้าก็จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเสาร์ เสียงที่พูดมาทางโทรศัพท์นั้นบอกว่า

    “นี่เชื้อพูด คืนนี้อยากจะให้คุณไปพิสูจน์เรื่องเข้าทรงของหลวงปู่ ที่วัดทุ่งสมอ เมืองกาญจนบุรี มีเวลาไปได้ไหม” แม้จะไม่ต้องบอกชื่อ ข้าพเจ้าก็จำเสียงได้ว่าเป็น คุณเชื้อ แนวบุญเนียร

    จึงย้อมถามไปว่า “คืนนี้มีอะไรพิเศษหรือ พอจะคุ้มกับเวลาที่ต้องเสียไปไหม” เสียงตอบบอกว่า “คืนนี้หลวงปู่จะเรียกวิญญาณทหารญี่ปุ่น และทหารฝรั่งตายในสงครามที่เมืองกาญจนบุรีมากินเลี้ยง ผมจะรีบไปก่อน แล้วคุณตามผมไปในภายหลังนะ ตกลงไหม?”

    ข้าพเจ้าเกิดความสนใจมาทันทีอยากรู้อยากเห็นเรื่องวิญญาณทหารญี่ปุ่นและฝรั่ง เป็นเรื่องใหม่แปลกสำหรับข้าพเจ้าจึงรีบบอกไปว่า “ตกลงผมจะเอารถตามคุณไปภายหลัง”

    เสียงคุณเชื้อบอกว่า“คุณไม่ต้องเอารถไปเอง คุณประพัฒน์และคุณมนตรีจะเอารถมารับคุณที่บ้านขอให้คุณนำทางเพราะทั้งสองฅนไปไม่ถูก เพราะไม่เคยไป”
    ข้าพเจ้ารีบบอก “ตกลง”

    ตกลงบ่ายวันนั้นคุณประพัฒน์นำรถมารับข้าพเจ้าที่บ้าน โดยมีคุณมนตรีติดตามมาด้วย คุณประพัฒน์มีฅนขับมาพร้อมข้าพเจ้าก็ไม่ให้เสียเวลาเพราะแต่งตัวคอยอยู่แล้ว รีบขึ้นรถเดินทางจากบ้านข้าพเจ้ามุ่งหน้าข้ามสะพานพุทธฯ และตั้งจุดตรงไปเมืองกาญจนบุรีโดยไม่แวะที่ใด

    เวลานั้นถนนฝั่งธนบุรียังไม่เรียบร้อยยังมีอิฐทราย ดิน กองอยู่ข้างทางตลอดไปเป็นทางยาวหลายกิโลเมตร รถวิ่งไม่สะดวกนัก (อยู่ในราวปี พ.ศ.๒๕๐๙ ผู้เรียบเรียง)

    รถได้ผ่านเข้าเขตเมืองกาญจนบุรีก็พอดีย่ำค่ำเราได้แวะเติมน้ำมัน และแวะร้านอาหารปากทางที่จะเข้าในตัวจังหวัด กินอาหารเย็นแล้วสนทนากันอย่างสนุกสนานพักรถพักฅนพอสมควรแก่เวลาแล้วก็ออกเดินทางต่อไป

    ซึ่งข้าพเจ้าเคยไปที่วัดทุ่งสมอก่อนหน้านี้ไม่นานมาครั้งหนึ่งแล้วในเวลากลางวัน ไม่เคยเดินทางในเวลาค่ำคืน

    จำได้เพียงว่าเมื่อออกจากทางแยกเข้าจังหวัดแล้วประมาณสิบกว่ากิโลเมตรก็จะเข้าถึงเขตวัดซึ่งอยู่ริมถนนใหญ่ที่จะผ่านไปอำเภอพนมทวน ถนนเวลานั้นยังเป็นลูกรังไม่เรียบร้อย รถจึงวิ่งช้ากว่าธรรมดา การเดินทางจะเอาอย่างใจนึกไม่ได้ เพราะใจมนุษย์นั้นเร็วที่สุดเร็วกว่าแสงหรือเร็วกว่ายานใด ๆ ในโลก

    เราได้สนทนากันมาในรถอย่างสนุกสนานตลอดทางลืมมองดูว่าจะเข้าถึงทางเข้าวัดหรือยัง ทั้งทางก็มืดไม่เห็นสองข้างทางเลย รถวิ่งเลยทางเข้าวัดทุ่งสมอไปถึงอำเภอพนมทวน ข้าพเจ้าจึงรู้ว่ารถเราเลยวัดทุ่งสมอมาไกลแล้ว

    ที่สุดเราก็ให้ฅนขับกลับรถย้อนกลับมาถึงวัดทุ่งสมอ คืนนั้นเป็นคืนข้างแรม ทั้งทางเข้าวัดก็มืดสนิทถนนที่รถวิ่งไปมาไม่มีรถยนต์สวนทางหรือตามหลังเป็นคืนที่วิเวกวังเวงเงียบสงัดชอบกล

    เมื่อรถเราเข้าไปในเขตวัดผ่านต้นไม้ใหญ่ปกคลุมตัววัดภายใน เราก็มองเห็นมีรถยนต์จอดกันเป็นทิวแถว รู้สึกว่ารถส่วนมากไปจากกรุงเทพฯส่วนรถที่มาจากเมืองกาญจนบุรีก็มีบ้างไม่กี่คัน

    เรารู้สึกว่ารถรถของเราเดินทางมาถึงล่าสุดเป็นคันสุดท้ายในคืนนั้น เพราะต้องเสียเวลาเลยไปแล้วย้อนกลับมาอีก ข้าพเจ้าชวนพวกลงจากรถเดินขึ้นไปที่กุฏิท่านสมภารรู้จักท่าน (สมภารวัดในเวลานั้นคือ พระครูวิบูลธรรมประภาส หรือ หลวงพ่อเบี่ยง อุทโย) เพราะเคยมาครั้งหนึ่งแล้ว

    ข้าพเจ้าได้พบผู้ที่คุ้นเคยมากท่าน มีทั้งนายทหารและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ชั้นนายพลหลายท่าน และทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ชั้นพิเศษและผู้พิพากษา ผู้มีชื่อและข้าราชการอื่น ๆ อีกมาก

    เราต่างนั่งสนทนาอยู่บนกุฏิท่านสมภาร นอกนั้นก็ยังมีชาวเมืองกาญจนบุรีจำนวนไม่น้อยที่ข้าพเจ้ารู้จักหลายท่านด้วยกัน ที่เดินเตร่อยู่ใกล้โบสถ์และต้นไม้ บริเวณนั้นมีทั้งอาหารและเครื่องดื่มขาย มีไฟจุดสว่างไสวคล้ายงานออกร้าน

    คืนนั้นรู้สึกว่าจะมีฅนล้นหลามในเขตบริเวณวัด
    บนกุฏิเรามองเห็นเครื่องเซ่น เช่น เป็ดย่าง ไก่ตอน อย่างละหลายตัว อาหารอื่น ๆ อีกหลายอย่าง และเหล้าจำนวนไม่น้อยใส่ถาด ผลไม้ต่าง ๆ จัดไว้เป็นถาด ตั้งเตรียมไว้เรียงรายคิดแน่ใจว่าเครื่องเซ่นเหล่านี้คงจะเอาไปเลี้ยงวิญญาณทหารฝรั่งและทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตลงในเมืองกาญจนบุรี

    ฅนทรงยังหนุ่ม เพิ่งสึกจากพระซึ่งบวชอยู่ที่วัดทุ่งสมอมาก่อนทราบว่าการบวชครั้งนั้นแก้บน

    ครั้งก่อนข้าพเจ้ามาเวลากลางวัน และเคยเห็นการเข้าทรงของหลวงปู่มาแล้ว ครั้งนั้นฅนเป็นร่างทรงยังเป็นพระภิกษุ เมื่อเวลาเข้าทรงก็นุ่งขาวห่มขาวไว้ข้างนอกทับผ้าเหลืองไว้ข้างในเวลานั้นข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าผิดวินัยสงฆ์หรือไม่ ไม่เคยคิดและไม่รู้และไม่เคยเห็นมาก่อน

    ครั้งนั้นการเข้าทรงวิญญาณหลวงปู่ที่ในโบสถ์วัดทุ่งสมอเป็นเวลาบ่าย การเข้าทรงจะต้องปิดไฟปิดประตูหน้าต่างโบสถ์ให้หมด เพราะหลวงปู่ไม่ชอบแสงสว่าง

    ก่อนจะเข้าทรง ฅนทรงจะจุดธูปเทียน คุกเข่าหันหน้าไปทางพระประธานในโบสถ์ บริกรรมเสร็จแล้วก็กราบลง ๓ ครั้ง แล้วก็มานั่งขัดสมาธิพนมมือที่จัดอาสนะไว้ มีหมอนอิงหลายใบรองรับอยู่ข้างหลังป้องกันหัวกระแทกทั้งเวลาเข้าและเวลาออกจากทรง

    ร่างทรงนั่งนิ่งบริกรรมอีกครู่หนึ่งก็สั่นทั้งตัว ก้นกระโดดสูงจากพื้นอาสนะที่นั่งหลายครั้งหลับตาเกร็งข้อตัวสั่น ครู่หนึ่งก็ฟุบหน้าลงแล้วตัวก็อ่อนพับไปข้างหน้า

    ครู่หนึ่งก็ค่อย ๆเงยหน้าขึ้นมากลายเป็นฅนแก่ นั่งก้มหน้าก้มหลังค่อมพูดเสียงสั่น ๆ ยานคาง มีคุณเชื้อ คอยนั่งปฏิบัติอยู่ข้าง ๆ เมื่อหลวงปู่เข้าทรงแล้ว คุณเชื้อก็หยิบซิกการ์จุดส่งให้หลวงปู่สูบ แสดงว่าหลวงปู่ชอบซิกการ์มาก

    ข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมหลวงปู่ชอบสูบซิกการ์มากมวนแล้วมวนอีกติดต่อกันไม่หยุดปาก เริ่มตั้งแต่เข้าทรงคิดว่าหลวงปู่จะติดยาซิกการ์มาแต่อดีตชาติก็ไม่ใช่ เพราะหลวงปู่บอกว่า ได้นั่งมรณภาพในถ้ำมาตั้งร้อยกว่าปีแล้ว

    ข้าพเจ้าคิดว่าสมัยนั้นคงไม่มีซิกการ์สูบแน่ ซิกการ์เป็นยาเสพย์ติดนิดหนึ่ง ที่สูบได้ไม่ผิดกฎเหมือนบุหรี่ต่าง ๆที่มีขายในท้องตลาด แถมยังโฆษณาชักชวนฅนให้สูบ เพื่อการค้าแต่โทษของบุหรี่ไม่มีใครพูดถึง

    ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่าชีบานาสงฆ์ ไม่ควรสูบ ไม่รู้ว่าครั้งแรกใครรู้ว่าหลวงปู่ชอบสูบซิกการ์ และเป็นผู้นำไปถวายนะ ซิกการ์อย่างดีมาจากต่างประเทศราคาแพงหีบหนึ่งเป็นร้อยๆบาท แต่ข้าพเจ้าก็ไม่พูด เพียงแต่นึกในใจฅนเดียว แต่แล้วก็คิดกลับว่า อันซิกการ์นั้นถ้าฅนไม่เคยสูบ ลองได้สูบมวนต่อมวนติดต่อกันไม่ขาดปาก ก็มีหวังมึนเมา คงทนไม่ไหวที่ต้องสูบอยู่หลายชั่วโมง ตามปกติฅนทรงไม่สูบบุหรี่ เมื่อเข้าทรงจึงเป็นเรื่องแปลกและมหัศจรรย์ คงจะแสดงให้เห็นอภินิหารของหลวงปู่ก็ได้

    ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเขียน เห็นการเข้าทรงในโบสถ์ของหลวงปู่ยังไม่ละเอียดขอเติมว่า จำได้ว่าหลังจากพระฉันเพลแล้วพวกศิษย์ก็ขนเสื่อขนหมอนและกระโถนเข้าไปจัดทำที่สำหรับหลวงปู่ประทับทรง เตรียมไว้ให้เรียบร้อย รู้สึกว่าคุณเชื้อสนใจมาก เอาใจใส่ในการประทับทรงของหลวงปู่ ตลอดจนหาเครื่องใช้เพื่อบริการในเรื่องนี้ตลอด

    ข้าพเจ้าขอย้อนต่อทวนข้อความเพิ่มเติมตอนหลวงปู่เข้าทรงครั้งแรกที่ได้มาเห็น พอร่างทรงเงยหน้าขึ้นแหมือนฅนแก่หลังค่อม พูดเสียงสั่น ๆ ในสภาพของฅนแก่ ฅนใกล้เคียงก็หยิบกระโถนให้บ้วนน้ำลายที่ไหลยืดออกจากปาก รินน้ำใส่แก้วให้ท่านบ้วนปาก คุณเชื้อก็รีบเปิดหีบนำซิกการ์มาจุดแล้วส่งให้สูบ

    พอร่างทรงหลวงปู่สูบซิกการ์พ่นควันบุหรี่ครู่หนึ่งรู้สึกอารมณ์ดี เงยหน้าขึ้นมามองดูผู้ที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วค่อย ๆหันซ้ายหันขวา พูดอะไรถามอะไรครู่หนึ่งแล้วก็เอียงคอไปมา แม้ในโบสถ์จะปิดประตูหมด ก็ยังมีแสงเทียนจากหน้าพระประธานพอจะมองเห็นได้

    ข้าพเจ้านั่งห่างออกมาหลายช่วงฅน คอยพิจารณาดูท่าทางการเข้าประทับทรงของหลวงปู่อยู่ตลอดเวลา
    แต่แล้วก็เห็นหลวงปู่ส่ายตามองดูซ้ายขวา แล้วกวักมือมาทางเรานั่ง

    ข้าพเจ้าหันไปมองดูฅนข้างหลังและฅนข้าง ๆแต่ก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่จะกวักมือเรียกใคร ก็คิดแต่ในใจว่าคงไม่ใช่เราแน่ เพราะเราเป็นฅนใหม่พึ่งมาเป็นครั้งแรก หลวงปู่ไม่เคยรู้จักเรามาก่อน ฅนอื่นส่วนมากหลวงปู่รู้จักมาก่อนแล้ว เพราะเคยมาหาประจำทุกครั้ง ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงนั่งมองดูเฉยอยู่

    เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจ หลวงปู่ก็ให้คุณเชื้อก้มลงแล้วกระซิบที่ข้างหู ซึ่งคุณเชื้อนั่งใกล้ชิดคอยปฏิบัติหลวงปู่อยู่แล้ว คุณเชื้อก็ชะเง้อมองมายังข้าพเจ้าพลางกวักมือบอกว่า“หลวงปู่อยากพบ”

    ข้าพเจ้าหันไปมองดูเพื่อให้แน่ใจ ชี้ตัวเองเป็นคำถาม ก็ได้รับคำตอบจากคุณเชื้อโดยการพยักหน้าและกวักมือ

    ข้าพเจ้าค่อยๆคลาน ผู้ที่นั่งล้อมวงก็หลีกทางให้เข้าไปอยู่ตรงหน้าหลวงปู่ กราบท่านแล้วก็นั่งนิ่งโดยไม่เอ่ยปากถามอะไร และไม่มีปัญหาอะไรจะถาม ไม่รู้จะพูดอะไร

    เสียงหลวงปู่หัวเราะหึๆ แล้วพูดว่า “เอ่อ เจ้านี่ได้สร้างกรรมทำดีไว้มาก หมั่นมาหาปู่แล้วปู่จะให้ของดีพิเศษกับเจ้ารอไปก่อน” แล้วท่านก็ให้ข้าพเจ้าก้มหัวลงและก็เป่าลงในกลางกระหม่อม เสร็จแล้วท่านก็ให้โอวาท ล้วนเป็นหลักธรรมที่ควรแก่การปฏิบัติ ข้าพเจ้าได้แต่ฟังจำไม่ได้ จึงไม่ได้เขียน

    หลังจากข้าพเจ้าคลานออกมานั่งนอกวงล้อมแล้ว ปล่อยให้ผู้อื่นที่คอยรอจะเข้าอยู่แล้วคลานเข้าไปกราบ อยากทราบปัญหาชีวิตอนาคต ขอให้ท่านแนะทาง เมื่อท่านแนะให้แล้วก็ขอของดีไว้ป้องกันตัว

    ข้าพเจ้าก็ได้พยายามคอยสังเกตเห็นหลวงปู่เป่าหัวพรมน้ำมนต์แล้ว ผู้นั้นก็ทวงได้ของดีจากท่าน เพราะเห็นท่านทำท่าลืม ท่านทำปากท่องอาคมเสียงพึมพำ แล้วก็เอามือคว้าอากาศตรงหน้า แล้วก็ยื่นพระเครื่องมาให้ท่านผู้นั้นหนึ่งองค์

    ภายหลังมีหลายท่านที่เข้าไปขอของดีบ้าง ท่านก็คว้าอากาศแล้วหยิบพระมามอบให้ผู้ต้องการ ข้าพเจ้าเห็นก็รู้สึกเป็นเรื่องแปลกมหัศจรรย์ เพราะผู้ที่ได้พระนั้น ล้วนแต่เป็นพระต่างแบบกันองค์เล็กบ้างโตบ้างไม่เท่ากัน นักเลงพระอยู่ในที่นั้นด้วยบอกว่า เป็นพระเก่าแท้และหายาก

    ครั้งหลังท่านให้ข้าพเจ้าเข้าไปหา แล้วเอามือคว้าอากาศตรงหน้าท่าน แล้วก็ได้พระติดมือมาหนึ่งองค์ กว้างขนาด ๒ นิ้วมือฅนและยาว ๓ นิ้ว แล้วก็มอบให้ข้าพเจ้า

    เมื่อนักเลงพระอยู่ในนั้นขอดูแล้วก็บอกว่า นี่เป็นพระทุ่งเศรษฐีเก่าแท้ ข้าพเจ้าได้นำพระองค์นั้นมาเก็บไว้ห้องพระที่บูชาไม่ได้แขวนคออย่างผู้อื่น และต่อมาพระองค์นั้นก็หายไปจากห้องพระอย่างลึกลับ ทำให้ข้าพเจ้านึกเล่นขำ ๆว่าหลวงปู่เห็นข้าพเจ้าไม่ค่อยสนใจ คงคว้าอากาศมาหยิบเอาคืนไปให้ผู้อื่นแล้วก็ได้

    บ่ายวันนั้นจำได้ว่านอกจากพระแล้ว ท่านยังได้แจกตะกรุดทองคำ ซึ่งทราบว่าตะกรุดทองคำนี้ คุณเชื้อนำแผ่นทองคำแผ่บางม้วนเป็นตะกรุด ไปถวายให้ท่านปลุกเสก เมื่อท่านปลุกเสกแล้ว ผู้ที่สนิทชิดชอบกับคุณเชื้อได้กันมาหมดทุกฅน

    สำหรับผู้ที่มีสร้อยคอมีพระแขวน เป็นพวงใหญ่และเล็กอยู่แล้ว ต่างก็ถอดสร้อยจากคอออกมอบให้หลวงปู่ ขอให้ท่านร้อยตะกรุดให้ ท่านก็รับมารวมๆกัน

    มีผู้เอาไฟฉายส่องดูสายสร้อย เห็นมีสายสร้อยมากเส้นเล็กบ้างโตบ้าง แล้วท่านได้เอาสร้อยเท่าจำนวนตะกรุดมารวมกัน กอบกำไว้ในสองมือครู่เดียวก็ยกขึ้นเป่าพรวด!!

    เป็นที่น่าอัศจรรย์เหมือนเล่นกล ปรากฏว่าตะกรุดทุกดอก ได้ร้อยเข้าไปอยู่ในสร้อยทองคำ โดยไม่ต้องปลดขอสับอย่างเรียบร้อยหมดทุกเส้น แล้วมอบคืนให้เจ้าของทุกฅน ทำให้พิศวงงงงวยไปตามกัน

    ส่วนข้าพเจ้านั้น ไม่มีสายสร้อยห้อยพระ จึงได้แต่ห่อกระดาษใส่กระเป๋าเท่านั้น นี่เป็นเรื่องแปลกที่ได้เห็นอภินิหารของหลวงปู่ ที่วัดทุ่งสมอในเวลานั้นเป็นครั้งแรก ที่ข้าพเจ้าไปเห็นด้วยตาตนเอง

    ข้าพเจ้าขอย้อนกลับมากล่าวเรื่องในคืนสำคัญนั้นต่อไป เมื่อเข้าเขตวัดภายใน จึงเห็นฅนเห็นรถจอดเป็นแถว และผู้ฅนมากมาย โบสถ์คงไม่พอบรรจุฅนทั้งหลาย

    พวกทางวัดจึงต้องแบ่งกันเข้าไปเฝ้าหลวงปู่เป็นราย ๆรอบแรกหัวค่ำเป็นชาวบ้านพวกเมืองกาญจนบุรี เมื่อเข้าไปเต็มโบสถ์แล้วก็ปิดประตูโบสถ์ เมื่อรอบแรกออกมาแล้วก็รอบสอง รอบสาม ส่วนพวกกรุงเทพฯเข้ารอบดึกสุดท้ายกว่าจะได้เข้า เวลาผ่านตี ๑ ไปแล้ว

    เรื่องราวโดยย่อมีประมาณนี้ครับ

    ปิดครับ
    IMG_25620521_215850.JPG IMG_25620521_215941.JPG IMG_25620521_220018.JPG U17703826367921944084802351.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2019
  2. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่935 พระพิมพ์สังกัจจายน์ ท่านพระครูสุพจน์ โชติปาโล ( พระครูพุทธมนต์วราจารย์ ) พระวัดสุทัศน์ ปี 2484
    พระวัดสุทัศน์ ปี 2484 องค์นี้พิมพ์พระสังกัจจายน์ พระแห่งโชคลาภ ลักษณะพิมพ์ล้อพระวัดเงินคลองเตย ผิวพรรณงดงาม เหมาะกับพ่อค้าแม่ค้า คนทำธุรกิจ
    ท่านพระครูสุพจน์ โชติปาโล ( พระครูพุทธมนต์วราจารย์ ) สร้างพระสมเด็จวัดสุทัศน์ หลังยันต์ ปี 2484 สร้างสมัยสงครามอินโดจีน ผสมเนื้อสมเด็จวัดระฆังที่ได้รับมอบจากหลวงปู่นาค วัดระฆัง เป็นจำนวนมาก มีท่านเจ้าคุณประหยัด พระเณรช่วยกดพิมพ์ แล้วนำเข้าพุทธาภิเษกงาน พระพุทธชินราชอินโดจีน ปี2485 งานใหญ่ พระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศ ซึ่งมีพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาร่วมเสกมากมาย และนำเข้าเสกอีกหลายพิธี พระเก่าผ่านเวลามาหลายสิบปี เนื้อหามวลสารแน่นแกร่ง ผสมผงเนื้อพระสมเด็จเก่าของวัดระฆังฯ เนื้อจัดขาวสวยสมบูรณ์ น่าเก็บ
    บูชา 1850 บาท
    IMG_20180518_215337.jpg IMG_20180518_215326.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2020
  3. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่936 พระสรรค์นั่ง ไหล่ตรงข้างเม็ด วัดมหาธาตุ จ.ชัยนาท
    พระสรรค์ พระดังเมืองชัยนาท "พระสรรค์ยืนกับพระสรรค์นั่ง" พระสรรค์ลีลา หรือพระสรรค์ยืน พุทธลักษณะองค์พระประทับยืน "พระสรรค์นั่ง" พุทธลักษณะองค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย
    จังหวัดชัยนาท เป็นจังหวัดเก่าแก่ซึ่งมีความสำคัญในพงศาวดารและประวัติศาสตร์ชาติไทย พื้นที่ในเขตเมืองชัยนาทนับว่าเป็นทำเลที่อุดมสมบูรณ์ มีการตั้งชุมชนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยเฉพาะในบริเวณเมืองสรรค์ ซึ่งปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัด จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเมืองลูกหลวง และเป็นเขตยุทธศาสตร์สำคัญที่จะสามารถตั้งรับข้าศึกและได้รับชัยชนะทุกครั้ง สมดังชื่อเมือง "ชัยนาท" นอกจากความสำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังนับเป็นจังหวัดที่มีวัด พระเครื่อง พระบูชา รวมถึงโบราณวัตถุที่น่าสนใจศึกษามากมาย อาทิ วัดธรรมามูลฯ ที่ประดิษฐานหลวงพ่อธรรมจักร พระพุทธรูปเก่าแก่ที่เป็นที่เคารพศรัทธา วัดบรมธาตุ ฯลฯ โดยเฉพาะที่เมืองสรรค์ อีกเช่นกัน มีวัดวาอารามมากถึง 183 วัด อาทิ วัดมหาธาตุ วัดท้ายย่าน ฯลฯ และยังนับเป็นแหล่งรวมพระพุทธรูป พระเครื่องมากมาย จนชาวบ้านเรียกกันว่า "เมืองพระ" "พันธุ์แท้พระเครื่อง" ฉบับนี้จึงขอนำเสนอพระกรุเก่ายอดนิยมของจังหวัด พระลีลากรุเมืองสรรค์มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมในแวดวงนักนิยมสะสมพระเครื่อง พระบูชามาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มักขนานนามคู่กันว่า "พระสรรค์ยืนกับพระสรรค์นั่ง" ครับผม

    พระสรรค์ยืนกับพระสรรค์นั่ง เป็นพระตระกูลเดียวกันคือ สกุลช่างอู่ทอง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ปรากฏมีการแตกกรุออกมาหลายกรุทั้งกรุวัดท้ายย่าน วัดบรมธาตุ วัดส่องคบ วัดมหาธาตุ กรุเขื่อนชลประทาน ฯลฯ และมักมีคำกล่าวว่า "มีพระลีลาเมืองสรรค์ที่ไหนก็ต้องมีพระสรรค์นั่งที่นั่น" เนื่องจากเป็นพระที่กำเนิดจากกรุเดียวกันนั่นเอง พระสรรค์ยืนก็คือ "พระลีลาเมืองสรรค์" ส่วนพระสรรค์นั่งใช้เรียกกันโดยทั่วไป ส่วนเนื้อขององค์พระที่พบจะมีทั้งพระเนื้อดินและเนื้อชิน ทั้งดินหยาบ ดินละเอียด ชินเงิน ชินตะกั่ว

    "พระสรรค์ลีลา หรือพระสรรค์ยืน" พุทธลักษณะองค์พระประทับยืน แสดงปางลีลา อยู่เหนือฐานบัวสองชั้น หันด้านขวา พระวรกายแลดูอวบอิ่มสมบูรณ์ พระหัตถ์ขวาที่ยกขึ้นค่อนข้างใหญ่ สวมใส่จีวรแบบแนบเนื้อ มีแบบพิมพ์ลีลาธรรมดาและพิมพ์ลีลาข้างเม็ด กรุที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ กรุวัดท้ายย่าน ซึ่งเป็นพระเนื้อดินที่มีเนื้อละเอียด และกรุวัดบรมธาตุ ที่เนื้อดินหยาบกว่าเล็กน้อย พระลีลากําแพงเพชร พระลีลากรุวัดถ้ำหีบ

    "พระสรรค์นั่ง" พุทธลักษณะองค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย มีด้วยกันหลายพิมพ์ คือ พิมพ์ไหล่ยก พิมพ์ไหล่ยกกลาง พิมพ์ไหล่ยกเล็ก พิมพ์ไหล่ตรง พิมพ์แขนอ่อนซุ้มไข่ปลา พิมพ์ไหล่ตรงข้างเม็ด พิมพ์ที่เรียกว่าเป็นพิมพ์นิยมคือ พิมพ์ไหล่ยก ส่วนกรุที่เป็นกรุนิยมคือ กรุวัดท้ายย่าน เนื่องจากเนื้อดินละเอียดนุ่ม

    พระสรรค์ลีลาและพระสรรค์นั่ง พระเครื่อง พระกรุเก่ายอดนิยมของจังหวัดชัยนาท ปรากฏพุทธคุณเป็นเลิศครบครัน ทั้งเมตตามหานิยม และแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ปัจจุบันหาดูหาเช่ายากมาก และผู้ครอบครองก็ต่างหวงแหน นอกจากนี้ ยังมีของทำเทียมค่อนข้างมาก จะหาของแท้จริงๆ ก็ต้องใช้หลักการพิจารณาพระกรุเก่า ลักษณะพิมพ์ทรง เนื้อ และคราบกรุกันให้ดีๆ ครับผม
    ข่าวพระเครื่อง พันธ์แท้พระเครื่อง โดย.. ราม วัชรประดิษฐ์

    บูชา 950 บาท
    IMG_20180601_213514.jpg IMG_20180601_213502.jpg
     
  4. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่937 บาตรพระคง ลำพูน
    บาตรพระคง กรุลำพูน : เป็นเครื่องรางพันปี อีกชนิดหนึ่งที่ขึ้นกรุมาพร้อมๆกับ พระคง-พระรอด กรุลำพูนนโบราณสันนิฐานกันว่ามีลักษณะคล้ายๆกับ บาตรพระ พบเห็นน้อยชิ้นมากเจ้าในกรุส่วนมากพบแต่ พระพิมพ์ดินเผา เป็นส่วนมาก ส่วน บาตรพระคง จัดว่าเป็น ของชิ้นพิเศษของวงการพระเครื่อง สกุล พระกรุลำพูนพุทธคุณเฉกเช่นพระรอด-พระคงครับและที่สำคัญเป็นบาตรพระย่อมหมายถึงความอุดมสมบรูณ์ โชคลาภอย่างแน่นอน
    บูชา 1550 บาท

    IMG_20180604_210501.jpg IMG_20180604_210446.jpg IMG_20180604_210426.jpg IMG_20180604_210413.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2020
  5. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่938 พระขุนแผนไข่ผ่าซีก กรุต้นพิกุล หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม
    พระขุนแผนพิมพ์ต่างๆ เหล่านี้สร้างสร้างขึ้นมาราวปี พ ศ 2500 แล้วบรรจุกรุไว้ต้นพิกุลจนวันหนึ่งต้นพิกุลล้มโคล่น ในราวปี พ ศ 2510 พบพระพิมพ์สมเด็จต่างๆ เนื้อแบบเดียวกันอยู่ในอ่างดินเผา มีจำนวนพระร่วม 3000 องค์ ถือเป็นการแตกกรุของพระในระหว่างที่หลวงพ่อกวยยังมีชีวิตอยู่ ซึ้งท่านก็บอกว่าเป็นพระของท่านสร้างฝังเอาไว้ พระที่พบพิมพ์ต่างๆ ถูกแจกจ่ายในเวลานั้นออกไปจนหมด จุดสังเกตุของพระกรุ ต้นพิกุลคือดินและเนื้อจะเป็นสีขาวหม่นแก่ปูนเหมือนกันหมดทุกองค์ แต่บางองค์ก็ออกดินและมีคาบกรุเหมือนทุกพิมพ์ พระกรุนี้ยังนำไปแจกในงานผ้าป่า กฐิน พบพระพิมเหล่านี้ไกลถึง จ ราชบุรี พระกรุนี้มีพิมพ์ปรกโพธิ์ด้วย หลวงพ่อกวยท่านติดไว้หน้าบรรณกุฏิของท่าน 4 องค์ เข้าใจว่าพระพิมพ์นี้คงจะมีความสำคัญกับหลวงพ่อกวยท่านมากครับ
    บูชา 2550 บาท
    48293.jpg 48294.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2020
  6. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่939 กะลาแกะราหู หลังจาร ไม่ทราบที่
    ***กะลาราหูดีเด่นในเรื่องแก้ดวงตก ราหูนี้จะช่วยเสริมดวงให้ ผ่อนร้ายคลายเป็นเบา ในคราวเวลาที่ดวงตก***

    พลังฤทธิคุณเด่นๆ ของ พระราหูมีดังนี้
    1. เด่นเรื่องมหาอุดคงกระพันผู้ครอบครองจะไม่มีวันตายโหง....
    2คุ้มครองให้พ้นจากอัคคีภัย โจรภัย ฟ้าผ่า.....
    3. คุ้มครองให้พ้นจากอำนาจภูตผีปีศาจ มนต์ดำ คุณไสยทั้งปวง....
    4.เรียกทรัพย์สิน เงินทองให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี......
    5.ทำให้พืชพรรณที่ปลูกบริบูรณ์ให้ผลดี......
    6.เป็นเมตตามหานิยม..........
    7.ทำให้ผู้บูชามีสุขภาพแข็งแรงห่างจากโรคาพยาธิ..........
    8.ค้ำชูดวงชะตามิให้ตกต่ำแม้ยามพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็ตาม.....

    ส่วนคุณวิเศษของกะลาตาเดียวนั้น ในตำราแพทย์แผนโบราณสอนไว้ว่า
    หากใครเป็นต้อกระจกให้นำเอากะลาตาเดียวทำเป็นมีด
    แล้วกรีดลงที่ดวงตาตรงจุดที่เป็น ทำด้วยสมาธิจิตเชื่อมั่นในคุณพระรัตนไตร
    โรคร้ายที่ดวงตาจะไม่เป็นขึ้นอีกเลย....
    และหากนำเอากะลาตาเดียวมาทำเป็นจวักตักข้าวจะดีทั้งทางเมตตามหานิยม
    เรียกลูกค้ัาเข้าร้านได้ ทั้งยังเชื่อว่า หากนำมาทำเป็นที่ตวงข้าว
    ตวงเท่าไหร่ ข้าวไม่มีวันหมดยุ้งฉาง.......

    บูชา 300 บาท

    IMG_20181219_224933.jpg IMG_20181219_224919.jpg
     
  7. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่940 พระผงพระเจ้าทันใจ (พิมพ์ขุนแผนเล็ก) หลวงปู่ครูบาปั๋น วัดร้องขุ้ม จ.เชียงใหม่ ปี2554 พิธีสุดยอด มวลสารล้วนๆ พระคณาจารย์ดังปลุกเสก
    รายนามพระมหาเถระเกจิคณาจารย์ที่เมตตานั่งปรกอธิฐานจิต
    ในวันที่ 16 มิถุนายน 2554 มีดังต่อไปนี้

    -พระเดชพระคุณหลวงปู่พระธรรมมังคลาจารย์ (หลวงปู่ทอง) วัดพราตุศรีจอมทองวรวิหาร
    -พระเดชพระคุณหลวงปู่พระญาณวิสาลเถร (หลวงปู่หา)(หลวงปู่ไดโนเสาร์) วัดป่าสักวัน จ.กาฬสินธุ์
    -พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลสุทธิคุณ (หลวงปู่ฟู) วัดบางสมัคร จ. ฉะเชิงเทรา
    -หลวงปู่พระครูไพบูลย์สิกขการ (พ่อท่านหวาน) วัดสะบ้าย้อย จ.สงขลา
    -หลวงปู่พระครูประโชติธรรมวิจิตร (หลวงพ่อเพิ่ม) วัดป้อมแก้ว จ.พระนครศรีอยุธยา
    -หลวงปู่พระครูอนุศาสน์ กิจจาทร (พ่อท่านเขียว) วัดห้วยเงาะ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
    -หลวงปู่พระครูพิมลธรรมรัต (หลวงปู่ครูบาบุญตัน) วัดย่าพาย อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูประภากรพิสุทธิ์ (หลวงปู่ครูบาบุญปั๋น) วัดป่าแดด อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูโสภณสารคุณ (หลวงปู่ครูบามา) วัดศรีชัยนิมิต อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่
    -หลวงพ่อพระครูสิริสีลสังวร (ครูบาน้อย) วัดศรีดอนมูล อ.สารภี จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูมงคลรัตน์ (หลวงปู่ครูบาสิทธิ) วัดปางต้นเดื่อ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูวรปัญญาโสภิต (หลวงปู่ครูบาจำรัส) วัดดอยหน้อย อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่ครูบาดวงดี ยติโก วัดบ้านฟ่อน อ.หางดง จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูถาวรมงคลวัตร วัดยั้งเมิน อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่
    -พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชปริยัติโยดม (หลวงพ่อโอภาส) วัดจองคำ จ.ลำปาง
    -หลวงปู่พระครูมงคลบุญญาคม (หลวงปู่ครูบาบุญมา) วัดบ้านสามัคคีธรรม จ.ลำปาง
    -หลวงปู่ครูบาเลิศ จตฺตภาโล วัดทุ่งม่านใต้ จ,ลำปาง
    -หลวงตาวรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูพินิจสารธรรม (หลวงปู่ครูบาพรรณ) วัดพระบาทห้วยต้ม จ,ลำพูน
    -หลวงพ่อพระครูไพศาลพัฒนโกวิท (ครูบาเจ้าเทือง) วัดบ้านเด่น จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูบวรสุขบท (หลวงปู่ครูบาสุข) วัดป่าซางน้อย จ,ลำพูน
    -หลวงปู่ครูบาก๋องแก้ว กลยาโณ วัดป่าซางน้อย จ,ลำพูน
    -หลวงปู่ครูบาธรรมสร สิริจนฺโท วัดตึ๊ดใหม่ จ.น่าน
    -หลวงปู่พระครูสันติธรรมาภิรม (หลวงปู่ครูบาอ่อน) วัดสันต้นหวีด จ,พะเยา
    -หลวงปู่ครูบาครอง ขตฺติโย วัดท่ามะเกว๋น จ.ลำปาง
    -หลวงปู่ครูบาคำแบน ฉนฺทธมฺโม วัดวังจำปา จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่ครูบาคำปัน ญาณวโร วัดพระธาตุดอยม่อนเปี๊ยะ จ.เชียงใหม่
    -พระเดชพระคุณหลวงปู่พระราชเจติยาจารย์ (หลวงปู่ชูเกียรติ) วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่ครูบาอินทร์คำ วัดไชยสถาน จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูอุปถัมภ์ศาสนคุณ (ครูบาผดุง) วัดป่าแพ่ง จ.เชียงใหม่
    -หลวงพ่อพระครูปัญญาธรรมวัฒน์ (ครูบาอินทร) วัดสันยางหลวง จ,ลำพูน
    -หลวงปู่ครูบาสม สุทฺธจิตฺโต วัดป๋างน้ำฮ้าย จ.เชียงราย
    -พระครูบาเหนือชัย โฆสิโต สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทอง จ.เชียงราย
    -หลวงปู่ครูบาส่วยจิ่ง ถาวโร วัดท่าโป่งแดง จ.แม่ฮ่องสอน
    -ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต วัดแสงแก้วโพธิญาณ จ.เชียงราย
    -พระอาจารย์บุญรอด ทีฆายุโก วัดป่าเมืองปาย จ.แม่ฮ่องสอน
    -ครูบาสุบิน สุเมธโส วัดทองสะอาด จ.ปธุมธานี
    -หลวงปู่ครูบากวง โกสโล วัดป่านาบุญ จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่ชม ฐานคุตฺโต วัดป่าท่าสุด จ.ชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูธรรมาภิรม วัดน้ำบ่อหลวง จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูพนาตปาภิรักษ์ (หลวงปู่ครูบาคำมูล) วัดกู่คำ จ.เชียงใหม่
    -หลวงพ่อพระครูสุทธิญาณรังสี (ครูบาเมืองใจ๋) วัดรังสีสุทธาราม จ.เชียงใหม่
    -ครูบาญาณลังก๋า สิริญาโณ วัดดอยโพธิญาณ จ.เชียงใหม่
    -หลวงพ่อพระครุคัมภีรธรรม (ครูบาบุญเป็ง) วัดทุ่งปูน จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูพิพิธปุญญาภิรัต (หลวงปู่ครูบาตา) วัดศาลา จ,เชียงใหม่
    -หลวงพ่อพระครูพุทธบทเจติยารักษ์ (ครูบาพรชัย) วัดพระพุทธบาทสี่รอย จ.เชียงใหม่
    -พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระโสภณธรรมสาร วัดป่าดาราภิรมย์ จ.เชียงราย
    -หลวงพ่อพระครูโสภณธรรมานุวัตร (หลวงพ่อบุญมี) วัดใจ จ.เชียงใหม่
    -หลวงพ่อพระครูวิทิตพัฒนาภรณ์ (หลวงพ่อครูบามนตรี) วัดพระธาตุสุโทน จ.แพร่
    -หลวงปู่พระครูสุรัตนคุณ (หลวงพ่อสุแก้ว) วัดป่าเจดีย์เหลี่ยม จ.เชียงใหม่
    -พระอาจารย์พรสิทธิ์ ธมฺมธโร วัดสว่างอารมณ์ จ.เชียงใหม่
    -หลวงพ่อพระครูพิพิธธรรมประกาศ วัดจอมแจ้ง จ.เชียงใหม่
    -หลวงพ่อพระครูไพบูลย์พัฒนาภิรักษ์ (หลวงพ่อถวัลย์) วัดพระธาตุเจดีย์ จ.เชียงราย
    -หลวงปู่พระครูถาวรธรรมวัตร (หลวงปู่ครูบาบุญยืน) วัดสบล้อง จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูโพธิโสภณ (หลวงปู่ครูบาศรีวัย) วัดหนองเงือก จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูวรวัฒน์วิจิตร (หลวงปู่ครูบาลือ) วัดห้วยแก้ว จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูอรรถกิจจาทร (หลวงปู่ครูบาอุ่น) วัดโรงวัว จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พระครูประจักษ์ธรรมวิจารย์ (หลวงปู่ครูบาข่าย) วัดหมูเปิ้ง จ.ลำพูน
    -หลวงปู่พระครูสัทธาโสภณ (หลวงปู่ครูบาอ้าย) วัดเวฬุวัน จ.เชียงใหม่
    -หลวงพ่อพระครูประภัศร์ธรรมรังสี (ครูบาเจ้าจันทรังษี) วัดกู่เต้า จ.เชียงใหม่
    -หลวงปู่พ่อหวุนเจ้าต๋าแสง วัดทุ่งสะแล จ.แม่ฮ่องสอน
    -หลวงพ่อประเสริฐ ปุญฺญกาโม วัดพระพุทธบาทเวียงเหนือ จ.แม่ฮ่องสอน
    -หลวงพ่อพระครูวิสุทธิสีลสังวร (หลวงพ่อครูบาสาย) วัดร้องขุด จ.เชียงใหม่

    ปิดครับ
    IMG_25620522_193431.JPG IMG_25620522_193400.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2019
  8. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่941 พระสมเด็จอยู่-ศุข พิมพ์ใหญ่ ขนาด1.3*2'' กรุวัดดักคะนน หลังรูปเหมือนหลวงพ่ออยู่ เนื้อผงใบลาน
    พระชุดนี้สร้างโดยหลวงพ่ออยู่ แห่งวัดดักคะนน พระผู้มีบารมีธรรมสูงส่งอีกทั้งเป็นพระที่มีวาจาสิทธิ์องค์หนึ่ง นอกจากนี้ท่านยังเป็นสหายสนิทกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระอาจารย์ทั้งสององค์ชาวบ้านที่ชัยนาท และจังหวัดใกล้เคียงต่างให้ความเคารพนับถือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หลวงพ่อทั้งสองต่างเดินทางไปมาหาสู่เพื่อแลกเปลี่ยนวิชาซึ่งกันและกัน เป็นประจำจนเรียกว่ากินกันไม่ลง

    พระชุดนี้จึงไม่แปลกที่หลวงปู่ศุข จะมอบมวลสารชั้นยอดและมีส่วนร่วมในการจัดสร้าง รวมถึงการปลุกเศกด้วย พระสมเด็จที่สร้างมีทั้งหมด 5 พิมพ์คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ฐานแซม พิมพ์เจ็ดชั้นและเก้าชั้น เสร็จแล้วได้นำบรรุไว้ใต้ฐานพระประธานโบสถ์ จนกาลเวลาล่วงเลยมา พระได้แตกกรุออกมาเพราะพระประธานชำรุดเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ กรรมการวัดจึงมีมติที่จะรื้อและสร้างใหม่ จึงพบพระสมเด็จไหลทะลักออกมาจากใต้ฐานพระประธาน หลวงพ่อผลเจ้าอาวาสในขณะนั้นจึงนำมาให้ทำบุญและแจกจ่ายวัดต่าง ๆ ในละแวกนั้นเพื่อหาทุนสร้างโบสถ์ มีผู้ไม่ทราบข้อมูลเข้าใจผิดว่า เป็นพระสมเด็จของหลวงพ่อผล ภายหลังผู้ใช้ไปประสบอภินิหารหลายอย่าง จนชาวบ้านขนานนามว่า มีพระสมเด็จ "อยู่ - ศุข" จะอยู่รอด ปลอดภัยมีความสุข
    บูชา 850 บาท

    IMG_20180611_214815.jpg IMG_20180611_214802.jpg 6354185582887200002.jpg
     
  9. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่942 ขุนแผนพราย59ตน เนื้อดำหัวว่าน อ.เปล่ง บุญยืน
    ขุนแผนพราย59ตนเป็นรุ่นที่มีประสบการณ์สูงสุดสร้างปี2541ครับ ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าพุทธคุณแรงกว่าราคาเยอะ เป็นพระหลักพันแต่พุทธคุณหลักล้านครับเชิญพิสูจน์และสัมผัสได้ที่ดังและมีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะประสบการณ์จริงล้วนๆไม่ใช่การปั่นราคาหรือสร้างกระแสแต่อย่างใดถ้าใช้แล้วจะรู้ว่าดีจริงแรงจริงสัมผัสได้จริง
    คุณชินพรเป็นคนสร้างสายหลวงปู่ทิมหลายคนเล่นนิยมครับ ขุนแผนอาจารย์เปล่งผงพราย59ตนผสมว่านไพร108ชนิด อาจารย์เปล่งท่านสำเร็จวิชาพรายจากอาจารย์ภาครับ ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดวิชาชั้นสูงที่น้อยคนนักที่จะเรียน สำเร็จได้วิชาทางพรายของท่านทำเพื่อสงเคราะห์เพื่อน มนุษย์และเป็นการสร้างกุศลแก่พรายเองท่านเสกมี ตัวตนสัมผัสได้จริง พุทธคุณแรงมากมีคุณวิเศษคุมธาตุ คุมพลัง อาจารย์เปล่งกำกับไว้ดีจะมีฤทธิ์ทางภูติคุณ ช่วยเหลือผู้คนเพื่อสร้างบุญ มีแต่คุณไม่มีโทษ ขุนแผนของท่านดีเด่นทางด้านความมีชัยชนะเหนือ ศัตรูทั้งปวง เป็นตบะ เดชะ มหาอำนาจ นะจังงัง แคล้วคลาด ป้องกันภัย ป้องกันคุณไสยฝ่ายต่ำ สะกดเหตุเภทภัยอันตรายทั้งปวงอีกทั้งยังเป็นสุดยอด แห่งมหาเสน่ห์เมตตามหานิยม อุดมโชค โภคทรัพย์ กุศโลบายของท่านเพื่อให้คนและพรายร่วมกันสร้างบุญบูชาแล้วหมั่นทำบุญท่านจะพบแต่ความสุขความเจริญครับ
    ขุนแผนพราย 59 ตน ของอาจารย์ เปล่ง บุญยืน ที่ท่านทำออกมารุ่นแรกนั้น จะเป็นพระพิมพ์ขุนแผน มีกุมารนอน
    ขวางอยู่ด้านล่าง ด้านหลังมียันต์ และมีชื่อท่านอยู่ ส่วนเนื้อหามวลสารอาถรรพ์ของท่านนั้นจัดมากๆๆและแรงมากๆๆๆ
    กล่าวคือได้จัดสร้างขึ้นด้วยผงมวลสารอาถรรพ์วิเศษมากมายต่างๆ หลายชนิด หลายประเภท เช่น
    จัดสร้างขึ้นด้วยผงที่ได้มาจากเขียนยันต์ และลบยันต์ อันได้แก่

    -ผงมงคลมหาโสฬสมหาภูติ
    -ผงมนต์สะกดทัพ
    -ผงมนต์มหาจินดามณีเรียกทรัพย์

    ผงอันได้มาจากมวลสารอาถรรพ์ต่างๆ อันได้แก่

    -ผงพราย 59 ตน (เป็นผงพรายที่เกิดจากการรวบรวมเถ้ากระดูกพราย ตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร จำนวน 59 ตน
    จาก 7 ป่าช้า ซึ่งผงนี้ถือว่า เป็นผงมวลสารอาถรรพ์หลักของรุ่นนี้เลยก็ว่าได้ และเป็นผงพรายที่มีความศักดิ์สิทธิ์และ
    เข้มขลังมากที่สุด ในบรรดาผงพรายที่เคยมีมาในอดีตจนถึงปัจจุบัน)

    -ผงดินอาถรรพ์ 7 กลางป่าช้า
    -ผงดิน 7 ทุ่ง
    -ผงโป่ง 7 ป่า
    -ผงดิน 7 ท่าน้ำ (ที่มีผู้คนสัญจรไปมา โดยเอามาทั้งสองฝั่งจำนวน 7 แห่ง)
    -ผงดินจอมปลวก 7 รังร้าง
    -ผงไคลโบสถ์ ไคลเสมา 7 วัด
    -ผงไม้ทิ่มผีตายท้องกลม
    -ผงขี้เถ้ากองฟอนเผาผีตายท้องกลม
    -ผงตะเคียนฟ้า และ ผงตะเคียนทอง

    ผงอันได้มาจากมหาว่านทางด้านต่างๆ อันได้แก่

    -ผงว่านอาถรรพ์ 108 ชนิด
    -ผงว่านทางด้านคงกะพัน 108 ชนิด
    -ผงว่านทางด้านเมตตา 108 ชนิด
    -ผงว่านทางด้านกามคุณต่างๆ และ -ผงว่านทางด้านเรียกโชค เรียกลาภต่างๆ

    อีกอย่างละ 108 ชนิด เช่น ว่านมหาเศรษฐี
    ว่านเรียกทรัพย์ ว่านดูดทรัพย์ เป็นต้น

    ผงอันได้มาจากมหาว่านทางด้านเสน่ห์ต่างๆ อันได้แก่

    -ผงว่านดอกทอง 12 ชนิด
    -ผงว่านช้างผสมโขลง
    -ผงว่านจูงนาง
    -ผงว่านสาวหลง
    -ผงว่านราคะ
    -ผงว่านนางกามคุณ
    -ผงว่านนางแพศยา
    -ผงว่านร่านร้อยสวาท
    -ผงว่านสาวงามเมือง เป็นต้น

    และนำผงมวลสารอาถรรพ์วิเศษต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น มากดพิมพ์เป็นขุนแผนพราย 59 ตนขึ้น
    โดยมีน้ำมันแกแล (น้ำมันพรายอาถรรพ์ จัดสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ สูตรตำรับของ อาจารย์เปล่ง
    โดยเฉพาะ ไม่สามารถเปิดเผยได้) เป็นตัวประสาน
    ขุนแผนพราย 59 ตน รุ่นแรกนี้ สามารถแบ่งออกเป็น 4 สี ด้วยกัน ดังนี้ คือ

    1. สีน้ำตาล (นิยมมากที่สุด เรียกว่า รุ่นท็อป เนื่องจากแก่ผงว่านดอกทอง 12 ชนิด มีบูชาใช้แล้วจะไม่มีวันเหงาเลย)
    2. สีเหลือง
    3. สีขาว
    4. สีดำ
    จากการสอบถามอาจารย์ เปล่ง บุญยืน ท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า ขุนแผนพราย 59 ตน
    รุ่นแรกของท่านนั้น ท่านได้ตั้งใจจัดสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษและอย่างเข้มขลังโดยเฉพาะ ด้วยผงมวลสารอาถรรพ์วิเศษ
    ต่างๆ มากมาย หลายชนิด หลายประเภท และท่านได้เมตตาปลุกเสกเดี่ยว แบบอัดยัดประจุ อำนาจพลังจิต (ด้าน
    เสน่ห์) เข้าไปเป็นพิเศษเป็นการเฉพาะโดยท่านจะปลุกเสกขุนแผนพราย 59 ตน ครั้งละประมาณ 4 - 5 องค์ และ
    ทำการปลุกเสกอย่างนี้ติดต่อกันไปทุกวันๆ ซึ่งท่านจะปลุกเสก ในเวลาหลังเที่ยงคืนจนถึงเช้า และในขณะที่ท่านได้
    ปลุกเสกท่านได้เชิญทั้งมหาเทพ และครูบาอาจารย์ของท่านมาร่วมเข้าปลุกเสกเสมอ และเวลาปลุกเสกจะมีวิญญาณ
    พราย 59 ตน มาวนเวียน โดยมาเป็นเสียง แบบคนเดินวนไปวนมาอยู่รอบห้องพิธีเป็นจำนวนมากเป็นประจำ บางครั้ง
    ก็มาให้เห็นเป็นตัวเป็นตน หรือ อาจมาเป็นในรูปแบบของกลิ่นบ้าง เป็นกลุ่มควันบ้าง โดยท่านได้ปลุกเสกขุนแผน
    พราย 59 ตน นานประมาณ 7 ถึง 8 เดือน เพื่ออัดยัดประจุอำนาจพลังจิต (ด้านเสน่ห์) และเป็นการบรรจุคุณ บรรจุ
    ฤทธิ์ เข้าไปในขุนแผนพราย 59 ตนอย่างเต็มที่ และอย่างหาสุดจะประมาณมิได้
    เรียกว่าแบบเต็มอัตราศึกเลยก็ว่าได้ครับ

    บูชา 2900 บาท
    IMG_20180611_214331.jpg IMG_20180611_214319.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2020
  10. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    ***ท้าวเวสสุวรรณ หลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน ออกงานไหว้ครู ปี 32 วัดเลียบ***
    ประวัติท้าวเวสสุวรรณ ท้าวกุเวร
    *******************************************
    ท้าวกุเวร มีอีกพระนามหนึ่งที่รู้จักกันดีคือ ท้าวเวสสุวรรณ

    เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมากประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือ มียักษ์เป็นบริวาร คนไทยโบราณ นิยมนำผ้ายันต์รูป ยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็กเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควาญแก่ เด็ก ท้าวกุเวร องค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก ไมให้ยักษ์หรือบริวารอื่นๆของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาญ

    ท้าวกุเวร หรือ ท่านท้าวเวสสุวรรณ นั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือ คทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่า มหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ย อีกด้วย กล่าวกันว่า ผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือ มีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัย จากวิญญาณร้าย ที่จะเข้ามา เบียดเบียน ในภายหลัง ภาพลักษณ์ของท้าวกุเวร ที่ปรากฏในรูปของชายพุงพลุ้ย เป็นที่เคารพนับถือ ในความเชื่อว่า เป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งมาในรูปของยักษ์ เป็นที่เคารพ นับถือว่า เป็นเครื่องราง ของขลัง ป้องกัน ภูติผีปีศาจ

    กล่าวถึง ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้น บางทีก็เรียกว่า ท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬ เรียก กุเวร ว่า กุเปรัน ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่า เป็นพี่ต่างมารดาของ ทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบก ของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการ ผิวขาว มีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสสุวรรณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวร ชื่อ อลกาอยู่ บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่ง ของเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า สวนไจตรต หรือ มนทร มีพวกกินนร และคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาล ประจำทิศเหนือ จีน เรียกว่า โต้เหวน หรือ โต้บุ๋น ญี่ปุ่น เรียก พสมอน

    ท้าว กุเวรนี้ สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ ชื่อ ธรณี กว้าง 50 โยชน์ ในน้ำ ดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วย หมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑป ชื่อ ภคลวดี กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้ เป็นสโมสรสถาน ของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์ เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง 2 คาวุต ประมาณ 200 เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้ว ประพาฬ หอกทอง

    ลัทธิความเชื่อของพราหมณ์กล่าวถึงประวัติของท้าวเวสสุวรรณไว้ว่า ทรง เป็นโอรสของ พระวิศรวิสุมนี กับ นางอิทาวิทา แต่ในมหาภารตะว่า เป็นโอรสของพระปุลัสต์ ซึ่งเป็นบิดาของ พระวิศรวัส กล่าวว่า ด้วยเหตุที่ท้าวกุเวร ใฝ่ใจกับท้าวมหาพรหม เป็นเหตุทำให้บิดาโกรธ จึงแบ่งภาคเป็น พระวิศวรัส หรือ มีนามหนึ่งว่า เปาลัสตยัม ซึ่งรามเกียรติ์ไทยเรียกว่า ลัสเตียน ท้าว ลัสเตียน หรือ พระวิศวรัสซึ่งเป็นภาคหนึ่งของ พระวิศรวิสุมนี นั้น ได้นางนิกษา บุตรีท้าวสุมาลีรักษา เป็นชายา มีโอรสด้วยกันคือ ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ พิเภก และ นางสำมะนักขา ดังนั้น ท้าวกุเวร จึงเป็นพี่ชายต่างมารดา และร่วมบิดาเดียวกับทศกัณฐ์ เหตุที่ท้าวกุเวรผิดใจกับผู้เป็นพ่อ เพราะไปฝักใฝ่กับท่านท้าวมหาพรหม ซึ่งเป็นเทวดา ทำให้ผู้เป็นพ่อ คือ พระวิศรวิสุมนีโกรธ เพราะถือทิฐิว่า ตนเป็นยักษ์ ที่เป็นเทวดาต่ำศักดิ์กว่า ไม่ควรไปยุ่งกับเทวดา ที่บนสวรรค์ชั้นสูงกว่า เห็นคนอื่นดีกว่าพ่อของตน ก็เลยแบ่งภาคออกไปมีเมียใหม่ ลูกใหม่ ซะเลย ที่ท้าวกุเวร มีใจฝักใฝ่กับท่านท้าวมหาพรหมนั้น เป็นเพราะท้าวกุเวรนั้น ต้องการบำเพ็ญตบะบารมี หรือ สร้างสมความดี ด้วยการเข้าฌาน และบำเพ็ญทุกรกิริยา นานนับพันปี จนท่านท้าวมหาพรหมโปรดปราน ประทานบุษบกให้ อันบุษบกนี้ หากใครได้ขึ้นไปแล้ว สามารถล่องลอยไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ เดิมที นั้น ท้าวกุเวรครองกรุงลงกา ซึ่งมีพระวิศกรรม เป็นผู้สร้างให้ แต่นางนิกษา ได้ยุยงให้ทศกัณฐ์ ชิงกรุงลงกา มาจากท้าวกุเวร ทั้งยังชิงเอาบุษบกอันพระพรหมได้ประทานแก่ท้าวกุเวรมาด้วย ดังที่ได้บอกเอาไว้แล้วว่า บุษบกนี้ สามารถลอยไปไหนมาไหนได้ดังใจนึก แต่มีข้อห้ามมิให้หญิงที่ถูกสมพาส (แปลว่า การอยู่ร่วม การร่วมประเวณี) จากชาย 3 คน นั่ง ซึ่งต่อมานางมณโฑ ได้นั่งบุษบก จึงไม่สามารถ ที่จะลอยไปไหนมาไหน ได้อีกเลย สำหรับ นางมณโฑ ที่แต่เดิมเป็นนางฟ้า ที่พระอิศวรประทานให้กับทศกัณฐ์ ต้องกลายมาเป็นหญิงสามผัว ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อทศกัณฐ์ได้รับตัวนางมณโฑจากพระอิศวรมาแล้ว ก็อุ้มพานางเหาะกลับมายังกรุงลงกา ขณะที่เหาะข้าม มาระหว่างทาง ได้เหาะข้ามเมืองขีดขิน ซึ่งมี “พาลี” เป็นเจ้าเมือง พาลีโกรธ ที่ทศกัณฐ์บังอาจ อุ้มหญิงสาว เหาะข้ามหัว โดยไม่เกรงใจ จึงเหาะขึ้นไปรบกับทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์สู้ไม่ได้ เพราะพาลีได้รับพร จากพระอิศวรว่า หากรบด้วยผู้ใด ศัตรูผู้นั้นจะมีกำลังลดลงครึ่งหนึ่ง หรือมีความสามารถลดน้อยกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง เมื่อทศกัณฐ์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงถูกพาลีแย่งชิงเอานางมณโฑไปเป็นมเหสี ต่อมา เมื่อพาลีคืนนางมณโฑ ให้กับทศกัณฐ์แล้ว เมื่อตอนที่หุงน้ำทิพย์ “หนุมาน” ได้เข้าไปทำลายพิธี โดยปลอมตัวเป็นทศกัณฐ์ แล้วร่วมสังวาส กับนางมณโฑ นางมณโฑ จึงเป็นหญิงที่ผ่านการสมพาสชายมาถึง 3 คน คือ พาลี ทศกัณฐ์ และ หนุมาน เมื่อทศกัณฐ์ ให้นางมณโฑ ขึ้นนั่งบุษบกนี้ทีหลัง บุษบกก็เกิดการขัดข้องทางเทคนิค ไม่ลอยไปไหนมาไหน ตามต้องการ เหมือนเก่าครั้น เมื่อท้าวกุเวรต้องเสียกรุงลงกาไปแล้ว ท้าวมหาพรหมท่านก็สร้างนครให้ใหม่ ชื่อ “อลกา” หรือ “ประภา” อันตั้งอยู่ที่เขาหิมาลัย มีสวนชื่อ “เจตรรถ” อยู่บนเขามันทรคีรี อันเป็นกิ่งแห่งเขาพระสุเมรุ บ้างก็ว่า ท้าวกุเวร อยู่ที่เขาไกรลาส ซึ่งพระวิษณุกรรมเป็นผู้สร้างให้

    ความเชื่อตามพระพุทธศาสนาใน พระสูตรที่ชื่อว่า “อาฏานาฏิยะ” กล่าวว่า ท้าวกุเวร ตั้งเมืองอยู่ในอากาศ ข้างทิศที่อุตรกุรุทวีป (เหนือ) และ เขาพระสุเมรุ ยอดสุทัศน์ (ที่เป็นผาทอง) ตั้งอยู่ มีราชธานี 2 ชื่อ คือ อาลกมันทา และ วิสาณา มีนครอีก 8 นคร ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ยังมีชื่ออีกหลายชื่อ เช่น ธนบดี หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ ธเนศวร หมายถึง ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ อิจฉาวสุ หมายถึง มั่งมีได้ตามใจ ยักษ์ราชหมายถึง เจ้าแห่งยักษ์ มยุราช หมายถึง เป็นเจ้าแห่ง กินนร รากษเสนทร์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในพวกรากษส ส่วนในเรื่องรามเกียรติ์ เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ท้าวกุเรปัน ในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงอดีตชาติของท้าวกุเวร เอาไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม 3 ภาค 2 - หน้าที่ 151 ว่า ในสมัยที่โลกยังว่าง จากพระพุทธศาสนา ไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัตินั้น มีพราหมณ์ ผู้หนึ่ง นามว่า กุเวร เป็นคนใจดีมีเมตตากรุณา ประกอบสัมมาชีพ ด้วยการทำไร่อ้อย นำต้นอ้อย ตัดใส่ลงไปในหีบยนต์ แล้วบีบน้ำอ้อยขายเลี้ยงชีวิตตน และบุตรภรรยา ต่อมากิจการ เจริญขึ้น จนเป็นเจ้าของ หีบยนต์สำหรับบีบน้ำอ้อยถึง 7 เครื่อง จึงสร้างที่พักสำหรับ คนเดินทาง และบริจาคน้ำอ้อย จากหีบยนต์เครื่องหนึ่ง ซึ่งมีปริมาณน้ำอ้อยมากกว่าหีบยนต์เครื่องอื่น ๆ ให้เป็นทาน แก่คนเดินผ่านไปมา จนตลอดอายุขัย ด้วยอำนาจ แห่งบุญกุศลที่บริจาคน้ำอ้อยให้เป็นทานนั้น ทำให้กุเวรได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตร บนสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา มีนามว่า"กุเวรเทพบุตร" ต่อมากุเวรเทพบุตร ได้เทวาภิเษกเป็นผู้ปกครองดูแล พระนครด้านทิศเหนือ จึงได้มีพระนามว่า "ท้าวเวสสุวรรณ" ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ยืนยันว่า "ท้าวกุเวร" หรือ "ท้าวเวสสุวรรณ" เทวราชพระองค์นี้ ได้สำเร็จเป็น พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเมื่อครั้ง "จุลสุภัททะ ปริพาชก" เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์สมเด็จ พระพุทธเจ้า ท่าน "ท้าวเวสสุวรรณ" องค์นี้แหละ ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และ ยังเป็นประจักษ์พยาน เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมาน ของพระอินทร์จนเกิดการ สั่นสะเทือนไป ทั้งดาวดึงส์ เทวโลก อันเป็นการเตือนสติสักกะเทวราชอีกด้วย และก็เชื่อกันตาม ฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 - หน้าที่ 435 ว่า "คทาวุธ" ของ "ท้าวเวสสุวรรณ" นั้น เป็นยอดศัสตราวุธ มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็น จุณวิจุณภายในพริบตา จะเห็นได้ว่า ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ท่านเป็นเทพที่สำคัญยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง ที่พิทักษ์รักษา พระพุทธศาสนา ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ท่านท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์เลยทีเดียว ตามวัดวาอารามต่าง ๆ จะมีรูปปั้นยักษ์ 1 ตน บ้าง 2 ตนบ้าง ยืนถือกระบองค้ำพื้น ส่วนมากจะมี 2 ตน เฝ้าอยู่หน้า ประตูโบสถ์ หรือ วิหารที่เก็บของมีค่า มีพระพุทธรูป และโบราณสมบัติล้ำค่าของทางวัดบรรจุอยู่ ด้านละ 1 ตน หรือไม่ก็บริเวณลานวัด หรือที่ที่มีคนผ่านไปมาแล้วเห็นโดยง่าย บ้างก็สร้างเอาไว้ในวิหาร หรือ ศาลาโดยเฉพาะก็มี ซึ่งยักษ์เหล่านั้น ถ้าเป็น ตนเดียว ก็จะหมายถึง รูปเคารพของท้าวเวสสุวรรณ แต่ถ้าเป็น 2 ตนก็จะเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณ คอยทำหน้าที่ ปกปักรักษา ดูแลบริเวณวัด

    ท้าวกุเวร หรือ ท่านท้าวเวสสุวรรณ นั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือ คทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่า มหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ย อีกด้วย กล่าวกันว่า ผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือ มีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัย จากวิญญาณร้าย ที่จะเข้ามา เบียดเบียน ในภายหลัง ภาพลักษณ์ของท้าวกุเวร ที่ปรากฎในรูปของชายพุงพลุ้ย เป็นที่เคารพนับถือ ในความเชื่อว่า เป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งมาในรูปของยักษ์ เป็นที่เคารพ นับถือว่า เป็นเครื่องราง ของขลัง ป้องกัน ภูติผีปีศาจ“สารานุกรมไทย” ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439

    กล่าวถึง ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้น บางทีก็เรียกว่า ท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬ เรียก กุเวร ว่า กุเปรัน ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่า เป็นพี่ต่างมารดาของ ทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบก ของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการ ผิวขาว มีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสสุวรรณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวร ชื่อ อลกาอยู่ บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่ง ของเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า สวนไจตรต หรือ มนทร มีพวกกินนร และคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาล ประจำทิศเหนือ จีน เรียกว่า โต้เหวน หรือ โต้บุ๋น ญี่ปุ่น เรียก พสมอน

    ท้าวกุเวรนี้ สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ ชื่อ ธรณี กว้าง 50 โยชน์ ในน้ำ ดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วย หมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑป ชื่อ ภคลวดี กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้ เป็นสโมสรสถาน ของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์ เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน

    นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง 2 คาวุต ประมาณ 200 เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้ว ประพาฬ หอกทอง

    ลัทธิความเชื่อของพราหมณ์กล่าวถึงประวัติของท้าวเวสสุวรรณไว้ว่า ทรง เป็นโอรสของ พระวิศรวิสุมนี กับ นางอิทาวิทา แต่ในมหาภารตะว่า เป็นโอรสของพระปุลัสต์ ซึ่งเป็นบิดาของ พระวิศรวัส กล่าวว่า ด้วยเหตุที่ท้าวกุเวร ใฝ่ใจกับท้าวมหาพรหม เป็นเหตุทำให้บิดาโกรธ จึงแบ่งภาคเป็น พระวิศวรัส หรือ มีนามหนึ่งว่า เปาลัสตยัม ซึ่งรามเกียรติ์ไทยเรียกว่า ลัสเตียน

    ท้าวลัสเตียน หรือ พระวิศวรัสซึ่งเป็นภาคหนึ่งของ พระวิศรวิสุมนี นั้น ได้นางนิกษา บุตรีท้าวสุมาลีรักษา เป็นชายา มีโอรสด้วยกันคือ ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ พิเภก และ นางสำมะนักขา ดังนั้น ท้าวกุเวร จึงเป็นพี่ชายต่างมารดา และร่วมบิดาเดียวกับทศกัณฐ์ เหตุที่ท้าวกุเวรผิดใจกับผู้เป็นพ่อ เพราะไปฝักใฝ่กับท่านท้าวมหาพรหม ซึ่งเป็นเทวดา ทำให้ผู้เป็นพ่อ คือ พระวิศรวิสุมนีโกรธ เพราะถือทิฐิว่า ตนเป็นยักษ์ ที่เป็นเทวดาต่ำศักดิ์กว่า ไม่ควรไปยุ่งกับเทวดา ที่บนสวรรค์ชั้นสูงกว่า เห็นคนอื่นดีกว่าพ่อของตน ก็เลยแบ่งภาคออกไปมีเมียใหม่ ลูกใหม่ ซะเลย ที่ท้าวกุเวร มีใจฝักใฝ่กับท่านท้าวมหาพรหมนั้น เป็นเพราะท้าวกุเวรนั้น ต้องการบำเพ็ญตบะบารมี หรือ สร้างสมความดี ด้วยการเข้าฌาน และบำเพ็ญทุกรกิริยา นานนับพันปี จนท่านท้าวมหาพรหมโปรดปราน ประทานบุษบกให้ อันบุษบกนี้ หากใครได้ขึ้นไปแล้ว สามารถล่องลอยไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ

    เดิมทีนั้น ท้าวกุเวรครองกรุงลงกา ซึ่งมีพระวิศกรรม เป็นผู้สร้างให้ แต่นางนิกษา ได้ยุยงให้ทศกัณฐ์ ชิงกรุงลงกา มาจากท้าวกุเวร ทั้งยังชิงเอาบุษบกอันพระพรหมได้ประทานแก่ท้าวกุเวรมาด้วย ดังที่ได้บอกเอาไว้แล้วว่า บุษบกนี้ สามารถลอยไปไหนมาไหนได้ดังใจนึก แต่มีข้อห้ามมิให้หญิงที่ถูกสมพาส (แปลว่า การอยู่ร่วม การร่วมประเวณี) จากชาย 3 คน นั่ง ซึ่งต่อมานางมณโฑ ได้นั่งบุษบก จึงไม่สามารถ ที่จะลอยไปไหนมาไหน ได้อีกเลย สำหรับ นางมณโฑ ที่แต่เดิมเป็นนางฟ้า ที่พระอิศวรประทานให้กับทศกัณฐ์ ต้องกลายมาเป็นหญิงสามผัว ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อทศกัณฐ์ได้รับตัวนางมณโฑจากพระอิศวรมาแล้ว ก็อุ้มพานางเหาะกลับมายังกรุงลงกา ขณะที่เหาะข้าม มาระหว่างทาง ได้เหาะข้ามเมืองขีดขิน ซึ่งมี “พาลี” เป็นเจ้าเมือง พาลีโกรธ ที่ทศกัณฐ์บังอาจ อุ้มหญิงสาว เหาะข้ามหัว โดยไม่เกรงใจ จึงเหาะขึ้นไปรบกับทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์สู้ไม่ได้ เพราะพาลีได้รับพร จากพระอิศวรว่า หากรบด้วยผู้ใด ศัตรูผู้นั้นจะมีกำลังลดลงครึ่งหนึ่ง หรือมีความสามารถลดน้อยกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง เมื่อทศกัณฐ์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงถูกพาลีแย่งชิงเอานางมณโฑไปเป็นมเหสี ต่อมา เมื่อพาลีคืนนางมณโฑ ให้กับทศกัณฐ์แล้ว เมื่อตอนที่หุงน้ำทิพย์ “หนุมาน” ได้เข้าไปทำลายพิธี โดยปลอมตัวเป็นทศกัณฐ์ แล้วร่วมสังวาส กับนางมณโฑ นางมณโฑ จึงเป็นหญิงที่ผ่านการสมพาสชายมาถึง 3 คน คือ พาลี ทศกัณฐ์ และ หนุมาน เมื่อทศกัณฐ์ ให้นางมณโฑ ขึ้นนั่งบุษบกนี้ทีหลัง บุษบกก็เกิดการขัดข้องทางเทคนิค ไม่ลอยไปไหนมาไหน ตามต้องการ เหมือนเก่า

    ครั้นเมื่อท้าวกุเวรต้องเสียกรุงลงกาไปแล้ว ท้าวมหาพรหมท่านก็สร้างนครให้ใหม่ ชื่อ “อลกา” หรือ “ประภา” อันตั้งอยู่ที่เขาหิมาลัย มีสวนชื่อ “เจตรรถ” อยู่บนเขามันทรคีรี อันเป็นกิ่งแห่งเขาพระสุเมรุ บ้างก็ว่า ท้าวกุเวร อยู่ที่เขาไกรลาส ซึ่งพระวิษณุกรรมเป็นผู้สร้างให้

    ความเชื่อตามพระพุทธศาสนาในพระสูตรที่ชื่อว่า “อาฏานาฏิยะ” กล่าวว่า ท้าวกุเวร ตั้งเมืองอยู่ในอากาศ ข้างทิศที่อุตรกุรุทวีป (เหนือ) และ เขาพระสุเมรุ ยอดสุทัศน์ (ที่เป็นผาทอง) ตั้งอยู่ มีราชธานี 2 ชื่อ คือ อาลกมันทา และ วิสาณา มีนครอีก 8 นคร

    ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ยังมีชื่ออีกหลายชื่อ เช่น ธนบดี หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ ธเนศวร หมายถึง ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ อิจฉาวสุ หมายถึง มั่งมีได้ตามใจ ยักษ์ราชหมายถึง เจ้าแห่งยักษ์ มยุราช หมายถึง เป็นเจ้าแห่ง กินนร รากษเสนทร์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในพวกรากษส ส่วนในเรื่องรามเกียรติ์ เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ท้าวกุเรปัน

    ในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงอดีตชาติของท้าวกุเวร เอาไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม 3 ภาค 2 - หน้าที่ 151 ว่า ในสมัยที่โลกยังว่าง จากพระพุทธศาสนา ไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัตินั้น มีพราหมณ์ ผู้หนึ่ง นามว่า กุเวร เป็นคนใจดีมีเมตตากรุณา ประกอบสัมมาชีพ ด้วยการทำไร่อ้อย นำต้นอ้อย ตัดใส่ลงไปในหีบยนต์ แล้วบีบน้ำอ้อยขายเลี้ยงชีวิตตน และบุตรภรรยา ต่อมากิจการ เจริญขึ้น จนเป็นเจ้าของ หีบยนต์สำหรับบีบน้ำอ้อยถึง 7 เครื่อง จึงสร้างที่พักสำหรับ คนเดินทาง และบริจาคน้ำอ้อย จากหีบยนต์เครื่องหนึ่ง ซึ่งมีปริมาณน้ำอ้อยมากกว่าหีบยนต์เครื่องอื่น ๆ ให้เป็นทาน แก่คนเดินผ่านไปมา จนตลอดอายุขัย ด้วยอำนาจ แห่งบุญกุศลที่บริจาคน้ำอ้อยให้เป็นทานนั้น ทำให้กุเวรได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตร บนสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา มีนามว่า"กุเวรเทพบุตร" ต่อมากุเวรเทพบุตร ได้เทวาภิเษกเป็นผู้ปกครองดูแล พระนครด้านทิศเหนือ จึงได้มีพระนามว่า "ท้าวเวสสุวรรณ"

    ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ยืนยันว่า "ท้าวกุเวร" หรือ "ท้าวเวสสุวรรณ" เทวราชพระองค์นี้ ได้สำเร็จเป็น พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเมื่อครั้ง "จุลสุภัททะ ปริพาชก" เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์สมเด็จ พระพุทธเจ้า ท่าน "ท้าวเวสสุวรรณ" องค์นี้แหละ ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และ ยังเป็นประจักษ์พยาน เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมาน ของพระอินทร์จนเกิดการ สั่นสะเทือนไป ทั้งดาวดึงส์ เทวโลก อันเป็นการเตือนสติสักกะเทวราชอีกด้วย และก็เชื่อกันตาม ฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 - หน้าที่ 435 ว่า "คทาวุธ" ของ "ท้าวเวสสุวรรณ" นั้น เป็นยอดศัสตราวุธ มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็น จุณวิจุณภายในพริบตา จะเห็นได้ว่า ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ท่านเป็นเทพที่สำคัญยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง ที่พิทักษ์รักษา พระพุทธศาสนา ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ท่านท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์เลยทีเดียว ตามวัดวาอารามต่าง ๆ จะมีรูปปั้นยักษ์ 1 ตน บ้าง 2 ตนบ้าง ยืนถือกระบองค้ำพื้น ส่วนมากจะมี 2 ตน เฝ้าอยู่หน้า ประตูโบสถ์ หรือ วิหารที่เก็บของมีค่า มีพระพุทธรูป และโบราณสมบัติล้ำค่าของทางวัดบรรจุอยู่ ด้านละ 1 ตน หรือไม่ก็บริเวณลานวัด หรือที่ที่มีคนผ่านไปมาแล้วเห็นโดยง่าย บ้างก็สร้างเอาไว้ในวิหาร หรือ ศาลาโดยเฉพาะก็มี ซึ่งยักษ์เหล่านั้น ถ้าเป็น ตนเดียว ก็จะหมายถึง รูปเคารพของท้าวเวสสุวรรณ แต่ถ้าเป็น 2 ตนก็จะเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณ คอยทำหน้าที่ ปกปักรักษา ดูแลบริเวณวัด

    พระสูตร อาฏานาฏิยสูตร นะ คือ คาถาภาณยักษ์ใหญ่ที่พระเขาสวดกันเวลามีงานใหญ่ ๆ นอกจากนี้ยังเชื่ออีกว่า ใครได้บูชาคาถาอาฏานาฏิยสูตรแล้วบุคคลผู้นั้นจะบังเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ทั้งตนเองและบุคคลรอบข้างอีกด้วย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดคนรักแคนนิยมอีกต่างหาก เพราะคาถานี้นอกจากจะบังเกดความดีแก่ตนแล้วยังถือว่า เป็นการสะสมความดีให้ถึงพร้อมอีก เราอาจเคยเห็นได้ยินความเชื่อเรื่อง "ท้าวเวสสุวรรณ" ว่ามีอิทธิฤทธิ์ในการขับไล่ภูตผีปีศาจทั้งหลาย หรืออาจเคยเห็นคุณย่าคุณยายนำรูป "ท้าวเวสสุวรรณ" มาแขวนไว้เหนือเปลเด็กอ่อน แถมบ้างก็ว่า ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพแห่งความร่ำรวย จนอดสงสัยไม่ได้ว่า จริง ๆ แล้ว "ท้าวเวสสุวรรณ" คือใคร วันนี้กระปุกจะพาเพื่อน ๆ ไปหาคำตอบกัน

    ท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัน) หรือในภาษาพราหมณ์เรียกว่า "ท้าวกุเวร" ถ้าในพระพุทธศาสนาจะเรียก "ท้าวไพสพ" เป็นอธิบดีแห่งอสูร หรือเจ้าแห่งภูตผีปีศาจทั้งหลาย โดย ท้าวเวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ประทับทางทิศเหนือมีอสูร รากษส และภูตผีปีศาจเป็นบริวาร ว่ากันว่าอาณาเขตที่ ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองนั้นใหญ่มหาศาลมาก และ ท้าวเวสสุวรรณ ยังเป็นหัวหน้าของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 อันประกอบไปด้วย "พระอินทร์" (ท้าวธตรฐ) ปกครองโลกด้านทิศตะวันออก , "พระยม" (ท้าววิรุฬหก) ปกครองโลกด้านทิศใต้ และ "พระวรุณ" (ท้าววิรูปักษ์) ปกครองโลกด้านทิศตะวันตกและเพราะ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเจ้าแห่งอสูร คนโบราณจึงมักทำรูป ท้าวเวสสุวรรณ แขวนไว้เหนือเปลเด็กอ่อน เพราะเชื่อว่าจะช่วยป้องกันภูตผีปีศาจไม่ให้มารบกวนเด็กเล็กได้ และนิยมทำผ้ายันต์รูป ท้าวเวสสุวรรณ รวมทั้งจำหลักรูป ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ที่มีดหมอของสัปเหร่อ เพื่อกำราบวิญญาณ และยังมีผู้พกพารูป ท้าวเวสสุวรรณ หรือทำเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัยจากวิญญาณอีกด้วย ทั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้วเรามักเห็นภาพ ท้าวเวสสุวรรณ ในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือไม้เท้าขนาดใหญ่อยู่ระหว่างขา เหมือนมีขาสามขา เนื่องจากท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการ จึงเป็นเหตุให้พระพรหมตั้งชื่อให้ว่า "ท้าวกุเวร" แต่ในวรรณคดีหลายฉบับ รวมทั้งตำราโบราณ ได้กล่าวตรงกันว่า อันที่จริงแล้ว ท้าวเวสสุวรรณ เป็นยักษ์ที่มีผิวกายและพัสตราภรณ์สีเหลืองทอง จิตใจดีงาม และอุทิศตนถวายพิทักษ์รักษาพุทธสถาน และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น หากใครที่เดินทางไปยังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ที่จังหวัดพิษณุโลก ก็อาจจะได้พบรูปหล่อปิดทองด้านซ้ายของฐานองค์พระพุทธชินราช ทำเป็นรูป ท้าวเวสสุวรรณ เพื่อปกปักคุ้มครองพระพุทธศาสนา ไม่ให้หมู่มารมารังควาน รวมทั้งปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน ดังนั้น เราอาจจะเคยเห็นว่า วัดวาอารามต่าง ๆ หรือด้านหน้าถ้ำ จะมีรูปปั้้นยักษ์ 1 หรือ 2 ตน ยืนถือกระบองค้ำพื้นเฝ้าหน้าประตูโบสถ์ หรือวิหารที่เก็บของมีค่า โบราณวัตถุของทางวัดอยู่ ซึ่งหากยักษ์ที่ยืนปกปักรักษาอยู่มีตนเดียว นั่นก็คือ ท้าวเวสสุวรรณ นั่นเอง แต่ถ้าหากมี 2 ตน ก็คือบริวารของ ท้าวเวสสุวรรณ ที่จะมาคอยปกปักรักษาบริเวณวัดและนอกจาก ท้าวเวสสุวรรณ จะมีหน้าที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนาแล้ว ท้าวเวสสุวรรณ ยังมีหน้าที่จดความดีของคนทางทิศเหนือไปจารึก และประกาศให้เทพยดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้รับรู้อีกด้วย

    ตำนานความเชื่อของ ท้าวเวสสุวรรณตามตำนานทางพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่า ในอดีตชาติ ท้าวเวสสุวรรณ เคยเป็นพราหมณ์ เปิดโรงงานค้าขายหีบอ้อยจนร่ำรวย ด้วยความใจบุญจึงได้นำเงินทองไปบริจาคให้ผู้ยากไร้ และด้วยกุศลผลบุญที่ ท้าวเวสสุวรรณ บำเพ็ญมานับหลายพันปี พระพรหม และ พระอิศวร จึงให้พรแก่ ท้าวเวสสุวรรณ ให้เป็นอมตะ และเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั่วปฐพี เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ดังนั้นผู้คนจึงนิยมจำหลักรูป ท้าวเวสสุวรรณ ไว้เคารพบูชาเพื่อความมั่งคั่งอีกหนึ่งประการ ตรงตามความหมายของชื่อ "ท้าวเวสสุวรรณ" คือ คำว่า "เวส" แปลว่า พ่อค้า จึงหมายถึงพ่อค้าอันมีทรัพย์ ได้แก่ ทองคำ นอกจากนี้อีกหนึ่งตำนานในพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่า ในชาติหนึ่ง ท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งเดิมชื่อ กุเวรพราหมณ์ ได้ทำบุญกุศลมาก จนชาติต่อมา ได้เป็นกษัตริย์ครองกรุงราชคฤห์ พระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร และทรงเป็นพระสหายกับเจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จมาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร จนบรรลุเป็นโสดาบัน และได้ถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร ให้พระพุทธเจ้าได้เข้าประทับ จึงเป็นอานิสงส์ให้ได้วิมานอันสวยงาม และการที่พระเจ้าพิมพิสารถวายทานบ่อย ๆ จึงเป็นปัจจัยให้มีทิพยสมบัติมากมาย เมื่อได้เป็นเทวดาก็ทรงมีอำนาจมาก ขณะที่ตามตำนานของพรามหณ์ เชื่อกันว่า ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร หรือ กุเปรัน เป็นพี่ชายต่างมารดาของทศกัณฐ์ แต่ไปนับถือท้าวมหาพรหมผู้เป็นเทวดา เพราะปรารถนาจะบำเพ็ญบารมี ทำให้ผิดใจกับพ่อซึ่งอยู่ในตระกูลยักษ์ โดยท้าวมหาพรหมทรงโปรดปรานท้าวกุเวร จึงประทานบุษบกให้ เพื่อให้ล่องลอยไปไหนมาได้ตามใจปรารถนา ก่อนที่ทศกัณฐ์จะไปแย่งบุษบกของท้าวกุเวรที่พระมหาพรหมประทานให้ไป และยึดกรุงลงกาที่ท้าวกุเวรปกครองอยู่มาได้สำเร็จ ท้าวมหาพรหมจึงสร้างนคร "อลกา" ให้ท้าวกุเวรใหม่

    คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณในคัมภีร์โบราณ กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร ตามคาถาบูชาต่อไปนี้

    คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร (บูชาประจำวัน)ตั้ง นะโม 3 จบอิติปิโสภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณมรณังสุขัง อะหังสุคะโต นะโมพุทธายะท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชิกา ยักขะพันตา ภัทภูริโตเวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโมพุทธายะ

    IMG_25620515_214341.JPG IMG_25620515_214315.JPG
     
  11. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่943 นางกวักเนื้อผงน้ำมัน พิมพ์เล็ก ขนาด 1.3*1.8 ซ.ม. หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม จ.ชัยนาท ปี 15
    บูชา 750 บาท

    IMG_20180818_212823.jpg IMG_20180818_212810.jpg unnamed11.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2019
  12. Aknitwhite

    Aknitwhite สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +8
    ขอจององค์นี้ครับ
     
  13. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รับทราบการจองครับ...ขอบคุณครับ
     
  14. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    *** ตะกรุดเงินพุทธนิมิต,ตะกรุดเทวดาให้ลาภ หรือตะกรุดทำหวย หลวงปู่สรวง ทำจากแผ่นเงิน มีจาร ใส่หลอดพลาสติก ยาวประมาณ 5 นิ้วครับ หลวงปู่สรวงท่านเด่นมากเรื่องโชคลาภ ให้หวย มีวิธีการใช้ตะกรุด พิธีปลุกเสกเมื่อปี 39 ***
    ***************************************************************************************************
    วัตถุมงคลชุดนี้ตกอยู่ที่อาจารย์เสริฐ สำนักสงฆ์ตาโคล และเมื่อครั้งหลวงปู่สรวงมาเยี่ยมอาจารย์เสริฐ หลวงปู่สรวงได้เมตตาอธิฐานจิตให้อีกหลายครั้ง(หลวงปู่สรวงไม่เสกให้ใครง่ายๆ )
    และทางสำนักสงฆ์วัดตาโคลได้จัดงานพุทธาภิเษกใหญ่ตลอด 3 วัน 3 คืน โดยได้นิมนต์พระอาจารย์สายอีสานใต้
    ซ ึ้งเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่สรวงมาปลุกเสกให้อีกเมื่อปี 2540 ท่านอาจารย์เสริฐมีเหตุจำเป็นต้องลาสิขาบท จึงได้นำพระชุดนี้ไปให้พระอาจารย์จ่อย วัดป่าหนองหล่ม จ.สระแก้ว
    เมื่อคราวอาจารย์จ่อย ท่านจำพรรษาที่วัดสุทัศน์ ทางพระอาจารยืจ่อยจึงได้นำพระชุดนี้
    เข้าเก็บไว้ที่พระอุโบสถวัดสุทัศน์ตั้งแต่ปี 2540-2550 ตลอดเกือบ 10 ปี ทางวัดสุทัศน์ได้มีพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลต่างๆ
    ห ลายครั้ง รวมแล้วประมาณ 200 กว่าพิธี โดยเฉลี่ยแล้ว 1 ปี มีพิธีพุทธาเษกใหญ่ประมาณ 12 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งจะมีสุดยอดพระเกจิอาจารย์ชื่อดังองค์สำคัญของประเทศ
    มาร่วมด้วย รายชื่อพระเกจิอาจารย์ทั่วทุกภาคที่มาร่วมพิธีที่พอจะนับได้มีดังนี้ (เฉพาะที่มีชื่อเสียงที่พอจะรวมรวบได้)
    พระเกจิอาจารย์สายอีสาน-เหนือ-ออก-ตก-ใต้
    1. หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่
    2. หลวงพ่อคง วัดตะคร้อ
    3. หลวงปู่นิล
    4. หลวงปู่เกลี้ยง
    5. หลวงปู่เครื่อง
    6. หลวงปู่เจียม
    7. หลวงปู่หงษ์
    8. หลวงปู่คีย์
    9. หลวงปู่ชื่น
    10. หลวงปู่อิง
    11. หลวงปู่สาย
    12. หลวงปู่ฤทธิ์
    13. หลวงปู่ผาด
    14. หลวงปู่สิงห์
    15. หลวงปู่มา
    16. หลวงปู่พวง
    17. หลวงปู่หมุน
    18. หลวงปู่ญาท่านสวน
    19. หลวงปู่พุธ
    20. หลวงปู่เหรียญ
    21. หลวงปู่หลวง
    22. หลวงปู่ไพบูลย์
    23. หลวงปู่ทิม
    24. หลวงพ่อรวย
    25. หลวงพ่ออั๊บ
    26. หลวงพูล วัดไผ่ล้อม
    27. หลวงพ่อตัด
    28. หลวงปู่ทอง
    29.หลวงปู่ละมัย
    30. หลวงปู่เมฆ
    31. หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน
    32. หลวงปู่นอง
    33. หลวงพ่อกลั่น
    34. หลวงพ่อเขียว
    35. หลวงพ่อฉิ้น
    36. หลวงพ่อดำ
    37. หลวงพ่อกาหลง
    38. หลวงพ่อเปิ่น
    39. หลวงพ่อไสว
    40. หลวงพ่อจืด
    41. หลวงพ่อโกย
    42. หลวงพ่อรอด
    43. หลวงพ่อเงิน
    44. หลวงพ่อประสิทธิ์
    45. หลวงปู่ดี
    46. หลวงพ่ออวยพร
    47. ครูบาน้อย
    48. ครูบาชัยวงศา
    49. ครูบาคำตัน
    50. ครูบาคำเขื่อนแก้ว
    51. หลวงปู่มี
    52. หลวงปู่ทอง วัดสำเภาเชย
    53. หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ
    54. หลวงพ่อหลวง
    55. หลวงพ่อชำนาญ
    56. หลวงพ่อสุพจน์
    57. หลวงปู่พิมพา
    58. ครูบากฤษณะ
    59. หลวงพ่อหล่ำ
    60. หลวงพ่ออ้น
    61. หลวงปู่โถม
    62. หลวงพ่อแพ วัดพิลทอง
    63. หลวงพ่ออั้น จ.อุทัย
    64. หลวงปู่กาหลง
    และยังพระเกจิย์อาจารย์อีกจำนวนมาก ฯลฯ
    ผ่านพิธีปลุกเสกครั้งแรกนั้นได้เชิญพระระดับเกจิในต่างประเทศ มาร่วมในพิธี อาทิเช่น ศรีลังกา เวียดนาม กัมพูชา พม่า ฯลฯ

    จากนั้นจึงนำวัดถมงคลชุดนี้มาเข้าพิธีที่วัดสุทัศน์ กินระยะเวลายาวนานถึงสิบปี รวม 200 พิธี

    ***การขอหวยจากตะกรุด หลวงปู่สรวง มีขั้นตอนดังนี้ หลังจากที่ได้มีการสวดมนไหว้พระเรียบร้อยแล้ว ให้พานมาหนึ่งใบ เขียนเลข 0-9 ลงในกระดาษแล้วม้วนใส่พาน ตั้งนะโม3จบ แล้วหยิบตะกรุดเงินขึ้นมาอาราธนว่า” พุทธนิมิตตัง ปัตติ นามะ อรหัง พุทโธนะ โมพุทธายะ ขอโชคลาภที่จะออกในงวดนี้ปรากฏขึ้น ภาวนาเท่าจำนวนอายุวันเกิดของผู้ขอ แล้วใช้ตะกุนั้นกวนลงในพานที่มีกระดาษเขียนตัวเลขสลับกัน 1 ครั้ง ในขณะที่กวนก็ให้ภาวนาคาถานี้ไปด้วย ให้ระลึกถึงคุณพระให้มั่น แล้วทำการหยิบกระดาษที่ม้วนไว้ในพานขึ้นมา1แผ่น แล้วทำเช่นเดิมอีกหนึ่งครั้งก็จะได้เลข 2 ตัวพอดี ซึ่งถือว่าเป็นเลขเด็ด ซึ่งจะมีอีกวิธีหนึ่งก็คือนำคาถาไปจนกว่าจะหลับ และฝัน หมั่นทำบุญใส่บาตรพระวันละหนึ่งรูป อย่างได้ขาด ผู้ทำก็จะประสบความสำเร็จ***
    ปิดครับ
    IMG_25620524_192330.JPG
    IMG_25620524_192236.JPG IMG_25620524_192432.JPG IMG_25620524_192359.JPG get_auc1_img (8).jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2019
  15. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่944 พระขุนแผนสาริกา ลป. สรวง เทวดาเล่นดิน เนื้อหินปราสาทขอมพันปี ปี39
    จัดสร้างโดย อาจารย์เสริฐ มหาวีโรเพื่อหาปัจจัยสร้างศาลาสำนักสงฆ์บ้านตาโคลปี2539
    หลวงปู่สรวง ท่าน สั่งให้ อเสริฐ ไปเก็บ ซากปราสาทหินขอมพันปี มาบดผสมทำเนื้อพระ เพื่อถือเอาเคล็ดว่าเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ายิ่งใหญ่ดุจปราสาทยุคอาณาขอมรุ่งเรือง อีกทั้งยังมีมวลสาร เช่น แร่ดูดทรัพย์ ซึ่งเป็นผง เหล็กไหลประเภทหนึ่งจาก เขาพนมกุเลน และ ผงอาถรรพณ์มงคล อาจารย์เสริฐนำหินปราสาทมาบดเป็นผงและนำไปผสมมวลสารอื่นๆ อีกมากมาย
    • พิธีใหญ่ปลุกเสก 3วัน 3คืน ระหว่างวันที่12-14เมษายน 2539
    • มีพระเกจิอาจารย์สายอีสานใต้ไปร่วมพิธีมากมาย (เกือบ 300 รูป) เช่น หลวงปู่เครื่อง/วัดสระกำแพงใหญ่, หลวงปู่หงส์/สุสานทุ่งมน, หลวงปู่เจียม/วัดกะมอล, หลวงปู่เจียม/วัดหนองยาว, หลวงปู่เกลี้ยง/วัดโนนแกด , หลวงปู่สาย/วัดตะเคียนราม, หลวงปู่ชื่น/วัดตาอี, หลวงปู่ฤทธิ์/วัดชลประทานดำริ, หลวงพ่อสร้อย/วัดเลียบราษฏร์บำรุง เป็นต้น
    • หลวงปู่สรวงท่านบอกว่าว่า ขุนแผนรุ่นนี้เป็น"เมตตามหานิยมชั้นสูง"
    • หลายๆ คนสมัยก่อนก็ได้ดีเพราะบูชาพระรุ่นนี้ ปัจจุบันก็เจริญในการงานเป็นใหญ่กันหมด
    • ขุนแผนรุ่นนี้มีประสบการณ์ด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม เจริญในหน้าที่การงานและแคล้วคลาด

    คุณSupashine ปิดครับ
    IMG_25620525_212330.JPG IMG_25620525_212305.JPG IMG_25620525_212116.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2019
  16. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่945 พระขุนแผนสาริกาคำข้าว ลป. สรวง เทวดาเล่นดิน ปี39
    จัดสร้างโดย อาจารย์เสริฐ มหาวีโรเพื่อหาปัจจัยสร้างศาลาสำนักสงฆ์บ้านตาโคลปี2539
    • พิธีใหญ่ปลุกเสก 3วัน 3คืน ระหว่างวันที่12-14เมษายน 2539
    • มีพระเกจิอาจารย์สายอีสานใต้ไปร่วมพิธีมากมาย (เกือบ 300 รูป) เช่น หลวงปู่เครื่อง/วัดสระกำแพงใหญ่, หลวงปู่หงส์/สุสานทุ่งมน, หลวงปู่เจียม/วัดกะมอล, หลวงปู่เจียม/วัดหนองยาว, หลวงปู่เกลี้ยง/วัดโนนแกด , หลวงปู่สาย/วัดตะเคียนราม, หลวงปู่ชื่น/วัดตาอี, หลวงปู่ฤทธิ์/วัดชลประทานดำริ, หลวงพ่อสร้อย/วัดเลียบราษฏร์บำรุง เป็นต้น
    • หลวงปู่สรวงท่านบอกว่าว่า ขุนแผนรุ่นนี้เป็น"เมตตามหานิยมชั้นสูง"
    • หลายๆ คนสมัยก่อนก็ได้ดีเพราะบูชาพระรุ่นนี้ ปัจจุบันก็เจริญในการงานเป็นใหญ่กันหมด
    • ขุนแผนรุ่นนี้มีประสบการณ์ด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม เจริญในหน้าที่การงานและแคล้วคลาด

    คุณSupashine ปิดครับ
    IMG_25620525_212238.JPG IMG_25620525_212210.JPG IMG_25620525_212142.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2019
  17. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่946 พระผงกระดูกผี พิมพ์นางพญา พ่อท่านฮก วัดท่าข้าม สงขลา
    พระผงกระดูกผี หลวงพ่อฮก วัดท่าข้าม พิมพ์นางพญา เป็นอีกพิมพ์ที่หายาก มวลสารเดียวกับพิมพ์ลีลาของท่าน มีลงในหนังสือสุดยอดวัตถุมงคลพ่อท่านศรีแก้ว ของสงขลา หลวงพ่อฮก เนื้อผงกระดูกผี มากประสบการณ์ ทั้งในและต่างแดนคับ ดังนั้น โบราณมักกล่าวว่า วัตถุมงคลที่มีส่วนผสมของเถ้าถ่านของคนที่ตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร พระเกจิอาจารย์นิยมนำมาสร้างเป็นวัตถุมงคลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่โดดเด่น ก็มีหลวงพ่อเจิม วัดหอยราก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช และวัดโพธิ์ และที่นิยมสุดๆ เป็นพระเกจิอาจารย์ดังภาคใต้คือ "หลวงพ่อฮก เนื้อผง รุ่นแรก ปี 2509" สร้างโดย วัดท่าข้าม อ.รัตภูมิ จ.สงขลา สร้างจากผงว่านและกระดูกผี เนื้อหาสาระที่เป็นเนื้อผงกระดูกผี 108 ป่าช้า ป่าช้าละ 4 ศพ ตายวันเสาร์เผาวันอังคาร ด้วยวิชาอาคมที่แก่กล้าของ "พ่อท่านฮก" ท่านสามารถ "สะกดวิญญาณ" ด้วยพระคาถาอาคม ทำให้วิญญาณที่เชื่อว่า "เฮี้ยน" เป็นวิญญาณที่มีฤทธิ์ในด้านเมตตามหานิยม และสุดยอดของการแคล้วคลาด หลวงพ่อฮก ท่านรวบรวมไว้ แล้วนำมาสร้างประมาณปี 2509 โดยมีศิษย์ของท่านและชาวบ้านมาช่วยกันตำกระดูกผสมผง แล้วกดพิมพ์พระ ทีละองค์ โดยหลวงพ่อฮกจะเป็นผู้กำกับดูแลทุกขั้นตอน เพราะว่าการจะสร้างพระจากกระดูกคนตายเป็นที่รู้กันอยู่ว่าถ้าวิชาอาคมไม่เก่งกล้าจริงๆ ก็สร้างไม่ได้ โดยพระผงกระดูกจะมีความโดดเด่นในด้านเมตตามหานิยมเป็นอย่างมาก
    บูชา 1250 บาท

    IMG_25620525_214105.JPG IMG_25620525_214136.JPG 1381327_640712529284907_653955461_n.jpg 1393634_640712509284909_1250356074_n.jpg 1376474_640712512618242_1187647235_n.jpg
     
  18. Supashine

    Supashine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +762
  19. Supashine

    Supashine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +762
    จองครับ
     
  20. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่947 รูปถ่าย มีจารหน้า-หลัง ลป. สรวง เทวดาเล่นดิน ขนาด4*6 นิ้ว ปี39
    •จัดสร้างโดย อาจารย์เสริฐ มหาวีโรเพื่อหาปัจจัยสร้างศาลาสำนักสงฆ์บ้านตาโคลปี2539
    • พิธีใหญ่ปลุกเสก 3วัน 3คืน ระหว่างวันที่12-14เมษายน 2539

    • มีพระเกจิอาจารย์สายอีสานใต้ไปร่วมพิธีมากมาย (เกือบ 300 รูป) เช่น หลวงปู่เครื่อง/วัดสระกำแพงใหญ่, หลวงปู่หงส์/สุสานทุ่งมน, หลวงปู่เจียม/วัดกะมอล, หลวงปู่เจียม/วัดหนองยาว, หลวงปู่เกลี้ยง/วัดโนนแกด , หลวงปู่สาย/วัดตะเคียนราม, หลวงปู่ชื่น/วัดตาอี, หลวงปู่ฤทธิ์/วัดชลประทานดำริ, หลวงพ่อสร้อย/วัดเลียบราษฏร์บำรุง เป็นต้น
    คุณรักคุณเท่าฟ้า ปิดครับ
    IMG_25620526_064533.JPG IMG_25620526_064452.JPG 1558007374075.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2019

แชร์หน้านี้

Loading...