สัมมาทิฎฐิเป็นไฉน( ไม่ธรรมดา )

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 5 มีนาคม 2009.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ศรีฯเอยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมีภูมิธรรมเพียงแค่นี้
    ลองสั่งขันธ์๕ ให้เป็นไปอย่างใจหวังสิ
    ถ้าขันธ์๕ เป็นแก้วสารพัดนึกจริง
    จงให้ขันธ์๕ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ต้องตายดูสิ


    ถึงว่าสิ ยังต้องอาศัยขันธ์๕ของน้องแคทมาเป็นแก้วสารพัดนึก
    เพื่อให้ตัวเองได้ผ่อนคลายจากความฟุ้งซ่าน หงุดหงิดฯลฯด้วยน้องแคทนี่เอง


    ;aa24
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ศรีฯเอย โอ้วแน่ใจนะว่าข้ามพ้นโลกสงสารแล้ว
    ผมเห็นยังข้ามน้องแคm(แสง สี เสียง)ไม่ได้เลยนิ พูดไปได้

    เราก็อาศัยขันธ์ห้ามาพิจารณา อนุโลมปฏิโลม
    ใช่ครับ แต่ขันธ์๕หาใช่แก้วสารพัดนึกไม่
    เป็นเพียงสักแต่ว่าเป็นที่ระลึกรู้ สักแต่ว่าเป็นที่อาศัยเท่านั้น
    แก้วสารพัดนึกที่แท้จริงคือจิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

    ใครที่พ้นจากบ่วงมารละจ๊ะ???
    แค่เรื่องง่ายๆยังไม่พ้น แน่ใจนะว่าพ้นบ่วงมารแล้ว???

    ;aa24
     
  3. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิรัตนทั้ง๗

    [​IMG]
     
  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    สาธูการีธรรมากร ( ตอนที่ 36 )

    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0in; mso-padding-alt: 0in 0in 0in 0in" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ffdc9b 1pt solid; PADDING-RIGHT: 20pt; BORDER-TOP: #ffdc9b 1pt solid; PADDING-LEFT: 20pt; BACKGROUND: white; PADDING-BOTTOM: 24pt; BORDER-LEFT: #ffdc9b 1pt solid; PADDING-TOP: 24pt; BORDER-BOTTOM: #ffdc9b 1pt solid; mso-border-alt: solid #FFDC9B .75pt">จักรแก้ววิชาน่ารู้
    บัดนี้ จักพรรณนา “รัตนะ” ของพระเจ้าจักรพรรดิให้เข้าใจ เพราะพระเจ้าแผ่นดิน ถ้ามีรัตนะครบทั้ง ๘ ประการนี้ นิยมว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นเจ้าโลกไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดในโลกจะต้านทานกำลังได้ จึงเป็นใหญ่ในโลก เป็นเจ้าโลก ท่านแสดงไว้ว่ามีขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว นาน ๆ จึงมีขึ้นคราวหนึ่ง รัตนะนั้น แปลว่า ของวิเศษทำความปรารถนาให้สำเร็จได้ แปลอย่างย่อว่าแก้ว แก้วนั้นเป็นชื่อแห่งของดีวิเศษ ถ้าของสิ่งใดเป็นของดี โลกสมมุติให้ชื่อว่า แก้ว เหมือนอย่างพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็สมมุติชื่อว่า พระรัตนตรัย ผู้ชายดีก็ว่า ขุนแก้ว ผู้หญิงดีก็ว่า นางแก้ว ช้างดีม้าดีก็ว่า ช้างแก้วม้าแก้ว คำว่า แก้ว เป็นเครื่องหมายแห่งของดี ฯ
    ทีนี้ จักบรรยาย “แก้วซึ่งเป็นของวิเศษ” สำหรับพระเจ้าจักรพรรดิ คือ นางแก้ว ๑ จักรแก้ว ๑ ขุนคลัง ๑ ช้างแก้วม้าแก้ว ๑ ปรินายกแก้ว ๑ นายพระทวารแก้ว ๑ ขุนพลแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ จักรรัตนะ ๘ สิ่งของเหล่านี้พวกเราจะไม่ได้เห็น เพราะมีขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว ชีวิตของเราจะตายเสียเปล่า จักไม่ได้เห็น จักแสดงให้เห็น ของที่มีอยู่แล้ว ไม่ต่างอะไรกันกับ จักรรัตนะ เหล่านั้น คือ สมบัติซึ่งมีอยู่ในตัวของเรา เมื่อเทียบกันดูก็จักให้เห็นจักรรัตนะ ไม่ต้องคอยดูให้เสียเวลา พึงเห็นเนื้อความดังนี้ ฯ<O:p
    ที่ ๑ นางแก้ว หมายความว่า นางงามพร้อมด้วยอิตถีลักษณะ ฉลาดในกิจวัตร บำเรอพระเจ้าจักรพรรดิ ให้เบิกบานสำราญพระราชหฤทัย ท่านพรรณนาคุณไว้ว่า ถึงพระเจ้าจักรพรรดิร้อน เนื้อนางแก้วเย็น พระเจ้าจักรพรรดิหนาว เนื้อนางแก้วนั้นอุ่น บำเรอให้พระเจ้าจักรพรรดิสำราญพระราชหฤทัยอยู่ทุกเมื่อ ดังนี้ จึงได้ชื่อว่า นางแก้ว ฯ<O:p
    ที่ ๒ จักรแก้ว นั้น เป็นจักรอย่างวิเศษ อาจนำพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จไปสู่ทิศานุทิศได้รับการต้อนรับในโลก จึงได้ชื่อว่า จักรแก้ว ฯ <O:p
    ที่ ๓ ขุนคลังแก้ว นั้น เป็นคนฉลาดในการประมูล พระราชทรัพย์มาบรรจุท้องพระคลังหลวงให้ล้นเหลืออยู่เสมอ จึงได้ชื่อว่า ขุนคลังแก้ว ฯ<O:p
    ที่ ๔ ช้างแก้วม้าแก้ว นั้น เป็นราชพาหนะอันวิเศษ อาจนำพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จไปสู่ประเทศที่ต้องพระราชประสงค์ สำเร็จดังใจนึกใจหมาย จึงเรียกว่า ช้างแก้วม้าแก้ว ฯ<O:p
    ที่ ๕ ปรินายกแก้ว นั้น ได้แก่ อัครมหาเสนาบดี มีปรีชาสามารถ อาจสำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระเจ้าจักรพรรดิได้ จึงได้ชื่อว่า ปรินายกแก้ว ฯ<O:p
    ที่ ๖ นายพระยาทวารแก้ว นั้น ได้แก่ นายรักษาประตู เป็นคนฉลาด เลือกบุคคลที่จักเข้าเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเห็นว่าไม่มีคุณประโยชน์ จะไปรบกวนให้ขุ่นเคืองพระราชหฤทัยก็ห้ามเสีย ปล่อยให้เข้าเฝ้าได้แต่บุคคลที่นำประโยชน์และความสุขเข้าไป จึงได้ชื่อว่านายพระทวารแก้ว ฯ<O:p

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ที่ ๗ ขุนพลแก้ว นั้น ได้แก่ แม่ทัพผู้ฉลาดในเชิงรบ รู้กำลังของข้าศึก ทั้งกล้าหาญ อาจเอาชัยชนะแก่ข้าศึกได้เสมอ จึงได้ชื่อว่า ขุนพลแก้ว ฯ
    ที่ ๘ แก้วมณีโชติ นั้นเป็นแก้ววิเศษ อาจส่องในที่มืดให้สว่างได้ จึงชื่อว่าแก้วมณีโชติ ฯ<O:p
    แก้วทั้ง ๘ ประการนี้มีคุณวิเศษต่างๆ กัน ล้วนแต่เป็นสมบัติมีค่าอันจะประมาณมิได้ จึงได้ชื่อว่า อนคฺฆา มีค่าสูงพ้นวิสัยที่จะประมาณว่าเท่าไรได้ พึงเข้าใจจักรรัตนะมีคุณวิเศษไว้ดังนี้ ฯ<O:p
    บัดนี้ จักอธิบาย วิธีน้อมเอา จักรรัตนะ ทั้ง ๘ นั้น เข้ามาสู่ตัวของเราให้ตรงกับพระธรรมคุณ บทว่า โอปนยิโก ซึ่งแปลว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วนั้น อาจที่จักน้อมเข้ามาสู่ตัวได้ดังนี้ ฯ คำที่ว่าพระเจ้าจักรพรรดินั้น หมายความว่าเจ้าโลก ถ้าน้อมเข้ามาสู่ตัวของเรา ได้แก่ ใจของเรานี้เอง เพราะใจเป็นเจ้าเป็นใหญ่แก่เครื่องจักร เครื่องยนต์ คือ ร่างกายอันนี้ ร่างกายอันนี้ก็ชื่อว่าสัตว์โลก จึงสมมุติ ใจ ชื่อว่า พระเจ้าจักรพรรดิ แปลว่าผู้ยังจักรรัตนะให้เป็นไปในอำนาจ ฯ<O:p
    ๑. นางแก้ว นั้น ได้แก่ ร่างกายของเรา นี้เองเพราะว่าอะไรจะเป็นของยอดรักยิ่งกว่าร่างกายนี้ไม่มี ร่างกายเป็นผู้บำรุงให้ใจได้รับความสุขไม่มีสิ้นสุด ที่ว่าพระเจ้าจักรพรรดิร้อน เนื้อนางแก้วเย็น หมายความว่า เป็นธรรมดา ถ้าเวลาร้อนจัดอย่างเต็มที่ เหงื่อชุ่มทำให้ร่างกายเย็น ถ้าเวลาหนาวจัดร่างกายอุ่น ร่างกายเป็นของรักแก่ใจ เป็นอย่างเหลือที่จักพรรณนา จึงเปรียบด้วยนางแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ<O:p
    ๒. จักรแก้ว นั้น ได้แก่ อิริยบถทั้ง ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ถ้าจักรยังมีกำลังหมุนเวียนไปได้อยู่เพียงใด กิจการงานทั้งสิ้นอาจสำเร็จได้เพียงนั้น แม้ปรารถนาจะเดินไปให้รอบโลก ก็อาจสำเร็จได้ ถ้าจักรอันใดอันหนึ่งหมุนไม่ได้แล้ว กิจการงานที่เราปรารถนาจักไม่สำเร็จเลย เพราะเหตุนั้น อิริยบถทั้ง ๔ จึงเปรียบด้วยจักรรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิ ฯ<O:p
    ๓. ขุนคลังแก้ว นั้น ได้แก่ มือทั้ง ๒ เพราะมือทั้ง ๒ นี้ ถ้าไม่วิการ อาจทำกิจทั้งปวงให้สำเร็จได้ จะทำนา ทำสวน หรือทำการค้าขาย แสวงหาโภคทรัพย์หรือจะทำการรับจ้าง ตลอดถึงราชการ หาลาภ หายศ ก็สำเร็จทั้งสิ้น เพราะเหตุนั้นมือทั้ง ๒ จึงเปรียบด้วยจักรรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิ ฯ<O:p
    ๔. ช้างแก้วม้าแก้ว ได้แก่ เท้าทั้ง ๒ ถ้าไม่วิการแล้ว อาจจักนำร่างกายอันนี้ให้เดินไปได้ในทิศานุทิศสำเร็จได้ตามความประสงค์ ถ้าจะเทียบกับช้างจริงม้าจริง เท้าทั้ง ๒ จะดีกว่าเสียอีก เพราะว่าช้างจริงม้าจริงนั้น คงจะพาเดินไปได้แต่ตามทางหรือแผ่นดินราบ ๆ เท่านั้น ส่วนเท้าทั้ง ๒ นี้ อาจสามารถจะพานำเอาร่างกายอันนี้เดินไปในป่ารก ๆ หรือพาขึ้นต้นไม้ ภูเขา ลงห้วย ลงเหว ก็สำเร็จได้ทุกหน้าที่ เพราะเหตุนั้น จึงเปรียบด้วยช้างแก้วม้าแก้ว ของพระเจ้าจักรพรรดิ ฯ<O:p
    ๕. ปรินายกแก้ว ได้แก่ ปากและลิ้นของเรา นี้เองถ้าไม่วิการจะพูดจะสั่งกิจการงานอะไรสำเร็จได้ตามใจประสงค์ จะบริโภครสเปรี้ยวหวานอะไรสำเร็จ ปากและลิ้นนี้นับว่าเป็นผู้สำเร็จในการงาน สำหรับบำรุงร่างกายให้เป็นอยู่ได้ เพราะเหตุนั้น จึงเปรียบด้วยปรินายก คือ อัครมหาเสนาบดี ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระเจ้าจักรพรรดิ ฯ<O:p
     
  6. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ๖. นายพระทวารแก้ว นั้น ได้แก่ จมูก เพราะจมูกเป็นที่ระบายลม บรรดาสัตว์ทั่วโลกมีลมเป็นอาหารสำคัญ จมูกคอยระบายลมที่ดีเข้าไปเลี้ยงกาย ระบายลมที่เสียออกจากร่างกายอยู่เป็นนิตย์ เปรียบเหมือนนายพระทวารของจักรพรรดิ คอยเลือกผู้จะเข้าเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเห็นว่าท่านผู้ใดไม่มีประโยชน์ นำแต่ความรำคาญเข้าไปสู่พระเจ้าจักรพรรดิ ก็ห้ามกันเสีย ปล่อยแต่ผู้นำประโยชน์และความสุขเข้าไปสู่พระเจ้าจักรพรรดิ จมูกก็กันลมที่เสียออกไป ปล่อยแต่ลมที่บริสุทธิ์เข้าไปบำรุงร่างกายเท่านั้น จึงเปรียบด้วยนายพระทวารแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ ฯ
    ๗. ขุนพลแก้ว คือแม่ทัพนั้น ได้แก่ หูทั้ง ๒ นี้เองเพราะหูเป็นหน้าที่รู้ข่าวใกล้ไกลได้ทุกประการ ธรรมดาผู้เป็นแม่ทัพ ย่อมฉลาดในวิธีสอดส่องสืบสวนรู้กำลังของข้าศึก รู้การใกล้การไกล อาจเอาชัยชนะได้ หูทั้ง ๒ นี้ก็เป็นผู้รู้ข่าวร้ายและดี ทั้งทางใกล้และทางไกล นับว่าเป็นผู้ป้องกันร่างกายให้พ้นภยันตรายได้ทุกหน้าที่ จึงเปรียบด้วยขุนพลแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ ฯ<O:p
    ๘. แก้วมณีโชติ นั้น ได้แก่ ตาทั้ง ๒ ของเรานี้เอง เพราะตาเป็นของสำคัญมาก ถ้าไม่วิการ อาจสำเร็จในการดูแลได้ทุกหน้าที่ จะดูของดีของงามหรือของชั่วเลวทรามจะดูสิ่งที่มีโทษหรือมีคุณ ย่อมสำเร็จด้วยตาโดยมาก ถึงจะเรียนวิชาการทั้งปวง ตลอดถึงการหาทรัพย์ในดินสินในน้ำต้องสำเร็จด้วยตาทั้งสิ้น เพราะเหตุนั้น ตาจึงเปรียบด้วยแก้วมณีโชติของพระเจ้าจักรพรรดิ ฯ<O:p
    จักอธิบายอีกชั้นหนึ่ง ด้วยเห็นความว่า ถ้ารู้จักสกลกาย ก็จักทำประโยชน์อะไรให้สำเร็จสมบูรณ์ ด้วยจักรรัตนะเพียงเท่านั้นได้ ให้เห็นสกลกายนี้เป็นของวิเศษยิ่งกว่าจักรรัตนะเสียอีก คือให้เห็นว่าเรามีแก้วสารพัดนึกอยู่ในตัวถึง ๘ ประการ เราไม่ต้องกลัวความยากความจนเราสามารถที่จักใช้แก้ววิเศษของเราให้สำเร็จกิจ ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมได้ ร่างกายนี้เป็นแก้วสารพัดนึกของวิเศษดวงหนึ่ง ถ้าร่างกายไม่วิการ คือ ไม่เจ็บไม่ไข้ ไม่เกิดฝีเกิดตุ่ม เราสามารถใช้ให้ประกอบกิจการงานให้สำเร็จได้ทุกหน้าที่ การใช้ร่างกายก็ไม่ต้องบังคับบัญชาด้วยวิธีอื่น เพียงแต่นึกว่า เราจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ก็สำเร็จได้ ร่างกายจึงได้ชื่อว่าแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่งฯ อิริยาบถทั้ง ๔ ก็จัดเป็นแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่ง เพราะการ ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นจักรเป็นล้อสำหรับนำร่างกายให้หมุนอยู่เสมอ คือ ยืนแล้ว เดินแล้ว นั่งแล้ว นอนแล้ว ยืน เดิน นั่ง นอน ต่อไป หมุนเวียนอยู่อย่างนั้นเสมอ ถ้าขัดล้อใดล้อหนึ่ง ร่างกายนี่ก็หมุนเวียนไปไม่ได้ ถ้าหมุนเวียนไปไม่ได้ ก็ทำกิจการงานอะไรไม่ได้ เหมือนรถมี ๔ ล้อ ถ้าเกิดขัดข้องเสียล้อใดล้อหนึ่ง รถก็หมดอำนาจ จะใช้ขับขี่บรรทุกลากขนอะไรไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่า อิริยาบถทั้ง ๔ เป็นเครื่องนำร่างกายให้หมุนเวียนทำประโยชน์ให้สำเร็จอย่างนี้ จึงควรนับว่าเป็นจักรแก้วสารพัดนึกซึ่งมีอยู่ในตัวของเรา เมื่อรู้ว่าจักรของเรายังดีอยู่ กิจที่เราควรทำรีบทำเสีย จะเป็นการทำมาหาเลี้ยงชีพ หรือจะเรียนศิลปะวิทยาทั้งปวงก็รีบเรียนให้รู้เสีย หรือบำเพ็ญบุญกุศลสิ่งใด ก็รีบทำเสีย อย่ามีความประมาท ให้เหมือนอย่างเจ้าของรถ ถ้ารู้ว่าล้อรถของตัวยังดี ก็รีบบรรทุกลากขนให้สำเร็จประโยชน์เสียเช่นนั้น การใช้อิริยบถทั้ง ๔ ก็ไม่ต้องลำบาก นึกจะยืนก็ยืน นึกจะเดินก็เดิน นึกจะนั่งก็นั่ง นึกจะนอนก็นอน เพียงแต่นึกก็สำเร็จ อิริยาบถจึงชื่อว่าแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่งฯ มือทั้ง ๒ นั้นจัดเป็นแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่ง ถ้ามือไม่วิการเจ็บป่วย อาจจักใช้ให้กระทำการงานสำเร็จได้ เราใช้คนอื่นจักให้สะดวกเหมือนมือของเราเองเป็นอันไม่ได้ มือนี้เราอาจใช้ได้ทุกเวลา ไม่เลือกว่ากลางวันกลางคืน สุดแต่เราจะใช้ไม่แสดงความเกียจคร้านเหน็ดเหนื่อยเลย และใช้ได้
     
  7. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ดังใจนึกใจหมายด้วย การใช้มือนั้นเล่า ก็ไม่ต้องใช้ด้วยวิธีอื่นเพียงแต่นึกว่าให้ทำเท่านั้น พอนึกเท่านั้นก็ทำทันที เพราะเหตุนั้น มือทั้ง ๒ นี้จึงได้ชื่อว่าแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่งฯ เท้าทั้ง ๒ นี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่ง ด้วยเท้าเป็นพาหนะอันสำคัญ พาหนะอื่นๆ ดังช้างแก้วมาแก้ว รถไฟ รถยนต์ เรือเหาะ เรือบิน เรือไฟ เรือยนต์เป็นต้น โลกนิยมกันว่าเป็นพาหนะอันประเสริฐใช้ได้สะดวกรวดเร็วใช้ขี่ขับไปได้ทันอกทันใจ แต่ความจริง พาหนะเหล่านั้นขัด ๆ ข้อง ๆ ไม่ทันใจมนุษย์เลย คำโบราณท่านย่อมว่าพาหนะใด ๆ จะให้ทันใจคนเหมือนอย่างม้าก้านกล้วยเป็นอันไม่มี ดังนี้ ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า เท้าเป็นพาหนะอย่างเอกขับขี่ไปได้ทันอกทันใจ การขับขี่จะไปในทิศใด ก็ไม่ต้องตระเตรียมให้ลำบาก พอนึกว่าไปเถอะ ก็ออกเดินทีเดียวหรือจะใช้ให้วิ่ง พอนึกว่าวิ่งเถอะก็วิ่งทันที สำเร็จได้สมนึก สมหมาย เพราะเหตุนั้น เท้าทั้ง ๒ นี้จึงชื่อว่าแก้วสารพัดนึก ฯ ปากและลิ้นของเรานี้ ก็เป็นแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่ง ด้วยว่าร่างกายและจิตใจของเรานี้ที่จักสมบูรณ์อยู่ได้ ต้องอาศัยปากและลิ้นเป็นผู้อุปถัมภ์ ถึงการศึกษาเล่าเรียนท่องบ่นจำทรงสรรพวิชาทั้งปวง หรือจะสั่งเสียการงานอะไรหรือจะบริโภคอาหารบำรุงร่างกาย ก็ต้องใช้ปากและลิ้นทั้งสิ้น จึงเปรียบด้วยผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระเจ้าจักรพรรดิ การใช้ปากและลิ้นก็ไม่ลำบาก เพียงแต่นึกเท่านั้น ก็สำเร็จกิจนั้น ๆ สมดังความประสงค์ ปากและลิ้นจึงชื่อว่าแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่งฯ จมูกของเรานี้ ก็ชื่อว่าแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่ง ด้วยว่าจมูกเป็นผู้ระบายลมเลี้ยงร่างกาย ใช่แต่เท่านั้น ยังใช้ให้สืบสวนกลิ่นดี กลิ่นชั่ว เหม็น หอม กลิ่นที่มีพิษ และหาพิษมิได้ บรรดากลิ่นที่มีโทษ หรือมีคุณ ต้องใช้ให้จมูกเป็นผู้พิสูจน์ การใช้ไม่ลำบากเพียงแต่นึกเท่านั้นก็พิสูจน์ทันที สำเร็จตามความประสงค์เพราะเหตุนั้น จมูกจึงชื่อว่าแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่งฯ หูทั้ง ๒ ของเรานี้ ก็ชื่อว่าแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่ง ด้วยว่าหูทั้ง ๒ นี้ เป็นผู้รับข่าวทางใกล้ทางไกลได้ตามความปรารถนา ถ้าไม่วิการคือไม่หนวก เราอยากฟังสรรพสำเนียง เสียงสิ่งใดๆ ก็ใช้หูนี้แหละให้เป็นผู้ฟัง เป็นต้นว่าเสียงดนตรีต่างๆ หรือเสียงเพลงขับกาพย์กลอน หรือคำสั่งกิจการงานและคำสั่งสอนเป็นอาทิ ต้องใช้หูนี้แหละเป็นผู้ฟัง การใช้งานก็ไม่ลำบาก เพียงแต่นึกให้ฟังก็สำเร็จ คล้ายกับแม่ทัพผู้ฉลาดรู้การรอบคอบ ป้องกันข้าศึกได้รอบทิศ เพราะเหตุนั้น หูทั้ง ๒ นี้ จึงชื่อว่าแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่งฯ ตาทั้ง ๒ นี้ ก็ชื่อว่าแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่ง ด้วยว่าเป็นผู้ส่องให้เห็นสรรพวัตถุ ให้สำเร็จ ได้ตามปรารถนา เราอยากจะดูสรรพวัตถุ สิ่งใดๆ หยาบ ละเอียด ประณีต เลวทราม ต้องใช้ให้ตาดูสำเร็จได้ทั่วไป จะดูหนังสือหรือรูปเบ็ดเตล็ดสำเร็จได้ทุกหน้าที่ จะทำกิจการงานอะไรต้องให้ตาเป็นผู้ช่วยทั่วไป โดยที่สุดเราจะเดินไปในที่ใดหรือจะนั่งจะนอน ต้องใช้ตาให้ดูเสียก่อน เพื่อป้องกันการหลงทาง หรือป้องกันอันตราย ตาเป็นของวิเศษสำหรับร่างกาย ถึงแม่ว่าเราจะทำบุญให้ทานรักษาศีล เล่าเรียนศิลปะวิทยาทั้งปวง ต้องใช้ตาทั่วไป พรรณนาคุณของตาไม่มีที่สิ้นสุด การใช้ก็ง่าย พอนึกว่าให้ดูก็เห็นทีเดียวเพราะเหตุนั้น ตาทั้ง ๒ จึงชื่อว่า แก้วสารพัดนึกดวงหนึ่งฯ เมื่อได้ลิขิตประพันธ์จักรรัตนะและแก้วสารพัดนึกให้ลงเป็นอันเดียวกัน ล้วนเป็นของมีอยู่ในตน เท่ากับเป็นกระจกสำรับส่องดูภาพของตน ถ้าเห็นว่าตนมีของวิเศษพรักพร้อมอยู่แล้ว จะได้ตรึกตรองใช้ให้ถูกทาง เพราะว่าธรรดาของวิเศษ ถ้าใช้ทางดีก็ดีจริงด้วย ถ้าใช้ทางชั่วทางผิด ก็ชั่วจริงผิดจริงด้วย บรรดาญาติและมิตรผู้จะสงเคราะห์ให้ความสุขแก่เรา สู้เราใช้แก้วสารพัดนึกให้หาเองทำเองไม่ได้ บรรดาข้าศึกศัตรูภายนอกผู้ปองร้ายนำโทษทุกข์ภัยอันตราย นำความผิดความเสียหายมาให้แก่เรา สู้เราใช้แก้วสารพัดนึกของเรา ทำอันตรายแก่เราเองไม่ได้ฯ ขอให้มองดูบรรดาคนที่ได้รับโทษ ต้องถูกเครื่องจองจำคุมขัง หรือคนที่โลกเขาติเตียนว่า เป็นคนประพฤติตนเป็นคนเลวทรามทั้งสิ้น ตกอยู่ในจำพวกใช้ของวิเศษในตัวให้ทำในทางที่ผิด จึงเกิดเป็นข้าศึกแก่ตนเองเกิดมาเป็นคน เมื่อรู้ว่า
     
  8. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ตนเป็นผู้สามารถจะประพฤติได้ทั้งทางดีและทางชั่ว ก็พึงตั้งใจงดเว้นทางชั่วเสีย เพราะความชั่วมีแต่นำโทษทุกข์และภัยอันตราย มาทับถมตนให้ได้รับความเดือดร้อนทั้งชาตินี้ชาติหน้าเท่านั้น ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติแต่ส่วนสุจริต คือให้รักษาศีล ๕ นี้แหละเป็นตัวสุจริตธรรม แต่ให้ตั้งใจรักษาให้เต็มทั้ง ๘ ลักษณะ คือ ให้ตั้งใจงดเว้นกายทุจริต ๔ คือ เว้นการฆ่าสัตว์ ๑ เว้นการลักของท่าน ๑ เว้นการล่วงกามที่เขาหวงแหน ๑ เว้นการดื่มน้ำเมา ๑ ฯ ให้ตั้งใจรักษาวจีสุจริต ๔ คือ เว้นการพูดคำเท็จคำไม่จริง ๑ เว้นการพูดคำหยาบคายกระทบเสียดสีผู้อื่น ๑ เว้นการพูดยุยงให้ท่านแตกร้าวผิดเถียงกัน ๑ เว้นการพูดเล่นหาประโยชน์มิได้ ๑ ฯ ผู้ใช้แก้วสารพัดนึกให้รักษาศีลอย่างนี้ ชื่อว่าประพฤติสุจริตธรรม คือ ประพฤติดีจะได้รับแต่ความสุขความสรรเสริญตลอดกาลทุกเมื่อ ฯ การประพฤติดีชื่อว่าใช้ของดีให้ทำความดีก็จักได้รับผลอันดี ให้ความสุขทั้งชาตินี้ชาติหน้า การรู้จักอัตตคุณสมบัติอันมีอยู่ในตนเป็นเหตุให้รักษาตนเป็นพลเมืองดี การรักษาตนให้เป็นคนดีนั่นแหละ ชื่อว่า รักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ รักถิ่นฐานภูมิลำเนาของตน บุคคลผู้ฉลาดรักษาตนให้ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม ชื่อว่ารักตน และชื่อว่าทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตนโดยตรงฯ จักแสดงตนไว้บ้างเล็กน้อย เพราะตนนั้นบอกกันตรงๆ ไม่ได้เหมือนกับความไข้ จะบอกว่าไข้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้บอกไม่ได้ บอกได้แต่อาการมีร้อน หนาว ปวด เจ็บ เป็นต้น ตนของเราก็บอกไม่ถูกเช่นนั้น บอกได้แต่อาการ คือ ผู้รับสุขทุกข์ ผู้รับร้อนรับหนาว ผู้รับดีรับชั่ว ผู้รับนินทาสรรเสริญ นั่นแหละชื่อว่า ตน คือ ผู้รู้ผู้เป็นเจ้าของแห่งจักรรัตนะทั้ง ๘ นั่นแหละชื่อว่า ตน ตนนั้นไม่มีสัณฐาน ไม่มีเล็กไม่มีโต จะว่าโดยส่วนเล็กก็เล็กกว่าปรมาณู จะว่าโดยส่วนโตก็โตเต็มโลก เพราะเป็นชาติกายสิทธิ์ ตนนั่นแหละ โบราณพากันร้องเรียกว่า ผี ที่ให้ชื่อว่า ผี นั้น ก็เพราะบอกถูกจึงให้ชื่อว่า ผี ถ้าผีนั้นยังครองร่างอยู่ ก็ให้ชื่อว่าคนหรือให้ชื่อว่าสัตว์ ถ้าผีทิ้งร่างกายเสียแล้ว ร่างกายที่ผีทิ้งแล้วนั้น ท่านพากันเรียกว่า ซากผี ที่แปลกันว่าศพทุกวันนี้ แต่คำที่ว่าสัตว์นั้นหนักแผ่นดิน ดังที่ปรากฏอยู่ในวัตถุนิทานว่า โพธิสตฺโต สัตว์ผู้จะตรัสรู้สมมาสัมโพธิญาณ พึงเข้าใจว่า ผีหรือสัตว์นั้นแหละเป็นตัวเรา ถ้าแสดงตามทางปรมัตถ์ เป็นสภาวธรรม จึงว่าไม่ใช่เรา เป็นชาติกายสิทธิ์ ไม่มีแก่ ไม่มีตาย ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นสังขาร ที่ผีหรือสัตว์เขาปรุงขึ้นอาศัยชั่วคราวต่างหาก ถ้าผีหรือสัตว์ยังมีอาสวะอยู่ ก็ปรุงอัตตสมบัติอยู่ร่ำไป ถ้าเขาหมดอาสวะแล้ว เขาก็หมดปรุงเป็นกายสิทธิ์ไปทีเดียว ชื่อว่าถึง “พระนิพพาน” พึงเข้าใจว่าตนนั้น ถ้าถึงนิพพานแล้วก็สิ้นเรื่องยุ่งกัน จึงชื่อว่า “เอกันตบรมสุข” ดังนี้แล ฯ

    วันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๒
    ................................................................................................................................<O:p
    ขอขอบคุณที่มาบทความ : หนังสือสาธูการีธรรมากร เผยแพร่โดย วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ( หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร<O:p
    27 สิงหาคม 2550
    เวลา 09:50 น. [A-306]
     
  9. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    สมบัติของพระมหาบุรุษรัตน์ (องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า) นั้น
    ยิ่งใหญ่กว่า สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ ใดๆในโลก

    เพราะ ทรงอยู่เหนือโลก พ้นโลกแล้ว โลกมิอาจครอบงำ

    [๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบลก็ดี ปทุมก็ดี บุณฑริกก็ดี
    เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ ขึ้นพ้นจากน้ำตั้งอยู่ แต่น้ำไม่ติด
    แม้ฉันใด.

    พระตถาคตเกิดแล้วในโลก เจริญแล้วในโลก
    ย่อมครอบงำโลกอยู่ แต่โลกฉาบทาไม่ได้
    ฉันนั้นเหมือนกันแล.

    (smile)



    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2009
  10. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    แก้วสารพัดนึก ที่แท้จริง คือ จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

    จิตพ้นโลก เหนือโลกแล้ว โลกมิอาจครอบงำ

    (smile)
     
  11. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>โชแปง, ธรรมะสวนัง </TD></TR></TBODY></TABLE>
    (smile)
     
  12. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    "แล้วไอ้ตำราดูซิ ไปยึดแต่อารมณ์เข้ามา ไปยึดเข้ามาทำไม<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    อารมณ์เป็นปีกนอก ได้แก่พวกสังขารเกิดดับ-โลก-ทุกข์วุ่นไม่เข้าเรื่อง"

    หลวงปู่เปรม เปมงฺกโร
    <O:p>(smile)</O:p>
    <O:p> </O:p>
     
  13. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
  14. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    haha55+ขออภัย
    แล้วไฉนจึงต้องไปดูคอนเสิร์ตน้องแคท เพื่อผ่อนคลายล่ะ ?

    (smile)
     
  15. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    พระศรีว่าคำสอนพระอริยะเมตไตรจะสอนอะไรเป็นสำคัญ

    ในขณะที่ มนุษย์ย่างเข้าเทคโนโลยีเต็มตัว ทุกอย่างที่พระเจ้าทำได้มนุษย์ก็ทำได้แล้ว
     
  16. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    haha55+ขออภัย

    คราวหน้าน้องแคทเปิด คอนเสิรทก็ให้พระศรีชวนเพื่อนในนี้ไปด้วยสิ หุหุ แบ่งกันไป
     
  17. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คอนเสิร์ตน้องแคท เป็นโลกธรรมในโลก

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นโลกธรรมในโลก

    พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น
    ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น.

    บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
    กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น

    เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น
    ผู้เป็นปุถุชนคนพาล บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น.

    [๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบลก็ดี ปทุมก็ดี บุณฑริกก็ดี
    เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ ขึ้นพ้นจากน้ำตั้งอยู่ แต่น้ำไม่ติด แม้ฉันใด.

    พระตถาคตเกิดแล้วในโลก เจริญแล้วในโลก
    ย่อมครอบงำโลกอยู่ แต่โลกฉาบทาไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกันแล.

    (smile) ปุปผสูตร
     
  18. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    หุหุ เพื่อนในนี้จะได้เป็นพระศรีด้วย 55+ขออภัย

    (smile)
     
  19. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ฟังไปเถอะครับ ถ้ายังต้องข้องแวะทางโลกอยู่ ยังมีกิจ มีหน้าที่ต้องทำอยู่

    ของพวกนี้วัดใจเราได้ ว่ารู้สึกอย่างไร หมดจากใจหรือยัง หรือเป็นปัญญามากน้อยแค่ไหน
    การไปเดินหนี โดยเขาว่าๆกันมา มันก็ไม่ต่างกับ ถือศีลเอาขลัง ถูกไหม

    อยู่ท่ามกลางสิ่งยั่วยุ แต่วางเป็นมิประเสริฐกว่าการเดินหนีดอกหรือ
     
  20. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ขอบคุณค่ะ คุณโชแปง ทำให้นึกถึงหลวงปู่เปรมฯ ที่กล่าวไว้ว่า

    ทีนี้มานึก อ้อ อวิชชาไอ้โง่ ตัณหาต้องการ อุปาทานยึด<O:p></O:p>
    ทีนี้เห็นสมุทัยซิ ไอ้นี่ไม่ดี-เป็นเหตุให้ผสม<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อุปาทานแปลว่ายึด มึงดันยึดทำไม ไอ้ตัณหามันบอกให้เอา<O:p></O:p>
    ไอ้ตัณหาเกิดมาได้อย่างไร อวิชชาไอ้โง่<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    โง่เรื่องอะไร ก็มึงไม่รู้จักตัวของมึงเอง และไม่รู้จักสิ่งที่ยึดเข้ามา<O:p></O:p>
    ก็มึงน่ะดีอยู่แล้ว ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย<O:p></O:p>
    เสือกไปยึดเอาของตายเข้ามาทำไม ไอ้โง่<O:p></O:p>
    (ไม่รู้จักทั้งสองปีก)<O:p></O:p>

    หลวงปู่เปรม เปมงฺกโร

    อ่านเต็มๆที่นี่ค่ะ เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    (smile)
     

แชร์หน้านี้

Loading...