นับถือศาสนาอื่นอยู่แค่อยากเรียนนั่งวิปัสนา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย teeratoy2002, 13 กรกฎาคม 2009.

  1. อู๋ซิน

    อู๋ซิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +45
    ความรู้ใหม่ ขอบคุณครับ
     
  2. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    อืม....ก็ไม่รู้คุณปฏิบัติถึงขั้นไหนแล้วนะ
    ( จะได้เอามะพร้าวห้าวมาขายสวนได้ถูก หุหุ )
    สำหรับอิฉันยังเตาแตะอยู่เล๊ยยยยยย
    ก็เอ้อระเหยเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ
    เท้งเต้งไปตามเรื่องนั้นแหล่ะ
    แต่จะพล่าม เอ๊ย แชร์ประสบการณ์ให้ฟัง
    ตามที่คุณปุจฉามาก็แล้วกันนะ ^ 0 ^

    นับถือศาสนาอื่นอยู่แต่อยากเรียนนั่งสมาธิวิปัสนา ควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี
    -----------------------------------------------------------
    เอ่อ....คนไม่มีศาสนาอย่างอิฉัน ใคร่จะขออนุญาตแนะนำว่า
    ถือศีลก่อนดีไหม ? หมายถึง ถือให้ได้จิง ๆ อะนะ
    ไม่ต้องแหกปากอาราธนาศีล สมาทานศีล ให้เปลืองน้ำลายก็ได้
    แต่ควรจะ ถือ ไว้ จนเห็นเป็นเรื่องปกติ
    เหมือนการกินข้าว แปรงฟันและนอนกลางวัน ฯลฯ
    เพราะศีลเป็นบาทฐานของการเจริญวิปัสสนา
    มันจะทำให้คุณไปได้ไวขึ้นอ่ะ


    แค่ใจมันอยากได้สิ่งอื่นที่โลกนี้ไม่สามารถให้ได้เท่านั้นเองครับ
    ----------------------------------------------
    แล้ว อยากได้ อะไร อ่ะ ตอบตัวเองให้ได้ก่อนดิ
    ฌาน ญาณ (เพื่อเอาไว้เพ่งลูกแก้วหาเลขท้ายสองตัว)
    หรือ อยาก ฝ่าด่าน อรหันต์ทองคำ
    จนดำดิ่งทะลุ สุญตาสมาบัติ
    กระทั่งเข้าสู่ นิพพานัง ปรมา สุขขัง ล่ะเจ้าคะ อิอิ?

    ไง ? คุณอยากได้ไหมล่ะ นิพพาน น่ะ
    ใช่สิ่งนี้หรือเปล่าที่คุณ หมายปอง

    อืม...ตราบใดที่คุณยังมี ความอยาก( ตัณหา ) อยู่ คงยากส์ส์ สักหน่อยนะ
    ศาสนาพุทธ มันแตกต่างกับศาสนาอื่นตรง ที่
    ฐานเป็นศรัทธา แต่ยอดเป็นปัญญา อ่ะ
    เมื่อแรกเริ่มจึง ให้มาเอา ไม่ใช่ ให้มาทิ้ง
    แต่สุดท้าย คุณต้อง ให้ไปทิ้ง ไม่ใช่ให้ไปเอา
    ถ้ายังทำไม่ได้ ก็มาเดินเล่นในป่าแห่งอวิชชา เป็นเพื่อนอิฉันก่อนก็ด้ายยยย
    อย่าไปจิงจังกับการปฏิบัติเกินไปจนปวดหัวเลยคุ๊ณ
    การปฏิบัติธรรม มันก็แค่การเรียนรู้ธรรมชาติของจิต นั่นแหล่ะ
    เมื่อคุณเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ คุณก็จะเข้าใจเองแหล่ะว่า
    การเดินจงกรม มันก็แค่การฝึกเอาสติ ไปไว้ที่ ตีน
    การดูจิต มันก็แค่ การพยามตามดูรู้ทัน อุปทานขันทั้ง 5 ใบ
    คุณสามารถปฏิบัติได้ แม้แต่ตอนที่คุณกินข้าวผัดกระเพราไก่
    หรือ ตอนได้กลิ่น ดอกปีบ และ กองขี้วัว
    หรือตอนเดินผ่าน ปลาส้มปลาร้าในตลาดด้วย เอ้า
    ถ้าสังเกตดี ๆ มันก็แค่สิ่งที่เราปรุงแต่ง
    มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับ ไป
    วนเวียนกันอยู่แค่นั้นแหล่ะ
    คุณหวังจะ บรรลุธรรม ไหมล่ะ ?
    เฮ้อ สำหรับคนที่ วาสนาจริต ติด ๆ ขัด ๆ
    และ อาภัพ ศรัทธาจริต อย่างอิฉัน นั้น
    ไม่เคยหวังจะ บรรลุธรรม หรอกนะ
    ไม่ว่าจะใน เจ็ดวัน... เจ็ดเดือน... เจ็ดปี... หรือ เจ็ดชาติ...
    อิฉันขอแค่มองเห็นและเข้าใจ ธรรม....ดาของโลก
    ใน ทุกสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวก็พอแล้ว
    อิฉันเป็นคนค่อนข้างมักน้อยจึงพอใจ ....
    แค่ได้ เรียนรู้ สติปัฏฐาน ผ่านจานข้าวผัดกระเพรา
    แค่ได้ เรียนรู้ การปรุงแต่งของขันธ์ 5 ผ่าน ดอกปีบ กับ กองขี้วัว
    แค่ได้เรียนรู้ ดูจิตให้เห็นการเปลี่ยนแปลง เสียงหัวเราะผ่านคราบน้ำตา
    แค่ได้เรียนรู้ ปัจจุบันขณะ ตอนนอนเล่นบนเปลญวณ
    แค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว สำหรับอิฉัน ^ - ^
     
  3. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    อ่ะอันนี้แถมหั้ยอ่านเล่น ๆ (แชร์ประสบการณ์ อิอิ)
    เคยเขียนเอาไว้เม้าส์แตกกะชาวบ้านสมัยเพ่นพ่านที่ พันติ๊ป (ก่อนโดนเจี๋ยนอมยิ้ม)
    วันนี้เลยเอามาให้คุณอ่าน
    หวังว่าสิ่งที่อิฉัน เล่าสู่กันฟัง ในวันนี้
    มันคงทำให้คุณ เข้าใจการปฏิบัติธรรมได้ง่ายขึ้นน๊าาาาา
    อ้อ ขออภัย ที่ไม่ มีภาษาบาลี ถี่นัก
    เพราะบังเอิญ มิช่าย พวกเสือใบลาน อ่ะ อิอิ
    ---------------------------------------------------------------
    เราสามารถสังเกตสภาวะของจิตในขณะปัจจุบันได้หรือไม่ ?

    อืม...อารมณ์ (สภาวะจิต )มันก็คงคล้าย ๆ กระแสน้ำมั้ง
    ส่วน จิต ก็เหมือน คนว่ายน้ำ ท่ามกลางกระแสน้ำ
    ถ้าจิตมันถูกฝึกบ่อย ๆ
    มันก็จะไวทะยาดเป็นลิงทะโมนได้จนชำนาญ
    มันก็จะรับรู้คลื่นความรู้สึกที่มากระทบได้เร็วขั้นมั้ง
    เหมือนคนที่ว่ายน้ำแล้วเจอกระแสน้ำเชี่ยวกราก
    ถ้าไม่เคยฝึกสติ ก็จะตื่นเพริด
    ลอยเท้งเต้งไหลตามน้ำจนออกทะเลไป
    แต่ถ้าเคยฝึกสติมา ถึงจะต้านแรงน้ำเชี่ยวไม่ได้
    แต่ขณะที่ไหลตามน้ำ สติที่มีก็พร้อมจะหาวิธี ว่ายเข้าหาฝั่ง

    เมื่อก่อนตอนอิฉันถูลู่ถูกังถือศีลใหม่ ๆ
    มีปัญหา จำไม่ได้ว่า ผิดศีลอะไรบ้าง
    เลยพกสมุด จดกรรม เพื่อเอาไว้ใช้ประกอบการทวนศีล
    ซึ่งตอนหลัง มันก็ เลยเถิดกลายเป็น สมุดดูความรู้สึก ไปได้ไงก็ไม่รู้
    เฮ้อ น่าขำ ตอนนั้น ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำอยู่
    คือ การดูจิต ( ดูเวทนา ) ของตัวเอง

    แต่ที่สังเกตได้คือ เวลามีเวทนามากระทบ มันรู้สึกตัวไวขึ้นน่ะ
    เหมือนมีคนมาคอยเตือน
    ประมาณว่า เฮ้ย ขุ่นมัว แล้วนะ เฮ้ย ระรื่นแล้วนะ
    แถมตอนหลัง มันเห็นการเกิดดับของความรู้สึกด้วยมั้ง
    เห็นว่ามัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ ดับไป
    ฟังดูเหมือน คำพูดสวย ๆ ภาคทษฤฎีนะ
    แต่มันก็รู้สึกงั้นจิง ๆ อ่ะ อธิบายได้แค่เนี้ยะ
    ไม่รู้จะพล่ามไงอ่ะ อิอิ
    ยิ่ง ราคจริตชนผู้เปี่ยมล้น ( ชูชกแฟนคลับ) อย่างอิฉันน่ะนะ
    ตะก่อนเวลากินอาหาร มักมี ชิวหาเทคนิค
    "เสพกำซาบ ลิ้มรสความอร่อย ทุกหยาดหยด จากอาหารอันเอมโอช " ด้วยซ้ำมั้ง
    แต่หลัง ๆ พอ หั้ดตามดูรู้ทันจิตบ่อย ๆ
    มันเริ่ม รู้สึกเวลา รสมากระทบลิ้นน่ะ
    รู้ว่า อันอร่อย ก็คือรส แล้วไม่เพริด ไปกับมันเหมือนแต่ก่อน
    สำหรับอิฉันไม่จำเป็นต้องสังเกตมั้ง แค่กระทบ แล้วรู้ ก็พอมั้ง
    เหมือนเวลา ที่อิฉัน ไปเดิน เตะฝุ่น รอบโรงบาล
    พอตีนมันกระทบพื้น มันก็รู้ ก็แค่นั้นแหล่ะ
    ไม่เห็นจำเป็นต้องไป จับจ้องสังเกต อะไรเลยนิ
    เวลาตีนมันกระทบ มันก็รู้สึกเองแหล่ะ

    เฮ้อ แล้วแต่คนมั้ง หัดเดินเตะฝุ่น เอ๊ย เดินจงกรม
    และ หัด ดูจิต บ่อย ๆ ก็คงทำได้เองแหล่ะ
    บังเอิญไม่ใช่ เสือใบลาน ซะด้วยดิ
    จะตอบเป็น ภาษาธรรมะ ไงดีล่ะเนี่ย อิอิ
    ( แบ่บว่า ไม่ค่อยจะได้ปีนกะไดไปอ่านบาลีในตะกร้า สามใบ ซะด้วย แหะ ๆ )
    เอาเป็นว่า พล่ามไปเรื่อย ๆ ตามใจปากก็แล้วกันเน๊าะ
    เสียงอิฉันพล่ามมมมมมพรรณนี้ 5555
    -----------------------------------------------------------------
    เรื่องดอกดอกปีบ และ กองขี้วัว
    รวมทั้ง เปลญวนนั่น
    มันก็แค่ เวลาเดินจงกรมรอบโรงบาล
    มันต้องผ่านต้นดอกปีบกะ กองขี้วัว อ่ะ
    ก็เลย ได้รับ ผัสสะ ( กลิ่น ) จากทั้งสองสิ่ง
    เมื่อก่อนพอกลิ่นมันกระทบตะหมูก
    มันเก๊าะปรุงแต่งต่อ
    ว่า หอม หรือ เหม็น
    ว่า ปิติสุข หรือ ทุกข์
    แต่พอ เรียนรู้เรื่อง กลไกของ เจ้าขันทั้ง 5 ใบ
    ทุกอย่างเลยหยุดอยู่ที่
    จะดอกปีบ หรือ กองขี้วัว มันก็คือ กลิ่น
    ไม่มีการปรุงแต่งต่อ ไม่เอาดวงจิตไปรองรับความรู้สึก ( เวทนา )
    ส่วนเรื่อง เปลญวณ น่ะ
    เป็นคนไม่ชอบ อะไรที่เคลื่อนไหวเป็นความถี่
    เช่น การนั่งเปลที่แกว่งไปแกว่งมา มันเสียว
    แต่วันหนึ่ง ขณะที่เผลอ แกว่งเปลไป ๆ มา ๆ
    มันกลับเฉย ๆ ไม่เสียว เหมือนเคย
    จึงเรียนรู้ว่า เออเฮ้ย ถ้าเรารู้จักมีสติอยู่ ณ จุด ปัจจุบัน
    ไม่ยึดติดกับอดีต ไม่คาดหวังกับอนาคต
    และ อยู่กับปัจจุบันขณะ ( แต่ก็ไม่จมปลักกับมัน )
    ความรู้สึกเสียว ๆ กลัว ๆ มันก็หายไปน่ะ
    หลังจากนั้น อิฉันก็เลยนอนเล่นบนเปลญวนที่แกว่งไปแกว่งมาได้
    และอยู่กับภาวะ ที่ อะไรที่เคลื่อนไหวเป็นความถี่ ได้
    -------------------------------------------------------------
    อืม....อิฉันเองก็ ไม่เคยคิดจะนับถือศาสนานะเจ้าคะ ( ถือมาก ๆ มันเมื่อย แหะ ๆ )
    แต่ก็ถือศีล 5 และ ปฏิบัติธรรมเล่น ๆ เป็นงานอดิเรกอยู่อ่ะ
    ก็ยังไม่ได้ ทะลุธรรม เอ๊ย บรรลุธรรมอะไรนักหนา หรอกนะ
    ยังเป็นแค่ ปุถุชน มิช่าย กูรู หรือ กูรู้ ยังเป็น กูไม่รู้ อยู่น่ะนะ อิอิ
    ตัวตนจริง ๆ ของอิฉันเองก็ไม่ได้แบก
    คำว่า พุทธสาวก ไว้บนหัวหรอกนะ
    ก็แค่จับพลัดจับผลู ได้ความเป็นพุทธโดยกำเนิด
    ตอนที่แม่เบ่งให้เกิดมาแค่นั้นแหล่ะ
    นี่ก็ยังอยากแขวนป้ายที่คอ ครองสถานะ คนไม่มีศานา อยู่เล๊ย คุณ
    แต่ที่ อิฉันถู่ลู่ถูกัง ถือศีล 5
    ก็เพราะขี้เกียจเบียดเบียนชาวบ้าน รู้สึกไม่ดีที่จะทำอย่างนั้น
    เพราะอยากฝึกความเข็มแข็งของจิต ในการตอบสนองต่อความอยาก
    ที่ทำสมาธิเ และ ภวนา
    รวมทั้ง ทดลองใช้ สติปัฏฐาน 4
    ในการตามดูรู้ทันจิต
    และเรียนรู้กลไกการทำงานของ อุปทานขันทั้ง 5
    ก็เพราะว่า อิฉันต้องการยกระดับของสภาวะจิตของตัวเอง
    เพราะอิฉันคิดว่า สิ่งเหล่านี้ มันช่วยทำให้อิฉัน บรรลุเป้าหมายได้
    มันก็แค่นั้น แหล่ะ


    อ่ะอันนี้แถม คำพูดในบทสัมภาษณ์ ของ ท่าน โกเอนก้า อ่ะ
     
  4. นัย

    นัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +32
    แนะนำให้ฝึกแบบหลวงพ่อจรัญน่ะ ไม่จำเป็นว่าต้องศาสนาไหน กำหนดแค่ยุบหนอ พองหนอ รู้หนอ แค่นั้นเอง
     
  5. อู๋ซิน

    อู๋ซิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +45
    การฝึกสมาธิทุกวิธีไม่เฉพาะกรรมฐาน 40 สามารถเอามาใช้เป็นสมถะหนุนการฝึกวิปัสสนาได้หมดครับ ในศาสนาอื่นก็น่าจะมีการฝึกสมาธิ อยู่นะ เอามาเป็นตัวหนุนวิปัสสนาได้ อันที่จริงสมถะไม่ได้มีแค่ 40 วิธีนะ อย่างผมนี่ก็ชอบเล่นไสยศาสตร์นะแต่ก่อน ก็ชอบฝึกโดยนั่งสมาธิแล้วบริกรรมคาถา หรือบทสวดมนต์ในใจ แล้วเอาสติไปอยู่กับคาถาคำสวดนั้น มันก็ทำให้ขลังขึ้นนะสิ่งที่เรามี พอได้ศึกษาพุทธศาสนา การฝึกสมาธิวิธีนี้ผมก็ยังนำเอามาเป็นการฝึกสมถะ ของผมอยู่ เคยลองการฝึกสมถะหลายวิธี แต่ไม่ตรงจริตเท่ากับการฝึกสมถะ ด้วยวิธีนี้ แล้วออกจากสมาธิแล้ววิปัสสนาต่อเลย โครตแล่นเลยปัญญา ใครที่คิดว่าศาสนาของตัวเองมีวิธีการฝึกสมาธิ ก็เอาการฝึกสมาธิของศาสนาตัวเองมาใช้เป็นการฝึกสมถะซะเลยก็ได้ ก็หนุนวิปัสสนาได้ดี คือกัน แม้แต่วัดเส้นหลินก็ยังเอาการฝึกสมาธิแบบมวยจีน มาใช้เป็นสมถะได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2009
  6. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    ฝึกสายหลวงพ่อจรัญฯ เหมือนกันค่ะ

    แม่ใหญ่ศิษย์เอกของหลวงพ่อ ก็ทำอะไรได้มากมาย พองยุบ แต่ไม่ใช่แค่พองยุบ นะเอย....
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ก่อนอื่นขออนุโมทนาสาธุ ในปัญญา ที่คิดอยากจะศึกษาวิปัสสนา นั่นหมายความว่า คุณมี
    วาสนา และ บุญบารมีมาแต่ก่อน ผลบุญนั้นจึงผลักดันปัญญาให้หันหน้ามาสนใจ

    ขอตอบคำถามแรก ที่ว่าควรเริ่มต้นอย่างไรดี

    ตอบว่า เริ่มต้นอย่างคนเข้าไปเรียนตามสำนัก ตามมหาวิทยาลัย ตามสถานศึกษาต่างๆ นั่นคือ ต้องฟังอย่างเดียว ตามธรรมดา ศิษย์ที่จะเข้าไปเรียนสำนักใดก็ตาม ก็เข้าไปฟังอาจารย์สำนักนั้นแต่อย่างเดียว โดยไม่คำนึงว่า สำนักนั้นจะขัดกับความเชื่อตน หรือ สำนักนั้นจะทำให้ตนผิด การเข้ามาศึกษาวิธีการทำสมาธิและ วิปัสสนาก็เช่นเดียวกัน คือ ต้องมาฟังหรือศึกษาวิธีการทางศาสนาพุทธ อย่างคนเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยคือ อาจารย์พูดอะไรก็ฟังแล้วทำตาม แล้วสอบ ก็จะได้ผลตามที่ตนร่ำเรียน

    ข้อที่สองจะสำเร็จตามคนพุทธหรือไม่

    ตอบว่า พระศาสดาได้วางหนทางเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว ผู้ใดเดินตามทางนั้น ย่อมสำเร็จได้เหมือนกันทุกคน พระองค์ได้ทรงวางพยานไว้ 4 จำพวก ว่า หากใครดำเนินตามพระศาสดาแล้ว ย่อมเข้าถึงอริยสัจธรรม เหมือนกันหมดทุกคน ไม่แปรผันหรือแตกต่าง ดังนั้น การนับถือหรือไม่นับถือ ไม่ใช่ประเด็น เพราะพระศาสดาทรงเป็นบุคคลที่ไม่คำนึงถึงเรื่องของความเชื่อ แต่ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตใจอย่างแท้จริง โดยกล่าวไว้ว่า
    เชิญเข้ามาพิสูจน์

    ข้อที่สาม อยากทราบแนวทางฝึก

    ตอบ แนวทางฝึกพระศาสดาวางโครงสร้างหลักสูตรเอาไว้ เพียง สาม คือ ศีล สมาธิ และ ปัญญา โดยที่การศึกษานี้ จะละเอียดขึ้นไปตามลำดับ กระทำได้ดีขึ้นตามลำดับที่ภูมิธรรมก้าวหน้า ดังเช่น นักศึกษาที่เรียน ปี 1 2 3 4 ขึ้นไปตามลำดับ

    เริ่มต้นที่ ปีหนึ่ง คือ การตั้งเจตนางดเว้น ในศีล 5 อันดับแรก คือ ไม่ฆ่าสัตว์ทั้งปวง
    ไม่ลักทรัพย์หรืออยากได้ทรัพย์ของคนอื่นทั้งปวง
    ไม่พูดปดทั้งปวง พูดตามความจริง หรือ งดพูดสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์และทำร้ายคนอื่น
    ไม่ประพฤติผิดในกาม คือ งดเว้นการเป็นชู้ กับภรรยาหรือ บุตรของคนอื่นที่เขาหวงแหน
    ไม่ดื่มสุรา ทั้งปวง

    เมื่อศีลกระทำได้ดีแล้ว เจริญสมาธิ คำว่าสมาธิคือ การรวมใจให้เป็นหนึ่งเดียว จะทำให้จิตใจนี้มีกำลังเพียงพอที่จะกระทำการใดๆ สืบเนื่องและต่อเนื่องได้อย่างมีคุณภาพ ไม่หันเหไปทางอื่น ก่อนที่สิ่งที่ตั้งใจจะสำเร็จ จึงจะต้องฝึก เหมือนกับฝึกนิสัย ด้วยการ นั่งสมาธิและ บริกรรม คำว่า พุทโธแต่ิอย่างเดียว ไม่เอาใจหันเหไปทางอื่นนอกจากคำบริกรรม
    ทำจนเป็นกิจวัตร เช่นวันละ 10 นาที หรือวันละ 30 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่ม

    เพียงสองอย่างนี้ ทำจนให้ได้ผลที่ว่า 1 จิตใจสงบเป็นนิสัย 2 มีสมาธิที่ดีขึ้น 3 สามารถรวบรวมจิตใจเป็นสมาธิได้ง่าย และ เร็วกว่าเดิม


    เมื่อได้ผลทั้ง 3 ประการแล้ว จึงเริ่มฝึก ปัญญา เรื่องของปัญญานี้ ให้คุณค่อยมาถามใหม่ เอากรรมฐานที่ให้ไปเจริญภาวนาก่อนให้ดี ให้ได้ผลตามที่บอก แล้วเข้ามาถามใหม่

    ขอให้โชคดี เจริญในธรรม
     
  8. แกะดำ2

    แกะดำ2 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +14
    สวัสดีครับเพื่อนๆผมก็เป็นคนศาสนาอื่นเหมือนกันครับแต่หัวใจพุทธครับผมก็ฝึกมาหลายแบบหาที่ถูกจริตไปเลื่อยๆครับทำจนยากไปเลยจนตอนหลังผมมาลองฟังชีดีหลวงพ่อปราโมทย์ครับและลองทำตามดูมันเหมือนว่าไช่แล้วนี้แหละสิ่งที่เราเดินหาอยู่ครับเปิดใจให้กว้างแล้วลองทำดูก็จะเข้าใจเองแค่หยุดคิดแล้วมารู้ลงที่กายที่ใจเป็นปัจจุบันขณะไปเรื่อยๆรู้บ้างหลงบ้างก็ช่างมันผมทำไปแบบนี้แหละครับเพราะไปวัดสวดมนที่วัดก็ไม่ได้เราก็ต้องทำภายในของเราแบบนี้แหละครับจนกว่าจะเห็นว่าไม่มีเราครับ
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    มุสาวาทา เวรมณี
     
  10. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    คนเดิม..ในกระทู้นี้
    เปลี่ยนชื่อ...เดี๋ยวเป็นหญิง เดี๋ยวเป็นชาย
     
  11. แกะดำ2

    แกะดำ2 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +14
    เมื่อก่อนผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าศาสนาพุทธเขาสอนอะไรบ้างและเคยท้อใจอยู่บ้างว่าเราไม่ได้นับถือศาสนาพุทธจะไปพ้นทุกข์ได้อย่างไรกันแต่พอมาเรียนรู้จากชีดีหลวงพ่อถึงเข้าใจว่าศาสนาพุทธเขาสอนให้รู้ทุกข์ไม่ไช่หนีทุกข์แค่นี้ก็แสดงว่าเราเริ่มเดินไปหาความพ้นทุกข์แล้วและเป็นการดีที่เราเริ่มเดินที่สำคัญตนเป็นที่พึ่งแห่งตนครับสังเกตุด้วยตัวเองว่าที่เราปฏิบัติธรรมแล้วว่าเรายังหลงตามไปกับกิเลสมากอยู่หรือเปล่าครับหากเราเริ่มรู้ทันว่ากำลังหลงอยู่กับมันบ้างแล้วก็ถือว่าเราเริ่มมาถูกทางแล้วครับสำหรับผมนี้ก็เห็นกิเลสมากจนตกใจเหมือนกันว่าทีแท้เรานี้ไม่เคยรู้เลยว่าเราจมอยู่ในบ่อกิเลสนี้เอง(ทีแรกก่อนปฏิบัติธรรมคิดว่าตัวเองดี)ทางเดียวที่จะขึ้นจากบ่อนี้ได้คือเราต้องรู้จักกิเลสครับและเราจะรู้จักตัวเราเองมากขึ้นครับ ขอให้เจริญในธรรมนะครับ
     
  12. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    แค่อยากบอกว่า เขา ไม่ใช่เรา พอดีเราเข่าค่าย แต่เราไม่มักง่ายหรอกท่านวิส
    ของงี้พิสูจน์ได้ หากเราเปลี่ยน เราก็บอกว่าเป็นเรา อย่าเดาเดี๋ยวเป็นกรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...