มีวัตถุมงคลสายพระป่ากรรมฐานให้บูชาราคาเบาๆ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Somchai 2510, 8 กันยายน 2019.

  1. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 776 เหรียญหล่อรูปไข่หน้าเหมือนหลวงปู่จันทร์เเรม เขมสิริ พระอรหันต์เจ้าวัดระหาน(วัดเกาะเเก้วธุดงคสถาน) อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ หลวงปู่เป็นศิษย์หลวงปู่มั่นยุคสุดท้าย เหรียญสร้างปี 2545 สร้างเนื่ององค์หลวงปู่อายุครบ 80 ปี เนื้อทองเหลือง >>>>>>มาพร้อมพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วย ******บูชาที่ 310 บาทฟรีส่งems( วัตถุมงคลหลวงปู่หายากมากสร้างน้อยครับ) ประวัติย่อๆสังเขป พระครูเขมคุณโสภณ (หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ)
    "หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ" หรือพระครูเขมคุณโสภณ วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ พระวิปัสสนาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากสาธุชนเป็นอย่างมาก
    อัตโนประวัติหลวงปู่จันทร์แรม มีนามเดิมว่า จันทร์ ร้อยตะคุ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2465 ที่บ้านปะหลาน ต.ปะหลาน อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม เป็นบุตรของนายอ่อนสีและนางแก้ว ร้อยตะคุ ท่านมีพี่น้องรวมทั้งสิ้น ๘ คน ประกอบด้วย

    ๑.นายคำมี
    ๒.นางมาลี
    ๓.นายมะลิ
    ๔.นางมะดี
    ๕.พระครูเขมคุณโสภณ (หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ)
    ๖.นางหนู
    ๗.นายสุข
    ๘.นายแดง
    เดิมทีนั้น ครอบครัวของหลวงปู่ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ มีถิ่นฐานทำกินอยู่ที่บ้านตะคุ ตำบลตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้า ซึ่งตามภาษาอีสาน เรียกขานกันว่า “นายฮ้อย” อันเป็นที่มาของนามสกุลว่า ฮ้อยตะคุ (เรียกตามภาษาท้องถิ่นอีสาน) หรือร้อยตะคุ นั่นเอง ต่อมาโยมบิดาของท่านได้อพยพโยกย้ายครอบครัวไปทำมาหากินอยู่ที่บ้านปะหลาน อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งหลวงปู่ได้ถือกำเนิด ณ หมู่บ้านแห่งนี้
    ต่อมาบิดาของท่าน ก็ได้โยกย้ายครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง ไปทำมาหากิน ณ บ้านระหาร ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งวัดระหาน(เกาะแก้วธุดงคสถาน)ในปัจจุบันนี้ หลังจากที่ได้ไปสำรวจมาแล้วเห็นว่ามีชัยภูมิเหมาะสมแก่การตั้งถิ่งฐานบ้านใหม่ เพราะเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก จึงได้ตัดสินใจมาลงหลักปักฐาน ณ สถานที่แห่งนี้ การอพยพโยกย้ายก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากการเดินทางในสมัยนั้นต้องใช้เกวียนเป็นพาหนะ ต้องบุกบั่นฟันฝ่าป่าลึก เผชิญกับอันตรายจากไข้ป่าและสัตว์ร้ายทั้งหลาย
    ในวัยเด็ก หลวงปู่ท่านเล่าว่า
    “บิดามารดา เป็นชาวนาชาวไร่ ทำมาหาเลี้ยงชีพ ซึ่งชาวนาไทยเรานั้นถึงจะลำบากยากไร้แค่ไหนก็เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนจนเกินไป อันความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านั้น ใคร ๆ ก็ไม่อยากได้รับ แต่ชาวนาจะหลบหลีกได้หรือ ก็ต้องอดทนจนกลายเป็นความเคยชินนั่นแหละ ก็อย่างญาติโยมชาวกรุงเทพฯ ที่ต้องตื่นนอนตั้งแต่ตี ๔ อาบน้ำแต่งตัว ทานกาแฟพอรองท้อง ก็ต้องขับรถออกไปทำงาน ถ้าออกสายรถก็ติด บางรายถึงกับต้องเอาเสบียงอาหารติดรถไปด้วย เมื่อไปถึงที่ทำงานก็ทานอาหารเสร็จแล้วแรงฟันอีกที เสร็จพิธีก็ทำงานกับหมู่คณะได้ ชาวนาก็เช่นเดียวกัน ทำงานเหนื่อยก็ต้องอาศัยร่มไม้ใบเงา หายเหนื่อยก็ทำงานต่อไป”
    ขณะที่ช่วยเหลือพ่อแม่ทำนาทำไร่นั้น จิตใจที่เคยคิดจะบวชก็ยังเรียกร้องอยู่ตลอดเวลา ตอนเช้าๆ คนบ้านนอกบ้านนาจะใส่บาตรพระสงฆ์ทุกวัน มองเห็นผ้าเหลืองที่พระท่านห่มคลุมเดินบิณฑบาตรทีไร จิตใจก็แช่มชื่นเบิกบาน นึกถึงภาพในอดีตอันประทับใจสมัยที่เคยเป็นเด็กวัด มโนภาพยังปรากฎชัด เกิดความปรารถนาอยากจะบวชมากยิ่งขึ้น

    พออายุได้ ๑๗ ปี บิดามารดาและญาติพี่น้องทุกคนต่างก็สนับสนุน อยากให้ลูกชายของท่านได้รับความรู้ในวิชาการสมัยใหม่บ้าง ซึ่งเห็นเพื่อนบ้านเขาบวชเรียนแล้วสอบนักธรรมได้ พอสึกออกมาก็ได้เป็นครู เป็นเสมียน รับเบี้ยหวัดเงินเดือนกันมาก เนื่องจากในสมัยนั้น การศึกษาส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ในวัดเป็นสำคัญไม่แพร่หลายเหมือนในปัจจุบันนี้ หากใครมีอุปนิสัยฝักใฝ่ในเรื่องการศึกษาเล่าเรียน ก็จะต้องบวชเรียนกัน ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๒ ณ วัดสระทองนพคุณ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม มีพระครูจันทรศรีธรคุณ เจ้าคณะอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่ท่านได้กรุณาเล่าเหตุการณ์ตอนหนึ่งขณะเป็นสามเณรว่า
    “บวชตอนอายุได้ ๑๗ ปีเต็ม บวชเณรได้ ๓ พรรษา บวชแล้วก็ได้ศึกษาหาความรู้ทางด้านตัวอักษร เลขและพระปริยัติธรรม ตอนเด็กๆ นี่ขยันเรียน เรียนเก่งนะ นักธรรมนี่สอบได้ที่ ๑ ของจังหวัดเลยทีเดียว ตอนบวชเณรขอพูดตรงๆ ว่า บวชเพื่อจะศึกษาหาความรู้ใส่ตนเอง บวชปีแรกสอบได้นักธรรมชั้นตรี ปีต่อๆ มาสอบได้นักธรรมชั้นโท และนักธรรมชั้นเอกตามลำดับ การสอยสนามหลวงแต่ละครั้ง นับว่าได้คะแนนดีเยี่ยม คงเป็นเพราะมีความสนใจในเรื่องพระศาสนา จึงสามารถสอบได้ที่ ๑ ของจังหวัดตลอดมา”
    หลังจากที่สอบได้นักธรรมชั้นเอกแล้วขณะนั้นอายุได้ ๒๐ ปี เต็มจิตใจก็เริ่มเปลี่ยนแปลง เพราะความที่เริ่มจะเป็นหนุ่ม หลวงปู่เล่าว่า
    “เป็นหนุ่มแล้วอีกทั้งจะเข้าเกณฑ์ทหารด้วย ใจมันรักการเป็นทหารมาก แหม...ชอบใจจริงๆ นะ การเป็นทหารนี่ อยากรับใช้ชาติ สมเป็นชายชาตรี”
    จึงได้ลาสิกขาแล้วเดินทางกลับบ้านมาเกณฑ์ทหาร แต่จับได้ใบดำ จึงอยู่ช่วยงานทางบ้านปลูกพืชผักสวนครัว นำไปขายได้เงินเลี้ยงครอบครัวบ้างพอสมควร แบ่งเบาภาระพ่อแม่พี่น้องที่จากบ้านไปนาน
    สมัยนั้น หนุ่มๆ ทั้งหลาย ชอบเรียนคาถาอาคมไว้เพื่อป้องกันตัวเพราะมีความเชื่อในเรื่อง ไสยศาสตร์ว่า เป็นสิ่งที่ทำให้อยู่ยงคงกระพันแคล้วคลาดจากอุปัทวันตรายทั้งหลายได้ โยมแม่ซึ่งมีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงได้สั่งลูกชายให้ไปเรียนคาถาอาคมกับพระอาจารย์บุญหนัก เกสโว พระธุดงค์กรรมฐานศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต (ศิษย์ร่วมรุ่นกับหลวงปู่คำดี ปภาโส แห่งวัดถ้ำผาปู่ จังหวัดเลย) ซึ่งท่านได้จาริกธุดงค์ผ่านมาจำพรรษาในละแวกนั้นพอดี
    หลวงปู่ได้เล่าถึงความศรัทธาของโยมแม่ ที่มีต่อพระพุทธศาสนาว่า
    “โยมแม่นี่ เป็นคนที่มีความศรัทธาในพระสงฆ์เป็นอันมากท่านทำบุญทำทานในแต่ละครั้งนี่นะเหมือนกับจัดงาน เวลาไปทำบุญที่วัด ท่านไม่ทำปิ่นโตหรอก ท่านหาบไปทำบุญเลยทีเดียว ข้าวต่างหาก อาหารคาวต่างหาก ของหวานต่างหาก พระเณรที่มาอยู่ในป่าช้าไม่ต้องเดือดร้อยเลย เลี้ยงพระแล้วก็เลี้ยงคนที่มาทำบุญได้กินอิ่มหนำสำราญกันอีก ท่านเลื่อมใสพระกรรมฐานมากที่สุด เชื่อคำสอนท่านจะได้ไปสวรรค์ ท่านจึงรีบเร่งตักตวงเพื่อจะได้ไปสวรรค์ให้ได้”
    การเรียนคาถาอาคมนั้น จะต้องไปพักค้างแรมอยู่กับพระอาจารย์บุญหนัก ท่านมีโอกาสได้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ ถวายน้ำใช้น้ำฉัน ทำความสะอาดสถานที่อยู่อาศัย ตอนเช้าพระอาจารย์ออกบิณฑบาต หลวงปู่ซึ่งขณะนั้นเป็นปะขาว ก็เดินตามคอยรับอาหารบิณฑบาตที่ญาติโยมใส่มา ตอนเย็นท่านอาจารย์ก็เรียกมาสอนคาถาโดยให้ท่องตามที่ท่านบอก ซึ่งการให้ท่องคาถาอาคมนี้ จะเป็นอุบายการสอนของครูบาอาจารย์สมัยก่อน ที่ท่านฉลาดสอนภาวนาแก่ศิษย์ให้ถูกต้องตามลักษณะอุปนิสัย เพราะผู้ที่ชอบคาถาอาคมอยากให้คาถาอาคาขลังศักดิ์สิทธิ์ ก็จักขะมักเขม้นนั่งบริกรรมการบริกรรมนี้แหล่ะ เป็นเครื่องโน้มน้าวจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านวอกแวก และได้สมาธิเกิดความสงบโดยไม่รู้ตัว เรียบเหมือนการให้รางวัลเครื่องล่อใจแก่เด็ก เพื่อให้เขามีกำลังใจในการทำงานนั่นเอง เพราะคนที่ชอบคาถาอาคม จะมีลักษณะนิสัยเป็นคนหนักไปทางโทสะจริตและศรัทธาจริต ถ้าให้นั่งบริกรรม พุทโธ อย่างเดียว หรือให้นั่งพิจารณากรรมฐานเลยทีเดียว จิตใจจะไม่มีหลักยึดเหนี่ยวพอจะทำให้เกิดเป็นสมาธิได้ ประกอบกับคนในสมัยนั้นมีความเชื่อในเรื่องคาถาอาคมเท่านั้น จึงจะเป็นที่ยอมรับนับถือว่ากล่าวสั่งสอนเขาได้ ถ้าไม่เอาอุบายเรื่องคาถาอาคมมาเป็นเครื่องล่อคงจะไม่มีใครสนใจมาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิสวดมนต์ภาวนา สมกับที่ท่านมุ่งหวังจะสอนเป็นแน่แท้ เพราะหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนานั้น ถ้าเปรียบกับต้นไม้ซึ่งมีทั้งเปลือก แก่น และกระพี้ ธรรมะคำสอนก็ย่อมเหมาะกับบุคคลผู้มีอุปนิสัยหยาบ ละเอียดแตกต่างกันออกไป
    เช้าวันหนึ่ง ในขณะที่หลวงปู่ได้เดินตามพระอาจารย์บุญหนักเข้าบิณฑบาตในหมู่บ้าน พระอาจารย์บุญหนักชี้ให้ดูสาวๆ ที่กำลังเดินตามถนนผ่านมา ซึ่งแต่ละนางก็ล้วนแต่มีหน้าตาสวยสดงดงาม อรชอนอ้อนแอ้น ผิวขาวเรือนร่างช่างน่าทัสนาชี้ชวนให้หลงไหล ยิ่งนัก เพราะกำลังเจริญสู่วัยสาวทุกคน ยิ่งเสียงสนทนาพาทีของพวกเธอก็ยิ่งชวนเคลิบเคลิ้ม หวานไพเราะเสนาะโสต พอได้โอกาสเหมาะสม พระอาจารย์บุญหนักได้ถามหลวงปู่ขึ้นว่า
    “เซียงจันทร์ เห็นสาวๆ พวกนั้นไหม ?”
    หลวงปู่ตอบว่า
    “เห็นครับ”
    ท่านพระอาจารย์บุญหนักถามต่ออีกว่า
    “สวยไหม ?”
    หลวงปู่ตอบว่า
    “สวยครับ”
    หลังจากเดินไปได้อีกครู่หนึ่ง ก็มีคนแก่กลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาซึ่งแต่ละคนช่างดูน่าเวทนาอาดูรยิ่งนัก บ้างก็ผมหงอก หนังเหี่ยวย่น หลังค่อม ดูการแต่งกายก็ซอมซ่อ เงอะๆ เงิ่นๆ กว่าจะเดินได้แต่ละเท้ากว่าจะก้าวได้แต่ละที ดูช่างลำบากเสียนี่กระไรเสียงคุยสนทนาก็แตกพร่านัยน์ตาก็มืดมัว พระอาจารย์บุญหนักท่านได้พูดให้ข้อคิดว่า
    “ ต่อไป พวกสาวๆ ที่ว่างามเหล่านั้น ก็จักเป็นอย่างนั้น ”
    พอท่านชี้ให้เห็นเฉกเช่นนั้นแล้ว ในใจหลวงปู่ได้แต่ตรึกตามอารมย์ที่บังเกิดเพราะเห็นความแตกต่างระหว่างคนสองวัย คนเราเกิดมาแล้ว ก็จักต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายด้วยกันทุกคน เรามัวแต่หลงวัย ลืมความจริงไปว่า เราเองก็จักต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
    วันต่อมา ท่านพระอาจารย์บุญหนักชี้ไปที่เรือนหลังงานใหญ่โตหลังหนึ่งแล้ว ถามว่า “เรือนหลังนั้นสวยไหม” หลวงปู่ท่านก็ตอบไปตามความคิดว่า
    “สวยครับ”
    ต่อมาท่านพระอาจารย์บุญหนักก็ชี้ไปที่เรือนอีกหลังหนึ่ง ซึ่งเก่าแก่ทรุดโทรมจะพังมิพังแหล่ แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า
    “ต่อไปอีกไม่นาน เรือนหลังงามหลังนั้น ก็จะทรุดโทรมเหมือนเรือนหลังนี้”
    ท่านพระอาจารย์บุญหนัก ท่านใช้วิธีการสอนด้วยการยกเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้ามาเป็นตัวอย่าง แล้วชี้ให้เห็นภาพความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง หลังจากที่ได้พิจารณา ท่านใช้วิธีการสอนด้วยการยกเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้ามาเป็นตัวอย่าง แล้วชี้ให้เห็นภาพความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง หลังจากที่ได้พิจารณาไตร่ตรองตามแล้ว ก็ทำให้จิตใจของหลวงปู่เกิดความสลดสังเวชเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย เห็นแจ้งตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีสิ่งใดจะเป็นของเราสักอย่างเดียว ที่เรามัวเห็นว่าสวยงาม ว่าเป็นของๆ เราอยู่นั้นก็เพราะเรามีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นลุ่มหลงไปตากระแสแห่งอารมณ์ที่เปลี่ยนไปทุกขณะจิต ด้วยอิทธิพลของกิเลสแท้ๆ
    หลวงปู่ได้เล่าถึงพระอาจารย์บุญหนักว่า
    “ พระอาจารย์บุญหนักท่านเป็นชาวบ้านจังหวัดขอนแก่น เป็นศิษย์ของหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น นี่แหละ ท่านเป็นพระรุ่นเดียวกับหลวงปู่คำดี ปภาโส เดินธุดงค์ และเคยมาฝึกจิตอบรมธรรมะที่วัดป่าสาลวันด้วยกัน โดยมีพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เป็นผู้ให้กรรมฐาน ท่านเดินธุดงค์มาจากอุดรธานี ขอนแก่น มาถึงนครราชสีมา ไปอยู่ถ้ำพระเวสถ้ำพระ และสถานที่อันวิเวกหลายๆ แห่ง ปฏิปทาของท่านงดงามมาก ตามแบบฉบับศิษย์หลวงปู่มั่นเลยทีเดียว
    ในเรื่องการสอน การอบรม ท่านพระอาจารย์บุญหนัก ท่านมีปฏิภาณโวหารในการสอนคนได้เก่งมาก อย่างเหตุการณ์ที่ปรากฎแก่ตนเอง พอได้ฟังครั้งแรกก็คิดในใจว่า เอ...เราไม่เคยได้ยินธรรมะแบบนี้มาก่อนเลย ท่านเริ่มพูดก็เสียดแทงหัวใจได้เผงๆ เลยไม่เหมือนที่เราเคยเห็นพระองค์อื่นๆ เลย ก็อ่านตามใบลานที่ช่างพิมพ์มาให้ เอาตามใบลานมาเทศน์มาสอนชาวบ้าน นี่ท่านไม่มีหนังสืออะไรทั้งนั้นนั่งหลับตาก็พูดๆ ออกมา มีอะไรที่ทำชั่วช้าอยู่ ท่านดักใจหงายท้องไปหลายราย
    ท่านสอนให้นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง หลับตาแล้วบริกรรมภาวนาในใจพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท กำหนดลมหายใจออกว่า โธ พุท โธ ๆ ๆ พอนั่งไป ๆ ฟังท่านพูดไปเรื่อย ๆ จิตใจก็เกิดความสงบอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกใหม่ที่ได้รับ พูดได้ว่าพระอาจารย์บุญหนักรูปนี้เป็นผู้มีพระคุณมาก ด้วยท่านเป็นผู้ให้กรรมฐานเป็นรูปแรก”
    วันหนึ่ง หลวงปู่ได้ไปถากไร่บริเวณใกล้ป่าช้า เพื่อเตรียมสถานที่สำหรับเพาะปลูก ถางไรอยู่จนเวลาใกล้เพล แม่ก็ยังไม่เอาข้าวมาส่ง เหนื่อยอ่อนล้ามาก ท่านเล่าว่า “ เหนื่อยมาก แทบจะขาดใจตาย” แล้วฉับพลัน สายตาก็เหมือนเห็นหัวกะโหลก และโครงกระดูกของคนตาย ที่ญาตินำเอาศพมาฝังบ้างเผาบ้างในป่าช้า กระจัดกระจายไปทั่ว พอมีไฟป่าเกิดไหม้ป่าขึ้น จึงทำให้มองเห็นโครงกระดูกเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณนั้น เมื่อเห็นภาพเหล่านั้น ในใจมันฉุกคิดขึ้นมาว่า
    “ต่อไปข้างหน้าตัวเราเองก็ต้องเป็นเหมือนโครงกระดูกที่นอนเรียงรายกันอยู่อย่างนี้ เราเองก็ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไม่อาจพ้นไปได้ สรรพสัตว์ทุกตัวตนที่เกิดมาในโลกนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ คนเราทุกคนไม่มีใครพ้นจากความตายไปได้เลย แม้แต่คนเดียว ในใจขณะนั้นได้พิจารณาเห็นหลักสัจธรรม คือ อนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่มีตัวตนมองเห็นไตรลักษณ์ ตามสภาพความเป็นจริง จิตใจก็ยอมรับความเป็นจริงนั้นเอง โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตาก็ปรากฏแต่รูปโครงกระดูก โครงกระดูกลอยมาติดตามเป็นนิมิต ได้แต่พิจารณาถึงธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จนกระทั่งแม่เอาอาหารมาส่ง และยิ่งเห็นจริงอย่างลึกซึ้งถึงใจว่า คนเราต้องตายแล้วตายเล่า เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ภพแล้วภพเล่า ชาติแล้วชาติเล่า ชีวิตนี้ช่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้เลย”
    ก่อนที่หลวงปู่จะอุปสมบทนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดความสลดสังเวชใจ เบื่อหน่ายในการครองชีวิตฆราวาสหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งถึงกาลเวลาแห่งความแก่รอบของบารมีธรรม ท่านจึงตัดสินใจเป็นแน่วแน่ว่าจะบวช แต่ก่อนที่จะบวชจริงๆ ท่านได้ครุ่นคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตดีหนอ เพราะตอนนี้เป็นเหมือนเดินมาสู่ทางสองแพร่ง ลังเลสงสัยว่าจะเลือกทางไหนดี จะออกบวชหรือจะอยู่ครองฆราวาสวิสัย ได้นั่งวาดมโนภาพในเรื่องฆราวาสวิสัยว่า
    “ถ้าหากเราแต่งงานมีภรรยา มีลูก ๓ คน มีบ้านมีที่นา มีสวน มีทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ชาวโลกเขามีกัน แล้วสมมติว่า เราตายก่อนภรรยา ภรรยาเราเขาก็ต้องแต่งงานใหม่ เพราะยังสาวอยู่ บังเอิญไปได้นักเลง นักการพนัน ขี้เหล้าเมายา คนไม่ดีมาเป็นสามีใหม่ เขาก็ต้องมาล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่เราหามาไว้จนหมดเกลี้ยง มิหนำซ้ำยังทิ้งลูกเราภรรยาเรา ให้อดอยากลำบากยากแค้น แล้วเราจะทำอย่างไร”
    เมื่อพิจารณาถึงเหตุนี้ ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า
    “อย่างกระนั้นเลยกับชีวิตฆราวาส การแต่งงาน การสร้างโลก สร้างภพ สร้างชาติ ไม่มีที่สิ้นสุด เราจะเลือกเอาทางบวชดีกว่า”
    เมื่อตัดสินใจจะบวชก็คิดทบทวนอีกว่า “ถ้าบวช ก็จะเสียเวลาทำมาหากิน สมมติว่าเราบวช ๕ ปี ถ้าปลุกมะม่วงในระยะเวลาเท่านี้ ก็จะได้กินหมากกินผล หากสึกออกมาก็จะสร้างฐานะสร้างตัวไม่ทันคนอื่นเขา ถ้าบวชเราต้องไม่สึก ถ้าบวชแล้วสึก เราจะไม่บวช” ท่านได้ตั้งปณิธานไว้ในใจเช่นนี้ ฝ่ายบิดาของหลวงปู่ก็ถามลูกชายว่า
    “เซียง จะเอาอย่างไรกับชีวิต จะแต่งงานไหม?
    ก็ไม่ได้รับคำตอบจากลูกชายสักที จึงได้ยื่นคำขาดว่า
    “ถ้าไม่แต่งงาน ก็ต้องบวชและถ้าบวชก็ต้องอยู่ให้ได้เป็นพระครู อย่าสึกนะ”
    เมื่อบิดาเปิดทางให้ดังนี้ จึงได้ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย
    “จะบวช”
    และได้ตั้งสัจจะไว้ในใจแต่ไม่พูดให้ใครรู้ว่า
    “เอาล่ะ บ้านแห่งนี้ ฉันจะไม่กลับมาเหยียบในเพศเป็นฆราวาสอีก”
    เพราะพิจารณาเห็นว่า ชีวิตของฆราวาสแก่นสารสาระไม่ได้เลย มันขัดข้องวุ่นวานไปหมด เฉกเช่นคนอื่นๆ ได้อีกต่อไป แม้ว่าจะพยายามทำตามอย่างหนุ่มๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน ถึงจะมีสาวๆ มาหลงรัก ก็ไม่ได้ทำให้จิตใจสนุกสนานเพลิดเพลินอย่างที่คนอื่นๆ เขาต้องการได้เลย กลับมามองเห็นว่า คนเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระราชามหากษัตริย์ผู้สูงศักดิ์ หรือยาจกผู้เข็ญใจ ก็ไม่มีใครหนีพ้นความตายไปได้ ไม่ว่าจะคิดอะไรก็มาลงที่ความตายทุกทีฯจนกระทั่งถึงกาลเวลาแห่งบารมีธรรม ท่านจึงตัดสินใจเป็นแน่วแน่ว่าจะบวช
    เมื่อตัดสินใจบวช โยมบิดามารดาได้นำไปฝากเป็นนาคที่วัดกระดึงทอง ซึ่งขณะนั้นมีพระอาจารย์แก้วเป็นผู้ปกครอง ในสมัยนั้น การบวชเป็นพระสายธรรมยุตเป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร จะต้องเดินทางไปเป็นแรมคืน เพราะในแถบจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ วัดธรรมยุตที่มีพัทธสีมา สามารถให้การอุปสมบทได้ มีเพียงวัดเดียวเท่านั้นคือ วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
    ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ เมื่อ วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2488 โดยมี พระครูรัตนากรวิสุทธิ์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูคุณสารสัมปัน (หลวงปู่โชติ คุณสัมปันโน) วัดวชิราลงกรณวราราม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาเปลี่ยน วัดป่าโยธาประสิทธ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า เขมสิริ
    ถึงแม้หลวงปู่จันทร์แรมจะไม่ได้อยู่อุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ในฐานะที่เป็นสัทธิวิการิก แต่ท่านก็ยึดถือปฏิปทาของพระอุปัชฌาย์เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ท่านเป็นพระที่พูดน้อย แต่เคร่งครัดในการปฏิบัติ ยึดมั่นในพระธรรมวินัยเป็นหลักตามแบบฉบับของหลวงปู่ดูลย์ สิ่งเหล่านี้ หลวงปู่จันทร์แรมได้ยึดถือเป็นแบบปฏิบัติ ดังปรากฏเป็นคติสอนศิษยานุศิษย์เรื่อยมาจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
    หลวงปู่จันทร์แรม บวชได้ ๔ พรรษาได้เข้าไปพักกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร อยู่ได้เพียงเดือนกว่า ไม่ได้อยู่ประจำเพราไม่มีผู้รับรอง วันหนึ่ง หลวงปู่จันทร์แรม ทำข้อวัตรโดยถือไม้กวาดลงกุฏิเพื่อกวาดตาด ขณะที่หลวงปู่จันทร์แรม กวาดตาดอยู่นั้น หลวงปู่มั่นได้เดินผ่านมา หลวงปู่จันทร์แรมเห็นหลวงปู่มั่นเข้าก็รีบหนีด้วยความเกรงกลัว แต่ท่านพระอาจารย์มั่นได้พูดว่า
    ”หยุดก่อนๆ พระน้อย อย่าเดินหนี อย่ากวาดเร็ว มันไม่สะอาด”
    แล้วหลวงปู่มั่นก็ได้ถามหลวงปู่จันทร์แรมว่า
    “มาจากจังหวัดไหน”
    หลวงปู่จันทร์แรมกราบเรียนว่า
    ”มาจากบุรีรัมย์ ขอรับ”
    หลวงปู่มั่นกล่าวต่อว่า
    “เพิ่งเห็นพระมาจากบุรีรัมย์”
    หลวงปู่มั่นถามต่อว่า
    “ไล่ทหารหรือยัง?”
    หลวงปู่จันทร์แรมตอบว่า
    “เรียบร้อยแล้วครับ”
    หลวงปู่มั่นได้เตือนหลวงปู่จันทร์แรมว่า
    “อย่าหนีน่ะ อย่ากลับบ้านน่ะ ถ้ากลับบ้าน ก็จะกลายเป็นคนบ้าน ตัด น ออก”
    จากนั้นหลวงปู่มั่นได้ให้โอวาทกับหลวงปู่จันทร์แรม ตรงริมทางนั้นเองว่า
    “การภาวนาอย่านอน 3 ทุ่ม 4 ทุ่มจึงนอน นอนตื่นเดียวไม่ให้นอนซ้ำ เมื่อตื่นขึ้นให้ภาวนาต่อ ก่อนภาวนาต้องมีสติ เอาใจใส่ต่องานที่เราทำ อย่าทำแบบลวกๆ กลางวันอย่านอน ให้เดินจงกรมนั่งสมาธิ ให้ไปทำหลังวัดที่เป็นป่ากระบาก นอกจากนั้นให้ไปที่ถ้ำพระบ้านนาใน เป็นถ้ำที่มีเสือเดินผ่าน ด้วยความกลัวจะทำให้จิตเป็นสมาธิเร็ว อย่าขี้เกียจ”
    ซึ่งปกติท่านหลวงปู่มั่นจะไม่อบรมธรรมะโดยยืนพูดกับเณรข้างทางเลย หลังจากท่านเมตตาเทศน์ให้หลวงปู่จันทร์แรมแล้ว ท่านก็เดินกลับกุฏิ พระรูปอื่นก็เข้าไปถามว่า
    “หลวงปู่มั่นท่านดุอะไร”
    เป็นที่แปลกใจของหมู่เพื่อนพระภิกษุด้วยกันเป็นอย่างมาก เพราะเข้าใจว่าหลวงปู่จันทร์แรมถูกหลวงปู่มั่นดุ ซึ่งโอวาทธรรมที่หลวงปู่จันทร์แรมได้รับจากหลวงปู่มั่นในครั้งนั้น เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่หลวงปู่จันทร์แรมมีโอกาสได้รับธรรมะโดยตรงจากท่านหลวงปู่มั่น เป็นที่ปลื้มปีติและซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งจนถึงทุกวันนี้ในเมตตาธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์
    หลังจากบวชได้ประมาณ ๖ พรรษา หลวงปู่ได้ติดตามพระอริยเวที (หลวงปู่มหาเขียน ฐิตสีโล) เพื่อไปช่วยสร้างวัดป่าบ้านโพน (วัดรังสีปาลิวัน) อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์โดยได้จำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้เพื่อดูแลความเรียบร้อยแทนองค์หลวงปู่มหาเขียน และ ณ ที่แห่งนี้เองที่ได้เกิดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเป็นการทดสอบความแน่วแน่ในการครองเพศบรรพชิตของท่าน
    เรื่องมีอยู่ว่ามีสาวสวยประจำหมู่บ้านนางหนึ่งได้แอบหลงรัก และเผยความนัยด้วยการเขียนจดหมายสอดไว้ในซองบุหรี่ที่นำมาใส่บาตรในตอนเช้าเมื่อหลวงปู่รับบิณฑบาตเสร็จ แกะซองบุหรี่เพื่อจะจุดสูบ ก็ได้พบข้อความ
    “เห็นวันแรกก็เกิดหลงรักจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้าญาครูเป็นโยม จะพาหนีไปสร้างครอบครัวอยู่ด้วยกัน"
    แม้ว่าข้อความจะเปิดเผยความในใจอย่างชัดแจ้ง และเจ้าของข้อความก็มีรูปร่างหน้าตาสะสวยแต่พระหนุ่มก็มิได้หวั่นไหวไปกับกลกิเลสเลยแม้แต่น้อยเป็นเวลาถึง ๔ เดือนที่หญิงนางนี้เขียนจดหมายสอดซองบุหรี่ใส่บาตรเป็นประจำ ทว่ากลับเป็นความพยายามอันไร้ผลโดยสิ้นเชิง มิอาจทำให้ท่านหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งออกพรรษาหลวงปู่จึงออกจากหมู่บ้านเพื่อแสวงหาความวิเวกต่อไปท่านได้เล่าถึงความรู้สึกในขณะนั้นว่า
    “ในใจตอนนั้นมันแกล้วกล้ามาก ตั้งปณิธานไว้ว่าถ้าหากตาย เราต้องตายภายใต้ผ้ากาสาวพัสตร์ อันเปรียบเสมือนธงชัยพระอรหันต์ มันมีคุณค่ามีศักดิ์ศรีมากกว่าการตายในเพศฆราวาสยิ่งนัก"
    ด้วยความมั่งคงไม่ไหวหวั่นไปกับเล่ห์กลของกิเลส มุ่งในธรรมะเพื่อการพ้นทุกข์อย่างแท้จริงทำให้หลวงปู่จึงสามารถดำรงเพศพรหมจรรย์ตราบวาระสุดท้ายเป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนในฐานะของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบผู้เป็นสาวกแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทั้งนี้ หลวงปู่จันทร์แรม เป็นพระนักปฏิบัติที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นอย่างดียิ่ง มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของศิษย์ยานุศิษย์มากมาย ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ พ่อค้า และประชาชนทั่วไปทั่วทุกภาคของประเทศ และต่างประเทศ
    ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๖ หลวงปู่ เริ่มอาพาธด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลวิชัยยุทธ และ ศิริราช อยู่ในการดูแลของคณะแพทย์อย่างใกล้ชิดตลอดมา เมื่อหลวงปู่สุขภาพดีขึ้นก็จะออกรับกิจนิมนต์ต่างๆอยู่เสมอ จนหลวงปู่เป็นที่รู้จักและเคารพของบรรดาญาติโยม โดยเฉพาะชาวกรุงเทพมหานคร และในปีนั้นเองหลวงปู่ได้เริ่มดำริก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์
    จนกระทั่งเมื่อเวลา ๑๑.๐๐ น. วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครคลาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ขณะหลวงปู่กำลังฉันภัตตาหารเพล ที่กุฏิภายในวัดระหาน(เกาะแก้วธุดงคสถาน)โดยมีลูกศิษย์ทั้งพระ แม่ชี และฆราวาสอยู่ด้วย หลวงปู่เกิดอาการ หน้าแดง หมดสติล้มฟุบลงกับพื้น หัวใจหยุดเต้น คณะศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างตกใจโดยไม่คลาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้ จึงช่วยกันนำหลวงปู่ส่งรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์ทันที
    เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์ คณะแพทย์ช่วยกันปั๊มหัวใจ จนหัวใจทำงานอีกครั้ง แต่หลวงปู่จันทร์แรมก็ยังอยู่ในสภาพไม่รู้สึกตัว โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์ได้ส่งไปรักษาต่อที่ห้องไอ.ซี.ยู. โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ เนื่องจากขณะนั้นโรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์ยังแพทย์ที่มีความชำนาญทางด้านหัวใจ เมื่อมาถึงโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ได้เข้าทำการรักษาในห้อง ซี.ซี.ยู. ในระหว่างที่ทำการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ได้มีครูบาอาจารย์หลายรูป เช่น หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม วัดกระดึงทอง จ.บุรีรัมย์,หลวงปู่ประสาน สุมโน วัดป่าหนองไคร้ จ.ยโสธร,หลวงปู่เอียน ฐิตวิริโย จ.สุรินทร์,หลวงพ่ออาจ อาวุธปัญโญ วัดทุ่งโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ และคณะศิษย์ทั้งพระและฆราวาสเป็นจำนวนมากได้เข้าเยี่ยมอาการอาพาธของหลวงปู่ ทุกคนที่มาล้วนมีความรู้สึกอันเดียวกันว่าร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกศิษย์คงจะอยู่กับพวกเราได้อีกไม่นาน
    >>>>หลวงปู่ละสังขาร ในที่สุดช่วงเวลาแห่งความวิปโยคของบรรดาลูกศิษย์ก็มาถึง ในยามดึกสงัดก่อนรุ่งของ วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ หลวงปู่เริ่มแสดงอาการอาการลาธาตุขันธ์ การทำงานระบบต่างๆของร่างกายเริ่มยุติลงกระทั่ง เวลา ๐๑.๕๐ น. หลวงปู่ก็ได้ละทิ้งธาตุขันธ์ เข้าแดนเกษมแห่งธรรมคืออนุปาทิเสสนิพพานด้วยอาการสงบ สิริอายุ 87 ปี 203 วัน พรรษา 65 ทิ้งมรดกธรรม คุณงามความดีไว้แก่โลก ให้บรรดาลูกศิษย์ได้ยึดถือเป็นคติตัวอย่าง ดำเนินรอยตามพระอริยเจ้าผู้งามพร้อมด้วยคุณอันประเสริฐ

    005_6853393_o.jpg?_nc_cat=103&_nc_sid=2d5d41&_nc_ohc=Frw3JVoIavUAX9XMbGi&_nc_ht=scontent.fkkc2-1.jpg
    SAM_7124.JPG SAM_3954.JPG SAM_3955.JPG SAM_1590.JPG
     
  2. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 777 เหรียญรุ่นสร้างศาลาการเปรียญหลวงปู่ประครอง ปิยธัมโม พระอรหันต์เจ้าวัดดอยเทวธรรมมาราม อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย หลวงปู่เป็นศิษย์หลวงปู่ขาน ฐานวโร วัดป่าบ้านเหล่า เหรียญสร้างปี 2551 เนื้อกะไหล่ทอง >>>>>>มาพร้อมพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ********บูชาที่ 205 บาทฟรีส่งems(หลังเหรียญมีเกศาหลวงปู่เเละนํ้าคำหมากหลวงปู่ติดมาด้วยครับ) >>>>>ประวัติย่อๆพอสังเขป หลวงปู่ประครอง ปิยธัมโม เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๘ พื้นเพท่านเป็นชาวจังหวัดสกลนครโดยกำเนิด บิดาชื่อ ทอง ศรีอุทัย มารดาชื่อครอง ศรีอุทัย หลวงปู่ประครอง มีพี่น้องร่วมท้อง ๕ คน ซึ่งท่านเป็นพี่ชายคนโต เมื่อหลวงปู่ประครองจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๔-๑๕ ปี ก็ได้ออกมาช่วยพ่อแม่ทำงานกิจการงานที่บ้าน จนอายุ ๒๐ ปี จึงได้ศึกษาและออกบวชทางพระพุทธศาสนา ได้บำเพ็ญสมณธรรมวัดในหมู่บ้านเป็นเวลา ๑ พรรษา จึงได้เดินออกธุดงค์ตามครูบาอาจารย์ที่เคารพ หลวงปู่ครองได้รับการอบรมฝึกปฏิบัติทางจิตใจก็ยิ่งเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ตั้งใจจะปฏิบัติหาเหตุผลให้กับชีวิต ตลอดจนตั้งใจปฏิบัติให้พ้นวัฏฏะสงสาร และได้ไปประพฤติปฏิบัติธรรมที่ จ.จันทบุรี ๒-๓ พรรษา จนได้กลับมาเยี่ยมบ้าน เห็นว่าอย่างไร พ่อแม่ก็ยังมีน้องๆ คอยช่วยดูแลอยู่ ท่านจึงออกเดินธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมเริ่มจาก จ.อุดรธานี จ.เลย พิษณุโลก กำแพงเพชร เชียงใหม่ จนกระทั่งถึง จ.เชียงราย เดินเท้าบ้าง นั่งรถบ้าง หิวโหยบ้าง จนถึงกระทั่ง จ.เชียงราย คิดเห็นว่าบริเวณบ้านป่าสักงาม ต.ดงมหาวัน อ.เวียงเชียงรุ้ง แห่งนี้เหมาะที่จะเป็นที่บำเพ็ญสมณธรรม อยู่ต่อมา อยู่ต่อบ้านมีภูมิเทวดาได้ลงมาฟังเทศน์ฟังธรรมจึงได้รู้ว่ามีพระธุดงค์ท่านมาแสวงหาโมกขธรรม เริ่มแรก ได้เกิดนิมิตต่างๆ ได้บำเพ็ญอยู่บนยอดดอยในพรรษา ได้นิมิตเห็นแสงสว่างบนเจดีย์ ๓ ชั้น และในเวลาต่อมา มีโยมสองสามีภรรยา ซึ่งน่าจะเป็นเทวดา มากราบขอเป็นโยมอุปัฏฐาก
    ต่อมาได้มีชาวบ้านป่าสักงามมาร่วมกันอุปถัมภ์ดูแลสถานที่ปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นป่าชุมชน ชาวบ้านได้สร้างถนนขึ้นไปถึงบนดอย หลวงปู่ประครอง ได้อยู่จำพรรษา ๒ พรรษา จากนั้นจึงได้กลับมา จ.สกลนคร และในเวลาต่อมา หลวงปู่ได้กลับไปบ้านป่าสักงามอีกครั้ง ชาวบ้านได้ลงมติให้สถานที่นั้นเป็นสำนักสงฆ์ ต่อมาหลวงปู่ได้ตั้งชื่อว่า "ดอยเทวธรรมาราม" ชาวบ้านได้ก่อสร้างกุฏิ เสนาสนะ และได้มีพระมาจำพรรษาอยู่ด้วย ๒-๓ รูป ปี พ.ศ.๒๕๕๓ ทางสำนักพุทธได้แต่งตั้งให้เป็นวัดถูกต้องตามกฏหมาย โดยได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น "วัดดอยธรรมาราม" หลวงปู่ประครอง ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสมาตั้งแต่นั้นมา ในช่วง ๒-๓ ปีหลัง สุขภาพหลวงปู่ไม่แข็งแรงนัก ศิษยานุศิษย์ที่ จ.สกลนคร จึงอาราธนาให้ท่านมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเกิดท่าน หลวงปู่ประครองได้ลงมาพำนักรักษาตัวอยู่ที่วัดป่าศรีลาธรรมาราม บ้านโคกศิลา อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร

    _/\_ _/\_ _/\_

    05954723840_o.jpg?_nc_cat=104&_nc_sid=110474&_nc_ohc=IWcobjG5oKYAX8EpPJG&_nc_ht=scontent.fkkc2-1.jpg
    SAM_7251.JPG SAM_7252.JPG SAM_2488.JPG

     
  3. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    *****เพื่อนสมาชิกที่สนใจ โอนเข้าบัญชีธนาคาร กรุงเทพ สาขาบ้านเเพง เลขบัญชีที่ 496-055842-9,ธนาคาร กรุงไทย สาขาบิ๊กซี ลำพูน เลขบัญชี 854-0-31280-8,ธนาคาร กสิกรไทย สาขาเสนา เลขที่บัญชี 016-3-45911-6, ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเสนา เลขที่บัญชี 770-270878-6 ขอขอบคุณครับ
     
  4. Peterbn

    Peterbn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +294
    จองครับ
     
  5. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 778 เหรียญสมปรารถนาหลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต พระอรหันต์เจ้าวัดสวนทิพย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี หลวงปู่บุญฤทธิ์เป็นศิษย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ มีตอกโต๊ตยันต์หลังเหรียญ เนื้อทองทิพย์ เหรียญใหม่ไม่เคยใช้สวยมากครับหายาก >>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ *******บูชาที่ 450 บาทฟรีส่งems SAM_0351.JPG SAM_7253.JPG SAM_7255.JPG SAM_1439.JPG
     
  6. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 779 เหรียญพอใจพระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พระอรหันต์เจ้าวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เนื้อกะไหล่ทอง มาพร้อมพระเกศา,พระธาตุมาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ ( อนึ่ง.......คำว่า พอใจๆเป็นคำพูดที่ติดปากพระหลวงตาเวลามีลูกศิษย์มาถวายสิ่งของเเละปัจจัยครับ)>>>>>>บูชาที่ 285 บาทฟรีส่งems SAM_5375.JPG SAM_7256.JPG SAM_7257.JPG SAM_1822.JPG
     
  7. Karoonsur

    Karoonsur Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +224
    จองครับ
     
  8. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 780 เหรียญ 100 ปี+พระรอดจิ๊วพิมพ์เล็กเนื้อสีดำหลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันต์เจ้าวัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เหรียญสร้างปี 2536 เนื้ออัลปาก้า รายการนี้มีพระรอดจิ๊วของหลวงปู่บุดดามาบูชาด้วยครับ มีพระเกศา,จีวร,เเป้งเสกของหลวงปู่มาบูชาด้วย>>>>>>>>บูชาที่ 375 บาทฟรีส่งems SAM_5190.JPG SAM_1360.JPG SAM_7260.JPG SAM_7259.JPG SAM_7261.JPG SAM_7262.JPG SAM_7264.JPG SAM_7263.JPG SAM_0556.JPG
     
  9. Khun Kriang

    Khun Kriang สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2019
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +4
    จองครับ
     
  10. wangbao

    wangbao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +149
    ได้รับวัตถุมงคลเรียบร้อยครับ ขอบคุณมากครับ
     
  11. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    *******เช้าวันนี้ได้จัดส่งวัตถุมงคลให้เพื่อนสมาชิก 2 ท่านครับ เลขที่จัดส่งems ตามใบฝอยครับ SAM_7265.JPG
     
  12. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 781
    พระกริ่ง+พระชัยวัฒน์อวโลกิเตศวร+เหรียญรับทรัพย์มีโชคลาภ 80(เหรียญหน้ายักษ์)หลวงปู่บุญหนา ธัมมทินโน พระอรหันต์เจ้าวัดป่าโสติถิผล อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร หลวงปุ่บุญหนาเป็นศิษย์หลวงปุ่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม (ศิษย์รุ่นใหญ่หลวงปู่ม้่น ภูริทัตโต) พระกริ่งสร้างปี 2549 เนื้อโลหะผสม ชื่อ รุ่น ภาวนา ไตรมาส 49 ก้นทองทองเหลืองอุดทองเเดง มีตอกโค๊ต คำว่า ภาวนา เเละ ธัมมทินโน มาพร้อมกล่องเดิม >>>>> มีพระเกศาขาวๆใสๆของหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ......***** (......กริ่งรุ่นนี้หลวงปู่อฐิษฐานจิต 3 ไตรมาส ********บูชาที่ 525 บาทฟรีส่งems ประวัติย่อๆหลวงปู่บุญหนา
    hcthfa7ele6q2dulksgscfuvzrleuzjy2f2wslfd7uifokyqufwgpef0gs0z2wummy-jpg.jpg

    4dqpjutzluwmjzziqfe01nwuxajgwwaxwgwdcgc2m0e0-jpg.jpg
    หลวงปู่บุญหนา ธัมมทินโน ได้ละสังขารเข้าอนุปาทิเสสนิพพานอย่างสงบ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2559 สิริอายุ 84 ปี 9 เดือน 1 วัน 64 พรรษาหลวงปู่บุญหนา ธัมมทินโน >>>>>>เกิดวันที่ 5 กรกฎาคม 2474 แรม 6 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม เข้าบรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ 12 ปี เป็นหลานแท้ๆ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร แห่งวัดป่าอุดมสมพร พระเกจิชื่อดังของจังหวัดสกลนคร นอกจากนี้หลวงปู่บุญหนายังเป็นศิษย์ธรรมสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีในบวรพุทธศาสนา พระสายวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยและหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นสุดท้ายที่ดำรงอยู่ ณ วัดป่าโสติถิผล ต.ช้างมิ่ง อ.พรรรณานิคม จ.สกลนครตลอดเวลาที่ครองสมณเพศ หลวงปู่ได้ปฏิบัติธรรม เผยแผ่หลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนา โดยใช้หลักแนวคิด สอนญาติโยมให้รู้จักครองตนอยู่ในศีลธรรม ประพฤติตนเป็นคนดี ให้เป็นผู้มีสติ ระลึกรู้ในกาย วาจา คำพูด สติ อยู่เสมอ


    sam_0336-jpg-jpg.jpg sam_6796-jpg-jpg.jpg sam_6797-jpg-jpg.jpg sam_6798-jpg-jpg.jpg sam_6800-jpg-jpg.jpg sam_6801-jpg-jpg.jpg sam_6802-jpg-jpg.jpg sam_6803-jpg-jpg.jpg sam_6804-jpg-jpg.jpg sam_1610-jpg-jpg.jpg

    SAM_3996.JPG SAM_3997.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2020
  13. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 782 รูปเหมือนลอยองค์รุ่นย้อนยุค+เหรียญเม็ดเเตงหลังรูปเหมือนพระอุปคุตเถระอาจารย์ของหลวงปู่ไม อินทสิริ พระอรหันต์เจ้าวัดป่าเขาภูหลวง อ.วังนํ้าเขียว จ,นครราชสีมา หลวงปู่ไมชาติปัจจุบันเป็นศิษย์หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านีโครธาราม รูปเหมือนย้อนยุคสร้างปี 2554 เนื้อทองทิพย์ ,มีตอกโค๊ต ตัวอักษร ส เเละโค๊ตตัวเลข ๙ ใต้องค์พระ มาพร้อมกล่องเดิม ส่วนเหรียญเม็ดเเตงสร้างปี 2557 เนื้อองเเดง มาพร้อมพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ *******บูชาที่ 295 บาทฟรีส่งems SAM_0259.JPG SAM_7266.JPG SAM_7270.JPG SAM_7271.JPG SAM_7273.JPG SAM_7275.JPG SAM_7268.JPG SAM_7269.JPG SAM_2008.JPG
     
  14. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 783
    เหรียญเศรษฐีธรรม+พระเเกะสลักไม้ยิงเลเซอร์หน้าเหมือนรุ่นให้สมปรารถนาหลวงปู่ลี กุสลธโล พระอรหันต์เจ้าวัดป่าภูผาเเดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี หลวงปู่ลีเป็นศิษย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เหรียญสร้างปี 2550 เนื้อสำริด มีตอกโค๊ต ล หลังเหรียญ ส่วนพระเเกะสลักไม้ยิงเลเซอรืหน้าเหมือนหลวงปู่ลี สร้างปี 2558 มาพร้อมกล่องเดิม #ประวัติหลวงปู่ลี กุสลธโร ประธานสงฆ์วัดเกษรศิลคุณธรรมเจดีย์ (วัดภูผาแดง) ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    --------หลวงปู่ลี กุสลธโร จะอายุครบ ๙๔ ปี หากถือตามวันจันทรคติคือวันเพ็ญ เดือน ๑๐ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๙ รวม ๖๗ พรรษา
    หลวงปู่ลี กุสลธโร แท้ที่จริงท่านเกิดวันจันทร์ที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๕ ปีจอ โดยท่านหลวงปู่ลีให้ถือตามครูบาท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ออกแบบแผ่นศิลาฤกษ์ เพื่อวางศิลาฤกษ์สถานที่ก่อสร้างเจดีย์ที่วัดภูผาแดง อ. หนองวัวซอ จ. อุดรธานี โดยนำ เอาดวงเกิดหลวงปู่ หลวงตา แล้วก็วันที่ ที่วางศิลาฤกษ์ ไปกราบเรียนถามท่านหลวงปู่ลีว่า วันที่ ที่ในใบสุทธิของท่านไม่ถูกต้อง เมื่ออ้างอิงจากปฏิทินร้อยปี เพราะวันที่ ๑๔ ไม่ตรงกับวันจันทร์ และขึ้น ๑๕ ค่ำ วันที่ ที่ถูกต้อง ต้องเป็นวันจันทร์ ที่ ๕ กันยายน ๒๔๖๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีจอ
    ท่านเกิดที่บ้านเก่า ตำบลบ้านเก่า อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นบุตรของนายปุ่น และนางโพธิ์ สาลีเชียงพิณ มีพี่น้องร่วมอุทร ๙ คน ชาย ๔ คน หญิง ๕ คน ท่านเล่าชีวิตในวัยเด็กว่า สมัยเป็นเด็กพ่อแม่ก็พาทำบุญเหมือนกับชาวบ้านทั่ว ๆ ไป อายุได้ ๑๒ ปี เรียนจบชั้น ป. ๓ พออายุ ๒๐ กว่าปีก็ได้แต่งงานกับนางสาวตี ภรรยาตั้งท้องแล้วคลอดลูกออกมาตาย
    ท่านได้เกิดความสลดใจเป็นยิ่งนัก ท่านเล่าว่า การแต่งงานก็มิได้แต่งกันด้วยความรัก แต่งงานกันตามประเพณีที่พ่อแม่บอกให้แต่งเท่านั้น ท่านเองไม่เคยมีคนที่รัก และยังไม่เคยรักหญิงใดเลย ท่านอยู่กินกับภรรยาได้ ๒ ปี ๖ เดือน จึงขอออกบวช เพราะได้ฟังธรรมจากพระกรรมฐานที่เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ที่เดินธุดงค์มาพักยังป่าแถบหมู่บ้านของท่านเก่งนักในการพิจารณาอสุภะกรรมฐาน พิจารณาเมื่อไหร่ ก็ได้เรื่องได้ราวเมื่อนั้น เห็นผลเป็นที่ประจักษ์เป็นอุปนิสัยดั้งเดิมของท่าน

    #อุปสมบท...
    ท่านบวชพระเมื่อครั้งงานเผาศพหลวงปู่พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโตและเมื่ออุปสมบทได้ฉายานามว่า “กุสลธโร” แปลว่า “พระผู้ทรงไว้ซึ่งความดี” เป็นลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิด พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)
    หลวงปู่ลี อุปสมบทที่วัดศรีโพนเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เมือวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เวลา ๑๖.๑๒ น. โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายานามว่า กุสลธโร แปลว่า พระผู้ทรงไว้ซึ่งความดี

    ท่านเล่าการภาวนาในพรรษาแรกว่า “ภาวนาบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ เกิดแสงสว่างวาบฉายเข้ามาเห็นภรรยาเดินเข้ามาหา มาได้ระยะห่างประมาณวากว่าๆ จึงล้มลง ร่างกายแรกกระจุยเป็นผุยผง แม้แต่กระดูกก็มองไม่เห็น กลายเป็นดินเป็นหญ้า เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา สัญญาความจำได้หมายรู้ในรูปนาม ไม่ยึดไม่ติด การภาวนาจะเป็นแบบนี้ได้ต้องเกิดแสงสว่างก่อน จากนั้นการออกพิจารณาทางด้านปัญญาไหลคล่องตัวเหมือนสายน้ำตกจากที่สูงลงที่ต่ำไม่มีติดขัด
    หลวงปู่ลี ท่านนั้นติดสอยห้อยตามหลวงตามหาบัวตลอดมา แม้หลวงตาจะหนีออกวิเวกไปทางไหน หรือจะดุจะว่าจะไล่ให้หนีไปอย่างไรหลวงปู่ลีก็อดทนติดตามไปทุกหนทุกแห่งไม่เลิกไม่ราไม่ท้อถอย หวังให้ท่านช่วยอบรมสั่งสอนให้ สุดท้ายหลวงตาก็ยอมรับเป็นศิษย์ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ ได้ติดตามหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ไปจำพรรษาที่เสนาสนะป่าห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ต่อจากนั้นท่านได้ติดตามหลวงตาไปจำพรรษายังจังหวัดจันทบุรี และย้อนกลับมาจำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
    ในสมัยที่หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พักอาพาธที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม จังหวัดปทุมธานี หลวงปู่ลีมักจะมาเยี่ยมเยียนเสมอ และองค์หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็ชื่นชมรักใคร่หลวงปู่ลีเป็นอย่างมากเช่นกัน ท่านทั้งสองจึงเป็นสหธรรมิกที่สนิทสนมกันมาก
    ท่านได้แสวงหาสถานที่เที่ยววิเวกด้วยการออกเที่ยวธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ มากมาย เช่น ภูวัว ถ้ำจันทร์ จังหวัดหนองคาย และป่าแถวสกลนคร และจังหวัดเลย เป็นต้น ท่านสามารถภาวนาพิจารณาอสุภะและสุภะกรรมฐาน ตั้งเป็นภาพปฏิภาคนิมิตขึ้นแล้วเพ่งกระแสจิตทำลายเผาผลาญกิเลสได้ตั้งแต่สมัยยังเป็น ฆราวาส เมื่อบวชได้เพียง ๑๑ วัน ท่านตั้งใจภาวนาไม่ลดลาความพากเพียร ได้นิมิตว่า “ตนเองเดินทางเข้าไปในป่ากว้าง ผ่านห้วยหนองคลองบึง มีขอนไม้ชาติยาวใหญ่ดำสุดสายตา จึงเดินปีนขึ้นไปไต่ตามขอนนั้นไปเรื่อยๆ พอสุดปลายขอนไม้ชาตินั้น พลันเจอป่าอันรกชัฏมีขวากหนามรกรุงรัง จะหันหลังกลับก็ไม่ได้ จึงต้องพยายามแหวกคมหนามมุดมอดบุกผ่าเข้าไปให้ผ่านป่าอันแสนจะข้ามยากนั้น เมื่อผ่านมาได้ด้วยความยากลำบาก เจอทุ่งโล่งอันเวิ้งว้างมีหอพระไตรปิฎกอันวิจิตรตระการตาตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ จึงก้าวเดินขึ้นไป เห็นห้องหอประตูตู้ กำลังจะเดินเข้าไปเปิด แต่ยังไม่ทันได้เปิด แต่ได้เข้าไปถึง จิตก็ถอนออกจากนิมิตนั้น”
    >>>>>>>ท่านสิ้นกิเลส(เป็นพระอรหันต์)ใน พรรษาที่ ๑๑ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เวลาตีสอง ตรงกับวันพุธที่ ๕ ตุลาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ ที่วัดบ้านกกกอก อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ...คืนนั้นฝนตกทั้งคืน ท่านเพลิดเพลินในการภาวนา ธรรม คือ สติ สมาธิ และปัญญา หลั่งไหลเหมือนสายน้ำ จิตเต็มอิ่มในธรรม เดินจงกรมคล้ายกับว่าเท้าไม่ได้เหยียบพื้นดิน นั่งภาวนาคล้าย กับว่าตัวลอยอยู่เหนือพื้น ทำสมาธิทั้งคืนไม่นอน ไม่พักผ่อน ในขณะที่พิจารณาเข้าด้ายเข้าเข็มธรรมขั้นสุดท้าย เสียงเทวดาไชโยโห่ร้องก้องทิวเขาพนา เสียงฆ้องทิพย์ดังกระหึ่มมาเป็นระยะๆ สลับกับเสียงเทวดาไชโยแว่วมาแต่ไกล เสียงสาธุการปานว่าโลกธาตุทั้งมวลหวั่นไหว น้ำตาร่วงอัศจรรย์เกินที่จำมาเล่าได้ คืนนั้นเสวยวิมุตติสุขสุดที่จะพรรณนา ต่อมาท่านได้นำเรื่องธรรมที่ได้รู้เห็นไปกราบเรียนหลวงตามหาบัว ผู้เป็นอาจารย์ทุกประการ
    หลวงปู่ลี กุสลธโร ท่านบวชเณรเมื่อครั้งงานเผาศพหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากนั้นท่านก็ได้ติดตามหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จนกระทั่งมาสร้างวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี หลวงปู่ฯท่านพระลูกศิษย์หลวงตามหาบัว รุ่นแรก ๆ เลยก็ว่าได้ สำหรับภูมิธรรมของหลวงปู่ฯนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้หลวงตาบัวท่านก็ได้เทศน์ประกาศให้ลูกศิษย์ได้รับรู้รับทราบกันกระจ่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ว่าหลวงปู่ลีท่านถึงที่สุดแห่งธรรมมานานแล้วนะ แต่ท่านอยู่ของท่านอย่างเงียบ ๆ รู้กันเฉพาะในวงกรรมฐานเท่านั้น
    หลังจากงานประชุมเพลิงหลวงปู่ใหญ่มั่นฯ เสร็จแล้ว องค์ท่านก็ได้มาอยู่สำนักของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่บ้านหนองบัวบานก่อน (ต่อมาบริเวณนี้ได้กลายเป็นวัดป่านิโครธาราม) องค์ท่านเองได้เป็นพระพี่เลี้ยง พระอาจารย์จันทร์เรียน และได้ร่วมวิเวกด้วยกันหลาย ต่อหลายแห่ง และได้พบกันบ้างเมื่อติดตามหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เข้าป่าไป มีเรื่องอภินิหารที่ได้รับฟังจากประสบการณ์ของหลวงพ่อจันทร์เรียน ครั้นที่ท่านทั้ง ๒ อยู่ร่วมกันหลายเรื่อง แต่ถ้าเล่าไปคงต้องโดนท่านเข่น ภายหลังแน่ ฉะนั้นไปสอบถามท่านเองดีกว่า
    หลังจากนั้นองค์หลวงปู่ลี ท่านก็ได้มาอยู่ที่ดอยน้ำจั่น ใครไปภูสังโฆ คงเห็นป้ายอยู่ ปัจจุบันท่านพระอาจารย์สมหมาย อริโย ศิษย์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว มาอยู่ดูแลแทน และได้ตั้งเป็นวัดดอยน้ำจั่น บ.ห้วยไร่ ต.อุบมุง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี สมัยที่หลวงปู่ลี ไปอยู่เกิดเหตุการณ์ถูกรบกวนจากพวกนายหน้าตัดไม้ทำลายป่า เข้ามาก่อกวน ท่านจึงวิเวกมาอยูที่ วัดป่าภูทอง บ.ภูทอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เดิมที หลวงปู่มหาบุญมี สิรินธโร มาสร้างไว้ ก่อนไปอยู่ถ้ำและวัดป่าวังเลิง จ.มหาสารคาม ตามลำดับ
    ซึ่งปัจจุบันเจ้าอาวาส วัดป่าภูทอง คือ หลวงปู่คูณ สุเมโธ (ศิษย์ หลวงปู่สิงห์ทอง หลวงปู่ฝั้น หลวงตามหาบัว) หลังจากนั้น หลวงปู่ลี ก็ออกมาวิเวก ไปแถบภูลังกาต่อ ที่นี่ หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ (วัดป่าบ้านนาคูณ) เคยมาอยู่ก่อนแล้ว (คนละด้านกับวัดถ้ำยา ของ หลวงปู่วัง ฐิติสาโร ศิษย์หลวงปู่ใหญ่มั่น เป็นเจ้าอาวาส)
    พระธรรมเทศนา (ภาษาอิสาน) หลวงปู่ลี กุสลธโร
    "...บ่ทันนาน คั่นจิตเป็นปัจจุบันอยู่ฮั่น บ่เห็นหนึ่งต้องแนวหนึ่งหละ มันซิเกิดเฮ็ดให้มันเป็นปัจจุบัน อดีตที่ล่วงมาแล้ว ก็อย่าไปคำนึงเลย มันก็ออกไปจากปัจจุบันนั่นหละ อนาคตคือกัน มันออกไปจากปัจจุบันนี่ละ อย่าไปคำนึงมันเลย คุมมันเข้า เบิ่ง ให้เบิ่งหัวใจเจ้าของนั่นละ อย่าไปเบิ่งหัวใจผู้อื่น... คั่นคุมเจ้าของแท้ๆ ต้องเห็น คั่นพิจารณาสภาพร่างกายก็พิจารณาอยู่ฮั่น แต่พื้นเท้ามาศีรษะ แต่ศีรษะลงมาพื้นเท้า ให้พิจารณาอยู่ฮั่น เอาแหมะ ๒๔ ชั่วโมงนี่ บ่ให้มันปากมาเลย ต้องเกิดแน่... อันนี้หัวใจมันแลนอยู่นำโลกนำสงสารพุ่น มันบ่ปักมั่น แล้วซิเห็นหยังฮั่น คือกินข้าวเนี่ย กินนอนอยู่ ย้ายไปนั่น นอนอยู่ก็ไปฮั่น นอนก็ไปนี่ เลยบ่อิ่มจักที นี่เรื่องมัน
    เอ้า พิจารณามันซี คั่นคุมเข้าแท้ๆ มันซิต้องจับได้เงื่อน เดี๋ยวมันซิเกิดอันนั้นเกิดอันนี่โลด นี่เฮ็ดจริงทำจริงมันต้องรู้จริง... ไอ้ พิจารณาโตนี่ละ โตสำคัญ ถ้าหากว่าได้จับจุดได้ละ เออ มันซิออกอุทานบัดทีนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อริยสัจทั้งนั้น... คั่นตีแตกอริยสัจนี่ได้แล้ว ฮ่วย! กราบพระพุทธเจ้ากราบครูอาจารย์ โอ๊ย มันก็กราบอยู่จังซั่นหละ หมดคืนหละ นี่ เพิ่นเว่าจริงเฮ็ดจริง มันซิประมวลมาหมดดอก อันพระพุทธเจ้าเพิ่นเห็นนะ มันซิมาเกิดจากใจเฮานี่ละ... ให้พากันเร่งความพากความเพียร..."
    ท่านระลึกชาติในภพที่เกิดเป็นช้างว่า ท่านเป็นช้างชื่อว่า “คำต้น” เจ้าของช้างชื่อพ่อส่วน เขามีลูกสาว ๒ คน ชื่ออีหวัน และอีพัน ถูกเขาใช้ลากซุงเสมอ ส่วนนายควาญช้างชื่อว่า “บักคำต้น” เหมือนกับชื่อของท่าน... ท่านระลึกย้อนในภพชาติหลังๆ ของท่านมักเกี่ยวข้องกับหลวงตาเสมอ
    พรรษาแรกท่านจำพรรษาที่วัดป่าทรงคุณ จังหวัดปราจีนบุรี อยู่ปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม แม้อายุพรรษามากท่านมักวางตนเป็นเสมือนผู้น้อย มักติดตามหลวงตามหาบัวไปตามสถานที่ต่างๆ เสมือนเณรน้อยๆ ท่านเป็นศิษย์ที่ซื่อสัตย์ เคารพยำเกรงและปฏิบัติตามคำสอนครูบาอาจารย์ อย่างหาที่ติมิได้ ท่านได้รับการยกย่องจากหลวงตาว่าเป็น “เศรษฐีธรรม” และหลวงตามักเรียกนามท่านสั้นๆว่า “ธรรมลี” อดีตสะท้อนปัจจุบันเป็นที่อัศจรรย์เสมอในบุญบารมี ใครจะคาดคิดได้ว่า พระรูปร่างเล็กๆ อยู่ในป่า ไม่มีโวหารเทศนาต้อนรับแขกผู้มาเยือนเช่นท่านจะสามารถหาทองคำช่วยชาติกับหลวงตาได้ถึง ๕๐๐ กว่ากิโลกรัม คิดเป็นเงินหาน้อยไม่ ขอเกาะชายฝ้าเหลืองไปด้วยนะ ท่านเล่าว่า อดีตชาติท่านเกิดเป็นสุนัขรับใช้องค์หลวงตามาหลายภพชาติ แม้ในภพชาติที่เป็นสุนัข นั้น หลวงตาก็ได้เมตตาอบรมสั่งสอน ดัดนิสัยจนเป็นสุนัขที่มีนิสัยดี ไม่เกเร นอกจากนั้น ท่านยังเคยเกิดเป็นช้าง 561000011428001-jpg.jpg หลวงปู่ลี กุสลธโร ได้ละสังขารเข้าอนุปาทิเสสนิพพานวันที่ (3 พ.ย .61) สิริอายุ 96 ปี 1 เดือน 11 >>>>>>>>>>.....มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคล
    ********บูชาที่ 3ุ55 บาทฟรีส่งems sam_5706-jpg.jpg sam_6409-jpg.jpg sam_6412-jpg.jpg sam_7119-jpg.jpg sam_2320-jpg.jpg
    SAM_6218.JPG SAM_6219.JPG SAM_6220.JPG SAM_6221.JPG
     
  15. ธรรมาวุธ

    ธรรมาวุธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    364
    ค่าพลัง:
    +395
  16. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    >>>>>เช้านี้ได้จัดส่งวัตถุมงคลให้เพื่อนสมาชิก 1 ท่าน เลขที่จัดส่งems ตามใบฝอยที่ลงครับผม SAM_7276.JPG
     
  17. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 784 เหรียญกลมกษาปณ์ธรรมอบรมจิต ธรรมรักษาใจหลวงปู่อุดม ญาณรโต พระอรหันต์เจ้าวัดป่าสถิตย์ธรรมาราม อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ หลวงปู่เป็นศิษย์หลวงปู่เเหวน สุจิณโณ วัดดอยเเม่ปั๊ง,หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เป็นต้น เหรียญสร้างปี 2556 สร้างเนื่องหลวงปู่อุดมมีอายุครบ 88 ปี มาพร้อมตลับเดิม มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ ******บูชาที่ 285 บาทฟรีส่งems ****** ชีวประวัติหลวงปู่อุดม ญาณรโต
    วัดป่าสถิตย์ธรรมวนาราม อ.พรเจริญ จ.หนองคาย
    ชาติภูมิ
    หลวงปู่อุดม ญาณรโต ท่านเกิดในตระกูลชาวนา บิดาและมารดาท่านเป็นชาวนา ที่บ้านดงเฒ่าเก่า ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม อยู่ในสกุล เชื้อขาวพิมพ์ รูปร่างสันทัด สีผิวดำแดง โดยมีโยมบิดาชื่อ นายแว่น เชื้อขาวพิมพ์ และมารดาชื่อนางบับ เชื้อขาวพิมพ์ และมีพี่น้องร่วมสายเลือดทั้งหมด 4 คน รวมหลวงปู่
    ชีวิตในสมัยเด็ก ท่านก็เหมือนเด็กชาวนาทั่วไปบิดามารดาทำนา ท่านก็ไปช่วยทำนา ท่านชอบในเพศบรรพชิตมาก ท่านเห็นพระภิกษุสงฆ์เดินผ่านมาท่านเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาเองตั้งแต่วัยเด็ก นี่ก็เนื่องมาจาก โยมบิดามารดาของท่านได้พาปฏิบัติศาสนกิจต่อพ่อแม่ครูอาจารย์ในพุทธศาสนา เช่น ครูบาอาจารย์ในสมัยท่านพระอาจารย์มั่น บิดามารดาท่านมักพาไปปฏิบัติศาสนกิจมาโดยตลอด เช่น หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม วัดป่าสาลวัน หลวงปู่มหาปิ่น ซึ่งเป็นน้องชายของหลวงปู่สิงห์ เป็นต้น ท่านเล่าต่อว่าโยมบิดาท่านเคยได้บวชเณรอยู่ และสึกออกมามีครอบครัว ส่วนมารดาของท่านก็เข้าวัดทำบุญอยู่เป็นปกตินิสัย จึงทำให้ท่านมีความสนิทสนมและใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนามาโดยตลอดนั่นเอง
    *****บรรพชา
    เนื่องจากในวัยเด็ก ท่านเห็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว เกิดความปีติเลื่อมใสในสมณะสงฆ์ (มีความสุขเมื่อได้เห็นพระสงฆ์) ท่านคงมีความคิดที่อยากออกบวชอยู่ภายในใจมาโดยตลอด จากนั้นเมื่อท่านเริ่มโตเป็นหนุ่มท่านเคยได้อ่านหนังสือสวดมนต์และปฏิบัติ สมาธิภาวนา ของหลวงปู่สิงห์ ขัตยาคโม และพระอาจารย์มหาปิ่น ซึ่งทำให้ท่านจับจิตจับใจ มีจิตใจเข็มแข็งเด็ดเดี่ยว และมั่นใจในการที่จะได้บวชถือคลองเพศสมณะ ท่านได้ช่วยบิดามารดาทำนา หาปูหาปลาตามประสาชาวโลก ท่านเล่าว่าปูปลาสมัยก่อนหาง่ายมาก ตัวก็ใหญ่โตทั้งนั้น ท่านเคยดำน้ำเพื่อหาปลา น้ำลึกมากๆหลายเมตรอยู่ ทำให้ท่านเลือดไหลออกมาจากหู (หูหนวก) ท่านมีอาการหูหนวกอยู่แรมเดื่อนกว่าจะหายเหมือนเดิม ท่านบอกว่าชีวิตฆราวาสนั้นเป็นทุกข์ ต้องทำบาป สร้างกรรมเวรอยู่โดยตลอด จนในที่สุดเมื่อท่านมีอายุครบ ๒๓ ปี ท่านจึงได้ขอบิดามารดาของท่าน เข้าบรรพชาอุปสมบท ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งเป็นปีที่หลวงปู่มัน ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส มรณะภาพนั่นเอง โดยมีพระอุปัชฌาย์คือ พระครูอรุณสังฆกิจ (มหาเถื่อน อุชุกโร) วัดกุดเรือคำ ต.กุดเรือคำ อ. วานรนิวาส จ. สกลนคร และพระครูพิพิธธรรมสุนทร (พระคำฟอง เขมจาโร) วัดสำราญนิวาส อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และได้ฉายาทางภิกษุว่า ญาณรโต (ซึ่งแปลว่าผู้ทรงไว้ซึ้งญาณ) และในปีนั้นนั่นเอง ท่านได้เดินทางไปร่วมพิธีเผาศพหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร พร้อมทั้งพระอุปัชฌาย์ และพระกรรมวาจาจารย์ของท่านทั้งสองด้วย ท่านบอกว่างานศพหลวงปู่มั่นใหญ่โตมาก มีพระกรรมฐานมากมายเต็มไปหมด โดยสมัยก่อนวัดป่าสุทธาวาสยังคงมีสภาพเป็นป่าดงพงไพรอยู่ มีต้นไม้ใหญ่มากมายไม่เหมือนสมัยปัจจุบันที่เต็มไปด้วยหมู่บ้านเต็มไปหมด
    พรรษาที่1-2 (พ.ศ.2492-2493)
    ท่านอยู่กับพระอุปัชฌาย์ ที่วัดกุดเรือคำ ต.กุดเรือคำ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
    พรรษาที่3-5(พ.ศ.2494-2497)
    ท่านเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆและกลับมา อยู่ที่วัดภูข้าวหลวง อ.สหัสขัน จ.กาฬสินธุ์
    พรรษา ที่7-15(พ.ศ.2498-2506)
    วัดบ้านนาโสก อ.นาแก ต.บ้านแก้ง จ.นครพนม ซึ่งเป็นบ้านญาติของท่านและเป็นบ้านเกิดของท่านเองต่อจากนั้นท่านได้ไปพักอาศัยอยู่กับหลวงปู่ลี ฐิตธัมโม ตอนนั้นหลวงปู่ลี ท่านอยู่วัดศรีชมพู ต.โคกสี
    อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    พรรษาที่ 20 (พ.ศ.2507-2515)
    ท่านธุดงค์ไปอยู่ทางภาคเหนือบ้าง เช่น สุโขทัย แพร่ น่าน ลำปาง อุตรดิตถ์ พิจิตร เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ เลื่อยมา โดยท่านได้ไปพบกับ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง หลวงปูตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอาจารย์ตื้อ จ.เชียงใหม่ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ หลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย จ.ลำปาง หลวงปู่หลวง กตปุญโญ วัดคีรีสุบรรพต ต.พระบาท จ.ลำปาง โดย
    ช่วงระยะเวลาที่ธุดงค์ในแถบภาคเหนือ ตั้งแต่จังหวัดเพชรบูรณ์นั้น ท่านมีสหธรรมมิกที่ร่วมเดินทางไป
    ด้วยกัน คือ หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล วัดอนาลโย จ.พะเยา และหลังจากที่ท่านไปธุดงค์ที่เชียงใหม่
    กลับมาท่านจึงได้มาอยู่ที่วัดป่า สถิตย์ธรรมวนาราม ต.ศรีชมภู อ.พรเจริญ จ.หนองคาย จนกาละสมัย
    ปัจจุบันนี้ (นี้เป็นเพียงประวัติย่อๆเท่านั้น)
    ครูบาอาจารย์ที่หลวง ปู่ได้ไปพำนักอาศัย และฟังธรรม
    ครูบาอาจารย์เท่าที่หลวงปู่จำได้และเล่าให้ฟังมานั้น ในอดีตที่ผ่านมาแล้วทั้งหลาย ในบางคราวท่านก็ลืมไปบ้าง ซึ่งอาจจะไม่ละเอียดมากนัก เท่าที่ท่านพอจะจำได้นั้น มี ดังนี้
    1. หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
    2. หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอาจารตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    3. หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
    4. หลวง ปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย จ.เชียงใหม่
    5. หลวงปู่สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก สุรินทร์
    5. หลวงปู่ลี ฐิตธัมโม วัดเหวลึก ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    6. เจ้า คุณแดง วัดป่าประชานิยม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์
    7. หลวงปู่เอี่ยม วัดภูข้าวหลวง อ.สหัสขัน จ.กาฬสินธุ์
    ******การ เดินธุดงค์
    ท่านเล่าว่าตั้งแต่โยมบิดาของท่านเสีย ชีวิตด้วยโรคชรา ตอนอายุ ได้ 73 ปี ก่อนท่านออกเดินธุดงค์ และมารดาท่านก็เสียชีวิตด้วยโรคชราเช่นกัน เมื่อตอนอายุได้ 79 ปี หลังจากที่ท่านธุดงค์กลับมาจากจ.เชียงใหม่ ท่านเล่าว่าตอนที่ท่านได้ไปพำนักอยู่ เพื่อฟังธรรมกับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่วัดดอยแม่ปั๋งนั้น ท่านเกิดความประทับใจมาก ท่านเล่าว่าหลวงปู่แหวนท่านเทศแบบง่ายๆ สั้นๆ แต่มีคุณภาพมากๆ คำพูดของท่านลึกซึ้งกว้างขวางมากนัก น่าเลื่อมใสมากๆ ซึ่งในเวลานั้นหลวงปู่ลี วัดเหวลึก ท่านก็ได้ไปร่วมฟังธรรมกับหลวงปู่แหวน กับท่านด้วย ท่านอยู่ฟังธรรมกัน ประมาณ๒-๓ คืน
    จากนั้นท่านได้เดินทางไปจังหวัดลำปาง และเพชรบูรณ์ โดยเดินเท้าไป บางทีฆราวาสเห็นก็อาสาพาไปส่งเป็นบ้าง ท่านใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 เดือนเศษ โดยท่านเดินทางผ่านจังหวัด สุโขทัย แพร่ น่าน ลำปาง อุตรดิถต์ พิจิตร และเพชรบูรณ์ และใช้เวลาเดินทางจากเพชรบูรณ์ไปเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางประมาณอีก 2 เดือน ท่านเล่าว่าตอนเดินทางผ่าน จ.สุโขทัย ได้พบฆราวาสที่กินเจ มักใส่ขนมปัง และน้ำตาลอ้อย โดยบางครั้งเขาจะนำขนมกับข้าวสุกใส่ให้เต็มบาตรเลย ไม่มีกับข้าวคาวเลย ท่านฉันทีแรกๆก็อร่อยดี แต่หลายวันเข้ามันชักไม่อร่อย โดยในตอนนั้นท่านได้เดินเท้าธุดงค์ร่วมกับพระอาจารย์ไพบูรณ์ สุมังคโล วัดอนาลโย จ.พะเยา ซึ่งท่านทั้งสอง สนิทสนมมักคุ้นกันอยู่
    ******การปฏิบัติธรรม
    โดยปกติหลวงปู่อุดมท่านชอบเดินจงกรม และนั่งสมาธิภาวนาเพื่อปฏิบัติทางจิตของท่านอยู่โดยตลอด ท่านบอกว่าถ้าวันไหนไม่ได้เดินจงกรมแล้วหล่ะก็ เดือดร้อนไม่ได้เลยนะ จิตจะเศร้าหมองทันที สมัยที่ท่านอยู่ที่เชียงใหม่ ท่านปฏิบัติธรรมอยู่นั้น จิตของท่านเกิดความสว่าง มีความสุขมาก จิตตกถึงฐานของจิต เข้าสู่พื้นเดิม ท่านเปรียบเหมือนการสักผ้า ถ้าผ้ามันลาย พื้นเดิมของจิตมันก็ลาย ถ้าผ้ามันดำ จิตพื้นเดิมมันก็ดำ (สำนวนของหลวงปู่อุดม) ท่านบอกว่ามันถึงฐานของมัน มีความสุขมากไม่มีอะไรจะมีความสุขเท่า มันมีความปีติอิ่มอกอิ่มใจมาก ท่านจึงเอาตรงนี้มาเป็นอารมณ์ และค้นหาเข้าไปในจิตต่อจนถึงที่สุดของใจ ท่านเล่าว่ามันมีปัญญามากมายหลายอย่างเกิดขึ้นมา ท่านบอกว่าท่านอดนอน อดอาหารเพื่อทำความเพียรภาวนา อยู่ ๕ วัน ๕ คืน ท่านบอกว่า อดนอนนี่ทุกข์ยิ่งกว่าอดอาหารอีก แต่เพราะว่ามีปีติอยู่ ท่านจึงสามารถทำได้ ภายหลังจาก ๕ วันผ่านไป จิตของท่าน ก็เบาสบายได้กำลังใจ และกำลังกายยังแข็งแรงดีอยู่ เวลาธรรมเกิดขึ้นมา ๑๐๐ % ท่านนั่งสมาธิไปได้จนถึงแจ้งเลย(เช้าเลย) การปฏิบัติของท่านในเวลา ๖ โมงเย็น จนถึง ๕ ทุ่ม ท่านมักจะเดินจงกรม และในเวลา ๕ ทุ่มขึ้นไป ท่านจะนั่งสมาธิภาวนาไปเรื่อยจนบางทีถึงสว่างก็มี ในคราวที่ใจของท่านรวมลงจนถึงสภาวะเดิมของจิต ท่านเล่าว่ามีความสุขมากๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นนั้น เหมือนกับอยู่ตรงหน้า สามารถยื่นมือแทบจะจับได้ต่อหน้านี้เลยทีเดียว จิตมันไม่ท้อไม่ถอย กระจ่างหมดทุกอย่าง มันหาใจ แก้ใจตัวเองได้หมดทุกอย่าง ในเวลาฟังธรรมพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เพียงนิดหน๋อยเท่านั้นจิตท่านก็สว่างโพรงเลย ท่านบอกว่าจิตท่านเห็นธรรมที่วัดป่าอาจารย์ตื้อ จ.เชียงใหม่ ซึ่งขณะนั้นท่านพำนักอาศัยอยู่กับ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโมนั่นเอง ท่านยังเล่าต่ออีกว่า หลวงปู่ตื้อนั้น ท่านจะเป็นพระที่เทศตรงไปตรงมามาก จนในบางครั้งดูแล้วอาจจะไม่ไพเราะ แต่ท่านก็บอกว่า ผู้มีปัญญาก็ต้องเลือกฟังให้ถูกกับจิตของตนเอง อันไหนดีก็นำมาปฏิบัติให้ถูกกับจิตของตน ในยามที่ท่านเข้าไปนวดแขน นวดขาให้กับหลวงปู่ตื้อนั้น หลวงปู่ตื้อท่านจะเทศให้หลวงปู่อุดมฟัง หลวงปู่อุดมท่านเล่าว่าจับจิตจับใจมาก เลยทีเดียว ทำให้เกิดความเลื่อมใสในองค์ของหลวงปู่ตื้อมากมายยิ่งขึ้นเลยทีเดียว องค์หลวงปู่ตื้อนั้น ท่านขุดดิน ฟันต้นไม้ ต้นกล้วยได้ ซึ่งจริงๆแล้ว สำหรับพระต้องปรับเป็นอาบัติ ส่วนองค์หลวงปู่ตื้อนั้นท่านคงอยู่เหนือสมมุติไปแล้ว เพราะในคราหนึ่งหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง ท่านห้ามหลวงปู่ตื้อไม่ให้ทำเช่นนี้ แต่หลวงปู่ตื้อกลับหันมากล่าวกับหลวงปู่แหวนว่า ไม่ต้องมาสอนหรอกน่า เราพ้นแล้ว(จิตท่านหลุดพ้นไปแล้วนั่นเอง) SAM_7277.JPG SAM_7278.JPG SAM_3981.JPG sam_2151-jpg.jpg sam_2152-jpg.jpg sam_2154-jpg.jpg sam_2153-jpg.jpg
     
  18. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    ายการที่ 785 รูปหล่อลอยองค์+พระผงหยดนํ้ารุ่นเเรกหลวงพ่อวิชัย เขมิโย พระอรหันต์เจ้าวัดถํ้าผาจม อ.เเม่สาย จ.เชียงราย รูปหล่อสร้างปี 2536 เนื้อโลหะผสมรมดำ สร้างเนื่องในหลวงพ่ออายุครบ 48 ปี มีตอกโค๊ต ตัวเลข ๑ หลังองค์พระ มาพร้อมกล่องเดิม ส่วนพระผงสร้างปี 2537 เนื้อเขียวมรกต มีพระเกศาหลวงพ่อมาบูชาด้วยครับ *******บูชาที่ 450 บาทฟรีส่งems
    [​IMG]
    ประวัติย่อๆ พระอาจารย์วิชัย เขมิโย วัดถ้ำผาจม อ.แม่สาย จ.เชียงราย
    ปฏิปทาการดำเนินของท่านพระอาจารย์วิชัย เขมิโย
    ครั้ง นี้เป็นบันทึกประวัติชีวิตของท่านพระอาจารย์วิชัยโดยตรง ชีวิตการธุดงคกรรมฐานของท่านที่ละเอียดมีแง่มุมอันมีเนื้อหาสาระหลากหลาย เป็นประสบการณ์ในชีวิตของพระป่า ที่มีอุดมคติอุดมการณ์ความมุ่งหมายเป็นสัจจุแน่วแน่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรง ปรารถนาให้สาวกและพุทธศาสนิกชนปฏิบัติ นั่นคือ มรรค ผล นิพพาน! ปฏิปทาการดำเนินของท่านพระอาจารย์วิชัยนี้ เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์มั่นคงในพระศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างกายและชีวิต เปี่ยมไปด้วยพลอินทรีย์บารมีอันมุ่งมั่น ควรเป็นที่นับถือ ไหว้นพ เคารพสักการบูชา
    ชีวประวัติปฏิทานี้เขียนโดยลายมือของท่านพระอาจารย์วิชัยเอง! เริ่มต้นด้วยชาติกำเนิดปฐมวัยของท่านดังต่อไปนี้
    ชื่อ เดิม “วิชัย คล่องแคล่ว” เกิดวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา ตรงกับวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๘ (สองพันสี่ร้อยแปดสิบแปด) ณ ที่บ้านหินลาด ตำบลกุดชมภู อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายบัว นางกอง คล่องแคล่ว (สำหรับคุณแม่บวชเป็นแม่ชีอยู่ด้วยขณะนี้) พ่อนั้นตายเสียตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุได้ ๑ ขวบกว่า ๆ อาชีพเดิมของบิดามารดา คือการทำนาตามบรรพบุรุษหลายชั่วคน เมื่อตอนเล็ก ๆ ข้าพเจ้าชอบอยู่กับยาย คือแม่เอาข้าพเจ้าไปฝากยายไว้ซึ่งอยู่คนละบ้าน เพราะแม่ของข้าพเจ้าท่านได้ไปแต่งงานใหม่ ทำให้ข้าพเจ้ากับน้องได้ไปอยู่กับยาย


    นี่คือปฐมบทของชีวิตของเด็กน้อย ที่ได้เริ่มรู้จักกับความว้าเหว่อ้างว้างของลูกที่กำพร้าพ่อและพลัดพรากจาก แม่เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๗ ขวบ ยายก็ให้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านแก่งเจริญ ข้าพเจ้าทำงานหนักที่พอจะทำได้มาตั้งแต่เด็ก ๆ จะเรียกว่าเป็นชีวิตทั้งกำพร้าพ่อแม่ก็ว่าได้เพราะไม่ค่อยจะได้อยู่กับแม่
    ข้าพเจ้า ได้ช่วยยายและพวกน้าผู้หญิงผู้ชายทำงาน กล่าวคือเมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องไปตักน้ำใส่ตุ่มน้ำกินน้ำใช้ เพราะหมู่บ้านที่อยู่นั้นบ่อน้ำอยู่ห่างไกลออกไปประมาณ ๑ กม. และเมื่อตักน้ำกินมาไว้เต็มตุ่มแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องลงไปตักน้ำในแม่น้ำมูลมาใช้และรดห้างพลูกินหมากให้ยาย นี่เป็นงานประจำตอนเด็ก
    นอกจากนั้น ยังต้องช่วยน้าผู้หญิงตำข้าวด้วย เพราะสมัยนั้นหมู่บ้านแถบนี้ยังไม่มีโรงสีข้าว

    ชีวิตข้าพเจ้าจึงตกระกำลำบาก เด็กเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันเขาสบายกันมาก ส่วนข้าพเจ้าเวลากินก็แสนจะลำบาก แม้แต่เวลานอนก็ลำบาก ถึงฤดูทำนาต้องไปนอนที่กระท่อมนากับน้าผู้ชาย ตื่นเช้ามาต้องนึ่งข้าวเหนียวหุงข้าวให้น้า เพราะน้าตื่นขึ้นมาก็รับไปไถนา เมื่อหุงข้าวเสร็จ ก็ต้องหามฟืนกลับบ้านซึ่งห่างจากทุ่งนาประมาณ ๔ กม. พอถึงบ้านก็ต้องรีบกินข้าวไปโรงเรียน ระยะทางจากหมู่บ้านไปถึงโรงเรียน ๓ กม.

    สมัยนั้นยังไม่พัฒนา ทางการให้ ๓ - ๔ หมู่บ้านไปเรียนหนังสือรวมกันที่โรงเรียนแห่งเดียว ทำให้เด็กนักเรียนแต่ละหมู่บ้านต้องเดินไปเรียนกันทางไกลหน่อย พอเลิกเรียนในตอนบ่าย ก็เดินกลับบ้านรีบกินข้าว ซึ่งส่วนมากเป็นข้าวเหนียวในก่องข้าวหรือกระติบเย็นชืดกับปลาร้าและพริกแทบ ทุกวัน อร่อยมากเพราะหิว คนเราเมื่อหิวกินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น จากนั้นก็เอากระบุงใส่ปุ๋ยคอกหาบไปทุ่งนาวันละหาบเฉพาะตอนเย็นการไปนาและ กลับมาบ้านนั้น บ่าของข้าพเจ้าจะไม่ว่างจากไม้คานเลย
    เพื่อนฝูงที่เขามี นาอยู่ใกล้กัน ๔ - ๕ คน เขาเดินไปตัวเปล่าเดินมาตัวเปล่าหยอกล้อกันบ้าง วิ่งไล่จับกันสนุกสนาน ส่วนข้าพเจ้าทำไม่ได้เพราะบ่าต้องหาบคอนใส่ของหนังอึ้ง หมดสนุกสนานมีแต่ความเศร้าสร้อย

    น้าผู้ชายท่านรักข้าพเจ้ามาก รักเสมือนลูกของท่านจริง ๆ ส่วนน้าผู้หญิงนั้นแกไม่รักข้าพเจ้าเลย ชอบข่มเหงรังแกตลอดเวลา บางครั้งทำอะไรไม่ทันใจแกก็จะจิกหัวหรือเฆี่ยนเอา แต่ถ้าน้าผู้ชายเห็นแล้วจะทำไม่ได้ ชีวิตของข้าพเจ้าหากไม่มีน้าผู้ชายช่วยปกป้องแล้วลำบากแสนเข็ญมาก
    แม้แต่ เวลาเข้าเรียนหนังสือเพื่อนเขาได้กระดานใหม่ ๆ คือ กระดานชนวน ได้กางเกงใหม่ เสื้อใหม่ ดินสอใหม่ ส่วนข้าพเจ้าไม่เคยได้เขียนกระดานใหม่ ไม่เคยได้ดินสอใหม่แท่งยาว ๆ เหมือนเขาเลย

    ยายเป็นคนตระหนี่ประหยัด จึงให้ใช้กระดานแตก ๆ แต่พอเขียนได้ ดินสอก็สั้น ๆ กุด ๆ แม้แต่กางเกงของข้าพเจ้าก็ขาดกะรุ่งกะริ่ง เพื่อนชอบล้อเล่นอยู่เรื่อยว่า “ลุงก็มาโรงเรียนเหรอ?”
    หนังสือเรียนก็เก็บเอาของเก่าเขามาให้อ่าน ขาดไปก็มี แต่ก็ยังเป็นบุญบารมีของข้าพเจ้าที่เรียนหนังสือได้เก่งพอสมควร ได้เป็นหัวหน้าชั้นบ่อยที่สุด
    พูดถึงของใช้แล้ว น้อยนักน้อยหนาที่จะได้ใช้ของใหม่ ๆ ดี ๆ ถ้าเป็นผ้านุ่งผ่าห่มก็รับเอาของเก่าพี่ชายบ้าง ยายเอาของคนอื่นมาให้บ้าง

    พอถึงหน้าหนาว ผ้าห่มก็แสนจะขาดปะแล้วปะอีก กางเกงและเสื้อก็ปะแล้วปะอีก ชีวิตของลูกกำพร้าที่อยู่อาศัยยายและน้านั้นแสนจะลำบากเหลือเกิน ชีวิตเอ๋ยช่างอาภัพโชคกระไรหนออย่างนี้ มองดูชีวิตเพื่อนรุ่นเดียวกันเขาช่างมีความสุขมาก ครั้นพออายุได้ ๘ ขวบ เรียนอยู่ประถม ๒ พี่ชายลูกคนละพ่อเขาไปบวชเป็นสามเณร จิตใจของข้าพเจ้าอยากจะตามไปบวชด้วยเหลือเกิน ได้เห็นพี่ชายห่มผ้าจีวรเหลืองอร่ามเหมือนทองดอกบวบงามจับใจ ทำให้ใจไม่อยากจะอยู่บ้านเลย เพราะอยู่บ้านกับยายกับน้าผู้หญิง มีแต่ความทุกข์กายทุกข์ใจเสมอจะยากลำบากกับการงานหนักเกินวัยเด็ก

    เวลา เช้าฤดูแล้ง ยายให้ไปส่งข้าวเณรพี่ชายที่วัดทุกเช้า ข้าพเจ้าบอกเณรพี่ชายให้หาหนังสือพระเณรที่เกี่ยวกับการบอกวิธีบวชเรียนและ สวดมนต์มาให้ พี่เณรก็เอาหนังสือเจ็ดตำนานมาให้อ่านและได้บอกคำขอบวชให้ด้วย

    ข้าพเจ้า เอามาอ่านมาท่องทุกวัน ท่องคล่องปากเพราะเคยได้ยินพระสงฆ์ท่านสวดมนต์อยู่เสมอ วันไหนว่างก็แอบไปวัด เพราะวัดคือสถานที่เล่นเย็นใจหรือสนุกสนานของเด็ก ๆ บ้านนอก เมื่อไปวัดก็ท่องคำขอบบวชเณรให้ขึ้นและได้ขอร้องให้พี่เณรมาช่วยพูดกับยาย ขอร้องให้ยายอนุญาตให้ข้าพเจ้าบวชเณรบ้าง
    พี่เณรก็บอกว่าเรียนหนังสือยัง ไม่ทันจบ ป.๔ บวชเณรไม่ได้หรอก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ฟัง ได้รบเร้าอยู่เรื่อย ๆ จนพี่เณรทนไม่ไหวต้องมาบอกยาย เลยโดยยายตวาดเอา
    แต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ ไม่ลดละความพยายามจะบวชให้ได้ ปีต่อมาข้าพเจ้าพยายามหาวิธีบวชให้ได้ วันไหนว่างแอบไปฟังท่านอาจารย์ที่วัดเทศน์และสนทนากับท่านบ้าง ท่านก็ชวนบวช ทำให้ศรัทธาของข้าพเจ้ายิ่งมีมากขึ้น บางวันไถนาปลูกข้าวอยู่แต่ร่างกาย ส่วนจิตใจมาอยู่วัดตลอดเวลา

    วันหนึ่งปลูกข้าวอยู่กับแม่ เป็นวัน ๗ ค่ำ ซึ่งทางภาคอีสาน พอถึงวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ พระเณรที่วัดต้องตีกลองให้สัญญาณบอกวันโกนวันพระ เขาเรียกว่าตีกลองแลง ( แลง แปลว่า ตอนเย็น) แม้แต่ตี ๔ ตอนกลางคืนก็ตีกลองอีก ตีสลับกับฆ้องเรียกว่าตีกลองดึก เสียงวังเวง ฝูงหมาจะเห่าหอนกันเกรียวทีเดียว
    วันนั้นพอได้ยินพระท่านตีกลองแลง จิตใจของข้าพเจ้าหวิว ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก บอกแม่ว่าเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วผมต้องบวชให้ได้ แม่ก็บอกว่า แม่จะบวชให้ลูกทุก ๆ คนนั่นแหละ ข้าพเจ้าดีใจแสนจะดีใจบอกไม่ถูก ถึงวันพะข้าพเจ้าชอบทำบุญตักบาตร แม้แต่ไปเที่ยววัดไหนยามมีงานวัด ก็ต้องทำบุญก่อนเที่ยว เรื่องทำบุญนี้ทำเองด้วยใจรัก ไม่มีใครบอก เป็นฉันทะความพอใจความเลื่อมใสจากส่วนลึกของหัวใจ

    แม่เอาเงินให้ไป เที่ยวดูโน่นดูนี่ แต่ข้าพเจ้ากลับเอาเงินไปทำบุญหมดก็มี จิตใจมีแต่เมตตาความรักความเอ็นดูสงสารต่อคนอื่นเสมอ แม้แต่สัตว์ เป็นต้นว่าไก่ก็ไม่เคยฆ่า สุนัข แมว วัว ควาย ไม่เคยฆ่า มีเมตตาสงสารสัตว์เหล่านี้เสมอ เห็นใครเขาเชือดคอเป็ดคอไก่แล้วต้องรีบเดินหนีด้วยความสงสาร เห็นคนขับเกวียนบรรทุกฟืนเพียบแปล้ เอาดุ้นฟืนขนาดเท่าแขนตีวัวเทียมเกวียน บังคับขู่เข็ญให้วัวลากเกวียนไป แต่วัวหมดแรงลากไม่ไหวถูกตีจนล้มฟุบ ขี้แตกออกมา ข้าพเจ้าเห็นแล้วถึงกับร้องไห้ด้วยความสงสาร โอหนอ ทำไมคนเราใจคอโหดร้าย ใช้สัตว์ทำงานทารุณถึงปานนั้น ช่างไม่คิดเวทนาสงสารวัวลากเกวียนเอาเสียเลย หรือว่าชาติปางก่อน วัวตัวนั้นเคยเป็นคนทำบาปชั่วมามาก ชาตินี้เลยมาเกิดเป็นวัวให้คนเขาทุบตีใช้งานหนักเช่นนี้เป็นการใช้กรรมเวร? เพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันชอบล้อว่า พ่อใจบุญ ๆ ๆ ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจเสมอ

    เริ่มบวชเป็นสามเณร อายุ ๑๗ ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ณ วัดเวฬุวัน บ้านหนองไผ่ ตำบลดอนจิก อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลธานี โดยมีท่านพระครูสุนทรธรรมวิบูลย์ เป็นพระอุปัชณาย์ บวชในช่วง ๑๐.๐๐ น. ตกกลางมาก็เริ่มปฏิบัติสมาธิเป็นแล้ว เพราะเคยฝึกมาก่อนบวช การนำจิตเข้าสู่สมาธิจึงทำได้พอสมควร ปฏิบัติมาตลอดทุก ๆ วันในพรรษาแรก จิตก็เข้าสมาธิได้สม่ำเสมอแล้ว

    พรรษาที่สอง สอบนักธรรมตรีได้ และการปฏิบัติเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ในกลางพรรษาที่สอง พระพุทธองค์ทรงเสด็จมาประทับอยู่ที่หิ้งพระ แย้มพระโอษฐ์อยู่นานพอสมควรจึงเสด็จไป
    พ.ศ.๒๕๐๘ ย้ายมาอยู่วัดสว่างอารมณ์ บ้านเสียม ตำบลหัวดอน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี เรียนนักธรรมชั้นโท แต่ก็สอบไม่ผ่าน ออกพรรษา หมดเขียนกฐิน ก็ได้บวชเป็นพระภิกษุ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๘ เวลา๖.๐๐ น. บวชไม่กี่วันก็ได้เดินธุดงค์ไปประเทศลาวกับหลวงปู่ไพ ไปพบหลวงพ่อมหาผ่อง เมืองโพนทอง ไปภูมะโรง พบอาจารย์บุญมาก ข้ามยนต์ไปที่จังหวัดปากเซ แล้วก็เดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านยิก เลยไปถึงอัตบามือ ใกล้เมืองสาลวัน ติดต่อเขตแดนลาว เวียดนาม ย้อนกลับมาทางจังหวัดจำปาสัก
    เดินธุดงค์อยู่ ทางประเทศลาวนานพอสมควร จึงได้กลับขึ้นมาประเทศไทย ปี ๒๕๐๙ จำพรรษาอยู่วัดบ้านหัวดูน ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ปฏิบัติไปด้วยศึกษาธรรมไปด้วย ก็สอบนักธรรมชั้นโทได้ กลับมาอยู่วัดสว่างอารมณ์บ้านเสียมอีกครั้งหนึ่ง ศึกษานักธรรมชั้นเอกต่อ

    ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้ออกจากวัดสว่างอารมณ์ มุ่งหน้าต่อไปทางอุดธานี เดินธุดงค์อยู่ตามภูเก้า อำเภอหนองบัวลำภู ขณะนี้เป็นจังหวัดไปแล้ว และเดินอยู่หลายอำเภอ เพราะแถบนั้นมีป่าเขามาก ในปีนั้นก็ได้เดินกลับมาจำพรรษาอยู่วัดบ้านกุดจิก ตำบลห้อยเกิ้ง อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานีออกพรรษาเดินทางไปเวียงจันทร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศลาว นานพอสมควรก็ได้ข้ามมาประเทศไทย
    ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ จำพรรษาอยู่บ้านกุดจิกต่อ ออกพรรษาก็ได้เดินทางกลับไปเวียงจันทน์อีก

    ปี ๒๕๑๔ เดินทางไปอบรมพระพัฒนาการทางจิต ที่จิตภาวันวิทยาลัย อำเภอบางละมุง ได้ปฏิบัติอย่างเต็มที่ เสร็จจากการอบรมเป็นเวลาสามเดือนก็เดินทางกลับอุดรอีกครั้งหนึ่ง ได้ลาญาติโยมเดินธุดงค์ลงภาคใต้ ได้ไปจำพรรษาอยู่วัดท้าวโครต ขณะนี้เปลี่ยนเป็นวัดชายนา ตำบลนา อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ปฏิบัติที่นี่เป็นเวลา ๒ ปี
    ในช่วงอยู่วัดชายนานี้ได้มีโอกาสทำความเพียร อย่างอุกฤษฏ์ มอบกายถวายชีวิต ค้นคว้าหาสัจธรรมโดยไม่คำนึงถึงตายตามอยู่ หมายถึงเอากายเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย อยู่เดือนปี ไม่มีใจดวงจิต มุ่งหน้าตั้งตาเอาชนะจิตของตัวเอง และเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

    ในช่วงฤดูแล้ง บางโอกาสก็ออกแสวงหาวิเวก โดยการเดินธุดงค์ไปตามสถานที่สงัด ๆ บางครั้งก็ไปสามเดือนสี่เดือน ก็ย้อนกลับมารับโอวาทจากหลวงพ่อใหญ่ ธมฺมธโร ออกพรรษาก็เดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ไปแทบทุกจังหวัด และทุกภาคด้วย
    มี อยู่ช่วงหนึ่งร่างกายสังขารซูบผอมมาก เดินก้าวขาแทบจะไม่ออก ซึ่งได้แวะเข้าไปพักปฏิบัติอยู่สวนโมกข์นานพอสมควร จวนจะเข้าพรรษา ปี ๒๕๑๕ จึงได้กราบลาหลวงพ่อพุทธทาสไปเดินทางไปเกาะสมุย แล้วเข้าจังหวัดนครศรีธรรมราช จำพรรษาที่วัดชายนาอีกครั้งหนึ่ง ออกพรรษาก็ได้เดินธุดงค์กลับทางภาคอีสาน และก็ย้อนกลับลงไปภาคใต้อีก เพื่อจะไปกราบลาหลวงพ่อธมฺมธโร เดินทางไปประเทศพม่าตามความตั้งใจไว้ จึงได้ออกมาองค์เดียว

    เดินขึ้นมาเรื่อย ๆ ขึ้นมาถึงกรุงเทพแล้ว ก็แวะไปภาคตะวันออกแถวจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ขึ้นมาทางปราจีนบุรี นครนายก สระบุรี มาป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถจะเดินทางต่อได้ และเข้าไปพักอยู่วัดเขาเทพพนมยงค์ ในช่วงนั้นหลวงปู่ไวยังไม่ได้ไปอยู่ ขณะป่วยอยู่นั้น ยาข้าวก็ไม่ได้กิน

    หลวงพ่อแก่ ๆ ท่านจัดให้อยู่กุฏิหลวงเก่า ๆ โทรมแล้ว โดยไม่มีใครมาถามข่าวคราวอะไรทั้งสิ้น นั่ง นอน กำหนดจิตต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา นึกว่าเป็นไข้อย่างอื่นเข้ามาแทรกเสียแล้ว เพราะมีความร้อนผิดปกติมาก ก็ได้เอาแต่น้ำเย็นลูบตัวของตัวเอง แก้ไขทางกายเราถือว่าไม่ยาก แต่การแก้ไขทางจิตใจนั้นยุ่งยากกว่า ก็เลยไม่ได้ห่วงมากเท่าไหร่นัก แต่เรื่องจิตใจนั้น จะต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ จิตใจป่วยร้ายกว่ากายป่วย กายป่วยไม่นานก็หาย แต่จิตใจป่วยนั้นหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นชาติ ที่คอยรักษาจิตใจอยู่ตลอดเวลานั้น ก็เพื่อจะให้เป็นผู้หายป่วยใจเสียที จะได้เป็นอิสระไม่ตกเป็นทาสของโรคชั่วร้ายทั้งหลาย

    พออาการป่วยทุเลาลงแล้ว ก็เดินทางต่อมุ่งสู่ภาคเหนือ มีจังหวัดเชียงใหม่เป็นจุดแรก ได้ยินกิตติศัพท์ของครูบาอินทจักร วัดน้ำบ่อหลวง จิตมีความตั้งใจจะไปศึกษาธรรมกับท่าน ก็ได้ไปถึงเชียงใหม่ตามความตั้งใจครั้งแรกไปพักอยู่ที่วัดอุโมงค์ ย้ายไปพักอยู่ ๔ วัดเมืองบาง จากนั้นจึงได้เดินไปวัดน้ำบ่อหลวง อำเภอสันป่าตอง บำเพ็ญเพียรปฏิบัติอยู่ที่นี่นานพอสมควร และได้มาตั้งใจท่องปาฏิโมกข์จบอยู่ที่วัดนี้ ท่องอยู่ ๒๔ วันพอดี ความคิดที่จะเดินทางไปจำพรรษาที่ประเทศพม่ายังสะกิดใจอยู่ตอลด จึงได้กราบลาครูเจ้าอินทจักร์เดินทางต่อไป

    จากเชียงใหม่เข้าจังหวัดลำพูน มาพักศึกษาธรรมกับครูบาเจ้าพรหมจักร์ ก็เป็นเวลานานพอสมควร ก็เดินทางต่อขึ้นไปทางจังหวัดลำปาง เลยไปถึงเชียงราย ต่อถึงอำเภอแม่สาย ข้ามไปประเทศพม่าจะเดินทางต่อไปเชียงตุง กะว่าจะจำพรรษาที่จังหวัดเชียงตุง บังเอิญเจ้าหน้าที่พม่าไม่ยอมให้ไป จึงได้เดินวนไปมาในแถวเชียงรายหลายอำเภอที่สุดจวนจะเข้าพรรษา จึงได้มาพักจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำผาจม ซึ่งขณะนั้นยังเป็นป่าเขาอยู่มาก และเงียบสงบ เหมาะสมกับผู้แสวงหาความวิเวกดี ในพรรษานั้นจึงได้ตั้งใจปฏิบัติเต็มที่

    ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ จำพรรษาอยู่ถ้ำผาจมออกพรรษาก็เดินธุดงค์อยู่ในบริเวณจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่
    ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ จำพรรษาอยู่ถ้ำผาจลุย บ้านป่าแงะ ตำบลแงะ อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย พักปฏิบัติอยู่ที่นี่ ๑๔ เดือน
    ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็ได้ย้อนกลับมาจำพรรษาอยู่วัดถ้ำผาจมอีกครั้งหนึ่ง จนถึงในปัจจุบันนี้ แต่ละปีนั้นจะออกแสวงหาวิเวกตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นประจำทุกปี SAM_4925.JPG SAM_7282.JPG SAM_7283.JPG SAM_7285.JPG SAM_7286.JPG SAM_7279.JPG SAM_7280.JPG SAM_1854.JPG
     
  19. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,905
    ค่าพลัง:
    +6,826
    ขอจองครับ
     
  20. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 786 เหรียญรุ่นร่มโพธิ์ทอง+เหรียญที่ระลึกสร้างมูลนิธิหลวงปู่ชอบ(พิมพ์เล็ก)หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอรหันต์เจ้าวัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย หลวงปู่ชอบเป็นศิษย์ผู้ใหญ่หลวงปู่มั่น เหรียญรุ่นร่มโพธิ์ทองสร้างปี 2536 เนื้อทองเเดงผิวไฟ ส่วนเหรียญที่ระลึกสร้างมูลนิธิหลวงปู่ชอบ สร้างปี 2534 เนื้อทองเเดงรมดำ มีพระเกศาหลวงปู่เเละพระธาตุมาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ *******บูชาที่ 405 บาทฟรีส่งems SAM_7287.JPG SAM_7288.JPG SAM_7293.JPG SAM_7292.JPG SAM_1822.JPG SAM_7071.JPG
     

แชร์หน้านี้

Loading...