สิ่งใดเกิดเอง สิ่งนั้นย่อมดับเอง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 14 พฤศจิกายน 2021.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    Who am I? เป็นคำถามที่ทุกคนควร
    หาคำตอบที่สุดคับ
     
  2. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    ส่วนตัวไม่แย้งสภาวะพวกนี้นะ เพราะมันจริง คนเห็นทางอนิจจังก็อีกแบบ ทุกขังก็อีกแบบ อนัตตาก็อีกแบบ อาการไม่เหมือนกันเป๊ะๆ หรอก

    แต่ที่แย้งคือรูปแบบการฝึก แล้วพวกนี้บอกไม่ต้องเพียร.. ไม่เพียรต้องให้ความหมายด้วย ว่าไม่เพียรจากอะไร ถ้าบอก ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิ เดินก็ได้ หรืออิริยาบทก็ได้ อันนี้โอ ไม่งั้นมันแย้ง >> จำนวนเขาโค กับขนโค ..

    คนทุกวันนี้ 100 คน เจอคนทำจริงๆ และต่อเนื่องแค่ 1คน หรือหาไม่เจอเลยก็มี

    แล้วที่บอกไม่อาศัยเหตุ - ผล มันจะแย้ง >เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
     
  3. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,070
    ค่าพลัง:
    +372
    น้องบีมอาจไม่เข้าใจว่าทำไมพี่อยู่ตรงข้ามบางคน แต่ไม่เป็นไร เพราะว่ามันก็ปกติ ที่จะชี้ก็มีอยู่ว่า เมื่อว่า ไตรลักษณ์คือสัจธรรม ถ้าคนเราเห็นแค่อย่างใดอย่างหนึ่งหรือมุ่งไปเพื่อเห็นแค่สิ่งที่อยากเห็นเพียงเท่านั่น ก็ไม่ใช่ไตรลักษณ์ และไม่ใช่จตุตถธรรม ต่อให้ไม่ได้ไม่มีฌานถ้าเท่าแต่เลือกที่จะมองเพียงบางส่วนของทั้งหมดก็ไม่ต่างกับตาบอดคลำช้าง พี่เองก็ไม่ได้คิดว่าเพราะมีฌานสมาบัติจึงบรรลุได้แต่แรก เพียงแต่ว่า เหตุปัจจัยที่เราจะสามารถรับรู้ความเป็นไปของทุกสิ่งมาจากสติ แต่ว่าเรามักจะเถียงว่า สติ ในสมาธิเพียงเท่านั้นหรือจึงส่งผล และสมาธิที่คนส่วนใหญ่เข้าใจก็มักหมายถึงทำจิตให้สงบสว่างว่างจากทุกสิ่ง ที่จริงมันก็ไม่เชิงหรอก การทีคนจะรู้เหตุและความดับเหตุทั้งหลายนั้นในระหว่างนั้นก็เกิดสติและสมาธิอยู่แล้ว แต่ที่มักจะค้านอยู่บ่อยๆคือ ไม่เห็นไม่ทราบสาเหตุ แต่ตัดเหตุมันก็ไม่ใช่ธรรมที่ควรถ้าเลือกจะสู่กระแสนิพพาน คนที่เห็นเหตุและพิจารณาว่า อะไรเป็นไปและต้นกำเนิดมาจากอะไรนั่นสิที่รู้และละได้โดยไม่ต้องใช้อะไรเป็นข้อผูกมัด ไม่ใช่การลูบคลำ ไม่ผลักไสหรือไม่โน้มตามด้วยความไม่เข้าใจไม่เห็นเหตุต่างหาก น่าพิจารณา ที่เถียงอยู่เพราะว่าเขาเหล่านั้นพยายามบิดเบือนและอ้างว่า พระศาสดาพระสมณโคดมกล่าว เลยเถียงและจัดไว้ในฝ่ายตรงกันข้าม ไม่ใช่เพราะว่าอยากทะเลาะหรืออยากเด่นดังอะไร แค่ทำตามหน้าที่พุทธบริษัท ๔ ก็เท่านั้น น้องบีมเข้าใจเสียใหม่เถอะแล้วจะดีต่อตัวน้องนั่นแหละไม่ใช่ใครอื่น
     
  4. เค็นชิโร่

    เค็นชิโร่ Set zero

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2021
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +62
    เปิดใจให้กว้าง ...ใครจะเอาธรรมมาใคร่ครวญแบบไหนก็ตามสบาย ... ไม่เห็นจะต้องบอกให้ใครเป็นอย่างไร ... ถ้าลุงเขาจะเอาแต่คิดพิจารณาธรรมก็จะไปผิดอะไร ... หรือต้องเหมือนเราเท่านั้น

    ถ้าใจเรามันแอนตี้คนที่พิจารณาใคร่ครวญธรรม ...ตัวเราเองก็จะไม่ใคร่ครวญธรรม ธรรมนี้ไม่ได้เห็นแจ้งด้วยการภาวนาเพียงอย่างเดียว แต่คนที่เห็นแจ้งขณะคิดพิจารณาธรรมมีอยู่มากมาย ... เมื่อเราแอนตี้คนที่ทำแบบนี้ เราก็ไม่เอาธรรมมาคิดพิจารณา ... ใครเองเล่าจะเสียประโยชน์นั้น? จากการตัดสินสิ่งนั้นแต่แรก

    เช่นเดียวกัน ถ้าใจเรามันแอนตี้สมถะ การเพ่ง ... เวลาภาวนา ตัวเราเองก็จะพยายามหลีกเลี่ยงการเพ่ง... แต่หารู้ไม่ว่า ... จุดสำคัญที่ผมจะชี้ให้เห็นชัดๆ ... เวลาที่เราระลึกถึงสภาวะธรรมนััน... ช่วงการตัดสินธรรม... จำต้องปักใจไว้ที่วิหารธรรม ... แล้วธรรมจะแสดงความจริงให้ปรากฎ ...การเพ่งลงไป ... ธรรมนั้นจะแตกออก... เพราะอะไร? ... การปักจิตไว้ที่วิหารธรรม... จะเห็นทันทีเมื่อจิตเคลื่อนไปรับรู้ที่อื่น... จะเห็นสภาพธรรมความไม่เที่ยงของนามธรรมทันที!! ท่ามกลางความตั้งมั่นของจิต... จิตจึงตัดสินได้จากตรงนี้... เชื่อหรือไม่? แม้ผมจะบอกทริคสำคัญอย่างไรก็ตาม ... แต่ถ้าผู้นั้นมีใจแอนตี้สมถะ หรือการเพ่งอยู่แล้ว ... ผู้นั้นก็จะกลัวการเพ่ง เลี่ยงการเพ่งธรรมนั้น... จิตก็ไม่อาจตัวสินผลได้ ... เพราะขาดความตั้งมั่น... จุดเล็กๆเพียงนิดเดียว อาจขัดขวางการรู้แจ้ง เพราะการเข้าใจมาผิดๆในเรื่อง สมถะไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้... ถ้าเปิดใจให้กว้างซักหน่อย... อาจลบอุปสรรคขัดขวางการเห็นแจ้งไปได้

    อีกอย่าง .... เวลาเห็นใครบรรยายถึงสภาวะการเห็นแจ้ง...ถ้าใครจะรู้สึกค้านในใจ ... ก็เพราะคนนั้นอาจสำคัญลึกๆว่าตนเองรู้แจ้งไปแล้ว ... ลองสำรวจใจตัวเองดู... ไม่ต้องเทียบเคียงสภาวะใดๆ ของครูบาอาจารย์ด้วยซ้ำ ... เพียงดูที่ใจตนเองรู้สึกอย่างไร? เมื่อเห็นผู้อื่นบรรยายสภาวะธรรม... พลอยยินดี หรือร้อนลุ่มใจ

    ถ้าของจริง จะไม่มารู้สึกว่ากลัวใครได้ดีกว่า แต่จะรู้แค่ว่า อือ ... มีผู้เห็นแจ้งในธรรมพระศาสดาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่านั้น ... ไม่มีมาตีอกชกตัว ... ก็ดูน้องชมพูเป็นตัวอย่าง ... มีแต่อือ ...แล้วชื่นชมว่าเขาบรรยายได้ดีกว่าเท่านั้น...

    เปิดใจให้กว้างอีก...
    ถามตัวเองดู การเห็นลต.มหาบัว ลพ.ชา ลพ.เยื้อน .... และอีกมากมายท่านเปิดเผย...สภาวะที่บรรลุธรรมเพื่ออะไร? ...คุณคิดว่าพระอริยะทั้งหลายท่านอยากโชว์หรือเปล่า? ท่านเหล่านั้นติดใจสภาวะธรรมหรือเปล่า? คำตอบนี้ คุณจะไม่มีทางตอบได้ ... จนกว่าวันนึงคุณจะไปถึงจุดเดียวกับพระอริยะท่านเหล่านั้น

    เพราะงั้น เราควรจะตัดสินอะไรใครหรือไม่? ทั้งที่ตนเองเดินอยู่ ยังไม่ถึงจุดเช็คพ้อยท์แรกด้วยซ้ำ จริงไหม?
     
  5. ละอองไฟ

    ละอองไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    2,469
    ค่าพลัง:
    +1,398
    สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นย่อมดับ เป็นธรรมดา
    กับ สิ่งใดเกิดเอง สิ่งนั้นย่อมดับเอง
    ความหมายนัยยะบอกว่า
    สิ่งมีที่มากับสิ่งที่ไม่มีที่มาครับ
    คุณบีมสุดสวย
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    สิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ ย่อมไม่เป็นทุกข์
    แต่จะใช้ความพยายามดิ้นรนเพื่อไปแสวงหามาครอบครอง
    นั้นไม่ได้
    ทางเดียวที่ทำได้คือ
    ไม่หลงยึดอัตตาตัวตน ที่กำลังข้อง
    อยู่
    กับสิ่งเกิดดับที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้
    มันเป็นเรื่องง่ายที่ทำพลาดมาตลอดหลายภพชาติคับ
     
  7. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    รู้ขร่ะ

    สภาวะที่ลุงแมวพูดคือ นิพพาน ตัวนั้นไม่มีการมา การไป ไม่เป็นเหตุของผล และไม่เป็นผลของเหตุ อะไรใดๆ อยู่แบบอิสระเสรีมาก มีอยู่แล้วในทุกคนจริงๆ

    แต่จิตอวิชชา > สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี

    ถ้าจิตอวิชชายังอยู่กับเรา มีเหตุ ต้องมีผลเสมอ ไม่ว่าจะบอกฉันไม่เพียร ฉันจะฟังเฉยๆ ทำจิตลอยๆ เหนือการปรุงแต่งเท่านั้น แต่การทำจิตลอยๆ เนี่ยะแหล่ะ คือเหตุ ...อวิชชามันดูดเข้ามาหมดนั่นแหล่ะ

    ตัวผล จะรู้ในวันที่จิตอวิชชาเปลี่ยนไปรู้อนัตตา ที่พระท่านมักบอก..มันผุดออกจากใจ โดยไม่ต้องอาศัยฟังความคิดใครนำจิตเรานั่นแหล่ะ
     
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ทันที่ทีจิตยอมรับสิ่งแวดล้อมที่
    อยู่รอบๆ ตัว เช่น บิดามารดา ครู
    อาจารย์ เพื่อนรักเพื่อนชัง
    และวัตถุธรรมอื่นๆ เมื่อยอมรับว่า
    สิ่งเหล่านี้แหล่ะเหมาะสมกับเรา
    ให้ชีวิต ให่ปัญญา ก่อปัญหา
    ก่่อทุกข์ก่อสุขให้เรามีอัตภาพนี้
    ที่จะยึดหรือไม่ยึดก็ได้
    ตามความปรารถนาของเรา
    คิดได้มำใจได้ความทุกข์ก็หาย
    ไปเกินครึ่งคับ
     
  9. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    ไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก ไม่ได้เอ่ยชื่อใครด้วย ข้อความนั้นก็ไม่ได้พูดถึงการใครครวญธรรม แม้ใครจะไม่ทำอะไรเลยสักอย่างก็ไม่ผิดหากวางเป้าจะอยู่แบบโลกทั่วไป ก็ทำไป เสพธรรมเพื่อสนองอารมณ์ทางโลก ก็ทำไปได้ ไม่ผิด

    แต่หากเป้าหมายคือการหลุดพ้น อันนี้ต้องมองใหม่ว่าใคร่ครวญธรรมอย่างเดียว หากมั่นใจว่าตนเคยบำเพ็ญเพียรมามากพอแล้ว ไม่ต้องกำหนดรู้เพื่อเพียรอะไรต่อแล้ว รอบารมีเดิมหนุน ก็แล้วแต่….แต่สมัยนี้มีน้อยมากที่จะเป็นเช่นนั้น ที่เห็นบรรลุเร็วสุดก็หลวงพ่อเยื้อน แต่ท่านก็กำหนดรู้ลงปัจจุบันไม่ขาด ตลอด 1 สัปดาห์ ซึ่งสุดท้ายก็ไม่พ้นกำหนดรู้
    เมื่อใครครวญสักพัก จิตของผู้ที่เคยฝึกกับการดูกายใจจนเคยชิน ไม่ว่าจะดูอะไรอยู่ เห็นอะไรอยู่ตรงหน้า มันจะย้อนเข้าหาจุดที่มันเคยพิจารณาอยู่เนืองแล้วมันก็แจ้งที่ใจนั่นแหล่ะ ไม่พ้นจากนี้

    ส่วนตัวไม่เคยแอนตี้สมถะ ใครแอนตี้สมถะอ่ะ
    เพราะทุกวันนี้ก็ทำสมถะ แต่เป็นไปเพื่อส่งเสริมวิปัสสนาล้วนๆ
    แม้การดูจิตเองมันมีจังหวะสมถะ แต่ต้องไม่หลงเคลิ้มไปกับสุขในความนิ่ง ดึงจิตออกมาดูสภาวะความเป็นจริงอยู่เรืองๆอย่าไปใส่สีเติมไข่ให้มัน ไม่งั้นความจริงที่มันได้รับจะกลายเป็นความเห็นตรรกะเราเป็นส่วนมาก เพียรดูอยู่เนืองๆจนเห็นเหตุของการเกิดของสติชัดขึ้น

    อ๋อเพราะเรากำหนดรู้จนจิตจำได้จึงเกิดสติ
    อ๋อ เพราะเรามีสติจึงเกิดศีล
    อ๋อเพราะมีศีลและสติตามดูตลอด จึงไม่มีอกุศลจิต
    เพราะไม่มีอกุศลจิต จึงมีกุศลจิต
    เพราะมีกุศลจิต จึงมีปิติสุข
    เพราะจิตละปิติสุข จึงเกิดความสงบกายใจ
    เพราะจิตละความสงบกายใจ ก็เกิดจิตความแน่วแน่ในจิตจนเป็นสมาธิ
    เพราะจิตเป็นสมาธิ จึงเกิดความไม่ยึดความถือมั่น เป็นอุเบกขา

    ถึงตรงนี้ จิตจะไม่ได้อยู่กับอะไรเลย จะเห็นสภาพธรรมที่พ้นอำนาจกฏเกณฑ์ของโลก ไม่มีที่ตั้งของจิตตรงไหนอีก เห็นทุกสภาวะเสมอเหมือนกันหมดไม่แตกต่าง ไม่พิสดาร เนื่องจากจิตมองเห็นการพ้นไปของกิเลสอยู่เนืองๆ หรือเห็นเกิดดับ ที่คุณว่าไม่มีความสำคัญนั่นแหล่ะ

    นี่แหล่ะสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเน้นให้เรามาให้ถึง เพียรรู้แจ้งถึงเหตุของสรรพสิ่งในกายใจเรานี้ ไม่ใช่เอะอะจะถือมีดถือพร้าจะเอาไปฟันกิเลสดื้อๆปราศจากความแยบคาย แล้วจะสว่างสงบได้เลย การฟาดกิเลสเป็นหน้าที่ของธรรมจักรหมุนไป เราสร้างเหตุไว้พอ

    เพียรรู้ด้วยตัวเองคำตอบของเหตุแต่ละอย่างมันจะออกมาด้วยตัวเอง เห็นเอง ไม่ใช่เพราะยืมลูกตาคนอื่นมาเห็นซะที่ไหน

    อยากจะให้เชื่อให้ชื่นชม มีความเห็นไปทางเดียว
    มันมีสถานที่ที่เหมาะๆในเฟสในไลน์เพียบเลยค่ะ

    อีกอย่างเคยกล่าวไปแล้วว่า หากจะฟังธรรมใคร
    ไม่ได้มาตรวจดูหรอกค่ะว่าคนนี้ถึงเลเวลไหน
    พิจารณาเนื้อหาที่แสดงล้วนๆ ว่าเขาเข้าใจแค่ไหน
    ยิ่งเห็นมานาน มันจะยิ่งลึกซึ้ง ไม่ใช่แสดงแต่ธรรมที่โลกและสังคมเขาเยินยอ แต่ไม่เคยแสดงความจริงอย่างละเอียดนั้นได้สักครั้ง มีแต่มองข้าม ข้ามไปโน่นนน ผลงานทันที
    มันเหมือนจะพูดได้เกร๋ดี แต่ถ้าเคยคนเดินเส้นทางนี้เนืองๆมันจะไม่อิน จะรู้สึกว่าน้ำเยอะไป แต่ไปเขียนหนังสือขายอาจจะได้ Best seller เพราะโลกเขาชอบฟังอะไรแบบนี้


    อีกจุดนึงชอบอ้างตัวตนคนนั้นคนนี้ประจำ เอาผู้อื่นมาพิงหลังแล้วท้าต่อย ทั้งชีวิตท่านเหล่านั้น กี่หนกันที่จะเอาสภาวะท่านมาเล่า กี่เปอร์เซ็นที่จะกล่าว ชีวิตท่านส่วนมากเทศธรรมลงที่การภาวนาทั้งนั้น ไม่ได้ฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก ชวนแต่คนอื่นมาพูดถึงสภาวะตัวเองไม่เลิก วางไม่ลง มันค้ำคอ
     
  10. ภารดาทิวาโจ

    ภารดาทิวาโจ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2021
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +26
    สวัสดีครับ ยินดีด้วยรอดปลอดภัยกับโควิด และยินดีกับทุกคนในนี้ เห็นรูปโปรไฟล์แล้วนึกแฝดท่านที่ชักชวนไปวัด เดี๋ยวคงต้องวางแผนไปเที่ยวแถวๆนั่น และแวะวัดสักหน่อย ไม่ทราบว่าเป็นเด็กวัดอยู่รึเปล่าครับ เผื่อจะแวะไปทักทายยามไปถึง:D
     
  11. ไก่กา หน้าทน

    ไก่กา หน้าทน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2021
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +76
    แบนใครไปแล้ว หรอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2021
  12. ไก่กา หน้าทน

    ไก่กา หน้าทน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2021
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +76
    อันนี้เห็นด้วยนะ จริงๆมันไม่ได้ผิดอะไรเลยค่ะ ถนัดแบบไหนก็ทำแบบนั้น มันคือวิธีของเราเอง เราใช้วิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง จะทำสมถะก็ได้ จะดูจิตก็ได้ จะดูกายก็ได้ จะทำสมาธิก็แบบไหนก็ได้ มันก็อยู่ที่ว่าวิธีไหนเหมาะกับจริตเรา
    เราทำทุกรูปแบบเลย ทั้งลืมตา หลับตา ทำมาหมดแหละ อะไรก็ได้ที่เราอยู่กับอารมณ์นั้นได้นาน เอาตรงนั้นแหละ นิ่งตรงนั้น แล้วก็ดูการเปลี่ยนแปลงของสภาวะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
    อ่อ!!! แล้วก็สิ่งที่เกิดขึ้นเองอ่าา มันมีไม่ใช่ไม่มีนะ ตามหัวข้อนั้นแหละเป็นนามธรรม
    รูปธรรมหนะเกิดเองไม่ได้อยู่แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2021
  13. ไก่กา หน้าทน

    ไก่กา หน้าทน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2021
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +76
    ตกลงว่าเค้าแบนทำไม แบนเพื่อไร งง ไม่เห็นมีใครควรโดนแบบในที่นี้ งง เค้าแบนใครกัน ข้าเจ้าจะโดนปะ ข้าเจ้าไม่พูดหยาบคายอะไรนะ
     
  14. เค็นชิโร่

    เค็นชิโร่ Set zero

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2021
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +62
    คุณก็จัดว่าเข้าใจการปฎิบัติได้ตรงทาง

    "เอาตรงนั้นแหละ นิ่งตรงนั้น แล้วก็ดูการเปลี่ยนแปลงของสภาวะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป"

    อย่างตรงนี้ที่คุณกล่าวไว้
    ตรงนี้เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาในตัวมันเอง... เป็นการดูจิตที่ถูกวิธี... ถ้าคุณอยู่ในบอร์ดนี้ จะเจอว่าบางคน มักบอกว่าห้ามเพ่ง นิ่งอยู่แบบนั้น เหตุเพราะใจลึกๆกลัวการเพ่ง กลัวสมถะแต่ไม่รู้ตัว... ทั้งที่ความจริงแล้ว การพยายามอาศัยวิหารธรรมหนึ่งเป็นที่ให้จิตเกาะ ... แล้วเกิดมีความคิดต่างๆขึ้นมาแทรก ... ในขณะนั้นจะเป็นผู้เห็นจิตทันที ... อีกทั้งยังได้เห็นความไม่เที่ยงของจิต... ที่แม้จะพยายามเกาะวิหารธรรมหนึ่งไว้เพียงมากแค่ไหน ... จิตนี้ย่อมแปรปวรไป เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้... ผู้ปฎิบัติแบบนี้จะทำมรรคได้อย่างพระศาสดาตรัสชี้ทางไว้... มีทั้งสมถะที่พยายามเอาจิตเกาะวิหารธรรมไว้ และเมื่อเกิดสิ่งใดแทรกขึ้นในจิตนั้น เท่ากับวิปัสสนา เพราะได้เห็นความจริงของสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ... พระพุทธองค์เป็นผู้ฉลาดในมรรค ... สมถะคือความตั้งมั่นของจิต... และวิปัสสนาคือการเห็นความจริงของรูปนาม จึงเกิดในมรรควิธีเดียวกันเลย... ถึงผมจะพยายามชี้ตรงนี้ให้เห็นกัน ก็มีบางคน จะพยายามบอกว่า ให้รู้ไปเรื่อยๆ อย่าเอาจิตเกาะไว้ที่ใด และถ้าอยากได้สมถะ ก็นั่งสมาธิสวดมนต์เพิ่มเติมกำลังจิตเอา ... ถ้าพวกเขา ไม่น้ำเต็มแก้ว ก็จะสามารถเข้าใจสิ่งที่พระศาสดาทรงบอกทางไว้ว่าสุดยอดแค่ไหน ... ที่รวมการเห็นความจริงของนามธรรมบนความตั้งมั่นของจิต ในมรรคที่เดินบนวิถีจิตปกติได้ โดยไม่ต้องไปตามรู้นามธรรมที แล้วนั่งสมาธิสวดมนต์ ให้จิตตั้งมั่น เพื่อตอบตัวว่า ฉันทำครบทั้งวิปัสสนาและสมถะ ... ทั้งทีเข้าใจผิด... เวลาที่จะเกิดเห็นแจ้ง ...มันเกิดจากเหตุปัจจัยมันมาประชุมพร้อม สมถะแล้ววิปัสสนาต้องเกิดสลับในขณะจิตใกล้กัน ไม่ใช่ว่าต้องเห็นจิตตอนนี้ แล้วหาเวลาว่างนั่งสมาธิให้จิตตั้งมั่นซะที่ไหน ...
     
  15. เค็นชิโร่

    เค็นชิโร่ Set zero

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2021
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +62
    ไม่ต้องหยาบคายอะไร แต่ถ้าโพสเพลง แอดเขาพร้อมแจกรังนกให้ตลอดชีพเลยครับ
     
  16. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    แล้วที่ฝึกอานาปานสติจนจิตมีกำลัง ก่อนไปฟัง อ.ประเสริฐ ไม่ใช่แยกสมถะออกไปคนละรอบกับมารู้วิปัสสนาจาก อ.ประเสริฐหรอหมูไหม้

    จิตเอาแน่เอานอนกับมันไม่ได้หรอก ถ้ามันจะรวม มันก้อรวมทั้งหมดเข้ามาเองแหล่ะ

    ที่เขาไม่เอาจิตเกาะตรงไหน นั่นมันขั้นฝึกเริ่มต้น ไม่ให้เอ่ะอ่ะ เอ่ะอ่ะ นั่งแข็ง นั่งแข็ง มัวไปฝึกบล็อคความคิด ชาตินี้จะแข็งได้รึป่าวก็ไม่รู้ เขาก้อฝึกเอาไตรลักษณ์เข้าจิต เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมคือความคิดดีกว่าไปเป็นศัตรู เผื่อจะทะลุแบบฟลุ๊กๆ เข้าเซฟโซนได้แบบงงๆ

    ปลายทางก็ต้องมีวิหารธรรม ให้จิตอยู่เหมือนกันนั่นแหล่ะ
    แต่วิธีฝึกเข้าไปมันไม่เหมือนกัน
     
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    จิตกับเจตสิกเป็นอาการของจิต
    ที่เกิดเอง(ตามเหตุคือผัสสะทั้ง 6 ช่องทาง)แล้วมันก็
    จะดับไปเอง (ตามอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
    เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ยึดถือไม่ได้
    ปล่อยไปเพราะมันเป็นกลไก
    ธรรมชาติ ของจิต
    ไม่ต้องไปพยายามที่จะไปทำอะไร
    กับสิ่งปรุงแต่งของจิต
    เพื่อจะทำให้จิตเป็นอะไรขึ้นมา
    หรือเพื่อให้เราได้สภาวะอะไรขึ้นมา
    เรียกว่าการ "ปล่อยวาง" คับ
    ถ้ามีเราเข้าไปทำ เข้าไปหวังอะไร
    ก็จะเป็นเหยื่อ
    อวิชชาขึ้นมาทันทีเพราะ" มี"ตัวเรา
    คับ
     
  18. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    ถ้าคนวิปัสสนาเป็นแล้วนะ
    ไม่มีหรอกต้องเน้นหาที่ตั้งเอาจิตเกาะตรงนั้นตรงนี้ก่อน เพราะทุกสภาวะมันม้วนลงที่การกำหนดรู้ ไม่ว่าจะจิตฟูฟ่องล่องลอย ไปขนาดไหน มันม้วนลงที่กำหนดรู้หมด

    ดังนั้นคนที่เข้าใจวิปัสนาจริงๆจะสามารถกำหนดได้ทุกอิริยาบถ มีศิลปะในการเลือกใช้อาวุธต่อกรกับตัณหาได้แบบไม่ต้องออกแรงเยอะ รู้จังหวะข่ม รู้จังหว่ะปล่อย รู้จังหว่ะบู๊

    ยังต้องตั้งท่าต้องเลือกเฟ้นวิธี พิธีรีตอง แล้วมาโพทนาชวนเชื่อว่าวิธีข้าเจ๋งสุดนั่นๆนี่ๆ ต้องเข้า 1 ออก 2 เดิน3 วาง4 ทำตามวิธีนี้นะ…แต่สภาวะที่จิตดำเนินไปเองไม่เคยรู้จัก…นี่ล่ะศีลพรตปรามาส


    การเห็นการสลัดออกได้บ่อยๆเนี่ย มันจะเข้าใจเลยว่าเหตุที่ศีลพรตปรามาส ถูกละออกไปพร้อมเพราะอะไร

    เมื่อจิตเห็นทุกสภาวะธรรมราบเรียบเสมอกันทุกอารมณ์จิต ทั้งกุศลและอกุศลไม่มีแตกต่างกัน มันจะไปสละความยึดมั่นความงมงายในศีล หรือวิธีการที่เคยยึดถือว่าถ้าถือศีลอยาางนี้แล้วจะได้มหาบุญ ถือแล้วจะไปสวรรค์ มุ่งเอาดีเอาสุขอย่างเดียว
    หรือข้อปฏิบัติภาวนาที่งมงายเอาทางตัวเองที่ทำนั้นเหนือกว่าใคร ใครทำผิดจากตนคือไปผิดทั้งหมด

    เมื่อเห็นความจริงแล้วว่าทุกอย่างไม่มีความแตกต่างกันสักอย่าง เกิดดับในรูปแบบเดียวกันไปหมด การปฏิบัติจะไม่เลือกฝั่งซ้ายขวายึดติดงมงายรูปแบบที่ตนปฏิบัติ ยึดมั่นในสถาบันที่ตนร่ำเรียนมาจากครูอาจารย์เพราะผู้เห็นธรรมเข้าใจแล้วว่าทุกสภาวะไม่ว่าจะดีชั่ว ดำขาว สุขทุกข์ต้องจบลงที่การกำหนดรู้เสมอกันทั้งนั้น จะไม่มีการลูบคลำงมงาย มุ่งเอาแต่รูปแบบวิธีที่ตนเองเชื่อ ถ้ามาถึงจุดนี้จะไม่มีการตั้งเป้าผิดแบบนั้นอีก ไม่มีการตั้งท่า กำหนดเวลาทำ หรือขั้นตอนพิธีใดๆอีกเลย

    เมื่อเห็นความจริงแล้วว่าทุกอย่างไม่มีความแตกต่างกันสักอย่าง การถือศีลของผู้ที่ถึงธรรมจะเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นอย่างเดียวไม่มีหันหลังกลับ เพราะจิตที่เห็นนิพพานเป็นทางไป จิตนั้นจะไม่หวลกลับไปหาอกุศลจิตนั้นอีก หากจะมีก็จะเป็นวิบากอนุสัยที่ยังหลงเหลืออยู่มาพยายามปิดบังไม่ให้เห็นเหตุได้ชัดๆเป็นระยะ

    ดังนั้นทุกสภาวะอาการและอารมณ์ขมวดลงที่การกำหนดรู้
     
  19. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    แล้วลุงไปฟังสภาวะนิพพานทำไมอ่ะ

    กี่ปีแล้วนะลุง เกือบ 3-4 ปีป่ะ ฟังมาเรื่อยๆ
    สาบานว่าไม่อยากพาจิตเข้าเซฟโซนจริงดิ ทู้ก่อนบอกอยากได้โสดา

    เขาต้องอาศัยคิดไปสู่สิ่งที่ไม่คิด
    จิตไม่ว่าจะรู้ไม่รู้มันก็เกิดดับของมันแบบนั้นตลอดนั่นแหล่ะ พวกที่แทรกแซงจิตคือสมถะเพ่ง

    อวิชชามีแต่อนุสัย เต็มไปด้วยโลภโกรธหลง ไม่ฝึกมันเอานิสัยใหม่เข้าไป มันจะเอาอะไรไปเคลียร์ตัวเองได้

    จะเอาแบบอิลุงโจงั้นหรอ ไปทะลุที่สวรรค์ แล้วแน่ใจได้ไงอ่ะว่าจะไป อาจดิ่งลงนรกก่อนก็ได้นะ
     
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    อวิชชาสร้าง"รูปขันธํํ กับนามขันธ์" ให้
    เรายึดมั่นถือมั่นเช่นว่าให้เรายึด ตาหูลิ้นจมูกกายใจ
    เอามาเป็นของเรา ซึ่งความจริง
    ตา ไม่ใช่เราและไม่ใช่ของเรา
    ความจริง ตาคืออายาตนะในการรับแสงสี
    เพื่อสร้าง"จิตเห็น"ฉะนั้น เห็นก็จึง
    ไม่ใช่เราเห็น
    แต่จิตเห็นเกิดเพื่อดับ ตามธรรมชาติ
    เป็นต้นคับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...