เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้..ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย The Third Eyes, 12 พฤศจิกายน 2008.

  1. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    เรื่อง วิธีการไล่นก
    เมื่อ หลายปีมาแล้ว..ได้เดินทางไป มนัสการ พระธาตุที่เมืองแคนดี้
    โคลัมโบ ประเทศ ศรีลังกา..แวะพักที่โรงแรม ที่ค่อนข้างดี เป็น แบบรีสอร์ท
    ตอนเช้าก็มานั่งทานอาหารสไตล์ ฝรั่ง..บนโต๊ะ ที่เขาตั้งกลางสนามหญ้า
    แดดเริ่ม ออก เป็นแดดอ่อน นั่งสบาย
    ............................................................
    สังเกตุเห็น พนักงาน เดินแบกกระจก บานค่อนข้างใหญ่ ขนาดฟุต คูณ สองฟุต
    หรือ พอดี อุ้ม เดินไป เดินมา...หันกระจกไป มา..
    ไปทางอาคารบ้าง ต้นไม้บ้าง..ก็สงสัย มองตามสักครู่ ก็เข้าใจ..
    ตรงไหนมีนก เกาะ ไม่ว่า บนหลังคาโรงแรม บนต้นไม้
    .................................................................................
    พนักงานเขาหัน กระจกเงา ส่ง แสงสะท้อนให้เข้าตานก
    แสงแดด มันแรง พอเข้าตา..มันจะแวบแล้ว
    นก จะงง และ คิด ว่า เป็น อันตราย..มันจะบินไป
    ........................................................
    ถ้า คิดว่า แสงแดด ไล่นกไม่ได้..
    ลองให้ ใครเอากระจกเงา หันกระจกเงา ให้สะท้อนใส่ตาตัวเราดูซิ
    เราจะงงใหม รำคาญใหม
    บางทีกำลังเดินข้างถนน..รถบางคันวิ่งมา เงากระจกหน้า สะท้อนใส่ตาเรา
    เรายังรู้สึกชา..และวูบ หลับตา..
    แต่ถ้ามีใครเอาแสงตามใส่เราตลอดเวลา แค่สองสามนาที
    เราจะทนอยู่ใหม
    ............................................................................
    นี่คือวิธีการไล่นกโดยไม่บาป..ดีกว่าใส่ยาเบื่อ นก เอาปืนยิงเป็นไหนๆๆ
    ที่หน้า วัดสุทัศน์ เสาชิงช้า มี นกพิลาป แยะ
    ขี้นเป็นกรด...ทำลาย อาคารและ หลังคาๆได้
    กทม. ถ้าจะไล่ นก ....ห้ เทศกิจ มาแบก กระจกส่งสะท้อนแสงไล่นก.
    จะดี กว่า ไป ไล่จับ พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ เป็นไหนๆๆ
    เห็นด้วย..มั๊ย
    ..................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2009
  2. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    กรรมของคน(ต่อ)

    พอจบเรื่อง บนบานช้างหมอบ และการเดินวนรอบเจดีย์ ผิดทิศ
    เขาเล่า ถึงอีกวัด..คือวัด ข้างบ้าน เลยทีเดียว
    จำชื่อ วัดไม่ได้ เพราะไม่ใช่สาระที่สำคัญ
    ...................................................................
    เขาบอกว่า วัดนี้ อยู่ติดกับบ้านเขาเลย
    บ้านของเขา อยู่ทางท้ายๆๆ มีทางเดิน ออกมาด้านหน้า
    แล้วเลี้ยวเข้าประตูวัดได้ เลย...เขาวิ่งเข้า วิ่งออก ในวัดนี้เป็นประจำ
    แต่ตอนนี้ ไม่ค่อยได้ เข้าวัดข้างบ้านนี้
    .......................................................................
    ที่ไม่เข้าเพราะ เวลาเข้าไปในวัด..มันเดินไม่ถนัด เหมือน ขาไม่มีแรง
    เขาทำบุญ ที่ วัดนี้ พร้อมครอบครัว เป็น ประจำ
    "อาจารย์ ช่วยดู ว่าผม ทำอะไร ผิด อีก หรือ เปล่า"
    .........................................................................
    เราก็งง..คนเข้าวัด บ่อยๆๆ และเป็นวัดข้างบ้าน..บุญน่าจะดี
    ต้องีอะไร บางอย่างแน่ๆๆ เลย
    ก็เพ่งดู เรื่อง ย้อนหลัง..ก็ได้ เรื่อง
    หนังขาว-ดำบนจอในจิต..รัวายน์ ย้อนให้ดู
    ................................................................
    เป็นภาพ ครอบครัวนี้ เมื่อ หลายปีมาแล้ว
    ขณะที่เขายังเป็น เด็ก
    ทั้งครอบครัว เตรียมตัว ไป ทำบุญที่ วัด และไป บ่อยมาก
    พ่อแม่ พี่ และน้อง พากันเดินไป ข้างหน้า..เพื่อเข้าประตูวัด ตามปกติ
    เขาบอก ครอบครัวว่า..เดี๋ยว จะวิ่งตามไป..ครอบครัวก็ไม่ว่า อะไร
    ........................................................................
    หนทางเดินอ้อมเข้าวัดด้านหน้า ค่อน ข้างไกล พอสมควร
    เด็ก คนนี้ ขี้เกียจ..พอเห็น พ่อ-แม่ เดินจะถึงโบสถ์ ศาลา การเปรียญ แล้ว
    ก็ใช้วิธีลัด คือ เอาบันได มาพาด แล้ว กระโดดข้ามกำแพงวัด เข้าไป
    ............................................................................
    โดยปกติกำแพงวัด จะเป็น เขตวัด ที่ มีความศักดิ์ สิทธิ์..
    และมีใบเสมาอยู่ รอบกำแพงด้วย
    การกระโดดข้ามกำแพงวัด..เท่ากับ กระทำการลบหลู่ สถานที่ ศักดิ์ สิทธิ์
    เขา เด็กชาย และ บัดนี้ เป็น หนุ่ม แล้ว จึงโดนลงโทษ..
    ทำให้ ขาอ่อนเดินไม่ได้ เวลาเข้าวัดนี้..เป็นกรรมอีกแบบหนึ่ง
    .............................................................................
     
  3. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    พอถอนจิตออกมา
    ก็ถามเขาว่า..ตอนเป็นเด็ก.เวลาพ่อ/แม่ เข้าวัดข้างบ้านที่ว่า
    พ่อแม่เขาจะเดินไป ก่อน..พอได้ ที่ เขาตามเข้าวัด ยังไง
    คำตอบ.." ทางมันไกล ผมขี้เกียจเดิน..ก็ ใช้วิธีกระโดดกำแพงเข้าไป"
    ......................................................................
    นั่นไง..ว่า แล้วเชียว..การข้ามกำแพงวัด
    และ บนกำแพง จะมีสิ่งศักดิ์ สิทธิ์ เช่นใบเสมา/ รูปปั้นใบโพธิ์
    บางวัด สร้างกำแพง มีส่วนของ พระพุทธองค์ เรียงบนกำแพง ยาว
    เป็นกรรมชนิด หนึ่ง..ทำให้ กายสังขารมีอาการแปลกๆๆ เป็นการลงโทษ
    ...........................................................................
    เขารับทราบ..แล้ว ถามต่อว่าแล้ว จะแก้กรรมนี้ได้ อย่างไร
    เราก็มานั่งนึกว่า..แก้ ยังไง ว่ะ..คิดสักพักก็คิดออก
    จำได้ ว่า ตอน เป็น เด็กนักเรียน เวลาทำอะไร ผิด
    ครูจะลงโทษให้ คัดลายมือ ว่า จะไม่ทำผิด อีก100 จบ
    ....................................................................
    พอคิดออกก็บอกเขา..ให้เอากระดาษ มาเขียน คำโตๆๆ ว่า
    " ข้าพเจ้า นาย............นามสกุล.........บ้านอยู่ที่ ข้างวัด
    ขอสัญญาว่า ต่อไป นี้.จะไม่กระโดดข้ามกำแพงวัด อีก ต่อไป.."
    แล้ว เอากระดาษนี้ ไป แปะที่กำแพง วัด
    ตรงจุดที่เคยปีนข้ามเป็นประจำ ก็จะแก้กรรมนั้นได้
    ....................................................................
     
  4. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    เรื่องนี้ เป็นอุธาหรณ์ ที่ ชี้ให้เห็นว่า
    กำแพงและ ส่วนต่างๆๆของวัด มีความศักดิ์ สิทธิ์
    ใครที่ ไป ทำสิ่งที่ไม่ดี..ย่อม ได้รับ กรรม นั้น
    เห็นคนบางคน..มักง่าย..ไป ยืนปัสสาวะ รดกำแพงวัด
    ชาติหน้า..ไม่รู้ว่า กรรมจะกลับมาให้ พิการแบบไหน
    ...........................................................
    ยิ่งพวก ขโมย ตัด เศียรพระพุทธรูป / ขโมยของวัด
    ไม่รู้กรรมจะขนาดใหน
    แค่มัคคทายกวัดของ ที่คนเอามาถวายวัด แล้วเหลือ กองเบะ
    เอากลับไป บ้าน..กรรมยังหนัก..เลย
    ดังนั้น ทางที่ดี..อย่าไป ทำเลวๆๆในวัด จะดี ที่ สุด
    อะไร คือ ความเลว
    ความเลวคือ ทำผิดศีล ข้อใดข้อหนึ่ง ในศีลห้า
    รวมทั้งการกระทำที่ ลบหลู่ วัด
    บนบาน แล้วไม่แก้ บน / ปีนข้ามกำแพงวัด/
    ขโมยของวัด ทั้งทางตรงและทางอ้อม
    .......................................................
    สาธุชนที่ดี ที่แสวงบุญ..ย่อมจะรู้ว่า สิ่งใด ดี หรือไม่ดี
    ถ้า ใครไม่รู้ ก็แปลว่า..ยังไม่มี "ปัญญา"
    อันเป็น ลำดับสุด ท้าย ของ ขบวนการ สมาธิ
    คือ เมื่อมีศีล แล้ว สมาธิ ก็จะมา
    เมื่อ สมธิ มา..ให้ แน่ๆๆ แล้ว ปัญญา ก็จะตามมา
    พอ ปัญญามา..ก็จะรู้เองว่า..จะทำตัวให้ หลุด พ้นได้ อย่างไร
    .................................................................
    ถ้า เข้าใจ..ก็ขอให้ เริ่ม ถือศีลให้ มั่นตั้งแต่บัดนี้
    เป็นการเริ่มต้นที่ดี ของ ชีวิต ใหม่ และ ของ ชีวิตในภพหน้า
    ขอให้ ทุกคน มีความสำเร็จ สมปราถนา ทุกๆๆคนเทอญ
    ................................................................
     
  5. surapar

    surapar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +2,408
    ยอดเยี่ยมแต๊ๆ เจ้า
     
  6. visnu

    visnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +23,778
    พูดถึงเรืองบุญก็มีเรืองฮาๆ มาเล่าให้ฟังครับ
    ทุกวันนี้การทำบุญของเราที่เราทำได้บุญกันเต็มจำนวนหรือเปล่าอย่าเช่นการที่เราทำ10บาท
    ได้บุญถึง10บาทหรือเปล่ายกตัวอย่างยาวๆนิดนึงแล้วกันครับเป็นประวัติวัดใหม่ยายแฟงมีดังนี้ครับ<o></o>
    ......................................................................................
    <link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CADMINI%7E1%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--><link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CADMINI%7E1%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:Tahoma; panose-1:2 11 6 4 3 5 4 4 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:1627421319 -2147483648 8 0 66047 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:595.3pt 841.9pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:35.4pt; mso-footer-margin:35.4pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> ในสมัยเมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงได้ครองแผ่นดินสยามอยู่นั้นมีหญิงคนหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า
    ยายคุณท้าวแฟง หรือบางครั้งก็เรียกว่ายายแฟง เฉย ๆ ยายคุณท้าวแฟงนี้มีอาชีพเก็บตลาดเอาผลกำไร
    รวมทั้งเป็นแม่เล้าเจ้าของซ่องนางโลมด้วย
    ยายแฟงนั้นแกรู้ว่าในหลวงทรงโปรดการทำบุญสร้างวัดแกจึงได้ทำการสร้างวัดด้วยเงินรายได้ของแก
    ขึ้นมาเพื่อต้องการให้สดุดสายพระเนตรของพระเจ้าแผ่นดินกับเขาด้วยเหมือนกันที่ตรอกแฟง ใน
    แหล่งธุรกิจของพระนครสมัยนั้น พวกชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "
    วัดใหม่ยายแฟง " เมื่อสร้างเสร็จแล้ว
    แกก็ได้ทูลขอพระราชทานนามของวัดนั้น
    ทรงโปรดพระราชทานนามของวัดนั้นว่า
    "
    วัดคณิกาผล " อันแปลตรงตัวได้ว่า วัดที่เป็นผลได้มาจากหญิงโลมเมืองเพราะรายได้หลักของยายแฟง
    นั้นก็คือได้จากการเป็นแม่เล้า เจ้าโสเภณี

    ................................................................................
    ในการสมโภชน์วัด ยายแฟงได้ไปนิมนต์สมเด็จพุฒาจารย์ ( โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งสมัยนั้นสมเด็จฯ
    ท่านยังไม่มีสมณศักดิ์ คงเป็นเพียงแค่มหาโต
    พระมหาบาเรียนธรรมดาเท่านั้นให้มาเทศน์ฉลอง
    โดยมีความปรารถนาจะให้ท่านได้สรรเสริญผลบุญของตนต่อหน้าชุมชน
    แต่ผลก็ไม่ได้เป็นดังใจของยายแฟง
    .............................................................................................
    เพราะพระมหาโตท่านกลับเทศน์บอกแก่เจ้าภาพว่า ในการที่เจ้าภาพได้จัดการทำบุญเช่นนี้นั้น
    เป็นการทำบุญที่มีเบื้องหลังอยู่หลายประการ เป็นเหตุให้เหมือนกับว่าในเงินทำบุญ ๑ บาทนั้น
    ยายแฟงจะได้อานิสงส์เพียงแค่สลึงเฟื้องเท่านั้น
    โดยพระมหาโตท่านได้ยกนิทานเรื่องตากะยายฝัง
    เงินเฟื้องไว้ที่ศิลาหน้าบันไดขึ้นมาประกอบคำเทศน์ของท่าน
    ด้วย ท่านได้เทศน์ว่าเพราะด้วยผลบุญที่ทำนั้น
    มีสาเหตุมูลฐานในการประกอบการบุญนั้นไว้ผิด
    แม้ว่าเรื่องที่เจ้าภาพได้สร้างวัดนี้ไว้นั้นจะเป็นการดี
    แต่ก็เพราะการตั้งฐานในการทำบุญครั้งนี้ไม่ถูกบุญใหญ่
    จึงทำให้ผลแห่งการทำบุญนั้นใหญ่โตเหมือนดัง
    ที่หวังไว้ไปไม่ได้
    คงจะได้บ้างก็แค่เพียงของเศษบุญ หรือจาก ๑ บาทก็ได้เพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น
    เมื่อยายคุณท้าวแฟงได้ฟังเช่นนั้นแล้ว
    ก็ให้รู้สึกขัดเคืองใจเป็นกำลัง มีอาการโกรธหน้าแดงจนแทบ
    จะระเบิดวาจาออกมาต่อว่า บริภาษมหาโตอย่างรุนแรง
    แต่ก็ยังเกรงเป็นการหมิ่นประมาทแกจึงได้เพียง
    แต่ประเคนกัณฑ์เทศน์ด้วยอาการไม่พอใจ กระแทก ๆ ดังปึงปังใหญ่
    แล้วหลังจากนั้นแกก็จึงได้ไปนิมนต์
    เสด็จทูลกระหม่อมพระ ซึ่งก็คือ
    สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ในสมัยเมื่อครั้งที่พระองค์ยังได้ทรงผนวชอยู่
    เพื่อจะได้ให้ทรงเสด็จมาประทานธรรมต่อให้อีกสักกกัณฑ์หนึ่ง โดยหวังว่า
    แกคงจะได้รับคำชม
    จากพระองค์ท่าน
    ซึ่งก็เท่ากับเป็นการแก้ลำพระมหาโตไปในคราวเดียวกัน
    ................................................................................
    ทูลกระหม่อมฯ ทรงรับนิมนต์ของยายแฟงแล้ว ได้ทรงประทานธรรมในเรื่องจิตของบุคคลที่ประกอบ
    การกุศลว่า ถ้าทำด้วยจิตที่ผ่องใส
    ไม่ขุ่นมัวก็จะได้อานิสงส์มาก แต่ถ้าบุคคลใดทำงานการบุญด้วยจิตที่ขุ่นมัว
    ก็ย่อมจะทำให้เกิดได้ผลน้อย และสำหรับในเรื่องของการสร้างวัดนี้ก็ดูเหมือนจะเนื่องด้วยเรื่องของ
    จิตที่ขุ่นมัวทั้งนั้น
    ดังนั้นอานิสงส์ผลบุญจึงมีเพียงเท่านั้น ตามที่ท่านมหาโตท่านยกเรื่องตากะยาย
    ไปอ้อนวอนเทวดาที่ต้นไม้ใหญ่มาประกอบนั้น
    เป็นเรื่องที่มีปรากฏในฎีกาพระอภิธรรมอยู่
    เป็นฉากตัวอย่างที่ช่วยให้ท่านทำการตัดสินบุญของผู้สร้างวัดนี้ว่าผลแห่งบุญนั้นจะอำนวยให้เกิดได้
    ไม่เต็มเม็ด เต็มหน่วย คงได้แค่เพียง ๓ ใน
    ๘ ส่วน เหมือนกับเงิน ๑ บาท โค้งเว้าหายไปเสีย ๕ เฟื้อง
    คงได้เพียง ๓
    เฟื้อง คือ เหลือเพียงสลึงเฟื้องเท่านั้นการที่ท่านตัดสินอย่างนี้ก็นับว่ายังดีนักเทียว
    ถ้าเป็นความเห็นของเรา
    (สมเด็จพระจอมเกล้าฯ) คงจะตัดสินให้ได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้นคือตัดสิน
    ตามเหตุที่ได้เห็น เพราะในการสร้างบุญนั้น
    วัดกันด้วยระดับของจิตใจ ผลที่เธอควรได้รับจึงควรมีเพียง
    เท่านี้
    แล้วทูลกระหม่อมฯ ก็ลง เอวัง ไว้เท่านั้น
    ......................................................................
    เทศน์ ๒ กัณฑ์ของ ๒ ท่านนี้ นับเป็นเรื่องน่าคิดและในเรื่องนี้ผู้อ่านก็ควรจะคิดวินิจฉัยเองด้วย
    เหมือนกัน
    ผู้เรียบเรียงคิดว่าท่านทั้งสองต้องการให้ยายแฟงรู้จักการทำบุญด้วยการพิจารณาลงไปถึง
    มูลเหตุ
    ต่างๆ ที่มีอยู่ในใจและให้รู้จักคำนึงถึงที่มาของสิ่งที่ได้มาใช้ในการทำบุญด้วยว่าเป็นมูลฐาน
    สำคัญของบุญ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ
    ท่านคงทรงพระประสงค์ที่จะตอกย้ำความรู้สึกของยายคุณท้าวแฟง
    ให้รู้ตระหนักลงไปถึงในเรื่องกุศลจิต และอกุศลจิตมีอำนาจความสำคัญแตกต่างกันอย่างไร
    ๔ ไพนั้นมีค่าเท่ากับ ๑ เฟื้อง และ ๒เฟื้องเป็น ๑ สลึง ดังนั้น หนึ่งไพจึงมีค่าเพียงราว ๑ สตางค์เท่านั้น
    พระองค์ทรงบอกว่าที่ทำบุญบาทหนึ่งนั้นได้ผลบุญจริงๆ เพียงแค่ ๖ สตางค์น้อยกว่าที่มหาโตท่านได้
    ตัดสินไว้เสียอีก คือ ใน ๑๐๐ ส่วน เหลืออยู่เพียง
    ๖ ส่วน เท่านั้นนั่นเอง
    และอีกประการหนึ่ง ควรทำความเข้าใจไว้ให้ชัดว่า คำว่า "จิดขุ่นมัว"ที่มีใช้อยู่ในเรื่องนี้นั้นไม่ได้
    หมายถึงการขุ่นมัวด้วยความโกรธหรือการลุแก่โทสะเพียงอย่างเดียว
    ถ้าพิจารณากันให้ดีแล้วจะเห็นว่า
    ท่านหมายถึงความขุ่นมัวด้วยความโลภและความหลงด้วย คือ พร้อมกันทั้ง ๓ประการ
    ยายแฟงโลภอยากได้หน้า และหลงไปว่า ในหลวงท่านจะโปรดปราน
    จึงได้สร้างวัดขึ้นมา ส่วนจิตใจ
    ของยายแฟงนั้น ไม่มีใครรู้ได้
    แต่เท่าที่ประมาณพอได้ก็คือ แกเป็นแม่เล้าคุมซ่องนางโลมดังนั้นจิตใจแก
    จึงน่าจะมีส่วนที่ผ่องใสในการกุศลอยู่น้อยมาก
    เมื่อเทียบกับส่วนที่เป็นอกุศลอันขุ่นมัว ซึ่งซ่อนลึกหลบ
    อยู่ภายในใจของแก

    ............................................................................
    คนที่ทำบุญเอาหน้า ได้เงินทองมาโดยไม่บริสุทธิ์นั้นจึงอยู่ห่างไกลบุญมาก ทำให้ไม่สามารถไปสู้คนที่
    ทำบุญด้วยจิตที่บริสุทธิ
    <o></o>[FONT=&quot] และด้วยสิ่งของที่บริสุทธิ์สะอาดไม่ได้เลยครับ
    ..............................................................
    ยกตัวอย่างมาซะยาวเลย นอกจานี้ผมเคยเห็นคนบางคนจะทำบุญแล้วอธิฐานยาวๆเป็นเวลานานๆ
    ตอนแรกบอกตามตรงเลยว่ารู้สึกไม่ชอบแบบหวังว่าสิ่งที่ทำไปให้ผลกลับมาเยอะหลายอย่างเหลือเกิน
    แต่ข้อดีของการจบนานๆคือจิตจะค่อยๆรวมเป็นสมาธิเมือจิตเป็นสมาธิกระแสบุญก็จะแรงขึ้น
    ในบางคนนะครับที่ทำให้จิตรวมเป็นสมาธิได้ แต่ถ้าจบแบบขอนั่นขอนี่จิตฟุ้งซ่านก็กลับกันเลย
    คือบุญก็ได้ไม่มากครับ ดังนั้นการจะทำบุญเราต้องถึงพร้อมด้วยใจและสมาธิถึงจะดีที่สุดครับ
    อันนี้ผมพิสูทธิ์มาแล้วครับ

    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2009
  7. ตัวกลมๆ

    ตัวกลมๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +5,941
    บุญน้อยส่วนหนึ่ง น่าจะมาจากทรัพย์ที่ไม่บริสุทธิื์ื์ด้วยนะคะ จากการเลี้ยงชีพ
    ไม่ถูกต้อง ด้วยความที่ผิดศิล ข้อ 3 แถมอยากได้หน้า ได้เกียรติอีก

    เคยอ่านเรื่องหนึ่ง มีเปรตถือซองผ้าป่าทั้งใหญ่ทั้งหนัก ถึงได้รู้ว่า เขาทำบุญ
    ผ้าป่ากฐินเพื่อเอาหน้า ตอนเด็กๆอาจารย์ก็จะสอนให้ตั้งใจทำบุญ สลึงเดียวอาจได้
    บุญมากกว่าหนึ่งบาท ห้าบาท

    ป๋มก็ขอเยอะ ขอยาว เหะๆ ก็ใช้คำสอนของหลวงปู่เกษม อาจิณณสีโล ประจำ ...
    .บุญนี้ให้ เทพผู้รักษา ให้ญาติ ให้นายเวร ให้เชื่อโรค ของข้าฯ ของ.....
    แบบคิดถึงนายเวรท่านใดได้ ก็เจาะจงเลย ก๊ะเลยยาว ย้าว ยาว ละก็ขออภัยกับความผิด
    ความเอาเปรียบของเรา และอโหสิกรรมกับสิ่งที่เขาได้ทำก่อนหน้านี้ด้วย เพื่อตัดเวรตัดกรรม

    ส่วนเพื่อตัวเองก็จะขอเป็นบางวาระ เช่น ขอให้เจอกัลยาณมิตร ก็สมปรารถนาเหมือนกันนะคะ
    ถึงได้มาเจอเวปนี้ ได้เจอเพื่อนหลายคน ให้ข้อคิดดี และเจออาจารย์หลายท่่าน
    อย่างอาจารย์ตาที่สาม อาจารย์สุวิ และเพื่อนๆที่มีและไม่มีพลังจิต ก็ทำให้ความกลัวบาป
    มันเยอะกว่าเดิม และก็กระตุ้นการนั่งสมาธิอีก ไม่งั้นก็ขี้เกียจอยู่อย่างเดิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2009
  8. surapar

    surapar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +2,408
    เพิ่งดูข่าวไปว่า มีการจับกุมคนแอบอ้างเอาซองผ้าป่าปลอมไปขอเรี่ยไรชาวบ้านใจบุญ ได้เงินแล้วเอาไปเที่ยวผู้หญิงเสพยาบ้า แล้วอย่างนี้คำทำบุญจะได้บาปด้วยหรือไม่อย่างไรคะ แล้วคนที่แอบอ้างนี้โทษจะเป็นอย่างไรจึงสาสม เห็นแล้วมันแค้นใจแทนพระศาสนาค่ะ
     
  9. man20040

    man20040 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +74
    กราบสวัสดีครับอาจารย์ ขออนุโมทนาบุญที่อาจารย์ได้เผยแผ่เรื่องราวต่าง ๆ ให้ผู้อื่นได้รับรู้ หากมีบุญเกื้อหนุนผมคงไปพบกับอาจารย์นะครับ
     
  10. Sujinno

    Sujinno Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +90
    โยม man20040

    ได้ตอบ PM ไปแล้ว เจริญพร
     
  11. visnu

    visnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +23,778
    วันนี้อาจารย์กะอาจักรพลไปทานข้าวกับเศรษฐีพันล้านไม่รู้ว่าจะอร่อยกว่ากินกับคนธรรมดา
    หรือเปล่านะเนี่ย แซวๆ ไม่ได้ไปด้วยเลยมาแซวครับ ..........5-5-5
     
  12. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    การนเลี้ยงอาหการค่ำที่ว่า เป็นอาหารญี่ปุ่น
    กินไป สทนาธรรมใป..มีคนเก่งๆมาฟังเทศน์ รวม 8 คน
    อาหารรสชาติปกติ..แต่บุญที่ได้เทศน์ อร่อยกว่ามากมาย
     
  13. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    ตั้งแต่ จัดทำ ของ พิเศษ
    นกนางแอ่น ขี้ควาย..เซรามิค แขวนในบ้าน...ยุงจะไม่เข้าบ้าน
    แมวเซรนามิค..ตั้งในครัว..จะไม่มีหนูเข้าบ้าน
    ไก่เซรามิค ตั้งในบ้าน..บ้านจะไม่มี แมลง สาบ และไม่มีปลวก
    .........................................................
    ของเดิม วางระเกะ ระกะ..ใครหยิบได้ หยิบไป..มั่วๆๆกันไปหน่อย
    พอดี พบ คุณ "วิษณุ" ผู้มีความชำนาญพิเศษในการออกแบบ
    กล่อง บรรจุ ผลิตภัณฑ์
    ได้ อาสา ออก แบบกล่องใส่ ของ เซรามิค ต่างๆๆให้
    คิดว่า อีก สอง สาม วัน..ผู้ที่ จะมาเอาของพิเศษ ตามที่บอก
    คือ นกแอ่น / แมว/ ไก่...จะได้ของที่ ใส่กล่อง เรียบร้อยสวยงาม
    ด้วย ฝีมือ ของ วิษณุ
    ................................................................
     
  14. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    เรื่องเล่า ก่อนนอน คืนนี้ เรื่องที่ สามสิบ (30)
    มนุษย์ และเทวดา
    ....................................................................

    ถ้ามองเผินๆๆ มนุษย์ ช่างเป็นสิ่งที่ สวยงาม..มีเสน่ห์
    ชายชอบหญิง..หญิง ชอบชาย..
    จึงต้องจับคู่กัน เมื่อ ครบวัยเจริญพันธ์
    การที่ คนมองคนว่า สวย และ น่า รัก
    ก็เพราะ เราเอาตัวเราเป็น ฐานในการคิด
    ...............................................
    แต่พอเราไป มอง อย่างอื่น เช่น แมว /หมา/สัตว์เลี้ยง อื่นๆๆ
    เราจะรู้สึกว่า มันน่า รัก น่า อุ้ม น่าเล่นด้วย
    เราผู้ชาย..ไม่เคย มองแมว ตัวเมียว่า น่ารัก น่าใคร่
    แบบที่เราคิด จะมีกับคนสาวสวยๆๆ
    .........................................................
    และในทำนองเดียว กัน แมวตัวผู้ จะคอย ตาม ประกบ แมวตัวเมีย
    ไล่ตามกันทั้งคืน..ลั่นไป ตามหลังคาบ้าน
    เสียง ดัง ..หง่าวๆๆ..แง๊วๆๆ น่า รำคาญ
    แมวตัวผู้ ไม่เคยมอง สาวสวยๆๆ..
    ว่าน่ารัก เหมือนแมวตัวเมีย แต่อย่างใด
    .................................................
    ทั้งหมด เป็น การยืนยัน ว่า
    การที่สิ่งที่ มีชีวิตใด..จะคิด อย่างไร
    ความคิด นั้นๆๆก็ จะอยู่บนพื้นฐาน ของ สิ่งที่ มีชีวิตนั้น
    คน กับ คน ก็เป็น แบบเฉพาะ อย่าง
    แมว กับแมว หรือ หมา กับหมา ก็เป็น อีกแบบเฉพาะอย่าง
    และเมื่อคน มาเกี่ยวข้องกับ แมว หรือ หมา..
    ความคิดก็จะไปอีกอย่าง
    ...........................................................................
     
  15. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    สัตว์อื่นๆๆ เช่น หมู วัว ควาย ฯลฯ
    เวลา ตาย..ก็จะถูกชำแหละ..
    และบางส่วนมาเป็นอาหารของ มนุษย์
    ซากสัตว์ ตาย..ถ้า คิดง่ายๆๆ.ก็คิดว่าน่าเกลียด สยดสยอง
    แต่ ตรงกันข้ามเวลา เราไป ตลาดสด.ไปที่เขียงหมู
    ............................................................
    คนหลายคน แตะต้องเนื้อหมูชำแหละ อย่าง สบอารม์
    เอานิ้ว จิ้ม เลือก ส่วนที่อยากกิน..เนื้อสามชั้น /เนื้อแดง/ คอหมู
    คนขายก็มีอารมณ์ ในการขาย..จับๆๆ ตัดๆๆ หั่นอยู่ ทั้งวัน
    ไม่เคยมีความคิดเลยว่า..มานั่งหั่นศพ ซาก สัตว์ ที่ ถูกฆ่า ตาย
    อย่างถูกกฏเกณฑ์ บ้าง ไม่ถูกบ้าง
    ................................................................
    ถัดไป เป็น เขียงเนื้อ วัว..ซึ่งผู้ขายมักจะเป็น กลุ่ม คนอิสลาม.
    .เพราะ กินเนื้อได้..และได้ ฆ่า ตาม กฏเกณฯฑ์ ของ ฮาลาล
    กลิ่นของ ซาก วัวตาย..อาจจะฉุน กว่า ซาก ของ หมู เล็กน้อย
    คงจะเป็นเพราะ..วัว ตัวใหญ่กว่า หมู
    คนซื้อ เท่าที่ สังเกตุดู..ก็ไม่ได้ รังเกียจซากวัว
    ยืนเลือก อย่างสะบายใจ..เนื้อ สันใน สันนอก ฯลฯ
    .............................................................
    วัว และ หมู หรือ ควาย..เป็นสัตว์ ใหญ่ ที่กิน เจ คือ
    กินหญ้า กินรำ กินเปลือก กินต้นกล้วย กินสาระพัดหญ้า
    เลือดจึงไม่คาวมาก..และอาจจะหอม สำหรับคนบางคน
    คนบางคน ชอบกิน เลือด หมู ต้ม..กินซุปหางวัว
    ...........................................................
     
  16. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    ทีนี้ ลองมาดู คน หรือ มนุษย์กันบ้าง
    คนเราเวลา ตาย โดยเฉพาะ อุบัติเหตุ รุนแรง
    หรือ มีการ ฆาตกรรม..จะมีเลือด ไหลนอง พื้น
    คนหลายคน ทนดม กลิ่นเลือดคนไม่ได้
    เพราะ คาว จนสุด จะ อธิบาย
    .....................................................
    ซาก หมู หมา ตาย..ข้างถนน..เราก็พอ ทน
    แต่ซาก ศพ คน ข้างถนน ที่ ขึ้นอืด..
    ลิ่นช่างสาหัส จริงๆๆ..
    ต้องชมกลุ่ม บริการสังคม เช่น ร่วมกตัญญุ
    ที่ ต้องทนกับกลิ่นของ มนุษย์ที่เหม็นหืดอย่างพะอืด พะอม
    .............................................................
    ทำไม เลือด คน จึง ฉุน และคาวมากกว่า เลือด หมู เลือด ไก่
    สัตว์พวกนั้น กินแต่หญ้า กินแต่พืช
    มนุษย์ กินทุกอย่าง ที่ มีอยู่..จาก ปลาและหนอนตัวเล็กๆ
    ไล่มาเป็น เป็ดไก่ หมู วัว ควาย..จนถึง ช้าง
    และ ปลาวาฬสัตว์ ที่ ใหญ่ที่ สุดในโลก
    ........................................................
    ร่างกายมนุษย์ จึงเป็นที่ รวมสุดๆๆ ของ กลุ่ม อาจม
    กลิ่นคน เลือด คน จึง แย่เอามากๆๆ
    ถ้าไม่เข้าข้างตัวเอง..อุจจาระ มนุษย์ เหม็น มากกว่ากองขี้หมา
    เวลา เดิน ผ่านกองขี้หมา ข้างถนน.
    เราก็เพียงแต่ ระวัง จะไม่เหยียบ ขี้หมากองนั้น
    แต่พอเจอกองขี้ ของ คน..
    เราจะมัก เอามืออุดจมูก และ เดินให้ ห่างให้มากที่ สุด
    ทั้งๆๆที่เป็นของ ของ คน หรือ มนุษย์ด้วยกันเอง
    ...........................................................
    มนุษย์ นั้น นอกจาก จะกิน สาระพัด อย่าง แล้ว
    ของบางอย่างก็กินกันอย่างเหลือ เชื่อ
    อิฐ หิน ปูนทราย บ้านทั้งหลัง ถนน ทั้งสาย
    นมบูด รถเมล์เป็น พันๆๆคัน..ค่าคอมมิชชั่น ฯลฯ
    เลือดคน จึง คาว ทั้ง คาวใน และคาวนอก ตัว
    ....................................................
     
  17. ตัวกลมๆ

    ตัวกลมๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +5,941
    ไชโย้ ได้พ่อบ้านจัดการบ้านช่องแล้วนะคะอาจารย์ คราวนี้บูธ042ต้องเตะตาก่าเดิมแน่ๆ
    ตกลงมีไก่กินปลวกแล้วนะคะ สงกรานต์ปีนี้มีของที่ระลึกเป็นไก่กินปลวก
    นกนางแอ่นกินยุง แมวไล่หนู ใส่กล่องเป็นของฝากที่บ้าน แหล่มเลย
    ******
     
  18. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    ที่บู๊ธ 042 เรามีสมาชิก ที่ มีพลัง จิต เข้าขั้นมากมาย
    เป็นผู้ ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ อย่างดี..
    สามารถติดต่อ สื่อกับ จิตอื่นๆๆในอีกมิติได้
    ......................................................
    มีอยู่ คนหนึ่ง ที่ เก่งค่อนข้างมาก..สัมผัสไว
    ชอบมานั่ง ทำสมาธิ ทำจิต ถอดจิต..ไปโน่น ไป นี่
    วันหนึ่งมานั่งเล่น ที่ บู๊ธ 042..
    และได้ พบ สื่อ พิเศษ ที่ เพิ่งพบใหม่เป็นสื่อ ที่เมื่อทำสมาธิ..
    จะช่วยให้จิต ลอยขึ้นสูง สู่เบื้องบนได้ ง่าย
    ............................................................
    เนื่อง จาก สื่อ นั้น ทำให้ ขึ้นลง ระหว่าง โลก กับ สวรรค์ได้ ง่ายมาก
    ในวันนั้นเขาจึงมานั่งทำสมาธิ ขึ้นบน เป็น สอง ครั้ง
    ครั้งสุด ท้าย พอกลับลงมา..ก็พบว่า มี ร่าง หลวงปู่ใหญ่
    หรือ หลวงปู่เทพโลกอุดร มายืน ข้างๆๆ ตัว ห่างไม่เกิน 1 เมตร
    ..................................................................
    หลายคนหันไปมอง..ก็พบว่า หลวงปู่ บอกใบ้
    เริ่มจากทำท่า ยืน เอาสองมือ ประสานกัน ข้างหน้า
    มือซ้ายทับมือ ขวา..แต่ประหลาดที่ ที่ นิ้วกลาง
    กับ นิ้วชี้..คีบบุหรี่ ไว้ หนึ่ง มวน
    .......................................................
    แล้ว หลวงปู่ ก็มือซ้าย ขึ้นสูง แล้ว ดีด บุหรี่ ทิ้งไป
    เรารู้ได้ ทันที ว่า..หลวงปู่ บอกให้ เลิก บุหรี่ ได้ แล้ว
    หลวงปู่ บอกใคร..เราก็หันไปหันมา ว่า ใครที่ หลวงปู่ บอก
    ..............................................................
    ในที่สุด ก็มาลงผู้ ที่ เพิ่ง ถอดจิต ขึ้นข้างบน มาสอง รอบ
    เพราะทุกคนรู้ว่า มีเขาเพียงคนเดียวในขณะนั้นยังสูบบุหรี่ อยู่
    หลวงปู่ ถาม ว่า เลิก บุหรี่ได้ ใหม..เขาก็ตกลงและให้ สัญญา
    ว่า แล้ว หลวงปู่ ก็ค่อยๆๆ จางหายไป
    ...............................................................
    พอหลวงปู่ไป..เราก็อยาก ทดสอบว่า จริง ใหม
    บอกให้ เขา จับ ซอง บุหรี่ ที่ มีบุหรี่ ค้างอยู่เกือบ ครึ่งซอง
    ทันทีที่เขาแตะ ซอง..เขามีอาการ อาเจียนทันที
    ลองจับไฟแช๊ก ดู..ก็เช่นกัน คือ จับไม่ได้
    ในที่สุด ก็ต้อง โยนทิ้ง ทั้ง ซองและบุหรี่ และ ไฟแช๊ค
    ............................................................
    เป็นครั้งแรก ที่ ได้ เห็น ว่า หลวงปู่ เทพ โลกอุดร
    ลงมาสอน ให้ คน เลิก บุหรี่..ในทันที
    ไม่ต้องไป โรงพยาบาล เพื่อการบำบัด
    เป็น ที่อัศจรรย์
    .........................................................
     
  19. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    วันนั้น ก่อนนอน..
    ยังข้องใจ เรื่อง หลวงปู่ เทพโลกอุดร มาสอนวิธีเลิก บุหรี่
    จึงถามท่านไป ทางจิต
    .....................................................
    หลวงปู่ ค่อน ข้างเครียด..บอกมาจิตเงียบๆๆ
    "มันถอดจิต ขึ้นข้างบน วันเดียว สอง ครั้ง
    ตัวมัน สูบ บุหรี่ จัด..เอากลิ่นบุหรี่ ขึ้นไปด้วย
    พอ ขึ้นไป..เทวดาก็เหม็นบุหรี่ สำลักลิ่นบุหรี่ ไปทั้งสวรรค์
    เทวดาเขาก็ บ่น ศิษย์ใครว่ะ..ทำสวรรค์เหม็นไปหมด
    มันเป็น ศิษย์ปู่.เขาก็ด่าปู่ ทางอ้อม..
    ปู่ก็ต้องลงมาจัดการ..เท่านั้นเอง..."
    ...........................................................
    จาก เรื่องนี้ ทำให้รู้ว่า นอก จากมนุษย์ จะสกปรก มีคาวมาก
    แล้ว ถ้า สูบบุหรี่ อีก..ก็จะยิ่งเหม็น ขึ้นไปอีก
    ตามคำคมที่ ว่า.."มนุษย์ขี้เหม็น เทวดา "
    และทำให้อดคิดไม่ได้ ว่า..มนุษย์ ที่ สูบ บุหรี่
    นอกจาก จะเป็น พลเมือง ชั้นสอง แล้ว
    .................................................
    เทวดา จะรังเกียจ ไม่ให้ เข้า สังคม เทวดา
    ถ้ามีบุญ ขึ้นสวรรค์ได้ ..ก็คงมีวิมาณ ผุๆๆ
    อยู่ นอกกำแพง สวรรค์
    เหมือนเพิง ขอทาน ข้างกำแพงวัด
    ....................................................
    จากเรื่องนี้ เช่นกัน ทำให้ คิดว่า
    หลวงตา หลวงปู่ บางองค์ ยัง คง สูบบุหรี่..ใช้ ยาฉุน
    อันเป็นของ ต้องห้าม สำหรับ สวรรค์...แล้วเวลา ละ สังขาร
    ท่านจะขึ้นไป ได้ อย่างไร และ อยู่อย่างไร บนสวรรค์
    ...........................................................
    ดังนั้นเพื่อ ส่งเสริม บารมีของ หลวงพ่อ หลวงปู่
    ไป ชาวเราอย่าได้ จัดซื้อ จัดหา บุหรี่ ยาฉุน มวนโอส
    ถวายท่านต่อไป...เพื่อ หลวงปู่ หลวงพ่อจะได้ ละสังขาร
    ได้ อย่าง เต็ม ภาคภูมิ ตาม คัลลอง ของ สวรรค์
    และต้องไชโย ให้ แก่ ตัวเอง..
    ที่ไม่เคยทั้ง สูบ ทั้ง ลูบบุหรี่ เลย
    ..............................................
     
  20. ธัญญ์นิธิ

    ธัญญ์นิธิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,794
    ค่าพลัง:
    +6,030
    มีของที่บู้ท 042 จตุจักร เลยเปล่าครับ จะได้แวะไปเอาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...