พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ลืมบอกไปครับ วางไม้ครูไว้บนมือด้วยครับ หุ หุ
     
  2. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    สวัสดีปีใหม่ครับทุกๆคน (วันนี้ขอpostเป็นคนแรก ปี 2552)
     
  3. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    ช่วงหลังปีใหม่นี้จะไปทำบุญที่วัดครับ (ค้นหาตัวเอง สัก 2-3 วันครับ)
    .....โมทนาสาธุครับ.....
     
  4. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    อ้าว...คิดว่าคิดไปเองคนเดียว ร้อนมือเหมือนกันครับ และดีใจมากที่ได้เข้าสมาธิเต็มๆ 1 ชั่วโมง
    พอออกจากสมาธิ 2 นาที โดนตามไปใส่ท่อช่วยหายใจคนไข้ชักมาทันควัน ยังแอบรู้สึกโชคดีว่า ประจวบเหมาะจริงๆ
     
  5. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    post แรกของปี 52 นาทีที่ 52 แหม...เยี่ยมครับ
     
  6. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    โมทนาด้วยครับ
     
  7. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ผมมาสรุปความดีที่ได้ทำทุกวันให้คณะกรรมการได้อ่านกันได้สะดวกอีกครั้งครับ

    1. ตั้งจิตมั่นพยายามรักษาตนให้อยู่ใน ศีล 5 เพื่อมุ่งหวังให้ตนเป็นคนดี และมีศีลธรรมเพื่อเป็นฐานในการสร้างสมาธิ
    เพื่อมุ่งสู่การภาวนาให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง มิใช่เพียงสัญญาทางโลก
    ซึ่งหากวันใดที่ศีลพร่องบ้าง ด่างบ้าง ทะลุบ้าง ก็จะนำมาทบทวนเพื่อพยายามรักษาให้บริสุทธิ์ให้ได้ต่อไป

    2. นั่งสมาธิ ทุกวัน โดยวันที่ไม่ได้อยู่เวรก็จะนั่งได้เต็มที่หน่อย ส่วนวันอยู่เวรก็เอาตามสมควร ถ้าไม่โดนตามก็มักจะได้นั่งนาน เพียงแต่บางครั้งจิตก็อดกังวลไม่ได้
    แต่อย่างน้อยก็จะได้ตามดูลมหายใจ (เล่นลม) อยู่เสมอทุกวันมิได้ขาด เพราะบางครั้งขณะเดิน นั่ง กิน อาบน้ำ ก็จะทำประกอบไปด้วย
    อย่างช่วงแรกๆของโครงการธนาคารความดีนี้ ยังเป็นช่วงที่ตามอ่านกระทู้ย้อนหลังอยู่ก็จะเล่นลมควบคู่ไปกับการอ่านกระทู้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเปล่า
    ซึ่งปัจจุบัน ก็เป็นที่น่าดีใจ เพราะแต่ก่อนด้วยความที่ไม่ค่อยได้นอนพักจึงมีปัญหาเวลานั่งสมาธินานๆ มักจะหลับ แต่ก็พยายามฝืนพอรู้ตัวว่าหลับ ก็ตั้งสติใหม่
    นั่งต่อไม่ยอมนอน ทำอย่างนี้จนเห็นสมควรว่าต้องพักผ่อนเพราะถ้านอนน้อยกว่านี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจในการรักษาคนไข้ในวันรุ่งขึ้น
    ก็พยายามทำอย่างนี้มาประมาณ 1 เดือน ปัจจุบันรู้สึกว่าตนเองยามที่เข้าสมาธิแล้วจิตตื่นดีมาก ถึงแม้ร่างกายจะเพลีย แต่เมื่อเข้าสมาธิก็ไม่มีอาการง่วงหลับ สามารถนั่งเป็นชั่วโมงได้โดยไม่หลับ
    แต่เมื่อออกจากสมาธิก็จะเกิดอาการล้าบ้างแต่ก็หลับตื่นมาไม่เพลียอะไรมากมาย
    ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อไม่ให้สิ่งที่พี่ใหญ่ท่านเมตตาต้องเสียไปเปล่า จึงต้องพยายามเพื่อทดแทนในความเมตตาจากท่านด้วย

    3. สวดมนต์เป็นประจำ โดยบทสวดที่ใช้ก็เป็นบทที่เคยได้กล่าวไว้ แต่ช่วงที่ผ่านมาได้สวดบทที่อยู่ในหนังสือของอาจารย์ปู่ประถม เพิ่มอีกบทครับ

    4. การเจริญพรหมวิหาร 4 เวลาทำงาน ก็พบว่าการพยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงตัวไว้นั้น
    ทำให้เรามีความสุข คนไข้ก็มีความสุข ผู้ร่วมงานก็มีความสุข ยามนั่งสมาธิ ก็รู้สึกว่าเข้าสมาธิได้เร็วดี แม้บรรยากาศจะดูวุ่นวาย (เวลาคนไข้ว่างๆผมก็จะนั่งสมาธิรอระหว่างตรวจ บางครั้งก็ได้เกือบครึ่งชั่วโมง ถ้าช่วงแรกๆของโครงการผมจะอ่านกระทู้รอ แต่ตอนนี้ไม่มีให้อ่านก็เลยนั่งสมาธิแทนครับ)

    5. การอนุโมทนา ในช่วงแรกนั้นก็ได้ตามอ่านกระทู้ย้อนหลังและได้อนุโมทนาในบุญที่ทุกๆท่านได้ร่วมสร้างกันมา
    ส่วนปัจจุบันก็เป็นการโมทนาในบุญปัจจุบัน แต่ได้ร่วมทำบุญด้วย และ นอกจากโมทนาแล้วก็ได้นำมาย้อนคิดว่าตนจะสามารถนำมาเป็นแนวทางให้ได้ทำบุญในวิถีทางที่ตนเองพอจะทำได้อย่างไรบ้าง

    6. การเคารพต่อผู้รู้ และ ผู้ใหญ่ อีกทั้งมีความกตัญญู ซึ่งสิ่งนี้แต่เดิมเป็นพื้นฐานความรู้สึกของผม
    เพราะถูกอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งสถาบันก็เข้มข้นในเรื่องของ seniority ซึ่งถึงจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียวก็ก็คล้ายคลึงอยู่บ้าง
    และตัวผมเองก็รู้สึกชอบในระบบนี้เพียงแต่ยังมีเหตุผลอยู่บ้าง
    ผมกับแฟนมีความเห็นตรงกันในเรื่องความเคารพผู้ใหญ่ และกตัญญู สิ่งนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม
    ซึ่งก็ดีใจที่ปัจจุบันได้มีโอกาสไปกราบขอพร ไปเยี่ยมผู้ใหญ่หลายๆท่านบ่อยครั้งขึ้นกว่าสมัยที่เรียนอยู่
    ที่ขาดเสียไม่ได้ก็คงเป็นคุณพ่อคุณแม่ของผมและแฟนเอง ที่ได้มีโอกาสดูแลท่านมากขึ้น ได้ชักชวนท่านทำบุญ นั่งสมาธิ พาท่านไปพักผ่อนตามสถานที่ต่างๆ
    เคยมีว่าเอารถไปเคลือบสนิม ระหว่างรอเราผมก็เลยพาท่านไปทำบุญที่วัด เมื่อเสร็จกลับมาก็พอดีเวลา เราก็เปลี่ยนการรอคอยที่น่าเบื่อไปเป็นบุญทำให้เพลินจนลืมเวลาไป

    7. เพียรในการฟังและศึกษาธรรม ทุกวันนี้รอบตัวผม ผมพยายามทำให้เต็มไปด้วยพระธรรม
    โดยหากมีเวลาก็จะค้นหาข้อมูล หรือ ไฟล์ไม่ว่าจะเป็นเสียง หนังสือ ภาพที่น่าเชื่อถือมาเก็บไว้
    ยามที่ค้นหาไม่ได้ก็นำขึ้นมาอ่าน เมื่ออยู่หน้าคอมพ์ก็มีไฟล์ให้อ่านหรือฟัง
    อยู่ที่บ้านยามไม่มีคอมพ์ก็มีหนังสือให้อ่าน มีแผ่นให้ฟัง ยามขับรถก็มี MP3 เปิดไประหว่างทาง
    เว้นตอนนอนที่ผมเข้าสมาธิ และ ภาวนาจนหลับไปก็ไม่ได้ฟังแล้ว แต่สมัยก่อนจะเปิดเป็นบทสวดมนต์ฟังจนหลับไป
    อันนี้ก็ต้องนับเป็นความโชคดีที่แฟนผมนั้นเขาสนใจฟังในแผ่นธรรมะที่ผมเปิดระหว่างขับรถ
    บางครั้งต้องหยุดเล่นแผ่นเป็นระยะ เพราะเราเกิดคำถามสงสัยกันขึ้น ก็เป็นบุญที่ได้รู้จักพี่ใหญ่และผู้รู้อีกหลายท่านที่ช่วยกันตอบข้อสงสัย
    ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะผมเองรู้สึกว่าภาระงานเยอะ เราไม่ได้บวชเรียน ไม่มีเวลาศึกษาพระธรรมได้อย่างที่ใจต้องการ
    จึงต้องจัดสรรเวลาเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการไม่ประมาท จริงๆผมเคยอ่านว่ามีพระไม่ยอมนอนจนบรรลุอรหันต์ ท่านมีความเพียรเป็นยอดยิ่ง แต่ตัวผมเองยังไม่มีความสามารถขนาดนั้น ก็ต้องปรับเปลี่ยนเท่าที่จะพยายามได้

    8. ทุกวันนี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมดีใจนั่นคือการนำเอาโครงการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
    เข้ามาแทรกซึมในการทำงาน มีการจัดฟังธรรมทุกสิ้นเดือนให้กับเจ้าหน้าที่
    การจัดสวดมนต์ตอนเช้าก่อนเข้าตรวจให้กับผู้ป่วยทั่วไป การสวดมนต์ อ่านหนังสือธรรมะให้กับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
    รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ท่านที่มาปรึกษาปัญหาชีวิต ซึ่งผมก็ได้แนะนำหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้าไป เขาเองก็มีชีวิตที่ดีขึ้น จากที่ต้องกินยาแก้เครียดในขนาดค่อนข้างสูง
    เดี๋ยวนี้สามารถหยุดยาได้แล้ว หันมาทำบุญแทน ก็นึกโมทนากับกุศลที่เขาสร้างมาทำให้หันหน้าเข้าหาพระธรรมได้
    รวมถึงการที่ได้มีส่วนรับผิดชอบในการอบรมนักศึกษาฝึกงานทั้งพยาบาลและแพทย์ ก็ได้นำธรรมและคติชีวิตไปถ่ายทอด
    ด้วยความมุ่งหวังให้คนเหล่านี้จบออกมารับใช้สังคมบ้าง ถึงแม้จะไม่ต้องสละตัวทั้งหมด แต่ก็ขอให้อย่าเห็นแก่ตัวเกินไป เท่านี้ก็เพียงพอ
     
  8. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    และเพื่อเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นแก่คนทั่วไป ดั่งที่คุณเพชร และ ท่านปาทานตั้งใจไว้
    จึงขอเปรียบเทียบความดีที่ทำเข้ากับเรื่อง บุญกิริยาวัตถุ และ กุศลกรรมบถ 10
    เพื่อให้เห็นว่าความดีนั้นแฝงอยู่ในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง เพียงแต่เราจะมองหาโอกาสนั้นหรือไม่
    เราจะมีความเพียรในการทำหรือไม่ ทั้งนี้การเปรียบเทียบเป็นเพียงเพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ผู้อื่น มิได้ยกยอตัวเองแต่อย่างใด
    จริงๆก็ลำบากใจในการเขียน เพราะรู้สึกว่าพี่ๆทุกท่านนั้นภูมิธรรม ความรู้ ประสบการณ์นั้นสูงกว่ามาก แต่ด้วยความอยากร่วมกิจกรรมจึงขออนุญาตนำมาลงไว้ ณ ที่นี้ครับ

    ในส่วนของบุญกิริยาวัตถุ นั้นขยายได้ 10 หัวข้อ

    1. ทานมัย ซึ่งสำหรับอาชีพผมนอกจากการร่วมทำบุญตามวาระต่างๆแล้ว บางครั้งคนไข้ไม่มีเงินกินข้าว ก็ให้การช่วยเหลือตามสมควร
    และทุกๆคนที่ลำบากมาก็ให้การรักษาเต็มที่ ทุกวันนี้ก็รู้สึกดีใจที่ได้มาประกอบอาชีพนี้ จากที่เคยรู้สึกว่าเหนื่อยก็กลับดีขึ้นเพราะคิดว่าตัวเองได้ทำบุญทุกวัน แถมความรับผิดชอบยังส่งผลให้ได้ทำเกือบ 24 ชั่วโมงเสียด้วย มองในแง่ดีก็ทำให้รู้สึกมีกำลังใจขึ้นครับ

    2. ศีลมัย พยายามในการรักษาศีล บางครั้งศีลอาจจะพร่องไปบ้าง
    ก็จะรู้ตัวเองอยู่เสมอ และ พยายามแก้ไข เพื่อรักษาศีลให้บริสุทธิ์ให้ได้ดั่งที่ตั้งใจไว้

    3. ภาวนามัย พยายามอบรมจิตใจตนเอง แม้เวลาจะน้อย แต่ก็พยายามและปรับสิ่งรอบตัวให้เป็นโอกาสในการหาความรู้ หรือ แม้เวลาสั้นๆก็ทำสมาธิได้ จะทำงานอยู่ก็เจริญพรหมวิหาร 4 ได้ ขึ้นกับช่วงเวลา และ โอกาส

    4. อปจายนมัย ดั่งที่ได้เรียนไว้แล้วว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นพื้นฐานอันดีในการดำรงอยู่ในสังคม ซึ่งรวมถึงความกตัญญูด้วยครับ ทั้ง 2 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมพยายามรักษาไว้เป็นพื้นฐานเสมอครับ

    5. เวยาวัจมัย คือการช่วยเหลือผู้อื่นซึ่งสำหรับอาชีพผมถึงแม้การรักษาจะทำเป็นประจำ
    แต่ก็พยายามทำมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลคุณภาพชีวิตของเจ้าหน้าที่
    การลงสู่ชุมชนเพื่อค้นหาปัญหาที่นำมาสู่ปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางการศึกษา อาชีพ ความเชื่อต่างๆ
    รวมไปถึงเรื่องของจิตใจของญาติเองด้วยที่เราต้องดูแลไม่แพ้ตัวผู้ป่วย บางครั้งผมเคยเห็นที่มุ่งแต่รักษาคนไข้ จนญาติเองย่ำแย่ไปก็มี ก็ต้องดูแลให้รอบครับ

    6. ปัตติทานมัย ปกติจะแผ่ส่วนกุศลไปโดยทั่วอยู่แล้ว ยิ่งได้ฟังจากพี่ใหญ่ว่าเวลาเราทำบุญ พวกเขาก็จะมารอกัน
    ก็ยิ่งอยากให้พวกเขาได้รับกัน หวังว่าจะพอช่วยเหลือเขาได้บ้าง
    โดยปัจจุบันหลังจากได้รับความรู้จากท่านปาทานและพี่ใหญ่
    ก็ทำให้ผมได้คิดว่าเรานั้นยังไม่มีความสามารถเพียงพอ หากต้องการแผ่ส่วนบุญนั้นต้องอาศัยบารมีของพระแม่คงคา หรือ พระโพธิสัตย์ผู้มีบารมีมากกว่า ก็จะอาศัยการกรวดน้ำ หรือ อธิษฐานขอพึ่งบารมีครับ

    7. ปัตตานุโมทนามัย การอนุโมทนานั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นการโมทนาบุญที่ได้พบเห็นในเวปพลังจิต ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึก ความคิดอย่างยิ่งเมื่อผมนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการเพียรทำความดีต่างๆ และนำมาเป็นแนวทางเพื่อปรับให้เหมาะสมกับตนเองในแต่ละเรื่องครับ

    8. ธัมมัสสวนมัย การฟังธรรมนั้นก็เหมือนในส่วนที่ได้เรียนไว้ว่าจะพยายามหาเวลาให้ได้ฟังอยู่เสมอครับ สมัยนี้โชคดีไม่อย่างนั้นอาชีพผมคงลำบาก เพราะว่างดึกๆดื่นๆถ้าไม่มีอัดเสียงไว้ ผมคงไม่กล้าไปรบกวนพระท่านดึกๆ

    9. ธัมมเทสนามัย ด้วยความที่รู้ว่าตนเองยังไม่ดีพอ จึงไม่กล้าจะแสดงธรรมมากมายอย่างใด
    ส่วนใหญ่มักจะเป็นการเล่าประสบการส่วนตัว ความรู้สึกของตนเองที่รู้สึกดีขึ้นอย่างไรเมื่อหันมาปฏิบัติธรรม
    และก็แนะนำหนังสือ ครูบาอาจารย์(ที่ได้รู้จากผู้รู้ว่าดี)มากกว่าจะเป็นการสอนหลักธรรมโดยตรง
    ที่เกี่ยวกับตัวจริงๆก็คงเป็นความพยายามผลักดันให้มีโครงการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาต่างๆเข้ามาในเนื้องานมากขึ้นครับ

    10. ทิฏฐุชุกรรม ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญและเป็นสิ่งที่ระมัดระวังอยู่เสมอ ซึ่งต้องยอมรับว่าโชคดีที่ได้พี่ใหญ่คอยชี้แนะ
    ผมเองก็พยายามทำตามคำแนะนำเพื่อไม่ให้ตนเองนั้นหลงทางครับ

    ส่วนของกุศลกรรมบถนั้น
    ในส่วนของกายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรมนั้น เข้าได้กับหลักของศีลมัย แต่จะเพิ่มเติมในส่วนของสัมมาทิฏฐิครับ

    ท้ายสุดนี้ขอโมทนากับโครงการธนาคารความดีที่พี่ๆได้ร่วมกันทำขึ้น
    ผมในฐานะผู้เข้าร่วมโครงการขอให้สัจจะว่าจะเพียรรักษาความดีที่ทำนี้ไปตลอด แม้จะผ่านพ้นโครงการนี้ไปแล้วก็ตาม
    อีกทั้งจะพยายามทำให้ยิ่งๆขึ้นไปตามแต่ความรู้และภูมิธรรมที่เพิ่มพูนขึ้นในอนาคตข้างหน้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2009
  9. wood6208

    wood6208 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +67
    เนื่องในวโรกาสขึ้นปีใหม่ 2552 ขออวยพรให้คุณ สิทธิพงษ์ฯ และครอบครัว พร้อมทั้งสมาชิกชมรมฯ ทุกท่าน มีแต่ความสุขความเจริญในทุกๆ ด้านและมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงครับ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ผมร้อนมือข้างขวา แต่ข้างซ้ายรู้สึกค่อนข้างเย็น ผมไม่ได้วางอะไรบนมือเลย เพียงแต่ขอพระบารมีเท่านั้นครับ

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    โมทนาด้วยนะครับ
    ผมเองหาตัวตนของตัวเองเจอแล้วครับ

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  13. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    [​IMG][​IMG]


    สวัสดีปีใหม่ชาววังหน้า ขอบุญพาหนุนส่งให้สุขสันต์
    ปีชวดพ้นผ่านแล้วให้แล้วกัน ฉลูนั้นขอให้ได้ดั่งใจปอง

    คิดสิ่งใดให้สมดั่งปราถนา เพราะทำมาบุญพาให้สมประสงค์
    มีปัญญาก้าวไกลใจมั่นคง มรรคผลส่งมุ่งไปให้ถึงนิพพาน

    ขอบพระคุณสำหรับความเมตตาจากพี่ทุกๆท่านตลอดปี 2551 ที่ผ่านมาครับ
     
  14. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ปีนี้นำพลุมาให้ดูกัน 3 ปีที่ผ่านมาอยู่เวรตลอด ก็ดุพลุ ดูบรรยากาศการเฉลิมฉลองทางทีวี
    ปีนี้ไม่ได้ดู หันมาดูใจตัวเอง เป็นโอกาสที่พิเศษจริงๆครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ดีครับ

    พี่เองไม่ได้ดูใครอื่นเลย ดูใจตัวเองครับ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ตรวจสุขภาพประจำปี มอบของขวัญชีวีรับ “ปีใหม่”
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153274
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 มกราคม 2552 06:54 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> เคยเป็นกันไหม เมื่อมีคนมาแนะนำให้ไปตรวจสุขภาพประจำปี หรือเมื่อพบเห็นแผ่นพับแนะนำโปรแกรมตรวจร่างกายของโรงพยาบาลต่างๆ แล้วเกิดคำถามตามมาว่า การเข้าไปเช็คสุขภาพในโรงพยาบาลนั้นจำเป็นจริงหรือ และดีจริงตามคำโฆษณาเหล่านั้นหรือไม่ หรือแค่เป็นการชักชวนให้เสียสตางค์ของโรงพยาบาลเท่านั้น

    สำหรับคนที่กำลังเตรียมเนื้อเตรียมตัวไปตรวจสุขภาพ หรือพาคนที่คุณรักไปตรวจในช่วงปีใหม่ วันนี้...มีทั้งคำตอบ และคำแนะนำมาฝากกัน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ** เช็กสุขภาพประจำปี ดีจริงหรือ
    รศ.พญ.สมจิต พฤกษะริตานนท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า การตรวจสุขภาพทั่วไป เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ฯลฯ และใช้ผลตัวเลขวัดและตัดสินว่าสุขภาพดีหรือไม่ เมื่อตัวเลขแสดงผลออกมาเห็นค่าว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่า การตรวจสุขภาพกี่ปีๆ ก็ไม่ต่างจากเดิม และไม่จำเป็นต้องตรวจอีก กล่าวคืออาจหลงคิดว่าตัวเองแข็งแรงแล้วจากผลตัวเลขที่ปรากฏ แล้วต่อจากนั้นก็ยังใช้ชีวิตอย่างประมาท ยังคงดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และมีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจนำไปสู่โรคได้ในที่สุด

    ดังนั้น การตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อสำรวจความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายย่อมมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย อาจจะเข้าโรงพยาบาลเพื่อเช็กทุกๆ ปี หรือสองปีครั้งก็ย่อมได้ แต่การหันหลังให้โรงพยาบาลอย่างถาวรนั้นไม่เป็นการดีแน่นอน เนื่องจากการตรวจสุขภาพเป็นหนึ่งในขั้นตอนการป้องกันการเกิดโรค ซึ่งในทางการแพทย์เรียกว่า “การคัดกรองโรค”

    “เมื่อตรวจสุขภาพแล้วมีผลดีแน่ เพราะถ้าทราบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ว่าทางร่างกายหรือพฤติกรรมก็จะได้ปรับปรุงแก้ไขเสียแต่เนิ่นๆ หรือทราบว่าเป็นโรคก็จะได้รักษาไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนก่อนที่จะลุกลามร้ายแรง จนเยียวยาไม่ได้ หรือสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นจำนวนมากโดยไม่จำเป็น”

    รศ.พญ.สมจิต เปรียบเทียบข้อดีของการเช็กสภาพร่างกายประจำไว้อย่างน่าสนใจว่า รถต้องเข้าอู่ให้ช่างตรวจสภาพ เพื่อดูว่ามีอะไรสึกหรอหรือชำรุด ต้องซ่อมแซม หรือเปลี่ยนอะไหล่ ก่อนที่จะเสียหายหรือชำรุดจนใช้การไม่ได้ หรือไปเกิดอันตรายระหว่างเดินทาง ร่ายกายคนเราก็เช่นเดียวกัน ก็ควรจะเข้าโรงหมอให้แพทย์ตรวจสภาพเป็นระยะๆ ก่อนที่จะป่วยขึ้นมา ยิ่งแก่ตัวลงก็ต้องยิ่งเช็กถี่ขึ้น และเช็คมากอย่างขึ้น หรือยิ่งถ้าเป็นโรคบางอย่างอยู่แล้ว เช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือติดเชื้อเอชไอวี ก็ยิ่งต้องเช็คบ่อยขึ้นและละเอียดมากขึ้น

    ทั้งนี้ เพื่อยืนยันและค้นหาว่าแต่ละคนมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคด้านใดบ้าง ทั้งด้านร่างกายและพฤติกรรม ตลอดจนสาขาการทำงานเพื่อจะนำไปสู่การรักษาที่ทันท่วงที

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ** เตรียมตัวอย่างไรก่อนไปโรงหมอ
    รศ.พ.อ.นพ.วิเชียร มงคลศรีตระกูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า แนะนำว่า ก่อนเดินเข้าไปหาหมอเพื่อเช็คสุขภาพประจำปีนั้นต้องมีการเตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อมสำหรับผลที่จะออกมาไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม ต้องเข้าใจพื้นฐานว่าตรวจสุขภาพว่าต้องทำอะไรบ้าง อาทิ หากจะต้องตรวจเลือดต้องงดอาหารอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ตรวจเบาหวานปัจจุบันไม่ต้องงดอาหารก็สามารถตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือดได้เลย

    ด้าน รศ.พญ.สมจิต เสริมว่า กรณีที่คุณหมอจะตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงการโรค ซึ่งไม่สามารถตรวจหาได้ในห้องปฏิบัติการ ก็จะตรวจซักประวัติด้วยการสอบถาม เช่น พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่อาจสะสมไขมันในเลือดสูง เกิดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้นเหตุแห่งโรคตับ ตับอ่อนอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง หรือแม้กระทั่งอุบัติเหตุ ตลอดจนการไม่ออกกำลังกายทำให้อ้วนที่เป็นบ่อแห่งเบาหวาน ไขมัน และคอเลสเตอรอล เป็นต้น

    นอกจากนี้ เพื่อให้ครอบคลุม แพทย์จะซักประวัติการทำงาน และประวัติการรับวัคซีน ตลอดจนประวัติครอบครัวเพื่อคัดกรองโรคที่อาจถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวได้

    “โดยทั่วไปการตรวจสุขภาพที่คุ้นเคยเราจะพบว่า ทางโรงพยาบาลจะเน้นไปที่ตรวจร่างกาย วัดส่วนสูง ชั่งน้ำหนัก และวัดความดัน ตรวจชีพจน หรือถ้าผู้ป่วยรู้สึกผิดปกติตรงไหนก็จะตรวจร่างกายเป็นส่วนๆ ซึ่งจะตรวจเท่าที่จำเป็นนอกเหนือจากการซักประวัติ” คุณหมอเวชศาสตร์ครอบครัว อธิบาย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=330 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=330>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ** อายุนั้นสำคัญต่อการเช็คสุขภาพไฉน
    รศ.พ.อ.นพ.วิเชียร ให้การยืนยันว่า ‘อายุ’ เป็นปัจจัยที่อาจถือว่าสำคัญที่สุดในการกำหนดว่า ใครควรจะตรวจอะไรบ้าง ในคนหนุ่มสาวอายุน้อยกว่า 30 ปี โดยทั่วไปการตรวจมักจะไม่มาก มีการตรวจเม็ดเลือดทั่วไป ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด หรืออาจจะตรวจการติดเชื้อซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี หากอายุมากขึ้นระหว่าง 30-50 ปี ก็จะตรวจเพิ่มขึ้น โดยจะมีการตรวจเบาหวาน ไขมันในเลือด ตรวจการทำงานของตับและไต คลื่นหัวใจ ตรวจภายในกรณีที่เป็นเพศหญิง เป็นต้น

    ขณะที่ รศ.พญ.สมจิต ให้ข้อคิดเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า ในแต่ละช่วงวัยมีความแตกต่างของพฤติกรรมและรูปแบบการดำเนินชีวิต ทำให้ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคก็จะแตกต่างกัน ทำให้ลักษณะการตรวจหาโรคย่อมแตกต่างกันไปด้วย โดยในวัยเด็กมักจะมีอาการติดเชื้อ ควรได้รับการตรวจรับวัคซีน และพัฒนาการในวัยที่ต้องตรวจในห้องปฏิบัติการมากหน่อย คือ วัย 40 ปีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นวัยเสื่อมมีความเสี่ยงจากพฤติกรรมจากกการกินอาหาร หรือขาดการออกกำลังกายทำให้เริ่มมีไขมันในเส้นเลือด น้ำตาลในเลือด เสี่ยงต่อเบาหวาน การทำงานของตับและไต ในผู้หญิงต้องตรวจมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกต้องตรวจก่อน 65 ปี เป็นต้น

    สำหรับวัยสูงอายุ ในช่วง 60 ปีขึ้นไปที่เคลื่อนไหวช้า ความจำไม่ค่อยดี ติดเชื้อโรคจากสภาพแวดล้อมได้ง่าย หรือไม่เมื่อป่วยระยะต้นแล้วสามารถมีโรคแทรกซ้อนได้ง่าย ต้องตรวจความหนาแน่นของกระดูก อัมพาต อัมพฤกษ์ อาการสายตาพร่า ต้อกระจก มะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย การได้ยิน โดยที่มะเร็งเต้านมต้องตรวจก่อนมีอายุ 70 ปี

    ** ตรวจอย่างไรให้คุ้มค่า
    เมื่อถามถึงความคุ้มค่าของการตรวจสุขภาพว่ามีมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบแล้วดีหรือเสียมากกว่ากัน ก็ได้รับคำตอบจาก แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว รพ.รามาธิบดีว่า สำหรับในทางการแพทย์ถือว่าหากผู้เข้ารับตรวจสุขภาพมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นโรคที่พบบ่อยๆ ถือว่าคุ้มทุน โดยให้เหตุผลว่า เพราะมีวิธีการรักษาที่ทันท่วงทีได้ และอาจจะสามารถหายได้ในระยะต้นที่ตรวจพบ แต่หากเป็นโรคที่ยากต่อการรักษาหรือไม่ค่อยค้นพบเมื่อค้นเจอก็อาจจะทำให้ผู้ป่วยสูญเสียกำลังใจได้ ดังนั้นผู้ที่จะเข้ารับการตรวจสุขภาพจะต้องพร้อมด้านจิตใจด้วยส่วนหนึ่ง

    “เพราะเหตุผลที่ว่าบางคนกลัวว่าถ้ามาตรวจแล้วจะเป็นโรคร้ายแรง หรือรักษาไม่หายก็เลยคิดเองว่าไม่มาตรวจดีกว่า ซึ่งความคิดนี้ไม่ถูกต้องทีเดียวนัก อย่างน้อยหากสังเกตปัจจัยเสี่ยงได้เองก็พอจะคำนวณสุขภาพเราได้อยู่แล้ว ดังนั้นคนที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงๆ ควรจะมาตรวจสุขภาพเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของสุขภาพ”รศ.พญ.สมจิต ให้ข้อคิดเห็น

    รศ.พ.อ.นพ.วิเชียร ทิ้งทายว่า การตรวจร่างกายประจำปี เป็นเหมือนการเฝ้าระวังการเกิดโรค อาจจะต้องมีการลงทุนบ้าง แต่ในท้ายที่สุดแล้วจะคุ้มค่าในระยะยาว ทั้งสำหรับสุขภาพและเงินในกระเป๋า หากพบเมื่อโรคเป็นมากแล้ว ให้การรักษาช้า โรคแทรกซ้อนจะมีมากขึ้น ค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้น และที่สำคัญ ร่างกายของเราอาจจะไม่สามารถกลับมาเหมือนกับปกติก่อนที่จะเกิดโรคได้

    ...ดังนั้น หากปีใหม่นี้อยากจะหาของขวัญดีๆ สักชิ้นให้ตัวเองหรือคนที่รัก การเริ่มต้นตรวจสุขภาพประจำปีรับปีใหม่ก็ถือว่าไม่เลวนัก

    ** โรคที่ควรจะตรวจ
    <TABLE class=BODY cellSpacing=1 cellPadding=2 align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc>โรคที่ควรตรวจ</TD><TD bgColor=#cccccc>ประวัติที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรค</TD><TD bgColor=#cccccc>การตรวจที่แนะนำ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>มะเร็งลำไส้</TD><TD bgColor=#ffffff>มีญาติสายตรงเป็นระเร็งลำไส้หรือทวารหนัก</TD><TD bgColor=#ffffff>Stool occult blood / colonoscope</TD></TR><TR><TD bgColor=#eeeeee>เบาหวาน</TD><TD bgColor=#eeeeee>คนอ้วน ญาติสายตรงเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง</TD><TD bgColor=#eeeeee>Fasting blood sugar</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>ไขมันในเลือดสูง</TD><TD bgColor=#ffffff>คนอ้วน ความดันสูง เบาหวาน สูบบุหรี่</TD><TD bgColor=#ffffff>Cholesterol, Triglyceride, HDL-C</TD></TR><TR><TD bgColor=#eeeeee>โลหิตจางธาลัสซีเมีย</TD><TD bgColor=#eeeeee>มีญาติเป็นธาลัสซีเมีย ตรวจเลือดก่อนแต่งงาน</TD><TD bgColor=#eeeeee>Hemoglobin typing</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>มะเร็งเต้านม</TD><TD bgColor=#ffffff>มีญาติเป็นมะเร็ง แต่งงานแล้ว ผู้หญิง 35 ปีขั้นไป</TD><TD bgColor=#ffffff>คลำเต้านม ตรวจแบบเมมโมแกรม</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ** รายการแนะนำเพิ่มเติมสำหรับโปรแกรมตรวจประจำปี
    <CENTER><TABLE class=BODY cellSpacing=1 cellPadding=2 align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc>รายการ</TD><TD bgColor=#cccccc>อัตราค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย(บาท)</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>หาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี</TD><TD bgColor=#ffffff>400</TD></TR><TR><TD bgColor=#eeeeee>ตรวจการได้ยิน</TD><TD bgColor=#eeeeee>700</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ</TD><TD bgColor=#ffffff>450</TD></TR><TR><TD bgColor=#eeeeee>ตรวจมะเร็งปากมดลูก</TD><TD bgColor=#eeeeee>1,200</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>หาสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก</TD><TD bgColor=#ffffff>950</TD></TR><TR><TD bgColor=#eeeeee>ตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งลำไส้</TD><TD bgColor=#eeeeee>650</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>ตรวจเต้านมเพื่อดูมะเร็ง</TD><TD bgColor=#ffffff>3,500</TD></TR><TR><TD bgColor=#eeeeee>ตรวจหัวใจโดยการวิ่งสายพาน</TD><TD bgColor=#eeeeee>3,000</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    หมายเหตุ : ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยในแต่ระโรงพยาบาลอาจมีการเปลี่ยนแปลง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>รับมือ...“ไบโพลาร์” โรคของคนอารมณ์ 2 ขั้ว / ผศ.พญ.สุทธิพร เจณณวาสิน จิตแพทย์
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153278
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 มกราคม 2552 07:00 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> โลกเราทุกวันนี้มีแต่การแข่งขัน แก่งแย่งกันตลอดเวลา จนทำให้คนเราเกิดความเครียดได้ง่าย และนำมาซึ่งโรคต่างๆ ทางจิตเวช อย่างเช่น โรควิตกกังวล ซึมเศร้า ซึ่งพวกเราอาจพอคุ้นหูกันมาบ้างแล้ว ไม่เหมือนอย่างโรคไบโพลาร์ ซึ่งแม้จะไม่ได้เกิดจากความเครียดโดยตรง แต่ความเครียดก็เป็นปัจจัยกระตุ้น เหมือนการกินน้ำตาลมากในผู้ป่วยที่มีพันธุกรรมเบาหวาน

    ไบโพลาร์ คือ โรคที่มีความผิดปกติของอารมณ์เป็น 2 ขั้ว มีทั้งช่วงที่อารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ (mania) และบางช่วงที่อารมณ์ซึมเศร้าผิดปกติ (depressed) ฉะนั้นเดิมจึงเรียกโรคนี้ว่า manic-depressive disorder แต่บางคนมีอารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติอย่างเดียว โดยไม่มีอารมณ์ซึมเศร้าก็ได้

    โรคนี้พบได้ในประชากรทั่วไปประมาณร้อยละ 3 ซึ่งนับว่าบ่อยทีเดียว พบได้อัตราเท่ากันทั้งหญิงและชาย โดยมักเริ่มมีอาการในช่วงวัยผู้ใหญ่วัยต้น

    ไบโพลาร์เกิดได้อย่างไร
    โรคนี้เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง โดยมีสารสื่อประสาทที่ไม่สมดุล และมีปัจจัยทางพันธุกรรมเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้หรือโรคทางจิตเวชอื่น จะมีโอกาสเป็นโรคมากกว่าคนทั่วไป ส่วนสิ่งแวดล้อม เช่น การเลี้ยงดูในวัยเด็ก หรือความเครียดมักเป็นเพียงปัจจัยเสริม

    และถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา อาการต่างๆ อาจจะดีขึ้นเองได้ในบางคน แต่ต้องใช้เวลานาน และกว่าอาการจะดีขึ้น ก็ส่งผลกระทบมากมายทั้งต่อตัวผู้ป่วยและคนรอบข้าง บางคนก่อหนี้สินมากมาย บางคนใช้สารเสพติด บางคนต้องออกจากงานหรือโรงเรียน บางคนทำผิดกฎหมาย และที่รุนแรงที่สุด คือฆ่าตัวตายหรือทำร้ายผู้อื่น และถ้าเป็นหลายๆ ครั้ง อาการครั้งหลังจะเป็นนานและถี่ขึ้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=330 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=330>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อาการของโรค
    มี 2 ช่วง คือ
    1.ช่วงที่อารมณ์ซึมเศร้า
    - มีอาการเบื่อหน่ายท้อแท้ ไม่อยากทำอะไร
    - มองทุกอย่างในแง่ลบ
    - เรี่ยวแรงลดลง
    - มีความคิดอยากตาย ซึ่งมีไม่น้อยที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย

    2.ช่วงที่อารมณ์ดีหรือก้าวร้าว
    - เชื่อมั่นในตนเองมาก รู้สึกว่าตนมีความสำคัญหรือมีความสามารถมาก
    - เรี่ยวแรงเพิ่ม นอนน้อยกว่าปกติ โดยไม่มีอาการเพลีย
    - พูดเร็ว พูดมาก หรือพูดไม่ยอมหยุด
    - ความคิดแล่นเร็ว มีหลายความคิดเข้ามาในสมอง
    - สมาธิลดลง เปลี่ยนเรื่องพูดหรือทำอย่างรวดเร็ว ตอบสนองต่อสิ่งเร้าง่าย ทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - มีกิจกรรมมากผิดปกติ อาจเป็นแผนการหรือลงมือกระทำลงจริงๆ แต่มักทำได้ไม่ดี
    - การตัดสินใจไม่เหมาะสม เช่น ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายหรือผิดกฎหมาย

    สำส่อนทางเพศ บางคนจะหงุดหงิดก้าวร้าวจนถึงทะเลาะหรือทำร้ายร่างกายผู้อื่น ในรายที่เป็นมากอาจมีอาการของโรคจิตร่วมด้วย

    หลายคนอาจสงสัยว่า ในคนปกติก็ต้องมีการขึ้นลงของอารมณ์มากบ้างน้อยบ้างตามนิสัย แล้วเมื่อไหร่จึงเรียกว่าผิดปกติหรือเป็นโรค

    การจะบอกว่าป่วยแน่นอนต้องใช้เกณฑ์การวินิจฉัยจากแพทย์ แต่ทั่วไปเราควรนึกถึงโรคนี้และไปปรึกษาแพทย์เมื่อ
    - การขึ้นลงของอารมณ์มากกว่าคนทั่วไป หรือมากกว่าปกติของคนนั้น เป็นเวลาติดต่อกันนาน 4-7 วัน
    - มีความผิดปกติของการกินการนอนร่วมด้วย
    - กระทบต่อการทำงานหรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง


    การรักษา
    โดยทั่วไป แพทย์จะให้ยาและคำแนะนำเกี่ยวกับโรคและยา รวมถึงการดูแลตนเองในด้านต่างๆ ควบคู่ไปด้วย ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากอาการใน 2-8 สัปดาห์ และกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนก่อนป่วย แต่ในบางรายอาจต้องให้ทำจิตบำบัดร่วมด้วยเพื่อขจัดความเครียด และลดความขัดแย้งกับคนรอบข้างที่เป็นสาเหตุของความเครียด

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=320 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=320>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เนื่องจากโรคนี้เกิดจากสารสื่อประสาทที่ไม่สมดุล จึงต้องใช้ยาที่จะปรับสารสื่อประสาท ปัจจุบันมียาควบคุมอารมณ์หลายชนิดที่มีประสิทธิภาพ ยาในกลุ่มนี้ไม่ใช่ยากล่อมประสาทหรือยานอนหลับ ไม่ทำให้ติดยาเมื่อใช้ในระยะยาว แต่มักต้องใช้เวลา 2-4 สัปดาห์จึงจะเห็นผล

    นอกจากยาควบคุมอารมณ์ แพทย์อาจใช้ยากลุ่มอื่นร่วมด้วยเพื่อประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีขึ้น ยาทางจิตเวชก็เหมือนกับยาอื่นที่ทุกตัวจะมีผลข้างเคียง แต่อาการและความรุนแรงจะต่างกัน ผลข้างเคียงส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตรายมาก ผู้ป่วยควรได้พูดคุยกับแพทย์เพื่อเลือกยาที่เหมาะสม และปรึกษาแพทย์ถ้ามีอาการข้างเคียง สำหรับสตรีมีครรภ์และให้นมบุตรควรคุยกับแพทย์ถึงประเด็นเหล่านี้ด้วย

    โรคนี้มีอัตราการเป็นซ้ำสูงมากถึง 90% ฉะนั้นโดยทั่วไปหลังจากหายแล้ว แพทย์มักแนะนำให้กินยาต่ออย่างน้อย 1 ปี เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ หรืออาจนานกว่านี้ ทั้งนี้ขึ้นกับจำนวนครั้งที่เคยเป็นและความรุนแรงในครั้งก่อนๆ ยาไม่ได้ทำให้สมองเสื่อมลงแต่การป่วยซ้ำหลายๆครั้งทำให้สมองแย่ลงได้

    การปฏิบัติตัว
    1. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
    2. ดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น ออกกำลังกาย มีกิจกรรมที่ช่วยคลายเครียด หลีกเลี่ยงสุรา สารเสพติด
    3. กินยาตามแพทย์สั่ง ถ้ามีปัญหาผลข้างเคียงจากยา ควรปรึกษาแพทย์ก่อน ไม่ควรหยุดยาเอง
    4. หมั่นสังเกตอารมณ์ของตน เรียนรู้อาการแรกเริ่มของโรค และรีบไปพบแพทย์ก่อนจะมีอาการมาก
    5. บอกคนใกล้ชิดถึงอาการเริ่มแรกของโรค ให้ช่วยสังเกตและพาไปพบแพทย์

    การช่วยเหลือผู้ป่วย
    1. เข้าใจว่าอารมณ์และพฤติกรรมที่ผิดปกติเป็นการเจ็บป่วย ไม่ใช่นิสัยของผู้ป่วย
    2. ช่วยดูแลให้ผู้ป่วยกินยา และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์
    3. สังเกตอารมณ์ของผู้ป่วย เรียนรู้อาการเริ่มแรกของโรค และรีบพาไปพบแพทย์ก่อนที่จะมีอาการมาก
    4. ช่วยควบคุมการใช้จ่ายและพฤติกรรมที่เสี่ยงต่ออันตราย ถ้าเห็นว่าผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการอีก
    5. เมื่อผู้ป่วยหายจากอาการ ให้กำลังใจในการกลับไปเรียนหรือทำงาน และไม่หยุดยาก่อนปรึกษาแพทย์

    สรุปว่าโรคนี้รักษาหายได้ และสามารถกลับไปเรียนหรือทำงานได้ตามเดิม เมื่อมีปัญหาด้านสุขภาพจิต อย่ากลัวหรืออาย หมอทุกคนยินดีให้คำแนะนำและรักษาค่ะ สะดวกที่ไหน ติดต่อได้ตามสถานพยาบาลทั่วประเทศ หรือที่หน่วยตรวจโรคจิตเวชศาสตร์ ตึกผู้ป่วยนอก ชั้น 7 รพ.ศิริราช เวลา 08.30-16.00 น. โทร. 0-2411-3405, 0-2419-7373




    <HR>

    ศิริราชชวนร่วมกิจกรรมฟรีในวันเด็กแห่งชาติ
    โครงการพิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช เชิญชวนหนูน้อยเข้าร่วมกิจกรรมในวันเด็กแห่งชาติ วันเสาร์ที่ 10 มกราคม 2552 เวลา 09.00 – 16.00 น. ณ พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช ตึกอดุลยเดชวิกรม ชั้น 2 รพ.ศิริราช พบกิจกรรมเสริมสร้างความรู้พร้อมรับรางวัลมากมาย อาทิ The Mask หน้ากากเทวดา, ถ้าหนูแน่ อย่าแพ้พิพิธภัณฑ์, walk rally ฯลฯ โอกาสนี้หากท่านจะมอบของขวัญให้หนูน้อยล่วงหน้า สามารถส่งได้ที่ พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช ตึกอดุลยเดชวิกรม ชั้น 2 สอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 0 2419 6440 , 0 2419 6363
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>หมอเตือนกินเหล้า-สูบบุหรี่-กินขนมหวาน ฉลองปีใหม่ เสี่ยงโรคผิวหนัง
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153281
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 มกราคม 2552 07:01 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> แพทย์ผิวหนังเตือนเลี้ยงฉลองปีใหม่ด้วยการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ กินขนมหวาน ส่วนส่งผลเสียงต่อผิว ทำให้เกิดโรคผิวหนังสารพัด ผิวเหี่ยวก่อนวัย และมีสิวเห่อได้

    นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ดสาขาโรคผิวหนัง อดีตนักวิจัยสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ มักนิยมมอบของหวาน เช่นคุกกี้ ช็อกโกแลต ลูกกวาด ให้เป็นของขวัญปีใหม่ ซึ่งล่าสุดจากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงจะส่งผลกระตุ้นให้สิวเห่อ จะทำให้อินซูลินในเลือดสูงขึ้น ซึ่งภาวะนี้นำไปสู่การมี insulin-like growth factor-1 (IGF-1) มากขึ้น IGF-1 ทำให้ผิวหนังแบ่งตัวเร็วและหนาตัว จนทำให้เกิดก้อนไขมันอุดตันในรูขุมขน และเกิดสิวตามมา นอกจากนี้ IGF-1 และอินซูลิน ยังกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศชาย คือ แอนโดรเจน ที่ทราบกันดีว่าเป็นตัวเพิ่มการผลิตไขมัน ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว

    “ขนมหวาน เช่น คุกกี้ ช็อกโกแลต มีส่วนผสมของนมแลผลิตภัณฑ์จากนม การดื่มนมมากๆ ทำให้สิวเห่อได้เช่นกัน ซึ่งในงานวิจัยยังพบความสัมพันธ์ระหว่างนม ทั้งชนิดที่มีส่วนผสมทั้งหมด และชนิดที่แยกไขมันออก (whole milk and skim milk) ต่อการเป็นสิวในวัยรุ่น พบว่าการดื่มและกินผลิตภัณฑ์จากนมมากเกินไป เพิ่มระรดับของ IGF-1 เช่นเดียวกับการกินอาหารทีมีน้ำตาลสูง จึงทำให้เป็นสิวเห่อได้เช่นกัน นอกจากนี้น้ำมัน ในน้ำนมวัวมีฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดสิวอุดตัน เช่น เอสโตรเจน, โปรเจสเตอโรน แอนโดรเจน และพบว่าสารไอโอดีนในน้ำนมวัวก็ทำให้สิวกำเริบได้” นพ.ประวิตรเผย

    นพ.ประวิตร เผยต่อว่า การฉลองปีใหม่ด้วยการกินเลี้ยง กินขนมหวาน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ล้วนก่อให้เกิดโรคผิวหนังจากความอ้วน และโรคผิวหนังอื่นๆ อีกด้วย กล่าวคือ คนอ้วนอาจเป็นโรคสะเก็ดเงิน, ผิวหนังเป็นผื่นดำที่ต้นคอ รักแร้ ใต้ราวนม เห็นเป็นผื่นแดง, มีติ่งเนื้อ มีเชื้อราที่ซอกพับ, ติดเชื้อยีสต์ ที่ขาหนีบใต้ราวนม เป็นผื่นแดงมักมีจุดเล็กๆ กระจายอยู่รอบผื่น และติดเชื้อบักเตรี และความอ้วนยังส่งผลเสียต่อความงาม คือ เกิดผิวแตกลาย ขนดก ตุ่มขนคุด เกิดกลิ่นตัวง่าย และไฝแดง ทั้งยังทำให้โรคสะเก็ดเงินกำเริบรุนแรง ส่วนการสูบบุหรี่ทำให้แก่เร็ว ผิวบาง ผิวหย่อนยาน ผิวแห้ง เวลาเป็นแผลจะหายช้า และเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้ง่ายอีกด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เหล้าปั่น อสูรร้ายในคราบน้ำหวานหลากสี
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153321
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>31 ธันวาคม 2551 08:40 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เหล้าปั่น ยาพิษหลากหลายสีสัน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> “เหล้าปั่น” หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของหัวเชื้อแอลกอฮอล์ แต่ความจริงแล้ว เหล้าปั่นคือ “ภัยเงียบ” ที่กำลังคุกคามและทำร้ายเยาวชนของชาติ และพร้อมที่จะสร้างนักดื่มหน้าใหม่ทุกเมื่อ ด้วยช่องทางทางการค้าที่อาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย และความเห็นแก่ได้ของผู้ประกอบการ จนลืมคิดถึงเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้า และทุกวันนี้ “เหล้าปั่น” ก็กลายเป็นกระแสที่นิยมของกลุ่มวัยรุ่นอย่างกว้างขวางไปโดยปริยาย

    นอกจากนี้ จากผลการศึกษาในปี 2550 ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ที่สำรวจกลุ่มตัวอย่างเยาวชนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาจนถึงระดับปวช. จำนวน 53,010 คน ใน 24 จังหวัด พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชายในระดับ ม.2 เคยมีประวัติเคยดื่มแอลกอฮอล์แล้วถึงร้อยละ 33.7 และหญิงร้อยละ 22.1 โดยเฉลี่ยอายุเมื่อเริ่มดื่มครั้งแรกเท่ากับ 11.9 ปี และ 12 ปี ตามลำดับ ซึ่งแน่นอนว่าจากสาเหตุเหล่านี้ย่อมนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเด็กวัยเรียนที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจด้วยเช่นกัน

    ดังนั้น ในการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 4 ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นในหัวข้อ “ยุติวิกฤตปัญหาสุรา...ด้วยกฎหมาย” โดยความร่วมมือของ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และเครือข่ายกว่า 20 องค์กร จึงได้มีการร่วมมือของทุกภาคส่วนในการรวบรวมผลวิจัยในการต่อต้านและรับมือกับอสูรร้ายให้หายไปจากสังคม โดยกลุ่มนักศึกษาปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันทำการวิจัยในหัวข้อ รูปแบบการสื่อสาร และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการดื่มเหล้าปั่นของวัยรุ่น ด้วยการศึกษาและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เหล้าปั่น ภัยร้ายที่กำลังคุกคามเยาวชน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ผู้นำกลุ่มอย่าง มิ้ว หรือ นางสาวทัศนาวดี แก้วสนิท นักศึกษาปริญญาโทปีที่ 2 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการวิจัยเรื่องราวของเหล้าปั่นในเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับกลุ่มตัวอย่างวัยรุ่นที่ดื่มจริง จำนวน 9 คน จากการที่ได้ลงไปศึกษาเรื่องราวของเหล้าปั่นอย่างลึกซึ้งก็พบข้อมูลที่น่ากลัวว่ากลุ่มนักดื่มเหล้าปั่นส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยส่วนใหญ่จะมีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 13-19 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมต้น จนถึงระดับอุดมศึกษา

    ส่วนสาเหตุในการดื่มก็มีจะหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ดื่มง่าย เพื่อนชักชวน รวมไปถึงกลยุทธ์ในการขาย ทั้งในเรื่องของรูปแบบภาชนะที่ใช้ในการใส่ที่โปร่งใสเพื่อให้เห็นถึงสีสันของเหล้าปั่นได้อย่างชัดเจน เรื่องของราคาที่ถูกทำให้เยาวชนสามารถซื้อหาได้ง่าย รวมไปถึงบรรยากาศในการตกแต่งร้านเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ที่มีหลากหลายแนวเพื่อเรียกให้กลุ่มวัยรุ่นสนใจ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อสูรร้ายในคราบน้ำหวานหลากสี</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ ร้านเหล้าปั่นส่วนใหญ่มักจะตั้งอยู่ในละแวกเดียวกับสถานศึกษาแทบทั้งสิ้น ซึ่งจากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้แน่นอนว่าทำให้เอื้อประโยชน์ต่อการเกิดนักดื่มหน้าใหม่ทั้งในกลุ่มเด็กเยาวชนและสตรีได้ไม่ยาก อีกทั้งการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายแบบ ลด แลก แจก แถม ก็เป็นปัจจัยหนุนที่ช่วยเพิ่มปริมาณการดื่มได้เป็นอย่างดี

    โดย นางสาวทัศนาวดี ได้แสดงความเห็นถึงแนวทางการแก้ปัญหานี้ ว่า“ทุกวันนี้วัยรุ่นหันมาดื่มเหล้าปั่นกันมาก ยิ่งดื่มตั้งแต่เด็กก็จะทำให้เลิกได้ช้ากว่า เพราะระยะเวลาในการดื่มก็จะยาวนานตามไปด้วย เพราะฉะนั้นทางแก้ก่อนอื่นก็จะต้องแก้ที่ตัวของผู้ดื่มเอง เพราะการเริ่มดื่มเหล้าปั่น ก็เหมือนเป็นการจุดชนวนนำไปสู่การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่รุนแรงขึ้นและเพิ่มปริมาณการดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>มิ้ว หรือ นางสาวทัศนาวดี แก้วสนิท นักศึกษาปริญญาโทปีที่ 2 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> นอกจากจะแก้ไขที่ตัวผู้ดื่มแล้ว สถานศึกษาเองก็ควรจะต้องสอดส่องดูแลนักเรียนนักศึกษาอย่างใกล้ชิดและเข้มงวด รวมถึงการให้คำแนะนำถึงอันตรายจากสีสันจากเหล้าปั่นเหล่านี้ไม่ให้เยาวชนของชาติตกเป็นทาสของน้ำเมา เพราะร้านเหล้าปั่นส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้กับสถานศึกษา และมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ

    “กฎหมายในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมไปถึงเหล้าปั่น จึงยังไม่สามารถทำอะไรกับร้านเหล่านี้ได้ นักศึกษาบางคนซื้อใส่ถุงดูดเข้าสถานศึกษาเลยก็มี เพราะถ้ามองภายนอกก็จะไม่รู้ว่าเป็นเหล้าปั่น ลักษณะจะเหมือนเป็นแค่น้ำผลไม้ปั่นธรรมดา ซึ่งอันตรายมากค่ะ” นางสาวทัศนาวดี กล่าว

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>กลุ่มวิจัย ในหัวข้อรูปแบบการสื่อสาร และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการดื่มเหล้าปั่นของวัยรุ่น</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ และก่อนที่กระแสของเหล้าปั่นจะมอมเมาเยาวชนไทย และบ่อนทำลายสังคมไปมากกว่านี้ ถึงเวลาแล้วที่ทุกหน่วยงานจะต้องหันมาเอาจริงเอาจัง ให้ความสำคัญและร่วมมือกันแก้ปัญหา และตัดช่องทางอบายมุขที่คอยบ่อนทำลายเยาวชนของชาติไม่ให้กลายเป็นทาสน้ำเมากันอีกต่อไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    กด-ลืมเก็บเอทีเอ็ม โดนเบิกต่อ1.8แสน

    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd09TMHdNUzB3TVE9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    ซวยท้ายปี-น.ส. ภัชรา ชื่นบาน แจ้งตร. ให้ติดตามคนในภาพวงจรปิด หลังกดเงินแล้วลืมบัตรเอทีเอ็มที่ยังเสียบคาตู้ ย่านสีลม ทำ ให้ชายที่ต่อคิวแอบกดเงินไปอีก 180,000 บาท


    </TD></TR></TBODY></TABLE>สาวเจ้าของบริษัทรับจองตั๋วเครื่องบินแจ้งความ ถูกลักกดตู้เอทีเอ็มสูญเงินไป1.8แสนบาท เผยเหยื่อเคราะห์ร้ายส่งท้ายปีโอนเงินให้ลูกค้าแล้วดันลืมบัตรไว้ในตู้ คนร้ายที่มาต่อคิวเลยสวมรอยเปลี่ยนรหัสผ่านบัตร เอาไปตระเวนกดเงินตามตู้เอทีเอ็มของธนาคารหลายแห่ง ย่านศาลาแดง ครั้งละ 30,000-100,000 บาท ยังดีกล้องวงจรปิดของตู้เอทีเอ็มจับภาพผู้ต้องสงสัยไว้ได้ เป็นชายท่าทางตุ้งติ้ง ด้านตำรวจหลังสอบปากคำเหยื่อเสร็จ บอกต้องรอธนาคารเปิดวันที่ 5 ม.ค. ถึงจะประสานขอข้อมูลรายละเอียดการใช้บัตรกดเงินได้

    เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 31 ธ.ค. ที่สน.ทุ่ง มหาเมฆ น.ส.ภัชรา ชื่นบาน อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66/1 หมู่ที่ 4 ต.หนองหญ้าปล้อง อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี เจ้าของบริษัทสเปซแมน ฮอลิเดย์ ประกอบกิจการรับจองตั๋วเครื่องบิน สายการบินต่างๆ ย่านศาลาแดง นำภาพบันทึกจากกล้องโทรทัศน์ วงจรปิดของธนาคารไทยธนาคาร เป็นภาพคนร้ายที่นำบัตรวีซ่าอิเลคตรอนของธนาคารกสิกรไทยซึ่งตนเองลืมไว้ หลังโอนเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วเผลอหยิบแต่สลิปไปเท่านั้น คนร้ายที่ต่อแถวอยู่จึงฉวยโอกาสเปลี่ยนรหัสแล้วนำไปกดเงินจำนวน 180,000 บาท มามอบให้ร.ต.ท.วินัย นครขวาง พนักงานสอบ สวน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อให้ติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี

    น.ส.ภัชรา กล่าวว่า เมื่อเวลา 09.13 น. วันที่ 30 ธ.ค. ตนเองได้ทำธุรกรรมทางการเงินที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทย สาขาสีลม โดยใช้บัตรวีซ่าอิเลคตรอนของธนาคารกสิกรไทย โอนเงินไปให้บริษัทคู่ค้าที่มาจองตั๋วเครื่องบิน เป็นจำนวนเงิน 26,250 บาท หลังทำรายการเสร็จตนลืมบัตรวีซ่าดังกล่าวไว้ในช่องตู้เอทีเอ็ม ขณะนั้นหน้าจอยังขึ้นข้อความว่าต้องการทำรายการต่อหรือไม่ เป็นจังหวะเดียวกับที่มีชายต้องสงสัย สูงประมาณ 170 เซนติเมตร ผิวดำแดง ไว้ผมรองทรง ท่าทางตุ้งติ้ง เดินสวนเข้าไปยังตู้เอทีเอ็มที่ตนเองลืมบัตรไว้ ชายคนดังกล่าวอาศัยจังหวะที่หน้าจอทำรายการค้างอยู่เข้าไปทำรายการต่อโดยแก้รหัสผ่านบัตร

    น.ส.ภัชรา กล่าวต่อไปว่า บัตรของตนมีวงเงินใช้จ่ายได้วันละ 200,000 บาท ซึ่งสามารถกดเงินได้ครั้งละ 20,000 บาท โดยชายคนดังกล่าวดินไปกดเงินจำนวน 50,000 บาท ที่ตู้เอทีเอ็มหน้าธนาคารไทยธนาคาร ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 300 เมตร แล้วก็เดินไปที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา BTS ศาลาแดง กดเงินอีก 100,000 บาท จากนั้นยังเดินต่อไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ หน้าร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ศาลาแดง อีก 30,000 บาท รวมเงินที่ชายคนดังกล่าวได้ไปทั้งสิ้น 180,000 บาท ตนจึงเข้าแจ้งความไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ก่อนที่วันนี้จะประสานขอภาพกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยธนาคาร มามอบให้ร.ต.ท. วินัย เพื่อใช้เป็นเบาะแสในการสืบสวนสอบสวนจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี

    ด้านร.ต.ท.วินัย กล่าวว่า เบื้องต้นจะสอบปากคำเหยื่อเพิ่มเติม แล้วรอวันที่ 5 ม.ค. เพื่อให้ธนาคารกสิกรไทย และไทยธนาคารสาขาที่เกิดเหตุเปิดทำการ ก่อนประสานขอเอกสารข้อมูลการใช้บัตรอย่างละเอียด เพื่อนำมาประกอบสำนวนในการขอออกหมายจับบุคคลตามภาพถ่ายเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...