คู่มือรักษาโรคด้วย "พลังจักรวาล"

เรียนถามนะคะ
เคยเรียนวิชาพลังจักวาลจากท่านอาจารย์ใหญ่ เลือง มิน ด๋าง จบระดับ3 หรือ 4ไม่แน่ใจ แต่คิดว่า 4 (เพราะนานแล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่มาสอนเองที่เมืองไทย ) แรกๆใช้ค่ะ ช่วงหลังจากแต่งงานมีลูกมีภาระมากมายก็เลยหยุดไปเลย ถ้าอยากฟื้นฟูจะได้หรือไม่ ต้องเปิดจักระใหม่หรือเปล่าคะ ขอบคุณค่ะ

 

ได้ครับทำได้
ลองเริ่มจาก หมุนจักระ ก่อนแล้วกันครับ ว่าได้ไหม

 

จักระของเราทุกคนมันเปิดมาตั้งแต่เกิดแล้ว อันที่จริงวิชานี้จะว่าด้วย
การเดินลมปราณ การใช้สมาธิดึงดูดพลังรังษี Cosmic เข้าสู่ร่างการ
ตั้งแต่ศรีษะลงมา คือ จักระ 7,6,5,4,3,2,1 และพุ่งลงไปยังใจกลางโรค
การฝึกวิชานี้จะสามารถเก็บสะสมพลัง Cosmic ไว้ในตัวเองได้มากกว่าคน
ปกติและสามารถส่งพลังไปให้กับผู้ป่วยในแต่ละโรคได้
และวิชานี้ผู้ที่ค้นพบคือ องค์อาจารย์ใหญ่หลวงปู่ดาสิรา นาราดา
ผู้เผยแผ่ในประเทศไทยคือ ท่านพลเรือตรีหลวงสุวิชาญแพทย์ (อั๋น สุวรรณภาณุ)
ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชานี้คือ คุณย่าเยาวเรศ บุญนาค และคุณย่าฯ ท่านก็ได้
ไปศึกษาต่อที่สถาบันแอสตาร่า สหรัฐอเมริกา
วิชานี้ที่สถาบันพลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ โดยคุณย่าเยาวเรศ ท่านจะสอนให้ฟรีๆๆๆ
มีหนังสือให้ 2 เล่ม กระทรวงสาธารณะสุขให้การยอมรับ คุณย่าฯ ท่านสอนมา 10 กว่าปีแล้ว โดยจะสอนให้กับโรงพยาบาลของรัฐบาล และบุคคลทั่วไปพร้อมทั้งมีการให้การรักษา
ทุกวัน วิชานี้ถ้าฝึกไม่ถูกต้องก็จะเป็นโทษอย่างมาก บางคนไม่ได้นั่งสมาธิชาร์จพลัง
Cosmic เข้าร่างกายแต่ไปให้การรักษาผู้อื่นจนทำให้ตัวเองหมดพลังมีสติฟั่นเฟือนไปก็มี
ฉะนั้นการเรียนรู้อะไรก็ตามทุกสรรพวิชาต้องมีครูคอยชี้นำ หากพลาดพลั้งไปเกิดอันตราย
ครูผู้ให้วิชานั่นแหละที่จะแก้ไขให้เราได้ จงอย่าลืมว่ามีโรคหลายๆโรคที่เกิดจากเจ้ากรรม
นายเวรแฝงอยู่คอยส่งผลร้ายให้กับผู้ป่วยอยู่ ถ้าเราเรียนรู้ไม่ถ่องแท้และไม่ถูกต้องแล้วไป
ทำการรักษาคนป่วย สิ่งที่แฝงอยู่กับผู้ป่วยนั้นก็จะเล่นงานเรา

ผมเรียนและศึกษาวิชานี้มา 4 ปีเศษ ผมมีทั้งหนังสือและตำราเสริมมากมายทั้งการใช้อัญมณีประกอบการรักษาโรค ผมไม่กล้าให้ผู้อื่นไปอย่างเด็ดขาดเพราะจะเป็นการสร้าง
กรรมให้แก่ผู้อื่นและตนเอง หากมีท่านผู้สนใจอยากจะศึกษาวิชานี้ก็ลองเข้าไปดูที่

WWW.khunya.in.th " สถาบันพลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ "
เลขที่ 404 ถนนเทศบาลนิมิตรใต้ เขตจตุจักร กทม

ลองอ่านบทความต่อไปนี้ดู

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD colSpan=5> <MAP name=Map><AREA shape=CIRCLE target=_self alt=Home coords=46,42,39 href="http://www.dtam.moph.go.th/alternative/index.php"></MAP></TD></TR><TR><TD vAlign=top width=34 height=52> </TD><TD vAlign=top borderColor=#ffcc66 width=102 bgColor=#ffffff> </TD><TD vAlign=top borderColor=#ffcc66 bgColor=#ffffff colSpan=2>

​

</TD><TD width=162> </TD></TR><TR><TD vAlign=top height=19> </TD><TD vAlign=top borderColor=#ffcc66 bgColor=#ffffff> </TD><TD vAlign=top borderColor=#ffcc66 align=right width=532 bgColor=#ffffff> </TD><TD vAlign=top borderColor=#ffcc66 align=right width=20 bgColor=#ffffff> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=top> </TD><TD vAlign=top borderColor=#ffcc66 bgColor=#ffffff>





</TD><TD vAlign=top borderColor=#ffcc66 bgColor=#ffffff colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD> </TD><TD align=right>วันที 14 - มิ.ย.- 51</TD><TD> </TD></TR><TR><TD> </TD><TD align=right> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD> </TD><TD align=right>

พลังกายทิพย์ (Etheric Body) ระดับปฐมจักระ​

</TD><TD> </TD></TR><TR><TD> </TD><TD align=right> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD width="6%"> </TD><TD align=right width="93%">โดย : พ.ญ.กานดา ปัจจักขะภัติ
รายงานและวิเคราะห์</TD><TD width="1%"> </TD></TR><TR><TD vAlign=top> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=top> </TD><TD> </TD><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=top> </TD><TD><HR width="80%">

1. ระดับปฐมจักระ​

ประวัติผู้ค้นพบและการเผยแพร่วิชา

<DD>เชื่อว่า พลังกายทิพย์เป็นที่รู้จักและนิยมใช้ในสมัยโบราณ ใน Atlantis ซึ่งเคยเป็นเมืองสงบ ไม่มีโจรผู้ร้าย ไม่เจ็บป่วย เพราะรู้จักการนำพลังกายทิพย์มาใช้ มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมามนุษย์มีกิเลสมากขึ้น เกิดความเดือดร้อน เทพ Zeus ดูแลมนุษย์ จึงทำให้เกาะ Atlantis จมหายไป มีบางคนหนีรอดไปทวีปอเมริกาบ้าง และประเทศทางตะวันออกบ้าง ประมาณ 5,000 ปี ก่อนคริสต์กาล พบว่า ปฐมปรมาจารย์โซเซอร์ ผู้ค้นพบการรักษาโรคด้วยพลังกายทิพย์ มีอักษรบันทึกการฝึกวิชาพลังกายทิพย์ และ ภาพการถ่ายพลังให้ผู้อื่น ที่ The great pyramid ประเทศอียิปต์ จึงเชื่อว่าปิรามิดเป็นที่สะสมพลังกายทิพย์ ไม่ใช่แค่หลุมฝังศพ รอบๆปิรามิดมีสถาบัน แอสตรารา (Astrara) เป็นที่สอนเรื่องพลังกายทิพย์ ที่โบสถ์โซเฟีย มีภาพแสดงจักระ 7 แห่ง บนร่างกายมนุษย์

</DD><DD>ค.ศ.1846 (พ.ศ.2389) หลวงปู่ดาสิรา นาราดา ที่ วัดวชิระมายา โคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เป็นผู้หนึ่งที่อ่านบันทึกที่ The great pyramid ได้ฝึกหัดพลังกายทิพย์และเผยแพร่วิชานี้ ต่อมามีศิษย์เป็นชาวอเมริกัน Professor Dr.C.W. Leadbeater ติดตามหลวงปู่ ใน ค.ศ.1895 จึงได้เขียนเป็นตำรา

 

ไม่ว่าวิชาใดตามล้วนมีจุดกำเนิดมาจากที่เดียวกัน เพียงแต่ผู้ที่ศึกษามาได้อย่างท่องแท้ สามารถพัฒนาวิชาออกได้หลายๆแขนง ขึ้นอยู่ที่เจตนาและจิตอันบริสุทธิ์ของผู้ที่พัฒนาวิชานั้นครับ

 

[FONT=&quot]ผมได้เข้ารับการฝึกพลังกายทิพย์ หรือพลังคอสมิค ซึ่งน่าจะเป็นสายเดียวกับพลังจักรวาลจาก คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค ในรุ่นปฐมจักกระ เมื่อวันที่ 5 [/FONT]–[FONT=&quot] 10 พ.ค. 2551 ทีโรงพยาบาลวชิระและ ได้ลองใช้รักษาผู้เจ็บป่วยอย่างได้ผลเป็นที่น่าพอใจ[/FONT]
[FONT=&quot] ในระหว่างรอการเรียนรุ่นที่สูงขึ้นในระดับพัฒนาจักกระ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 28 [/FONT]–[FONT=&quot] 29 มิ.ย.[/FONT]
[FONT=&quot]ผมไม่มีครูบาอาจารย์สั่งสอน จึงได้หาข้อมูลจากเว็บต่าง ๆ โดยเฉพาะเว็บพลังจิต เรียกว่า[/FONT]
[FONT=&quot]เรียนแบบลักขโมยวิชาว่างั้นเถอะ จำได้ว่าตอนที่ผมเรียนไม่มีการสอนเพ่งจุดไปตามจักกระ[/FONT]
[FONT=&quot]ทั้ง 7 แต่ผมรู้สึกชอบฝึกไปในแนวนี้ จึงเริ่มทดลองทำ[/FONT]
[FONT=&quot]เวลาทำสมาธิแถวกระหม่อม รู้สึกร้อน,ชา, เต้น, หน่วง ,บางครั้งเหมือนมีลมพัดผ่าน[/FONT]
[FONT=&quot]เอาจิตมาจับที่จักกระ 5 แถวกระดูกต้นคอ รับรู้ถึงอาการแสบ ,ปวด ไม่ว่าจะเอาจิตไปจับไว้[/FONT]
[FONT=&quot]ที่ใด จะรู้สึกถึงอาการหน่วงหรือตึง ไปทุกจุด บางทีกำหนดจิตที่หน้าอก จะคล้ายกับมีลูก[/FONT]
[FONT=&quot]ปิงปองกระเด้งจากหน้าอก ไปที่หัวแม่มือ ไปที่ไหล่ ไปที่คอ เด้งไปเด้งมา ชัดเจนมาก[/FONT]
[FONT=&quot]รู้สึกจั๊กกะจี้ชอบกล และที่ชอบฝึกคือเอาจิตไปจับแถวกึ่งกลางหน้าผาก มีอาการต่าง ๆ [/FONT]
[FONT=&quot]มากมาย มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเห็นลูกตาหนึ่งข้างโผล่ขึ้นมา เห็นชัดเหมือนลืมตาดู[/FONT] [FONT=&quot]เวลาใช้มือ[/FONT]
[FONT=&quot]จับเม้าท์เพื่อเล่นคอม คล้ายกับถูกไฟดูดจิ๊ด ๆ แต่ไม่แรง[/FONT]
[FONT=&quot]ผมได้พบปัญหาจากการฝึกคือ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา ผมลองสูดลมปราณโดยการยืนแยก[/FONT]
[FONT=&quot]ขาออก มือเท้าที่สะเอว แล้วหายใจเข้า และเป่าลมออกทางปาก จิตกำหนดไว้ที่กลางกระหม่อม (จักกระที่ 7) ทำทั้งหมด 3 ครั้ง ต่อจากนั้นจึงมากำหนดจิตที่จักกระ 6 โดยใช้วิธีเดียวกัน ไล่ลงมาเรื่อย ๆ จนถึงจักกระที่ 2 ( กระดูกก้นกบ) พอมาถึงจักกระที่หนึ่ง (ฝีเย็บ)[/FONT]
[FONT=&quot]จำได้ว่าเขาห้ามฝึก แต่ตอนนั้นผมคิดว่าคงไม่เป็นไร ขอแค่กำหนดผ่านไปเฉย ๆ คงไม่มีปัญหา และได้ลองทำ........ผมรู้สึกถึงกระแสบางอย่างที่ฝีเย็บ แสบร้อนชอบกล[/FONT]
[FONT=&quot]วันที่ 15 มิ.ย. ช่วงบ่ายผมกำหนดจิตที่หน้าผาก รู้สึกตึงหน่วงแถวหน้าผากและฝีเย็บพร้อมกันจึงออกจากสมาธิ<o></o>[/FONT]
[FONT=&quot]พอตกกลางคืน นอนกำหนดจิตที่หน้าผากอีก คราวนี้เด้งขึ้นมาทั้งตัว เหมือนมีแท่งอะไรตรง ๆ วิ่งขึ้นมาจากที่ฝีเย็บ ยาวประมาณ 1 ฟุต [/FONT]
[FONT=&quot]วันนี้คือวันที่ 16 เมื่อตอนเย็น ผมกำหนดจิตที่หน้าผาก กะเวลา 15 นาที เพราะมีงานที่ต้องทำ ในระหว่างทำสมาธิอยู่ ผมรู้สึกร้อนทั่วบริเวณใต้ก้นและฝีเย็บ รู้สึกมีความร้อนแถวเสื่อที่ผมนั่งด้วย รู้สึกกลัว รู้สึกหวาดหวั่น ถึงสิ่งที่เขาเรียกว่าพลังกุณฑาลิณีหรืองูไฟ

ผมอยากเรียนถามท่านผู้มีความรู้ว่าผมควรฝึกปฎิบัติอย่างไร
และที่ฝึกอยู่นี้มีคุณหรือโทษมากน้อยแค่ไหน
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง สำหรับผู้แนะนำ
[/FONT]

 

ผมไม่ได้ตั้งจิตที่จักกระหนึ่งแล้วครับ เวลาทำสมาธิผมเอาจิตไว้ที่กลางกระหม่อมไม่เกิน 20 นาที แล้วย้ายไปที่หน้าผาก หน้าอก แต่ยังคงแสบร้อนที่ฝีเย็บ ในขณะที่ผมพิมพ์ข้อความนี้อยู่ ก็เป็นครับ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เข้าสมาธิ

 

สงสัยจะเป็นกรรมเวรของผมเอง ตอนนี้ต้องไปก่อนครับ ท่าน triangle-w อะไรจะเกิด
มันก็ต้องเกิดครับ อย่างมากแค่ตาย ผมขอขอบพระคุณท่านครับ ที่ให้คำแนะนำ

 

ขอแนะนำให้หยุดทำสมาธิที่คุณกำลังฝึกก่อนครับ หยุดพักประมาณ 7 วัน ถ้าเป็นไปได้กลับไปหาอาจารย์ที่สอนคุณขอคำปรึกษาจะดีที่สุดครับ อย่ายึดติดกับสิ่งใดจนเกินไป

 

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับท่าน อ. SUWI ยังไงผมจะิอดใจรอจนกว่าท่านจะเข้ามาแนะนำครับ

ระยะช่วง 2 วันนี้ ผมรู้สึกมีความร้อนในตัวสูงขึ้นมาก
คล้าย ๆ กับมีไอร้อนออกแถวท้ายทอย , และที่เท้า ,
แถวรอบรูทวารเหมือนมีอะไรยุบยิบ ๆ บางครั้งเหมือนมีลมเย็น
วิ่งออกมา

เมื่อวานนั่งสมาธิ เอาจิตไปไว้ที่กระหม่อม พอรับรู้อาการของมันแล้ว
จึงเลื่อนจิตมาไว้กลางหน้าผาก แล้วเลื่อนต่อลงมาแถวใต้ลูกกระเดือก
อาจเป็นเพราะสมาธิหรือสติยังไม่ดีพอ มันวิ่งส่ายไปส่ายมาอยู่แถว ๆ นั้น
แล้วมันวิ่งไปที่กลางเพดานปาก ซึ่งจุดนี้ผมไม่เคยใส่ใจ และไม่เคยคิดว่า
มันมีจุดของมันอยู่ รู้สึกตึงเสียวอยู่ที่จุดนี้ไม่กี่วินาที มันกลับพาผมวิ่งเข้า
ไปที่จุดกึ่งกลางของสมอง รู้สึกชัดเจนว่ามันอยู่กลางสมองจริง ๆ พร้อม
ความรู้สึกที่จักกระ 6 อธิบายได้ตามนี้ครับ บอกไม่ถูกเหมือนกัน

วันนี้ลองนั่งใหม่ และทำตามแบบของเมื่อวาน ผมหาจุดกึ่งกลางหน้าผาก (จักกระ 6)
ไม่เจอ คล้ายกับว่ามันไม่มี หายไปได้ยังไง งงครับ มันเสื่อมหรือเปล่า

 

ไปเร็วกว่าที่คาด
ขอ e-mail
จะส่งเอกสารให้อ่านเล่นก่อน แล้วจะตาม อธิบายภายหลัง

 

เป็นพระคุณอย่างสูงครับท่านอาจารย์ SUWI หากผมมีบารมีพอที่จะได้ฝึกตามแบบ
ของท่านอาจารย์ไม่ว่ามากน้อย หรือแค่ไหนก็ตาม ผมต้องถือว่าท่านเป็นอาจาร์ยคน
ที่สอง ต่อจากคุณย่าเยาวเรศ บุนนาคครับ

อีเมล์ผมครับท่านอาจารย์ mister04@sanook.com

 

อำนาจบุญกุศลใด ๆ ที่เกิดจากการฝึกสมาธิ การทำใจให้หยุด ไม่วุ่นวายกับกิเลศใด ๆ ในขณะนั้น
ข้าพเจ้า ขอตั้งจิตอธิษฐาน แผ่บุญกุศลไปยังท่านผู้มีอุปการะธรรม

คุณย่าเยาวเรศ บุญนาค , ท่านอาจาร์ย SUWI , คุณ Little yoda , คุณ triangle-w , คุณขันธ์ , คุณ RuamJit , คุณ น้องหน่อยน่ารัก , คุณ wit

ขอให้ทุกท่านจงมีแต่ความสุขกาย สุขใจ และมีความเจริญยิ่งในธรรมทั้งหลายทั้งปวง

 

การฝึกวิชาใดๆก็ตาม ควรฝึกตามลำดับขั้นของวิชานั้นๆ การฝึกแบบที่คุณกระทำอยู่ เป็นการฝึกแบบข้ามขั้นตอนของวิชาที่คุณศึกษาอยู่ ทำให้เกิดอาการดังกล่าว ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านคือ ฝึกเกินขีดความสามารถของคุณอยู่ครับ ควรจะไตร่ตรองและพิจารณา หรือศึกษาวิชาที่คุณศึกษาอยู่ตามขั้นตามตอนจะดีที่สุด เพราะถ้าฝึกโดยที่ไม่เข้าใจจะเกิดผลเสียตามมาอย่างที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้ครับ

 

จริงอย่างที่ท่าน triangle-w ว่าไว้ทุกประการครับ การฝึกที่ผ่านมาทั้งหมด
เป็นช่วงที่ผมว่าง ระหว่างรอการเรียนรุ่นพัฒนาจักกระ ที่จะมีในวันที่ 28 - 29
ที่จะถึงแล้วนี้ครับ อาจฝึกผิด ๆ ถูก ๆ เพราะขาดครูบาอาจารย์ แต่รุ่นที่ผมจะเรียนสูงขึ้น คงไม่ฝึกผิดแน่นอนครับ เพราะฝึกไปตามขั้นตอน
ของคุณย่าเยาวเรศ ทุกประการ ขอบคุณท่านมากครับที่ช่วยตักเตือน และให้สติยั้งคิดตลอดมา

 

ผมได้รับหนังสือหรือเอกสารการฝึกแล้วครับ ท่านอาจารย์ SUWI ละเอียดมากจริง ๆ
สติ - สัมปชัญญะ - การรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งภายในและภายนอก มีสติและติดตามไป
ถึงอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เปรียบหมือน
เห็นสายน้ำไหลอยู่สายหนึ่ง จิตก็มองเห็นและรู้ว่า สายน้ำนั้นไหล หากสายน้ำเปลี่ยนทิศทาง จิตก็ตามเฝ้าดูการไหล
ของสายน้ำนั้น รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง แต่จิตยังคงนิ่งอยู่ ไม่ไหลไปกับกระแสน้ำนั้น นี้เป็นการรับรู้ภายใน
ส่วนภายนอก และอาการที่จะเกิด ผมยังไม่รู้ครับ ท่านอาจารย์ SUWI แต่เข้าใจตอนนี้ว่า
รับรู้ทั้งนอกและใน จับรวมเป็นหนึ่ง จิตรู้ทุกสิ่งที่เกิดแต่นิ่งอยู่ ไม่ปรุงแต่ง
ต้องลองฝึกบทแรกก่อนครับ ส่วนผลที่เกิด รายงานเป็นระยะ

 

สนใจคะ ขอจอง 2 เล่มค่ะ

 

คุณมารโลกันต์ ก็พยายามฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่าหักโหมนะครับ
ผมก็แนะนำได้เท่าที่บอกไป ก็อยู่ที่ตัวคุณเองแล้วละครับ ถ้าไม่ไหว
ก็หยุดก่อน แต่ถ้าผ่านได้ก็อนุโมทนาครับ