เรื่องเด่น พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 สิงหาคม 2016.

  1. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27

    (ดึงดูดกลืนหลอมหลวมทุกสรรพสิ่ง เพื่อยังให้ผู้พิจารณาตามในภายหลังเกิดมโนจิตมโนธรรมวิสัชนา ถามตอบเองเพื่อฟอกจิตใจให้ขาวสะอาดผ่องใสตามกาล)

    “ปุ๋ยมี ดินดี น้ำได้ แสงส่องถึง หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยธรรมของแต่ละบุคคล”

    ช่วงนี้เป็นช่วงชวนคนไปเที่ยว ปหาสะนรก! คงสนุกกันมาก

    ธรรมะก็ไม่รู้จัก ไม่เอา แต่จะติเตียน เจดีย์ทั้งหลายฯ
    พอจับได้ไล่ทัน

    สุดท้ายก็อ้างไม่มีเจตนา !

    https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=18&siri=268

    2EE3689D-1BC9-44C2-9E87-56D9712B081F.jpeg B16F74A5-25B8-46FA-ABDA-3458B0874FC7.jpeg
    156B05A5-DE25-4039-8A4C-615FFB43B557.png
    559EF689-E6BB-4F40-836B-680D7E6FA87A.jpeg
    เฮ้อ!


    ขออนุโมทนาฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2023
  2. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27


    ฮายาวไปถึงต่างแดน!
    34FBF025-E813-4C67-A795-BF4EDDBA5EF1.jpeg

    78B52CCB-3480-465A-AFCA-FCF7CE2F13C7.jpeg 71BA3B22-40A6-4A40-B516-2478EA983B26.jpeg B300EECB-1CA5-4FE9-92AE-9F18B1BE0ADD.jpeg D845B315-9C3C-4C11-84BB-7830BF8CC2CE.jpeg



    8C37854E-8205-4BEE-9399-BB78821C794B.jpeg

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2023
  3. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27

    ขออนุโมทนาฯ



    ในพุทธศาสนา พระแม่ธรณีปรากฏกายเพื่อบีบน้ำจากมวยผมให้ท่วมพญามารที่รังควานสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนวันตรัสรู้ ดั่งรายละเอียดตามพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสว่า
    แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการเป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามารอ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฎสักขีขานคำมุสา

    แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรารุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจาประกาศแก่นางพระธรณีว่า

    ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทานสมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาลบัดนี้

    ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูลพระกรุณาว่าข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา

    แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรีเป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัยกล่าวแล้วแต่หลัง

    ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลายล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความก็ซ้ำหนหลัง

    ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยง ๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน

    ถ่านเพลิงตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่างหมู่มารทั้งหลายต่าง ๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อนเร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวชจึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมาจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ

    ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกายวจีมโนประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดชครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆกันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ

    ธรณีนี่นี้เป็นพยานความศักดิ์สิทธิ์ของแม่โลก

    พระแม่ธรณี เป็นเทพฝ่ายหญิงที่ผูกพันอยู่กับศาสนาพุทธ และคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน ทั้งที่พระแม่ธรณีนั้นเคยเป็นเทพของศานาพราหมณ์– ฮินดูเคยกล่าวถึงมาก่อนเพียงแต่พระแม่พระองค์นี้ไม่ได้สร้างรูปเคารพให้เป็นที่เอิกเกริกอย่างเมืองไทย ส่วนใหญ่ถือเอาดินก้อนหนึ่งมาเป็นเครื่องบูชาแทน “ พระแม่ธรณี ” เท่านั้น ความยิ่งใหญ่ของท่านนั้นแทบไม่ต้องบรรยายถึง เพราะเหย้าเรือน ตึกรามบ้านช่อง ห้องหอเวียงวัง พร้อมด้วยสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนั้นตั้งอยู่บนพระวรกายของท่าน เพียงแต่ท่านไม่ได้ปรากฏรูปกายเป็นเรือนร่างให้เราสัมผัสมองเห็นด้วยตาเท่านั้นเอง
    คนไทยเองสร้างรูปของพระนางในลักษณะบีบมวยผม เป็นจินตนาการที่จำลองเอาจากพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้าผจญมารมาสร้างรูปไว้สักการบูชา ปางอื่นๆ ด้วยอิริยาบถยืนก็มี แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่ากับการนั่งพับเพียบเท่านั้นเอง
    ความจริงแล้ว ซึ่งพระแม่ธรณีนั้นเข้าใจง่ายที่สุด ไม่ต้องอธบายมากทั้ง ๆ ที่ท่านเองก็มีชื่อเรียกอื่นเหมือนกัน อาทิ พระศรีวสุนธรา , พระปฤถิวี , พระภูมิเทวี , ธฤตริ , พสุนธร , พสุนธรี
    สถานภาพของพระแม่นั้นโสด ปราศจากการครองคู่กับพระสวามี !!!
    แต่ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนอินเดียนั้น มักไม่ยอมให้ผู้หญิงอยู่เป็นโสด เพราะผู้หญิงที่ปราศจากคู่ครองหนึ่ง หรือ สามีตายหนึ่ง มักจะถูกประณามหยามเหยียด ดูหมิ่นดูแคลนกันไปต่าง ๆ ดังนั้น ... ในยุคแรก ๆ นั้นก็เลยไม่มีการจัดคู่ให้กับแม่ธรณี , พระแม่คงคา ซึ่งมีสถานภาพโสดด้วยกันทั้งคู่ ตำนานว่า กาลก่อนนั้น พระลักษมี , พระสรัสวดี , พระธรณี , พระคงคา นั้นร่วมอยู่ในครอบครัวเดียวกับพระวิษณุเทพ ด้วยเหตุที่มีเรื่องวิวาทกันบ่อย ๆ ตามประสาเมียทั้งหลาย พระวิษณุเทพก็เลยต้องทำหน้าที่แจกจ่ายเมียแจกพระคงคาให้กับพระศิวะ และจะยกพระปฤถิวีให้กับเทวดาองค์หนึ่ง ทำให้นางเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจก็เลยอธิษฐานขอลงมาใช้ชีวิตบนโลก ไม่อยากหาความสำราญบนสวรรค์อีกต่อไป
    ทุกวันนี้พระแม่ธรณีแทบจะหมดความสำคัญในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มีหลงเหลืออยู่บ้างก็คือ ชาวฮินดูบางคนให้ความเคารพด้วยการเอาฝ่ามือแตะพื้นธรณีขึ้นมาแตะหน้าผากเพื่อแสดงว่ายังเคารพอยู่เท่านั้นเอง หรือบางคนหลังตื่นนอนก่อนเอาเท้าแตะพื้นก็จะกล่าวคำขอขมาลาโทษ เทพชั้นรองหลายคนที่ลดบทบาทบนสวรรค์ก็เลยมาสมาทานเอาพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพระพรหม พระอินทร์ พระแม่ธรณี เป็นต้น
    ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะสอนเด็กว่า ห้ามเหยียบธรณีประตู !!
    จะด้วยเชื่อว่า พระแม่ธรณีสถิตอยู่ตรงนั้น หรือเพราะไม่อยากให้เด็กสะดุดประตูก็แล้วแต่ ก็แสดงว่าพระแม่ธรณีนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ค่อนข้างมาก

    นมราดพื้นบูชาแม่ธรณี
    อินเดียโบราณ คนซึ่งมีอาชีพทำปศุสัตว์ ก็จะแสดงความเคารพแม่องค์นี้ด้วยวิธีการหนึ่งเหมือนกันคือ เมื่อแม่วัวสาวท้องแรกหลังคลอด และก่อนที่จะให้ลูกวัวได้กินนมจากเต้า คนเลี้ยงจะรีดนมลงพื้นเพื่อบูชาพระแม่ธรณี หรือบางแห่งก็จะตั้งเครื่องสังเวยที่พื้นดิน บูขาด้วยข้าว ผลไม้และนมสด และเอานมนั้นเทราดไปบนพื้น
    เพราะการเทราดบนพื้นดินถือเป็นการบูชาแม่ธรณี ตามคติโบราณของคนอินเดียเรื่องพระแม่ธรณีเป็นเพียงแค่เรื่องเครื่องเคียงของเทวนิยมฮินดูเท่านั้น ไม่ได้แสดงบทบาทที่ชัดเจนเหมือนเทพเจ้า เริ่มต้นในสมัยสร้างโลกได้กล่าวถึงพรปฤถิวีที่จมอยู่ใต้น้ำ หลังน้ำท่วมโลกด้วยความทุกข์ทรมานจนพระวิษณุเทพอวตารเป็นหมาป่าไปงัดเอาโลกที่จมอยู่ใต้น้ำ
    ขึ้นมาตั้งอยู่ดังเดิมเพื่อให้สรรพสิ่งในโลกได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งพระนางปฤถิวียังทำหน้าที่รับฝาก
    ของวิเศษแบบไม่มีดอกเบี้ยอีกด้วย เช่นพระชนกของนางสีดา ฝากลูกใส่ผอบฝังดินไว้จนลูกโตเป็นสาว หรือพระศิวะฝากรัตนธนูเพื่อถวายพระราม อวตารปางหนึ่งของพระวิษณุเทพ

    แม่ธรณี องค์พยานเอก
    ภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ ในคืนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ พญามารวัสดี และกองทัพมารเข้ารบกวนพระพุทธเจ้าอ้างเอาบัลลังก์เป็นของตน ไม่มีเทพ เทวดา กล้าเป็นประจักษ์พยานให้ ต่างหนีกายหลบเร้นไปหมดด้วยความกลัวในพญามารจนพระพุทธเจ้าต้องอ้างเอาธรณีเป็นพยาน พอพระพุทธเจ้าเปล่งวาจาเท่านั้น แผ่นดินก็จะเสทือนเลื่อนลั่นอยู่ 7 ครั้ง เสียงต้องอ้างเอาธรณีเป็นพอพระพุทธเจ้าเปล่งวาจาเท่านั้น แผ่นดินก็สะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ 7 ครั้ง เสียงดังกมปนาท พระแม่ธรณีไม่อาจทนอยู่ได้พอนางได้ยิน ต้องปรากฏกายเป็นพยานเอก แสดงการบิดน้ำจากมวยผมเพื่อแสดงให้เห็นถึงกุศลที่ พระพุทธเจ้าได้กระทำมาตั้งแต่อดีตชาติ ปรากฏว่าน้ำที่กรวดลงบนพื้นแล้วแม่ธรณีรับไว้นั้นมากถึงขั้นเป็นมหาสมุทร พัดเอาเหล่าพญามารกระจัดกระจายหายไป ต้นเหตุนี้ทำให้เกิดพระพุทธรูปในปางมารวิชัยขึ้นในกาลต่อมา
    เรื่องกาอ้างเอาพระแม่ธรณีเป็นพยานนั้น ในประวัติศาสตร์ชาติไทย สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็อ้างเอาธรณีผืนแผ่นดินไทยเป็นพยาน ด้วยการหลั่งน้ำทักษิโณฑกเพื่อประกาศอิสรภาพไม่เป็นเมืองขึ้นของพม่าอีกต่อไป หรือเมื่อศรีปราชญ์ถูกพระยานครศรีธรรมราชประหารชีวิตก็อ้างเอาแม่ธรณีเป็นพยานจนเป็นที่มาของบทโคลงที่ว่า

    ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
    เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง
    เราผิดท่านประหาร เราชอบ
    เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้ คืนสนอง

    ศาลที่ท้องสนามหลวง

    ศาลพระแม่ธรณีที่เลื่องชื่อที่สุดของประเทศไทย ตั้งอยู่บริเวณสนามหลวงสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2460 นายช่างใหญ่สมัยนั้นใช้เวลาเพียง 4 เดือนในการทำรูปเคารพนี้ ผู้ปั้นหล่อแม่ธรณีองค์นี้ชื่อ ครูเริน บ้ายช่างหล่อ พรานนก ความเป้นมาแต่เดิมนั้น สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง ทรงมีพระบรมราชเสาวนีย์โปรดฯ ให้สร้างเทวาลัยเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาและ
    ที่ต้องเป็นรูปพระนางธรณีบีบมวยผม
    ก็เพื่อให้ประชาชนได้ใช้น้ำในการอุปโภค – บริโภคอีกด้วย

    การบูชาพระแม่ธรณี

    นอกจากนี้ ในพิธีกรรมต่างๆ อาทิ พิธีการก่อนไปจับช้าง ก็มีการกล่าวบูชาพระแม่ธรณีเช่นกัน แต่ความเชื่อถือเกี่ยวกับแม่พระธรณีในไทยก็มิได้เป็นที่แพร่หลายนัก
    ขณะเดียวกัน ยังมีชื่อแม่พระธรณีปรากฏในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง อาทิ หนังสือเทศน์มหาชาติปฐมสมโพธิกถา ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นต้น โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น นางพระธรณี พระแม่สุนธราพสุธา ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน คือ ผู้ทรงไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติ หมายถึงแผ่นดินนั่นเอง สำหรับชาวไทยทั่วไปจะเรียกกันติดปากว่า แม่พระธรณี บ้าง พระแม่ธรณี บ้าง ตามความนิยม
    รูปลักษณะที่เป็นจิตรกรรมของแม่พระธรณีนั้น เป็นเทวดาผู้หญิง ที่มีสรีระรูปร่างใหญ่ หากแต่อ่อนช้อย งดงาม พระฉวีสีดำ พระพักตร์รูปไข่ มวยพระเกศายาวสลวย สีเขียวชอุ่มเหมือนกลุ่มเมฆ พระเนตรสีเหมือนดอกบัวสาย คือ สีน้ำเงิน พระชงฆ์เรียว พระพาหาดุจ งวงไอยรา นิ้วพระหัตถ์เรียวเหมือนลำเทียน มีพระทัยเยือกเย็น ไม่หวั่นไหว พระพักตร์ยิ้มละไมอยู่เสมอ
    ภาพเขียนรูปพระแม่ธรณี ที่ถือกันว่างดงามเป็นพิเศษ คือ ภาพที่ฝาผนังด้านหน้าพระประธานในพระอุโบสถ วัดชมภูเวก อ.เมือง จ.นนทบุรี
    ส่วนรูปลักษณะปฏิมากรรมนั้น แม่พระธรณีในศิลปะไทยที่มีปรากฏอยู่ จะทำเป็นรูปหญิงสาว มีรูปร่างอวบใหญ่ ล่ำสันอย่างได้สัดส่วน มีความงามประดุจเทพธิดา นั่งในท่าคุกเข่า แต่ยกเข่าขวาขึ้นสูงกว่าเข่าซ้าย บางแห่งสร้างให้อยู่ในท่ายืน แต่ที่เหมือนกันก็คือ มวยผมปล่อยยาว มือขวายกข้ามศีรษะไปจับไว้ที่โคนมวยผม ส่วนมือซ้ายจับมวยผม แสดงท่ากำลังบิดให้สายน้ำไหลออกมาจากมวยผมนั้น
    ส่วนเครื่องทรงไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว ตามแต่จินตนาการของผู้สร้าง บางแห่งสวมพัสตราภรณ์เฉพาะช่วงล่าง แต่บางแห่งทั้งนุ่งผ้าจีบและห่มสไบอย่างสวยงาม ประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ มีกรอบหน้าและจอนหู เป็นต้น
    อ.ราม ยังบอกด้วยว่า การสร้างรูปเคารพของพระแม่ธรณี เท่าที่สามารถสอบทานของไทยเรา พบตำราเก่าแก่สมัยอยุธยา บันทึกเรื่องราวการจัดสร้างนางเทพเทวาที่เป็นรูปแบบแม่ธรณีขึ้นบูชาเพื่อการอำนวยผลทางความมั่นคงและป้องกันสิ่งเลวร้าย ตำรานี้บอกเล่าต่อกันมาว่า ยังเก็บรักษาอยู่ที่ วัดคฤหบดี กรุงเทพฯ
    ในด้านภาคอีสาน ก็มีวิชาเฉพาะที่เกี่ยวกับแม่พระธรณีหลายอย่าง เช่น ตะกรุดหัวใจพสุธา ในสายสมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ แม้ในพิธีเบิกโขลนออกจับช้าง ก็ยังมีมนต์ที่กล่าวอ้างถึงแม่พระธรณี เช่น “โอมเผนิกเบิกแนกแยกพระกำกวมงวม พระธรณี ทางเส้นนี้ก็เคยล่วงปล่อยทางนี้ เคยเที่ยว โอมสวาหุโนนะโมตัสสะ”
    ทางภาคเหนือ ก็มีพิธีกรรมเกี่ยวกับแม่พระธรณีอยู่หลากหลาย และที่นับถือเป็นประเพณี เช่น พิธีบนนางธรณี
    นอกจากนี้แล้ว ยังมีคติความเชื่อด้วยว่า ในการรบทัพจับศึกในสมัยก่อน ก็มีพิธีกรรมหยิบดินที่เหยียบอยู่กลั้นใจว่า “แม่พระธรณีเอ๋ย อยู่หรือยัง สังขาตังโลกะวิทู” แล้วโปรยบนศีรษะ เชื่อว่าจะพ้นภยันตรายทั้งปวง เพราะมีพระธรณีรักษาอยู่
    ประเพณีนี้สืบต่อมาถึงการชกมวยในสมัยก่อน ที่ต้องหยิบดินมา “อาพัดธรณี” ในการเอาชนะคู่แข่งขัน ซึ่งบางท่านที่ไม่เคยได้ศึกษาเรื่องความเชื่อโบราณ มักตีขลุมเอาว่า ที่ทำเช่นนั้นเป็นการดูว่า ดินที่เวทีนั้นอ่อนหรือแข็ง จะได้คะเนไม้มวยเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ อันนี้ก็แล้วแต่จะมีมติว่ากันไป แต่โบราณท่านเชื่อในคุณของแม่พระธรณีนี้ อย่างจริงจังมั่นคง
    คาถาบูชาพระแม่ธรณี การบูชาแม่พระธรณี
    สำหรับวิธีอาราธนา หรือ การบูชาแม่พระธรณี อ.ราม บอกว่า มีหลายตำรา เช่น ให้ตั้งนะโม ๓ จบ ว่า พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วว่า “อิติปิโสภะคะวาสะวาอะระหัง สุคะโตสวาหะ” ๓ จบ หลังจากนั้นสวดด้วย “ตัสสาเกษีสะโต ยะถาคงคา โสตังปะวัตตันติ มาระเสนา ปฏิฐาตุง อาสักโภนโต ปะลายิงสุปาริมานานุภาเวนะมาระ เสนาปะราชิตาทิโส ทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติอะเสสะโต” อย่างน้อย ๓ จบ แต่ถ้าจะให้ดี ๒๑ จบ เพราะกำลังของแม่พระธรณี คือ ๒๑
    คาถาทั้งสองบทนี้ ใช้ได้ตามอธิษฐาน ทำน้ำมนต์แก้คุณเสนียดได้ผลดียิ่ง หากมีศัตรูให้เขียนชื่อนำพระแม่ธรณีทับไว้ อธิษฐานให้อภัยต่อกัน สวดคาถานี้ทำครบ ๗ วัน ฝ่ายตรงข้ามจะแพ้ภัยตัวเองไป แต่อย่าจองเวรเขาเลย จึงจะมีผล
    เวลาเดินทางให้อธิษฐานพระนางธรณีไปจะพ้นภัยทั้งปวง เวลามีเหตุให้นึกถึงแม่พระธรณีแล้วภาวนาว่า “สะนะมะอุ” ไปเรื่อย ๆ จะทรงอานุภาพผ่านพ้นภยันตรายนั้นไปได้เป็นอัศจรรย์
    แม่พระธรณีในพุทธประวัติ
    พระธรณี เป็นเทพมารดาแห่งโลก เพราะเป็นผู้ที่มีคุณต่อสรรพชีวิตบนโลกนี้ ที่ต้องอาศัยคุณของแม่พระธรณี ในศาสตร์ทางจิตเกือบทั่วทุกมุมโลก ล้วนคำนึงถึงพลังจากปฐพีนี้เสมอมา แม้ในพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยหลักการและเหตุผล ก็ยังกล่าวอ้างถึงดังปรากฏในปฐมสมโพธิญาณ ภาพพุทธประวัติตอนที่ แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา พญามารก็พ่ายแพ้แก่พระบารมี
    เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญเพียร เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ผจญกับเหล่าพวกพญามารทั้งหลาย พญามารได้ออกอุบายต่างๆ นานา เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงเกิดกิเลสตัณหา แต่พระพุทธองค์ทรงไม่ยินดี ยินร้ายต่อพวกเหล่ามาร ในครั้งนั้น พระแม่ธรณี ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ปราบเหล่าพญามาร โดยทรงบีบมวยผมให้น้ำไหลออกมาท่วมพวกพญามารทั้งหลายให้พ่ายแพ้ไป
    สถานที่ที่พระมหาบุรุษประทับนั่ง เพื่อทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ แสวงหาทางตรัสรู้ ซึ่งอยู่ที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น เรียกว่า "โพธิบังลังก์ " พระยามารกล่าวตู่ว่า เป็นสมบัติของตน ส่วนพระมหาบุรุษทรงกล่าวแก้ว่า บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้าง พระนางธรณีเป็นพยาน ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้... ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพี..." แล้วกล่าวเป็นพยานพระมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม น้ำนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า "ทักษิโณทก" อันได้แก่ น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้ง ที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อน เป็นลำดับมา ซึ่งแม่พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา ปฐมสมโพธิว่า "เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วงมหาสาครสมุทร... หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น ส่วนคีรีเมขลชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวัสดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร... พญามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด "

    ก้มกราบแผ่นดิน หรือ การบูชา แม่พระธรณี

    มาถึงยุคปัจจุบัน แม่พระธรณียังได้รับการนับถืออยู่ โดยเฉพาะในหมู่ของผู้ค้าที่ดินจะเชื่อว่า อยากเป็นเศรษฐีที่นา อยากเป็นราชาที่ดิน อยากมีที่ทำกินอยู่อาศัย ต้องบูชาพระแม่ธรณีบีบมวยผม
    ประวัติแม่พระธรณี หรือ พระแม่ธรณี

    อ.ราม วัชรประดิษฐ์ อาจารย์ประจำสาขาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก นักโบราณคดี อธิบายให้ฟังว่า พระธรณี หรือ เทพแห่งแผ่นดิน ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่า พระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์ องค์หนึ่งคือ พระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี

    พระแม่ธรณี ในคติพราหมณ์ พบเพียงว่า เป็นชายาของพระธุรวะ หรือดาวเหนือ คติความเชื่อเรื่องพระแม่ธรณีได้เผยแพร่มาจากอินเดียสู่ไทย เนื่องจากอิทธิพลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ โดยมีความเชื่อเช่นเดียวกับทางอินเดียว่า เป็นเพศหญิง

    พระแม่ธรณีบีบมวยผม

    ไม่ว่าใครจะก้มกราบแผ่นดินด้วยเหตุใดก็ตาม คติความเชื่อเรื่องการก้มกราบแผ่นดิน หรือ การบูชา แม่พระธรณี นั้น อยู่กับมนุษย์อุษาคเนย์ไม่น้อยกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว โดยเฉพาะในอินเดีย มีมาก่อนพุทธศาสนา
    ในสมัยนั้น จะนับถือผีเป็นหลัก ผีสำคัญยุคแรกๆ คือ ผีน้ำและผีดิน ที่ต่อมาเรียกชื่อด้วยคำยกย่องว่า แม่พระคงคา กับ แม่พระธรณี

    ในขณะที่ชาวไทยสมัยโบราณบูชา แม่พระธรณี เพื่อให้แผ่นดินมีความสงบสุข และร่มเย็น เพราะว่า แม่พระธรณี คือ "เทพผู้คุ้มครองแผ่นดิน"

    จากบทความสายน้ำแหล่งอารยธรรม ๑-๕ นั้นเป็นเพียงบอกเล่าเสริมข้อความ ที่ว่าน้ำเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้น
    เป็นการเริ่มต้นสร้างบ้านแปลงเมือง มาตั้งแค่ยุคกรุงสุโชทัย จนมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นการเริ่มต้นของการเลือกสร้างราชธานีของชนชาติไทยมาแต่โบราณ เริ่มต้นนับเป็นประวัติศาสตร์ของไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งเมื่อได้มีบ้านเมือง ประเทศชาติแล้ว ก็เป็นที่เกิดของ วิถีชีวิต ภูมิปัญญา ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอดของการดำรงชีพ ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒธรรม ของชนชาติ

    น้ำและสายน้ำ กับวิถึชีวิตของคนไทย

    ขอเริ่มต้นด้วยวัฒนธรรมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับน้ำ

    ๑. พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
    ในพระราชพิธีนี้มีขั้นตอนที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับน้ำ คือน้ำมูรธาภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะนำน้ำจากสถานที่ต่าง ๆ อันเป็นที่นับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ทั้วราชอาณาจักร

    ซึ่งในสมัยรัชกาลปัจจุบันมีการตักน้ำและตั้งพิธีเสกน้ำสำหรับถวายเป็นน้ำอภิเษก และน้ำสรงมูรธาภิเษก สำหรับน้ำอภิเษกนั้น ต้นตำราให้ใช้น้ำจากสถานที่ สำคัญต่าง ๆ ๑๘ แห่ง และทำพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ ณ พุทธเจดีย์ที่สำคัญตามจังหวัดต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร แล้วส่งเข้ามาเจือปนเป็นน้ำมูรธาภิเษกให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสรง และทรงรับน้ำอภิเษกในวันพระราชพิธีราชาอภิเษกต่อไป

    วัดโสธรวรารามวรวิหาร
    ขอขอบคุณภาพจากเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา

    พระพุทธเจดีย์ที่สำคัญที่ตั้งพิธีทำน้ำอภิเษก ทั้ง ๑๘ แห่ง คือ

    จังหวัดสระบุรี ที่ตั้งพระพุทธบาท
    จังหวัดพิษณุโลก ที่ตั้งวัดพระศรีมหาธาตุ
    จังหวัดสุโขทัย ที่ตั้งวัดพระมหาธาตุ
    จังหวัดนครปฐม ที่ตั้งพระปฐมเจดีย์
    จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ตั้งวัดพระมหาธาตุ
    จังหวัดลำพูน ที่ตั้งวัดพระธาตุหริภุญชัย
    จังหวัดนครพนม ที่ตั้งวัดพระธาตุพนม
    จังหวัดน่าน ที่ตั้งวัดพระธาตุแช่แห้ง
    จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ตั้งวัดบึงพระลานชัย
    จังหวัดเพชรบุรี ที่ตั้งวัดมหาธาตุ
    จังหวัดชัยนาท ที่ตั้งวัดพระบรมธาตุ
    จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ตั้งวัดโสธร
    จังหวัดนครราชสีมา ที่ตั้งวัดพระนารายณ์มหาราช
    จังหวัดอุบลราชธานี ที่ตั้งวัดศรีทอง
    จังหวัดจันทบุรี ที่ตั้งวัดพลับ
    จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ตั้งวัดมหาธาตุ อำเภอไชยา
    จังหวัดปัตตานี ที่ตั้งวัดตานีณรสโมสร
    จังหวัดภูเก็ต ที่ตั้งวัดทอง

    วัดโสธรวรารามวรวิหาร
    ขอขอบคุณภาพจากเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา

    น้ำสำหรับมูรธาภิเษกเป็นน้ำที่เจือด้วยน้ำจากปัญจมหานทีในอินเดีย คือ แม่น้ำคงคา ยมนา อิรวดี สรภู มหิ และจากปัญจสุทธคงคา
    ในแม่น้ำสำคัญทั้ง ๕ ของไทย คือ

    แม่น้ำเจ้าพระยา ตักที่ตำบลบางแก้ว จังหวัดอ่างทอง
    แม่น้ำเพชรบุรี ตักที่ตำบลท่าชัย จังหวัดเพชรบุรี
    แม่น้ำราชบุรี ตักที่ตำบลดาวดึงส์ จังหวัดสมุทรสงคราม
    แม่น้ำป่าสัก ตักที่ตำบลท่าราบ จังหวัดสระบุรี
    แม่น้ำบางปะกง ตักที่ตำบลบึงพระอาจารย์ จังหวัดนครนายก

    และน้ำ ๔ สระ คือสระเกษ สระแก้ว สระคงคา สระยมนา ในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเคยใช้เป็นน้ำสรงมาแต่โบราณ


    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับ นำพระมูรธาภิเษก

    พิธีในเบื้องต้น
    มีการตั้งน้ำวงด้ายจุดเทียนชัยละเจริญพระพุทธมนต์ในการพระบรมราชาภิเษก

    เมื่อนำน้ำศักดิ์สิทธิ์มารวมกันแล้ว จะทำพิธีตั้งน้ำวงด้วยสายสิญจ์ โดยมีพระสงฆ์ทำพิธีสวดมนต์และประกาศต่อเทพารักษ์ เป็นเวลา สามวัน ในวันที่สี่พระมหากษัตริย์จะทรงาสรงพระองค์ด้วยน้ำมูรธาภิเษก ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ความเป็นกษัตริย์

    พิธีบรมราชาภิเษก
    เริ่มด้วยการสรงพระมูรธาภิเษกจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพร
    พระราชอาสน์ ราชบัณฑิตและพราหมณ์นั่งประจำ ๘ ทิศ กล่าวคำถวายพระพรชัยมงคล ถวายดินแดนแต่ละทิศให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงคุ้มครอง (ในรัชกาลนี้ได้เปลี่ยนจากราชบัณฑิตเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทน)

    ในวันที่ ๕ พฤษภาคม อันเป็นวันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสรงมูรธาภิเษก แล้วทรงเครื่องต้นเสด็จออกประทับ เหนือพระที่นั่งอัฐทิศภายใต้สตปฎลเศวตฉัตร (ฉัตร ๗ ชั้น)
    สมาชิกรัฐสภาถวายน้ำอภิเษก และพราหมณ์ทำพิธีพวายน้ำเทพมนต์เวียนไปครบ ๘ ทิศ
    เจ้าพระยาศรีธรรมธิเบศ (จิตต์ ณ สงขลา)ประธานวุฒิสมาชิกสภา ถวายพระพรเป็นภาษามคธ และ
    นายเพียร ราชธรรมนิเทศ ประธานสภาผู้แทนราษฎรถวายพระพรเป็นภาษาไทย
    พระราชครูวามเทพมุนี ถวายนพปฎลมหาเศวตฉัตร (ฉัตร ๙ ชั้น) แล้วเสด็จพระราชดำเนินสู่พระที่นั่งภัทรบิฐ
    พราหมณ์ร่ายเวทเปิดศิวาลัยไกลาลทูลเกล้าฯ ถวายพระสุพรรณบัฎ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค และพระแสงอัษฎาวุธ ด้วยภาษามคธ

    สำหรับพระสุพรรณบัฎ ได้จารึกพระปรมาภิไธยว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี
    จักรีนฤบดินทร์ สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร"

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับพระแสงอัษฎาวุธจากพระมหาราชครู

    เมื่อทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ต่างๆ แล้ว พระราชครูวามเทพมุนี ถวายพระพรชัยมงคลด้วยภาษามคธ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการตอบ พระราชอารักษาแต่ปวงชนชาวไทย ด้วยภาษาไทยว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"

    เมื่อพระราชครูวามเทพมุนีรับพระราชโองการด้วยภาษามคธและภาษาไทยแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก ตั้งพระราชสัตยาธิษฐาน จะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจปกครองราชอาณาจักรไทยโดยทศพิธราชธรรมจริยา

    จากนั้นทรงเปลื้องพระมหาพิชัยมงกุฎ พระธำมรงค์รัตนวราวุธ และพระธำมรงค์วิเชียรจินดา จมื่นสิริวังรัตน (เฉลิม คชาชีวะ)เลขาธิการพระราชวัง ทูลเกล้าฯ ถวายดอกพิกุลทอง พิกุลเงิน ทรงโปรยพระราชทานแก่พราหมณ์ แล้วเสด็จฯ ออกจากพระที่นั่งไพศาลทักษิณ สู่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ๘๐ รูป พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา สมเด็จพระสังฆราช
    ถวายอดิเรกเป็นปฐม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถวายพระพรลา แล้วเสด็จขึ้น สมเด็จพระสังฆราชดับเทียนชัย



    #ลูกพยายามปกป้องรักษาแม่ฯตามกาลแล้ว ขอแม่จงหายคลายจากความเศร้าโศกอันยังความเสียใจเศร้าหมองแก่แม่นั้นเถิดฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2022
  4. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27


    #เมื่อคิดเห็นว่า ไม่สมควรมีงาช้างงอกออกจากปากของสุนัข แล้ว! ตนเองจะถือสามารถในเขี้ยวงาอันใดออกมากล่าวแจ้งเตือนใดใดกลับผู้อื่นทำไม ว่า ไม่ควรกล่าวธรรม!ของบุคคลผู้ ยกเพื่อนสหธรรมกัลยาณมิตรออกจากอสัทธรรม นั่นช่างย้อนแย้งสิ้นดี !”ไม่รู้ตัวสินะ” ว่าเป็น”แมลงมุมสางใยพันตนเอง” ไปแล้ว
    5BA4AABF-FC27-4BC0-8D2F-E8AF8FE999DE.jpeg

    #แค่อ้าปากแสดงอรรถออกมาก็รู้แล้วว่า ไม่ได้ วิมุตติ! แล้วจะเอาฐานะอะไรไปห้ามไปสอนเขา !

    #ใจคอคับแคบ อยากมั่วทำตนเป็นยานใหญ่ โดยไม่รู้ตัว ! นี่แหละ!เขาเรียก อาจาริยวาท!

    ไอ้พวกลวงโลกสอนธรรมตัดแปะสุ่มสี่สุ่มห้า หลงคิดว่าเป็นธรรมทายาท สุดท้ายแม้ฐานะอามิสทายาทก็ยังจะเป็นจะเอาดีไม่ได้ ไปเป็นเบ๊สัทธรรมปฎิรูปไป

    คนไม่มีวาสนายังไงก็ไม่มีทางได้รู้ได้ยินได้เห็นหรอก นู่นไปเกิดในดงลึก กินนอนในป่า อเมซอนนู่น! ไม่ต้องออกมา

    เพราะมีวาสนาจึงรู้จึงเห็น! และ ต่อให้เห็นไม่มีวาสนาก็ไม่มีทางได้เข้าใจ

    “แล้วรู้ได้อย่างไรว่า ไม่มีใครมาปวารณาร้องขอจากเราให้แสดงธรรม”

    # ใครสั่งสอน! ถ้าสรรพสัตว์ไม่ได้ร้องขอให้ช่วย ก็ไม่ต้องช่วย! สมแล้วเขาจึงดูแคลนเอา ว่า “หีนยาน”

    #ไม่รู้อะไรจริงแล้วพูด เขาเรียกปากมาก! บ้าน้ำลาย


    การเดินทางอันยิ่งใหญ่

    พระโพธิธรรมพระเถระชั้นสูงชาวอินเดีย ซึ่งในนิยายจีนกำลังภายใน เรียกขานพระนามว่า

    " ปรมาจารย์ตั๊กม๊อ " หรือ "ผู่ ถี ต๋า ม๋อ"

    ผู่ ถี หรือ โพธิ หมายถึง ผู้รู้

    ต๋า ม๋อ หมายถึง ธรรมะ
    https://youtu.be/Bhqe78KQMI0

    พระโพธิธรรมมหาเถระ ออกเดินทางจากอินเดียโดยลงเรือโต้คลื่นลมฝามรสุม มุ่งสู่ประเทศจีน

    กล่าวกันว่าช่วงเวลานั้น แม้ในประเทศจีนจะมีพระพุทธศาสนาสถาปนาขึ้นแล้ว แต่พุทธบริษัททั้งหลายปฏิบัติ

    ธรรมกันแต่เพียงผิวเผิน การสวดมนต์ภาวนา ศึกษาธรรม ก็มิได้ทำอย่างจริงจังกระทั่งเล่าเรียนพระไตรปิฎก ก็

    หวังเพียงประดับความรู้ หรือไม่ก็ใช้เป็นข้อถกเถียงเพื่ออวดภูมิปัญญา

    จะกล่าวไปไยกับการมุ่งปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา ช่างยากที่จะหาคนทุ่มเทฝึกฝน คนก็คือคน นั่งนานก็บ่นว่า

    เมื่อย ล้วนกลัวความยากลำบาก ไม่จริงใจในการปฏิบัติ แต่ร่ำร้องจะเอามรรคผล

    แท้จริงแล้ว ก่อนหน้าที่พระอาจารย์ตั๊กม๊อจะเดินทางมาจีนท่านได้ส่งพระภิกษุสาวก ๒ รูป ให้เดินทางมา

    สำรวจดูลู่ทางก่อนแต่ทว่าเมื่อศิษย์ทั้งสองมาถึงแผ่นดินจีน กลับไม่ได้รับการต้อนรับหรือสนับสนุนจากทั้งนักบวช

    และผู้คนทั้งหลายเท่าที่ควร

    ในที่สุดพระภิกษุทั้งสองรูป จาริกมาถึงที่ หลู่ซัน ได้พบปะกับอาจารย์ ฮุ่ย เอวียน ไต้ชือ ผู้ซึ่งคร่ำเคร่งต่อ

    การท่องสวด

    ท่าน ฮุ่ยเอวียนไต้ซือ ได้ถามศิษย์ของพระอาจารย์ตั๊กม๊อว่า

    "ท่านทั้งสองเป็นภิกษุอินเดีย นำธรรมะอะไรมาเผยแพร่?แล้วทำไมผู้คนถึงไม่ศรัทธา? "

    เวลานั้นภิกษุทั้งสอง พูดภาษาจีนได้น้อยมาก ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจึงได้แต่แบมือยื่นออกไปแล้วตวัดกลับ

    มาอย่างรวดเร็วพร้อมทั้ง เอ่ยขึ้นว่า

    "มันเร็วไหม?"

    ท่าน ฮุ่ยเอวียนไต้ซือ ก็ตอบว่า

    "ใช่...เร็วมาก"

    ศิษย์ของอาจารย์ตั๊กม๊อ จึงกล่าวว่า

    "โพธิ และ ทุกข์ ก็เร็วเช่นนี้แหละ"

    เมื่อนั้น ท่าน ฮุ่ยเอวียนไต้ซือ ก็บังเกิดความสว่างจิตรู้แจ้งในทันที และได้เปล่งอุทานธรรมขึ้นว่า

    "ทุกข์ คือ สุข...สุข คือ ทุกข์

    ไม่แตกต่าง..ทั้งสองอย่างเกิดดับอยู่ที่ "ใจ"

    อยู่ข้างไหน...ก็ขึ้นอยู่กับใจที่สำแดง"

    หลังจากที่ท่าน ฮุ่ยเอวียนไต้ชือ รู้แจ้งในธรรมแล้ว จึงกล่าวนิมนต์ให้พระภิกษุอินเดียทั้ง ๒ รูป อยู่พำนัก

    จำพรรษาที่อารามของท่าน แต่ช่างน่าเสียดายที่ต่อมาไม่นานศิษย์ทั้งสองของอาจารย์ตั๊กม๊อก็ดับขันธ์ไป ในวัน

    เดียวกัน ชึ่งสถานที่บรรจุสรีระสังขารของทั้งสองท่าน ก็ยังคงปรากฏอยู่ ณ เขาหลู่ซัน เป็นหลักฐานตราบจนทุก

    วันนี้

    ต่อมาเมื่อพระอาจารย์ตั๊กม๊อได้พิจารณาเห็นถึงวาระอันควรท่านจึงประกาศต่อบรรดาสานุศิษย์ในอินเดียว่า

    "บัดนี้เวลาแห่งการปฏิบัติภาระกิจสำคัญมาถึงแล้วอาจารย์ต้องนำเอาหลักธรรมอันยิ่งใหญ่ ไปสู่แดนบูรพา"

    พระโพธิธรรม พระสังฆปรินายกองค์ที่ ๒๘ ผู้รับสืบทอดวิถีธรรมตรง จึงลงเรือออกเดินทางโดยมิได้ย่อท้อ

    ต่อความลำบากเหนื่อยยาก มีเพียงความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบหลักแห่งจิตญาณอันเที่ยงแท้ เพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์

    ทั้งปวง

    ด้วยรูปลักษณ์ของพระองค์ท่าน ที่เป็นชาวอินเดียมีหนวดเครารกรุงรัง นัยน์ตาทั้งคู่กลมโต ผิวดำคล้ำ ชาว

    บ้านที่พบเห็น ก็จะหลอกลูกหลานว่า พระแขกจะมาจับตัว เพื่อให้เด็กๆกลัว ฉะนั้นแม้ว่าท่านจะเดินไปทางไหน

    เด็กๆก็จะพากันวิ่งหนีเข้าบ้านหมดบางคราวต้องฝ่าแดดกรำฝน ท่านก็จะดึงเอาผ้าจีวรขึ้นคลุมศีรษะกันร้อนกัน

    หนาว นานวันผ้าจีวรที่ห่มอยู่ก็ชำรุดคร่ำคร่าเปื่อยขาดอันเนื่องจากการรอนแรมนาน ถึง ๓ ปี!

    พระโพธิธรรม มหาครูบา. ภาษาจีนที่เห็นนั้น แต้จิ๋วอ่านว่า "ตงโท้วชอโจ้ว ผู่ที้ตกม้อใต้ซือ" ปฐมาจารย์องค์

    แรกจากอินเดียนำพระพุทธศาสนา นิกายเซ็น (ฌาน) สู่แผ่นดินจีน ชาวจีนนิยมเรียกสั้นๆว่า "ชอโจ้ว หรือ อิ๊ด

    โจ้ว" หมายว่าองค์แรกคือที่ ๑. หรือ"ตกม้อโจ้วซือ" (ถ้านับจากอินเดียตามสายลงมาเป็นอันดับองค์ที่ ๒๘)


    รับนิมนต์จากองค์ฮ่องเต้

    กระทั่ง ณ วันที่ ๒๑ ค่ำเดือนเก้า สมัยราชวงศ์เหลียงบู๊ตี้ประมาณปีพุทธศักราช ๑๐๗๐ ท่านจึงมาถึงยังฝั่ง

    เมืองกวางโจว

    ขณะนั้น พระเจ้าเหลียงบู้ตี๊ พระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธาพุทธศาสนามาก ทรงถือศีลกินเจอยู่เป็นประจำ เมื่อ

    ข่าวการมาถึงของพระอาจารย์ตั๊กม๊อถูกรายงานไปยังราชสำนัก พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ทรงปิติยินดียิ่ง จึงได้มีพระ

    กระแสรับสั่งให้อาราธนาเข้าเฝ้าทันที

    ในปีนั้นเองพระอาจารย์ตั๊กม๊อได้รับนิมนต์จากพระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ไปยังนานกิงนครหลวงเพื่อถกปัญหาธรรม

    พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ได้ตรัสถามพระอาจารย์ตั๊กม๊อว่า

    "ตั้งแต่ข้าพเจ้าครองราชมา ได้สร้างวัดวาอาราม โบสถ์วิหาร และพระคัมภีร์มากมาย อีกทั้งอนุญาตให้ผู้

    คนได้บวช โปรยทาน ถวายภัตตาหารเจแด่พระภิกษุสงฆ์ ตลอดจนทะนุบำรุงพระศาสนามากมาย ไม่ทราบว่าจะ

    ได้รับกุศลมากน้อยเพียงใด?"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า

    "ที่มหาบพิตรบำเพ็ญมาทั้งหมด เป็นเพียงบุญกิริยาทางโลกเท่านั้น ยังมิใช่กุศลแต่อย่างใด"

    การที่ท่านตอบเช่นนั้น ก็เพราะพระเจ้าเหลียงบู๊ตี้มีความเข้าพระทัยผิด ดั่งที่แม้ปัจจุบันผู้คนก็จะคิดว่า "บุญ"

    และ "กุศล" เป็นอย่างเดียวกัน จึงเรียกสับสนปนเปกันไป

    แท้ที่จริง การให้ทานเงินทอง วัตถุสิ่งของ อาหาร หรือสร้างวัดวาอาราม ฯลฯ เรียกว่า "บุญ" หมายถึง ส่งที่

    ทำให้ฟูใจทำให้ใจมีปิติอิ่มเอมเท่านั้น ส่วน "กุศล" หมายถึงสิ่งที่จะช่วยขจัดเครื่องกางกั้น ช่วยให้จิตหลุดรอดไป

    จากสิ่งครอบคลุมห่อหุ้ม "พุทธะจิตธรรมญาณ" ฉะนั้นกุศลที่แท้ คือ ความรู้แจ้งทางจิตใจคือปัญญาอันผ่องแผ้ว

    สมบูรณ์ เป็นความว่าง สงบจากกิเลส

    เวลานั้นพระเจ้าเหลี่ยงบู๊ตี้ ทรงตรัสถามอีกว่า

    "อริยสัจ คืออะไร?"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า "ไม่มี"

    พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงตรัสถามอีกว่า

    "เบื้องหน้าข้าพเจ้านี้ คือใคร?"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า "ไม่รู้จัก"

    พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงได้ยินคำตอบเช่นนั้น ไม่ค่อยพอพระทัย

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ เห็นว่า พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ทรงสั่งสมภูมิปัญญายังไม่แก่กล้าพอที่จะบรรลุได้ จึงทูลลาจาก

    ไป

    เมื่อท่านเดินทางพ้นจากเมืองไปแล้ว พระธรรมาจารย์ปอจี่เซียงซือ คือ พระเถระผู้ทรงปราดเปรื่องรอบรู้พระ

    ไตรปิฎกได้เข้าเฝ้าแล้วกราบทูลถามพระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ว่า

    "พระภิกษุอินเดียรูปนั้น ขณะนี้พำนักอยู่ที่ใด? "

    พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงตรัสว่า

    "จากไปแล้ว.....ท่านเป็นใครหรือ? "

    พระธรรมจารย์ ปอจี่เซียงซือ กราบทูลว่า

    "ท่านคือ พระกวนอิมมหาโพธิสัตว์อวตารมาทีเดียว...ฝ่าพระบาทได้พบท่าน เหมือนไม่ได้พบ ได้เห็นท่าน

    แต่เหมือนไม่ได้เห็น"

    พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงทราบเช่นนั้นจึงมีพระดำริ จะให้ทหารออกติดตามไปอาราธนาท่านกลับมา ฝ่ายพระ

    ธรรมาจารย์ปอจีเซียงซือ ได้กราบทูลต่อไปอีกว่า

    "ไร้ประโยชน์...ถึงจะยกทัพไปแสนนาย ท่านก็ไม่กลับมา"


    ชี้แนะนกแก้ว

    เมื่อพระอาจารย์ตั๊กม๊อเดินทางจากเมืองหลวงแล้ว ระหว่างทางจาริกท่านได้พบนกแก้วตัวหนึ่งถูกขังอยู่ใน

    กรง เจ้านกแก้วตัวนี้ถึงจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ทว่ามันมีปัญญามากกว่าคนทั่วไปเสียอีกเพราะมันสามารถล่วงรู้

    ด้วย สัญชาตญาณว่า มีพระอรหันต์ขีณาสพผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก เหยียบย่างมาถึงแผ่นดินนี้แล้ว

    พอเห็นพระอาจารย์ตั๊กม๊อเดินเข้ามาใกล้ เจ้านกแก้วจึงร้องเรียกขึ้นว่า

    "ท่านผู้เจริญ!....ท่านผู้สูงส่ง....ขอท่านได้โปรดเมตตาชี้แนะช่องทางให้ข้าน้อยออกจากกรงขังนี้ด้วยเถิด"

    ฝ่ายพระอาจารย์ตั๊กม๊อ เมื่อได้ยินคำวิงวอนจากนกแก้ว ก็ให้คิดคำนึงในใจว่า

    "นับตั้งแต่มาถึงแผ่นดินจีน..จนกระทั่งบัดนี้ จะหาใครบ้างที่ล่วงรู้ในจิตใจ มีใครที่มีวาสนาพอจะ แนะวิถี

    ธรรมให้ได้บ้าง จะมีก็แต่เจ้านกแก้วตัวนี้ ที่ร้องขอเมตตา"

    ครั้นแล้ว พระอาจารย์ตั๊กม๊อ จึงโปรดชี้แนะเจ้านกแก้วไปว่า

    "สองขาเหยียดตรง สองตาปิดสนิท เท่านี้แหละ....เจ้าก็จะออกจากกรงได้"

    เจ้านกแก้วฟังแล้วก็เข้าใจความหมายทันที มันจึงเฝ้ารอคอยให้เวลามาถึง ทั้งนี้เพราะทุกๆเย็น เมื่อเจ้าของ

    นกแก้วกลับถึงบ้าน ก็จะแวะหยอกล้อกับมันเป็นกิจวัตร

    ดังนั้นพอนกแก้วเห็นนายของมันเดินมาแต่ไกล มันจึงรีบล้มตัวลงนอน หลับตาสนิท เหยียดขาตรง ทำตัว

    แข็งทื่อ

    ครั้นเจ้าของมองดูในกรง เห็นนกแก้วแสนรักของตนนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงเช่นนั้นก็ตกใจ รีบเปิดกรงเอื้อมมือ

    เข้าไปประคองอุ้มมันออกมาเพื่อตรวจดูว่าเป็นอะไร แต่เอ๊ะ...ทำไมตัวมันยังคงอุ่นๆอยู่ทันใดนั้นเอง เจ้านกแก้ว

    ชึ่งรอคอยโอกาสอยู่ก็กางปีกบินหนีไปอย่างรวดเร็ว มันโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ด้วยความสุขสำราญและอิสระเสรีอย่าง

    ที่สุด

    หันมามองดูมนุษย์ในโลกกันบ้าง ถึงไม่ได้ถูกจับใส่กรงขัง ก็อย่าหลงนึกไปว่าตนเองอิสระ ผู้คนทั้งหลาย

    บ้างนึกอยากจะกินก็กินใครอยากจะดื่มก็ดื่ม สำมะเลเทเมาสนุกให้สุดเหวี่ยง ไม่มีศีล ไม่มีสัจจ์ ไม่มีระเบียบวินัย

    ไม่มีความถูกต้อง ไม่เห็นความดีงามความควรไม่ควรไม่มีอยู่ในสายตา ทำทุกอย่างตามความพอใจของตนแล้ว

    คิดว่านั่นเป็น ความอิสระเสรี

    แท้จริงมันเป็นอิสระจอมปลอม เป็นชีวิตที่ไร้แก่นสารไร้สาระความหมายที่แท้จริงของ "ชีวิตอิสระ" คือ อิสระ

    จากการเกิด-ตาย

    ไม่ใช่ทุกคนที่อยากเกิด แต่ก็ต้องเกิด

    และไม่ใช่ว่าทุกคนอยากตาย แต่ก็ต้องตาย

    ใครบ้างเลือกได้ หรือ เลี่ยงได้

    มีเพียงผู้ที่อิสระแท้จริงเท่านั้นที่อยู่เหนือโลก คือ สามารถพ้นเกิดตาย เจ้านกแก้วเป็นตัวอย่างของการไปให้

    ถึงความเป็นอิสระ

    คือ การ "ตาย" เสียก่อน "ตาย"

    ผู้ที่สามารถ ตายจาก รัก โลภ โกรธ หลง

    ตายจาก ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข

    ชิวิตในโลกของเขาผู้นั้นไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสตัณหาอวิชชาทั้งหลาย เช่นนี้..จึงจะได้ชื่อว่า "ตาย

    ก่อนตาย" ได้สู่อิสระเสรี อย่าง แท้จริง


    ชี้แนะเสินกวงฝ่าซือ

    ย้อนกล่าวถึง พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ได้เดินทางมาถึงวัดใหญ่แห่งหนึ่ง มีท่านเจ้าอาวาสนามว่า "เสินกวง" ท่าน

    เจ้าอาวาสรูปนี้เป็นผู้ที่มีปัญญาหลักแหลมมาก และความจำล้ำเลิศชนิดที่ว่า คนทั่วไปอ่านหนังสือกันทีละแถว แต่

    ท่านสามารถอ่านได้ทีละ ๑๐ แถวท่านสามารถฟังคนร้อยคนพูดในเวลาเดียวกัน ไม่เพียงเท่านั้นท่านสามารถแยก

    แยะเรื่องราวจากเจ้าของเสียงได้อย่างถูกต้อง นับว่าท่านเสินกวงฝ่าชือ เป็นพระสงฆ์อัจฉริยะองค์หนึ่ง แต่ทว่าอีก

    ด้านหนึ่งท่านก็เป็นนักบวชที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวมากด้วยเช่นกัน ในด้านการเทศนาธรรม ท่านเจ้าอาวาสเสิ่นกวง นับ

    เป็นนักเทศน์ชั้นเยี่ยมยอดแห่งยุคนั้น เพราะท่านสามารถเทศน์จนศรัทธาสาธุชนที่มานั่งฟังสามารถมองเห็นภาพ

    สวรรค์ ภาพนรกขึ้นมาได้

    วันนั้นขณะพระอาจารย์ตั๊กม๊อมาถึง ท่านเสินกวง กำลังแสดงธรรมเทศนา มีสานุศิษย์ชุมนุมอยู่เป็นจำนวน

    มาก พระอาจารย์ตั๊กม๊อจึงเข้าไปปะปนนั่งนิ่งฟังอยู่แถวหลังสุด ตอนไหนที่ถูกท่านก็ยิ้มๆ แล้วผงกศีรษะหน่อยๆ

    ตอนไหนที่เทศน์ผิดความหมาย..ท่านก็จะส่ายหน้าหน่อยๆ

    ฝ่ายท่านเสินกวง ผู้ซึ่งกำลังแสดงธรรมอยู่บนแทนธรรมมาสน์ เมื่อมองเห็นพระภิกษุอินเดียแปลกหน้ามา

    แสดงกิริยาเช่นนั้น เหมือนกับว่าเป็นการตำหนิตน ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์บ้างแล้ว

    ครั้นการเทศนาธรรมจบลง ผู้คนเริ่มทะยอยกันกลับ พระอาจารย์ตั๊กม๊อจึงถือโอกาสเข้าไปสนทนาเพื่อหวังชี้

    แนะ ด้วยเห็นว่าเป็นผู้มีภูมิธรรมปัญญาเป็นฐานอยู่แล้ว

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ "ท่านอยู่ที่นี่ทำอะไร?"

    ท่านเสินกวง "อ้าว!...ข้าก็เทศน์ธรรมอยู่ที่นี่น่ะซิ!"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ "ท่านเทศน์ธรรมเพื่ออะไร?"

    ท่านเสินกวง "เทศน์เพื่อให้ผู้คนหลุดพ้น!"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ "จะช่วยคนให้พ้น เกิดตายได้อย่างไร...ในเมื่อธรรมที่ท่านเทศน์ ก็คือ

    ตัวหนังสือบนคัมภีร์

    ตัวหนังสือดำ ก็เป็นสีดำ

    กระดาษขาว ก็เป็นสีขาว

    เทศน์ไปเทศน์มา ก็คือเทศน์ตามตัวหนังสือดำๆ บนกระดาษขาวๆ

    เมื่อถูกจู่โจมด้วยคำถามชนิดไม่ทันให้ตั้งตัว ท่านเจ้าอาวาสเสินกวงได้แต่อึกอักอ้าปากค้าง ไม่รู้จะตอบอย่าง

    ไร จากความอายกลายเป็นโกรธจัด แม้ว่ายามปกติท่านจะเป็นนักเทศน์ที่เยี่ยมยอดก็ตาม แต่คราวอารมณ์โกรธ

    ปะทุ ขึ้นมาก็จะรุนแรงราวฟ้าผ่า

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ เห็นท่านเสินกวงไม่อาจตอบก็พูดย้ำเข้าไปอีกว่า

    "นี่แหละน๊า...แผ่นดินจีนในยุคนี้

    มีธรรมะ ก็เหมือนไม่มี

    หากจะว่าไม่มี ก็มีคนพูดธรรมะกันทั้งเมือง"

    ถึงตอนนี้ ท่านเสินกวงสุดจะกันความโกรธเอาไว้ได้ จึงเหวี่ยงสายประคำฟาดไปที่หน้าของพระอาจารย์

    ตั๊กม๊ออย่างสุดแรงพร้อมกับ ตะโกนด่าว่า

    "นี่แน่ะ!....แกกล้าดีอย่างไร ถึงมาเป็นตัวบ่อนทำลายศาสนาที่นี่"

    จะว่าไปแล้ว พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ท่านก็เป็นผู้ล้ำเลิศในเชิงวิทยายุทธ แต่ก็มิได้หลบหลีกการประทุษร้าย ทั้งนี้

    เพราะท่านนึกไม่ถึงว่า บรรพชิตผู้ออกบวช อีกทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่เคารพนับถือของผู้คนมากมาย จะ

    มากด้วยโทสะจริตจนถึงกับลงมือลงไม้กันหนักขนาดนี้ และผลจากการถูกฟาดด้วยสายประคำเส้นใหญ่อย่างแรง

    ทำให้ฟันคู่หน้าทั้ง ๒ ซี่ หลุดอยู่ในปาก!

    ตามตำนานโบราณได้กล่าวว่า หากแม้นองค์พระอรหันต์เจ้าผู้บริสุทธิ์พระองค์ใด ถูกล่วงเกินทำร้ายถึงกับพระ

    ทันตธาตุต้องตกล่วง แม้ว่าเศษแห่งพระทันตธาตุนั้นตกลง ณ พื้นแผ่นดินใด แผ่นดินนั้นจะต้องประสบ

    ทุพภิกขภัย แห้งแล้งติดต่อกันถึง ๓ ปี!

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อผู้เปี่ยมด้วยมหาเมตตาจิต พิจารณาว่า

    "หากแผ่นดินนี้ต้องแล้งฝน ขาดน้ำถึง ๓ ปี ชาวบ้านผู้คนเด็กเล็ก ตลอดจนสัตว์ใหญ่น้อยมากมาย จะต้อง

    ล้มตายกันนับไม่ถ้วนอันตัวเรานี้อุตส่าห์ดั้นต้นเดินทางจากแผ่นดิน เกิดมาไกลแสนไกลก็เพื่อประกอบภาระกิจ

    โปรดเวไนยสัตว์ มิใช่กลับกลายเป็นก่อวิบากกรรมให้แก่มวลเวไนย ให้ทุกข์ยากลงไปอีก"

    ท่านดำริใคร่ครวญเช่นนี้แล้ว จึงกลืนฟันที่ถูกฟาดจนหลุดทั้ง๒ ซี่ลงไปไนท้อง ไม่ยอมบ้วนลงพื้น พระ

    อาจารย์ตั๊กม๊อผู้มีจิตพ้นแล้วจากกิเลสใหญ่น้อยทั้งปวง ไม่มีความรู้สึกระคายเคืองใจ แม้เพียงน้อยนิด จึงได้แต่

    หันหลังเดินจากไปด้วยอาการสงบเย็น


    ยมฑูต เตือนสติ

    ท่านเสินกวงเจ้าอาวาส เมื่อได้ฟาดสายประคำระบายโทสะไปแล้ว ก็รู้สึกสมใจ ยิ่งไม่ใด้รับการโต้ตอบ ก็ยิ่ง

    คิดไปว่าเป็นเพราะพระภิกษุอินเดียแปลกหน้ารูปนั้นเกรงกลัวบารมีของตน ทำให้กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ

    แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว อีก ๓ วันต่อมา ขณะที่กำลังจำวัตรพักผ่อน ยมฑูต ๒ ตน ก็ปรากฏร่างมายืน

    อยู่ตรงหน้าพร้อมกับแจ้งว่า

    "วันนี้...ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องหมดบุญสิ้นอายุขัย

    ไม่อาจอยู่บนโลกมนุษย์อีกต่อไป!

    ท่านพญายมผู้เป็นใหญ่ ให้ข้าทั้งสองมานำตัวท่านลงไปในยมโลกเดี๋ยวนี้!"

    ท่านเจ้าอาวาสได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงระล่ำระลักถามยมฑูตว่า

    "อาตมาได้บวชเรียนศึกษพระธรรมปฏิบัติกิจบำเพ็ญมากมายกระทั่งเทศนาธรรม...มวล หมู่เทพยดาบน

    สวรรค์ยังเสด็จลงมาฟังถึงขนาดนี้แล้วถ้าแม้ตัวอาตมายังไม่พ้น เงื้อมมือพญายม ไม่อาจหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่ง

    การเกิดการตาย แล้วในโลกนี้ยังจะมีใครอีกเล่า...ที่สามารถหลุดพ้นไปได้"

    ยมฑูตตนหนึ่งได้ตอบเจ้าอาวาสเสินกวงว่า

    "ในโลกมนุษย์ยังมีผู้หลุดพ้นแล้ว ไม่เพียงแต่ท่านพญายมไม่อาจเอื้อมควบคุม กลับยังจะต้องกราบสักการะ

    ท่านอยู่เป็นเนืองนิจ พระอริยเจ้าพระองค์นั้น คือ พระภิกษุอินเดีย ที่ถูกท่านใช้สายประคำฟาดจนพระทันตธาตุ

    หลุดไปนั้นแหละ!"

    ท่านเสินกวงได้ยินเช่นนั้น ก็ทั้งตกใจและเสียใจ จึงวิงวอนว่า

    "ขอท่านยมฑูตทั้งสองโปรดให้เวลาอาตมาสักระยะหนึ่งเพื่อที่อาตมาจะได้ไปขอรับ ธรรมะแห่งการหลุดพ้น

    จากพระอาจารย์ผู้บรรลุแล้วพระองค์นั้น"

    ยมฑูตทั้งสอง ก็ยินยอมผ่อนผันตามคำร้องขอ พอท่านเสินกวงสะดุ้งตื่นขึ้น ก็รีบออกติดตามหาพระอาจารย์

    ตั๊กม๊อ จนกระทั่งลุถึงวันที่ ๑๙ ค่ำ เดือนสิบจึงตามมาทัน ครั้นเห็นพระอินเดียยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแยงชีแต่ไกล

    ท่านเสิ่นกวงจึงรีบวิ่งไปจวนเจียนจะถึงองค์ท่านอยู่แล้ว

    ขณะนั้นพระอาจารย์ตั๊กม๊อกำลังจะข้ามฟาก แต่มองหาเรือไม่มีเลย ท่านจึงดึงเอาต้นหญ้าเล็กๆปล้องหนึ่ง

    โยนลงแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยว แล้วกระโดดลงไปยืนลอยบนต้นหญ้าเล็กๆนั้น ตาเพ่งจมูกจมูกเพ่งใจ ใจเพ่งท้อง

    น้อย ผนึกลมปราณสมาธิ อาศัยกระแสลมซึ่งพัดจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ พาท่านข้ามไปยังฝั่งเหนือ ชึ่ง

    เหตุการณ์สำคัญนี้ ในวัดเส้าหลินปัจจุบันยังคงเก็บรักษาแผ่นสิลาสลักรูป

    "พระโพธิธรรมข้ามแม่น้ำด้วยหญ้าต้นเดียว" เอาไว้เป็นหลักฐานแห่งบุญญาภินิหาร

    ฝ่ายท่านเสินกวง ได้แต่ทรุดตัวกราบลงที่ริมฝั่งแม่น้ำพร้อมกับตะโกนร้องขอขมาโทษ...ขออาราธนา ให้

    ท่านกลับมาอีก...พระอาจารย์ตั๊กม๊อ หันมามองดูแล้วก็ยิ้มและยกมือกวัก ประหนึ่งว่าจะให้กระโดดน้ำก็ตามท่าน

    ไป

    อนิจจา....ท่านเสินกวง ถึงจะมีใจศรัทธายิ่งในกฤษดาภินิหารของพระอินเดีย แต่ทว่าว่ายน้ำไม่เป็น จึงไม่

    กล้ากระโดดตามลงไปได้แต่ยกมือพนมตะเบ็งเสียงร้องว่า

    "ขอท่านผู้สูงส่ง ได้โปรดกลับมาเถิดๆๆ"

    ขณะนั้นมีหญิงชราคนหนึ่งแบกมัดฟางเดินมา นางเห็นเหตุการณ์ที่เกิด ก็ยุเสริมให้กระโดดน้ำตามไป

    ท่านเสินกวงจึงบอกว่า "อาตมาว่ายน้ำไม่เป็น"

    หญิงชรากลับย้อนว่า "ท่านกลัวตายหรือ...แล้วทำไมเขาไม่กลัวตายล่ะ? "

    ว่าแล้วนางก็โยนมัดฟางให้ ท่านเสินกวงจึงตัดสินใจกระโดดเกาะมัดฟางนั้น พยุงตัวไหลไปตามกระแสน้ำอัน

    เชี่ยวกราดกระทั่งลับสายตาไปทั้งคู่

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ข้ามแม่น้ำแยงซีไปถึงวัดเส้าหลินบนเทือกเขาซงซาน อำเภอลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน

    แล้วพำนักอยู่ที่นั่น ท่านได้ค้นหาถ้ำธรรมชาติถ้ำหนึ่งบนเขาหลังวัด แล้วนั่งสมาธิหันหน้าเข้าผนังถ้ำ วันๆจะนั่งนิ่ง

    ไม่ไหวติงไม่พูดจากับผู้ใดท่านนั่งสมาธิเข้าฌานอยู่เช่นนี้ เป็นเวลาถึง ๙ ปี

    นานวันเข้า เงาร่างที่กระทบทาบไปบนผนังศิลา ได้ฝังรอยติดอยู่จนมองเห็นได้ชัดเจน สามารถเห็นได้แม้

    กระทั่งปัจจุบันนี้ จึงได้ชื่อว่า "ผนังศิลาเงา"


    ฝากไว้สำหรับพวกเหล่านิกายสูญสิ้นพุทธฯ
    ไม่รู้ธรรมไม่มีธรรมอะไรๆ ก็ออกมาสั่งสอนคน ไปมั่วๆผิดทาง กรรมทางวาจาบ้างล่ะ! กำหมัด กำปั้นทุบดิน

    #สงสัยทางสำนักเทพวิบัติจะมีพระสูตรนี้ถ่ายทอดมากจากยุคบรรพกาล



    (สูญสิ้นพุทธะสูตร)

    ผู้นำนิกายสูญสิ้นพุทธฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลายฯ เราตถาคตจะย้ำเตือนพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายว่า ไม่ว่าจะเป็นในอดีต ปัจจุบันหรืออนาคตกาลก็ดี พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้ออกโปรดเวไนยสัตว์ อย่าได้ออกเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอน อย่าได้ออกไปกล่าวยกเพื่อนสหธรรมกัลยาณมิตรออกจากสัทธรรมปฎิรูปและอสัทธรรมอันเป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าเขาไม่ได้กล่าวขอร้องพวกเธอหรือเรามา ว่าต้องการให้เราหรือเธอเข้าไปช่วย ก็ไม่ต้องสะเออะ!ออกตัวไปสั่งสอนธรรมแก่เหล่าสรรพสัตว์ทั้ง นรกภูมิ เทวโลก มารโลก พรหมโลก ตลอดจนเหล่าเวไนยสัตว์ทั้ง ๔ ทวีปทั้งมวล ฯ

    ซึ่งก็แน่นอน! ว่า เมื่อเราและพวกเธอมิได้ประกาศพระสัทธรรม สัตว์เหล่าอื่น ก็ย่อมไม่มีทางได้รับรู้ว่ามีเราหรือพวกเธอนั้นอยู่ ! ถึงต่อให้รู้ว่ามีหรือเคยเห็นเราและพวกเธอเกิดทันยุคสมัยกัน ก็ไม่มีทางจะรู้ได้ว่าเราและพวกเธอเหล่าภิกษุทั้งหลายฯ ได้มีพระธรรมคำสั่งสอนอันเป็นประโยชน์แก่โลกหล้า อันปรากฎขึ้นแล้ว แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายฯเหล่านั้น ล้วนไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยใดใด ให้เราตถาคตและพวกเธอมาอุบัติยังโลกใบนี้ เพราะฉนั้นแล้ว ! ถึงแม้จะปรากฎเหตุร้ายแก่พระธรรมคำสั่งสอน ใครจะย่ำยีอย่างไรก็ช่างเถิด เราและพวกเธอทั้งหลายฯ จักเอาตัวรอด เพราะกลัวจะตายกลายเป็นเปรตและสัตว์ติรัจฉาน เพราะเหตุแห่งการยกเพื่อนสหธรรมกัลยาณมิตรออกจากอสัทธรรมนั้นจะเป็นกรรมทางวาจาอันร้ายแรง

    จบ สูญสิ้นพุทธะสูตรฯ




    เสวยสุขจนมัวเมา พอใจกับสิ่งที่ได้มา
    จนหลงลืมไปว่า อะไรควรไม่ควรแก่กาล
    อ้างวันเวลาจะผันผ่าน อีกไม่นานชีวาจะร่วงหล่น
    เลยยอมปล่อยมณฑล แปดเปื้อนชั่วโลกีย์

    ฐานะที่ควรทำ ไม่สร้างสรรค์ยังหลบหนี
    อ้างความชั่วและความดี จะหมดสิ้นความจีรัง
    กรรมใครกรรมมันที่ว่าแน่ แล้วยังเผยแผ่ความสิ้นคิดหมดความหวัง
    แล้วเวไนยใครจะช่วยเขาได้กัน เลยปล่อยผ่านข้างหลังไปไร้หนทาง

    ทอดทิ้งภาระทั้งหน้าที่ ที่เป็นอยู่ก็มืดบอดทุกสถาน
    สมมุติเป็นอยู่คือไม่ทันกาล ไม่อาจหวังพึ่งพาแค่ปลอบใจ
    ไม่รู้เรื่องราวใดยังกล่าวสอน สรรพสัตว์ต้องหลงผิดเป็นไฉน
    เอาแค่คิดจะอยู่อย่างร่ำไร จะหวังให้ผู้ใดไร้อัตตา

    กล่าวสอนธรรมออกมา ช่างมั่วซั่ว
    คนหูหนวกตามัวทุกสถาน
    หวังจะได้โอสถแก้วทิพยวิมาน
    พระนิพพานอย่าหวังว่าจะได้ไป

    ธรรมที่กล่าวลอกมาขายปริยัติ
    ไม่ปฎิบัติถึงทิพย์ภูมิถิ่นอาศัย
    สากัจฉสูตรก็ไม่มีบ่นเรื่อยไป
    จะหวังให้ยังปัจจัยส่งนิพพาน

    ธรรมจักรหมุนกลับอย่างรัวรัว
    เพี้ยนมักชั่วไม่รู้ดีซึ่งมิจฉา
    สมาธิที่เพ่งสอนปนอัตตา
    ทำเหมือนว่าเก่งกล้าช่างรู้ธรรม

    วิมุตติ ๕ ตามอย่างมีให้แก้
    ทั้งอบรมป้องจิตไตรสิกขา
    พรหมจรรย์ควรบำเพ็ญซึ่งจรรยา
    กาละเทสังขาราไม่จีรัง

    ดำรงตนไม่ประมาทพระสุคต
    ยังประโยชน์สาธุชนเป็นได้ไหม
    พึ่งตนและพึ่งธรรมนำเป็นไป
    บริษัท ๔ ควรพ้นภัยกึ่งพุทธกาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2023
  5. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    CF771031-D424-4CD8-B8D3-E0C3CF6868BE.jpeg


    8CA751E0-4E58-4C1D-B4EC-E64453A10819.jpeg
    ไม่แปลกใจที่ท่านพระพุทธทาสพิจารณา “เซน”

    ตัดแขนบูชาธรรม

    ฝ่ายท่านเสินกวง ชึ่งกระโดดน้ำติดตามมา ก็เฝ้าคอยปรนนิบัติพระอาจารย์ตั๊กม๊ออยู่ไม่ยอมไปไหน ตลอด

    ระยะเวลา ๙ ปีที่พระอาจารย์นั่งสมาธิหันหน้าเข้าผนังถ้ำ ท่านเสินกวงก็พยายามมาคุกเข่ารออยู่ที่หน้าถ้ำ ด้วย

    ความหวังว่าจะได้รับการถ่ายทอดธรรมอันสูงสุดเพื่อความหลุดพ้น บริเวณที่ท่านเสินกวงคุกเข่า ต่อมาได้ถูกสร้าง

    เป็นศาลาขึ้น มีชื่อว่า "ศาลากลางหิมะ" ซึ่งยังปรากฎเป็นหลักฐานให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้

    เวลาผ่านไปถึง ๙ ปี ในวันที่ ๒๙ ค่ำ ปีไท่เหอที่สิบ วันนั้นหิมะตกหนักมาก ท่านเสินกวงคุกเข่าอยู่หน้าถ้ำ

    ตลอดทั้งคืน จนหิมะท่วมสูงถึงเอว ครั้นรุ่งเช้าพระอาจารย์ตั๊กม๊อก็ได้เดินออกมาจากถ้ำ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

    "เธอมาคุกเข่าตากหิมะอยู่ที่นี่ เพื่อประสงค์อะไร?"

    ๙ ปีแห่งการรอคอย ท่านเสินกวง ตื้นตันจนน้ำตาไหลซึมออกมา แล้วตอบว่า

    "ข้าผู้น้อย....มาขอรับการถ่ายทอดวิถีธรรมขอรับ

    ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาเปิด "ประตูมรรคผล"

    ชี้ทางแห่ง "พุทธะ" แก่ศิษย์ด้วยเถิด"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า "พระพุทธองค์สละเวลามากมายทุ่มเทชีวิตในการปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผล

    แล้วตัวเธออาศัยความตั้งใจเพียงเล็กน้อยมาขอรับธรรมอันยิ่งใหญ่ คงยากที่จะสมหวัง!"

    ขณะนั้น ท่านเสินกวงได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อก็ย้อนถามอีกว่า

    "หิมะสีอะไร?"

    ท่านเสินกวง "ขาวขอรับ"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ "ถ้าเช่นนั้น...เธอจงรอไปจนถึงเวลาที่หิมะเป็นสีแดงเมื่อใด เมื่อนั้นแหละฉันจึงจะถ่าย

    ทอดวิถีธรรมเพื่อความหลุดพ้นแก่เธอ!"

    คำพูดอันเป็นปริศนา เพื่อทดสอบภูมิธรรมปัญญาจากพระอาจารย์ตั๊กม๊อ ทำให้ท่านเสินกวงทั้งเสียใจ ทั้งสิ้น

    หวังหมดอาลัยตลอด ๙ ปีที่เฝ้ารอคอยมา...ความสมหวังดูช่างเลือนลาง มิหนำซ้ำความรันทดอัดอั้นตันใจเมื่อ

    ระลึกถึงความผิดบาป ที่ตนได้ประทุษร้ายพระอริยเจ้าผู้บริสุทธิ์ด้วยโทสะจิต ความผิดฉกรรจ์ครั้งนั้น หากจะชดใช้

    ด้วยชีวิตก็มิอาจจะไถ่โทษ ถึงตัวจะตายแต่จิตวิญญาณก็ใช่ว่าจะหลุดพ้นเป็นอิสระไปได้ ความสับสนคับอกคับใจ

    ความหมดอาลัยสิ้นหวัง ทับโถมประดังเข้ามา มิอาจจะสรรหาคำพูดใดๆ มาพรรณาได้

    ทันใดนั้นเอง ท่านเสินกวงก็หันไปคว้ามีดตัดฟืนข้างกายยกขึ้นมาฟันแขนซ้ายตนเองจนขาดตกลงบนพื้น!

    จากนั้นท่านก็ใช้มือขวาหยิบแขนที่ขาด ยกขึ้นถวายบูชาพระอาจารย์ตั๊กม๊อประหนึ่งแทนความในใจทั้งหมด

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อจึงกล่าวขึ้นว่า

    "เพื่อแสวงหาโมกขธรรม พระโพธิสัตว์ไม่ติดในสังขารและชีวิตเธอสละแขนขอธรรมนับว่าควร

    สรรเสริญ...นับว่าควรสรรเสริญ"

    ขณะเดียวกัน ท่านเสินกวงซึ่งก้มหน้าของตนเอง เห็นเลือดจากแขนไหลนองพื้น หิมะที่ขาวสะอาดซึมซับไว้

    ได้กลับกลายเป็นสีแดงฉาน! ท่านจึงเงยหน้ารีบบอกไปว่า

    "ได้โปรดเถิดท่านอาจารย์...บัดนี้หิมะสีแดงปรากฏต่อสายตาท่านแล้วขอรับ!"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ยิ้มด้วยความยินดี พร้อมกับกล่าวว่า

    "นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น....

    การมาถึงแดนบูรพาในครั้งนี้...ไม่สูญเปล่า

    เพราะยังมีบุญวาสนามาพบผู้มีศรัทธาแรงกล้า

    ที่จะสามารถรับรู้และปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมอันเที่ยงแท้ได้"

    เมื่อพระอาจารย์ตั๊กม๊อกล่าวจบ ท่านได้สกัดจุดห้ามเลือดแล้วรักษาบาดแผล ท่านเสินกวงรู้สึกถึงความเจ็บ

    ปวดอย่างจับใจจึงเอ่ยขอให้อาจารย์ชี้แนะว่า

    "จิตของศิษย์ว้าวุ่น...ขอท่านอาจารย์ เมตตาช่วยทำให้มันสงบด้วยเถิดขอรับ"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ "จงเอาจิตของเธอออกมาซิ!แล้วฉันจะทำให้มันสงบ"

    ท่านเสินกวงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า

    "ศิษย์หาจิตของตัวเองไม่พบขอรับ"

    ต่อจากนั้นพระอาจารย์ตั๊กม๊อ องค์สังฆปรินายกองค์ที่ ๒๘ แห่งอินเดียก็ได้ถ่ายทอดธรรมให้แก่ท่านเสินกวง

    ด้วยวิถีแห่ง "จิต สู่ จิต" เมื่อนั้นท่านเสินกวงก็ได้บรรลุธรรมโดยฉับพลัน

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อจึงกล่าวว่า

    "ฉันได้วางจิตของเธอในที่ถูกต้อง และทำให้มันสงบแล้ว "พระอาจารย์ตั๊กม๊อได้รับท่านเสินกวงเป็นศิษย์

    และตั้งสมณะฉายาให้ใหม่ว่า "ฮุ่ยเข่อ" พร้อมกับได้กล่าวโศลกธรรมว่า

    "สรรพศาสตร์ทั้งหลายอยู่ที่ "หนึ่ง"

    " หนึ่ง" นั้นอยู่ที่ใดเล่า

    เพราะไม่รู้ "จุดหนึ่ง" เสินกวงจึงต้องคุกเข่า

    รอ ๙ ปี เพื่อขอ "หนึ่งจุด".....หลุดพ้นยมบาล


    1A54FBCE-A417-4099-8D86-84C71642ECA4.jpeg F6824DCF-F791-4F5E-A16D-612582F94E94.jpeg

    ฝ่ามารผจญ

    พระพุทธองค์ตรัสว่า

    "ผู้ไม่ถูกว่าร้าย ไม่มีในโลก และแน่นอนคนที่ไม่ถูกเกลียดเลยไม่มีในโลก" เพราะแม้แต่พระพุทธองค์เองก็

    ยังถูกคนนินทาใส่ร้ายป้ายสี ยังต้องถูกมารผจญ

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อเองก็เช่นกัน นับแต่ย่างก้าวมาถึงแผ่นดินจีน ท่านได้ประกอบภาระกิจเผยแพร่วิถีธรรม

    ตรง มีสานุศิษย์ก็มาก แต่ขณะเดียวกันศัตรูที่ปองร้ายก็ไม่นัอย หลายต่อหลายครั้งที่ฝ่ายปรปักษ์ หมายมุ่งจะ

    ทำลายชีวิตท่าน โดยผสมยาพิษลงไปในภัตตาหารเจ แล้วทำทีมาถวายด้วยใจศรัทธา ทั้งๆที่รู้ว่าอาหารมีพิษพระ

    อาจารย์ตั๊กม๊อก็ยังรับมาฉันอย่างปกติจนหมด แต่เมื่อสาธุชนทั้งหลายกลับไปหมดแล้ว ท่านก็เดินลมปราณขับ

    พิษ อาเจียรเอาอาหารทั้งหมดออกมา

    กล่าวกันว่าอำนาจของพิษร้ายและมนต์ดำ เมื่ออาหารตกลงบนพื้นเพียงเศษเล็กน้อย ก็กลายเป็นฝูงอสรพิษ

    ฝ่ายศัตรูผู้มุ่งร้ายก็ไม่ยอมเลิกรา เมื่อเห็นว่ายาพิษไม่สามารถทำอันตรายท่านได้ ก็เพิ่มปริมาณยาพิษให้มาก

    ลงไปในภัตตาหารขึ้นอีกหลายเท่า แม้กระนั้นท่านก็ยังรับมาฉันอีก คราวหนึ่งความร้ายแรงของยาพิษ...เมื่อท่าน

    อาเจียรออกมา มันมีอานุภาพถึงขนาดทำให้หินก้อนใหญ่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ แต่กระนั้นก็มิอาจจะทำอันตราย

    ใดๆ แก่ท่านได้


    ทดสอบภูมิธรรม คัดศิษย์สืบทอดภาระกิจ

    ปีพุทธศักราช ๑๐๗๙ อยู่มาวันหนึ่งพระอาจารย์ตั๊กม๊อได้เรียกสานุศิษย์คนสำคัญๆ เข้ามาพบเพื่อที่จะ

    ทดสอบภูมิธรรมของแต่ละคนว่าใครจะเข้าถึง "อนุตตรธรรมวิถี" ที่ท่านสั่งสอนอบรมไว้ว่าลึกตื้นมากน้อยกว่ากัน

    เพียงไร

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตั้งคำถามว่า

    "ธรรมที่แท้จริง คือ อะไร?"

    ศิษย์ชั้นอาวุโสองค์แรก นามว่า "เต๋าหู๋" ได้ลุกขึ้นยืนแล้วตอบว่า

    "ไม่ยึดติดตัวอักษรคัมภีร์

    แต่ก็ไม่ทิ้งตัวอักษรคัมภีร์

    อยู่เหนือการยอมรับ และเหนือการปฏิเสธ

    นั่นแหละ คือ ธรรมะที่แท้จรง ขอรับ"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ จึงพูดว่า

    "เอาล่ะ...เธอได้หนังของฉันไป"

    ศิษย์องค์ที่สองเป็นภิกษุณี นามว่า "จิ้งที้" ได้ลุกขึ้นยืนแล้วตอบว่า

    "ธรรมที่แท้จริง เหมือนดังที่พระอานนท์ได้เห็น พุทธภูมิของพระอักโษภยาพุทธเจ้า แว็บหนึ่งแล้วไม่เห็นอีก

    เลยเจ้าค่ะ"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ จึงพูดว่า

    "ถูก....เธอได้เนื้อของฉันไป"

    ศิษย์องค์ที่สาม นามว่า "เต๋ายก" ลุกขึ้นยืนแล้วตอบว่า

    "มหาภูตรูปทั้ง 4 นั้นเดิมว่าง ขันธ์ 5 ก็ไม่ใช่ตัวตนไม่มีแม้แต่ธรรมใดๆ นั่นแหละคือ ธรรมะ ที่แท้จริงขอรับ"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ จึงพูดว่า

    "เอ้า!...ถูก....เธอได้กระดูกของฉันไป"

    ศิษย์องค์ที่สี่ นับเป็นศิษย์ก้นกุฏิ คือ ฮุ่ยเข่อ หรือท่านเสินกวงนั่นเองท่านได้ลุกขึ้นนมัสการพระอาจารย์ตั๊กม๊อ

    แล้วหุบปากนั่งนิ่ง แล้วยังเม้มลึกเข้าไปอีก ความหมายก็คือ ไม่มีภาษาและเสียงใด มาอธิบายสภาวะสัจจธรรมได้

    เลย เป็น "ปัจจัตตัง" คือ รู้ได้เฉพาะตนเท่าที่ตนเองได้บรรลุถึงเท่านั้น

    ถึงตอนนี้ พระอาจารย์ตั๊กม๊อ จึงหัวเราะแล้วพูดว่า

    "ดี! ดี!.....เธอได้ไขในกระดูกของฉันไป"

    ดังนั้นพระอาจารย์ตั๊กม๊อ จึงได้ส่งมอบ บาตร จีวร สังฆาฏิ ธรรมะทั้งหมด ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้

    แก่ ท่านฮุ่ยเข่อสืบทอด เป็นพระสังปรินายกองค์ที่ ๒ ของนิกายฌานเพื่อดำรงอายุพระพุทธศาสนา ถ่ายทอด
    173AE540-6A33-4262-8D75-7F42A1D16450.jpeg

    หลักจิตญาณต่อไป แต่พระอาจารย์ตั๊กม๊อก็ได้บัญชาให้ท่านฮุ่ยเข่อปกปิดฐานะตำแหน่งและหลบซ่อน ตัวอีก๔๐

    ปี เพื่อให้พ้นจากการปองร้าย

    หลังจากที่พระอาจารย์ตั๊กม๊อ มีผู้รับช่วงภาระกิจงานธรรมแล้ว ได้ออกจากวัดเส้าหลิน เดินธุดงค์ไปที่วัด

    เซียนเซิ่ง ตำบลหลงเหมิน กล่าวกันว่าท่านได้ถูกพิษที่ริมฝั่งแม่น้ำลัวะสุ่ย กระทั่งใกล้วันที่จะมรณะภาพ ท่านได้

    เรียกประชุมบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายและบอกกับท่านฮุ่ยเข่อว่า

    พระเว่ยโห มหาครูบา. ตัวอักษรจีนที่เห็นนั้น แต้จิ๋วอ่านว่า "ยี่โจ้ว หุยค้อใต้ซือ" ชาวจีนนิยมเรียกท่านสั้น ๆ

    ว่า "ยี่โจ้ว" ถ้า นับจากอินเดียตามสายลงมาแล้ว เป็น พระสังฆปริณายกอันดับองค์ที่ ๒๙ "ด้วยปัญญาบารมีของ

    เธอ ทำได้อย่างดีที่สุด ก็คือ ปลุกกุศลจิตอันเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะบุกเบิกทางแห่งอริยภูมิ

    ให้แก่ชาวจีนไว้ก่อนเท่านั้น สวนผลที่ได้จะเกิดขึ้น...หลังจากที่ฉันดับขันธ์ไปแล้ว ๒๐๐ ปี จะมี "บัณฑิตใต้

    ต้นไม้" มาเกิดเขาจะเป็นผู้มาทำให้พระธรรมคำสอนที่ฉันถ่ายทอดโดย "จิต สู่ จิต" นี้ แพร่กระจายไปทั่วทุกมุม

    เมือง เมื่อนั้นจะมีผู้ได้บรรลุ "ธรรมจักษุมากมาย"

    #เป็นไปได้เพียงทางเดียวในการตรัสรู้ธรรม#
    5162E4E6-9CDB-48F5-B7F4-5EF6BB9A3F2B.jpeg
    แล้วก็เป็นจริงดังคำพยากรณ์ เพราะอีก ๒๐๐ ปีต่อมา "บัณฑิตใต้ต้นไม้" ก็คือ ท่านเว่ยหล่างผู้ได้รับสืบทอด

    เป็นพระสังฆปริยนายกองค์ที่ ๖ ซึ่งเดิมท่านมีอาชีพตัดไม้ขายเพื่อเลี้ยงมารดา และพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินจีน

    ในยุคของท่าน เจริญรุ่งเรืองมากกว่ายุคใดๆ


    ปัจฉิม โอวาท

    สุดท้ายพระอาจารย์ตั๊กม๊อได้กล่าวปัจฉิมโอวาทฝากไว้ว่า

    "บัดนี้...ฉันอายุครบ ๑๕๐ พรรษาแล้ว และได้เสร็จสิ้นภาระกิจหน้าที่ของพระโพธิสัตว์แห่งการมาเยือนถึง

    แผ่นดินนี้ ฉันได้แผ้วถางบุกเบิกเส้นทางสู่อริยภูมิไว้ให้แล้ว ต่อแต่นี้เป็นต้นไป เป็นหน้าที่ของพวกเธอทั้งหลายที่

    จะต้องพากเพียรปฏิบัติบำเพ็ญให้ได้บรรลุถึง ธรรมที่ฉันได้สอนไว้

    จงช่วยกันหากุศโลบายประกาศธรรมนี้ ถ่ายทอดสืบไปยังอนุชนแต่ละรุ่นๆอย่างกว้างขวางทุกมุมเมืองด้วย

    ความไม่ประมาท แล้วผลบุญกุศลบารมีจากการนี้ จะเกิดขึ้นในอนาคตกาลต่อเนื่องไปอีกหลายร้อยหลายพันชั่วอา

    ยุคน ชั้นสูงสุดจะส่งผลให้เข้าถึง"พุทธภูมิ" ขั้นต่ำที่สุดจะทำให้มนุษย์ได้มหาสติ พบแสงสว่างแห่งปัญญาญาณ

    อันจะส่งผลไปถึงการได้ช่วยชีวิตสัตว์เดรัจฉานให้รอดตายอีกนับไม่ถ้วน ด้วยอำนาจแห่งพระเมตตาพระกรุณาแห่ง

    วิถีธรรมนี้เอง จะเป็นเหตุปัจจัยส่งผลให้ปกป้องคุ้มครองชีวิตสัตว์โลกไว้ได้อย่างมาก มายมหาศาลทีเดียว

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ่อเกิดหรือที่มาของพระอริยเจ้าพระอรหันต์พระ โพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่จะ

    อุบัติขึ้นในอนาคตกาลก็ล้วนจะออกมาจากประตูแห่งอาณาจักรธรรมนี้ ฉะ นั้นจึงเท่ากับว่าพวกเธอทั้งหลายได้ทำ

    หน้าที่อันสูงสุดของ "พระโพธิสัตว์" ได้แก่การช่วยแบกหาม เทิดทูนบูชา "พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ" ไว้มิ

    ให้วิถีธรรมนี้ด่วนดับสูญจากโลกไปเร็วนัก จะเป็นมหาบุญมหากุศลบารมีอย่างมหาศาลแก่พวกเธอ ตลอดจนสรรพ

    สัตว์ทุกชาติภพไม่มีวันจบสิ้นทีเดียว

    บัด นี้ฉันขอเตือนพวกเธอเป็นครั้งสุดท้ายอีกสักหน่อยว่าจงอย่าประมาทเลยนา วันเวลาหร่อยหรอหมดไปไม่

    คอยใคร อายุวัย ความชราภาพแห่งสังขารก็กัดกินให้สิ้นไป โดยไม่ยอมคอยใครและวิถีธรรมนี้ ก็ไม่คอยใครเช่น

    กัน

    จิตตนคิด กายตนทำ ใครทำใครได้เอง สิ่งเหล่านี้ต้องต่างคนต่างทำ จะทำแทนกันนั้นมิได้เลย บุญกุศล

    มรรคผลนิพพานต้องไปปฏิบัติเอง ลงมือทำด้วยตนเองให้ได้ทันตาเห็น จึงจะเป็นของเธอเองไปได้"

    และแล้วพระโพธิธรรมองค์ปรมาจารย์ก็ตรัสเป็นวาจาสุดท้ายว่า

    "ฉันขออำลาพวกเธอทั้งหลาย

    ฉันจะจากโลกนี้ไปแล้ว....."

    จากนั้น ท่านก็ประทับนั่งนิ่งอยู่ในสมาธิดับขันธ์ในฌานสมาบัติ เข้าสู่นิพพาน ท่ามกลางความเศร้าโศกสลด

    ของเหล่าสานุศิษย์ ทั้งหลาย

    เมื่อข่าวนี้ได้แพร่ถึงเมืองหลวง พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ได้พระราชทานสมณศักดิ์ จารึกที่พระเจดีย์บรรจุพระศพบน

    ภูเขาสงเอ่อซัน อำเภออี๋หยาง มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน

    กระทั่งมาถึงสมัยราชวงศ์ถัง องค์จักรพรรดิ์ ถังไท่จง ได้พระราชทานนาม พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ว่า

    "พระฌานาจารย์สัมมาสัมโพธิญาณ"


    คืนสู่ทิพยภาวะ

    มีเรื่องโจษจรรเล่าขานกันว่า หลังจากที่พระอาจารย์ตั๊กม๊อดับขันธ์ทิ้งสังขารแล้ว สานุศิษย์ทั้งหลายได้

    อัญเชิญพระสรีระเข้าบรรจุไว้ในพระเจดีย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    แต่ทว่า....ช่วงในเวลาเดียวกันนั้น ไกลออกไปทางตอนเหนือของจีน มีขุนนางผู้หนึ่งนามว่า ซ่งหวิน กำลัง

    เดินทางไปปฎิบัติราชการในแถบนั้น ระหว่างทางเขาได้พบกับพระอาจารย์ตั๊กม๊อเดินธุดงค์มา ในมือของท่านหิ้ว

    รองเท้าอยู่ข้างเดียว

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อได้กล่าวกับ ขุนนางซ่ง ว่า

    "แผ่นดินบ้านเกิดของเธอ กำลังเกิดเหตุใหญ่ เพราะองค์ฮ่องเต้เสด็จสวรรคตแล้ว

    เธอจงรีบเร่งกลับเข้าเมืองหลวงโดยเร็วเถิด!"

    ขุนนางซ่ง "พระคุณเจ้ากำลังจะธุดงค์ไปที่ใดหรือขอรับ?"

    พระอาจารย์ต๊กม๊อ "อาตมาเสร็จสิ้นภาระกิจแล้ว กำลังจะกลับอินเดีย"

    ขุนนางซ่ง "แล้วจะมีใครสืบทอดวิถีธรรมจากท่านเล่าขอรับ?"

    พระอาจารย์ต๊กม๊อ "อีก ๔๐ ปี ข้างหน้า บุคคลผู้นั้นจะปรากฏตัว"

    ครั้นขุนนาง ซ่งหวิน กลับถึงเมืองหลวงก็พบว่าเหตุการณ์เป็นจริงดังคำบอก เขาได้เล่าเรื่องราวการพบปะกับ

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ที่ภาคเหนือให้บรรดาชาวเมืองฟัง แต่ไม่มีใครยอมเชื่อ ต่างพูด ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า

    ท่านดับขันธ์ทิ้งสังขารแล้ว จะไปพบปะกับใครได้

    ดังนั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง จึงได้ทำการขออนุญาตเปิดหอบรรจุพระศพ ปรากฏว่าหีบพระศพว่างเปล่า! เหลือ

    เพียงรองเท้าอีกข้างทิ้งไว้ เหตุการณ์นี้สร้างความฉงนงงงวยให้แก่ผู้คนเป็นอย่างมาก

    CDF47B28-892C-4063-8CFB-FF4B876E485E.jpeg

    F11FD716-A3C7-4112-BA72-5C38BFF53011.jpeg



    F0571C11-5EE9-4B81-A021-6F413C193C19.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2023
  6. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27


    ท่านก็ยังบอก มหาสุบิน ๑๖ นั้นของแท้แน่นอน!

    ยิ่งได้ปาฏิหาริย์ 3 ยิ่งดี!

    คิดแบบนักปราชญ์

    {0}อภยปริตร{0} นั้นก็ด้วย เราเกี่ยวข้องโดยตรงเพราะเป็นตามผู้รักษา พระปริตร จากสัทธรรมปฎิรูป ที่ปรากฎขึ้นมาเพื่อทำลาย

    #ประเด็นคือ จากเรื่องราวพุทธทำนายนี้ เราได้ประโยชน์อะไรบ้าง! มันอยู่แค่นี้! และจะเสียประโยชน์อะไร


    ถ้าจริง จะเป็นอย่างไร? ถ้าไม่จริงเป็นอย่างไร?

    ถ้าจริงจะแก้ไขอย่างไร? ไม่จริงจะทำอย่างไร?

    ถ้าจริงจะอยู่อย่างไร? ไม่จริงจะอยู่อย่างไร?


    มีเพียงแค่นี้ ใช่หรือไม่ใช่ ได้หรือไม่ได้
    มือใหม่หัดถามหรือเปล่า! ไม่รู้หรือว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในรอบ10ปีนี้

    อ้างถึง ปัญหาที่กราบเรียนถามพระคุณเจ้าท่านฯ

    เรื่องพระศรีอาร์ยตอนนี้มิใช่วาระ แต่ถ้าสันดุสิตโพธิสัตว์และท่านอื่นๆเสด็จลงมาตามพุทธประเพณีนั้นไม่แน่!

    ที่นี้เรื่องที่เกิดขึ้น ท่านเองก็พอทราบ ที่มีการทำลายอรรถกถา
    C580B6D8-29A4-411D-BDF5-BBCEF381B6C9.jpeg

    #ไม่สามารถทรงจำอรรถ อรรถาธิบาย เหลือไว้แต่พระบาลี นั่นก็คือ มีการบังเกิดการทำลายอรรถกถาธรรม

    แล้วมันประจวบเหมาะอย่างไร?

    อภิธรรม ๗ คัมภีร์ ก็ทำลาย อรรถกถาก็ทำลาย ! มหาสุบินก็ว่าเป็นของแต่งใหม่ ปฎิสัมภิทาก็ตัดทิ้ง พระวินัย ศีลพระปาฏิโมกข์ก็ตัดทิ้ง พระเวสสันดรก็ออกมาโจทก์ให้เสื่อม รวมเดรัจฉานวิชา ฯลฯ พระไตรปิฏกมีคำปลอมบ้างล่ะ จะถอดทิ้งเถระคาถา อรรถกถา บทสวดมนต์ปลอมบ้างล่ะ! หมิ่นงานราชประเพณีบ้างล่ะ! พระพุทธบาท พระธาตุ พระเครื่อง พระพุทธรูป ฯลฯเหมารวมว่าไม่ดีไม่ควรมีไม่ใช่ ฯลฯ

    คือต้องรู้ให้ชัดเจน จึงวิสัชนา มันบังเอิญไปไหม?

    วิเคราะห์ สังเคราะห์ ให้เป็น แยกแยะ รวบรวม ดูผลกระทบ ดูเหตุ

    มันคือเรื่องราวในรอบกึ่งพุทธกาลนี้ ก็คือกึ่งพุทธกาล แต่เหมาไปหมดแล้ว!

    ดีนะที่ เหล่าปฎิสัมภิทา ยังเหลือมาชี้ๆใดใดให้เห็นชัดๆอยู่ตรงนี้

    เรื่องคำทำนาย มหาสุบิน 16 ให้ถามที่เรา เพราะเราเป็นผู้แสดงถามในกระทู้มาจบ หาก ไปถามเรียนท่านพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านก็วิสัชนาให้แบบกลางๆไม่ให้งมงาย วิสัชนา ไม่ให้ขัดแย้งกับใครเพราะท่านเป็นนักปราชญ์
    ถ้ามีประโยชน์ก็ดี ถ้าไม่ยังประโยชน์ก็ไม่ควรให้ความสนใจ



    https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=99


    D4922E7D-EC90-437E-9B17-3A7229FD3776.jpeg

    414219D7-1E2A-4E1A-A57A-A0165F1BEF29.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2023
  7. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    ไม่ทันขาดคำ

    ใช้ ธรรม ฆ่า ธรรม ครบ ๕ ประการ โดยสมบูรณ์ ทั้งภายนอกภายใน ก่อนนี้โดนแต่ภายนอกกับสัทธรรมปฎิรูปเล่นงาน

    ผู้สร้างเหตุตกเป็นเหยื่อ! ครอบงำ ของมาร
    จน ผู้พยายามคลี่คลาย!

    เผลอวิสัชนาเล่นงาน ธาตุอันตรธานปริวรรตแล้ว

    คนมีปัญญาจะเข้าใจ แต่คนไร้ปัญญาจะมุ่งทำลายพระธาตุต่อ!



    กระแสมารแรงมาก! มีผลแน่! ถึงจะไม่เหมือนเจตนาพวกโปรตุเกสสมัยล่าอาณานิคม ประสบภัยพิบัติระดับโลก

    ของเราแม้เพียงเศษกรรม แต่มีผลมากเช่นกัน!

    ทำไมต้องมาเกิดที่ไทย ไม่อยากจะเข้าใจจริงๆ

    ว่ากันด้วย สภาวะ ย่อมกังวล





    C904B52C-C870-42A5-A2F5-398928F5A310.jpeg 482E4C92-0B40-40DA-A44D-61E73435F0F5.jpeg

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2023
  8. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    เฮ้อ! จบๆกันไป อนาคตกาลต่อไปนี้ก็เอาตามอย่าง ตั้งกลุ่มนักเลง อั้งยี่ขึ้นมาไปนิมนต์พระมาสวดให้ฟังตอนเมา สวดไม่ถูกใจ ก็ว่ากันไป โคตรภูสงฆ์ไงๆก็มาอยู่แล้ว!

    ชนิดว่าต้องแอบศึกษาธรรม ต้อง แอบเคารพพระพุทธศาสนากันเลยทีเดียว

    ว่าด้วยการแสดงธรรม
    และเจตนา ของผู้ที่คิดว่าตนเองมีศรัทธา ถึงเมาแต่ก็ไม่ใช่บันทึกวิดีโอทำติดตลกแบบนี้ !

    ศรัทธา ต้องประกอบด้วยปัญญา และอย่าเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน

    จัดไป! อะไรๆก็มาเลย !
    DDA0C706-FE25-42A3-B6EA-E3084F0456C4.jpeg

    ต่อต้านสำนักเพี้ยนสัทธรรมปฎิรูปเหมือนกัน!
    E8BE15BF-D0ED-47A6-AD3B-AF6201FE092B.jpeg

    https://www.dhammahome.com/audio/topic/10475


    ชอบที่สุดก็ตอนบอกว่า “ จะเอาพุทธพจน์เท่านั้นหรือแล้วปฎิสัมภิทาไปไหน “

    มีดีแน่นอน!

    EDA407E5-0F8B-4300-8808-F41D876B761F.png

    “บ้านธัมมะ”
    C211F10F-CA9C-4613-9ED2-387CE77D6121.jpeg B1E5A274-2D2C-401E-9FEF-449B6988A12A.png

    ไม่ใช่ช้างนาฬาคีรี นะเออ!


    ช่องนี้แปลกๆ ขยี้ข่าวบ่อยๆ แนวพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งนั้น พุทธหรือเปล่า! ?

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2023
  9. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    รอยต่อก่อนมีพระพุทธดำริ ก่อนสังคายนาฯ

    อนาคตกาลควรมีการจัดการรวบรวมทุกพระสูตรที่มีการกล่าวถึงการสังคายนาหรือแสดงส่วนใดส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องให้เป็น หมวดหมู่เดียวกัน!






    CAD4042D-B590-41F3-B33F-E824F21B205E.jpeg

    https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=11&A=2537&Z=3181
    936A4C90-6EFC-410C-8089-667546CCB603.jpeg
    https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=11&A=4501&Z=7015
    78583C1B-AF27-4E05-A0FE-F2B580A25966.jpeg
    https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=99


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2023
  10. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    ผู้ริเริ่ม! ไม่ใช่เราที่เป็นมนุษย์ แต่ ในที่นี้ คือ พระธรรมวาระแก้ไข โดย

    “มหาปัญญา”

    {วิการทอง}

    การจัดระเบียบในพระพุทธศาสนา ที่จะทำเอาเหวอ สันหลังหวะไปหลายคนและหลายสำนัก! พวกปริยัติงูพิษ นักธรรมตัดแปะ มิจฉาสมาธิ มิจฉาวิมุตติ มิจฉาทิฐิ ถ้าเกิดขึ้นจริง!เละ!

    ออกมาก็ฆ่าตัวตาย ไม่ออกก็ตาย!

    จัดเรทความน่าเชื่อถือ และไม่น่าเชื่อถือ ไล่ไปตั้งแต่พวกหลุดโลกจนถึงระดับสูงสุด

    หอบพระสูตร เปิดไฟล์ธรรม อ้างอิงกันไปเลย!

    อย่ามามะนาวไม่มีน้ำลากเวลา ! เดี๋ยวมียิงถามตอบ!สดๆ

    สาธุชนเขาสนใจ เดี๋ยวได้ไปต่อรอบสอง!


    #อย่างที่สอง รออีกสามชาติให้มีผู้มีปาฏิหาริย์ 3 ปรากฎ มาทรมานพวกนี้แทน

    นี่จึงคือยุคสมัยที่เฟื่องฟูของพระพุทธศาสนา ในรอบกึ่งพุทธกาล

    # ศิวิไลย์ ตอนที่ท้องสนามหลวงมีการจัดงาน “ชุมนุมหมื่นพุทธ” เพื่อให้โอกาสนักปราชญ์และบัณฑิต พุทธศาสนิกชนบุคคลทั่วไปผู้มีความรู้ในทางธรรม ของพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสแสดงธรรมเทศนาหรือความรู้ทางธรรมประจำปี ประจำเดือนหรือเสาร์อาทิตย์ โดยสามารถ เปิดโอกาสให้เจ้าลัทธิ สำนักเทพ ขึ้นไปแสดงวาระธรรมได้โดยไม่ปิดกั้น เป็นเวทีสาธารณะ แล้วจะรู้กันทันที ว่าใครจริงใครเท็จ ไม่ใช่แต่แอบแสดงเพียงกระหย่อมๆใน วีดีโอคลิป ในเพจ ยูทูป ยูท่าร์ ผู้ใดใคร่เหาะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ก็แสดงไป 1 ชั่วโมง ต่อบุคคล มีอะไรดีๆก็งัดออกมา มีการบันทึกการแสดงธรรมวาระไว้ ถ่ายทอดสด ให้มีการรับรู้รับทราบไปทั่วโลก ผ่านช่องทาง ง่ายๆ และจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นบุญประเพณีนิยมไป

    แจกใบปลิวไป ลงสื่อประโคมทุกๆช่องทาง! สนับสนุนงาน

    งานนี้ ต้องมีภาครัฐและภาคเอกชน องค์กรฯ สำนักพุทธฯ สมาคมฯให้การสนับสนุน ทุกสำนักในประเทศต้องลงทะเบียน ไม่ลงทะเบียนยุบทิ้ง แสดงว่าปลอม เปิดสำนักเพื่อแสวงอื่น เมื้อได้รับโอกาสเทียบเชิญ
    ถ้าไม่มา ก็ปลอม กล้าๆกลัวๆ ถ้าออกมาแสดงธรรมวาระแห่งความสุดยอดสุดวิเศษแห่งตนแล้ว ไปต่อไม่ได้ ไร้สภาพคล่อง ไม่ได้รับการยอมรับก็ดี ตามประชามติ ต้องยุบสำนักทิ้งไป ห้ามเปิดต่อ ห้ามเที่ยวสั่งสอนใครอีก ขึ้นบัญชีดำไว้ ฝ่าฝืนก็ลงโทษ แห่ประจาน โบย ตามกรณีไป ขังคุกตีตรวนเปลืองข้าวหลวงอีก

    #ฐานะถือดีเอาพระพุทธศาสนามาหากินหลอกลวง

    ฉนั้นสำนักธรรม สำนักปฎิบัติ ทั้งหลายฯ ตั้งแต่เจ้าสำนักลัทธิจนถึงบุคคลทั่วไป ต้องคัดมือดีที่เป็นสุดยอดจอมยุทธ์ แห่งศาสตร์และวาทะศิลป์มาเข้าร่วมการประลอง

    มีของวิเศษอะไรๆก็ขนออกมาแสดงการันตี

    https://youtu.be/5BOREfC9jy8



    ฝากไว้ให้คิดพิจารณา! ถ้าตาบอด ใจบอดด้วย ชาตินี้ สิ่งที่แสดงอยู่นี้อย่าหวังเข้าถึง

    {ถ้า ปฎิสัมภิทา ไม่ใช่ เขิงคำ ไม่ใช่ พระสัทธรรมอันเที่ยงแท้ จะให้สิ่งใดเป็น}




    #แม้แต่เราก็จะลงทะเบียน เพื่อเข้าร่วมงานนี้ เพื่อแสดงธรรมวาระโดย ปฎิสัมภิทา อันแท้จริง ! ออ เราคง เป็นพวก บุคคลทั่วไป! หึหึ!



    ผู้ไตร่ตรองตัดสิน อยู่ที่สาธุชนที่ได้ประโยชน์

    รอบคัดเลือก 1 ชั่วโมง รอผลการพิจารณา ชี้เหตุชี้ผลให้แล้วเสร็จ ถ้าตกรอบ ก็ยุบสำนักไป

    ผู้ ผ่านไปต่อรอบ 2-3 ก็การันตีสำนักตนได้ พอเอาไปวัดไปวาได้อยู่
    ส่วนผู้แพ้โดยเฉพาะพวกแพ้ตกรอบแรก คัดออก ไปไสหัวไปอยู่มุมไหนมุมใดในโลกก็ไป

    คงจะยุบทิ้งไปหลายสำนัก! เป็นดอกเห็ดโดยเฉพาะสำนักที่เทียบเชิญส่งถึงแล้วไม่มาตามคำเชิญ

    เช่น สำนักสัทธรรมปฎิรูป แค่ขึ้นประโยคแรก พระไตรปิฏกมีคำปลอม 70% ฯลฯ ตามที่ตนเองสอนสั่งลูกศิษย์มา

    สอนอย่างไร? ก็ต้องแสดงอย่างนั้น!

    เดี๋ยวมีไมค์ให้สาธุชนถามตอบให้ด้วย! เผลอๆเจอสวดจากสาธุชน

    ทำโพลชนิดพิเศษ เห็นด้วย เพราะ…….ไม่เห็นด้วย เพราะ…..

    ฯลฯ


    หึหึ! ไม่ได้เกิดหรอก! มันเอกฉันท์เกินไป อยากเจอพระเอกจริงๆ

    E983D39E-1D14-41D5-B51F-90C2911FED84.jpeg

    “ในบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ มารผู้มีบาปเป็นเลิศ”






    สนามหลวง
    หรือที่เรียกกันแต่เก่าก่อนว่า ทุ่งพระเมรุ ตามคำเรียกขาน ด้วยเหตุเพราะพื้นที่นี้ ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ สำหรับ จัดพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน และพระราชทานเพลิงพระศพพระบรมวงศ์ … นับตั้งแต่

    SANAMLUANG-TRIP-COM-THAILAND-COVER.jpg

    สนามหลวง หรือ ทุ่งพระเมรุ เป็นที่โล่งๆ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างถาวรใดเกิดขึ้น พื้นที่แห่งนี้ ตั้งอยู่ระหว่าง พระบรมมหาราชวัง (เรียกว่าวังหลวง) และ พระราชวังบวรสถานมงคล(เรียกว่าวังหน้า) ขนาดของพื้นที่สนามหลวง หรือ ทุ่งพระเมรุ นี้ ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง ซึ่งมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของขนาดที่เราเห็นในปัจจุบันเท่านั้นเอง จนเมื่อใน สมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ปรับขยายสนามหลวง จากเดิม ขยายไปยังพื้นที่ พระราชวังบวรสถานมงคล (เรียกว่า “วังหน้า” ) โดยการ รื้อแนวกำแพงด้านทิศตะวันออกของ พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) และ เพื่อให้เกิดความร่มรื่น ทรงโปรดฯ ให้ปลูกต้นมะขาม จำนวน 365 ต้น ไว้โดยรอบท้องสนามหลวง และตัดถนนโดยรอบ

    การทำนาที่ “ทุ่งพระเมรุ” ? ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ไทยกับญวนมีเรื่องวิวาทกันเกี่ยวกับดินแดนเขมร จึงโปรดฯ ให้มีการทำนาที่ “ทุ่งพระเมรุ” เพื่อที่จะให้ญวนเห็นว่าไทยเป็นบ้านเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีเสบียงอาหารพร้อม ที่จะทําสงครามกับญวนได้เต็มที่ เพราะแม้แต่ข้างพระบรมมหาราชวังก็มีการทํานากัน


    สนามหลวงหลัง การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ๒๔๗๕ …

    ในสมัย “รัชกาลที่ ๗”

    พระราชพิธีแต่เดิม ซึ่งเคยถือปฏิบัติสืบต่อมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เช่น พระราชพิธีสนามต่างๆ พระราชพิธีตรียัมพวาย พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ก็ถึงกับหยุดชะงักลง บางพระราชพิธี สูญสิ้นไป ไม่นำมาปฏิบัติต่อไปอีกเลย จนกระทั่ง บางพระราชพิธีได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ใช้ท้องสนามหลวงเป็นพื้นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ



    ตลาดนัดสนามหลวง เกิดขึ้นในปี ๒๔๙๑

    ในสมัย “รัชกาลที่ ๙” พื้นที่สนามหลวง ได้ถูกจัดขึ้นเป็น ตลาดนัด ขายสินค้าต่างๆ โดยเบื้องต้น จะเป็นสินค้า จาก พืชสวน พืชไร่ ของเกษตรกร และเริ่มมีสินค้าอื่นๆที่หลากลายมากยิ่งขึ้น เช่น ตลาดนัดหนังสือ นับว่าเป็นแห่งแรก และแห่งเดียวที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย มีทั้งหนังสือเก่าและใหม่ ตำราเรียนต่างๆ ตลาดนัดสนามหลวง เปิดขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ผ่านไปเป็นเวลา 30 ปี รัฐบาลโดย พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ต้องการใช้สนามหลวงเป็นสถานที่งานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี จึงมี ย้าย ตลาดนัดสนามหลวง ไปตั้งที่ บริเวณสวนจตุจักรด้านใต้ เรียกว่า “ตลาดนัดสวนจตุจักร” ในปี ๒๕๒๕



    วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๐ กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียน “สนามหลวง” สนามขนาดใหญ่ ซึ่งมีพื้นที่ ๗๔ ไร่ ๖๓ วา เป็นโบราณสถาน ลงในราชกิจจานุเบกษา

    สนามหลวง นั้นมีความเป็นมา อยู่คู่กรุงรัตนโกสินทร์ เป็นสมบัติของชาติของประชาชนทั้งประเทศ และได้ใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีหรือประเพณีตามเทศกาลอยู่ตลอดมา เช่น พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ จัดงานวันขึ้นปีใหม่ งานเทศกาลสงกรานต์ งานวันเฉลิมพระชนมพรรษา และงานสำคัญๆ ในอดีตอีกมาก เช่น งานสมโภชรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระ-ราชดำเนินกลับจากทวีปยุโรป งานพิธีประกาศสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ-เกล้าเจ้าอยู่หัว หรืองานฉลองยี่สิบห้าพุทธศตวรรษในรัชกาลปัจจุบัน ตลอดจนเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเล่นและชมกีฬาว่าวในฤดูร้อน จึงสมควรรักษาสนามหลวงไว้เป็นสมบัติของชาติสืบไป





    นี่แหละ“สงครามพระ” ของจริง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2023
  11. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    2023!

    จริงหรือไม่? หนาวตาย!

    ขำๆ แต่ถ้าจริงก็ขำไม่ออกเหมือนกัน!
    สร้างถ้ำจำลองหรืออุโมงค์ไว้ ให้อยู่สูงเหนือระดับน้ำ !

    วางคานเหล็ก! เทคอนกรีตทับสิ่งปลูกสร้าง แล้วขนดินถมเป็นเนินดินลูกย่อมๆ

    6DFCB900-3BE7-449A-B6F4-8C859C476B76.jpeg




    0FE2F4CF-6B8D-4491-AAC5-D105ABBB4CB4.jpeg
    534BAC1F-99B4-4A35-B370-495C5E642BDC.jpeg
    มหาสมุทรที่ใหญ่และลึกที่สุดในโลก
    #มหาสมุทรแปซิฟิก
    (Pacific Ocean)
    ️เป็นมหาสมุทรที่ใหญ่และลึกที่สุดในโลก มีอาณาเขตติดกับมหาสมุทรอาร์กติกทางตอนเหนือและจรดทวีปแอนตาร์กติกาทางตอนใต้ ติดกับทวีปเอเชียและทวีปออสเตรเลียทางทิศตะวันตก ติดทวีปอเมริกาทางทิศตะวันออก
    ️มหาสมุทรนี้มีพื้นที่กว่า 165,250,000 ตารางกิโลเมตรจึงกลายเป็นมหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลกครบคลุมพื้นที่ผิวโลกทั้งหมด 32% และคิดเป็น 46% ของพื้นผิวน้ำบนโลก
    ️นอกจากนี้มหาสมุทรแปซิฟิกยังมีขนาดมากกว่าพื้นดินทั้งหมดบนโลก (148,000,000 ตารางกิโลเมตร)รวมกันอีกด้วย
    จุดศูนย์กลางของซีกโลกแห่งน้ำและซีกโลกตะวันตกล้วนอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก กระแสน้ำในมหาสมุทร (ที่เป็นผลจากแรงคอริออลิส) ถูกแบ่งออกเป็นส่วนส่วนซึ่งจะมาพบกันใกล้บริเวณเส้นศูนย์สูตร ทั้งนี้หมู่เกาะกาลาปาโกส หมู่เกาะกิลเบิร์ต และหมู่เกาะอื่น ๆ ที่คร่อมเส้นศูนย์สูตรทั้งหมดถือว่าอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้
    ️มหาสมุทรแปซิฟิกมีความลึกเฉลี่ยที่ 4,000 เมตร มีจุดที่ลึกที่สุดคือแชลเลนเจอร์ดีปในร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาโดยมีสถิติอยู่ที่ 10,928 เมตร นอกจากนี้ยังมีจุดที่ลึกที่สุดในแปซิฟิกใต้อย่างฮอไรซันดีปในร่องลึกตองงาที่มีสถิติความลึกอยู่ที่ 10,882 เมตร ส่วนจุดที่ลึกที่สุดในโลกเป็นอันดับสามก็ยังคงอยู่ในร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2023
  12. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    จากกุศลเป็นอกุศล

    ปวารณาแล้วไม่ทำตาม!

    ทำไมศิษย์ไม่มีครู คอยแนะนำสั่งสอน!



    เห่อตามกันไปเพื่อความ ฉิบหายรายวัน!

    เจตนาอยู่ที่ความคึกคะนอง อยากเด่นอยากดัง ไม่เหมือนใคร? ถ่ายทอด มิจฉาทิฐิสู่ผู้อื่น

    แล้วดันยอมรับ! ทำตามกัน ก็ฉิบหายคราวนั้น

    บอกทำบุญอยู่ที่เจตนา หึหึ มิน่า บันทึกวิดีโอแบบนี้ อยู่ที่เจตนาจริงๆ สื่อถึงอะไร

    พุทธบริษัท


    ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญข้าพเจ้าน้อมถวายความเคารพศรัทธา นั่งไหว้สวยๆก็พอ

    หากรรมหาเหาใส่หัว ทำเป็นเล่นไป!


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2023
  13. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    จากกรณี ผู้ใช้ Tiktok รายหนึ่งโพสต์ คลิปเด็กนักเรียนนั่งใส่บาตรแบบดิจิทัล ทำเอาพระเดินอมยิ้ม โดยเด็กนักเรียนคนดังกล่าวตั้งใจนำของมาทำบุญในวันครบรอบก่อตั้งโรงเรียน ลืมของไว้ที่บ้าน แต่ตั้งใจอยากทำบุญจึงใช้ภาพในอินเทอร์เน็ตมาเลื่อนถวายใส่บาตรผ่านจอมือถือแทน ทำให้ มีคนเข้ามาดู Tiktok ดังกล่าว
    .
    ล่าสุดเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 6 มกราคม 2566 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดสวนแก้ว ตำบลบางเลนอำเภอบางใหญ่จังหวัดนนทบุรี เพื่อสอบถามกรณีดังกล่าวกับพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เปิดเผยว่าพูดถึงเรื่องไหวพริบของเด็กคนนี้ถือว่ามาแรง แต่ควรเป็นกุศล ใฝ่ดีใฝ่งาม หรือไปเอารัดเอาเปรียบใคร ใช้ไหวพริบปฏิพานไม่ค่อยสร้างสรรค์ ควรอยู่กับความซื่อตรง ความฉลาดแบบนี้ต่อไปในอนาคตก็กังวลว่าจะไปใช้แบบผิดๆ เพราะว่าแม้กระทั่งบุญยังแอบโกง เก็บภาพมาทั้งที่ตัวเองไม่มีของมาทำบุญ คนแบบนี้น่ากลัว ไม่ได้ทำบุญแต่อยากได้หน้า อยากได้บุญ เขาถึงบอกว่าความดีไม่มีขายอยากได้ต้องทำเอง อย่าไปโกงคนอื่น แล้วไปลักลอบเก็บภาพมาทำบุญออนไลน์ และมาฉวยโอกาสทำบุญ คือใช้วิชามาร ถ้าเด็กใช้วิชามารแม้กระทั่งทำบุญ ต่อไปคงมีการทุจริต การโกงจะแนบเนียนมากกว่านี้ถ้าโตไป น้องๆหนูๆทั้งหลาย ถ้าทำบุญแล้วไม่มีของให้ไปร่วมอนุโมทนาบุญกับเขาก็เป็นบุญแล้ว การอ่อนน้อมถ่อมตนก็เป็นบุญ การยินดีกับเขาในบุญของเขาเราก็พลอยได้ไปด้วย บุญคือการปลื้มใจ การฟอกใจ ร่วมยินดี อนุโมทนาบุญกับเขา ดับริษยาในใจเรามันก็ได้บุญ ให้กิเลสความสกปรกมันหายไป เอาเทคโนโลยีมาใช้ หลวงพ่อพุทธทาสถึงบอกว่าต่อไปโลกจะวิวัฒนาการมากขึ้น แล้วจะนำไปสู่ความวินาศทางศีลธรรม เพราะฉะนั้นฝากไว้ว่าอย่าขโมยบุญ อย่าโกงบุญใคร อย่าอิงแอบเทคโนโลยีเพื่อร่วมกิจกรรมบุญ ทุกอย่างให้อยู่ที่เจตนา หากเจตนาดีก็ดี อย่าไปเอาอย่างเลย ทำอย่างที่ดีมีน้อยทำน้อย หรือไม่มีเงินก็ทำได้

    FF403716-4088-4E93-A01E-FC28342F98E7.jpeg
     
  14. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27


    C33B548E-0F05-49E3-A998-181C2BB5BA75.png

    68E15F47-ACB5-4058-9B62-555DA0D4A948.jpeg

    980886AE-2332-4685-AED5-FFA7B891CE63.jpeg



    ประเทศใกล้เคียง หิมะเริ่มตกเมื่อปี พ.ศ.ไหน ถ้า ลาว พม่า ตกในรอบ 10 ปีนี้ คือไม่เคยตกมาก่อนในรอบ 100 ปี+ ควรวิเคราะห์ เฝ้าระวังเป็นอย่างมาก แม้ลูกเห็บตก

    เตรียมอุปกรณ์เครื่องให้ความอบอุ่น อาหารแห้ง เชื้อเพลิงหุงต้มไว้

    ยิ่งโซนภาคใต้ลงมา ฝนตกหนักน้ำท่วม! ยิ่งน่าพิจารณา


    ต้องคอยจับตา ประเทศใกล้เคียง เผื่อไว้!

    # สถานการณ์ปัจจุบัน พื้นที่สำคัญๆ ฝ่ายตรงกันข้าม โดนโจมตีแหลกรานไปหลายพื้นที่โซนต่างประเทศ


    1.โดนฝ่ายตรงข้ามของตนโจมตีก็มี
    2.ขัดแย้งกันภายใน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น จึงทำลายกันเอง
    3…….(เว้นไว้สักอย่าง)
    4.ธาตุกำเริบ
    5.ผลกรรมบันดาล
    6.ผู้มีฤทธิ์บันดาล

    แต่ละยุคสมัย พุทธันดร เหล่า อสัทธรรม ตะแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันขึ้นเป็นใหญ่เพื่ออวดวาระอสัทธรรม

    เมื่อใหญ่แล้วจึงระราน ระรานปุ๊บ เจอตอ! ตอหายเพราะปลวกกิน อสัทธรรม เจริญงอกงามขึ้นมาอีก

    # ปรากฎการณ์ ใกล้เคียง ธรณีพิโรธ ธรณีสูบ จมลงทั้งเมืองใกล้เข้ามา

    อะไรที่ไม่เคยเกิดในรอบ 100 ปี โดยเฉพาะทุกเรื่องราวในรอบ 10 -15 ปี ที่ผ่านมา นี้ควรพิจารณา

    #ได้ผลึกไปก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ส่วนรวมเพื่อคติที่มาในข้อใหญ่ก็ไม่เป็น เพราะขุยไผ่ทางนั้นหรือในที่สำนักลัทธิไหนๆก็มีขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่เหมือนกัน โดยเฉพาะ ผลึกที่ถูกปรุงแต่งปรับปรุงแก้ไขแล้ว กลายเป็นของที่ให้ผลตรงกันข้าม

    ที่สำคัญ ของล้ำค่าสีเขียว ที่อยากได้นักหนา กลายเป็นของผิดมือโดยส่วนมาก ไปตกอยู่ในมือผู้อื่น! ตามหาก็ไม่เจอ หว่านล้อมก็ไม่ได้ หมดหวังเพื่อจะได้ครอบครองบุคคลที่มี ฐานะอันสูงส่งของชาวคัมภีร์(ปฎิสัมภิทา)

    แปลก! ทำไมมาปรากฎที่แดนดินถิ่นนี้! ช่างเป็นเรื่องราวที่น่าประหลาดใจ เหตุผลกลใดกัน?

    เราเองก็ไม่ได้มีรสนิยมที่ยินดีกับความโชคร้ายของผู้อื่นเสียด้วยสิ!


    เช็คข่าวไฟไหม้! บ่อยๆ !

    กรรมจัดสรร!


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2023
  15. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27



    5BD0EBFB-2DBC-49BF-AFEE-160491A0EDEB.jpeg อย่าเป็นภัยใหญ่ทางน้ำเลย!
    8D9D1E35-05D3-423F-BAEE-09723763A849.jpeg



    11/1/2565

    ยามสามใกล้รุ่งของวันนี้ เป็นนิมิตใหญ่ ที่ประกอบด้วยความทรงจำ เราได้ปรากฎในรูปของบุคคลหนึ่งที่ได้ตั้งจิตอธิษฐาน”ขออธิษฐานนั้นจำได้ไม่ชัดเจน หากเราอย่างนั้นๆ”พยานาคทั้งหลายฯจงปรากฎขึ้นมา ณ แม่น้ำสายนี้

    ทันใดนั้นเองก็ปรากฎ มีเหล่า อสรพิษ มากมายกายกองนับแสนนับล้านเต็มพื้นท้องน้ำล้นตลิ่ง แม่น้ำมูลแห่งนี้ เสมือนญาติหรือบุคคลอันเป็นสักขีพยาน ที่มาด้วยความรักความหวงแหนห่วงใยประดุจเราเป็นบุคคลสำคัญของเขาทั้งหลายฯเหล่านั้น เมื่อได้ระลึกถึงและกล่าวคำขอบคุณไปทั่วท้องพื้นน้ำอย่างตื้นตันใจอันพอสมควรแล้ว ก็ได้ปรากฎ บุคคลที่เป็นผู้นำกลายร่างเป็นมนุษย์ เดินถามไถ่ทุกข์สุข ในความเป็นไปถึงชีวิตความเป็นอยู่

    ในระหว่างเดินอยู่บนทางชั้นบนที่หันไปทิศทางหมู่บ้านก็ได้มองทอดยาวลงไปในแม่น้ำ เห็นพยานาคทั้งหลาย กำลังสำเร็จโทษเหล่าบุคคลในร่างมนุษย์ผู้มีบาป กัดกิน นักบวช และบุคคลหญิงชายทั้งหลายที่ร้องโหยหวนที่กำลังดิ้นรนขวนขวายเอาตัวรอดจากพยานาคทั้งหลายในตลอดลำแม่น้ำสายนี้ เรามองสอดสายตาไปรอบๆด้วยความที่ต้องระลึกว่า นี่เป็น ผลกรรมของสัตว์โลกทั้งหลายเหล่านั้น

    เมื่อเดินคุยกันในช่วงขากลับ เราก็ได้ระลึกถึงเหตุการณ์จริงๆในสมัยเก่าก่อน ช่วงปีพ.ศ.2530-2536ที่ต้นไม้ ต้นกระถินณรงค์ขณะเดินผ่าน แก่ พยานาคที่แปลงกายเป็นบุรุษเพศ ผู้นั้นว่า “ ในอดีตสมัยก่อนที่เรายังเป็นเด็กนักเรียนและสมัยเป็นสามเณรที่วัดนี้ เคยมีบุคคลพเนจรที่ไม่มีคุณสมบัติครบตรงตามที่จะสามารถบวชให้ได้ มาขอบวชเป็นพระ แต่ไม่ได้รับการยินยอมให้บวช เกิดความเสียใจ น้อยใจ ที่แม้ที่พึ่งสุดท้ายในชีวิต ก็ไม่อาจเป็นที่พึ่งได้ จึงคิดสั้นมา มาปลิดชีพตน ด้วยการนำเชือกมาแขวนคอตนจนเสียชีวิต ในที่ต้นไม้ ต้นนี้ เล่าให้บุคคลนั้นฟังไปก็ ถอดถอนใจไป ถึงข้อพระวินัยอันเป็นที่บังคับและการไร้โอกาสวาสนาของบุคคลนั้น หากเป็นเรา เราจะไม่ตัดสินใจขับไล่เขาอย่างนั้น อาจให้ทำหน้าที่ เป็นคนวัดช่วยดูแล ศาลาหรืออย่างหนึ่งอย่างใดไปก่อน จะไม่ขับไล่ไสส่งคนไปตายโดยตรงเช่นนี้

    และในช่วงสุดท้าย เราได้เดินลงไปส่งบุคคลพยานาคแฝดผู้พี่ที่ท่าน้ำ และมอบหนังสือและแนะนำให้อ่าน ศึกษา ก่อนจะร่ำลากันและตั้งสติตื่นขึ้น มาเพื่อระลึกและเขียนบทความบันทึก อย่างต่อเนื่องในเรื่องราวนี้ทันที /นาคแฝดผู้น้องปรากฎครั้งหน้าขอของฝากด้วย/ท่าทางดื้อและเกเรขี้เมา แต่ก็ยังดั้นด้นมา

    ตระกูลใดกันบ้าง! ถึงมีบริวารนับล้านฯเยี่ยงนี้

    #ข้อพิจารณา เกี่ยวกับเรื่องราวการขอมีส่วนร่วมในการปฎิบัติธรรม/การพิจารณารับศิษย์ เหล่า ผ้าขาว สหธรรมกัลยาณมิตรร่วมปฎิบัติธรรมด้วยในอนาคต

    #ได้ระลึก กราบระลึกพระพุทธรูป พระสัพพัญญูเจ้า ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่พระเกศมาลา เคยขัดองค์ท่านตอนเป็นสามเณร และพูดคุยกับท่านในตอนที่ได้กระทำบาปในตอนผิดศีล๑๐ เบื้องหน้าท่านเพียงลำพังเสมอๆในพระอุโบสถ/นอนเฝ้าโบสถ์

    #อดีตชาติ เป็นพยานาคชั้นปกครอง เป็นผู้ลงทัณฑ์ พยานาคสีดำตัวเขื่อง นัยน์ตาสีเขียว ตัดศรีษะพยานาคนั้นด้วยพระขรรค์แก้ว ตกล่วงไปด้วยดาบเดียว ในวังบาดาล

    #วัดสุปัฎนารามวรวิหารแห่งนี้ เป็นที่ในยามเด็ก สมาคมยุวพุทธิกะ เมื่อครูสอนธรรมะ กล่าวถามนักเรียนชายหญิงว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร? ตอบคำถามของตนเอง “อยากเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ครับ” หลายคนมองหน้า และบุคคลเหล่านั้น ตลอดจน อาจารย์ คงจดจำได้หากได้คิดถึงอดีตที่ผ่านมานี้

    #ปลาบปลื้มใจมากที่เหมือนเห็น เหล่าบริวารและลูกหลานตลอดจนเพื่อนพ้องร่วมภพร่วมชาติ มาเยี่ยมเยียนคิดถึงกันนับล้านคำนวนนับมิได้ เป็นอีกครั้งที่ รู้สึกว่า อสรพิษเหล่านั้นมิได้น่ากลัว! หรือน่าตกใจหรือเกิดความกังวลใจว่าจะโดนกัด ในขณะที่ใกล้ชิดเพียงคืบอย่างนั้นฯ”

    ขอบคุณ ขออนุโมทนา สำหรับกำลังใจ อยากถือศีล ห่มขาวปฎิบัติภาวนาขึ้นมาในทันที






    135238B9-96D2-42C0-8EE1-21B27E8BEE72.jpeg

    ท่านอาจารย์ บำเพ็ญ ณ อุบลฯ บุคคลที่ได้ประสพพบเจอกันโดยบังเอิญขณะเดินทาง จากนั้นก็มีการเคารพนับถือกันโดยส่วนตัว ระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย พบปะพูดคุยและเขียนจดหมายพูดคุยกันหลายฉบับ เรื่องการปฎิบัติธรรมของท่านบ้าง เรื่องที่ท่านพบพยานาคบ้าง เรื่องขอให้เราเปลี่ยนแปลงชื่อ อย่าใช้ชื่อว่าเทพอสูรบ้าง เป็นบุคคลที่มีความผูกพันกันทางจิต เมื่อท่านทำกาละ ก็รู้ว่าท่านทำกาละ ณ เวลานั้นฯ

    #มารดาเราขณะตั้งครรภ์จะไปอาบน้ำที่แม่น้ำมูลเป็นประจำ และใช้ทรายละเอียดในแม่น้ำมูลขัดหน้าท้องเสมอๆ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2023
  16. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27


    ในสมัยพุทธกาล ชั้นฟ้า หรือแม้แต่สนามแม่เหล็กพิเศษ อาจมีมากกว่าในยุคปัจจุบัน ไม่ผูกขาดจำนวน แต่สามารถสร้างเพิ่มได้ด้วย(เจ้าของตัวจริงที่ไม่เคยอวดตัวเองว่าเป็นเจ้าของ”ในที่นี้คือผู้ดูแลรักษา)

    ตรงกับพระดำรัสที่ว่าหากโลกธาตุใดที่ไม่มี”มหาไตรลักษณะ”ครบ ทั้ง ๓ ประการ คือ ชาติ ชรา และ มรณะ พระองค์จะไม่ทรงอุบัติขึ้นยังโลกนั้นอย่างเด็ดขาด!



    #จะเปิดประตู หรือวิสัชนา สังขตะธรรมและ อสังขตะธรรม รู้ แค่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยังไม่ชัดเพราะกว้างมากไป ตัองตีวงแคบลงมาที่ ชาติ ชรา มรณะ ด้วย จึงจะเห็นประตู พระนิพพาน ชัดเจน ไม่อย่างนั้นจะเผลอไปเปิดประตูอื่นเข้า เพราะมีมาสเตอร์การ์ดมาสเตอร์คีย์{จำให้ดีๆ}



    ถ้าไม่มีพุทธศาสนา ไม่มีพระโพธิสัตว์มาอุบัติแสดงธรรม บำเพ็ญบารมี คือ โลกนี้จบสิ้น ถูกแล้ว! ใครก็เหมารวม สมอ้างว่าตนเองสร้างหรือเนรมิตขึ้นมิได้

    โดยเฉพาะในภัทรกัปป์ อันมี พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นี้

    พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านจึงทรงอุบัติขึ้นโดยเฉพาะกาล นั่นเอง!


    พุทธะสร้างโลกเนรมิตชั้นฟ้า / บุโรพุทโธ

    มันดารา/ธิเบต


    แปลงชั้น แปลงธาตุให้เป็น! ยังมีอีกฯลฯ

    20BC2B81-AEB3-4F71-A9A8-CC93657E64D7.jpeg

    ปี 56 นาซ่าตรวจพบ วงแหวนอันที่ 3 สีเหลือง/ทองและก็หายไป จากการตกกระทบของรังสีจากดวงอาทิตย์
    นาซาพบแถบรังสีใหม่รอบโลก
    26 มี.ค. 2556

    นับจากที่มนุษย์เริ่มสำรวจอวกาศ สิ่งแรก ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบก็คือ แถบรังสีที่ล้อมรอบโลก ซึ่งเป็นบริเวณที่เป็นเหมือนกับดักที่กักอนุภาคประจุไฟฟ้าพลังงานสูงเอาไว้ มีชื่อว่า แถบรังสีแวนอัลเลน ค้นพบเมื่อปี 2491
    แถบรังสีแวนอัลเลนมีสองชั้นซ้อนกัน ชั้นในประกอบด้วยอิเล็กตรอนพลังงานสูงและไอออนบวกพลังงานสูง ซึ่งมีความเข้มค่อนข้างคงที่ ส่วนแถบชั้นนอก ประกอบด้วยอิเล็กตรอนพลังงานสูงเกือบทั้งหมด และความเข้มผันแปรอย่างรวดเร็วในระดับชั่วโมงหรือระดับวัน ขึ้นอยู่กับอิทธิพลจากลมสุริยะเป็นหลักใหญ่
    เมื่อปีที่แล้ว องค์การนาซาได้ปล่อยยานแวนอัลเลน ซึ่งเป็นยานแฝดสองลำขึ้นไปสำรวจแถบรังสีแวนอัลเลนโดยเฉพาะ ยานคู่นี้เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์วิเคราะห์พลาสมา อนุภาคพลังงานสูง สนามแม่เหล็ก และคลื่นพลาสมาในแถบรังสีด้วยความไวและความละเอียดสูงมากยิ่งกว่ายานลำอื่นที่เคยมีมา

    สิ่งที่ยานพบคือแถบรังสีรอบโลกแถบใหม่ ประกอบด้วยอิเล็กตรอนพลังงานสูงมากที่ฝังอยู่ภายในแถบรังสีแวนอัลเลนชั้นนอก อยู่ระดับสูงจากพื้นโลก 19,100 ถึง 22,300 กิโลเมตร คาดว่าวงแหวนที่มีความเสถียรนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน และคงสภาพอยู่ได้นานกว่าสี่สัปดาห์
    จนกระทั่งวันที่ 1 ตุลาคม แถบรังสีนี้ก็เหมือนจะหายวับไปในทันที นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะการรบกวนโดยคลื่นกระแทกที่เกิดจากการกระโชกของลมสุริยะ
    การค้นพบแถบรังสีแถบใหม่ ที่แม้จะเป็นแถบรังสีที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ทำให้นักดาราศาสตร์ต้องกลับไปทบทวนแบบจำลองแถบรังสีแวนอัลเลน ว่าแถบรังสีใหม่นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ
    นักดาราศาสตร์จึงได้แต่หวังว่า การศึกษาแถบรังสีแวนอัลเลนในอนาคตคงจะบอกได้ว่า วงแหวนชั่วคราวนี้เกิดขึ้นบ่อยเพียงใด และรวมถึงกลไกการกำเนิดด้วย

    วงแหวนอัลเลนหรือวงแหวนรังสีแม้วงแหวนพระฉัพพรรณรังสีก็ปกป้องโลกอยู่ ถ้าอิงตามมหานิมิต

    ใครสร้างไว้ในช่วงปี 2 กันยายน - 1 ตุลาคม-56

    พอเข้าใจละ! มโนโดยรู้นัยยะเอาเอง!

    เพราะฉนั้นจะมีวงแหวนเพิ่มขึ้นอีก และถูกรายงานขึ้นอีกแน่! ถ้ามีผู้บรรลุหรือเข้าถึงพระสัทธรรม
    96C04FBE-FB4D-4316-AD4C-2397375B99F3.jpeg


    ผู้ที่สามารถสร้างได้ ก็มีแต่พระอริยะเจ้า อริยะบุคคล พระโพธิสัตว์ทั้งหลายฯ เพื่อคุ้มกันปกป้องโลก เมื่อถึงคราวเสื่อมฤทธิ์หมดอำนาจ

    ทุกๆครั้งเมื่อมีการบรรลุพระสัทธรรม สหโลกธาตุสั่นไหวไปในทางที่ดี สรรเสริญ เมื่อปรากฎโมฆะบุรุษอามิสทายาทขุยไผ่ก็แตกสลายฯ ถึงคราวพินาศ

    10264C0A-E5DF-404F-B16F-3C32EA03CAF8.jpeg C67D3EA3-2C16-4CBE-B57F-5180DE6F856D.jpeg



    ทุกๆ8นาที ดวงอาทิตย์แลกเปลี่ยนพลังงานกับโลก /ดวงนี้
    เวลา.. อื่นๆ ดวงอาทิตย์ดวงอื่นเผาผลาญสหโลกธาตุ จนมาถึงโลก X ความแรง X ระยะทาง


    ธรรมคุ้มครองโลก ถ้าโลกร้อนขึ้นเพราะมิจฉาทิฐิ ธรรมที่คุ้มครองโลกก็ถูกทำลาย


    #มองกว้างๆ ถ้าฉลาดในธาตุจักมองเห็น สิ่งที่ซ่อนไว้ เชื่อมต่อกันโดยมีนัยยะเป็นไปในทางเดียว แปลงสภาวะจนถึงระดับอนุภาคที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

    อย่าคิดสั้นให้พิจารณาให้กว้างระดับกินอาณาเขต 4 ทวีปที่ถูกเผาผลาญด้วย ดวงอาทิตย์ทั้ง ๗

    A0CC4586-A7BF-47B2-86DA-64901566C6AE.jpeg

    https://84000.org/tipitaka/read/m_s...5bwIXnznbs48NSkxiJZLWzPIYpNsEJAbsyLtjgQ9PzW3c


    5C18FB69-413C-41D7-BA63-8F0E4740A798.jpeg E1612D52-0B4E-49D7-96D5-980FFCD81EEE.jpeg C33D570D-4D46-47C8-883D-A57341BC48B0.jpeg 070E02DF-244D-4740-B80B-09148E9E490A.png 99ABC0F1-0607-40C2-AD5A-551DB4E719D8.jpeg


    #ชัดเจนถูกต้องมากขึ้นเรื่อยๆ ในการไขความ! เป็นเรื่องราวของความ เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ /ใช่หรือไม่ใช่/มีหรือไม่มี/ถูกหรือผิด

    #แต่ไหนแต่ไรก็มีอยู่คนเดียว ที่บอกว่ามี “ มหาเวชตราศาสตร์” ที่คอยปกป้องคุ้มครองโลกอยู่ด้วยทิพยอำนาจของพระพุทธศาสนา


    #หมอกลงหนักๆ อย่าเป็นพยานาคบังหวนควันล่ะกัน! เป็นเรื่องแน่! แสดงว่าเตือน! จะเอาแน่!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2023
  17. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    เช็ค 2 กันยายน 56 /วงแหวนปรากฎ เป็นที่แน่ชัด! โลกมนุษย์ถูกโจมตีหนัก ! ในปีนี้

    พุทธศักราช 2556 ตรงกับปีคริสต์ศักราช 2013 เป็นปีปกติสุรทินที่วันแรกเป็นวันอังคารตามปฏิทินเกรกอเรียน และเป็น

    300px-2013_Events_Collage_V2.png
    จากซ้าย ตามเข็มนาฬิกา: เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนมีชื่อเสียงในระดับนานาชาติจากการเปิดเผยข้อมูลลับของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติผ่านการลอบฟังทางโทรศัพท์; พายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 6,000 คนในฟิลิปปินส์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้; เหตุอาคารถล่มในซาวาร์ พ.ศ. 2556 ที่บังกลาเทศทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 คน; ริ้วจากอุกกาบาตเชเลียบินสค์เหนือท้องฟ้ายามเช้าตรู่ของรัสเซีย; เกิดการประท้วงท่ามกลางรัฐประหารที่โค่นประธานาธิบดี มุฮัมมัด มุรซีแห่งอียิปต์; ควันจากการโจมตีห้างสรรพสินค้าเวสต์เกตโดยกลุ่มก่อการร้าย อัลชะบาบ ที่ไนโรบีประเทศเคนยา; เหตุระเบิดในบอสตันมาราธอน พ.ศ. 2556 เป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในสหรัฐครั้งแรกนับตั้งแต่ 9/11; สันตะปาปาฟรานซิสได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาจากการประชุมเลือกสันตะปาปา พ.ศ. 2556

    มกราคม
    กุมภาพันธ์แก้ไข
    200px-Chelyabinsk_meteor_trace_15-02-2013.jpg
    รอยควันจากเหตุอุกกาบาตตกในรัสเซีย พ.ศ. 2556 เหนือเชเลียบินสค์
    มีนาคมแก้ไข
    เมษายนแก้ไข
    พฤษภาคมแก้ไข
    มิถุนายนแก้ไข
    • 6 มิถุนายน - เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ชาวอเมริกัน เปิดเผยปฏิบัติการโครงการสอดแนมหมู่ของรัฐบาลสหรัฐแก่สำนักข่าว และหลบหนีออกนอกประเทศ ภายหลังได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยชั่วคราวในรัสเซีย[23][24][25]
    กรกฎาคมแก้ไข
    พฤศจิกายนแก้ไข
    • 7 พฤศจิกายน - พายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน พายุไต้ฝุ่นที่ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับสองจากบันทึกของพายุไต้ฝุ่นที่พัดเข้าโจมตีฟิลิปปินส์ ขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์และเวียดนาม สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลในฟิลิปปินส์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4,009 ราย ผู้บาดเจ็บ 10,000 กว่าคน[28]
    ธันวาคมแก้ไข
    • 14 ธันวาคม - ยานอวกาศ ฉางเอ๋อ 3 ของจีน ซึ่งบรรทุกยานสำรวจพื้นผิวยู่ตู้ กลายเป็นยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบนผิวดวงจันทร์อย่างนิ่มนวลหลังปี 2519 และเป็นยานสำรวจพื้นผิวยนต์ (robotic rover) ลำที่สามที่ทำได้สำเร็จ


    #ไม่แปลกใจถ้าจะมีวัตถุมงคลหรืออาวุธพลังงานวิญญาณสถิตของพระอริยะสงฆ์ท่านอริยะเจ้า ระดับกันรังสีด้วยพลานุภาพไว้ได้ด้วยโดยเฉพาะบุคคลเพื่อประกาศความเป็นเอกของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะท่านปฎิสัมภิทาทั้งหลายฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2023
  18. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    “ล้างธรณี” มองเห็น เหลืออด ดลใจ สังหาร

    ผู้สังหารในที่นี้ ก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเขา ที่ไม่เห็นดีเห็นงามด้วย และไม่อโหสิให้

    ฆ่าให้ตายจากฐานะ!

    ยุคนี้ น่ากลัว! เหลือเกิน!

    # ไม่ต้องถึงวันนั้น! ก็จะหล่นเป็นดอกเห็ด!
    ช่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว! เห็นเป็นของเล่นของสนุก!





    DEC19AE4-5F6E-43D1-99EA-BE6FC8298E1A.jpeg


    ๔ ข้อเตือนใจ สำหรับ อนิตยโพธิสัตว์ ,นิตยโพธิสัตว์ และสงฆ์สาวกแก้ว และอุบาสกอุบาสิกา เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายฯ

    55ABB88A-4847-4683-B056-3E079AC15E6E.jpeg 44097F85-033A-4575-8FEE-0A1A80E93873.jpeg 04B66136-A8C6-4E00-83CB-AA5203C793A1.jpeg BA35FA65-1A88-4803-99F9-DA06B75C4401.jpeg BB701838-9B04-46D2-8D55-2F2B5CC59E66.jpeg BFE1DBB2-FA30-4C88-9145-BBE9DFABD88A.jpeg E11C4DB7-ABA1-4B35-A69F-C6AC5C24D98C.jpeg
    #ทำให้แจ้ง! แม้จะล่วงภพจบลับ

    สั้น ลัด เร็ว ของจริง!


    จงทอดทิ้งมนุษย์ สวรรค์สมบัติ เพื่อนิพพานสมบัติ



    ข้อห่วงใย!
    #ใครจะบวชพระในอนาคต มาเรียนพื้นฐานกับ พระฤาษี ดาบส ผ้าขาวก่อน! แน่ใจ แน่วแน่แล้วจึงไปบวช จะเป็นสะพานให้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2023
  19. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27

    พรุ่งนี้จะส่งแล้วน้า! ^_^


    วันนี้อารมณ์ดี ใครเกลียดเรา เราก็รัก^_^


    ABA415C4-32BF-415D-BBE3-89964303AAC5.jpeg

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2023
  20. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +27
    เลยเส้นมานิดหน่อย! ภัยหนาว! ลงไปจนสุดชายแดนใต้ก่อน ค่อยเชื่อ! ค่อยเตรียมตัว ! ไม่ได้นะ! ปัจจัย 4 ต้องเตรียมตัว คนไทยเราไม่ค่อยคุ้นชินกับสภาพอากาศหนาวจนถึงหนาวจัด เหมือนคนที่ไปอยู่ดินแดนหนาวเหน็บ
    14856E9B-5141-4503-8219-76814185E84B.jpeg อย่าประมาท! เตรียมเครื่องอุปโภคบริโภคให้ดี แม้จะเป็นช่วงสั้นๆทำให้แค่สั่นๆก็ตาม

    รอบ10ปี รอบ12 ปี รอบฯลฯ

    เอาเป็นว่า ! ถ้าไม่เคยติดลบ 10 หรือ - 10+ไม่เคยหิมะตก!

    ก็ตก เชื่อได้ 50/50 ไล่ตั้งแต่ภาคเหนือลงมาจนถึง ภาคใต้

    ถ้าลูกเห็บตก! จนถึงระดับ พายุลมหนาวระดับติดลบ!

    ควรพิจารณา!




    62D032B3-9719-4A3B-8E60-83F10CADBE08.png E6827657-F4B2-4E74-96CF-1997EB4217D0.png 5B315479-EF16-47A2-93A7-BD208FA56DAC.png B5211DA6-1819-48A1-9657-7ED51FA07AED.png 962A6555-2920-45EB-A0B3-95067973913C.png 5B89F462-B287-4122-9BE7-1FD24224102C.png

    ล่าสุดย้อนกลับ
    F5FDD6DA-2719-4133-80D9-A895505C736C.jpeg
    D3B82853-5F73-4AD5-9501-8968218E8BAD.png

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2023

แชร์หน้านี้

Loading...