มีใครเคยมีอาการเหมือนฟ้าแล็บในหัวมั้ยคะ

พอจะกรุณาส่งลายแทง หรือจะอธิบายให้เพิ่มได้หรือไม่คะ พอดีตามหากระทู้ไม่เจอเลยค่ะ

 

ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับคำชี้แนะดีๆ จะน้อมรับเอาไปปฏิบิติให้ดีขึ้นไปค่ะ

 

+++ มันเป็นสภาวะที่ เกิดจากความสะสม ตรงจุดข้างล่างนี้

+++ ตรงนี้เป็น "การตัดสินใจแน่วแน่" แม้เพียงแค่ ชั่ววูปหนึ่ง
+++ แต่เหตุเกิดจาก "การสะสมเป็นเวลานาน" เป็นทุกข์ยาวนาน

+++ เป็นปรากฏการณ์แบบ "ฟ้าแลบชั่วขณะ"
+++ ที่เกิดจากการ "ตัดสินใจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด"

+++ เป็นการสะสม เปรียบเทียบกับ ไฟฟ้าสถิตย์ในก้อนเมฆ
+++ เมื่อถึงเวลาพอเหมาะ สะสมเพียงพอแล้ว ก็ "ผ่าเปรี้ยง"
+++ ไฟฟ้าสถิตย์ที่สะสม ก็หมดไป
+++ เพียงแต่ ระวังอย่าให้เกิดการสะสมใหม่ ก็แล้วกัน

+++ ตรงนี้ "เป็นความสุข จากการหลุดพ้น" ณ กรณีนั้น ๆ
+++ มีอาการ "กายเบา จิตเบา และ สติแจ่มแจ้ง" ณ ช่วงนั้น
+++ เป็นอาการ "ปลดปล่อยภาระทางจิต" แบบโยนทิ้งทันที
+++ หมดภาระของ "การหมกมุ่น" เมฆหมอกที่ปกคลุมจิตหายไป

+++ ตรงนี้เป็น สภาวะทางธรรมชาติของจิตที่ สลัดตัดคืน
+++ ตรงกับคำพูดของ หลวงปู่ดูลย์ ที่ว่า "คนเราทุกข์เพราะคิด"
+++ ดังนั้น น่าจะได้ข้อเตือนใจตรง "ให้ระวังความคิด" ตรงนี้ให้ดี
+++ ปรากฏการณ์นี้ สามารถเกิดขึ้นได้ในขณะที่ "รู้แจ้งเป็นเรื่อง ๆ" ได้

+++ จนกว่าจะถึง "การ รู้แจ้ง แห่งความเป็นตน" นะครับ

 

สาธุ ขอบคุณมากค่ะที่กรุณาชี้แนะให้เข้าใจโดยง่ายค่ะ

 

ฟังธรรมบ้างก็ดี นะ โยม นะ..

"สุตมยปัญญา" ปัญญาเกิดจากการฟัง..

 

เคยแต่ฟ้าผ่าอ่ะค่ะดังเปี๊ยะ หัวสะเทือนเลย แต่ไม่ได้นั่งสมาธินะคะ แต่ตัดสินใจเหมือนกัน แบบอะไรจะเกิดก็เกิด จะตายก็ได้ อโหสิกรรมให้นะ ไม่โกรธ อะไรประมาณนี้ หลังจากนอนน้ำตาไหลมา1คืน อีกคืนคิดได้ พอคิดเสร็จกะลังใจสบายก็เปี๊ยงเลย / อีกครั้งเป็นแบบเหมือนอะไรกลมเท่าลูกเทนนิสลอยออกจากหัวดังโบ๊ะ หัวสั่นเลย เป็นตอนตัดสินใจอะไรแบบนี้อีก ตอนแรกคิดว่าต้องไปสวนปรุงแล้วว

 

แสดงว่าจะมีการแสดงเข้ามาให้เห็นหลายอาการไม่จำเป็นจะต้องเป็นฟ้าแลบ เป็นความน่าทึ่งของจิตนะคะ ยากที่วิทยาศาตร์จะพิสูจน์แล้วเข้าถึงได้ มีแต่คนที่ปฏิบัติและเห็นแล้วจึงจะเชื่ออย่างสนิทใจไร้ข้อสงสัยใดๆในธรรมของพระพุทธเจ้า

ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่เคยล้าสมัยเลยจริงๆ

 

เพิ่งจะเข้าใจเจตตาของท่านตะกี้นี้ค่ะ ขอบพระคุณมากๆนะคะ

 

อาตมาสรรเสริญผู้มีความเพียร นะ โยม นะ..

ถ้าโยมเป็นหนึ่งใน "ผู้มีความเพียร" นั้น..

อาตมาก็ขออนุโมทนา..

ศึกษาแล้วลงมือปฏิบัติเพื่อพิสูจน์รู้ด้วยตนเองนั้นแหละโยม..

ผลที่ได้รับจะทำให้โยมมีทุกข์ใจน้อยลงไปเรื่อยๆจนถึง "สิ้นทุกข์" ในที่สุด..

 

หลวงพี่หรือพระฟังจบแล้วเหรอครับ คำถามคือฟังรึยัง รึแค่เอาบุญ เผยแพร่ไปเรื่อยๆ

 

ถ้าผ้าเหลืองเปื้อนนี่นะ ยาวเลยนะคับพระ

 

ฟังเหมือนกัน แต่ หลับก่อนทุกทีเลยโยม..

 

ความฝันเมื่อคืนคงเป็นคำตอบจากคำถามโยมนี้แหละโยมเอ๋ย..

ขนาดฝันยังฝันว่าเป็นพระเลยโยม ไม่ต้องห่วงอาตมาหรอก

อาตมามีปัญญาพอที่จะเอาตัวรอดจากมาตุคามได้..

 

แค่บอกว่าอย่าให้เปื้อนนะ ฝันเฝินอะไรพระ พระอะเป็นพระที่เพ้อเจ้อ เหมือนคนเสียสติเลยนะ จริงคือจริงฝันคือฝัน กินมากฝันมากพระ ยิ่งมีปราถนามากแล้ว ไม่แปลกพระที่จะฝัน บวชก็นอนฝันได้ ไม่บวชก็นอนฝันเป็นปกติ ไม่ต่างกันเลยสินะ ไม่อยากรู้ว่ารอดรึไม่รอด ก็บอกแค่ว่า อย่าทำให้เปื้อน ไม่งั้นยาว หมายความว่า คราวนี้ไม่มีโอกาสได้นุ่งผ้ากาสวพักส์อีกเลยนับไปในอนาคตอันยาวไกล สติ ครับ สติ

 

ในฝันเตือนตัวเป็นพระหรือว่าฝันมาเป็นพระเลย
ครับหลวงพี่

 

ในเว็บนี้สนทนาธรรมกันเร้าใจขนาดนี้เลยหรอคะเนี่ย ไม่ค่อยได้เข้ามา แอบสะดุ้งค่ะ 55

 

ฝันว่าเป็นพระนี่แหละ แล้วไปขอสงน้ำกับฆราวาสมีทั้งหญิงและชาย(น้ำที่สงเป็นน้ำคลอง)

พอสงน้ำไปพวกผู้หญิงเขาก็เอาผ้าสบง อังษะ ของอาตมาไปซ่อนแล้วให้อาตมาใส่เสื้อผ้าแทน(สงสัยอยากให้อาตมาสึกจากพระ)

กว่าจะมีคนไปช่วยออกมาจากกลุ่มผู้หญิงกลุ่มนั้นได้ก็แทบแย่..

พอตื่นมาอาตมาก็พิจารณาได้ว่า..

"มาตุคามเป็นภัยต่อเพศบรรชิตอย่างยิ่ง ไม่ควรเผลอเพลินในการดู การเห็น ไม่งั้นอาจไหลไปกับราคะได้"

เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ละโยม..

 

หลอนอย่างอาตมาที่โลกรอคอย..

หลอนอย่างอาตมามีคนเดียวในโลก..

 

ผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตเจริญสติจะฝันเรื่อยเปื่อย..

ส่วนผู้ฝึกจิตดีแล้ว สติเจริญแล้ว บางครั้งฝันนั้นย่อมเป็นฝันนิมิต เจ้าตัวจะรู้เองว่าเป็นฝันนิมิต หรือ ฝันทั่วๆไป

นะ โยม นะ..

ส่วนโยม ถึงฝันก็จำอะไรไม่ได้เพราะโยมหลับไปด้วยความเมา หลับไปด้วยฤทธิ์สุรา..