สัมมาทิฎฐิเป็นไฉน( ไม่ธรรมดา )

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 5 มีนาคม 2009.

  1. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ไม่ต้องเชื่อผมหมดก็ได้นะ ผมก็ยังไม่แม่น

    กำหนดรู้หนอ เห็นหนอ เพื่อไม่ให้จิตไปเกาะไปหลงกับสิ่งที่เห็น
    แม้คำบริกรรมจะหายไป แต่ สติที่แนบกับจิตรู้มันก็ยังอยู่ นี่คือสิ่งที่วิปัสสนาด่างจากจากสมถะ

    ส่วนสภาวะที่เกิดนั้นยังไม่ใช่วูบหรอก เป็นเพียงอาการในญาณ ตัวไหนจำไม่ได้แล้วและไม่ต้องไปสนใจด้วย

    เพราะว่าหากไปมั่วติดอาการนี้ จะทำสมาธิกี่ครั้งก็จะติดอยู่ตรงนี้

    ฟังเอาสนุกๆนะแว๊ดๆ
     
  2. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63

    ในคัมภีร์ฝ่ายเซ็นเล่าว่าวันหนึ่ง ขณะท่านพระสุภูติเถระนั่งเข้าฌามอยู่เทวดาทั้งหลายก็ โปรยปรายดอกไม้บูชาท่าน ครั้นท่านออกจากฌานแล้ว เหล่าเทวดาก็กล่าวขอบพระคุณท่านว่า
    พวกข้าพเจ้าทั้งหลาย ซาบซึ้งในพระธรรมเทศนาที่พระคุณเจ้าแสดงเป็นอย่างยิ่ ง
    พระเถระถามว่า อาตมาแสดงธรรมหรือ
    ใช่ พระคุณเจ้า


    อาตมามิได้แสดงธรรมที่ไหนเลย อาตมาเข้าฌามสมาบัติเพิ่งจะออกเดี๋ยวนี้เอง
    พระคุณเจ้าแสดงเรื่องความว่างอย่างไรเล่า
    พวกเทวดาหมายความว่า การที่พระสุภูติเถระนั่งเข้าฌานสมาบัติเงียบ ๆ รูปเดียวในป่าเปลี่ยว นั่นแหละเป็นการแสดงเรื่องความว่าง ท่านอยู่ในความสงัดวิเวกอย่างเป็นสุข เป็นแบบอย่างที่ดีของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
    นี่แหละที่เซ็นเขาว่า การพูดโดยไม่พูด การแสดงธรรมโดยไม่แสดง (ออกมาทางวาจา) มีผลยิ่งใหญ่นัก


    พระศรีเข้าสมาบัติอยู่หรือ
    ท่านแสดงธรรม มีใครรับรู้ธรรมของท่านไหม
    ท่านจะอธิบายธรรมว่าอะไรหนอ
     
  3. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    แต่ตอนที่ตัวมันหายไปนะ พี่โชแปง พอมันหายเสียววาบในใจแล้วอะนะ มันก็มาเห็นขาว ๆ ที่บอกไป

    จากนั้นก็กำหนดรู้หนอ ๆ แต่ไม่รู้ลิ้นปี่หรอกนะ เพราะมันไม่เห็นมีร่างกายเลย เสียงก็ไม่ได้ยิน มันเห็นอยู่แต่ว่า ขาว ๆ เขาค่อย ๆ ขยาย ๆ กว้างขึ้น ๆ

    จากนั้นค่อยมารู้สึกตัวตอนไหนไม่รู้ ก็จับรู้หนอ ๆ ปกติอะค่า

    แต่ตอนมาจับพองยุบใหม่ จับแป๊บเดียวก็ดิ่งเลย แล้วก็สอนไรไม่รู้ ไม่ได้สนใจ แล้วเขาก็บอกชื่อญาณมา ว่าอยู่ญาณนี้ ๆ แต่ไม่ได้สนใจอะค่า แต่มันมีแปลกอีกหน่อยนะพี่โชแปง คือเวลาเดิน ๆ จงกรมอะ ตรงระหว่างคิ้ว มันมีลูก ๆ กลิ้งได้ด้วย แปลกดี
     
  4. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    วิปัสสนาเป็นเรื่องปัญญา

    เรื่องสภาวะ ดับ วูบ เหมือนกายหาย นั้นก็มีการกล่าวถึง
    หากพิจารณาให้ดี พระพุทธองค์ตรัสไว้ไม่ผิดเพี้ยน
    ก็คิดว่าแว๊ดเจอกับตัวจริงๆแล้ว เรื่องการเห็นผิดในการ การยึดกาย อารมณ์และปัญญาก็จะเปลี่ยนไป

    มีคำกล่าวว่า
    คนเราจะไม่ยอมรับอะไรใหม่ๆ จนกว่าจะได้เห็นได้สัมผัสกับตัวเอง

    ไม่มีอะไรแปลกในพุทธศาสนาหรอก ทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ
    ที่ไม่ปกติ เพราะเราไม่ค่อยได้พบได้เจอความจริงธรรมชาติ ก็เท่านั้นเอง

    เรื่องสภาวะธรรมเล่าเอาสนุกได้ ผมก็พอมีเหมือนกัน
    แต่ไปหมกมุ่นมากก็ไม่ดีกับความก้าวหน้าทางวิปัสสนา

    ลองใช้ปัญญาสืบสาวดูสิ ว่ามันลงข้อธรรมไหนบ้างไหม

    ที่ฝึกยุบหนอพองหนอ หลวงพ่อจรัญใช่ไหม
     
  5. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    หรือแว๊ดจะเริ่ม บ้า ๆ บอ ๆ จริง ๆ แล้วแฮะ แป่ว ๆ
     
  6. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    โชแปงตถาคตมีความว่างเป็นวิหารธรรม

    โชแปงแนวเซ็นของพระมหากัสสปะเถระเจ้าเราก็ถนัดนะ

    ธรรมชาติแห่งการเป็นพุทธะ ดั้งเดิมของเรานั้น เป็นสิ่งที่ไม่มี
    ความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่นิวเคลียร์เดียว

    " ผู้ตรัสรู้ที่แท้จริงจะไม่ใส่ใจถึงพระพุทธเจ้า ไม่ใส่ใจในพระโพธิสัตว์ หรือพระอรหันต์
    ทั้งหลาย ท่านจะปฏิเสธการกระทำที่เพียงดูเคร่งขรึม เมื่อเป็นอิสระจากวัฏฏะจักรของสิ่ง
    ทั้งหลายด้วยความพยายามของท่านเอง ท่านจึงหมดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด
    ไม่ใช่จิต
    ไม่ใช่พุทธะ ไม่ใช่อะไรสักสิ่งเดียว ' "
    เมื่อนั้นเสรีภาพ
    อันสมบูรณ์จะมีอยู่
     
  7. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    มันลงข้อธรรมไหนหรอ ถ้าตอนที่จุกที่ลิ้นปี่ มันก็ทุกข์เนอะ แต่มันก็ยังปวดอยู่เหมือนกับอะไรหว่า ยังติดร่างกาย แล้ว ตอนที่ตัวมันหายไป เหมือนเราไม่สนใจร่างกายแล้ว แล้วก็ดับวูบลงไป พอมันไม่มีร่างกายมันก็ไม่มีทุกข์

    ฝึกพองหนอ ยุบหนอ ตามแบบหลวงพ่อจรัญค่ะ
     
  8. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเซนหรอก

    เห็นเขาว่าจิตเร็วกว่าแสง เมื่อฟังอย่างนี้ก็กลับมาคิด
    ไม่สำคัญเลยว่าจิตจะไปโผล่ปลายทางที่ไหน
    แต่สำคัญที่ว่า อะไรที่ทำให้จิตโผล่
     
  9. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ที่พูดสภาวะธรรมทั้งหมดนี่ แว๊ดกั๊กนะ
    เล่าสภาวะไม่หมด คิดว่าข้ามโคตรรึยัง
     
  10. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    [​IMG] [​IMG][​IMG]
    เจมส์.......................................ปังคุง
     
  11. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    ก็อธิบายไม่ค่อยถูก ภาษาบาลียาก ๆ จำไม่ได้ รู้แต่มันเป็นงี้อะ ก็พี่โชแปงบอกให้ลองคิดดู ก็แบบ พอมันวูบมันก็ไม่ปวดแล้ว ก็คือมีร่างกายแล้วมันทำให้ปวด พอไม่มีมันก็ไม่ปวด

    ข้ามยัง ไม่รู้อะ รู้แต่มันหายไป แต่มันก็ดิ่งง่าย ๆ ดีนะ จับแป๊บเดียว ดิ่งเลย
     
  12. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    อีกหน่อย มันเข้าออกตามกำหนดเวลาได้ด้วย แปลกดี
     
  13. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    จะปฏิบัติอะไรก็ตามอย่าหลบเวทนา จะเกิดปัญญาก็เพราะละเวทนาในจิต

    ขอโอกาสปังคุงแจม

    แว๊ดการกำหนดยุบหนอพองหนอ

    ถ้าไม่ถูกจริตจะกลายเป็นจุกเสียดแน่นหน้าอก
    โรคเครียดบ้า ๆ บอ ๆ ปวดหัวก็จะถามหา

    พอถึงทางตันจิตไม่สามารถยกขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนาญาณ
    ได้ก็จะเป็นสมาธิฟุ้งซ่าน เพราะไม่ใช่โลกุตตระธรรม

    เป็นขนิกะเฉียดอุปจาระ ยังไม่ป็นอัปปนาสมาธิ
     
  14. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    พี่สี เขาใช้ถึงอัปปานาสมาธิเชียวหรอ แล้วแว๊ดมานจะถึงหรอ
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    พี่โชแปง คุงแว็ดเขาก็พูดอยู่ตลอดนี่ว่า เข้า แล้วก็ออก

    ไม่น่าจะถามเรื่องข้ามโคตรนะ จะทำให้ยุ่งเปล่าๆ ชี้ธรรมคู่
    ไปเรื่อยๆ ก็น่าจะแจ่ม

    คุณแว็ดนี่เหมือนฝึกมาแนวหลวงพ่อจรัล คล้ายกับสหายคน
    หนึ่งที่ไม่ได้เข้ามานานแล้ว แต่คุณแว็ดนี่เข้ามาตลอด

    การฝึกเหมือนอีกคน แต่บุคคลิกก็ไปเหมือนอีกคน ...

    นะเอย นะเอย
     
  16. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    เขาเป็นคนแนะนำ แนวนี้ จะไม่ให้เหมือนกันได้ยังไง

    ก็บอกแล้วว่าฝึกสายนี้ไม่ได้ปิด บอกมาตั้งนานปีมะโว้

    อยากจะคุยม๊ะล่ะ จะได้เรียกเข้ามา

    บุคลิกน่ะไม่เหมือนกันหรอกนะ ไอ่แว๊ดน่ะมันมารร้าย ใครร้าย ร้ายตอบ ทางนู้น นู่น ไม่ค่อยพูด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2009
  17. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    มีอะไร ไปคุยกันข้างไหลไมค์ได้เลย พร้อมเสมอ

    คนเราจะเป็นแค่ผู้ชาย หรือจะเป็นลูกผู้ชายก็เลือกเอา

    หลังเว้ย ไม่ใช่ไหล เริ่มอีกแระตรู สงสัยจะได้ตอนก่อนไปนอนนะนี่
     
  18. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    พูดดี ก็ไม่ได้เว้ย ไอ่แว๊ดของขึ้นอีกแระ ไม่ชอบเหมือนใคร ตรูก็ใช้ชื่อนี้ของตรูชื่อเดียว

    ไม่ได้เปลี่ยนไปมาหรอกนะเฟร้ย
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อุ้ย เอาแบบนั้นเลยเหรอพี่ศรี

    ขออนุญาติคุณแว็ด เสนออีกประเด็นนะ อย่าพึ่งปวดหัวบวดหายหละ

    การทำสมาธิ เท่าที่ปรากฏในหลักสูตร มีสองแบบ

    แบบ แรกมหานิยม คือ การกำหนดอารมณ์ กำหนดอะไรสักอย่างเพื่อเกาะ
    ปรกตินิยมเกาะ คำบริกรรม เพราะคำบริกรรมแรกๆ จะเป็นวจีสังขาร เมื่อ
    จับไปเรื่อยๆ องค์สมาธิจะละเอียดตามธรรมชาติ วิตกดับ คำบริกรรมก็
    หาย เหลือเป็นใจบริกรรม ทำไปอีก วิจารดับ ก็จะไปเป็นปิติชนิดต่างๆ
    ของหลวงพ่อจรับรู้สึกจำแนกยิ๊บย่อยเพื่อให้รู้จัก ก็จับปิติไปอีก ก็จะเป็น
    สุข เป็นโอภาส (แสงสว่าง) ....ขอหยุดตรงนี้ก่อนนะ

    มาอีกแนว จับกายสังขาร ถ้า ยุบหนอ พองหนอ เป็นการจับที่กายมันยุบ
    พอง ก็จะต่างจากแบบแรก เปลี่ยนจากวจีสังขาร เป็น กายสังขาร แต่
    ที่นี้กายสังขารนี่ดับยาก เพราะเป็นรูป แต่ก็จะมีวิถีขององค์สมาธิเกิดเหมือน
    กันตั้งแต่ วิตก วิจารดับไป แล้วไปปิติ ไปสุข ไปสว่าง.....

    ทั้งหมดเป็นแบบแรก แบบแรกนี้จะมีอกาการหนึ่งเหมือนกัน คือ วูบตก อันนี้
    คือองค์บริกรรมที่จับมันดับตามธรรมชาติ เพราะสังขารทั้งหลายมีชาติ ชรา มรณะ
    เป็นธรรมดา ดังนั้น มันอาจจะเหมือนดับตามเวลา มีวูบหายไป ซึ่งเป็นเรื่อง
    ปรกติ เหมือนเราร้องเพลงก็ต้องเหนือย และหยุด แต่ถ้าเราจับอารมณ์ร้องเพลง
    ตอนสังขารร้องเพลงมันหยุด เรายังตามชอบใจ ก็เหมือนคนจับราวบันไดที่อยู่ดีๆ
    หายไป ก็ตกหุบเหวเป็นธรรมดา

    * * *

    คราวนี้มีแบบที่สอง คือ ไม่ได้กำหนดอารมณ์ขึ้นมาจับ แต่อาศัยสิ่งที่ปรากฏ
    อยู่แล้ว แต่เราไม่ได้จับเอาที่มันเป็นรูป เราจะจับลักษณ์มันแทน ลักษณะของ
    สังขารธรรมทั้งหลายในที่นี้คือ สามัญลักษณ์ ก็คือ การเกิด ดับ นั้นแหละ

    หากเราทำสมาธิแบบที่สอง เราตามดูการเกิด ดับ ตั้งแต่แรก สมาธิแบบนี้
    จะไม่มีอาการวูบเลย จะเป็นสมาธิที่มีสติรลึกรู้ตลอด จะรู้ตัวตลอด ที่ไม่วูบ
    เพราะเห็นมัยดับไปเนืองๆอยู่แล้ว ไม่ได้จับเอาไว้ เหมือนเรามองใบพัดลม
    ที่มันหมุนวนคล้ายเกิดดับ เราเห็นอยู่แล้วว่ามันไม่ต่อเนื่อง เราเลยตื่นตลอด
    แม้สังขารธรรมมันจะดับ

    ส่วเรื่อง วิตก วิจาร ดับ ปิติเกิด สุขเกิด โอภาสเกิด อันนี้มีเหมือนกันทั้งสองแบบ
     
  20. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    จะเล่าแบบนี้

    ที่เรามาลงทะเบียนเรียนศึกษาธรรมประถม เพื่อล้างความเชื่อเก่าๆออกไปก่อน เปรียบเหมือนน้ำดีไล่น้ำเสีย

    ก่อนศึกษาธรรม คิดว่าทุกท่านต่างมีความเข้าใจในพุทธศาสนากันไปคนละทาง
    บางท่านอาจเริ่มจากการส่องพระ มาเป็นนับถือเกจิ แล้วสนใจธรรม
    บางท่านอาจชอบฤทธิ์ เริ่มศึกษาคาถา แล้วสวดมนต์ ที่สุดมาลงสมาธิ
    บางท่านประสพปัญหาชีวิต พึ่งพระ พึ่งเจ้า มาลงที่การเข้าวัด
    บางท่านสนใจอยู่แล้ว
    บางท่านมาจากความชอบลึกลับ เรื่องเทพ สุดท้ายมาลงสมาธิ

    จะเห็นได้ว่าต่างภูมิต่างที่มา แม้นั่งสมาธิเหมือนกัน แต่ความเชื่อย่อมต่างกัน

    เปรียบเหมือนคนเดินอยู่ในเขาวงกต

    การปฎิบัติธรรมมาก การฟังมาก การคบมิตรดี ย่อมไปได้ถูกทาง ทางอนุโสดาย่อมเกิดกับทุกท่านได้

    ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราไปทำให้มันไม่ธรรมดาเอง
    เช่น ถือศีลเอาคุณ เอาขลัง
    ทำสมาธิเอาทิพย์ เอาวิเศษ
    หลงนิมิตติด เมืองแก้วเมืองแหวน
    หนักเข้าก็เป็นการเพิ่มพลังเทพ

    กลุ่มนี้เวลาปฎิบัติ เห็นนิมิตจะปลื้มมาก ที่เขาว่าหลงสภาวะ หลงนิมิตด้วยเหตุนี้

    โสดา แปลว่าผู้ฟังมาก ย่อมแยกสัมมาทิฏฐิออกจากมิจฉาทิฎฐฺได้ด้วยการฟัง
    ในทางปฎิบัติ สังโยชน์ 3ตัว เป็นทางที่ผู้เข้ากระแสละได้
    หากดูรวมๆ ก็เป็นการปรับฐานความรู้ซะใหม่เรื่องการปฎิบัติเพื่ออะไร
    ทีนี้เมื่อจิตมันเป็นสัมมาทิฎฐิแล้ว จะตกต่ำอีกไม่ได้แน่นอน เหมือนหงายของคว่ำ
    คือหงายแล้ว รู้แล้ว เห็นแล้ว เป็นอารมณ์ ตรงนี้จะติดตัวเราไปตลอดการปฎิบัติ

    เมื่อใครเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วไม่ต้องกลัวหลงทาง เพราะสายตรง คือทางเอกมีสายเดียว

    ที่กล่าวเพราะเริ่มปฎิบัติใหม่ ความหลงยังมีอยู่ หลงเทพ หลงคุณ หลงนิมิตยังมีอยู่
    เร่งเพียรให้แจ้งเถิด แล้วกงล้อธรรมจะหมุนด้วยแรงเฉื่อยแม้ท่านหยุดเพียร
    ทุกอย่างจะเป็นไปตามเหตุเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...