เมื่อจิตเกิด-ดับ การดูจิตจะเป็นไปตามความเป็นจริงได้อย่างไร???

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 10 สิงหาคม 2009.

  1. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    รู้อยู่ที่รู้ ไม่ไปรู้อยู่ที่เรื่อง

    รู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ(สัมมาสติ)
    ใช้ความเพียรประคองจิตไม่ให้จิตแลบออกจากฐานที่ตั้งสติ(สัมมาวายามะ)
    เมื่อประคองได้สำเร็จ จิตสงบตั้งมั่นเป็น สมาธิ
    ปล่อยวางความยึดถืออารมณ์ตามลำดับขั้นจากฌาน ๑ ถึงฌาน ๔ (สัมมาสมาธิ)
    เป็น อนิมิตตเจโตสมาธิ จิตตั้งมั่นชอบโดยลำพังตนเองโดยไม่ต้องอาศัยอารมณ์ใดๆ


    (smile) รู้อยู่ที่ตน
    ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
    บุคคลมีตนที่ฝึกดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลอื่นได้โดยยาก

    พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้อบรมจิต
    เพื่อให้ตน(จิต)เป็นที่พึ่้งแห่งตน (อยู่โดยลำพังตนเอง)
    โดยไม่ต้องพึ่งพาอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น

    [​IMG]
     
  2. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    รู้ที่ว่ามันเป็นไงเหรอ ถ้าไม่มีตัวตนก็แปลว่า รู้แต่ไม่รู้
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG] ขอให้ได้สมปรารถนาทุกๆท่าน นะคะ
     
  4. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ก็ต้องอยู่ที่ว่า เข้าใจคำว่า ตัวตน อย่างไร

    ถ้าแบบที่เห็นเด็กๆเค้าเรียน สปช. กัน
    เด็กๆ คนทั่วๆไป ที่ไม่ใช่ทางศาสนา
    ก็จะเข้าใจว่า ตัวตน คือ สิ่งที่จับต้องได้ มองเห็นด้วยตา...ฯลฯ...
    ส่วนไม่มีตัวตน คือ สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา จับต้องไม่ได้...ฯลฯ...

    ดังนั้น แบบนี้ก็ต้องพูดว่า รู้ด้วยใจแต่จับต้องไม่ได้ มองด้วยตาเนื้อไม่เห็น

    แต่ในทางศาสนา พระองค์จะใช้คำว่า ไม่ใช่ตัวตน
    คือ ตัวตนน่ะมี แต่หลงผิดไปยึดเอาขันธ์ ๕ ซึ่งไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน

    ตามที่มีมาในพระสูตรส่วนใหญ่ จะชี้ลงให้เห็นว่า
    ขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ไม่ใช่เรา
    เราไม่ใช่ ขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
    ขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ไม่ใช่ตัวตนของเรา

    ซึ่งในท้ายพระสูตรที่มีมา ก็จะกล่าวปิดว่า
    จิตของพระภิกษุ.ก็หลุดพ้น เพราะไม่ถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕

    นั่นคือ จิตรู้อยู่ เห็นอยู่ ว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวตนของตน

    [​IMG]
     
  5. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ขอบคุณค่ะ >_<
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    แชร์หน่อยนะครับ

    หลวงปู่สุภาที่อยู่ภูเก็ตท่านก็พูดเรื่องนี้เหมือนกันครับ แต่ท่านใช้คำว่า จิตเหนือสำนึก กับ จิตใต้สำนึก ท่านมักบอกว่า จิตใต้สำนึกมันจะคอยสั่งเราให้ทำนั่นทำนี่แบบหลง ๆ น่ะครับ แล้วทีนี้ท่านก็บอกว่า ให้เราเอาจิตเหนือสำนึกนี้ควบคุมมันไว้

    ============================

    ถ้ามุมที่ผมเข้าใจทุกวันนี้ ผมก็ว่า

    จิตใต้สำนึก ก็ืคือ จิตที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลากิเลส สัญชาตญาณ ความเคยชิน สันดานดั้งเดิมของเรา ซึ่งหลงเพาะเชื้อ หลงปลูกฝังสั่งสมมาหลายแสนหลายล้านชาติ เวลาพวกนี้จะแสดงออกเขาจะแสดงออกมาตอนเผลอ ๆ หลง ๆ ทั้งหลงทั้งเผลอ แล้วก็ยึดที่หลงทำตามที่เผลอ แล้วก็เก็บสะสมบ่มเพาะเชื้อต่อ ๆ ไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด แบบไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป

    ส่วนจิตเหนือสำนึก หรือจิตสำนึก คือ จิตนั้นแหละ (ตัวเดียวกัน) แต่มีสติเป็นเครื่องประกอบอยู่ มีวิจารณญาณในการตัดสินใจในเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างสมเหตุสมผล ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ซึ่งใหม่ ๆ เราจำเป็นต้องฝึกสติขึ้นมาเพื่อใช้ควบคุมและรู้เท่าทันจิต ไม่ให้มีอารมณ์เข้ามาร่วมผสมโรงในการคิดการตัดสินใจของเราได้ง่าย ๆ ฝึกจนกระทั่งเกิดปัญญา เห็นและเข้าใจว่า จิตนั้นถูกกิเลสความเคยชินต่าง ๆ เข้ามาครอบงำได้อย่างไร เข้าใจในกระบวนการของเขาได้อย่างชัดเจน พอเราเห็นเหตุชัด เราก็จะรู้ที่ดับที่ควบคุมเขาได้ทันทีเหมือนกัน มันก็เหมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่กลางใจเรานี่แหละ โดนกระแทกใจเข้าอย่างนั้น จิตมันก็ฉลาด ยอมรับความจริงได้ มันก็จะไม่หลงง่าย ๆ อีก

    เพราะธรรมดาจิตมันก็หาทางออกของมันอยู่แล้ว แต่มันหาทางออกไม่เป็น ไปออกทางวัตถุกามเสียหมด เอาการเสพใด ๆ เป็นที่ตั้งไปหมด พอจิตเขารู้ความจริงอย่างนี้เขาก็ไม่เอาอีก สติตัวจริงมันก็เริ่มพัฒนา มันก็เริ่มทำงานของมันเองในระดับหนึ่ง คือในระดับที่ปัญญามันเข้าใจได้นั่นเอง ซึ่งต่อไปถ้าไม่ลดละความเพียร มีสติระลึกรู้ให้มากขึ้น ๆ มันจะพัฒนาความรู้ความเข้าใจจนไปสุ่การปล่อยวางได้ในเบื้องต้น จิตก็จะเริ่มไม่เกาะเกี่ยวกับอารมณ์แบบโลก ๆ ในลัษณะเดิม ๆ อีก มันก็เลยมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น เบาขึ้น ปลอดโปร่งโล่งสบายมากขึ้น ทุกข์ก็น้อยลง พัฒนาต่อไป สติกับจิตจะทำงานสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกันไปเองโดยลำดับครับ ต่อไปโลกก็ไม่ช้ำธรรมก็ไม่เสีย มันก็เป็นอย่างนี้แหละครับ

    อ่านแล้วเข้าใจยากเกินไปมั้ยครับ...
     
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถ้าจิตจับต้องไม่ได้ ก็แปลว่าไม่มีตัวตนสิ
     
  8. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    งั้นต้องขอความกรุนา คุณธรรมสวนัง ช่วยตอบหน่อยนะครับ

    นั่นคือ จิตรู้อยู่ เห็นอยู่ ว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวตนของตน ที่คุนกล่าวมา

    จิตตัวนั้นเกิดจากอะไรเป็นปัจจัยหรือไม่มีปัจจัย จิตรู้ในขันธ์ 5 หรือรู้ในตัวเอง
    ผมอยากจะบอกคุนจังเลยว่าสิ่งที่คุณเรียกว่าจิตที่ไม่ใช่ขัน 5 เค้าเรียกว่าสติ ไม่ได้เรียกว่าจิต สติมีอาการรู้ตัว รู้ในอาการของขันธ์ 5 ครับและท่าคุนเห็นอาการขันธ์อย่างชัดเจน
    และเข้าใจมันไม่ไปยึดเรียกว่ามีปัญญา

    คำถามคุนมีสติไหมครับมีอาการอย่างไร เกิดดับไหมหรือสติตั้งอยู่อย่างนั้น และสติที่เป็นอัตโนมัตินี้เกิดดับหรือตั้งอยู่ถาวรไปด้วย

    อนุโมทนา

     
  9. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ในความเห็นของผมส่วนตัวนะ ผมว่าจิตมี2ลักษนะ
    1จิตที่ยังมีกิเลส
    2จิตที่ปราศจากกิเลส
    ทั้ง2อย่างมีการเกิดดับทั้งสิ้น แต่มีความต่อเนื่องกันอย่างที่เรียกว่าดูได้ยากแต่ดูได้รู้ได้
    จิตที่มีกิเลสประกอป มีหลากหลายมองชัดเห็นได้ในความแตกต่าง
    จิตที่ไม่มีกิเลสประกอปแล้วเป็นเหมือนกัน แต่รับอาการมาต่างกันแต่มีลักษระเดียวกัน และตรงนี้แหละจะแสดงอาการเหมือนตั้งอยู่เช่นนั้นโดยไม่เกิดดับดูยากยิ่งกว่าจิตในข้อที่หนึ่งอีกในเรื่องการเกิดดับ

    แต่ทั้งข้อ1และ2 เพราะยังมีกาย จึงมีการกระทบจึงเป็นปัจจัยไห้เกิด และดับ

    แต่ท่าไม่มีกาย ทั้ง1และ2 ก้ไม่แตกต่างเพราะไม่มีอวิชาต้นตอเป็นปัจจัย ไม่มี สังขาร
    ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ ไม่มีวิญญานไม่มี .....

    ก้เพราะอวิชาดับ สังขารดับ .... .... .... ... ปติจสมุปบาท

    ตรงนี้ยังเป็นเพียงความเห็นในส่วนหนึ่งด้านหนึ่งที่ยังไม่บรรลุพระอรหัน

    หากคุน ธรรมสวนังเห็นว่าแตกต่างก้เชิญแสดงได้
     
  10. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    จิตเหนือสำนึก หรือจิตสำนึก นี้เหมือนจะเป็นเราที่เกิดจากจุติจิต จนกว่าเราจะตาย จิตดวงสุดท้ายตอนตายเรียกว่าอะไร ผมไม่รู้
    แต่ระหว่างนี้ตั้งแต่ จุติจิต ถึงจิตดวงสุดท้ายตอนตาย(เกิดจนตาย) จิตเกิดดับจริงหรือ

    ถ้าเกิดดับจริงก็หมายความว่า ตลอดชีวิตของเรา
    มีจิตดวงสุดท้ายก่อนตายเกิดดับสลับกันกับ จุติจิตเกิดขึ้นตลอดเวลา นับไม่ถ้วนหรือป่าวหนอ (หมายถึงก่อนและหลังการเกิด ดับของจิตผู้รู้และถูกรู้ ประมาณนี้)

    ไม่รู้เหมือนกันนะครับ. . .
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ การที่จิตบริสุทธิ์นั้น มีบริสุทธิ์ชั่วคราวด้วยเจโตวิมุตติ
    แล้วก็ต้องอาศัยกำลังแห่งเจโตวิมุตติ นำไปสู่ปัญญาวิมุตติอีกที

    ท่านครับ ลองอ่านพระพุทธวจนะที่ท่านdhammashare ยกมา ให้เข้าใจซะว่า
    สติปรากฏขึ้นที่จิต และญาณทัศนะก็เกิดขึ้นที่จิตเช่นกัน
    สติและญาณทัศนะเกิดขึ้นเองลอยๆไม่ได้...ต้องมีที่ตั้ง...ที่อาศัย

    www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=31&A=4923&Z=4945&pagebreak=0

    จิตปรากฏอย่างไร เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน
    ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว สติย่อมตั้งมั่น
    จิตนั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น

    เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน
    ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว สติย่อมตั้งมั่น
    จิตนั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ

    เมื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง จิตนั้นย่อมปรากฏ
    จิตนั้นย่อมปรากฏอย่างนี้ วิญญาณจิต ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้ง
    จิตหายใจออกหายใจเข้า ปรากฏสติเป็นอนุปัสสนาญาณ
    จิตปรากฏ
    ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย

    บุคคลย่อมพิจารณาจิตนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น
    เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า
    สติปัฏฐานภาวนา คือ การพิจารณาจิตในจิต ฯ


    ;aa24
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ รู้อยู่ที่รู้นั้น รู้ใครรู้มัน เป็นความคุ้นชินที่ๆจะปล่อยวางเรื่องราวต่างๆที่เข้ามา

    การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา ก็เพื่อภาวนาหาฐานที่ตั้งสติ(ฐานที่รู้)
    เป็นกายคตาสติที่ เมื่อเราได้หลักของใจ(หลวงปู่เทสก์ชอบกล่าวถึง)....
    ก็หรือฐานที่รู้...หรือฐานที่ตั้งสติ...หรือฐานเดิม(หลวงปู่ดูลย์กล่าวไว้) เป็นสิ่งเดียวกันทั้งสิ้น

    มีไว้เพื่อะไร???...ถามได้...ก็มีไว้เพื่อเป็นที่ระลึกรู้ เป็นที่อาศัยเท่านั้น เมื่อมีอารมณ์มากระทบ
    ก็ดีกว่าการดูจิต โดยที่ไม่มีหลักใจ...หรือฐานเดิม...หรือฐานที่รู้ เป็นที่คอยระลึกรู้ เป็นที่อาศัย
    เพื่อฝึกฝนการหัดปล่อยวางกิเลสและอุปกิเลสที่เข้ามากระทบจิต(ธาตุรู้)...

    ;aa24
     
  14. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    คุนธรรมภูติครับ

    อาการจิตที่ปราศจากกิเลเป้นอย่างไร มีอะไรเป็นองค์ประกอปเกิดขึ้นจากปัจจัยใด
     
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    เหตุอันไหนจึงเป็นเยี่ยงนั้นเช่น ค้างคะคะคาว อ่าฮับ ป้าขวัญอยากรู้ฮับ
     
  16. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    มองแบบนี้ก็ได้นะครับ เรื่องเกิด ๆ ดับ ๆ

    มองในเรื่องของเวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต

    อดีตคือสิ่งที่ถูกย้อนรำลึกถึงได้ตั้งแต่เสี้ยววินาทีที่ผ่านไป มันผ่านพ้นไปแล้ว เราไม่สามารถย้อนไปแก้ไขอดีตได้อีก ทำได้จริง ๆ อย่างมากที่สุดก็แค่ แก้ไขหรือแก้ตัวในปัจจุบันเท่านั้นเอง

    อนาคตก็เหมือนกัน มันคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เป็นแต่เพียงการคาดการณ์ล่วงหน้าเท่านั้น

    ปัจจุบันคืออะไร ถ้าเราเข้าใจจุดนี้จริง ๆ มีสติเห็นกันจริง ๆ เข้าใจและเ้ข้าถึงด้วยปัญญากันจริง ๆ มันจะเห็นการเกิดดับตรงนี้ คือเห็นการหลงน้อมตามสัญญาไปในอดีต หลงสังขารปรุงแต่งไปในอนาคต ทั้ง ๆ ที่เราก็ว่าเราอยู่กับปัจจุบัน แต่พอเผลอ สติมันขาดไปตั้งแต่ตอนไหนเราไม่รู้ หลงกับอดีตหรืออนาคตไปเรียบร้อยแล้ว มันก็เกิด ๆ ดับ ๆ อดีตกับอนาคตในปัจจุบันขณะ ๆ อย่างนี้แหละไปตลอด จนกว่าจะมีจังหวะที่สติเราตามทันมันนั่นแหละ เราถึงจะเห็นอาการหลงตั้งแต่เริ่มแรกของมันจริง ๆ เราถึงจะเข้าใจได้

    ที่นี้แม้แต่ตัวจิตปัจจุบันขณะเอง มันจะเป็นปัจจุบันที่เกิด-ดับ ๆ ๆ ๆ อยู่ตลอดเวลาหรือไม่ จริง ๆ เราไม่ต้องใส่ใจรู้กันถึงขนาดนั้น มันเกินวิสัยที่ควรจะศึกษา เพราะแม้แต่พระสารีบุตรผู้เป็นเลิศทางด้านปัญญา นั่งนับวิถีจิตอยู่ พระพุทธเจ้าทรงทราบเข้า ยังทรงห้ามว่าไม่ใช่วิสัยของอัครสาวก เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า แล้วเราเป็นใคร อันนี้น่าคิดนะ

    การเรียนอภิธรรมนี้ ก็ขอให้เรียนกันพอรู้เพื่อประดับสติปัญญาบ้างก็พอ พอให้เข้าใจวิธีการเข้าถึงบ้าง แต่คงไม่ต้องถึงกับเอามาพิจารณากันให้เห็นถึงปานนั้นก็ได้ บางทีสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ถึงปานนั้น แต่ความปรุงแต่งนั่นแหละมันวิจัยวิจารณ์กันไปซะละเอียดกว่าที่เห็นเสียอีก นี่แหละคือหลงสัญญา (อดีต) เรียนเยอะรู้เยอะ รู้สภาวะก่อนเกิดนี่แหละอันตรายมาก ๆ เพราะโดยมากจะหลงไปน้อมเอาสัญญามาปรุงเข้ากันกับสภาวะที่เกิดจริง แล้วก็น้อมใจเชื่อ ปักใจเชื่อไปตามสัญญานั้นแล้วก็เข้าใจว่าเป็นปัญญา แท้จริงมันก็คือสัญญาอยุ่วันยังค่ำนั่นเอง

    เพียงขอให้มีสติตั้งมั่นรู้อยู่กับปัจจุบันให้ได้บ่อย ๆ ตามดูอาการเกิด ๆ ดับ ๆ ของสัญญาและสังขารให้ทัน จนเข้าใจและเกิดปัญญาได้นั่นแหละ พอแล้ว ถ้าเห็นต้นตอ (สมุทัย) ได้ มันก็เห็นวิธีการ (มรรค) ได้ ทุกข์มันก็อยู่ตรงนั้น การดับทุกข์มันก็อยู่ตรงนั้น เราก็จะเข้าใจเอง สัมมาทิฏฐิก็จะเปิดทางให้เราเอง เราก็จะมองเห็นทาง รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง รู้วิธีการดับทุกข์ รู้วิธีการเจริญสติปัญญาให้ิยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้เอง...


    อันนี้ก็ขอฝากพวกเราไว้เป็นข้อคิดพิจารณานะครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2009
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไม่รู้เหมือนกัลล์... พอดีเห็นท่านแดร๊ก...แล้วนึกถึงคุณนุ ง่ะ
    ถูกใจเป่า... เขาจัดให้...หนุกๆ... ถ้าให้เดาก็เดาใจเค้า...ไม่ถูกอะ...แป่ว

    [​IMG]
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จิตเหนือสำนึก คือปัญญารู้ธรรม คือสติสัมปชัญญะ
    จิตสำนึก คือสติแบบโลกๆ คือปัญญการใช้ตรรกะและเหตุผลในการตัดสินใจ
    จิตใต้สำนึกคืออนุสัย สันดานดิบเดิมๆที่สะสมมาข้ามภพข้ามชาติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2009
  20. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    จิตสำนึก นี้เหมือนจะเป็นเราที่เกิดจากจุติจิต จนกว่าเราจะตาย จิตดวงสุดท้ายตอนตายเรียกว่าอะไร ผมไม่รู้
    แต่ระหว่างนี้ตั้งแต่ จุติจิต ถึงจิตดวงสุดท้ายตอนตาย(เกิดจนตาย) จิตเกิดดับจริงหรือ

    ถ้าเกิดดับจริงก็หมายความว่า ตลอดชีวิตของเรา
    มีจิตดวงสุดท้ายก่อนตายเกิดดับสลับกันกับ จุติจิตเกิดขึ้นตลอดเวลา นับไม่ถ้วนหรือป่าวหนอ (หมายถึงก่อนและหลังการเกิด ดับของจิตผู้รู้และถูกรู้ ประมาณนี้)

    ไม่รู้เหมือนกันนะครับ.

    เรื่องน่ารู้แต่ไม่จำเป็นต้องรู้สินะ หุหุหุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...