คู่มือรักษาโรคด้วย "พลังจักรวาล"

มีข้อสงสัย ว่า การฝึกพลังจักรวาล เปิดจักระ ที่บอกว่า ฝึกถึงระดับ 5 นั้น
แต่ละระดับ มีขั้นตอนอย่างไรบ้างครับ

 

ระดับที่ 1 เปิดจักระ 30 %
ระดับที่ 2 เปิดจักระ 60 %
ระดับที่ 3 เปิดจักระ 100 %
ระดับที่ 4 การหมุนจักระเพื่อจะเรียนระดับสูงขึ้น
ระดับที่ 5 การติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทุกท่านที่ได้รับการเปิดจักระในวันที่ 8 ที่ผ่านมาต้องถือว่าเป็นทางลัดและการสอนการอธิบายค่อนข้างใช้เวลาน้อยมากครับ ถ้าเป็นสมัยก่อนต้องใช้เวลาในการเรียนระดับ 1-5 ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือนครับ

 

ถึงคุณ Little Yoda ครับ
หนังสือเล่ม 1
- หน้า 4 ซ้ำ
- หน้า 6 ขาดหายไปครับ

 

ต้องขออภัยด้วยครับ สำหรับความผิดพลาด
รบกวนขออีเมลล์ด้วยครับผมเดี๋ยวจะส่งให้ทางอีเมลล์ครับ

 

ไม่เป็นไรครับ
ผมส่งอีเมล์ให้ทางข้อความส่วนตัวแล้วนะครับ

 

ขอบพระคุณมากครับ
เข้าใจแล้วครับ จะพยายามฝึกฝน ตามที่
DR.Choo สอนไว้ครับ

 

คำถามจากสมาชิกที่ถามมาทาง PM เห็นว่าน่ามีจะประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังเรียนรู้ เลยนำมาให้อ่านครับ​

1. การวางมือเพื่อรักษาโรค เราใช้ข้อสุดท้ายของนิ้วเป็นตัวสัมผัสใช่ไหมครับ และขณะรักษาต้อง สูดสั้นพ่นยาวไปด้วย​

2. การฟอกเลือดโดยใช้สามนิ้ว แบบไม่วางพาดกลางข้อมือ ช่วยอธิบายเพิ่มเติมครับ เราจะวางมือลักษณะไหน
หรือให้ปลายนิ้วทั้งสามแตะที่ข้อมือ​

3. การลดความอ้วนให้ตัวเอง วางนิ้วชีและนิ้วโป้งคร่อมสะดือ โดยให้ข้อสุดท้ายของนิ้วแตะข้างสะดือใช่ไหมครับ
และ ระหว่างนั้นให้ฟอกเลือดไปด้วย
ผมวางมือไม่ถูกครับ ดูมันติดขัดไปหมด​

4. ผมเป็นโรคความดันสูงและอ้วนมาก จากน้ำหนัก 142 ตอนนี้พยายามลดจนน้ำหนักเหลือ133 กิโล ผมต้องรีบลดน้ำหนัก
ให้ต่ำกว่า 100 กิโล ในหนึ่งวันถ้าผมลดความอ้วนให้ตัวเอง 5 นาที แล้ว ผมจะไม่สามารถรักษาความดันสูงให้ตัวเอง (สมาธิลืมตา จักกระ 6 ไป 7 มือแตะที่หัวใจ) ได้ใช่ไหมครับ เพราะกำหนดให้วันละไม่เกิน 5 นาที​

ตอบคำถาม​

1.การวางมือเราใช้ข้อนิ้วสุดท้ายหรือทั้งฝ่ามือเลยก็ได้ครับ อยู่ที่ว่าเราจะสัมผัสได้ตรงไหนชัดกว่า
ถ้ากลางฝ่ามือเรารู้สึกได้ว่ามีพลังวิ่งออกไปก็ใช้ฝ่ามือครับ ถ้าปลายนิ้วชัดก็ใช้ปลายนิ้วครับ
ส่วนมากคนที่เพิ่งเรียนใหม่จะสัมผัสได้ชัดที่ปลายนิ้วครับ แต่ก็แล้วแต่ละบุคคลครับอาจไม่เป็นเหมือนก็ได้​

2.การฟอกเลือดใช้ปลายนิ้ว 3 นิ้วครับ แตะที่บริเวณข้อมือที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ ด้านบนใกล้กับนิ้วโป้ง
หรือด้านล่างใกล้กับนิ้วก้อย ไม่ใช่ตรงกลางข้อมือที่เป็นเส้นเอ็นนะครับ ด้านใดด้านหนึ่งก็ได้ครับ
แต่ส่วนมากผมจะใช้ด้านนิ้วก้อยครับ บีบดูจะรู้สึกนิ่มๆ ครับแล้วก็เอา 3 นิ้วแตะที่นั้นครับ 1 นาที​

3.การลดความอ้วนทำถูกต้องแล้วครับ ถ้าจะฟอกลือดด้วยก็เอามืออีกข้างมาแตะข้างที่ครอบสะดือ
ส่วนจะแตะยังไงก็แล้วแต่จะถนัดครับ ให้แตะข้อมือด้านล่างใกล้กับนิ้วก้อยนะครับ​

4.ในระดับที่คุณเรียนถือว่าจบระดับ 5 แล้วครับ ฉนั้นการลดความอ้วน หรือการรักษาโรคแต่ละโรคนั้น
ใช้เวลาเพียง 2 นาที ต่อ 1 โรคครับ ไม่ควรเกินกว่านี้ ก็เท่ากับว่า ใน 1 วันคุณสามารถรักษาโรคให้ตัวเอง​

ได้ 2 โรคต่อวัน

​

(โรคละ 2 นาที) และฟอกเลือดอีก 1 ครั้ง (1 นาที) รวมเป็น 5 นาทีพอดีครับ​

ถ้าคุณรักษาแค่โรคเดียวแต่ใช้เวลาไป 5 นาทีเต็ม อย่างนี้ถือว่าไม่ถูกต้องครับ ถือว่าขาดทุน เพราะไม่สามารถ

จะไปรักษาโรคอื่นๆ หรือทำอะไรได้อีก เพราะเต็มลิมิตเวลาครับ เพราะทุกคน ทุกระดับไม่ว่าใครจะจบระดับไหนก็ตาม
จะใช้เวลารักษาโรคหรือทำอะไรก็แล้วแต่กับตัวเองได้แค่ 5 นาทีเท่านั้นครับ ถ้าเกินกว่านั้นพลังจะไหลออก
การรักษาก็จะไม่ได้ผลครับ ยกเว้นกรณีฉุกเฉินถึงจะรักษาได้เกินเวลาครับ​

ฉนั้นคุณควนจัดเวลาใหม่คือ
1.ลดความอ้วน 2 นาที
2.รักษาโรคความดัน 2 นาที
3.ฟอดเลือด 1 นาที
รวม 5 นาทีพอดีครับ​

สมาธิลืมตา 6 >> 7 ทำอย่างน้อยครั้งละ 5 นาที ใน 1 วัน จะทำกี่ครั้งก็ได้แต่รวมแล้ว
ห้ามเกิน 30 นาที ต่อวัน ไม่ต้องเอามือแตะที่หัวใจครับ​

​

​

 

มีผู้สอบถามกันเข้ามาทาง PM เรื่องการเปิด-ปิดจักระ
และได้รับปากไว้ว่าจะมาเล่าให้ฟัง
แต่ขอมาเล่าในกระทู้นี้ เพื่อหลายๆคนจะได้รู้ไว้(ไช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม)
และการอธิบายจะอธิบายด้วยหลักวิชาการของไทย(ซึ่งถูกเก็บซุกจนแทบจะสูญหายไปหมดแล้ว)

สอบถามเรื่องที่คุณโพสตอบไว้ในหัวข้อเปิดจักระ

ขอความรู้เรื่องปิดจักระและธาตุไฟแตกหน่อยครับ


1. เมื่อจักระเปิดแล้วสามารถปิดได้ด้วยหรอครับ แล้วมีวิธีปิดยังไงครับ

2. เมื่อฝึกจนธาตุไฟแตกแล้ว ถ้าเราปิดจักระ อาการจะหายมั๊ยครับ หรือว่า มีวิธีไหนที่สามารถรักษาอาการธาตุไฟแตกได้มั่งครับ

ตอบข้อที่ 1
ปกติในกายมนุษย์เราจะประกอบด้วยธาตุพลังงานสามตัว คือ ปิตะ เสมหะและวาตะ(ตรงกับของจีนคือ หยาง-หยิน-ชี่)

ปิตะ คือพลังที่เกี่ยวกับความร้อน (ไฟธาตุ)
เสมหะ คือพลังที่เกี่ยวกับความเย็น(การระบายความร้อนออก)
และวาตะ คือการเคลื่อนไหว(เพื่อการปรับสมดุลย์ของปิตะและเสมหะ และเป็นพลังชีวิต(ลมปราณ)ของมนุษย์เรา)

วาตะที่ใหลเวียนในกาย จะมีการถ่ายเทจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่ (เกิดการไหลเวียน) มีการถ่ายเททั้งภายนอกและถ่ายเทภายใน ตลอดเวลา
บางครั้งก็ถ่ายเทจากนอกสู่ใน บางครั้งก็จากในสู่นอก เป็นไปโดยอัตโนมัติ
และปริมาณของวาตะจะมีมากพอในชีวิตหนึงๆ ซึ่งแต่ละชีวิต แต่ละคนมีปริมาณไม่เท่ากัน มากบ้างน้อยบ้าง ซึ่งเหมาะกับตน ทำให้อยู่สุขสบาย

เมื่อใด ปริมาณของวาตะน้อยลงหรือมากขึ้นกว่าที่ควร จากเหตุใดก็ตาม
หรือการไหลเวียนขัดข้องทำให้เกิดการกระจุกตัวของลมปราณ(วาตะ)ทำให้บริเวณหนึ่งมีมากเกิน บางบริเวณมีน้อยเกิน
เมื่อนั้น ร่างกายจะสูญเสียความสมดุลย์ ของพลังชีวิต(วาตะ)
เมื่อนานเข้าก็จะทำให้ความสมดุย์ของปิตะและเสมหะเสียไปด้วย
ภูมคุ้มกันก็จะด้อยลง และความเจ็บป่วยก็จะตามมา

ในร่างมนุษย์จะมีประตูลม สำหรับ เปิด-ปิด ควบคุมการถ่ายเทลมปราณ(วาตะ) จากบริเวณหนึ่งไปสู่อีกบริเวณหนึ่ง
บางจุดเป็นแบบทางเดียว(one way) บางจุดเป็นแบบสองทาง(เข้าได้ออกได้)
มีทั้งถ่ายเทในร่างกายตนเอง และติดต่อกับภายนอก ระบายส่วนเกิน-ขาด เข้าออกอยู่ตลอดเวลา
ส่วนที่ติดต่อกับภายนอก จะอยู่บริเวณผิวหนังทั้งหมด
รูขุมขนทั้งหมดเป็นประตูลม บริเวณจักรทั้ง 7 ที่พวกเรารู้กันก็เป็นประตูลม

ประตูลมมีอยู่สองแบบ
แบบหนึ่งเป็นลักษณะของประตูเปิดปิด การถ่ายเทเป็นแบบธรรมชาติ ด้านใดพลังงานสูงกว่า ก็จะถ่ายไปสู่ด้านที่มีระดับพลังน้อยกว่า
ซึ่งยังแบ่งเป็นสองแบบ แบบทางเดียว และสองทาง

อีกแบบเป็นแบบที่มีตัวช่วย เหมือนมีเครื่องสูบน้ำ คอยช่วยสูบเข้า สูบออก
จักรกระทั้ง 7 จะมีลักษณะแบบนี้โดยธรรมชาติ

ผู้ผ่านการฝึกที่ดี มีอำนาจจิตพอควร จะสามารติดตั้งเครื่องสูบน้ำนี้ ทีผิวหนังทั้งหมด(ตั้งความปรารถนาภาวนาว่าตะโจ)

วิชานี้อยู่ในตำราหมอนวด(ระดับสูง) ผู้ที่มีอำนาจจิต และฝึกมาดี จะสามารถ่ายเทลมปราณผ่านทางผิวหนังนี้ได้ จะสามารถอยู่ใต้น้ำได้เป็นวันเป็นคืน

การเปิดจักระที่พวกเราใช้กันอยู่ ก็คือ
ผู้ที่มีอำนาจจิตสูงกว่า ใช้จิตเข้าไปล็อกกับมอเตอร์เครื่องสูบน้ำที่จักรทั้ง 7ของผู้ถูกเปิดจักร
แล้วบังคับให้จักรทั้งเจ็ดหมุนตาม(ซิงโคร)ตนเองชั่วเดียวหนึ่ง (แล้วปล่อยให้อิสระ)
ลักษณะเหมือนการสตาร์รถ (ไดนาโมสตาร์ ไปหมุนเครื่องยนต์ พอเครื่องติดแล้วก็ปล่อยให้หมุนเอง)
หลังจากนั้น ให้ผู้ถูกเปิดจักรไปฝึกตนเองต่อเพื่อให้จักรยังคงหมุนดูดพลังงานต่อเนื่องต่อไป

เดี๋ยวมาต่อ




<!-- / message -->

 

พี่ SUWI หายไปไหนเอ่ย น้องๆมารออ่านกันอยู่ครับ

 

หลังจากได้รับการเปิดจักระแล้ว
ถ้าผู้ได้รับการเปิด ไม่ใส่ใจ ไม่ฝึกฝนตนเอง จักรจะค่อยๆลดระดับความเร็วในการหมุนลง และเข้าอยู่ในระดับปกติเดิม
คนพวกนี้ไม่มีปัญหาในการเป็นอยู่

แต่ในพวกที่ฝึกสมาธิมาบ้าง หรือเป็นเองโดยธรรมชาติ เมื่อได้รับการเปิดจักรแล้ว
บ้างก็ใส่ใจฝึกต่อ บ้างก็ไม่สนใจเลย บ้างก็นึกได้ก็ลองดูทำบ้างไม่ทำบ้าง
พวกนี้ ตอนที่ได้รับการฝึกสมาธิมา ได้รับการสอนให้ฝึกจิตให้นิ่งที่จุดใดจุดหนึ่ง
อาจเป็น ปลายจมูก บริเวณคอ บริเวณอก หรือท้องน้อย ฯลฯ แล้วแต่สำนัก

พวกนี้พอตั้งสติสัมปชัญญะได้(ไม่ได้นั่งสมาธิ) จิตก็จะไปจอจ่ออยู่ตรงที่เคยชิน(โดยไม่รู้ตัว)
จักรที่อยู่บริเวณนั้น จะทำงานเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติมากกว่าจุดอื่นๆ และพลังจะเข้าไปออกันอยู่บริเวณนั้นมากกว่า
แรกๆ ร่างกายยังทนไหว รู้สึกเพียงอึดอัด ตึงๆบริเวณนั้น
ครั้นนานไป พลังเริ่มกระจุกตัวมากเข้า(มากๆอาจจับเป็นก้อน ภาษาโบราณเรียก ริดสะดวง และดานลม)
ครั้นร่างกายเริ่มทนไม่ได้ ความทรมาร เจ็บปวดก็จะตามมา และทวีมากขึ้นตามกาลเวลา(การสะสมพลังมีอยู่ตลอดเวลา)

บริเวณที่เป็นกันมากจะอยู่ที่ทรวงอก และที่ศีรษะ เป็นมากๆให้ตะครั่รตะครอ ปวดในหัวกระโหลก สะบัดร้อนสะบัดหนาวไปทั่วตัว แบบไม่มีสาเหตุ
อาการที่เป็น อธิบายไม่ได้ อธิบายไม่ถูก ไปหาหมอ เล่าไปเล่ามา ได้ยาแก้ปวด ยาคลายเครียด และท้ายสุดได้ยากล่อมประสาท มากินพอประทังไปวันๆ เดือนๆ ปีๆ
กินยาไปกินยามา โรคประสาท(จริงๆ)ก็เริ่มถามหา ขออพยพมาอยู่ด้วย
และท้ายสุดไล่ไป ไล่มา พบว่า อ้อ เราไปเปิดจักระมานี่เอง
พวกนี้คือพวกที่รำร้องขอปิดจักระ

 

พวกที่รำร้อง ขอปิดจักระ

เมื่อมาหา SUWI และได้รับการอธิบายที่ไปที่มา วิธีการแก้ปัญหา
มีไม่กี่ราย(เท่าที่จำได้มีเพียง 4-5 ราย)ที่เข็ดขี้อ่อนขี้แก่ ขอปิดจักระอย่างเดียว และว่า ไม่เอาอีกแล้ว เข็ด เข็ดจนตาย

ถึงตรงนี้ ก็จะเหลือปัญหาเพียงสองข้อคือ

๑. วิธีการแก้ปัญหา
๒. วิธีปิดจักระ เมื่อเขาไม่เอาแล้ว(จริงๆ)

เดี๋ยวมาต่อจ๊ะ

 

แอบเข้ามาเก็บความรู้จาก อ. suwi ครับ

 

๑. วิธีการแก้ปัญหา

เมื่อมีผู้ร้องขอให้ suwi ช่วยในเรื่องนี้
suwi จะอธิบายให้คนไข้เข้าใจถึงเรื่องของพลัง การกักเก็บ ที่สัมพันธ์กันกับการเปิดปิดประตูลม ดังที่ได้อธิบายไว้แล้ว

ผู้เจ็บป่วยจากเรื่องนี้เป็นเพราะ เขากระจายพลัง และหมุนเวียน ไม่เป็น
เก็บกักพลังไว้ในบริเวณเดียว (กำหนดจิตกักพลังไว้ (ไม่รู้ตัว) ทำให้ประตูลมที่เกี่ยวเนื่องปิดหมดเพื่อการเก็บพลัง เมื่อนานไปประตูลมนี้จะถูกล๊อกตาย)

และสอนหรือเล่าให้เขารับรู้วิธีการกระจายลม วิธีเดินพลังไปใน นทีแห่งเลือดลม(เส้นสิบ- ซึ่งอยู่ในวิชาหมอนวดพิสดาร)
วิธีการโคจรพลัง ดังที่ปรากฏในกระทู้นี้ ก็เป็นหนึ่งในวิธีการเดินพลัง
การอายน้ำทิพย์
การฝึกเคลื่อนย้ายพลัง (วิชา เกสา โลมาฯ ของ suwi)
การถ่ายพลังให้ผู้เจ็บป่วย
การถ่ายพลังให้ต้นไม้ใหญ่
ฯลฯ
วิธีการเหล่านี้ ล้วนเป็นวิธีการเคลื่อนย้ายถ่ายเทพลัง ที่กระจุกตัวอยู่ในร่างกายของผู้มีปัญหา ให้ระบายออกจากร่าง
เมื่อเขาทำได้ อาการต่างๆก็จะค่อยๆดีขึ้น และหายไปในที่สุด(ใช้เวลาบ้าง)

แต่ถ้าต้องการจะให้หายในทันที ก็ช่วยเขา เปิดประตูลม ให้พลังกระจายไปทั่วร่าง(ตามวิธีการนวดพิสดาร) อาการที่เป็นก็จะหายในทันที

ผู้ที่เข้าใจและทำได้ดังที่ suwi กล่าว ก็กลับไปฝึกกันต่อ ไม่คิดปิดจักระอีก

 

๒. วิธีการปิดจักระ

ในผู้ที่ไม่ปรารถนาจะฝึกต่อ และร้องขอ(โดยจริงใจ) ที่จะปิดจักระ และไม่ขอเกี่ยวข้องอีก เราก็จะทำให้
ถ้าเขาไม่ขอ หรือยังสองจิตสองใจอยู่ อย่าปิดให้เขาโดยเด็ดขาด(เป็นการก่อกรรม จะมีวิบากกรรมติดตัว)

ผู้ที่มีปัญหา นอกจากเลือดลมกระจุกตัวจากเหตุดังกล่าวข้างต้น และมีอาการเจ็บปวดแปลกๆจนสุดทนแล้ว
ผู้ที่มีตาที่สาม จะเห็นการแปรปรวน การกระจุกตัวของออร่า รอบกายขอผู้มีปัญหา
วิธแก้ง่ายๆ ก็โดยจัดระเบียบออร่า หรือปัดออร่าในบริเวณที่กระจุกตัวออกออกไป
อาการที่คนเจ็บเป็นอยู่ก็จะหาย หรือดีขึ้นทันที (เป็นการแก้ปลายเหตุ-ถ้าต้นเหตุไม่มี ก็จะหายขาด)
แต่ทึ้งไว้ไม่นานก็จะเริ่มเป็นอีก (ถ้าต้นเหตุยังไม่ถูกแก้)

การจัดระเบียบออร่า หรือปัดออก ก็ทำเพียงกำหนดจิตไปที่ฝ่ามือ แล้วใช้มือปัด หรือลูป
อ.สามตา เรียกวิธีนี้ว่าการใช้ "ดาบเจได" ในการรักษาโรค

ในผู้มีปัญหา นอกจากออร่าจะแปรปรวนแล้ว สนามพลังรอบตัวยังแปรปรวนด้วย
สนามพลังที่ว่านี้ เปรียบเสมือน สนามแม่เหล็ก ที่กระจายออกรอบตัวแท่งแม่เหล็ก
ซึ่งจะเห็นได้ด้วยการ โปรยผงตะใบเหล็ก รอบแท่งแม่เหล็ก(เป็นการทดลองของเด็กนักเรียน)

การปิดจักระ
เราต้องจัดระเบียบสนามพลังที่กระจายรอบกายนี้ให้เป็นระเบียบ
พร้อมกับใช้พลังที่เหนือกว่า (มากๆ=พลัง+อภิญญา) เข้าทำการชะลอการหมุนของจักระในทุกจักระให้ช้าลงเท่ากับ จักรตัวที่หมุนช้าที่สุด


วิธีการคล้ายกับว่า ขับรถอยู่ แล้วใช้เกียรต่ำในการชะลอช่วยในการเบรก
อ้อ อย่าให้เจ้าของรถ เหยียบคันเร่งนะ (คือใจลึกๆเขาไม่อยากปิด หรือสองจิตสองใจ)
ซึ่งเราอาจต้องเร่งพลังเพิ่มขึ้นไปอีกให้เหนือกว่า

ต่อไปเป็นเรื่อง ไฟธาตุแตก และการแก้ไข

.

 

ขอถามท่านผู้รู้นิดนึงนะคะ คือว่าเคยเปิดจักระแล้ว
พอเวลานั่งสมาธิแล้วมันก็บางทีเหมือนมีอะไรไปกระจุกที่ศรีษะ
และที่สำคัญกว่านั้นคือรู้สึกชาๆที่หัวแม่เท้าทั้งสองข้างด้วย เป็นมาเป็นอาทิตย์แล้วค่ะ
ไม่ทราบว่าเป็นอันตรายอะไรรึเปล่าคะ

 

ช้าไปไหมครับที่เพิ่งจะเริ่มศึกษา ทั้งๆที่รู้จักมาหลายปีแล้ว ระยะหลังมาสนใจในเรื่องพลังปิระมิด และสนใจในเรื่องพลังยูเรอัส จากการศึกษาค่อยมารู้ทีหลังว่าเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน จึงขอเข้ารับการอบรมเพื่อศึกษาในรายละเอียดในคอร์สที่จะเปิดอบรมในเร็ววันนี้ ดังนั้นจึงใคร่ขอจองหนังสือ 1 ชุด ( 2 เล่ม) ครับ ช่วยแจ้งรายละเอียดให้ทราบทาง PM หรือทาง juksawat@hotmail.com ด้วย......ขอบคุณครับ

 

วิชาความรู้เรียนเท่าไหร่ก็ไม่หมด ไม่มีคำว่าสายครับ
ส่งรายละเอียดให้แล้วทางเมลล์ครับ

 

อ.suwi ปกติแล้วจักระ 7 เปิดตลอด? ปกติมันเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าไรครับ สงสัยครับ

 

เวลาคุณนั่งสมาธิ เมื่อเกิดอาการเหมือนมีอะไรไปกระจุกที่ศีรษะให้ทำดังนี้
ให้ส่งความรู้สึกทั้งหมดเคลื่อนที่ขึ้นไป ทะลุเลยจักรที่ 7 ขึ้นไปบนฟ้า
แล้วค่อยๆดึงกลับลงมา นำจิตไปตั้งไว้ที่เดิมของคุณ ให้ค่อนไปด้านหน้าเล็กน้อย
อาการต่งๆที่เกิดขึ้นจะหายไป

ความรู้สึกชาที่หัวแม่เท้า ปกติแล้วจะเกิดจากการกดทับเส้นเลือดลมที่หน้าขา
ให้ขยับหรือจัดการนั่งใหม่ อาการจะดีขึ้น

 

ปกติผมไม่ค่อยสนใจในรายละเอียดของจักรต่างๆ
รู้ว่ามีอยู่ ก็ใช้มันไปให้เกิดประโยชน์ มันจะปิดจะเปิด ก็ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าใด

คำถามของคุณที่ว่าจักร 7 เปิดตลอดหรือไม่นั้น
ตามหลักการของประตูลมแล้วมันจะปิดๆเปิดๆ ตามความต้องการพลังงานของร่างกายเป็นอัตโนมัติ
จากประสพการณ์ของผม จักระ 7 (พูดได้ว่าทุกจักระ) ผมใช้ทั้งดูดเข้า และผลักออก เป็นไปตามใจนึก

และรู้ว่าเมื่อจะรักษาโรคให้คนไข้ จักร 7 (พูดได้ว่า จักรเกือบทุกตัว) จะเปิดรับพลังเข้ามาอย่างมหาศาล
บางครั้งรู้สึกเป็นช่องเท่าปลายก้อย
แต่บางครั้งรู้สึกบานเป็นกระด้ง เต็มศีรษะเต็มตัว

เคยผ่านตาหนังสือบางเล่ม ได้เขียนรูปของจักรต่างๆ เปรียบเทียบกับกลีบบัว ว่ามีเท่านั้นเท่านี้กลีบ มีขนาดเท่านั้นเท่านี้ มีสีสันอย่างนั้นอย่างนี้
คุณลองไปหาอ่านดู หนังสือเกี่ยวกับจักระแทบทุกเล่มจะมีรายละเอียดเหล่านี้ รวมถึงขนาดด้วย