อยากรู้ว่าใครสามารถบังคับตนเองให้ขนลุกได้บ้างครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย rubian, 12 ธันวาคม 2008.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    อุทิศส่วนกุศลแล้วขนจะลุก
     
  2. Nud

    Nud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +555
    เห็นด้วยค่ะ เป็นเหมือนกันเลยค่ะ
     
  3. kuro122

    kuro122 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +410
    ปกติทั่วไป จิตคนเราจะกระจัดกระจาย ไม่มีพลัง(ได้มาจากหลวงพ่อจรัญฯ)

    แต่ถ้าได้นั่งสมาธิ ทำให้จิตรวมตัว ทำให้มีพลัง

    สิ่งแรกที่สังเกตุได้คือ ที่ศรีษะจะซ่า ๆ (โดนที่ไม่ได้บังคับ นั่งเล่น อ่านหนังสือ หรืออยู่เฉย ๆ มันก็ซ่า ๆ เองจากในศรีษะ)นั่นคือจิตมีพลัง

    และเมื่อสะสมมาก ๆ เราสามารถจะไล่อาการขนลุก(หรืออาการปีติ ซ่าน ๆ )ไปที่ไหนก็ได้ตามร่างกาย และถ้าจิตมีพลังมาก จะเห็นได้เลยว่า เวลาเราไล่ไปตามร่างกาย มันจะขนลุกเป็นตุ่ม ๆ ขึ้นมาเลย

    ใช้รักษาโรคภัยได้ เป็นเกราะคุ้มครองป้องกันตัวก็ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า จิตคุณมีพลังแค่ไหน

    (เรื่องการรักษาโรค และคุ้มครองป้องกันตัว ได้มาจากคุณโอมค่ะ) :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2008
  4. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,210
    ค่าพลัง:
    +23,196
    ขนลุกแล้วแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ถ้าฝึกสมาธิบ่อยๆ กำหนดเพียงไม่กี่วินาที
    อาการเหล่านี้ก็เกิดขึ้นได้แล้ว หรือจะกำหนดให้มันแผ่ซ่านไปทางซ้ายที ทางขวาที หน้า-หลัง ครอบคลุมรอบตัว ก็ยังได้
    มันเป็นอาการของปิติ ระหว่างที่เกิดอาการนี้จะรู้ถึงลมหายใจที่แผ่วเบามาก
    อาการเหล่านี้เป็น สมถะกรรมฐาน เป็นการฝืนบังคับการบังคับกายบังคับใจให้อาการเหล่านี้เกิด
    เหล่านี้ควรจะพิจารณาดูจิตไปด้วย สลับดูกาย จะเห็นว่าจิตใจถูกบีบบังคับเป็นอย่างมาก
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อนุโมทนา สาธุ ค่ะ [​IMG]
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เน๊าะ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ที่จะทำขนลุก

    ยิ่งเป็นขนลุกทางกายก็ยิ่งง่าย แต่มันใช่ประเด็นไหม ที่จะฝึกขนลุก

    ที่อธิบายไปก็คือวิธีหนึ่งที่จะทำขนลุก โดยอาศัยระบบประสาท หรือ กายเนื้อ
    ที่เป็นธรรมหยาบ จะทำความรู้สึกอย่างไร หากเป็นเรื่องกายหยาบก็คือการ
    น้อมไปที่ระบบประสาท จะหายใจออกช้าๆโดยกระบังลม หรือ ลิ้นปี่ มันก็
    คือการน้อมไปที่ระบบประสาท มันเป็นกายหยาบ ของหยาบ ทำได้ก็เท่านั้น

    หากใครขนลุกด้วยจิตนี่สิถึงจะประเสริฐ เพราะธรรมที่ละเอียดและมีพลังมัน
    ต้องออกมาจากจิต และเป็นเรื่องของจิต ไม่ใช่เรื่องของกาย ดังนั้นใครรู้
    สึกว่า ขนลุกมันเกิดขึ้นเอง อันนี้แจ่มกว่าไปบังคับกายให้ขนลุก ดีไม่ดีก็เหมือน
    คุณๆหลายคนที่สาวไปหาเหตุในทางจิตได้หลายกรณี(รูปนามปริเฉท) ซึ่งจะ
    ทำให้เข้าใจจิต และเจริญปัญญาได้ถูกฐาน

    กำลังภายในที่รักษามันก็ต้องออกมาจากจิต ไม่ใช่ระบบประสาท ไปฝึกระบบ
    ประสาทมันจะได้อะไร

    หากฝึกที่จิต แล้วให้ขนมันลุก โดยที่ไม่ล้นออกมาทางกายจนขนลุกเป็นตุ่มๆ แต่
    รู้ว่าจิตมันทำอาการขนลุกอยู่ นี่สิอินทรีย์สังวรณ์ที่ประเสริฐ ขนมันลุกอยู่ที่จิต เกิด
    ปิติธรรมจำนวนมากที่จิต หากปล่อยล้นมาทางกายนั่นมันเนิ่นช้าและหลงสังขารไป
    แล้ว

    จะฝึกขนลุกเพื่อเห็นธรรม เพื่อให้มีพลัง ก็ให้มันลุกในจิต

    ขนมันลุกในจิต มันจะเห็นองค์ธรรมที่ละเอียด และจะรู้เหตุของการขนลุก

    หากขนลุกเอาแต่ขนจริงๆลุก มันก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรที่ละเอียด แถมไม่ได้ทำ
    สติปัฏฐานและก็ไม่ได้สมถะด้วย เพราะมันเปียกๆโผฐัพพะราคะ หากระงับความยินดี
    หยาบๆที่กายเนื้อมันแสดงอาการขนลุกได้ ขนมันลุกอยู่ในจิต แบบนี้ถึงจะได้
    ปัญญา ถือว่าเดินบนทางธรรม

    หากเดินอยู่นอกทางของการเจริญปัญญา ก็ไม่รู้ว่ากำลังเก็บเกี่ยวบารมีอะไรอยู่
    มันก็มั่วไป สำคัญผิดไปว่ากำลังอยู่ในส่วนพุทธภูมิ
     
  7. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    บังคับไม่ได้แล้วไม่รู้จะบังคับทำไมอ่ะครับ แต่ก็มีขนลุกบ้างตอนทำสมาธินะ
     
  8. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    อาการขนลุกที่ จขกท. ค้นพบ ถ้าจะหมายถึงปราณ (พลังชีวิต)
    ก็เป็นอาการเบื้องต้นมากๆ ที่เกิดขึ้นสำหรับการฝึกปราณ

    การฝึกของบางคนเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่หลายคนก็หลายปี หรือชั่วชีวิต ทั้งยังนำไปใช้ไม่ถูก คนที่ฝึกถูกยังสามารถนำไปช่วยผู้อื่นได้

    อาการซ่านของปราณที่วิ่งไปตามลมหายใจ จะไม่ได้ถูกบีบบังคับอะไร แต่เป็นไปอย่างธรรมชาติ และสามารถนำมาใช้ประโยชนได้อย่างมากมาย ไม่ต้องมาขนลุกขนเลิ้กอะไรแบบเบื้องต้น แต่เป็นหนึ่งเดียวกับลมหายใจได้ทันที และสามารถขับเคลื่อนได้ในตัว แม้ไม่ใช้ลมหายใจ (แค่ใช้ใจกำหนดลมภายใน) คุณจะรู้ว่าร่างกายนั้นมีจุดที่ลมเคลื่อนออกทางรูขุมขนมากมาย คนที่อยู่ในฌานที่ว่าไม่หายใจนั้น เพราะหายใจได้ตลอดทั้งตัว เป็นความละเอียดสงบปราณีต ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อจิตละเอียด (แน่นอนมันต้องไปเกี่ยวเนื่องกับสมาธิอย่างขาดกันไม่ได้ เหตุนี้เอง ที่ว่าคนคลาดจากฌานเสื่อมฌานอย่างง่ายดาย หากจิตเต็มไปด้วยกิเลส มันจะเข้าสู่สมาธิอีกทางทันที)

    ปราณนั้น บางคนมีอยู่แล้วก็ไม่รู้ตัว ถ้าเป็นคนฝึกสมาธิก็อาจจะมีอยู่ (ไม่ต้องไปนั่งฝึกอะไรมากหรอก คนออกกำลังกายบ่อยๆ ก็สามารถสังเกตได้ ถ้าการออกกำลังนั้นทำให้ได้สติสมาธิไปด้วย เช่น การเดินด้วยสติ หรือโยคะ หรือไทเก็ก ฯลฯ) ปราณจะเห็นได้ชัดในการขับเคลื่อนของลมหายใจ แต่ก็ไม่ง่ายนักสำหรับการฝึกขั้นสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ

    ถ้าสนใจ ให้หาศึกษาเอา อย่ามาเสียเวลาพูดคุยถกเถียง ข้อมูลในเน็ตมีมากมายมหาศาล หาหลายๆ ที่

    ที่สำคัญ ฝึกสติไปด้วย ปราณเริ่มต้นฝึกง่ายๆ คือสติสมาธิ อยู่กับลมหายใจ

    ;aa13
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2008
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    บางคน เขาหลงอาการปิติทางกายเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นพลัง เป็นของเที่ยง

    จะพบว่า คนที่ปฏิบัติไปทางนี้ หรือยินดีไปทางนี้ จะติด จะข้อง มักจะทำสมาธิ
    เพื่อรอดูส่วนนี้ บางคนก็รอดูเพื่อให้มันหาย มันเลยติดตรงนี้ไม่รำงับ เลยเจริญ
    ปัญญาต่อไม่ได้

    ซ้ำร้าย มักคิดว่า ตรงนี้คือปัญญาที่เที่ยง ที่ดี เป็นบารมี เลยคิดทำสมาธิเพื่อเอา
    ตรงนี้ก็มี

    จริงๆก็แค่สังขารธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ต่างจากสังขารธรรมอื่นๆ ที่เกิดจากอวิชชาทั้ง
    นั้น

    แล้วถ้าก้าวไปเป็นสภาวะธรรมที่เรียกว่ามี วิชชา ได้แท้ๆ ไม่โดนหลอกว่าเป็นวิชชา
    ทำวิชชา ทำโรงงานวิชชาอยู่ กะจะค้นคว้าวิชชาใหม่อยู่ ก็จะมาเจริญปัญญาได้
    ถูกทางอันเป็นบารมีแท้จริงของพุทธะซึ่งมีแต่เรื่องสติปัฏฐาน4 เท่านั้น ไม่ใช่วิชชา
    ใหม่หายไป 2500 ปี คือ วิชชาทำขนลุกเพื่อเสริมพลังปราณรักษาโรคที่คนเราต้อง
    ตายใน1กัป(ช่วงอายุของมนุษย์)อยู่ดี .........

    ทำวิชชาอันก่อมาจากการเจริญสติในแนวสติปัฏฐาน4 ไว้ให้สำเร็จ หรือพอเห็นทาง
    ได้บ้าง แค่นี้ก็ช่วยชีวิตคนออกจากกองสังสารวัฏฏได้ ไม่ใช่แค่รักษาให้มีชีวิตต่อ
    ได้อีก 2 3 ปี แล้วรอแก่ตายก็ยินดีกระดี้กระด้าหาว่าเลิศ วิชชาที่นำพาคนออกจาก
    สังสารวัฏฏได้ถึงจะถือว่ารักษาโรคจริง นอกนั้นคือพาไปติดเชื้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2008
  10. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    วิชชา หมายถึงความรู้
    การนำความรู้ มาถ่ายทอดให้เป็นความไม่รู้ หรือเป็นไปตามที่ตนคิดด้วยความคับแคบ
    ก็อาจทำให้วิชชา กลายเป็นของที่ถ่ายทอดไม่ถูก

    ดังนั้น ก็ควรให้คนรู้จริง เขาพูดในสิ่งที่รู้จริง

    การไม่ขวนขวายหาวิชชา ทั้งยังปิดกั้นผู้อื่น
    ย่อมไม่ช่วยให้ตนหรือใครรู้ในสิ่งที่มีอยู่

    การไปตีความว่าวิชชา คือ สิ่งตรงข้ามอวิชชาในปฏิจจฯ คือความไม่รู้ในอริยสัจสี่เสียทั้งหมด ย่อมกลายเป็นหนูติดในกรอบของโลกปรมัถต์

    ผู้รู้ ย่อมไม่ปฏิเสธสมมุติ
    ยิ่งหากหวังพุทธภูมิ นับว่ามีเรื่องต้องศึกษาอีกมาก คนทั้งโลกไม่เหมือนกัน

    ;aa13
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2008
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พอดีว่า มีสิ่งที่เรียนรู้แล้วทำได้ เป็นเหตุให้เกิดอัตตา กูเก่ง กูเหนือ ผู้อื่น ตามมา

    ก็เลยอยากเสนอให้เรียนรู้ไปด้วย พร้อมกับพัฒนาจิตใจ ให้เกิดปัญญา รู้ทันอัตตา ตนเอง

    เพราะ จิตที่มีพลังฌาณ สมาธิสูง แต่ขาดปัญญา มัน แสบมาก

    แล้วผู้คน ส่วนใหญ่ ก็หลงในอิทธฤทธิ์ ในคุณวิเศษของพลังฌาณ สมาธิ

    จนหลงลืมความจริง ไปหายาแก้ปวด มากกว่า จะหาทางให้รักษาให้หายจริง

    ก็เสียเวลาของคนที่ได้เกิดมาเจอคำสอนที่ช่วยให้พ้นจากทุกข์ ไปหาทุกข์เพื่อแก้ทุกข์

    คนที่เดินผิดทาง ก็จะได้รู้ตัว คนที่เดินถูกทาง ก็จะได้รู้ตัว

    ว่าที่ทำไปเพราะกิเลสตัณหา หรือ เพราะต้องการหาธรรมเพื่อ พ้นทุกข์

    วิชชาความรู้ในโลกนี้มีมากมาย แต่วิชชาที่ช่วยให้พ้นทุกข์แท้จริง ก็มีในยุคนี้

    ก็ควรได้รู้ เพื่อประโยชน์ของตนได้คุ้มค่าที่ได้เกิดมาเป็นชาวพุทธ
     
  12. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    พวกไม่แสบ รู้มากขึ้นล้วนแต่เป็นประโยชน์กับผู้อื่น
    พวกแสบ รู้หรือไม่รู้อะไรก็แสบ

    การจะพูดเรื่องอะไร ขอให้มีความรู้จริงในเรื่องนั้นเสียก่อน
    เพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่น

    ไม่ใช่เขาพูดอะไร ก็เข้าไปว่านั่นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ไปเสียหมด
    ระวังกรรมจะตามทัน พอทุกข์ขึ้นมา ก็จะมีแต่คนอ้างปรมัตถ์ให้ฟัง
    เพราะเห็นมาเยอะแล้วพวกเก่งทางพ้นทุกข์นี่มีมาก
    สัญญาจำได้หมายรู้ กับทำได้จริง คนละเรื่องนะ

    การมาพูดแต่ทางพ้นทุกข์มีอยู่ ขอให้ทำได้เช่นนั้นก่อนก็จะดีมาก
    ไม่ใช่มัวแต่พูดให้คนอื่น จนไม่สังเกตว่าเขาต้องการความช่วยเหลือสิ่งใดก่อน

    เพราะคนทุกข์ จะเห็นทางพ้นทุกข์ ย่อมต้องมีสติก่อน
    คนหิวข้าว ให้ข้าวเขากินก่อน แล้วค่อยพูด
    ไปพูดเลย เขาอาจไม่มีสติพอจะฟัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2008
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แต่รู้อย่างนึง ห้องลึกลับ มีคนแสบๆ เยอะ

    เรา ก็แสบ เหมือนกัน เพราะ ไปเหยียบเท้าคนอื่น แล้วไม่ค่อยจะรู้ตัว [​IMG]
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เพราะ สังคมอ่อนแอ คนส่วนใหญ่จึงขาดสติ

    การเคยชิน อยู่กับสิ่งไหน ก็จะวิ่งหาแต่สิ่งนั้น

    การให้คนอื่น ถ้าเป็นไปเพื่อให้เกิดสติ ย่อมมีผลดี ทั้งคนให้และคนรับ

    แต่การทำไปเพราะไม่รู้ เพื่อโลกธรรม เพื่อสนองความอยาก ของตน

    ทำให้ผู้อื่นขาดปัญญา สิ่งนั้นก็ย้อนกลับมาสู่ตน หลงอยู่ในวังวน หาทางออกไม่เจอ

    อยู่กับความเคยชินต่อไป
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้าอ่านดีๆ ก็จะเห็นว่า มีการสอนการขนลุกไว้ด้วย ไม่ได้ปฏิเสธ

    แต่ขนลุกอย่างไรให้ได้ปัญญา ก็สอนแทรกเข้าไปด้วย ก็เรียกว่า
    ชอบใจจุดไหน ก็เลือกตรงนั้น อยากได้ยาดีแบบไหน ก็สดับใน
    ส่วนนั้น

    ไม่ได้ปฏิเสธเอาแต่ปรมัตถ์ เพราะสอนทั้งสองส่วน

    แต่ก็ต้องชี้แนวโน้มไว้ด้วย สำหรับคนที่ล่องหลมาอ่าน แต่ไม่ได้โพส

    ซึ่งก็แค่ทักๆ เอาไว้ เพราะเห็นความปราถนาในโพธิญาณของเขา
    กลายเป็นการปรารพจะมีชีวิตเป็นอนัตตชาติไปแล้ว ก็เลยทักดู พอ
    โดนทักก็ออกอาการโดนทิ่มแทงด้วยธรรม มันก็พาลสงสัย
    ก็ยิ่งทัก หากเขารำงับเงียบ มันก็ผ่านไป ไม่เห็นจะต้องเอะอะยก
    กระทู้ขึ้นฟ้องต่อโลกแสวงความชอบธรรมแต่อย่างใด

    สำหรับ จขกท เขาพอใจตรงไหนก็เก็บเกี่ยวไป ลองทำดู เห็นหรือไม่เห็น
    ขนลุกทำได้ง่ายๆ ทั้งทางระบบประสาท และ การนมสิการสังขารธรรม(จิต
    ที่จดจำได้)

    ส่วนเห็นแล้วเอาไปพัฒนาอย่างไร ก็ต้องชี้อีกว่า มันจริงได้แค่ไหน มันแค่
    ช่วงชีวิตคนหนึ่งเพียงชั่วคราวใช่ไหม

    การชี้เรื่อยๆแบบนี้ เป็นหนทางของการคลายกำหนัดหรือเปล่า แล้วมันไม่
    ควรชี้ไว้หรอกหรือ

    ......ซึ่งก็แค่ ชี้เอาไว้เพื่อประโยชน์ในอนาคตไปเรื่อยๆ....

    มีใครที่ไหนสอนธรรมผ่านกระทู้แล้วกะให้เห็นกันบัดเดี่ยวนี้หรือ
    ไม่มีหรอก อย่าร้อนไปเลย

    ทำเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น

    เจอเมื่อไหร่ นมสิการได้ก็เมื่อนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2008
  16. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697


    นิวรณ์ กลับไปอ่านที่ตนโพสต์แต่แรก และต่อๆ มา ก่อนดิฉันจะโพสต์ดีไหม
    จะได้ไม่ผลัดขน

    ดิฉันอธิบายเรื่องอาการเบื้องต้นของปราณไปแล้วว่าเกี่ยวกับขนลุกได้อย่างไร

    ยังไงเสีย ก็ขอให้เจริญในธรรมต่อไป
    จะเล่นอะไรแรง ก็คิดถึงใจเขาใจเรา เมตตาก็จะมาเอง
    เล่นคุณแรงหน่อย คงไม่ว่ากัน

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2008
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็ลองไปอ่านสิ วิธีทำขนลุกที่ผมบอก โดยใช้ระบบประสาท
    ทำได้หรือไม่ได้

    ถ้าได้ ผมก็ต้องสำทับว่า ฝึกขนลุกแบบนี้ไม่ถูก จะไปเป็นสัตว์
    ซึ่งมันผิดไหมหละ ฝึกอาจิณกรรมเอาจิตเกาะระบบประสาท

    ก็สอนวิธีทำ และระบุไว้ว่า อย่าฝึกแบบนี้เป็นสรณะ

    แล้วไงต่อ

    ก็ชี้บอกว่า ฝึกก็ได้ สำคัญให้ยกดูจิต รู้ลงไปที่จิต ก็มีเพื่อนๆ
    เขามาโพสว่า มันเป็นเรื่องของจิต นี่มันก็รู้ลงเป็นธรรมขึ้น

    จริงหรือไม่จริงหละ พอยกดูว่ามันมีจิต มันก็จะมี นาม กับ รูป
    เข้ามาเกี่ยวทั้งสองส่วน ไม่เทไปข้างใดข้างหนึ่ง นี่ก็คือยกมา
    ให้เข้าทางธรรมของพุทธได้ ด้วยการฝึกขนลุก ทางที่เขาชอบ

    ให้ยาทีเขาชอบ แล้วสอดแทรกธรรมะที่ใช่ มันผิดตรงไหนเหรอ

    * * *

    ส่วนเรื่องคนล่องหล ก็ไม่ใช่เธอ แต่เป็นคนที่ชอบ OO ก็ถ้า
    เขาฝึกถูกอยู่ ก็ไม่เห็นจะต้องมีปัญหาอะไร
     
  18. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ทำขนลุก แล้วจะไปเป็นสัตว์ทำไม ??
    อาจิณกรรมหนักขนาดนั้นเชียว ?

    โดยประสาทส่วนนึงบังคับโดยจิตไม่ได้ และมีทั้งได้
    คุณไปทึกทัก ว่าเขาชอบอย่างนั้นถูกไม่ถูกไม่ได้

    ศาสตร์เรื่องร่างกาย การรักษาโรค และการฝึกจิต นั้นยากแก่การเรียนรู้อยู่แล้ว
    ไม่ใช่ว่าจะดำรงอยู่ได้ง่ายๆ

    เอาว่าเตือนเท่านี้
    ก็อย่างคุณบอก คนอ่านเลือกเอาที่ประโยชน์ไปใช้ก็แล้วกัน

    ฝึกอานาปาฯนี่ดีนะ ปราณก็มี สติก็เรียกได้ง่ายๆ ไม่ยากเย็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2008
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็ชี้ให้ดูให้ครบ

    ลองทำดูละกัน แล้วจะเห็นว่า ผมไม่ได้จำเอามาตอบ

    ผมก็ลองปฏิบัติดูแล้ว ถึงได้เอามากล่าว

    ฝึกเกร็งไว้ที่กล้ามเนื้อซี่โครง หรือ ลิ้นปี่ แล้วแต่คนจะรู้สึกจับตรงไหน
    ทำค้างไว้ ช้าๆ ถ้าไม่ตัวสั่น ก็จะขนลุก แล้วลึกไปกว่านั้น ก็จะเห็นลมปราณ
    ตีขึ้นมาที่ศรีษะ ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรเลย

    เขารู้สึกตรงไหนได้ สติมันไว เห็นส่วนไหนได้ ก็เห็นส่วนนั้น

    แต่ถ้าทำอยู่แค่นี้ ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ปัญญา อะไรที่ทำแล้ว
    ไม่ได้ปัญญา มันเป็นสุคติหรือเปล่าหละ

    ดังนั้น เราก็ยกให้ดูปัญญา ให้เห็นเจตสิกที่มันปรุงก่อนหน้าอาการ
    ขนลุก มันมีอยู่ ก่อนที่จะมีอะไรแผ่ซ่าน ไม่ว่าจะเป็นตัวสั่น หรือ
    ขนลุก หรือ ลมปราณ มันมีอยู่ ถ้ายกดูเห็นก็เห็น ก็เอามาตรงนี้
    มาภาวนา มันคืออาการไหลของจิตไปตามอยานตนะ เต้าเจี้ยวก็
    น่าจะดูออกไม่ใช่เหรอ

    ตกลงผมยกธรรม จากการฝึกขนลุกผิดหรือไม่ผิด

    แน่นอนหละ ธรรมะนั้นมันมีทางสอน แต่ก็ล้วนอยู่บนทางของการ

    ชี้ทุกข์

    และ

    ชี้สุข

    ชี้ทุกข์ ก็ต้องชี้ให้เห็น ให้น้อมใจเชื่อ เพราะมันยากที่จะเห็น ส่วนใหญ่คิดว่าดี

    ชี้สุข ก็ต้องชี้ให้เห็นตรงจุด ไม่ใช่ชี้เอาวิเศษ เอาดี นั่นมันก็ทุกข์ จริงหรือไม่จริง
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    วัดเส้าหลินที่ฝึกลมปราณ ก็คือกัน หายใจออกจนหมดท้อง ท้องต้องยุบ

    ท้องต้องยุบคืออะไร ก็คือ เกร็งกล้ามเนื้อซี่โครง หรือ ลิ้นปี่เอาไว้นั้นแหละ
    แล้วมันก็เห็นลมปราณ

    ลองทำดู ไม่ได้ยากเย็นอะไร ไม่ต้องปล่อยลมหมดก็ได้ แต่เกร็งซี่โครงก็ได้
    หมด เราเห็นแบบนี้ น้อมทำ แล้วเอาสติระลึกรู้ ดูอาการไปแบบนี้ เห็นแบบนี้
    ก็กล่าวแบบนี้

    ดังนั้น ปัญญาอยู่ที่การเจริญสติให้ไว จะได้ดูได้ละเอียดในทุกๆเรื่อง ทุกๆปัจจัย

    ไม่ได้ไปนั่งติดฝึกลมปราณอย่างเดียว มันจะมีประโยชน์อะไร ฝึกสติสิ ฝึกไป
    ด้วย มันก็เห็นธรรมที่ใช่ได้ เพราะมันคือสติปัฏฐาน

    ปัญญาจึงมาแต่สติปัฏฐานเท่านั้น อื่นๆก็แค่เรื่องเรื่อยเปื่อย

    ของดีมันอยู่ตรงนี้ บารมีโพธิญาณจะสาวก หรือ สัพพัญญูก็อยู่จุดนี้
    อยู่ตรงที่มีสติปัฏฐานหรือเปล่า ใช่เรื่องเอาแต่จมกองสังขารไม่ได้ยก
    ขึ้นดู
     

แชร์หน้านี้

Loading...