นับถือศาสนาอื่นอยู่แค่อยากเรียนนั่งวิปัสนา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย teeratoy2002, 13 กรกฎาคม 2009.

  1. teeratoy2002

    teeratoy2002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +417
    การรับแบพติส หรือที่คุณเรียกว่าศิลจุ่ม ผมรับมาตั้งแต่แรกเกิดแล้วครับ เพิ่งจะทราบครับว่า โป๊ปองค์ก่อนท่านฝึกสมาธิ เดินจงกลมด้วย ขอบพระคุณครับ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แบบที่สาม แบบนี้หากฝึกเป็นแล้วจะง่าย เนียนสุดๆ ไม่มีใครดูออกเลยว่า คุณกำลัง
    ทำสมาธินอกศาสนา แต่มันยากมากที่จะทำได้ตรงตามลักษณะของสมาธิ ทั้งนี้เพราะ
    มันง่ายเกินไปในการน้อมนำไปปฏิบัติ จนทำให้ปลงใจเชื่อยากสักหน่อยในช่วงแรกๆ

    แต่ถ้าทำถูกอารมณ์ ตามบทบัญญัติ จะใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน ในการทำความเข้าใจ
    เพิ่ม แล้วหลังจากนั้น หากคุณปราถนาจะหยุดปฏิบัติ จะไม่มีทางทำได้ เว้นแต่จะยุ่ง
    อยู่กับงานของโลกแบบสุดๆ ก็อาจจะลืมไปเลย กลับมาต่อก็ทำไม่ถูก

    ลองฟังดูนะครับ

    สมาธิชนิดนี้ จะเป็นการฝึกสมาธิเพื่อมุ่งเจริญสติสัมปชัญญะ จะเห็นว่า โดย
    เนื้อหาของการปฏิบัติก็แทบจะไม่เกี่ยวกับศาสนาเลย มันเป็นกลางสุดๆ ใคร
    บ้างไม่อยากมีสติสัมปชัญญะที่ดี แล้วถ้าเราจะมีสติสัมปชัญญะที่ดี ที่ไว ก็
    ไม่เห็ยเสียหายอะไรเลย ดีเสียอีก อาจจะเอาไปทำงานในชีวิตประจำวันได้ดี
    ยิ่งขึ้น ทำให้ครอบครัว และคนแวดล้อมมีความสุขขึ้น ส่งเสริมความรัก ความ
    เมตตาตามหลักศาสนาเดิมของคุณได้อีก

    สิ่งที่ต้องฝึก ง่ายนิดเดียว คือ การฝึกรู้สึก ระลึกรู้ สภาวะกาย สภาวะของใจ
    ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไปเรื่อยๆโดยไม่ยึดมั่น ไม่ค้าง ไม่คา รับรู้ ทำความรู้สึกระลึก
    รู้กายใจไปเรื่อยๆ เช่น

    กายกระทบสิ่งร้อน เย็น อ่อน แข็ง ผลักๆดันๆ หดๆรวมๆเข้ามา ก็รู้สึกไปตามนั้น
    จบลงที่การรู้สึก ไม่พรรณาว่า ร้อนอย่างไร เย็นอย่างไร อ่อนอย่างไร แข็งอย่างไร
    รู้จบลงที่รู้ รู้เรื่อยๆ เนืองๆ โดยรู้ในผัสสะด้านที่เป็นกายตนเท่านั้น ตรงนี้เป็นการรู้กาย

    มาการรู้ใจบ้าง เมื่อทำไปแล้ว แน่นอนแหละใจจะต้องเกิดการเคลื่อนไหวเปลี่ยน
    แปลง เกิดสภาวะชอบใจ ไม่ชอบใจ เกิดสภาวะสุขใจ เกิดสภาวะปิติใจ เกิดสภาวะ
    ใจที่เหม่อออกไป ลอยออกไป เกิดสภาวะใจที่หดเข้ามา หม่นหมองเข้ามา แน่นเข้ามา
    หรือ จ้าออกไป โพล่งออกไป เบาใจ หนักใจ โกรธ หลง โลภ อะไรก็ตาม รู้ไปตาม
    ที่มันเป็น ระลึกเห็นเฉพาะที่นิยามได้ว่าเป็นสภาวะ รู้แล้วจบลงที่รู้ ไม่เติมรู้ รู้เรื่อยๆ
    รู้เนืองๆ รู้ลูกเดียว โดยรู้เฉพาะอารมณ์ของตนเท่านั้น

    ทำแบบนี้ไปนะครับ ให้เวลาในการฝึกระลึกรู้ตัวแบบนี้ สักสามเดือน หากสงสัยเกิด
    ขึ้นว่า มันจะได้ผลอะไร ก็ให้รู้สึกไปเลยครับว่า จิตกำลังสงสัย แล้วอย่าไปเติมความ
    สงสัย หรือ คอยตอบคำถามให้กับความสงสัย เราฝึกเพื่อเจริญ สติสัมปชัญญะ เท่านั้น
    จึงไม่จำเป็นต้องคิดมากกว่ามันจะรู้อะไร จะเกิดญาณทัศนะอะไร รับรองว่าทำสมาธิ
    แบบนี้ไม่ถูกจับไปวาติกันแน่ๆ

    แล้วสติสัมปชัญญะที่ไวขึ้น ตรงนั้นคุณจะรู้เห็นเองว่า มันมีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต
    ประจำวันของคุณอย่างไร รับรองเลยครับว่า กิเลส กร่ำกลายคนที่มีสติสัมปชัญญะดี
    และไวไม่ได้หรอก เอาแค่นี้ก็พอแล้ว

    แต่จะตอบโจทย์ที่คุณต้องการได้หรือไม่ได้ ก็ขึ้นกับว่า คุณจะฝึกฝนหรือไม่ น้อม
    ไปปฏิบัติดูหรือไม่ เท่านั้น 3 เดือนเอง ไม่นานเกินไป เน๊าะ!

    * * * *

    สมาธิ แบบที่4 ของดบรรยายนะครับ เพราะจะผิดโจทย์ที่คุณตั้งไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2009
  3. teeratoy2002

    teeratoy2002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +417
    คุณนิวรณ์ครับ ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำครับ เรื่องไปวาติกัน ถ้าปฏิบัติถึงขั้นได้ไปจริง ๆ ก็ไปครับ เพราะผมเองก็ไม่ได้ติดใจอยากได้ อยากมี อยากอยู่ ตรงไหน ที่ไหน อยู่แล้วครับ ส่วนวิธีที่ปฏิบัติแบบที่สามยังไม่ค่อยเข้าใจครับ เรื่องการฝึกรู้สึกน่ะครับ หมายความว่าถ้าผมแตะสิ่งใด สิ่งนั้นจะแข็ง จะอ่อน จะร้อย จะเย็น ก็ให้รู้สึกตามนั้นใช่มั๊ยครับ แต่ว่าความรู้สึกนี้มันก็เป็นความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์เราอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ เช่นเราแตะน้ำเราก็รู้แล้วว่าน้ำนี้นุ่ม เราแตะหินเราก็รู้ตัวเองว่าหินนี้แข็ง แล้วเราจะฝึกอย่างไรล่ะครับถึงจะตรงประเด็นที่คุณนิวรณ์ให้ฝึกอย่างถูกต้องครับ ขอคำแนะนำเพิ่มครับ ขอบพระคุณครับ
     
  4. teeratoy2002

    teeratoy2002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +417
    ยินดีที่ได้ทราบว่าคุณหลบภัยเป็นคริสต์เหมือนกันครับ แนะนำบ้างนะครับ ผมรู้ตัวว่าโง่มากทางด้านนี้ ยังต้องการคำแนะนำอีกเยอะครับ ขอบคุณครับ
     
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ปฏิบัติไปครับ.....จะตามรู้ลมหายใจไม่ภาวนาก็ได้....หรือจะนึกถึงพระเยซูเจ้าก็ได้.....ไม่ต้องไปรู้อะไรให้มันมาก....มันจะยุ่งยากและสับสน....คือ ศาสนาพุทธก็ ไม่มีอะไรมากก็ ศีล สมาธิ ปัญญา....ก็เป็นทางของความดีอีกแบบ........ถ้าคุณจะปฏิบัติ ของพุทธเราก็มีกำหนดลมหายใจเข้าออก.....คือเอาสติไปรู้ลมเข้าออกเท่านั้นไม่ต้องคิดอะไรปล่อยวาง......หรือคุณจะคิดถึงพระเจ้าไปด้วยก็แล้วแต่ได้หมดนะครับ....ไม่มีอะไรที่ตายตัวนะ.....
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขออนุญาติ ตอบในมุมมองเราที่ทำอยู่แบบ ที่คุณนิวรณ์ บอกนี้นะ
    เรื่องง่ายๆ นี่แหละ ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม แต่ให้ผลสั่นสะเทือนไปถึง
    จิตวิญญาณของเรา เพราะเป็นการดึงจิตวิญญาณของเรา ให้มีสติอยู่ที่ปัจจุบัน
    ตรงหน้าเรานี่เลย มีผลให้ สติสัมปชัญญะ กล้าแข็ง เติบใหญ่ เป็นคนไม่หลง
    ไม่ใจลอย แล้ว สติ+สมาธิ จะรวมแนบแน่น อยู่ที่เราตลอดเวลา เพราะเราจะมี
    ใจจดจ่ออยู่กับความรู้สึกตรงหน้า สมาธิก็จะรวมตัวจดจ่ออยู่เป็นปัจจุบันตลอด
    เวลา จะทำได้ในชีวิตประจำวัน ทำให้เราเมือนมีการปฏิบัติ รวมจิตจดจ่อสมาธิ
    มีสมาธิ ตลอดเวลา แล้วนอกเหนือจากนี้จะไปทำการสวดมนต์(แบบคริสต์ก็
    ได้) หรือนั่งหลับตาทำสมาธิ 10-60 นาที เพื่อทำความสงบร่วมด้วยก็ได้
    ล้วนแต่ให้ผลเสริมซึ่งกันและกัน ถ้าทำได้ถูกต้องนะ ถ้าทำไม่ถูกมันจะขัดกัน
    เอง ก็ต้องสังเกตตัวเองด้วย ว่ามีสติสัมปชัญญะดีขึ้นไหม
    เพราะสติสัมปชัญญะ คือหัวใจของวิปัสสนา การทำสมาธิจะช่วยให้ใจสงบนิ่ง
    เบาสบาย มีกำลังเสริมทำให้วิปัสสนาตั้งมั่นได้นานมีผลก้าวหน้าเป็นรูปธรรม
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขอบคุณครับ ที่กรุณาถามเพิ่มเติม ในสิ่งที่ผมอาจจะอธิบายได้ไม่ดี

    ตรงนี้แหละครับ ที่ผมบอกว่า เราจะน้อมใจเชื่อได้ยากว่า การฝึกแบบนี้ จะให้
    ผลอะไรที่เป็นรูปธรรม ที่เอาไว้เล่าขานได้ว่า ฉันทำได้ถูกต้อง ในเมื่อ หากฝึก
    รู้สึกตัวไป แล้วไปเล่าว่า ฉันรู้สึกตัวได้ คนก็คงแปลกใจ

    ก็นี่แหละครับที่ คุณจะฝึกสมาธิชนิดนี้ได้โดยที่ไม่ใครติดใจสงสัย

    แต่ เราเองนี่แหละ จะข้ามความสงสัยไปได้หรือเปล่า จะปลงใจลองฝึกสัก
    3 เดือนดูก่อนได้ไหม ตรงนี้ยากจริงๆ

    ต้องกลับไปที่ประเด็นครับ การฝึกสมาธิชนิดนี้ เป็นการฝึกเพื่อความไวของ
    ของสติสัมปชัญญะ พูดง่ายๆ คือ ฝึกความคล่องแคล้วของการรู้สึก

    การรู้สึกาย แม้จริงๆ ฟังดูจะเป็นของง่าย แต่หากพูดให้ลึกๆ ผมเกรงว่าคุณ
    จะตกใจ เลยเกริ่นเพียงแค่นั้น หากคุณพร้อมจะฟังเพิ่ม ผมขอขยายความ
    รู้สึกตัวที่เป็นขั้นสุด

    การรู้สึกว่า กายสัมผัสของแข็ง ในขั้นสุดนั้น คุณจะรู้สึกว่า กายคุณกับเปลือก
    โลกเป็นธาตุดินที่เสมอกัน ทันที่คุณรู้ตัวว่ากระทบของแข็ง จิตคุณจะหยั่งลง
    ไปถึงความเป็นธาตุดินที่ประกอบเป็นกายเรา

    การรู้สึกว่า กายสัมผัสร้อน เย็น ในขั้นสุด คุณจะรู้สึกได้ถึงความเป็นธาตุไฟที่
    เผลาผลาญสร้างพลังงานมาจากกระบวนการย่อยสลาย การไหลเวียน การฟอก
    ของปอด แม้กระทั่งความร้อนที่เราอิงจากแบคทีเรียในลำไส้ จิตคุณจะหยั่งลงไป
    ถึงความเป็นธาตุไฟ

    การรู้สึกตัวว่า กายคุณเป็นกลุ่มก้อน มือเท้าเป็นกลุ่มก้อนมีหนังหุ้มกันกลุ่มก้อน
    เหล่านี้ไหลเผละลงไปกองกับพื้น จิตคุณจะหยั่งลงถึงความเป็นธาตุน้ำ

    การรู้สึกตัวว่า กายคุณมีอะไรพุ่งออกไปจากกาย ดันออกไปจากกาย ธาตุต่างๆ
    ไหลออกไปจากกาย ไม่ว่าจะโดยทวารไหน จะมีแรงผลักดันให้สิ่งนั้นขับออกไป
    จิตคุณจะหยั่งรู้ได้ถึงธาตุลม

    สรุป การรู้สึกกาย ร้อน เย็น อ่อนแข็ง เคลื่อนไหว กลุ่มก้อน ผลักดัน ก็คือ ธาตุ4
    ที่ประชุมเข้ามาเป็นกาย

    เอาแค่นี้นะครับ

    ส่วนเรื่องของใจนั้น จะอธิบายยาก เอาแค่การรู้สึกกายนั้น มีเนื้อหาสาระสุดๆ
    อย่างไร คุณฟังแล้วรับได้ไหม หากรับได้ก็ลองน้อมนำไปฝึกดูก่อน แล้วคุณ
    จะได้คำตอบเองในส่วนของใจ ว่าความคิดใดที่มันมาประชุมกันเป็นตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2009
  8. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ยินดีค่ะ เข้าใจคุณนะ แต่เราเริ่มมาด้วยความรู้สึกต่างกัน เริ่มต้นที่ไม่เหมือนกัน แต่เดี๋ยวก็ตามกันทัน ก็แล้วแต่วาสนาล่ะนะ
    ก็ยังโง่เหมือนกัน เพื่อน ๆ ในนี้เก่งกว่าเราตั้่งเยอะ ..
    หากถามการปฏิบัิติใหม่ ๆ..เราก็พอจะตอบให้ได้แบบงู ๆ ปลา
    เดี่ยวก็เก่งเองแหล่ะ สู้ ๆ นะจ๊ะ ^__^
     
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ผมชอบศาสนาคริสต์มากเหมือนกัน....นานมาแล้วไม่ได้ร่วมพิธี....พิธีอาทิตย์ที่ 3 ของเดือน...เขาทำพิธีอะไรนะครับ...จำไม่ได้แล้วช่วยบอกผมที....
     
  10. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
  11. teeratoy2002

    teeratoy2002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +417
    เรียนคุณ Phanudet ครับ พิธีอาทิตย์ที่ 3 ของเดือน...อันนี้ไม่ทราบจริง ๆ ครับ
    ว่าอยู่ในช่วงของเทศกาลอะไร ปรกติก็ไปโบสถ์ทุกวนอาทิตย์ พิธีสำคัญ ๆ ก็มีมหาพรต (คือการร่วมรับมหาทรมานพร้อมกบพระเยซู) ฯลฯ ปรกติก็จะมีพิธีแต่ละพิธีก็ใช้เวลาร่วมพิธีกันเป็นเดือนก็มีครับ ถ้าทราบว่าอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนเป็นการฉลองเพื่อใครผมน่าจะบอกได้ครับ แต่อาจเป็นการฉลองของคริสเตียนหรือเปล่าอันนีก็ไม่ทราบนะครับ เพราะตัวผมเป็นคาทอลิก (หรือที่เรียกว่าคริสตังค์) จะเป็นคนละนิกายกับคริสเตียนครับผม ผมของฝากตัวด้วยนะครับ ด้วยความเคารพครับ
     
  12. teeratoy2002

    teeratoy2002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +417
    เรียนคุณนิวรณ์ครับ ถ้าอยางนั้นการฝึกที่ถูกต้องคือ ทุกครั้งเวลาที่เราแตะสิ่งไหนก็ตามเราก็บอกตัวเองว่าสิ่งนี้แข็ง สิ่งนี้อ่อน สิ่งนี้ร้อน สิ่งนี้เย็น อย่างนี้ทุกครั้งถูกต้องหรือไม่ครับ ขอบคุณครับ
     
  13. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ให้ใช้ความรู้สึกอย่างเดียวครับ ไม่ต้องบรรยายออกไปว่า ร้อน เย็น อ่อน แข็ง

    แรกๆ จะยากหน่อย เมื่อสัมผัส เราจะห้ามจิตไม่ให้ พากษ์บท ว่า ร้อน เย็น อ่อน
    แข็งไม่ได้ แต่ให้ฝึกไปเรื่อยๆ ไม่ต้องลำคาญที่มันพากษ์ เมื่อฝึกเนืองๆ จนจิต
    เริ่มเข้าใจจุดประสงค์ของการฝึกได้แล้ว จิตจะลดการพากษ์ได้เอง คราวนี้มัน
    จะแค่เหมือนมีอาการสะอึกรู้ คือ มันจะมีแรงดันจากอกนิดหน่อย มันพยายาม
    จะพากษ์นั่นแหละ จิตมันอาจจะยังชินกับการพากษ์ แต่จิตเขารู้ว่ามันเป็นอุปสรรค
    ในการทำความรู้สึก ระลึกรู้ มันจึงรู้ทันการพากษ์และดับเสียกลางอก ก็จะทำให้
    เกิดอาการสะอึก เกิดแรงดันในอก หากเราจงใจที่จะหยุดพากษ์เอง อาการดันใน
    อกจะแข็งจนรู้สึกได้ ดังนั้น ก็ให้ค่อยเป็นค่อยไป ให้ศรัทธาลงไปว่า จิตเขาจะรับ
    การอบรมในการฝึกสติได้ [ อาการดันๆ กระเดิดๆในอก เราจะเรียกว่า ตัณหา หาก
    ระหว่างฝึกสติ ตัวนี้ปรากฏบ่อย ก็ให้ระลึกรู้ รู้สึกตัวนี้ไปด้วย จะทำให้ฝึกสำเร็จได้เข้าใจมากขึ้น ]

    เมื่อปฏิบัติได้อีกหน่อย ไม่เกิน 1 เดือน หากทำบ่อยๆ วันละกี่ครั้งก็ได้ หากวันหนึ่งๆ
    เราแบ่งจิตมาระลึกรู้ รู้สึกตัวได้สักหนึ่งครั้ง จิตก็จะได้รับการอบรมในการมีสติที่ไวหนึ่ง
    ครั้ง พอเราทำเรือยๆ จิตก็ระลึกได้วันละหลายครั้ง โดยที่เราไม่ได้จงใจ หากเราจงใจ
    ให้สังเกตอาการจุดอกนั้น หากจิตมันได้รับการอบรม แล้วมันฝึกการระลึกรู้เองได้ จิต
    จะเบา กายจะเบา จนเกิดความเย็นๆที่กลางอกแทนการแข็ง เมื่อได้แบบนี้ ต่อไปจิตจะ
    ระลึกรู้ได้กับทุกๆ สภาวะที่สัมผัส แต่ก็ไม่ถึงขนาดทำทุกๆเวลานะครับ หากมันเกิดตลอด
    เลยอันนั้นเรียกว่า เราจงใจรู้ กิเลสมันจะแกล้งทำเป็นรู้ตัวทั่วพร้อมไปหมด อันนี้ก็ต้องระวัง

    ฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ ไม่เสียหาย

    ตรงนี้จะเหมือนพระธรรมของคริสต์ตอนหนึ่ง ตอนที่พระคริสต์ให้ดื่มไวน์ และทานขนมปัง

    พระคริสต์ท่านบอกให้สาวก ให้ใช้ศรัทธานำ แล้วทุกครั้งที่ฆ่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหาร
    เวลาที่กัดกิน ให้ทำความรู้สึก รู้สึก ระลึกรู้ เสมือนกำลังกินเนื้อของพระองค์ แล้วท่านก็ให้
    รับศีลนี้ด้วยการกินขนมปัง แล้วเวลาที่ดื่มของมึนเมา พระคริสต์ก็ให้ใช้ศรัทธานำการ
    ปฏิบัติ ทุกครั้งที่ดื่มลงไป ให้ทำความรู้สึก รู้สึก ระลึกรู้ เสมือนกำลังดื่มเลือดพระองค์ แล้ว
    ท่านก็ให้สาวกดื่มไวน์เพื่อรับศีลนี้ ซึ่งจะเห็นว่า การทำความรู้สึกตัว ระลึกรู้ นั้นยากอยู่ จึง
    ต้องใช้ศรัทธานำถึงจะน้อมจิตไปทำการรู้สึกได้ เมื่อทำความรู้สึก ระลึกรู้แล้ว ศีลจะบริสุทธิ
    จะฆ่าสัตว์เพื่อดำรงค์ชีพ จะดื่มไวน์เพียงเพื่อความอบอุ่น ....เห็นไหมครับว่า การรู้สึกตัว
    ใช้ความรู้สึก ระลึกรู้ ตรงนี้เป็นไปเพื่อ สติสัมปชัญญะ

    ก็ฝึกไปแบบนี้แหละครับ เราจะมีจิตที่ตื่นขึ้น ไม่จมโลกง่ายๆ

    แต่ตรงนี้ผมของอนุญาติทิ้งปริศนาไว้นะครับว่า แม้ว่าจะฝึกสติให้ไวได้แล้ว ยังมี
    อีกขั้นตอนหนึ่ง มีสมาธิอีกชนิดหนึ่ง เป็นสมาธิแบบที่4 ที่ผมไม่สามารถบอกคุณ
    ได้ในตอนนี้ เนื่องจาก สมาธิแบบที่4 นี้จะขัดหลักศรัทธาของศาสนาคริสต์นิดหน่อย
    ตรงที่ เราจะตัดสินชะตาของเราเอง และเมื่อเราตัดสินชะตาของเราเองได้ เราก็
    จะถึงประหารกิเลสได้ และเพราะเราประหารกิเลสได้ เราจึงไม่ต้องให้ใครมาตัดสินว่า
    เราควรไปที่ไหน จะเห็นว่า หากผมบอกสมาธิแบบที่4 ให้คุณฟัง คุณจะไม่สามารถ
    ยึดหลักศรัทธาที่จะให้พระบิดาเป็นผู้ตัดสิน โดยที่ท่านก็ไม่ได้สนใจว่ากิเลสจะหมดไป
    จากคุณหรือไม่ เพราะพระบิดาจะดูแค่ว่าคุณศรัทธาพระองค์อย่างลึกซึ้งหรือไม่เท่านั้น

    ก็เอาเป็นว่า ฝึกสมาธิเฉพาะที่ฝึกได้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคุณได้มากแล้ว และก็
    มีหลักการสอดคล้องกันอยู่ จึงไม่น่าจะผิด ทำให้คุณต้องผิดต่อพระบิดาของคุณแต่
    อย่างใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2009
  14. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ก็คาทอลิกนะนหละครับ....
     
  15. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ศาสนาคริสต์ จะประกอบไปด้วยด้วย พระบิดา พระบุตร และ พระจิต คาทอลิก ก็มีแยกย่อยไปอีก การไปประกอบพิธีแนวทางที่ทำอยู่คือ ไปสวดมนต์ พปปะทุกวันอาทิตย์ ถ้ากรณีที่ไปทุกอาทิตย์ที่ 3 ไม่เกี่ยวนะ
    ไม่อยู่ในข้อกำหนดของคาลอลิก แล้วแต่บาทหลวงก็ได้ หรือถ้าพิเศษก็เป็นการเลี้ยงฉลองให้ใครก็ได้ ลองไปสอบถามดี แล้วละที่อาจจะเป็น โปรแตสแทนต์ก็ได้ เพราะนิยายนี้เป็นนิกายเก่าแก่เน้นเรื่องพิธีกรรม แต่คาลอลิก จะเน้นเรื่องความรัก ความเมตตาการหญ่าร้างถือเป็นโทษร้ายแรงมาก
    ศาสนาพุทธกับคริสต์ที่เหมือนกันคือ การอยู่รวมกันในสังคมอย่างสันติสุข
    แต่การดับทุกข์ศาสนาพุทธทำได้ดีกว่า และดีที่สุด ส่วนการภาวนาศาสนาคริสต์
    จะมีแต่สมถะเท่านั้น
     
  16. teeratoy2002

    teeratoy2002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +417
    ท่าน Phanudet ครับ พอมานั่งนึกดูดี ๆ ก็พอนึกออกว่าท่านอาจจะหมายถึงเทศกาลฉลองการประสูติของพระเยซูเจ้าที่มาบังเกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์ เพราะแม้พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ แต่เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ที่ทำบาปไว้พระองค์ทรงยอมมาบังเกิดในสถานที่ ๆ สกปรกที่สุดดังเช่นในถ้ำเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงรักมนุษย์มากแค่ไหน ทั้งที่พระองค์ไม่จำเป็นต้องมาเกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์ก็ได้ แต่เมื่อเป็นน้ำพระทัยของพระบิดาเจ้าบนสวรรค์ที่ต้องการให้พระองค์ทำเช่นนี้พระองค์ก็ไม่ขัดข้องครับ เทศกาลนี้จะฉลองในช่วงอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนธันวาคมครับ ประมาณวันที่ 21 ธันวาคม ของทุกปี หรือที่เราเรียกกันว่าฉลองวัน คริสต์มาสนั่นเองครับ ด้วยความเคารพครับ
     
  17. โป๊ยเซียนสาว

    โป๊ยเซียนสาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,543
    ค่าพลัง:
    +2,279
    การนั่งสมาธิ เพื่อให้จิตของเราสงบ ไม่จำเป็นว่าจะต้องนับถือศาสนาพุทธเสมอไปหรอกค่ะ teeratoy2002 เพราะทุกๆ ศาสนาโดยเนื้อแท้แล้วหรือถ้าจะบอกว่าหัวใจสำคัญแห่งคำสอนของศาสดาแต่ศาสนา ก็มุ่งหวังให้ทุกคนอยู่ด้วยความสันติสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา และใจ ที่เรียกว่าการสำรวมไม่ก่อบาปนั่นเอง




    .
     
  18. อู๋ซิน

    อู๋ซิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +45
    ศาสนาอื่นส่วนมากเป็น เทวนิยม นิซึ่งมันน่าจะขัดการหลัก อนัตตา ที่ว่า ธรรมชาติทั้งปวงเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปไม่ใช่เพราะตัวตน เช่น ไม่มีตัวเรามาบังคับตัวเรามีแต่ขันธ์ 5 ไม่มีพระเจ้าใดดลบรรดาลให้เกิดเหตุการณ์ใดๆ นี่ล่ะ ศาสนาอื่นที่นับถือเทวนิยม มันจะมาติดตรงนี้ล่ะ
     
  19. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    เทวนิยม...เหมาะสมกับพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน..ครับ....พื้นฐานไม่ต่างกันมาก...จะไปได้ไว....

    นิกาย วัชรยาน นำโดยท่านทาไลลามะ......เลยมีอิทธิพลมากทางซีกโลกตะวันตก....
     
  20. birdblackrose

    birdblackrose สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +0
    เมื่อเกิดผลดังตั้งใจก็เผยแพร่ด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...