สัมมาทิฎฐิเป็นไฉน( ไม่ธรรมดา )

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 5 มีนาคม 2009.

  1. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    วันทั้งวันฉันไม่รู้อะไรเลยอ่านลูกเดียว

    การแสวงหามีสองอย่าง คือ การ<WBR>แสวงหา เรียนธรรมนั้นได้รวดเร็ว ชั่วขณะหุบปากเจรจาปราศรัยเท่านั้น ครั้นได้ตรัสรู้ สิ้นแห่งความรู้ หุบปากเงียบ อิ่มในธรรม ปิดหูซ้าย-ขวา ปิดตาสองข้าง หุบปากเสียบ้าง นั่งนอนสบาย
    มีดดาบจะคมต้องหมั่นฝน คนจะฉลาดต้องหมั่นเรียน ฌานจะแก่กล้า<WBR>ต้องหมั่นฝึกร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น จึงจะยืนหยัดฝึกจิตบำเพ็ญธรรมได้<WBR>สำเร็จ

    ผู้ปฏิบัติจึงควรรู้ อยู่ที่จิต ด้วยความเป็นกลางและนิ่งสนิทจริงๆ อย่าหลงกลอวิชชาฌานเป็นที่พักของจิต แต่เป็นที่พักที่ไม่เกื้อกูลต่อปัญญา

    ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงว่า ให้ทำลายก้อนอัตตา เมื่อทำลายก้อนอัตตาคือ สักกายทิฐินี้แล้ว หมดก้อนอัตตาแล้ว อนัตตาก็ไม่ต้องเรียก มันเป็นของมันเอง
     
  2. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    แล้วใช้สิ่งใดทำลายก้อนอัตตา ?
     
  3. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    ดูให้เป็นปัจจุบัน ไม่ต้องวิพากษ์ วิจารณ์ ค้นหา สงสัย ใช่ไหมคะ เกิดปุ๊บ จับปั๊บ

    ทำให้เหมือนเราดูกาย เหมือนกับ พอมันจุกลิ้นปี่มาก ๆ แล้วมันก็ดิ่งหายไปเอง ก็เอามาใช้กับจิตแทน เข้าใจถูกใช่ป่าวคะ

    ในชีวิตประจำวันจับได้ ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ค่อย ๆ สะสมหน่วยกิต งี้ใช่ไหมคะ
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คุณแว็ด ถ้าว่างและ net เร็ว

    ลองคลิก link ไปฟังเรื่อง ดูจิต ที่พระเทศน์ ไว้อีกสักเวอร์ชั่น

    คุณแว็ดจะได้เอามาประกอบเหตุผลเพิ่มเติมอีก

    สัญญาเป็นเหตุให้เกิดสติ ( มีเรื่องดูโกรธด้วย น่าจะฟังได้ง่ายสำหรับคุณแว็ด )
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    บุคคลจะล่วงพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร

    วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ
     
  6. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    ได้ค่า
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ติ๊งหน่อง..
     
  8. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    งั้นขอด้วย....การดูจิต สำหรับผมที่เข้าใจ เป็นสมมุติที่เรียกขึ้นเพื่อความเข้าใจง่ายๆรวมๆ จะว่าไปโดยความเข้าใจผมก้คือ สติปัฏฐาน 4 คือกระบวนการ ทำวิปัสนา ...
    การดูจิต ..ไม่ใช่การไปนั่งดูเฉยๆหากใครยังเข้าใจว่าเป็นการนั่งดูเฉยๆ ก้คงยังเข้าใจผิดไป
    ผู้ที่จะดูจิตได้..อย่างน้อยก็ต้องอบรม ทาน ศีล ประพฤติให้อยู่ ในศีล ถึงแม้จะเป็นการบังคับ ก็เพื่อให้เป็นอัตโนมัติ
    การดูเฉยๆเป็นคำชี้เฉพาะเวลายกมาอธิบายเพื่อให้เข้าใจในสภาวะที่เกิดขึ้น การตามรู้ ไปเนืองๆเท่านั้นเอง
    ..ว่าสั้นๆ ใครที่จะเรียกรวม ว่ายังไม่สามารถดูจิตได้ ก้ไปดูเวทนา คือ ดูความรู้สึก สำหรับที่เรียกว่าดูนี้ คือ การอาศัยการสังเกตุ กายใจไปเนืองๆ จึงบางครั้งเปรียบเหมือนการดู ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการบ่งชี้ การอธิบายเฉพาะ
    หากใครยังดูเวทนาไม่ได้ ก็ไปสังเกตุดูกาย
    หากใครยังไม่สามารถสังเกตุดูกายได้ก็ ให้ ฝึกสมาธิ ทำสมาธิก่อน
    หากใครยังไม่สามารถทำสมาธิได้ ก็ให้ฝึกรักษาศีลก่อน
    หากใครยังฝึกรักษาศีลไม่ค่อยได้ ก็ควบคู่ไปกับการ ทำทานก่อน
    การจะใช้คำที่ว่า การดูจิต ผู้ฝึกจึงควร ทำความกระจ่างความเข้าใจในการดูจิตให้เข้าใจก่อน ฝึกฝนจริง เมื่อเข้าใจวิธีการแล้วจะรู้ว่า การดูจิตสำหรับผมแล้ว ก็คือกระบวนการทำวิปัสนา

    ในความคิดเห็นส่วนตัวอีกกรณีหนึ่งสำหรับผู้ที่ทำสมาธิได้ยากก็ฝึกแบบวิปัสนายานิกหรือเรียกว่าฝึกแบบ สุขวิปัสโก ก็คือฝึกแบบสบายๆ...คือกรณีการดูที่กาย คือการสังเกตุ กายที่ขยับไปในชีวิตประจำวัน เรียกว่า สังเกตุเวลากายขยับ ก็ให้ระรึกรู้ ว่าขยับ เท่านั้นเอง แค่สังเกตุว่าขยับเท่านั้น เมื่อทำไปเนืองๆ จะเป็นการฝึก สติให้อยู่ใกล้กับตัว ไม่ไปไหนไกล ไม่ส่งไปไกล เรียกว่า ให้ลงมารู้ที่กาย แต่การสังเกตุที่กายนี้ ก็ไม่ใช่ให้ไปตั้งท่าคอยจ้องว่ากายจะขยับตอนไหน อะไรแบบนี้ หรือ สังเกตุลมหายใจไป ว่าสั้นบ้าง ยาวบ้าง หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง อาศัยแค่สังเกตุเท่านั้นแค่ตามรู้หรือเรียกว่าดูเฉยๆแต่ไปเรื่อยๆ ไม่บีบคั้น พอเมื่อ สังเกตุกาย บ่อยๆ เนืองๆ จนชำนาญ จะระลึกได้บ่อยขึ้น เมื่อชำนาญ มันจะไปตามที่เวทนาเอง บางครั้งมันไปเห็นเวทนาเอง เช่น ชอบไม่ชอบ หรือยินดี ยินร้าย หรือสุข ทุกข์
    ผลจากการสังเกตุกายเนืองๆ เมื่อชำนาญ จะระลึกได้บ่อยขึ้น จนบางครั้งจะไปรู้ถึงปีติ ที่เกิดขึ้นแทน จากสติที่เกิดบ่อย เรียกว่าทำปีติโดยไม่ต้องเข้าไปนั่งสมาธิในท่านั่ง ซึ่งปีติแบบนี้จะเบา ซอฟ ไม่แรงเท่าปีติที่ได้จากท่านั่งสมาธิ จะมาเบาๆ หายๆ แรกๆจะเป็นเบาๆ นานๆทีจะเกิด พอ จนชำนาญ ปีติก็จะเกิดบ่อย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าท่านั่งสมาธิ เมื่อเราชำนาญในการดูกาย คราวนี้มันจะไปเห็นเวทนาที่ชัด จากบางครั้งที่ไปเห็นกาย ครั้งแรกที่เราจะตกใจว่านี่ร่างกายใคร ครั้งแรกมันจะตกใจและแปลกมาก ที่ไปรู้อย่างนั้น คราวนี้เมื่อชำนาญ มันก็จะไปรู้กายที่ไม่ใช่เราได้บ่อยขึ้น อย่างอัศจรรย์ หลังจากที่เห็นครั้งแรกที่ตกใจ พอเห็นบ่อยๆๆ มันจะไประลึกได้ ที่เวทนา จนมันได้บ่อยขึ้นจนชำนาญ บางครั้งมันไประลึกที่ความยินดี เช่นพอเรารู้สึกยินดี มันจะไประลึกตรงนั้น เป๊ะทำให้เรารู้สึกตัวกว่าปกติของสติธรรมดา พอมันไปเห็นที่เวทนา บ่อยๆชนชำนาญ มันจะไปเห็น สิ่งที่มันไหวๆ ที่ลิ้นปี่ ชัดๆ แรกๆที่ไปเห็นหรือไปรู้ มันจะรู้สึกว่าเราเป็นอะไรไปโดนฝีสิงหรือใครกระทำอะไรหรือเปล่า พอเราสังเกตุไปเรื่อยๆ จะรู้สึกอาการสั่นๆ กระเพื่อม ที่ลิ้นปี่ช่วงตรงกลางอก ยิ่งพอเวลาเราโดนใครกระทบ
    การกระทบนี่ กระทบได้ทั้ง อายตนะ 12 บางครั้ง กระทบจากอดีต บางครั้งกระทบจากปัจจุบัน บางครั้งกระทบที่อนาคต ทำให้เรารู้สึกไม่ชอบหมั่นไส้คนนั้น มันจะวิ่งฟี๊ดๆ ขึ้นหน้า โดยเริ่มที่ช่วงกลางอก วิ่งขึ้น อย่างเร็วๆ หาก สังเกตุจนมันจำสภาวะนี้ได้มันจะขาดตรงนั้น ไม่ไปขึ้นหน้า อย่างที่เค้าว่ากันว่าโกรธจนเลือดขึ้นหน้า หากเราเริ่มฝึกจนถึงช่วงนี้จะต้องส่งเสริมการทำสมถะอาจจะใช้โดยการสวดมนต์บทยาวๆสำหรับผู้ที่ทำฌานได้ลำบาก ...แต่หากเป็นสายผู้ฝึก สมถะวิปัสนายานิก จะชำนาญการทำฌานสลับไปสลับมาสนับสนุนการเดินวิปัสนา...เพื่อให้มีกำลังหนุนสติ หรือบางครั้งก็ต้องไปทำทาน สังฆทาน ตามเหตุปัจจัย ..เพราะบางครั้งมันจะทำให้เราดูเหมือนฟุ้งมาก แต่จริงๆไม่ได้ฟุ้ง บางครั้งมันไปคิดพิจารณาเอง เช่นว่า เราเจอคนถามตอนนั้นเราตอบไม่ได้ พอไปหลายๆวันบางครั้งมันไประลึกเป๊ะคำตอบได้ อยู่ๆก็ระลึกคำตอบได้ประมาณนี้.....ขอแค่นี้ก่อนครับตามที่ผมพอเข้าใจ
     
  10. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    กว่าจะเข้าได้ เฮ่อ....
     
  11. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    อย่าให้ทิฏฐิสูงมาปิดกั้นท่านเจ้าสำนักเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2009
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    พิมพ์ไปแล้วเมื่อเช้า ดันหายไปซะ
    พิมพ์ใหม่ให้อีกรอบ

    ไม่เป็นไร พิมพ์ใหม่

    อาหาร คือ สิ่งที่เป็นเชื้อ ให้กิเลสก่อตัวได้ เช่น ชอบรู้ ชอบหมายไปเรื่องนั้นเรื่องนี้
    และ ชอบคิดไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่เรียกว่า อาหาร เช่น พิมพ์ไปหน่อยหนึ่งรู้ไปถึงนั่นถึงนี่ไปเรื่อย หรือ คิดไปโยงเหตุไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่แหละ เรียกว่า อาหาร แต่ถ้าลูกศิษย์พระพุทธองค์ จะสำรวมใ้นเรื่องอาหาร

    หากมีเจตนา ทำไมจึงมีภพ ตอบว่า ไม่ต้องมีเจตนามันก็มีภพอยู่ ถ้าละทิ้งเจตนาไปหมดก็เท่ากับ สุดโต่งไป การจะข้ามฝั่งก็ต้องใช้แพ ถ้ายังไม่ถึงอย่าเพิ่งทิ้งแพ

    นิพพานเห็นในภพไม่ได้ แต่เรากำลังพูดถึงเรื่องวันนี้ ไม่ใช่เรื่องเมื่อวาน
    ดังนั้น การที่ไปพูดเรื่องของผลญาณ ซึ่งไม่ได้เกิดตลอดเวลา ไม่เท่ากับ วกกลับไปอดีตหรอกหรืออนาคต มองไม่เห็นหรือ ผลญาณนั้นต้องทำให้แจ้ง ไม่ใช่เอาแต่พูดถึงเรื่องพระนิพพานโดยการทำทัสนะอย่างเดียว เพราะความเป็นจริงที่เห็นพระนิพพานจบไปทันใดนั้นก็มีอวิชชาปิดไปแล้ว
    ทางที่ถูกคือ ต้อง ปฏิบัติเพื่อให้แจ้ง

    การจะเอาเรื่องเมื่อวานมาพูดวันนี้ ไม่ถูกเพราะว่า เรากำลังเดินทาง ไม่ใช่ไปประดิษฐ์อยู่ตรงนั้น
    นี่แหละ เขาเรียกว่า วิปัสสนูกิเลสของแท้ จำเอาไว้

    เพราะอะไร เพราะมรรคไม่เกิด การเดินเพื่อดับกิเลสไม่เกิดเลย ไม่เห็นหรือ
    จำเอาไว้ว่า การที่ไม่ยอมเดินออกจากกิเลส โดยอ้างว่าต้องอย่าไปทำอะไรเพิ่มเติม นั้นเป็นโมหะทั้งสิ้น

    จะต้องเดินออกจากกิเลส ด้วย อริยมรรคมีองค์ 8 เท่านั้น ให้ดูข้อสองในอริยมรรค คือ ดำิริออกจากกาม คือ สำรวจจริงๆ แล้วเดินออกทันที
    แต่ถ้ายังพูดแต่ พระนิพพาน โดยไม่ต้องทำอะไรนั้นแหละ คือ การติดหล่ม

    การจะตัดภพตัดชาติ มันไม่ใช่แค่ดูจิตเลย มันยังห่างมาก มันต้องมีกำลังใจ ต้องตัดภพคือไม่อาลัยเสียดาย ในสรรพสิ่ง ไม่กลัวตาย จิตใจนี้มันต้องแข็งแกร่ง ต้องมองเห็นภัย
    ต้อง ทิ้งได้หมด นั่นแหละ ธรรมจึงเกิด

    การจะทิ้งได้ดังที่บอก ก็ต้องอาศัยองค์ธรรมทุกประการ เพื่อขัดเกลาจิตใจให้มีกำลัง ให้เห็นธรรม เพียงพอที่จะประหารความหลง ถ้ายังดูจิตเฉยๆแบบนี้หมดสิืทธิ์
     
  13. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ทิฏฐินี้ ถ้าปราศจากปัญญา มานะตลอดถึงอุปาทานจะเข้ายึด ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นนั้นๆ
     
  14. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    `จารย์แว๊ด ไปทานข้าว หายเลย
     
  15. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    อันนี้ฟังแระ ก็คือไม่ใช่ดูเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ แต่ต้องพิจารณา ใช้สติ ท่านก็สอนดีนี่
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แจ่ม

    ถ้าฟังพอเข้าใจนี่ก็แจ่ม ถ้าฟังเข้าใจมันก็เบิกบาน

    เบิกบานเพราะได้ฟังธรรมหรือ ก็เปล่า จริงๆ มันมาจากผล
    การปฏิบัติที่คุณแว็ดได้ทำไว้แล้ว มัน mix and match
    ขึ้นมา มันก็จะกล้าหาญ

    ธรรมะของพระพุทธองค์ เป็นหนทางเดินคนเดียว
    ถ้าปฏิบัติถูก เราจะกล้าขึ้นเรื่อยๆ เพราะมี แสงแห่งปัญญา

    [​IMG][​IMG]
     
  17. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    อันนี้เข้าไปฟังมาแล้ว และก็จดออกมา ที่น่าสนใจ จดไม่ทันก็มี แต่ทำความเข้าใจเอา

    คือ สติเกิดจากการจำสภาวะได้แม่น ,สติแปลว่าความระลึกได้

    รู้แต่ไม่รู้ว่ารู้อะไร นั่นแหระรู้ ,รู้ตามที่เขาเป็นไม่ต้องไปแทรกแทรง

    แต่ตรงที่ท่านบอกว่า คิดหนอ โกรธหนอ ไม่ต้องบริกรรม ใช้สติตามระลึกรู้เอา (มันยากเพราะมนุษย์ต้องการที่เกาะก่อน เหมือนยึดแล้วค่อยปล่อย อันนี้แว๊ดคิดเองนะ) อันนี้แย้ง ๆ กับหลวงพ่อจรัญ ที่ว่าท่านให้บริกรรม ให้สะสมหน่วยกิจ แล้วสติมันจะรู้เอง

    รู้มันลูกเดียว รู้หนอ เห็นหนอ เจ็บหนอ โกรธหนอ ตรงนี้เป็นสติไม่ให้จิตไหลไปติดอารมณ์ พี่โชแปง กล่าวไว้ในหน้า 37


    แว๊ดก็เข้าใจอย่างหลวงพ่อที่ท่านสอนนะ เพราะบางอย่างสภาวะธรรมอะไรเข้ามา แว๊ดไม่ต้องบริกรรม สติเขาบริกรรมเอง อาจจะเพราะบริกรรมสะสมไว้มาก งี้อะคะ จากที่แว๊ดประสบมา

    แว๊ดนึกออก ที่หลวงพ่อสอนอีกหน่อย ตรงที่ว่า อย่างปวด ปวดหนอ ๆ นี่เป็นสมถะยึดไว้ก่อน แต่เมื่อมัน หายไปเมื่อไหร่ เป็นอาการพระไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ต่อหน้าต่อตา เป็นวิปัสสนา จำผิดจำถูก พี่ ๆ มาช่วยแก้อีกทีนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2009
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** หลักสัจจะธรรม & การหลุดพ้นทุกข์ ****

    หลักสัจจะธรรม คือ หลักธรรมเที่ยง ... ที่ปักไว้อย่างมั่นคง
    มีแก่นสาร คือ...."ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน"

    หาก เราพิจารณา...จะพบว่า
    ผลตอบแทนของตัวกระทำ ก็คือ.... กรรม ที่เป็นของใครของมัน
    ไม่ว่าจะเจตนา หรือไม่เจตนา....ก็เกิดเป็นตัวกระทำ ขึ้นมา
    อุบัติเหตุ โรคภัย...เป็นตัวอย่างของ กรรมที่ไม่เจตนาให้เกิด
    แต่ มันเป็นผลจาก....การกระทำที่ไปเบียดเบียนผู้อื่น โดยไม่เจตนา

    เมื่อ พระพุทธเจ้า ... ค้นพบ หลักสัจจะธรรม ที่มีอยู่ในธรรมชาติแล้ว
    จึงได้ค้นคว้าหา....หนทางหลุดพ้นทุกข์
    พบว่า...
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ครับใช่ อุบายของพระทั้งสองจะแตกต่างกัน ผมจึงพยายามจะพูดน้อยๆ
    แต่ให้คุณคุยกับคุณ โชแปง มากๆ เพราะ คุณ โชแปงจะเข้าใจ อุบายธรรม
    ของหลวงพ่อจรัลมากกว่าผม

    ความแตกต่างของอาจารย์แต่ละท่านจะต่างกันตอนเริ่มต้นถีบจักรยาน

    จะมีท่าขึ้นแตกต่างกัน แต่พอขี่จักรยานได้คล่องแล้ว คราวนี้จะเป็น
    เรื่องการปล่อยมือจาก hand ต้องทำอย่างไรจะพอดี โดยที่จักรยาน
    ไม่เป๋ซ้ายเป๋ขวา

    ผมพอทราบเลาๆ ก็ตรง ปักหมุด ปักลิ้นปี่

    อันนี้จะมาเหมือนกัน แต่ผมไม่เคยเรียนกับหลวงพ่อจรัล หากให้
    ผมคิดเอง การปักมุดตรงนี้ก็คือ การปล่อย เพราะปักหมุดนี่คือ
    การหยุดบริกรรม น่าจะเป็นอุบายให้ทิ้งคำบริกรรม แล้วไปใช้การ
    ระลึกการปักหมุด ซึ่งจะค่อยๆเงียบไปเรื่อยๆ หากปักหมุดโดยไม่
    ต้องพากษ์ แค่ทำใจระลึกที่กลางอกไว้เนืองๆ ก็จะเห็นตัณหามัน
    ดับที่กลางอกต่อหน้าต่อตา
     
  20. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    อ่านอีกรอบวันนี้

    อ่าน ไป ยิ้ม ไป

    ไม่ อยาก เชื่อ ว่า คน ที่ ได้ ชื่อ ว่า เป็ฯ นัก ปฏิบัติ จะ เป็น ไป ได้ ถึง เพียง นี้

    เพื่อ ละ วาง ตัว ตน ตก ลง มอง เห็ฯ หรือ ไม่ เห็น กัน เนี่ย เฮ่อ

    เนื่อง จาก เกิด อาการ จิต ตก และ หด หู่ โดย ไม่ รู้ สาเหตุ กรรม ใคร ก็ กรรม มัน

    ยัง ไง ยัง ไง ผม ก็ ถูก ที่ สุด ใน ความ คิด เห็น ของ ผม อยู่ แล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...