จิตกับตัวคาถาอันไหนสำคัญกว่ากัน(เคล็ดลับวิชาไสยศาสตร์)

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย I'mTiM, 17 กรกฎาคม 2008.

  1. I'mTiM

    I'mTiM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +449
    [​IMG]


    คนส่วนมากชอบตัวบทคาถาในวิชาไสยศาสตร์ต่างๆ แต่มีส่วนน้อยนักที่จะจับจุดได้ถูกต้อง เป็นจุดที่จะทำให้มีอาคมขลัง ทำให้คนทั่วไปยอมรับนับถือได้ นั่นก็คือ จิต นั่นเอง ไสยศาสตร์เป็นเรื่องของจิต พวกรูปแบบวิธีการต่างๆเป็นเพียงเปลือกและกระพี้ของหลักวิชาเท่านั้น แต่ต้นไม้จะมีแต่แก่นไม่มีเปลือกกระพี้ก็หาได้ไม่ ดังนั้นจึงมีรูปแบบวิธีการ ลำดับขั้นตอน เรื่อยมา พวกที่เรีียนวิชาไสยศาสตร์ มักจะชอบมองข้ามสิ่งเล็กน้อย แล้วมุ่งหาแต่สิ่งที่เรียกว่าสุดยอดในสายวิชาต่างๆ แต่พอมองย้อนกลับมา ฐานมันยังไม่ได้เลย จะเอายอดซะแล้ว ก. ไก่ ข. ไข่ ยังไม่ค่อยรู้ จะไปเอา ฮ. นกฮูกซะแล้ว ดังนั้นสิ่งแรกที่นักไสยศาสตร์ต้องเรียนรู้คือการพัฒนาจิต การฝึกสมาธิ สมาธินี่ไม่ใช่นั่งกันนิดๆหน่อยๆ วันละ20นาที แล้วจะมาพูดว่าฝึกฝนอยู่เสมอ นั่งสมาธิมันต้องอย่างน้อยๆ2-3ชั่วโมง ต้องนั่งให้ได้ และต้องได้อารมณ์สมาธิด้วยน้อยที่สุดต้องได้1ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเรียกว่าสมาธิไม่ถึงขั้น ใครที่ชอบคิดว่าตัวเองเก่งลองพิจารณาดูซิว่า ทำได้แค่ไหน แล้วเวลานั่งก็ไม่ใช่นั่งหลับตาเฉยๆ มันต้องมีสติระลึกรู้อยู่เสมอ ลมหายใจสั้น-ยาวก็รู้ หายใจแรง-เบาก็รู้ การเดินอารมณ์สมาธิเข้าได้ช้า-เร็ว ยาว-สั้นแค่ไหน ก็ต้องรู้ด้วยตัวเอง กำหนดรู้จนจิตมีความละเอียด ลมละเอียด เบาสบาย จนจิตนิ่ง และสามารถทรงอารมณ์สมาธิได้ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ เข้าใจถึงดวงจิตและอารมณ์สมาธิ รู้จักการเดินเข้า-ออกสมาธิ การเข้าสมาธิลึกและการเดินถอยออก และรู้จักเดินเข้าไปใหม่ ต้องทำจนชำนิชำนาญจนสามารถเข้าสมาธิได้รวดเร็วหรือที่เรียกว่า วสี ทำแบบนี้แล้วจะเริ่มเข้าใจคำว่าจิต เนื่องเพราะวิชาไสยศาสตร์เกี่ยวข้องกับจิตอย่างที่ไม่อาจจะแยกจากกันได้ "จิตตัวเดียวพลิกไปพลิกมา" หมายความว่าจิตที่ฝึกดีแล้วนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้สารพัดตามแต่จะต้องการ กล่าวคือ หากว่าคาถาคงกระพัน ต้องทำจิตให้เข้มแข็ง ฮึกเหิม จึงจะเสกคงกระพันได้ หากต้องการให้เป็นเมตตา มหานิยม ก็ต้องทำจิตให้อ่อนโยน นุ่มนวล ใช้อารมณ์ที่เรารักและเมตตาที่มีต่อบุคคลอื่นๆ อารมณ์ชื่นชอบที่มีต่อบุคคลอื่นๆ นั้นมาเสก จึงจะได้ผล เพราะวิชาไสยศาสตร์นั้นคือธรรมชาติ หากเราใช้จิตที่โกรธเกลียดมาเสกคาถาเมตตา เสกจนตายก็ไม่ได้ผล ทั้งนี้เพราะวางอารมณ์ไม่ถูกต้องนั่นเอง จะให้คนอื่นเค้ารักก็ต้องรักเค้าก่อน เหมือนกับกระจกน่ะครับ ถ้าเราไม่ยิ้มให้กระจกกระจกก็ไม่ยิ้มให้เรา ถ้าอยากเรียนจำทำเป็น ก็ต้องฝึกตามที่ผมได้แนะนำไว้นี้แหละครับ และคำาที่ว่าทำเป็นนั้นไม่ใช่ทำได้1-2ทีแล้วจะมาคิดว่าทำเป็นนะครับ มันต้องทำได้ทุกครั้งที่ต้องการ จึงจะเรียกว่าทำเป็น ส่วนมากทำได้ซักทีนึงก็จะคิดว่าข้าสำเร็จวิชานี้แล้ว พวกนักไสยศาสตร์ที่โง่และหลงตัวเองพวกนี้มีอยู่มาก ผมเองก็เคยเป็นประเภทนี้มาก่อนกว่าจะมาหูตาสว่างก็ต้องใช้เวลาเป็น10ปีเลยทีเดียว เพราะมัวแต่หลงในตัวบทคาถาอยู่นั่นแหละ คือพอฟลุ๊กทำได้แล้วก็รีบไปหาวิชาใหม่ๆทันที ไม่ได้มาสนใจสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างเรื่องสมาธิจิตเลย แบบนี้ว่าคาถาให้ตายก็ไม่เกิดประโยชน์ครับ เพราะมันไม่ก้าวหน้ามันไม่ไปไหน มีแต่จะถอยหลังเข้าคลอง เพราะภาวะจิตจะเสื่อมถอย เนื่องจากไม่ได้มีการสนใจที่จะอบรมจิตจริงๆ ซึ่่งวิชาชั้นสูงจริงๆนั้นต้องใช้จิตที่ละเอียด สมาธิจิตที่มั่นคงกว่าขั้นพื้นฐานเยอะครับ ลองๆฝึกดูกันก่อนครับและยินดีคลายข้อสงสัยพร้อมรับคำติชมจากเพื่อนสมาชิกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 ธันวาคม 2008
  2. fire-freeze

    fire-freeze สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +19
    อืม ถ้าเป็นแบบนั้นชินปัญชรก็ไม่ศักสิทธิ์ ท่องชินปัญชรก็มีสมาธิ ท่องบทอื่นก็มีสมาธิ แบบนั้น ชินปัญชรกับบทอื่นๆอีกหลายบทก็มีพลังเท่ากัน เพราะคนท่องจิตเดียวกันสิคับ

    เมื่อเกิดจากจิต ทำไมโดนทำลายอาคมด้วยประจำเดือนอาคมจึงใช้ไม่ได้ผลอีกล่ะคับ ถ้าเกิดจากจิตอาคมก็ไม่น่าเสื่อมด้วยเพียงแค่เลือดสิคับ

    หากท่องจนมีสมาธิสูงระดับฌาน ย่อมไม่มีนิวร เมื่อไม่มีนิวรผู้นั่นย่อมไม่ทำชั่ว แต่ทำไมวิชาอาคมจึงยังเอามาทำชั่วได้ ก็เพราะนิวรยังอยู่ใช่ไหมคับ เมื่อนิวรยังอยู่ แสดงว่ายังไม่ถึงฌานสิคับ
    อีกอย่างหนึ่งคับ ทำไมจึงต้องมีการบังวิชา เปลี่ยนตัวคาถาให้ผิดล่ะครับหากเกิดจากจิต และเมื่อเปลี่ยนตัวคาถาแล้ว ผู้ใช้ใชทำไมไม่ได้ผลล่ะคับถ้าเกิดจากจิต

    แล้วทำไมท้าวกุเวรจึงต้องแต่งอาฏานาฏิยะให้พระพุทธเจ้า แล้วเมื่อท่องทำไมอมนุษจึงกลัว้ล่ะคับ หรือว่าคนทั่วไปมีอำนาจจิตขณะท่องแรงพอจะกั้งยักษ์ได้ล่ะคับ หรือจะเป็นเพราะแรงของท้าวกุเวรล่ะคับ
    ช่วยตอบด้วยคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2008
  3. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    พลังจิตและอานุภาพของพระคาถาที่แตกต่างกันจะเป็นตัวทำให้ผลลัพธ์บังเกิดต่างกันนะครับ
    --ดีที่สุดก็คือจิตอันทรงพลังท่องพระคาถาอันเลิศนั่นแหละ
    --ดีรองลงมาก็จิตอันทรงพลัง อธิษฐานให้บังเกิดผลตามต้องการ อย่างหลวงพ่อเดิมท่านท่อง เพี้ยงดี ให้พรลูกหลาน ก็อาจจะได้ผลมากกว่าพวกเราท่องคาถาอันเลิศ
     
  4. I'mTiM

    I'mTiM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +449
    ตอบคุณ fire-freeze

    การที่คุณสงสัยมานั้นเรียกว่ามีเหตุผลที่ดีมาก กรณีอย่างพระคาถาชินบันชร ผมถามคุณหน่อยให้เห็นภาพง่ายที่สุด ถ้าหากคุณคิดว่าคาถาแต่ละบทมีกำลังเท่ากัน ครูบาอาจารย์เจ้าท่านจะรจนาคาถาหลายๆบทมาทำไม เสียเวลาเปล่าๆ ต่อให้คนท่องมีกำลังจิตเท่ากันการวางอารมณ์ในการอธิษฐานใช้คาถาก็มีความแตกต่างกัน ซึ่งเกิดจากความชำนิชำนาญของบุคคลนั้นๆ ส่วนระดับฌานนั้นเมื่อสภาวะจิตเข้าสู่อารมณ์ฌาน ย่อมไม่มีนิวรณ์ แต่อย่าลืมว่านี่เป็นโลกียฌาน พออารมณ์มันคลายตัวก็ในไปใช้ในเรื่องอื่นๆตามใจปราถนาได้ครับ และคาถาอาคมไม่มีใครที่ไหนที่ใช้สมาธิระดับฌานเสกของกันหรอกครับ เค้าใช้แค่อุปจาระสมาธิเท่านั้น ส่วนตัวคาถานั้นมีแรงครูอยู่ถ้าหากท่องคาถาผิดไปโบราณท่านว่า วิบัติ ทำไปก็ไม่ได้ผล แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าหากจิตมีกำลังสมาธิดีจริงถึงจะท่องผิดก็เกิดความขลังครับ สืบเนื่องจากจิตมีกำลังมากอธิษฐานเป็นอะไรก็ได้ เหมือนอย่างกรณี หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์ ท่านเป่าแต่ เพี้ยงดีๆ ยังไงล่ะครับจิตท่านถึงแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวคาถาขับ กรณีท้าวเวสสุวรรณถวายอาฎานาฏิยะปริตรแก่พระพุทธเจ้านั้น ก็เสมือนตัวคาถาไงล่ะครับ คนธรรมดาที่ไม่มีกำลังสมาธิท่องให้ตายผีมันก็ไม่กลัวหรอกครับ เพราะจิตไม่สามารถสื่อไปถึงท้าวกุเวรเพื่อดึงพลังของท่านมาใช้ได้ ส่วนกรณีการใช้ของต่ำเช่นเลือดประจำเดือนทำให้ของเสื่อมนั้น เป็นเพราะครูบาอาจารย์เจ่้าทั้งหลาย รักและเคารพในองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงห้ามไม่ให้สิ่งเหล่านี้เข้าใกล้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ จึงมีการถอนแรงครูในวัตถุอาถรรพ์ไปครับ แต่จริงๆแล้วก็มีวิชาป้องกันไม่ให้เสื่อมได้ครับ ต่อให้คลุกน้ำประจำเดือนก็ไม่มีคำว่าเสื่อม อย่างเช่นวิชาของสำนักวัดเขาอ้อพัทลุง เป็นต้น
     
  5. wejames

    wejames สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +9
    สวัสดีครับ คุณ I'm TiM
    ผมฝึกนั่งสมาธิเพื่อทำจิตให้สงบมาหลายปีครับ แต่ยังไม่สามารถทำจิตให้สงบได้เลย เคยคิดว่าคนที่ฝึกทางด้านไสยศาสตร์เขามีวิธีฝึกอย่างไรให้จิตเป็นสมาธิได้ จะได้เอามาฝึกบ้าง แต่ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นคนมีวิชาอาคมนะ เพียงแต่จะเอาวิธีที่เขาฝึกจิตมาดัดแปลงใช้ในการฝึกให้จิตของตัวเองเป็นสมาธิจิต ซึ่งการภาวนา หรือดูลมผมก็ทำอยู่แต่ก็มีความฟุ้งเข้ามาแทรกเยอะมาก พอจะมีวิธีแนะนำบ้างรึเปล่าครับ
     
  6. I'mTiM

    I'mTiM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +449
    ตอบคุณ wejames

    ผมขออธิบายว่าการนั่งสมาธินั้นถ้าหากเราวางจิตไว้ด้วยความตั้งมั่นจนมากเกินไป จะไม่มีทางเข้าสู่ความสงบนิ่งได้เลย เรามีหน้าที่ดูมันเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องไปบังคับมัน ไม่ต้องไปสั่งมัน ไม่ต้องอยากมีอยากเป็น ไปเรื่อยๆเดี๋ยวมันจะหลอมรวมลงสู่ความสงบเองครับ วิธีที่ได้ผลอย่างมากอีกวิธีหนึ่งคือ การเจริญคาถาแทนคำภาวนา ซึ่งผมเขียนแนะนำไว้ในกระทู้ วิธีการฝึกจับกระแสพลังพุทธคุณ และข้อความจากกระทู้ วิธีการเอาคาถา มาทำเป็นกรรมฐาน ของคุณซาตานคลั่ง คุณลองอ่านและนำไปปฏิบัติดูครับ รับรองว่าได้ผลแน่ๆ อย่าคิดว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ ใครเป็นคนสอนวิธีแบบนี้ ให้คุณรู้อย่างนึงว่า เรื่องของจิตเป็นเรื่องที่ไม่มีคำว่าตายตัว มีความพลิกแพลงพิสดารอย่างที่สุด ไม่มีคำว่ารูปแบบ จิตถึงไหน ใจถึงนั่น ผู้ที่เข้าใจเรื่องจิตจริงๆแล้วจะเข้าใจในเรื่องที่ผมพูดมานี้เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดจากการฝึกฝน และเป็นผลที่ได้จากประสบการณ์ทางจิต ไม่ได้เปิดตำราลอกใครเค้ามาเขียน เพราะสิ่งหล่านี้ผมฝึกมาก่อนที่จะพบเห็นข้อความในกระทู้ของคุณซาตานคลั่งเสียอีก เป็นสิ่งที่เขียนมาขึ้นจากใจ จากกรรมฐานที่ได้ จากการฝึกจริงๆเลย ขอรับรองว่าได้ผลอย่างแน่นอน คุณwejames ต้องหัดวางฐานลมใหม่ เพราะพอนั่งสมาธิจนจิตเริ่มดิ่งลงจิตจะลงต่ำลงไปที่บริเวณท้อง ดังนั้นคุณต้องหัดวางฐานลมที่บริเวณท้อง ไม่ใช่วางที่จมูกเหมือนอย่างเคย เพราะคุณตั้งใจมากเกินไปเลยทำให้อึดอัด ลมหายใจพอจะนิ่งก็จะเผชิญกับความอึดอัดของจิตที่เอาเข้ามาแนบกับกายเนื้อมากเกินไป ลองกำหนดเป็นดวงแสงบริเวณท้องน้อยก็ได้ครับ ทำคล้ายๆกับวิชาธรรมกายแต่ไม่ใช่ เพราะองค์ภาวนาต่างกันและการกำหนดดูก็แตกต่างกัน คือเราจะไม่มามัวดูให้เห็นเป็นองค์พระนะครับ เอาแค่ดวงแสงพอ มันเป็นวิธีการฝึกกสิณกลายๆน่ะครับ ไม่ใช่กสิณแท้ แต่ก็สามารถใช้ได้ไม่ค่อยจะแตกต่างกับกสิณแท้ ผิดตรงการมองรูปมันจะไม่ชัดเท่ากสิณแท้ แต่จะมีพลังของตัวคาถาครอบคลุมกายเนื้อของคุณไว้ และพลังตัวนี้นี่แหละที่จะทำให้คุณสามารถเข้าสมาธิได้อย่างรวดเร็ว ได้ง่ายกว่าที่เคยทำมาอย่างเทียบกันไม่ได้เลย ระดับสมาธิก็จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แรกๆคุณมีหน้าที่แค่เข้าสมาธิเท่านั้น ไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น พอจิตเริ่มได้ระดับ คือมันจะเป็นไปของมันเอง โดยที่ตัวคุณก็จะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน คราวนี้ค่อยมาคอยตามดูลมหายใจให้มีความเท่าทันกับวาระจิต เพราะพอจิตเริ่มละเอียดลมหายใจที่เดินเข้าออกเป็นจังหวะก็จะเดินนุ่มนวลขึ้น ตอนนี้ให้ดูอย่างเดียว อย่าไปพยายามให้ลมหายใจมันละเอียด ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติครับ เรื่องจิตเป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนเด็กที่ชอบก่อกวนน่ะครับ คือพอเราจะให้นิ่งมันก็จะกระโดดโลดเต้น พออยู่ท่ามกลางสิ่งหรรษากลับพบว่ามีความสงบซ่อนอยู่ภายในจิตใจของตน จิตจะพยายามทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามน่ะครับ แต่หากเราไม่สนใจมันและคอยดูมันอย่างเดียว มันจะสงบลงไปเองโดยอัตโนมัติ นี่คือลักษณะอาการของจิต เป็นธรรมชาติของจิตต้องอดทนหน่อยครับ อย่าใจร้อน ขันตี ปรมัง ตะโปตี ติกขา ขันติคือความอดกลั้นเป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง พอลมเริ่มละเอียดสงบแล้วคำภาวนาจะหายไปครับ กล่าวคือจิตจะเลิกยึดติดกับคำบริกรรม ไม่ว่าจะท่องจบบทหรือไม่จบบท ก็ไม่ต้องไปสนใจหรือพยายามท่องใหม่ครับ ไม่งั้นจะต้องพยายามใหม่เพื่อให้จิตรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง ต้องปล่อยวางครับ เรามีหน้าที่แค่ดูมันเฉยๆ ดูให้รู้แน่จนถึงสันดานของจิตดวงนี้เลยว่ามันเป็นยังไงเวลาที่มันได้สิ่งที่พอใจในสมาธิ กับเวลาที่มันไปไม่ถึงความสุขแห่งสมาธิที่มันต้องการ แต่หากว่านั่งยังไงก็ไม่สงบซักที ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ยกธรรมของพระพุทธเจ้าขึ้นมาพิจารณาเลยครับ ถ้ามันชอบคิดนักก็ให้มันคิดซะเลยจะได้เลิกงอแงซักที คือกับจิตแล้วเราต้องรู้วิธีเล่นกับมันครับ แต่มีเคล็ดอยู่ข้อนึงคือว่าก่อนนั่งสมาธิทุกครั้งให้อาราธนาศีลก่อนทุกครั้งครับ จะศีล5 หรือศีล8ก็แล้วแต่ และควรชุมนุมเทดามาทุกครั้งด้วยครับ ยิ่งเชิญหรือขอบารมีครูบาอาจารย์มาได้ก็ยิ่งดีครับ อำนาจแห่งศีลจะปกป้องคุัมครองเราให้ปลอดภัย กำลังแห่งเทวดาและครูบาอาจารย์จะช่วยให้จิตเข้าสู่อารมณ์สมาธิได้ง่ายครับ ยิ่งทำจิตให้เป็นเมตตาด้วยแล้วยิ่งเป็นสมาธิง่ายเข้าไปใหญ่ และคุณควรอย่างยิ่งที่จะต้องเจริญเมตตาเพราะคุณเป็นคนเครียดง่ายเก็บทุกอย่างทุกเรื่องมาแบก ทำให้จิตสับสนวุ่นวาย ลองทำตามนี้ดูสิครับไม่ยากเกินไปใช่มั้ยล่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2008
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อนุโมทนาครับ
    พระคาถาที่มีอยู่นั้น แต่ละบทก็มีความขลังและความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวครับ
    แต่จิตใจที่มีความมุ่งมั่น มีพลัง จะเป็นตัวที่ไปเร่งให้อำนาจของพระคาถามีความขลังมากขึ้น
     
  8. jojoball

    jojoball สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +6
    ได้ความรู้เยอะเลย
     
  9. Tuumm

    Tuumm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +7,528
    ขออธิบายตามความเข้าใจของผมเองดังนี้ครับ ถ้าเราเปรียบเรื่องนี้เป็นนิยายกำลังภายใน พลังแห่งจิตเปรียบได้กับกำลังภายใน มนต์คาถาและบทสวดเปรียบได้กับกระบวนท่า กระบวนท่าหรือคาถาต่างๆ มีความศักสิทธิ์อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งได้รับการหนุนเสริมจากกำลังภายในหรือพลังทางจิต ก็ยิ่งทำให้กระบวนท่าหรือคาถาเหล่านั้นเปล่งอานุภาพมากยิ่งขึ้น

    อย่างไรก็ตาม กระบวนท่าแต่ละกระบวนท่า วิชาแต่ละแขนงย่อมมีขอบเขตและข้อจำกัด เปรียบเหมือนกับไม่มีเวทย์มนต์ใดที่มีความศักดิ์สิทธิ์ครอบคลุมอย่างแท้จริง เมื่อฝึกฝนถึงจุดหนึ่งย่อมพบกับทางตัน มีแต่เพียงการฝึกจิตหรือกำลังภายในเท่านั้นที่ไม่มีทางตัน หากฝึกถึงขั้นไร้กระบวนท่า ไร้ขอบเขตแห่งมนต์คาถา เปรียบเหมือนกับไร้กระบี่เหนือกว่ามีกระบี่ สามารถปลิดใบไม้แทนอาวุธได้ เมื่อนั้นก็ไม่ต้องใช้คาถาใดเลยก็ได้ เหมือนเช่นหลวงพ่อเดิมท่านใช้คำว่า "เพี้ยงดี" แทนสุดยอดพระคาถาทั้งมวล ดั่งเช่นไร้กระบี่เหนือกว่ามีกระบี่ ไร้คาถาเหนือกว่ามีคาถา แต่เปล่งออกมาด้วยพลังแห่งความเมตตาไม่มีประมาณของท่าน คำว่า "เพี้ยงดี"นี้ของท่านจึงสุดยอด แต่กว่าท่านจะมาถึงจุดนี้ท่านต้องเรียนรู้และฝึกฝนพระคาถาต่างๆ มานับไม่ถ้วนเป็นเวลาหลายสิบปีอย่างพากเพียร ฝึกฝนขัดเกลาดวงจิตให้บริสุทธิ์แข็งแกร่งแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตามาหลายสิบปีเช่นกัน ท่านจึงบรรลุถึงขั้นนี้ได้ครับ
     
  10. I'mTiM

    I'mTiM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +449
    นั่นล่ะใช่เลย เป็นแบบนี้แหละครับที่ผมพยายามจะบอก แต่คนส่วนมากมักไม่ชอบการฝึกจิต เพราะการฝึกจิตเป็นของยาก เป็นของละเอียดต่างกับการท่องคาถา แต่กำลังสมาธิไม่ดีก็เหมือนกับพลังภายในไม่พอย่อมไม่สามารถใช้กระบวนท่าสุดยอด(คาถา)ออกมาได้นั่นเอง ดังนั้นเราต้องมีสมาธิเป็นฐานเสียก่อน เพียงแต่วิธีนี้ออกจะขัดกับความรู้สึกของใครหลายๆคน เนื่องเพราะไม่สามารถเข้าสมาธิได้ลึกและนิ่งนั่นเอง พอทำไม่ได้ก็เลยเลิกทำหาว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฝึกสมาธิ ใช้แค่ขณิกะสมาธิเองจะนั่งไปทำไมมากมาย หารู้ไม่ว่าแค่ขณิกะสมาธิเนี่ย คนที่ฝึกสมาธิจริงๆเค้าฝึกกันเป็นเวลานาน ต้องตีกับกิเลสตั้งเท่าไหร่ พอฝึกสมาธิมากเวลาใช้คาถากำลังสมาธิที่เคยฝึกได้จะหลอมรวมตัวกัน ทำให้เข้าสมาธิได้เร็วในทันที พอจิตเป็นสมาธิใช้เวลาเพียงสั้นๆเข้าสมาธิลึกแล้วถอนออกมาค่อยว่าคาถา คือเข้าสมาธิก่อนว่าคาถาด้วยการหายใจเข้าออกเพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น คาถาจะมีกำลังมากตามกำลังของจิตพออธิษฐานใช้ก็จะประสบความสำเร็จนั่นเอง และการมีกำลังสมาธิมากจะสามารถส่งกำลังไปถึงครูบาอาจารย์ถึงเทวดา ก็จะมีเทวดามาอนุโมทนาในการว่าคาถาของเราอีก เป็นประโยชน์ขนาดไหนคิดดูสิ การฝึกสมาธิเนี่ยพอฝึกไปเรื่อยๆและทำจิตให้เข้าถึงคุณพระก็จะพบกับความมหัศจรรย์แห่งจิต แล้วคุณจะรักในการฝึกสมาธิรักการภาวนา เพราะได้เข้าถึงความเพริศแพร้วพิสดารอย่างหาที่สุดมิได้นั่นเอง
     
  11. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865
    จะใช้พระคาถาใดๆ

    ก็ขอให้ฝึกได้ถึงฌาน 4 สามารถเข้า-ออก ได้ว่องไว อย่างมีวสี
    รับประกันไปโลดทุกพระคาถา น่ะครับ

    เพราะอาศัยพลังจิต พลังฌานเป็นบาท เป็นฐานของพระคาถาทุกตัว
    ยิ่งมีบุญบารมีในตัวเองจนสามารถอัญเชิญท้าวเทพ พรหม พ่อครู ปู่ฤาษี บุรพาจารย์ ลงมาช่วยได้ ก็ยิ่งแก่กล้าขึ้นนับเท่าพันทวีทีเดียว ครับ

    ขอให้ได้พลังแห่งฌาน สมาบัติมาก่อน เรื่องอื่นก็ง่ายดุจลัดนิ้วมือ
     
  12. คนธรรมดา44

    คนธรรมดา44 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +17
    ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเรื่อง พลังจิต...ได้อ่าน ข้อความของหลายๆๆ ท่านแล้ว มีประโยชน์มากเลยครับ...ผมฝึกมานานแล้วแต่นั่งได้ไม่นาน ครับ..จากวันนี้ ( ที่อ่าน )จะพยามทำตามหลายๆๆท่านที่แนะนำมา..ขอบคุณทุกท่านที่ให้คำแนะนำครับ..ขอให้ทุกท่านที่ให้คำแนะนำมีความสุข มากนะครับ
     
  13. เอื้องสายน้ำผึ้ง

    เอื้องสายน้ำผึ้ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +74
    โอ้โห้คิดถูกนะเนี้ยที่เราเข้ามาเป็นสมาชิกเว็บนี้ มีแต่ความรู้และสามารถแก้ข้สงสัยได้มากเลยคะ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งคะอยากจะเรียนถามท่านผู้รู้ทุกท่านว่า เมื่อก่อนเคยทำสมาธิไม่มีกฏเกณฑ์อะไรมาก นั่งเป็นประจำ เพราะที่บ้านคุณแม่จะสวดมนต์ทุกวันอยู่แล้ว ก็แล้วทำตามท่านแต่ก็นะ มีตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง ส่วนคุณตาท่านก็ฝึกจิตนั่งสมาธิอยู่แล้ว เห็นเราเป็นคนใจร้อน ขี้โมโหก็เลยชวนนั่ง พอเห็นเราสงบขึ้นก็ให้แยกนั่งคนเดียว นั่งไปเกือบสองเดือนคะ วันหนึ่งมันมีแสงจุดเล็กๆเกิดขึ้น ปกติจะมืดสนิทไม่เห็นอะไรเลยกลับมีแสงและค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นและที่สำคัญคือการพุ่งเข้าหาตัวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ พอขนาดใหญ่ขึ้นก็พุ่งเข้าหาเราเร็วมากขึ้นตกใจ เหมือนอะไรพุ่งเข้าชนหงายหลังไปเลย แต่พอเหตุการณ์เกิดขึ้นนี้ก็ไม่กล้าทำ แต่พอจะทำก็ทำไม่ได้ จะแก้ไขยังไงดี เดี๋ยวนี้จะเป็นคนตกใจง่ายมาก มีวิธีแก้ไขไม่คะ และอีกอย่างตอนนี้พอกลับมานั่งเหมือนโลกมันหมุนได้เลยคะ พยายามควบคุมจิตให้นิ่งแต่ก็ทำไม่ได้มันเวียนหัวเหมือนตัวเองหมุนรอบตัวเองมาเป็นสิบๆ รอบเลย สุดท้ายขอขอบคุณสำหรับผู้ที่จะตอบคำถามและวิธีแก้ไขคะ รบกวนด้วยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2008
  14. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865

    อิๆๆๆ จะขอวิสัชชนาเป็น 2 ประเด็น ;28

    1. เวปพลังจิต นี่เป็นอันดับหนึ่งในสยามจริงๆ ครับ แต่ก้มีบุคคลหลายจำพวกเข้ามาวนเวียน เขียนอ่านกัน รวมถึงพวกบ้า 500 จำพวกแฝงมาก็มี น่ะครับ กรุณาพิจารณากระทู้ใดๆก่อนปักใจเชื่อ[​IMG]

    2. การนั่งสมาธิปฏิบัติธรรม แนะนำให้ไปหาครู-อาจารย์ วิปัสสนาจารย์ เข้ามาอบรมสั่งสอนดีกว่านั่งไปเองคนเดียวโดยไร้จุดหมาย น่ะครับ
    เพราะโลกของจิตวิญญานมีความลึกลับซับซ้อนเกินกว่าจะบรรยาย แต่ที่พูดนี่ไม่ได้ขู่ให้กลัวน่ะครับ เพราะการงานทุกอย่างจะต้องมีทิศทางและจุดมุ่งหมายที่ถูกต้อง ก่อนออกเดินทาง น่ะครับ

    :z12 ;6
     
  15. I'mTiM

    I'mTiM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +449

    ที่บอกให้ฝึกให้ได้ฌาณ 4 ก่อนนั้นน่ะก็ไม่ผิดหรอกครับ เพียงแต่บุญบารมีของคนเราไม่เท่ากัน จึงต้องพึ่งพาคุณพระพึ่งบุญบารมีของผู้ทรงคุณ เพื่อทำในสิ่งที่ปราถนาให้เกิดความสำเร็จ เพราะถ้าได้ฌาณ 4 ก็ไม่ต้องพึ่งตัวคาถาแล้วครับจิตมีกำลังมากสามารถอธิษฐานเป็นฤทธิ์ได้เลย แต่เพราะบุญบารมีเรายังไม่มากพอจึงต้องพึ่งพาคุณพระพึ่งพาบุญบารมีของผู้ทรงคุณก่อน จึงเกิดตัวคาถาอาคมขึ้น เกิดมีแรงครูขึ้น เกิดตัววิชาขึ้น คนธรรมดาทั่วๆไปหรือผู้ที่เริ่มฝึกตลอดจนผู้ที่ฝึกมานานแล้วใช่ว่าจะสามารถฝึกสมาธิจนถึงสมาบัติ 4 ได้โดยง่าย บางคนฝึกจนตลอดชีวิตก็ทำไม่ได้ เอาแค่ฌาณ1ฌาณ2ก็ยากแล้วยิ่งฌาณ4ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทดสอบง่ายๆสำหรับพวกที่บอกว่าได้ฌาณนั้นฌาณนี้ ถามหน่อยเถอะว่าอารมณ์สมาธิก่อนเข้าฌาณน่ะเป็นยังไง และตอนทรงอารมณ์อยู่ในฌาณน่ะเป็นยังไง ตอนที่ถอยจากฌาณหนึ่งเข้าสู่อีกฌาณหนึ่งน่ะเป็นยังไง และให้เอาอารมณ์สมาธิมาตอบนะ เอาภาษาที่เราๆท่านๆเข้าใจนี่แหละเป็นภาษาชาวบ้าน ไม่ใช่ไปลอกตำรามาตอบ เอาภาวะจิตอารมณ์ที่ได้ในสมาธิจริงๆมาตอบ หากตอบไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่องแถมยังใส่บาลีมาเต็มไปหมด รับรองเลยว่าไม่รู้จริงๆไม่ได้ฌาณแน่ๆเป็นพวกอวดรู้อวดเก่งไปอย่างนั้นเอง เพราะพอเอาเข้าจริงๆตัวเองก็เป็นท่านใบลานเปล่าไปซะอย่างนั้น คือไม่รู้และไม่มีอะไรในตัวเองเลย ได้แต่หลอกคนอื่นหลอกตัวเองไปวันๆ ดีแต่ลอกตำรามาบอกชาวบ้านพร้อมอวดฉลาดไปซะทุกอย่างพอถามอะไรเข้าจริงๆตอบไม่ได้ โดยเฉพาะการถามต่อหน้าแล้วให้ตอบทันที คนประเภทนี้มีเยอะต้องระวังให้ดี ดังนั้นจึงต้องมีตัวคาถาเป็นตัวล่อจิตเพื่อให้มีแรงครูมาช่วยให้เราสมปราถนา(แรงครู70%ตัวเรา30%) โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้อารมณ์สมาธิระดับฌาณสมาบัติแต่อย่างใดเลย แต่ถ้าได้ก็จะดียิ่งๆขึ้นไปครับ เพราะตัวคาถาจะมีกำลังมากขึ้นมีความขลังความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้นไปน่ะเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2008
  16. I'mTiM

    I'mTiM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +449
    ตอบคุณ เอื้องสายน้ำผึ้ง

    การที่นั่งสมาธิแล้วเห็นแสงเป็นดวงนั้นภาษาบาลีท่านเรียกว่าโอภาส แปลว่าแสงสว่าง เกิดขึ้นได้เมื่อจิตรวมตัวเกิดเป็นสมาธิแล้วนั่นเอง แต่ที่คุณเอื้องสายน้ำผึ้ง เกิดตกใจกลัวก็ทำให้จิตมีความเข็ดขยาดในสิ่งที่เกิดขึ้น พอจะทำอีกก็เลยทำไม่ได้น่ะครับพร้อมกันนั้นสิ่งเหล่านี้ถ้าอยากได้อยากเห็นมันก็จะไม่เห็นน่ะครับ ทั้งนี้เพราะที่คุณเอื้องสายน้ำผึ้ง ได้ในคราวนั้นเป็นการได้โดยบังเอิญไม่ได้เกิดจากการที่มีความชำนิชำนาญในการฝึกสมาธิ แต่พอเริ่มจะตั้งใจมานั่งสมาธิใหม่ก็ปรากฎว่าเวียนหัวนั่งไม่ได้ พอไปทำอะไรก็ตกใจง่ายเพราะว่าคุณพยายามตั้งใจกับมันมากเกินไป ทั้งพยายามคิดอยู่บ่อยๆ มีหลายๆครั้งที่คิดฝึกสมาธิอยู่เกือบตลอดเวลา แต่จิตมันยังไม่รวมตัวพอมีอะไรมากระทบมันก็จะตกใจง่ายแบบนี้แหละครับ สังเกตุมั้ยล่ะว่าช่วงที่จิตกำลังจะรวมตัวเป็นสมาธินะมีความอ่อนไหวมาก มีอะไรมากระทบจะตกใจง่ายมาก วิธีแก้ไขก็ไม่ยากครับ เพราะผมเคยเป็นมาก่อนและก็ใช้เวลาแก้เป็นปีๆ เศร้าใจจังที่ฝึกสมาธิแล้วติดแหง็กไปไหนไม่ได้ แต่ตอนนี้เรารู้วิธีแก้แล้ว มันเลยไม่ยากอ่ะครับ ให้ใช้วิธีการสวดมนต์แทนครับ สวดเยอะๆเลย พอจิตเริ่มล้าแล้วค่อยนั่งสมาธิ ไม่จำเป็นต้องนั่งนาน เพราะจิตมันล้าและมันก็จะไม่คิดไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรด้วย พอทำไปเรื่อยๆซักพักจะเริ่มชิน ค่อยๆเพิ่มเวลานั่งให้นานขึ้นพร้อมกับลดเวลาสวดมนต์ลงจนได้ในระดับที่คุณเอื้องสายน้ำผึ้งพอใจน่ะแหละครับ คราวนี้ก็จะไม่ต้องมากังวลและกลัวกับการนั่งสมาธิแล้วล่ะครับ และควรจะหาครูบาอาจารย์ที่ทรงคุณทางด้านสมาธิให้มาสอนเพื่อที่จะได้ก้าวหน้าในสมาธิได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วครับ เพราะคุณมีของเก่าทางด้านนี้อยู่(บุญบารมีที่เคยสร้างไว้) มีอะไรก็ถามมาได้นะครับถ้าผมรู้ก็จะบอกให้ทราบแต่ถ้าไม่รู้ก็จะบอกว่าไม่รู้น่ะครับ ขออนุโมทนาในบุญกุศลของคุณเอื้องสายน้ำผึ้งที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมด้วยนะครับ สาธุ
     
  17. แง็บ_แง็บ

    แง็บ_แง็บ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2008
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +61
    แล้วเห็นเป็นดวงๆๆ สีมนๆบางครั้งก็เป็นสีขาวปนดำบางครั้งก็สีขาววงกลมก้เข้ามาใกล้ตัวเราควรจะทำอย่างไร แล้วเวลาเราได้ยินเสียงอะไรดังนิดนึงแล้วเกิดอาการสะดุ้งควรจะทำอย่างไรดี
     
  18. I'mTiM

    I'mTiM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +449
    ตอบคุณ แง็บ_แง็บ

    ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นครับ ผมบอกไปแล้วว่าเรามีหน้าที่ดูมันอย่างเดียว เหมือนคนที่ดูภาพยนต์ทำได้แค่ดู ไม่ได้มีหน้าที่เข้าไปจัดการ ปล่อยมันไป เดี๋ยวมันก็หายไปเอง และถ้าสภาวะจิตก้าวหน้าสิ่งเหล่านี้จะไม่มารบกวนคุณอีกเลย เพราะภาวะจิตมันเลยไปแล้ว เหมือนคนเดินทางแหละครับ เช่น คุณกำลังเดินทางไปเชียงใหม่ต้องผ่านจังหวัดต่างๆ อย่างคุณผ่านอยุธยาไปแล้วคุณจะวกกับไปอยุธยาอีกรึเปล่าล่ะครับ ก็ไม่ใช่มั้ยครับ เหมือนกันครับ เรื่องของจิตเป็นเรื่องธรรมชาติ คิดแบบง่ายๆก็พอ ไม่ต้องไปทำให้มันยุ่งยากอย่างที่คนอื่นๆเค้าทำกัน คิดแบบคอมมอนเซ้นท์ แค่บวกเลขมันยังทำไม่ได้ แล้วจะไปคูณกับหารได้ยังไงกัน แบบนี้แหละครับทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวดีเอง ส่วนอาการตกใจนั้นวิธีแก้ผมเขียนตอบคุณเอื้องสายน้ำผึ้งไปแล้วครับ แต่ถ้าจะให้ได้เร็วๆก็ต้องฝึกสมาธิให้มากๆ พอกำลังจิตมีความมั่นคงมากกว่านี้แล้ว อาการตกใจก็จะหายไปเองครับ
     
  19. paislam

    paislam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +146
    การท่องคาถาที่จริงเป็นการวรวบรวมจิตที่กระจัดกระจายนั่น ให้กลับมารวมกัน จะบังเกิดความขลังขึ้น

    แต่พระที่ปฎิบัติเข้าถึงภูมิธรรมแล้ว ไม่ต้องว่าคาถาเพราะจิตสูงมีสมาธิดีแล้ว จะใช้การอธิษฐานแทนครับ และสำเร็จดีสมปราถนา

    ขอให้เรามีใจรู้สึกนอบน้อม ในการสวดมนต์ เพื่อบูชา พระรัตนตรัย จะมีประโยชน์อานิสงค์มากนะครับสวดด้วยความตั้งใจ ย่อมเกิดบุญกุศล อย่าไปสนใจว่าจะขลังหรือไม่ครับ

    -ขณะการสวดมนต์เรามีสมาธิ
    -เวลาสวดมนต์เราไม่เบียดเบียนใคร ก็มีศีล
    -เวลาที่เราสวดมนต์เราไม่อาฆาตพยาบาทใคร เป็นการเจริญเมตตา
    -เป็นสัมมาทิฐฐิ
    -เวลาสวดมนต์เรามีสติ ไม่ให้เกิดความผิดพลาด
    ฯลฯ

    มีแต่บุญทั้งนั่น
     
  20. bear17

    bear17 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +90
    อนุโมทนาครับ....
     

แชร์หน้านี้

Loading...