พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)

    19975.พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)

    [​IMG]

    ประวัติและปฏิปทา
    พระธรรมธีรราชมหามุนี
    (โชดก ญาณสิทฺธิ)

    วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
    แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม.


    ๏ ชาติภูมิ

    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) มีนามเดิมว่า “หนูค้าย นามโสม” ภายหลังท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารีมหาเถระ) แห่งวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า “โชดก” เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๑ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย ณ บ้านหนองหลุบ ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    โยมบิดาชื่อ “นายเหล้า นามโสม” โยมมารดาชื่อ “นางน้อย นามโสม” มีพี่น้องร่วมตระกูลทั้งหมดรวม ๑๐ คน เป็นพี่สาว ๘ คน และน้องชาย ๑ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๙ คุณปู่ของท่านมีบรรดาศักดิ์เป็นขุน ชื่อขุนวงษ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านติดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย มีฐานะความเป็นอยู่ดี ส่วนโยมบิดาของท่านเป็นชาวนา แต่มีความรู้พิเศษเป็นหมอชาวบ้าน-ช่างไม้-ช่างเหล็ก ประจำหมู่บ้าน


    ๏ การศึกษาเบื้องต้น

    พ.ศ. ๒๔๗๒ จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนบ้านหนองหลุบ ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี


    ๏ การบรรพชาและอุปสมบท

    วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ เมื่ออายุ ๑๕ ปี ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดโพธิ์กลาง ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยมีพระครูเลิ่ง เจ้าอาวาสวัดโพธิ์กลาง เป็นพระอุปัชฌาย์ และย้ายไปเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดกลาง ในตัวเมืองขอนแก่น สอบนักธรรมตรีได้จากวัดนี้ และย้ายไปอยู่วัดยอดแก้ว ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เพื่อเรียนนักธรรมชั้นโทและบาลีมูลกัจจายน์ และสอบนักธรรมชั้นโทได้

    พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ โดยครั้งแรกได้อยู่ที่วัดเทพธิดาราม แขวงสำราญราษฏร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ สอบ ป.ธ. ๓, ป.ธ. ๔ และนักธรรมชั้นเอกได้ในสำนักนี้

    [​IMG]
    สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารีมหาเถระ)


    พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้ย้ายมาอยู่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ โดยขุนวจีสุนทรรักษ์เป็นผู้นำมาฝาก ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารีมหาเถระ) ขณะดำรงสมณศักดิ์ในราชทินนามที่ “พระพิมลธรรม” ได้เมตตารับไว้ให้พำนักอยู่คณะ ๑ วัดมหาธาตุฯ


    ๏ วุฒิการศึกษา

    พ.ศ. ๒๔๗๗ สอบได้นักธรรมชั้นตรี ณ สำนักเรียนวัดโพธิ์กลาง ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    พ.ศ. ๒๔๗๘ สอบได้นักธรรมชั้นโท ณ สำนักเรียนวัดกลาง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ สอบได้นักธรรมชั้นเอก, ป.ธ. ๓-ป.ธ. ๔ ณ สำนักเรียนวัดเทพธิดาราม แขวงสำราญราษฏร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ

    พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๙๔ สอบได้ ป.ธ. ๕-ป.ธ. ๙ ณ สำนักเรียนวัดมหาธาตุฯ ในสมัยสอบ ป.ธ. ๙ ได้เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๙๔ นับเป็นผู้สอบได้เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

    พ.ศ. ๒๔๘๖-๒๔๙๒ ไปปฏิบัติศาสนกิจ ณ จังหวัดขอนแก่น โดยครั้งแรกเปิดสอนพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกนักธรรม-บาลี ที่วัดสว่างวิทยา อำเภอเมือง ประมาณ ๑ ปี แล้วย้ายมาอยู่วัดศรีนวล ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น ปรากฏว่าได้ส่งเสริมการศึกษาในสำนักพระปริยัติธรรมแห่งนี้ให้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีพระภิกษุสามเณรสอบนักธรรมและบาลีได้มากทุกปี ต่อมาท่านได้ลาออกจากตำแหน่งสาธารณูปการจังหวัด เพื่อกลับมาอยู่วัดมหาธาตุฯ สำนักเดิม

    [​IMG]
    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)


    [​IMG]
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ)


    ๏ การปฏิบัติศาสนกิจ

    พ.ศ. ๒๔๙๓ ย้ายกลับเข้ามาอยู่วัดมหาธาตุฯ ในสมัยท่านเจ้าคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ในราชทินนามที่ “พระพิมลธรรม” เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้อยู่ที่คณะ ๕ และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ และประจำอยู่ที่คณะ ๕ ตลอดมาจนมรณภาพ


    ๏ งานด้านวิปัสสนาธุระ

    พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ ณ พระมณฑปพระบรมธาตุ วัดมหาธาตุฯ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ถึง ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ รวมเวลา ๗ เดือน ๑๙ วัน โดยพระภาวนาภิรามเถระ (สุข) วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นอาจารย์สอน

    พ.ศ. ๒๔๙๕ ไปดูงานการพระศาสนาที่ประเทศพม่า และได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ สำนักศาสนายิสสา เมืองแรงกูน ประเทศพม่า เมื่อสำเร็จการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ได้เดินทางกลับประเทศไทย พร้อมกับพระอาจารย์ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ๒ รูป ที่รัฐบาลไทยขอจากรัฐบาลพม่า เพื่อมาสอนวิปัสสนากรรมฐาน ประจำอยู่ในประเทศไทย พระวิปัสสนาจารย์ ๒ รูปนั้น คือ ท่านอาสภเถระ ปธานกัมมัฏฐานาจริยะ และท่านอินทวังสะ ธัมมาจริยะ กัมมัฏฐานาจริยะ

    เมื่อท่านกลับมาประเทศไทยแล้ว ท่านได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานต่ออีก ๔ เดือน ในสมัยนั้น ท่านเจ้าคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ในราชทินนามที่ “พระพิมลธรรม” ได้ประกาศตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานแห่งประเทศไทย ขึ้นที่วัดมหาธาตุฯ และได้แต่งตั้งท่านครั้งเป็นพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙ ให้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ เป็นรูปแรก ท่านจึงได้รับภาระหนักมาก เพราะเป็นกำลังสำคัญของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ในการวางแผนขยายสำนักสาขาไปตั้งในที่ต่างๆ ทั่วประเทศ จัดทำหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐาน คัดเลือกพระวิปัสสนาจารย์ไปสอนประจำอยู่ตามสำนักสาขาที่ตั้งขึ้น และจัดไว้สอนประจำที่วัดมหาธาตุฯ พระวิปัสสนาจารย์ทั่วประเทศส่วนมากเป็นศิษย์ของท่าน

    อนึ่ง ในครั้งนั้นท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้จัดตั้งกองการวิปัสสนาธุระขึ้นเป็นศูนย์วิปัสสนากรรมฐานที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ และได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้อำนวยการกองการวิปัสสนาธุระ ในความอำนวยการของท่านมีกิจการเจริญก้าวหน้ามาก มีผลงานปรากฏดังนี้

    ๑. จัดพิมพ์วิปัสสนาสาร ซึ่งเป็นวารสารราย ๒ เดือน (ออกปีละ ๖ เล่ม) ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๘ และได้ออกติดต่อตลอดมาถึงบัดนี้ มีสมาชิกให้การอุดหนุนวารสารนี้มีมากพอสมควร

    ๒. จัดการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่คณะ ๕ โดยจัดสร้างห้องปฏิบัติขึ้นรับผู้ประสงค์จะเข้าปฏิบัติ หรือผู้มีปัญหาชีวิตเข้าปฏิบัติได้ทุกเวลา ทั้งประเภทอยู่ประจำและไม่ประจำ (คือมารับพระกรรมฐานจากอาจารย์ไปปฏิบัติที่บ้านแล้วมารับสอบอารมณ์ หรือมาปฏิบัติในเวลาว่าง แล้วกลับไปพักที่บ้าน)

    ๓. อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ และคณะศิษย์ของท่านได้ไปสอนวิปัสสนากรรมฐาน ในพระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ ตึกมหาธาตุวิทยาลัย ตึกธรรมวิจัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ทุกวันพระ และวันอาทิตย์

    ๔. ให้ความอุปถัมภ์สำนักวิปัสสนากรรมฐานอื่นที่เป็นสาขาอีกหลายสำนัก เช่น สำนักวิเวกอาคม อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักวิปัสสนาภูระงำ อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น และสำนักบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เป็นต้น

    [​IMG]

    [​IMG]
    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙)
    ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระอุดมวิชาญาณเถร ได้เป็นพระอาจารย์ถวายวิปัสสนากรรมฐาน
    แด่สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (ปัจจุบันคือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)
    ซึ่งได้เสด็จมาสมาทานพระกรรมฐาน ณ วัดมหาธาตุฯ เป็นเวลาถึง ๑ เดือน


    พระธรรมธีรราชมหามุนี ได้อุทิศชีวิตอบรมและเผยแพร่วิปัสสนากรรมฐานติดต่อมาเป็นเวลายาวนานประมาณ ๔๐ ปี จึงมีศิษยานุศิษย์และมีผู้เคารพศรัทธาเลื่อมใสมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ และบุคคลผู้มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น มีทุกระดับชั้น ทุกฐานะอาชีพ เช่น ในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๘ ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระอุดมวิชาญาณเถร ได้เป็นพระอาจารย์ถวายวิปัสสนากรรมฐานแด่สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (ปัจจุบันคือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ซึ่งได้เสด็จมาสมาทานพระกรรมฐาน เมื่อวันอังคารที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๘ เวลา ๑๙.๐๐ น. ณ พระมณฑปพระบรมธาตุ วัดมหาธาตุฯ

    ในโอกาสนั้น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระพิมลธรรม” ได้ถวายศีล แล้วพระอุดมวิชาญาณเถรเป็นผู้ถวายพระกรรมฐาน และถวายสอบอารมณ์พระกรรมฐานด้วย เป็นประจำทุกวัน ณ พระมณฑปพระบรมธาตุ เวลา ๑๙.๐๐ น. รวมเวลาที่ทรงปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นเวลา ๑ เดือน และทรงได้รับผลจากการปฏิบัติวิปัสสนาเป็นอย่างดี

    นอกจากนั้น ได้เป็นอาจารย์ถวายวิปัสสนากรรมฐานแด่ท่านเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพระอาจารย์มีเกียรติคุณในด้านสมถกรรมฐาน (วิชาธรรมกาย) ที่มีชื่อเสียงมากในประเทศไทย โดยท่านไปถวายวิปัสสนากรรมฐานแด่หลวงพ่อสด จนฺทสโร ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ตลอดเวลา ๑ เดือนครบหลักสูตร และต่อมาหลวงพ่อวัดปากน้ำได้มาฟังเทศน์ลำดับญาณ ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ โดยพระอุดมวิชาญาณเถร ได้ถวายเทศน์ลำดับญาณ

    [​IMG]
    พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร)


    ปรากฏว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำได้ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างดี เพราะท่านได้นำสมถกรรมฐานมาต่อวิปัสสนากรรมฐาน พิจารณาไตรลักษณ์ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ หลวงพ่อได้มอบภาพของท่านไว้เป็นที่ระลึกแก่สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุฯ และได้เขียน บันทึกใต้ภาพยกย่องว่า “สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุฯ เป็นสำนักที่สอนวิปัสสนาถูกต้องร่องรอยในมหาสติปัฏฐานทุกประการ”


    ๏ หน้าที่การงานเกี่ยวกับการศึกษา

    พ.ศ. ๒๔๘๓-๒๕๓๐

    - เป็นครูสอนปริยัติธรรมทั้งนักธรรม-บาลี ในมหาธาตุวิทยาลัย ได้เป็นครูสอนบาลีไวยากรณ์ชั้นมูล ๓ ได้นิตยภัตตั้งแต่เดือนละ ๖ บาท ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ จนกระทั่งสอน ป.ธ. ๗-๘-๙

    - เป็นกรรมการตรวจประโยคนักธรรม-บาลี สนามหลวง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๗ ตลอดมาจนมรณภาพ

    - เป็นผู้อำนายการแผนกบาลี สำนักเรียนวัดมหาธาตุฯ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นต้นมา


    ๏ หน้าที่เกี่ยวด้วยพระไตรปิฎก

    พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย ในแผนกตรวจสำนวน

    พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจทานพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง

    พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการปาลิวิโสธกะ พระอภิธรรมปิฎก ฉบับสังคายนา พ.ศ. ๒๕๓๐

    พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานบรรณกรในการพิมพ์พระไตรปิฎก ฉบับสังคายนา พ.ศ. ๒๕๓๐


    ๏ หน้าที่เกี่ยวกับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    พ.ศ. ๒๔๙๐-๒๕๓๐

    - ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการชำระหนังสือธัมมปทัฏฐกถา ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    - เป็นอาจารย์บรรยายวิชาพระพุทธศาสนาในชั้นอุดมศึกษา

    - เป็นกรรมการบริหารกิจการ

    - เป็นกรรมการพิจารณาหลักสูตรบาลีสำหรับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    - เป็นรองประธานกรรมการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์

    - เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย


    ๏ หน้าที่เกี่ยวกับการบริหารคณะสงฆ์

    พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๕๓๐

    - ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการกรรมการสงฆ์จังหวัดขอนแก่น

    - กรรมการสาธารณูปการจังหวัดขอนแก่น

    - เจ้าคณะภาค ๑๐

    - เจ้าคณะภาค ๙

    - พระอุปัชฌาย์ประจำวัดมหาธาตุฯ

    - รองเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ

    - รองประธานกรรมการสงฆ์บริหารวัดมหาธาตุฯ รูปที่ ๑


    ๏ หน้าที่งานพิเศษ

    - ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการหัวหน้าพระธรรมทูตสายที่ ๓

    - เป็นหัวหน้าผู้อำนวยการ งานพระธรรมทูตสายที่ ๖

    - เป็นอนุกรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อร่วมพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาวัดที่ว่างเจ้าอาวาสเพื่อหาข้อมูล

    [​IMG]

    ๏ งานเผยแผ่พระพุทธศาสนา

    - เป็นพระธรรมกถึกทั้งเทศน์คู่และเทศน์เดี่ยว

    - เป็นองค์ปาฐกแสดงปาฐกถาธรรม

    - องค์บรรยายธรรม

    - บรรยายธรรมทางวิทยุเป็นประจำหลายสถานี

    - บรรยายธรรมทางสถานีโทรทัศน์

    นับว่าท่านเป็นพระสงฆ์มีความเชี่ยวชาญในการบรรยายธรรม ได้รับความนิยมมากจากผู้ฟังทั้งหน่วยราชการและภาคเอกชน ประชาชน เป็นอย่างดี


    ๏ งานสาธารณูปการและสาธารณสงเคราะห์

    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) มีผลงานด้านสาธารณูปการและสาธารณสงเคราะห์ ปรากฏอย่างกว้างขวางทั้งภายในวัดมหาธาตุฯ และภายนอก ดังมีหลังฐานปรากฏตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๓๐ ดังนี้

    ๑) งานสาธารณูปการภายในวัดมหาธาตุฯ

    - จัดหาทุนสร้างห้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนในวัดมหาธาตุฯ

    - จัดหาเงินสมทบทุนมูลนิธิวิปัสสนากรมฐาน

    - สร้างตึกอุดมวิชาในคณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ

    - เป็นประธานกรรมการหาทุนก่อสร้างตึกมหาธาตุวิทยาลัยอาคารทรงไทย ๔ ชั้น

    - เป็นประธานกรรมการหาทุนบูรณะโรงเรียนธรรมมหาธาตุวิทยาลัย และสร้างโรงครัวครูปริยัติธรรม

    - เป็นประธานกรรมการจัดหาทุน และก่อตั้งมูลนิธิศรีสรรเพชญ์

    - ร่วมสมทบบูรณะคณะ ๘ วัดมหาธาตุฯ

    - บริจาคร่วมสร้างพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    - เป็นประธานกรรมการจัดหาทุนสร้างพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    - เป็นกรรมการอุปถัมภ์จัดหาทุนสร้างโรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    รวมงานสาธารณูปการภายในวัดมหาธาตุที่ได้ดำเนินการมา เป็นเงินประมาณ ๑๔,๓๒๕,๐๐๐ บาท (สิบสี่ล้านสามแสนสองหมื่นห้าพันบาท)

    ๒) งานสาธารณูปการภายนอกวัด

    - งานก่อสร้างปฏิสังขรณ์วัดสว่างพิทยา บ้านหนองหลุบ ซึ่งเป็นถิ่นบ้านเกิด

    - จัดหาทุนสร้างโรงเรียนปริยัติธรรมวัดธาตุ จังหวัดขอนแก่น ๒ หลัง

    - จัดหาทุนสร้างอุโบสถวัดโพธิ์ชัย จังหวัดขอนแก่น

    - จัดหาทุนสร้างโรงเรียนประชาบาลบ้านหนองหลุบ ๒

    - เป็นประธานจัดหาทุนสร้างวัดพุทธประทีปในระยะเริ่มแรก

    - อุปถัมภ์สร้างอาคารเรียน ในโรงเรียนประชาบาลบ้านหนองบัว อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี

    - เป็นประธานจัดหาทุนสร้างตึกสงฆ์อาพาธสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถร) ในโรงพยาบาลขอนแก่น

    - บริจาคสร้างตึงสยามินทร์ โรงพยาบาลศิริราช

    - อุปถัมภ์สำนักวิปัสสนากรรมฐาน ภูระงำ อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น

    - หาทุนสร้างสำนักวิเวกอาคม ตำบลบางขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา

    รวมงานสาธารณูปการภายนอกวัด เป็นเงินประมาณ ๑๓,๔๕๖,๐๐๐ บาท (สิบสามล้านสี่แสนห้าหมื่นหกพันบาท) รวมเงินที่จัดหาในงานสาธารณูปการ ทั้งภายในวัดมหาธาตุฯ และภายนอกวัด เป็นเงิน ประมาณ ๒๗,๐๘๑,๐๐๐ บาท (ยี่สิบเจ็ดล้านแปดหมื่นหนึ่งพันบาท)


    ๏ งานต่างประเทศ

    พ.ศ. ๒๔๙๕-๒๕๒๘

    - ไปดูงานการพระศาสนาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ ประเทศพม่า

    - ไปสอนวิปัสสนากรรมฐาน ณ ประเทศอังกฤษ ตามคำอาราธนาของคณะสงฆ์สมาคมแห่งประเทศอังกฤษ

    - เป็นหัวหน้าพระธรรมทูตประจำประเทศอังกฤษ

    - ริเริ่มสร้างวัดไทยในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันได้สร้างเป็นวัดไทยโดยสมบูรณ์ ชื่อว่า “วัดพุทธประทีป” โดยท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธประทีปรูปแรก

    - เป็นกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตที่จะไปต่างประเทศ

    - ไปสอนวิปัสสนากรมฐานที่วัดไทย ในประเทศสหรัฐอเมริกา

    - รับชาวต่างชาติปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุฯ และให้ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา

    [​IMG]
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดมหาธาตุฯ
    แด่พระเดชพระคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)
    ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระเทพสิทธิมุนี เมื่อวันที่ ๓ พ.ย. ๒๕๒๘ เวลา ๑๖.๐๐ น.


    ๏ งานนิพนธ์

    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) เป็นพระมหาเถระที่เชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎก และมีความทรงจำเป็นเลิศ สามารถบอกเรื่องราวต่างๆ ว่าอยู่ในเล่มใด และบางครั้งบอกหน้าหนังสือเล่มนั้นด้วย และท่านยังเป็นนักประพันธ์ที่นิพนธ์เรื่องทางศาสนาได้รวดเร็ว และได้นิพนธ์ไว้มากมายหลายเรื่อง เฉพาะที่หาข้อมูลได้ แยกบทนิพนธ์ของท่านเป็นประเภท ดังนี้

    ๑) ประเภทวิปัสสนากรรมฐาน มีหนังสือประมาณ ๒๑ เรื่อง เช่น เรื่องความเป็นมาของวิปัสสนากรรมฐาน, คำบรรยายวิปัสสนากรรมฐาน จำนวน ๙ เล่ม ฯลฯ

    ๒) ประเภทพระธรรมเทศนา มีหนังสือประมาณ ๔ เรื่อง เช่น เรื่องเทศน์คู่อริยสัจ ฯลฯ

    ๓) ประเภทวิชาการ มีหนังสือประมาณ ๘ เรื่อง เช่น อภิธัมมัตถสัคหะปริเฉทที่ ๑-๙ ฯลฯ

    ๔) ประเภทสารคดี มีหนังสือประมาณ ๒๐ เรื่อง เช่น เรื่องพระมาลัยโปรดสัตว์นรก ฯลฯ

    ๕) ประเภทตอบปัญหาทั่วไป มีหนังสือประมาณ ๕ เรื่อง เช่น ตอบปัญหา เรื่องบุญบาปและนรกสวรรค์ เป็นต้น

    นอกจากนี้ ยังมีคำขวัญ คำอนุโมทนา คติธรรม เพื่อลงตีพิมพ์ในหนังสืออนุสรณ์ต่างๆ ที่มีผู้ขอมา


    ๏ สมณศักดิ์

    วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ (อายุ ๓๖ พรรษา ๑๕) ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (สป.วิ) ในพระราชทินนามที่ “พระอุดมวิชาญาณเถร”

    วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ (อายุ ๔๔ พรรษา ๒๓) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในพระราชทินนามที่ “พระราชสิทธิมุนี ศรีปิฎกโกศล วิมลปัสสนาจารย์ อุดมวิชาญาณวิจิตร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”

    วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ (อายุ ๕๒ พรรษา ๓๑) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในพระราชทินนามที่ “พระเทพสิทธิมุนี สมถวิธีธรรมาจารย์ วิปัสสนาญาณโสภณ ยติคณิศสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”

    วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ (อายุ ๖๙ พรรษา ๔๘) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในพระราชทินนามที่ “พระธรรมธีรราชมหามุนี คัมภีรญาณวิมล โสภณธรรมานุสิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”


    ๏ อวสานชีวิต

    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) ได้ถึงแก่มรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ ในอิริยาบถนั่งเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ขณะไปทำการสอนวิปัสสนากรรมฐานที่บ้านโยมอุปัฏฐาก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๑ เวลา ๑๕.๐๐ นาฬิกา รวมสิริอายุได้ ๗๐ ปี ๒ เดือน ๑๕ วัน นำความเศร้าโศกแสนเสียดายอาลัยมาสู่คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง ขออำนาจบุญกุศลทั้งปวงได้โปรดดลบันดาลให้พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) ประสบสันติสุขในสัมปรายภพทุกประการ ดังสุนทรโวหารที่ท่านได้นิพนธ์ในสุดท้ายแห่งชีวิต ดังนี้

    “เตรียมสร้างทางชอบไว้ หวังกุศล
    ตัวสุขส่งเสริมผล เพิ่มให้
    ก่อนแต่มฤตยูดล เผด็จชีพ เทียวนา
    ตายพรากจากโลกได้ สถิตด้าว แดนเกษม”

    [​IMG]
    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    <!-- m -->Ù?-?ҁ<!-- m -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • __894.jpe
      __894.jpe
      ขนาดไฟล์:
      38.2 KB
      เปิดดู:
      3,737
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2009
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949


    หลวงปู่พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) ท่านเก่งมากๆนะครับ

    กราบหลวงปู่ด้วยความเคารพครับ
    sithiphong
    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)

    19975.พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)

    [​IMG]
    38.2 KB, ดาวน์โหลด 235 ครั้ง
    วันนี้(5/10/2552) 01:05 PM


    โหลดไปเยอะมาก ผมพึ่งลงไปไม่นานนี้เอง

    กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ
    แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • __3_366.jpe
      __3_366.jpe
      ขนาดไฟล์:
      77.1 KB
      เปิดดู:
      2,144
    • __4_831.jpe
      __4_831.jpe
      ขนาดไฟล์:
      88.3 KB
      เปิดดู:
      2,371
    • __5_119.jpe
      __5_119.jpe
      ขนาดไฟล์:
      35.4 KB
      เปิดดู:
      2,467
    • __6_197.jpe
      __6_197.jpe
      ขนาดไฟล์:
      74.9 KB
      เปิดดู:
      2,824
    • chodo.jpg
      chodo.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32 KB
      เปิดดู:
      275
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2009
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    จากหนังสือเรื่อง ตายแล้วอยากไปไหน พระมาลัยลงไปโปรดสัตว์นรก
    หากว่าใครมีโอกาสได้ผ่านสำนักท่านยมราช (ไม่ได้แช่งนะครับ)เพื่อความไม่ประมาท

    พระมาลัย. ถ้าเช่นนั้นก็เป็นการดีแล้วมหาบพิตร คำว่า "เทวทูต" นี้แปลว่าอย่างไร ขอให้อธิบายวิธีซักถามกะสัตว์นรกในเทวทูต ๕ ประการอันเป็นวินัยหรือกฎหมายของมหาบพิตร ต่อไปดูซิ อาตมาจะคอยฟัง

    ยมราช. คำว่า "เทวทูต" แปลว่าผู้ที่เทวดาส่งมา โดยวิเคราะห์ว่า เทเวน เปสิยเตติ เทวทูโต เทวทูต ได้แก่ คนใช้ของเทวดานั่นเอง ส่งมาเพื่อให้มนุษย์ พิจารณาแล้วไม่ประมาท รีบพากเพียรพยายามทำความดีต่อไป โยมได้ซักถามเขาเป็นข้อๆ ไป ดังนี้

    เทวทูต ข้อที่ ๑ โยมได้ซักถามเขาว่า เธอได้เห็นเด็กอ่อนที่นอนเกลือกมูตรคูถอยู่บนผ้าอ้อมนั้นหรือไม่? เมื่อเขาตอบว่า ได้เห็น โยมจึงถามเขาต่อไปอีกว่า เธอได้พิจารณาหรือไม่ว่า เรามีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้ เราจะต้องรีบทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ? เมื่อเขาบอกว่า ไม่ได้พิจารณา โยมจึงบอกว่า เธอประมาทเสียแล้ว ที่ไม่ทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำแต่ความชั่ว ความชั่วของเธอนั้น มิใช่บิดามารดาทำให้ มิใช่พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิงทำให้ มิใช่มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิตทำให้ มิใช่สมณพรามณ์และเทวดาทำให้ เธอทำเอง เธอจักได้รับผลความชั่วของตัวเองดังนี้

    เทวทูต ข้อที่ ๒ โยมได้ซักถามเขาว่า เมื่อเธออยู่ในมนุสสโลกได้เห็นเทวทูตที่ ๒ ไหม? เมื่อเขาตอบว่า ไม่ได้เห็น จึงถามเขาต่อว่า เธอไม่ได้เห็นคนแก่บ้างหรือ? เมื่อเขาตอบว่าได้เห็น เมื่อได้เห็นแล้ว เธอได้พิจารณาหรือไม่ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เราจะต้องรีบทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ? เมื่อเขาบอกว่า ไม่ได้คิด ไม่ได้พิจารณาเลย จึงตรัสว่า เธอประมาทเสียแล้ว ที่ไม่ทำความดีไว้ด้วยกาย วาจา ใจ ทำแต่ความชั่ว ความชั่วของเธอนั้น มิใช่บิดามารดาทำให้ มิใช่พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิงทำให้ มิใช่มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิตทำให้ มิใช่สมณพรามณ์และเทวดาทำให้ เธอทำเอง เธอจักได้รับผลความชั่วของตัวเองดังนี้

    เทวทูต ข้อที่ ๓ ครั้นโยมซักถามยมทูตข้อที่ ๒ จบลงแล้ว โยมจึงได้ซักถามเทวทูตข้อที่ ๓ ต่อไปว่า เธอได้เห็นคนเจ็บบ้างไหม ? เมื่อเขาตอบว่าได้เห็น จึงถามเขาว่า เมื่อเธอได้เห็นแล้ว เธอคิดไหมว่า เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ เราจะต้องรีบทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ? เมื่อเขาบอกว่า ไม่ได้คิด โยมจึงบอกว่า เธอประมาทเสียแล้ว ที่ไม่ทำความดีไว้ด้วยกาย วาจา ใจ ทำแต่ความชั่ว ความชั่วของเธอนั้น มิใช่บิดามารดาทำให้ มิใช่พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิงทำให้ มิใช่มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิตทำให้ มิใช่สมณพรามณ์และเทวดาทำให้ เธอทำเอง เธอจักได้รับผลความชั่วของตัวเองดังนี้

    เทวทูต ข้อที่ ๔ ครั้นโยมซักถามยมทูตข้อที่ ๓ จบลงแล้ว โยมจึงได้ซักถามเทวทูตข้อที่ ๔ ต่อไปว่า เมื่อเธออยู่ในมนุสสโลก เธอได้เห็นนักโทษที่ถูกจองจำ เฆี่ยนตี บีฑ์โบยและตัดศีรษะบ้างไหม? เมื่อเขาตอบว่าได้เห็น โยมจึงถามเขาว่า เมื่อเธอได้เห็นแล้ว เธอคิดไหมว่าพวกนี้ได้ทำความชั่วไว้จึงได้รับโทษต่างๆ ในชาตินี้เห็นปานนี้ไม่ต้องพูดถึงชาติหน้า เราจะต้องรีบทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ? เมื่อเขาบอกว่า ไม่ได้คิด โยมจึงบอกว่า เธอประมาทเสียแล้ว ที่ไม่ทำความดีไว้ด้วยกาย วาจา ใจ ทำแต่ความชั่ว ความชั่วของเธอนั้น มิใช่บิดามารดาทำให้ มิใช่พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิงทำให้ มิใช่มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิตทำให้ มิใช่สมณพรามณ์และเทวดาทำให้ เธอทำเอง เธอจักได้รับผลความชั่วของตัวเองดังนี้

    เทวทูต ข้อที่ ๕ ครั้นโยมซักถามยมทูตข้อที่ ๔ จบลงแล้ว โยมจึงได้ซักถามเทวทูตข้อที่ ๕ ต่อไปว่า เมื่อเธออยู่ในมนุสสโลก เธอได้เห็นเทวทูตข้อที่ ๕ ไหม? เมื่อเขาตอบว่าไม่ได้เห็น โยมจึงถามเขาว่า เธอไม่เห็นคนตายบ้างหรือ? เมื่อเขาตอบว่าได้เห็น โยมจึงถามเขาว่า เมื่อเธอได้เห็นแล้ว เธอได้คิดไหมว่า เราก็มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ เราจะต้องรีบทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ? เมื่อเขาบอกว่า ไม่ได้คิด โยมจึงบอกว่า เธอประมาทเสียแล้ว ที่ไม่ทำความดีไว้ด้วยกาย วาจา ใจ ทำแต่ความชั่ว ความชั่วของเธอนั้น มิใช่บิดามารดาทำให้ มิใช่พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิงทำให้ มิใช่มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิตทำให้ มิใช่สมณพรามณ์และเทวดาทำให้ เธอทำเอง เธอจักได้รับผลความชั่วของตัวเองดังนี้

    ครั้นพญายายมราชทรงซักถามเทวทูต ทั้ง ๕ ข้อ จบลงแล้ว พวกนายนิรยบาลจึงกรูกันเข้าไปจับผู้นั้น นำตัวไปลงโทษ ดังที่ได้แสดงมาแล้วนั้น
    ถ้าตอบได้สักข้อใดข้อหนึ่ง โยมก็ปล่อยไปสวรรค์ ถ้าสัตว์เหล่านั้นทำกรรมอันลามก หมิ่นประมาทคำสอนของนักปราชญ์ก็ระลึกไม่ได้ เมื่อระลึกไม่ได้นายนิรยบาลก็จับสัตว์นั้น นำตัวไปลงโทษตามยถากรรม โยมนี้มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ เหมือนมารดาบิดามีเมตตากรุณาต่อบุตรธิดาฉะนั้น
    เมื่อพระคุณเจ้าไปยังมนุสสโลกแล้ว ขอนิมนต์พระคุณเจ้าช่วยเทศนาสั่งสอนเหล่ามนุษย์ ให้หมั่นพิจารณาเทวทูตทั้ง ๕ นี้เป็นเนื่องนิตย์ด้สย เพื่อจะได้เกิดสังเวชสลดใจ คิดหาอุบายทำตนให้พ้นจากกิเลสและกองทุกข์ ถึงความสุขสำราญเบิกบานใจ ตามนัยที่โยมได้แสดงมานี้เถิด พระคุณเจ้าผู้เจริญ

    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=33026
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“ตามรอย...เบื้องพระยุคลบาท” หนทางที่พ่อทรงสร้างไว้
    Metro Life - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 ตุลาคม 2552 17:29 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทอดพระเนตรพื้นที่โครงการ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ใครเลยจะคิดว่าผืนดินที่ทำกินอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเรือกสวนไร่นาที่เขียวขจี ดังคำว่า ในน้ำมีปลาในนามีข้าว บนพื้นที่ราบเชิงเขา จ.สระแก้วนั้น หากย้อนไปเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา พื้นดินบริเวณนี้เคยมีสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม เนื่องจากการถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์บุกรุกใช้เป็นฐานที่ตั้งในการปฏิบัติการแยกประเทศไทย จนชาวบ้านเกิดความหวาดกลัวต้องละทิ้งที่ทำกินเพื่อหนีเอาชีวิตรอดไปอยู่ที่อื่น ซึ่งเป็นภาพที่สะเทือนใจทั่วกัน

    ครั้นเมื่อความทราบไปยังพระเนตรพระกรรณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงทรงมีพระราชดำริให้มี "การพัฒนาพื้นที่ราบเชิงเขา" ที่ถูกทิ้งร้างให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง พร้อมๆ กับฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้อยู่ดีกินดี โดยโครงการนี้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2521 จวบจนถึงปัจจุบัน



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงทุ่มเทพระวรกายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยพระราชประสงค์ที่อยากจะเห็นพสกนิกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กองทัพบก โดยกรมกิจการพลเรือนทหารบก จึงจัดกิจกรรม “กองทัพบกพาสื่อมวลชนสัญจร” ตามรอย...เบื้องพระยุคบาท ณ โครงการพัฒนาที่ราบเชิงเขา จ.สระแก้ว โดยมีเจ้าบ้านอย่างหน่วยทหารพัฒนา กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ กองทัพภาคที่ 1 รับหน้าที่เป็นผู้นำคณะสื่อมวลชนสัญจรตามรอยเสด็จของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

    กิจกรรมแรกเริ่มที่ การบรรยายสรุปความเป็นมาของโครงการนี้ โดยมี พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ เสนาธิการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ รับหน้าที่เป็นผู้บรรยายว่า พื้นที่แห่งนี้เดิมอยู่ในเขต อ.นาดี อ.กบินทร์บุรี อ.สระแก้ว อ.วัฒนานคร และ อ.ตาพระยา ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับ 3 จังหวัดคือ จ.ปราจีนบุรี จ.นครราชสีมา และ จ.บุรีรัมย์ เป็นพื้นที่เคยประสบปัญหาความมั่นคงของประเทศ มีประชาชนเข้ามาบุกรุกพื้นที่ ทำให้กลายสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม ที่สำคัญยังมีผู้ก่อการร้ายเข้ามาใช้พื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการที่จะแยกประเทศไทย ทำให้การเข้าไปช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ราบเชิงเขา จึงทรงมีพระราชดำริให้มีการพัฒนาพื้นที่ราบเชิงเขาขึ้น พร้อมโปรดเกล้าฯ ให้ ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ องคมนตรี ประสานงานกับกระทรวงเกษตรฯ เพื่อวางโครงการพัฒนาพื้นที่ราบเชิงเขาตามพระราชดำริขึ้นเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2521”

    เมื่อจัดตั้งโครงการแล้วเสร็จในวันที่ 12 พ.ค. 2521 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่โครงการ พร้อมทั้งพระราชทานอุปกรณ์และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อใช้ในโครงการอีกด้วย

    “โครงการเริ่มจากการจัดสร้างแหล่งน้ำบริเวณตำบลห้วยชัน, ท่ากระบาก คลองทราย ฯลฯ เพื่อให้คนมีแหล่งน้ำทำกิน ตามด้วยการสร้างโรงเรียนร่มเกล้าขึ้นมาเพื่อให้คนมีการศึกษาเพิ่มขึ้น และสร้างอาชีพให้คนในพื้นที่ด้วยการทอผ้าไหมไทย โดยนำผ้าไหมจากมูลนิธิศิลปาชีพมาเป็นวัตถุดิบ จากนั้นก็มีการพัฒนาพื้นที่ตามมาเรื่อยๆ”



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เส้นทางที่ใช้ในการเสด็จฯขณะนั้น</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>แต่สิ่งที่นำมาซึ่งความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คือพระองค์ทรงเสด็จมาติดตามความคืบหน้าของโครงการอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าเส้นทางการเสด็จนั้นจะมีความยากลำบากถนนหนทางเต็มไปด้วยดินลูกรัง พื้นที่มีความลาดชันเพียงใดก็ตาม

    “ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมจะยังไม่ได้มาทำหน้าที่นี้ แต่เท่าที่ได้ฟังรุ่นพี่ที่เขาเคยตามเสด็จพระองค์ท่านมาเยี่ยมพื้นที่ตอนนั้น เส้นทางเสด็จค่อนข้างลำบากมาก เพราะเป็นถนนลูกรังเส้นทางแคบๆ ด้วยเป็นที่ราบเชิงเขา แต่พระองค์ก็ทรงเสด็จด้วยพระบาทขึ้นไปในพื้นที่อย่างมิได้ทรงย่อท้อแต่อย่างใด ดังนั้น พระองค์จึงทรงเป็นองค์ต้นแบบของทหารทุกคนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่อย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อรักษาพื้นที่ของไทยไว้ไม่ให้ใครมาแบ่งแยก เพราะพระองค์ท่านจะทรงมีรับสั่งเสมอว่า “เราต้องรักและห่วงแหนแผ่นดินของตัวเอง” พ.อ.ปิยพงศ์กล่าว

    บนพื้นที่แห่งน้ำพระราชหฤทัยอันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยความเขียวขจีของป่าไม้พืชพรรณธรรมชาตินานาชนิด ที่มีคุณประโยชน์อย่างมากมาย รอให้ประชาชนเข้าไปเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง หรือโครงการปศุสัตว์ที่สร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ รวมไปถึงสถานีประมงน้ำจืดที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดของเมืองไทยที่กำลังจะสูญพันธุ์ เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในแหล่งน้ำ และให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>โครงการเศรษฐกิจพอเพียงของทหารพัฒนา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ผลผลิตของโครงการเริ่มผลิดอกออกผลอย่างเป็นรูปธรรมชาวบ้านในพื้นที่ไม่เพียงแต่จะคลายความทุกข์เศร้าและความแร้นแค้น แต่ยังนำความรู้ที่ได้รับไปต่อยอดสร้างสัมมาชีพของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ตัวเองร่ำรายมหาศาลเหมือนเศรษฐกิจทุนนิยมที่ไม่มีความแน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาได้รับกลับมาคือความเพียงพอในชีวิต ไม่ต้องดิ้นรนจากบ้านเกิดเมืองนอนไปสร้างฝันในเมืองใหญ่อีกต่อไป

    สำลี บุญเนียม หนุ่มใหญ่วัยกลางคนเจ้าของฟาร์มสำลี หนึ่งในสมาชิกเลี้ยงโคนมในโครงการบอกว่า ที่ผ่านมาเขาเคยเข้าไปทำงานรับจ้างในกรุงเทพฯ แต่เพราะทนความเร่งรีบและความบีบคั้นของชีวิตในเมืองใหญ่ไม่ได้ จึงกลับมาที่บ้านและสมัครเข้าเป็นสมาชิกของโครงการ โดยเริ่มจากเลี้ยงโคนม 2-3 ตัว มีรายได้วันละ 300 บาท จนถึงวันนี้เขามีโคนมมากกว่า 10 ตัว สร้างรายได้ให้เขาเดือนละไม่ต่ำกว่า 7,000 บาท ทำให้เขาและครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=263 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=263>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ลุงแดง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ส่วน ลุงแดง วัย 78 ปี ผู้เคยมีโอกาสได้เฝ้ารับเสด็จอย่างใกล้ชิดบอกเล่าความตื้นตันใจที่ตัวเองได้เกิดมาใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า ครั้งแรกที่มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ของทั้ง 2 พระองค์ รู้สึกดีใจยากที่จะหาใดเปรียบได้ เพราะตอนนั้นพื้นที่ที่ทั้ง 2 พระองค์เสด็จมามีความยากลำบากมากที่สุด ผู้ก่อการร้ายเพิ่งออกไปจากพื้นที่ แต่ทั้ง 2 พระองค์ก็มิได้ทรงย่อท้อต่อความยากลำบากนั้นเลย แต่กลับทรงพระราชดำเนินด้วยพระบาทอย่างไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย เพียงเพราะท่านต้องการทอดพระเนตรความคืบหน้าของโครงการ เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามพระราชประสงค์อย่างแท้จริง

    ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งแห่งน้ำพระราชหฤทัย ที่ส่งผลให้หลายชีวิตบนผืนแผ่นดินไทยค้นพบกับความสุขอันยั่งยืนอย่างแท้จริง



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>โครงการฟาร์มปศุสัตว์ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ออก กฎหมายลิขสิทธิ์ ใคร ละเมิดลิขสิทธิ์ ซื้อของปลอมโดนปรับแน่
    http://hilight.kapook.com/view/42200

    ออกกฎหมายสินค้าก๊อบ พณ.หันเล่นงานคนซื้อ (เดลินิวส์)

    คนซื้อของปลอมของเถื่อนแจ๊กพอตถูกปรับแน่ 1,000 บาท หลังพาณิชย์ชงครม.แก้ไขกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา 2 ฉบับ ดันปราบของเถื่อน จับคนซื้อ เทปผี ซีดีเถื่อน เสื้อผ้า กระเป๋าก๊อปปี้ ถูกปรับ 1 พันบาท ด้านเจ้าของพื้นที่ให้เช่า ปล่อยขายของในอาคาร หรือตามหน้าเว็บไซต์โดนด้วย ปรับ 30,000 - 300,000 บาท

    ที่กระทรวงพาณิชย์ เวลา 17.00 น. วันที่ 5 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครม. วันที่ 6 ตุลาคม กระทรวงพาณิชย์ จะเสนอให้พิจารณาเห็นชอบร่างแก้ไขกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ และร่างแก้ไข พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า ซึ่งได้เพิ่มบทลงโทษไปถึงผู้ซื้อ ผู้ให้เช่าสถานที่ เจ้าของสถานที่ที่ให้มีการประกอบการ หรือจำหน่าย สินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงการซื้อขายสินค้าปลอมหน้าเว็บไซต์ที่กำหนดให้มีโทษเข้าข่ายความผิดทางอาญาเพิ่มเติมจากเดิมที่เอาผิดเฉพาะผู้จำหน่าย และผู้ผลิตเท่านั้น

    ส่วนการแก้กฎหมายลิขสิทธิ์ จะเอาผิดแก่ผู้ซื้องานละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งงานด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สิ่งบันทึกเสียง โสตทัศนวัสดุ และภาพยนตร์ ส่งผลให้ผู้ซื้อเทปผี ซีดีเถื่อน ประเภทเอ็มพี 3 แผ่นภาพยนตร์ เกมส์ ซอฟต์แวร์ และงานด้านการเรียนจะมีความผิดทันที มีโทษปรับครั้งละไม่เกิน 1,000 บาท ขณะที่เจ้าของสถานที่ หรือผู้ให้เช่า ที่รู้หรือมีเหตุอันควรรู้ในการให้เช่าเพื่อประกอบธุรกิจละเมิดลิขสิทธิ์ หรือจำหน่าย และเว็บไซต์ที่มีการเปิดเพื่อขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์จะมีโทษปรับ 30,000 - 300,000 บาท

    ส่วนการแก้ไข พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า จะครอบคลุมสินค้าทุกชนิดที่มีการละเมิดเครื่องหมายทางการค้า ที่จดทะเบียนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า หากใครรู้ว่าเป็นสินค้าละเมิดเครื่องหมายทางการค้า และมีการซื้อมาใช้จะถูกปรับครั้งละ 1,000 บาท รวมถึงเจ้าของสถานที่ หรือผู้ให้เช่าที่รู้หรือมีเหตุอันควรรู้ในการให้เช่า เพื่อประกอบธุรกิจละเมิดลิขสิทธิ์ หรือจำหน่าย และเว็บไซต์ที่มีการเปิดเพื่อขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์จะมีโทษปรับ 50,000 - 200,000 บาท

    "หาก ครม.เห็นชอบ จะต้องส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาต่อไป และจากนั้นจึงจะส่งกลับมาให้ ครม. พิจารณาอีกครั้ง ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในสภา และออกเป็นกฎหมายบังคับใช้"

    รายงานข่าวแจ้งว่า การแก้ไขกฎหมาย นี้เป็นไปตามนโยบายของนายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ ที่ต้องการนำกฎหมายต้นแบบจากประเทศฝรั่งเศสมาประยุกต์ ใช้ในไทย เพื่อลดการซื้อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งต่อไปหากผู้ใดถูกตรวจสอบได้ ว่ามีการซื้อ เทปผี ซีดีเถื่อน ทั้งเพลง ภาพยนตร์ เกมส์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ จะมีความผิดทางกฎหมายทันที รวมถึงสินค้าแบรนด์เนม นาฬิกา น้ำหอม เสื้อผ้า รองเท้า อุปกรณ์กีฬา ที่เป็นที่นิยมของคนไทยก็จะเข้าข่ายในการดำเนินคดีที่ผิดกฎหมายด้วย


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ฉิ่งจวินยู่เวิ่ง" : เชิญท่านลงโอ่ง
    China - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>6 ตุลาคม 2552 16:28 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> <CENTER>请君入瓮</CENTER>

    请 (qǐng) อ่านว่า ฉิ่ง แปลว่า เชิญ
    君 (jūn) อ่านว่า จวิน เป็นคำสุภาพ ใช้เรียกคู่สนทนา
    入 (rù) อ่านว่า ยู่(รู่) แปลว่า เข้าไป
    瓮 (wèng) อ่านว่า เวิ่ง แปลว่า โอ่ง /ไห


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ราชวงศ์ถัง ในรัชสมัยของพระนางอู่เจ๋อเทียน หรือบูเช็กเทียน จักรพรรดินีเพียงหนึ่งเดียวของประวัติศาสตร์จีนนั้น เพื่อดำรงคงไว้ซึ่งอำนาจในมือ ทำให้พระนางใช้วิธีการที่เด็ดขาดในการปกครองไพร่ฟ้า รวมทั้งใช้ความโหดเหี้ยมในการกำจัดศัตรูของตนให้หมดไป การกระทำดังกล่าวส่งผลให้บรรดาขุนนางโฉด ต่างคิดค้นวิธีทำลายผู้ที่เป็นอริของตนโดยป้ายสีว่าคนเหล่านั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อพระนางอู่เจ๋อเทียนสมควรโดนกำจัด ทั้งยังใช้วิธีการเหี้ยมโหดในการบังคับให้ผู้โชคร้ายเหล่านั้นยอมรับสารภาพ

    บรรยากาศของวังหลวงในช่วงเวลาดังกล่าว คล้ายถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งความหวาดกลัว
      
    พระนางอู่เจ๋อเทียนนั้นมีขุนนางโฉดข้างกายอยู่ 2 คนคือ โจวซิ่ง และ หลายจวิ้น โดยมีผู้คนนับพันนับหมื่นคนที่เสียชีวิตภายใต้เงื้อมมือของคนทั้งสอง ครั้งหนึ่งมีผู้กราบทูลว่า โจวซิ่งแอบสมคบคิดกับ ชิว เสินจี้ วางแผนล้มล้างราชบังลังก์ พระนางอู่เจ๋อเทียนจึงมอบหมายให้หลายจวิ้นไปสืบสวนเรื่องนี้ ทั้งยังจำกัดเวลาที่จะต้องได้ผลลัพธ์กลับมากราบทูล อย่างไรก็ตามแต่ไหนแต่ไรมาความสัมพันธ์ของหลายจวิ้นกับ โจวซิ่ง นั้นถือว่าไม่เลว ภารกิจครั้งนี้หลายจวิ้นจึงค่อนข้างลำบากใจนัก แต่สุดท้ายเขาก็ได้คิดแผนการณ์ได้ประการหนึ่ง
      
    วันหนึ่ง ขุนนางหลายจวิ้น จงใจเชิญโจวซิ่งมาที่บ้าน ทั้งสองร่ำสุราพลางสนทนา หลายจวิ้นแสร้งทำหน้าตาวิตกกังวลพลางกล่าวกับโจวซิ่งว่า “ช่วงนี้สอบสวนพวกนักโทษมักไม่ค่อยได้ผล ท่านมีวิธีรีดความลับใหม่ๆ เช่นไรบ้าง รวบกวนพี่ท่านช่วยชี้แนะ” ด้านโจวซิ่งเอง ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้ที่ชื่นชอบคิดค้นวิธีการทรมานนักโทษอยู่แล้ว ได้ยินดังนั้นจึงรีบตอบว่า “ตอนนี้ข้าคิดค้นวิธีทรมานนักโทษได้อีกวิธีหนึ่ง รับรองมันไม่กล้าปากแข็งอีกต่อไป เพียงเจ้านำโอ่งใบใหญ่ รอบโอ่งสุมไฟใส่ฟืนจนร้อนฉ่า นำนักโทษใส่ลงไปในโอ่ง รับรองไม่มีผู้ใดทานทนได้”

    หลายจวิ้นได้ฟังดังนั้น จึงสั่งลูกน้องให้ไปนำโอ่งใบใหญ่มาหนึ่งใบ ทำตามวิธีที่โจวซิ่งบอก โดยนำฟืนไฟมาสุมโดยรอบจนโอ่งร้อนระอุ จากนั้นหลายจวิ้นพลันลุกยืนขึ้นพลางกล่าวกับโจวซิ่งด้วยความเหี้ยมเกรียมว่า "มีผู้กราบทูลว่าท่านคิดก่อการกบฏ พระนางอู่เจ๋อเทียนจึงมีคำสั่งให้ข้ามาสอบสวนท่าน หากท่านไม่บอกความจริงออกมาให้หมด ข้าก็คงจะต้องเชิญท่านให้ลงไปนั่งในโอ่งใบนี้แล้ว"

    เมื่อโจวซิ่งได้ฟังก็หวาดกลัวจนหน้าซีด รู้ว่าตนเองหมดหนทางหนีแล้ว ได้แต่สารภาพและรับโทษโดยดี

    สำนวน "ฉิ่งจวินยู่เวิ่ง" หรือ "เชิญท่านลงโอ่ง" หมายถึงการใช้วิธีการที่คนผู้หนึ่งคิดค้นขึ้นเพื่อจัดการกับผู้อื่น มาใช้จัดการกับคนผู้นั้นเอง นอกจากนี้ยังแฝงความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “ดาบนั้นคืนสนอง” อีกด้วย

    สำนวนนี้ใช้ในตำแหน่งภาคแสดง(谓语) และส่วนขยายนาม(定语)

    ตัวอย่างประโยค
    他总想害别人,由于坏事做得太多,结果只能是请君入瓮,作茧自缚。
    เขาคิดแต่จะทำร้ายผู้อื่น ทำชั่วมาเกินไป ผลสุดท้ายได้แต่~ ติดกับดักตัวเอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    อนุโมทนาสาธุครับ

    เชิญทำบุญซื้อ อิฐ หิน ดิน ทราย เหล็ก ปูน สร้างศาลาแก้วถวายสมเด็จองค์ปฐม

    เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระประธานสมเด็จองค์ปฐมและศาลาแก้วพระจุฬามณี ที่ จ.นครศรีธรรมราช (สำนักสงฆ์ธรรมเจริญ)

    [​IMG]

    [​IMG]

    " บุญกุศลใดที่พึงจะได้รับ ก็ขอให้ทุกท่านได้รับเช่นเดียวกันถ้วนหน้าสถาพร ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ที่สุดถึงซึ่งพระนิพพานด้วยกันเทอญฯ สาธุ"<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  10. ฟ้าใสใส

    ฟ้าใสใส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +324
    หลวงปู่เนื้อสัมฤทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • The Dhep 01.jpg
      The Dhep 01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      145.7 KB
      เปิดดู:
      101
  11. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ทิศทางการเคลื่อนตัวของไต้ฝุ่น PARMA และไต้ฝุ่น Melor

    ���� ������� ��������͹��Ǣͧ ���� PARMA ��� ������� Melor


    [​IMG]



    ทิศทางการเคลื่อนตัวของไต้ฝุ่น PARMA และ ไต้ฝุ่น Melor (ไทยรัฐ)

    หลังจากไต้ฝุ่นกิสนาที่มีความเร็วลมถึง 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้พัดถล่มพื้นที่ทางตอนกลางของฟิลิปปินส์ และเวียดนามไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา และสร้างความสูญเสียต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั้งสองประเทศเป็นจำนวนมาก...

    หลังจากไต้ฝุ่นกิสนาที่มีความเร็วลมถึง 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้พัดถล่มพื้นที่ทางตอนกลางของฟิลิปปินส์ และเวียดนามไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา และสร้างความสูญเสียต่อทั้งชีวิตและ ทรัพย์สินของประชาชนทั้งสองประเทศเป็นจำนวนมาก ด้วยความเร็วของกระแสลม และปริมาตรของน้ำฝนจำนวนมหาศาลที่ตกลงมา รวมไปถึงทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันขึ้นในหลายพื้นที่ทางตอนบน และพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ในบริเวณที่แนวพายุกิสนาได้พัดผ่านไปแล้วนั้น ก็ยังคงมีพายุที่พัฒนาตัวเองขึ้น จนมีความแรงในระดับไต้ฝุ่นอีกถึงสองลูกที่มีทิศทางมายังบริเวณอ่าวตังเกี๋ย และอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยได้ หากเกิดการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนตัว เนื่องจากกระแสลมประจำฤดู ในช่วงเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายนนี้

    จากการเฝ้าติดตามการก่อตัวและการพัฒนา รวมไปถึงการเคลื่อนตัวของพายุ Parma และ พายุ Melor ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ พายุ Parma ซึ่งขณะนี้ลดความรุนแรงลงเป็นพายุโซนร้อนแล้วและมีความเร็วลมที่จุดศูนย์กลางประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีทิศทางอยู่ในบริเวณใกล้กับเกาะไหหลำและเกาะไต้หวัน อาจจะทวีกำลังแรงขึ้นกลับเป็นพายุไต้ฝุ่น Parma ขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลในบริเวณนั้นมีความเหมาะสม (อุณหภูมิของน้ำทะเลที่จะกลายเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีของพายุไต้ฝุ่นจะอยู่ ที่ประมาณ 26 องศาเซลเซียส) โดยมีจุดศูนย์กลางปกคลุมในทะเลระหว่างเกาะไต้หวันและเกาะลูซอนของประเทศฟิลิปินส์และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่เพียงแต่ว่าพายุไต้ฝุ่น Parma ลูกนี้จะเปลี่ยนทิศทางไปทางไหน? ตอนนี้เท่าที่ลองวิเคราะห์ภาพถ่ายทิศทางการเคลื่อนตัวของไต้ฝุ่น Parma และไต้ฝุ่น Melor จากดาวเทียมตรวจอากาศจะมี 2 ทิศทางที่อาจมีความเป็นไปได้คือ


    [​IMG]


    1. พายุโซนร้อน Parma จะเคลื่อนที่ตามพายุไต้ฝุ่น Melor ที่มีกำลังแรงมากกว่า โดยพายุไต้ฝุ่น Melor จะดูดเอามวลของพายุโซนร้อน Parma และเคลื่อนที่ไปที่ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากขณะนี้ร่องความกดอากาศสูงที่จะเป็นตัวดันให้พายุเบี่ยงเบนทิศทางลงมาด้านล่าง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อประเทศในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เหมือนกับไต้ฝุ่นกิสนายังคงมีกำลังไม่แรงมากนัก เนื่องจากอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนฤดูจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว ร่องความกดอากาศสูงที่จะเป็นตัวดันเอาทิศทางของไต้ฝุ่นให้เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จึงยังคงมีกำลังอ่อนอยู่


    [​IMG]


    2. พายุโซนร้อน Parma จะขาดจากการดูดกลืนมวลของพายุไต้ฝุ่น Melor เนื่องจากพายุไต้ฝุ่น Melor ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่กว่าและมีการเคลื่อนตัวค่อนข้างเร็ว ซึ่งอาจทำให้มันอยู่ห่างจากพายุ Parma มากเกินไปจนทำให้พายุโซนร้อน Parma ขาดจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น Melor จึงเป็นเหตุให้พายุโซนร้อน Parma เคลื่อนที่ลงมาที่ทะเลจีนใต้ โดยอาจมีทิศทางที่คล้ายคลึงกับไต้ฝุ่นกิสนาก็อาจเป็นได้ ซึ่งจากเหตุผลทั้ง 2 ข้อที่กล่าวมาแล้วเหตุผลข้อที่ 2 น่าจะมีเปอร์เซ็นต์มากกว่าข้อที่ 1 แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 วันนี้พายุโซนร้อน Parma จะไม่เคลื่อนที่ไปไหน โดยจะมีศูนย์กลางปกคลุมในทะเลระหว่างเกาะไหหลำ เกาะไต้หวันและเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปินส์หรือบริเวณใกล้เคียงกันนี้


    [​IMG]


    พายุไต้ฝุ่นทั้ง 2 ลูกนี้อยู่ในบริเวณที่มีความใกล้เคียงกัน ทั้งสภาวะของบรรยากาศอุณหภูมิโดยรอบของฐานพายุและระดับของอุณหภูมิน้ำทะเล แต่พายุไต้ฝุ่น Melor ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางและขนาดที่ใหญ่กว่าพายุโซนร้อน Parma จะทวีกำลังแรงขึ้นเป็น Super Typhoon ( มีความเร็วลมรอบจุดศูนย์กลางตั้งแต่ 135kts ขึ้นไปหรือประมาณ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และพายุไต้ฝุ่น Melor อยู่ที่ลัดติจูดค่อนข้างสูงหรืออยู่ค่อนข้างไปทางเหนือจะมีแนวโน้มเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกเข้าสู่บริเวณทางตอนใต้ของเกาะญี่ปุ่น ส่วนการที่พายุไต้ฝุ่น Melor จะมีการถ่ายเทพลังงานกันกับพายุโซนร้อน Parma นั้นก็อาจเกิดขึ้นได้ตามปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ฟูจิวาร่าเอ็กเฟ็ค ที่ทำให้เกิดการถ่ายเทพลังงานของพายุทั้งสองลูกนี้ ซึ่งพายุไต้ฝุ่น Melor อาจจะดึงให้พายุโซนร้อน Parma เคลื่อนตัวขึ้นไปทางทิศเหนือตามไปด้วย ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พายุโซนร้อน Parma ลดความเร็วลมลงจากไต้ฝุ่นระดับที่สาม จนในขณะนี้กลายเป็นพายุโซนร้อนที่มีความเร็วลมประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และแทบจะไม่เคลื่อนตัวเลย เกิดจากความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นในบริเวณทะเลจีนใต้ ทำให้ Parma ยังคงมีกำลังของลมรวมไปถึงทิศทางการเคลื่อนตัวที่ไม่แน่นอน แต่ถ้าหากว่ามวลอากาศเย็นในบริเวณที่พายุโซนร้อน Parma เคลื่อนตัวอยู่อ่อนกำลังลง ก็มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจกลายสภาพกลับมาเป็น ไต้ฝุ่นที่มีกำลังไม่แตกต่างไปจากไต้ฝุ่นกิสนามากนัก และอาจกลับมาส่งผลกระทบถึงประเทศไทยได้เช่นกัน


    [​IMG]


    การเฝ้าระวังและติดตามสภาพอากาศ รวมไปถึงการพยากรณ์และคาดการการเคลื่อนตัวของพายุในฤดูกาลนี้ มีความจำเป็นมาก เนื่องจากสภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นจากสาเหตุของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ตามมาอีกมาก ความเร็วลมของพายุที่เกิดขึ้นทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อชีวิตและพื้นที่อยู่อาศัยในบริเวณที่ประสบภัยพิบัตจากพายุ ลองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และจังหวัดชุมพร กับเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่สุดที่ไต้ฝุ่นได้กระทำต่อพื้นที่ในบริเวณนั้นกันครับ


    [​IMG]


    พายุไต้ฝุ่นเกย์ (อังกฤษ: Typhoon Gay) ถือเป็นพายุไต้ฝุ่นลูกแรกที่พัดเข้าสู่ประเทศไทย (ไม่นับพายุโซนร้อนแฮเรียต ที่พัดถล่มแหลมตะลุมพุก) โดยเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นพายุดีเปรสชั่นในอ่าวไทยตอนล่าง ในวันที่ 1พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 จากนั้น ก็เคลื่อนตัวขึ้นเหนือและมีกำลังรุนแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนและพายุไต้ฝุ่นตามลำดับ โดยใช้เวลาในการพัฒนาตัวเองเพียงแค่ 3 วัน วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 เวลา 08.30 น. พายุไต้ฝุ่นเกย์เคลื่อนเข้าสู่ชายหาดบริเวณภาคใต้ตอนบนด้วยความเร็วลมถึง 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเข้าถล่มอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ บางสะพานน้อยและอำเภอบางสะพาน ก่อนขึ้นฝั่งที่อำเภอท่าแซะ และปะทิวจังหวัดชุมพร ซึ่งทำให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่งที่อำเภอบางสะพานน้อย บางสะพาน ท่าแซะและ ปะทิว พายุไต้ฝุ่นเกย์เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็วผ่านประเทศพม่า ก่อนจะพัดออกสู่ทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย และอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน พอถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน ก็ทวีกำลังขึ้นใหม่อีกครั้ง เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลในมหาสมุทรอินเดีย มีความเหมาะสมโดยอยู่ที่ประมาณ 26 องศาเซลเซียส แล้วพัดถล่มหมู่เกาะอันดามันและเคลื่อนขึ้นสู่ชายฝั่งของประเทศอินเดีย ในวัน ที่ 8 พฤศจิกายน ด้วยความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ 5 (สูงกว่า 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และสลายตัวไปในวันที่ 10 พฤศจิกายน


    [​IMG]


    ความเสียหายในประเทศไทย

    ความเสียหายในจังหวัดชุมพร จากพายุไต้ฝุ่นเกย์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 446 คนบาดเจ็บ 154 คน บ้านเรือนเสียหาย 38,002 หลัง ประชาชนเดือดร้อน 153,472 คน เรือล่ม 391 ลำ ถนนเสียหาย 579 เส้น สะพาน 131 แห่ง ทำนบและฝาย 49 แห่งโรงเรียนพัง 160 โรง วัด 93 วัด มัสยิด 6 แห่ง พื้นที่การเกษตร 80,900,105 ไร่ สัตว์เลี้ยงตาย 83,490 ตัว ประเมินความเสียหาย 11,257,265,265 บาท พายุไต้ฝุ่นเกย์ ถือเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยมากที่สุดในรอบ 27 ปี นับตั้งแต่พายุโซนร้อนแฮเรียตถล่มแหลมตะลุมพุกในปี พ.ศ. 2505 เป็นพายุลูกเดียวในประวัติศาสตร์ที่พัดเข้าสู่ประเทศไทยในระดับไต้ฝุ่น และยังเป็นพายุที่มีความเร็วลมสูงสุดขณะขึ้นฝั่งเท่าที่เคยมีมาในคาบสมุทรมลายู

    การพยากรณ์และการคำนวณพายุหมุนเขตร้อนนี้ โดยหน่วยงานศูนย์ร่วม การเตือนภัยไต้ฝุ่น (Joint Typhoon Warning Center หรือ JTWC) ของสหรัฐฯ เป็นการพยากรณ์ตามระดับมาตรวัดพายุหมุนเขตร้อนของ ซัฟเฟอร์ –ซิมป์สัน (Saffir – Simpson Scale) ของสหรัฐ ตามข้อกำหนดจากต่างประเทศบริเวณที่ได้รับอิทธิพลจากเฮอร์ริเคน ซึ่งส่วนใหญ่ยอมรับใช้กัน พยากรณ์และคำนวณความเร็วลมที่รอบศูนย์กลางพายุที่ค่าเฉลี่ย 1 นาที (1-Minute Mean) ใช้กรณีเดียวกับศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติ (NationalHurricane Center หรือ NHC) / ต่างจากประเทศไทยที่มีการพยากรณ์และคำนวณพายุหมุนเขตร้อนตามระดับมาตรวัด พายุหมุนเขตร้อนตามมาตรฐานสากล (International Standard) ตามข้อกำหนดจากต่างประเทศบริเวณที่ได้รับอิทธิพลจากไต้ฝุ่นซึ่ง ส่วนใหญ่ยอมรับใช้กัน พยากรณ์และคำนวณความเร็วลมที่รอบศูนย์กลางพายุที่ค่าเฉลี่ย 10 นาที (10-Minute Mean) ดังนั้นข้อมูลทั้งค่าความกดอากาศ ความเร็วลม จะไม่เหมือนกัน

    1)ระดับมาตรวัดพายุหมุนเขตร้อนของ ซัฟเฟอร์ –ซิมป์สัน (Saffir – Simpson Scale) พยากรณ์โดยศูนย์ร่วมการเตือนภัยไต้ฝุ่น (Joint Typhoon Warning Center หรือ JTWC) ของสหรัฐฯ ตามข้อกำหนดจากต่างประเทศบริเวณที่ได้รับอิทธิพลจากเฮอร์ริเคนและส่วนใหญ่ยอมรับใช้กัน / ค่าเฉลี่ยความเร็วลมที่รอบศูนย์กลางพายุ 1 นาที


    (1-Minute Mean)

    ระดับของซัฟเฟอร์-ซิมพ์สัน --------------------- ความเร็วลมสูงสุดที่รอบศูนย์กลาง

    Tropical Depression (TD); พายุดีเปรสชัน ----- 25 – 33 นอต หรือ 46-61 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    Tropical Storm (TS); พายุโซนร้อน ------------ 34-63 นอต หรือ 63-117 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    Typhoon (Category 1); ไต้ฝุ่นระดับ 1 ---------- 64-83 หรือ 119-154 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    Typhoon (Category 2); ไต้ฝุ่นระดับ 2 ---------- 84-96 นอต หรือ 156-178 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    Typhoon (Category 3); ไต้ฝุ่นระดับ 3 ---------- 97-113 นอต หรือ 180-209 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    Typhoon (Category 4); ไต้ฝุ่นระดับ 4 ---------- 114-135 นอต หรือ 211-250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    Super Typhoon (Category 5); ซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 ---------- 135 นอต หรือ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นไป

    2) ระดับมาตรวัดพายุหมุนเขตร้อนประเทศไทย ใช้ตามมาตรฐานสากล (INTERNATIONALSTANDARD)ตามข้อกำหนดจากต่างประเทศบริเวณที่ได้รับอิทธิพลจาก ไต้ฝุ่นและส่วนใหญ่ยอมรับใช้กัน / ค่าเฉลี่ยความเร็วลมที่รอบศูนย์กลางพายุ 10 นาที (10-Minute Mean)

    ระดับ -------------------------------- ความเร็วลมสูงสุดที่รอบศูนย์กลาง

    Tropical Depression (TD) --------->33 นอต หรือ 62 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    Tropical Storm (TS) --------------- >34 – 47 นอต หรือ 63 – 88 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    Severe Tropical Storm (STS) ----- >48 – 63 นอต หรือ 89 – 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    Typhoon (TY) ---------------------- >64 นอต ขึ้นไป หรือ 119 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป




    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    อาหารจีน

    คอลัมน์ รู้ไปโม้ด

    น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com

    ˹ѧ

    อาหารจีน

    คอลัมน์ รู้ไปโม้ด

    น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ขอเคล็ดลับและหลักการทำอาหารจีน โดยเฉพาะอาหารกวางตุ้งด้วยค่ะ

    หมวย

    ตอบ หมวย

    อาหารจีน หมายถึงอาหารที่ประกอบขึ้นตามวัฒนธรรมของชาวจีน ซึ่งรวมทั้งแผ่นดินใหญ่ ไต้หวันและฮ่องกง มีหลากหลายชนิดตามแต่ ละท้องถิ่น แต่โดยรวมทั่วไปนิยมรับประทานอาหารจานผักและธัญพืชเป็นหลัก นอกจากนี้ในราชสำนักยังจะมีอาหารประเภทเนื้อสัตว์อยู่ด้วย ส่วนอาหารที่รู้จักกันแทบทั่วโลกคือก๋วยเตี๋ยวและติ่มซำ เช่นเดียวกับที่รู้จักวัฒนธรรมการกินด้วยอุปกรณ์คู่มือคือตะเกียบ ส่วนอุปกรณ์สำคัญในการทำครัวจีนมีอยู่ 4 อย่าง ได้แก่ เขียง มีด กระทะก้นกลมและตะหลิว

    ด้วยภูมิประเทศส่วนใหญ่อยู่ในเขตอากาศหนาวเย็นและแห้งแล้ง ไม้ที่จะนำมาเป็นเชื้อเพลิงมีไม่เพียงพอ และปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิงนี้เองที่เป็นปัจจัยบีบให้ชาวจีนต้องคิดหาวิธีที่จะทำให้อาหารสุกโดยเร็ว เพื่อให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยที่สุด การหั่นผักและเนื้อเป็นพื้นฐานสำคัญอันดับแรก พ่อครัวแม่ครัวที่ดีจะต้องสับเนื้อและหั่นผักได้รวดเร็วปานจักรผัน ความพิถีพิถันเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลอันสมควรอยู่ คือเนื้อและผักที่หั่นไม่ถูกขนาดจะทำให้อาหารสุกไม่เสมอกัน และนั่นจะทำให้ต้องใช้เวลาอยู่บนไฟนานกว่าปกติ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ครัวจีนประกอบอาหารด้วยการผัดในกระทะไฟแรงเป็นหลัก นอกจากเป็นวิธีที่ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงแล้ว ยังทำให้อาหารคงคุณค่า และคงความสดหรือกรอบเอาไว้ได้ ขณะที่การทอด การนึ่ง และการเคี่ยวก็เป็นวิธีที่นิยมทำกันมากเช่นกัน ต่างกับการย่างและการอบที่จะทำกันแต่ในครัวของภัตตาคารเท่านั้น

    อาหารจีนประกอบไปด้วยรสชาติและสีสัน และเครื่องปรุงต่างๆ นานาก็กลืนเข้ากันได้เป็นอย่างดี ทั้งซีอิ๊ว ขิง กระเทียม น้ำส้ม น้ำมันงา เต้าเจี้ยว และหอมแดง โดยที่ข้าวนับเป็นอาหารหลัก เฉพาะผู้คนทางเหนือที่จะกินอาหารที่ทำจากแป้งแทน เช่น ก๋วยเตี๋ยว ซาลาเปา หมั่นโถว เกี๊ยว ปาท่องโก๋ ฯลฯ ส่วนเต้าหู้ซึ่งเป็นของคู่ครัวจีน มีทั้งแบบแห้งและสด เป็นแผ่นและก้อน จัดเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญยิ่งของแผ่นดินที่ใช้พื้นที่ส่วนใหญ่ทำการกสิกรรมมากกว่าการเลี้ยงสัตว์

    สมัยชุนชิว-จั้นกั๋ว ได้เริ่มมีการแบ่งอาหารจีนเป็น 2 ตระกูลใหญ่ คือ อาหารเมืองเหนือ และอาหารเมืองใต้ กระทั่งต้นราชวงศ์ชิง ได้แบ่งอาหารเป็น 4 ตระกูลใหญ่ ได้แก่ อาหารซันตง หรือหลู่ไช่ อาหารเจียงซู หรือซูไช่ อาหารกวางตุ้ง หรือเย่ว์ไช่ และอาหารเสฉวน หรือชวนไช่ ครั้นมาถึงปัจจุบันมี 8 ตระกูลใหญ่ โดยเพิ่ม อาหารอันฮุย หรือฮุยไช่ อาหารฮกเกี้ยน หรือหมิ่นไช่ อาหารหูหนัน หรือเซียงไช่ และอาหารเจ้อเจียง หรือเจ้อไช่)

    และบางแหล่งก็แบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ตามมณฑลต่างๆ พร้อมให้จุดเด่น ดังนี้ อาหารเสฉวน เป็นอาหารรสจัด รวมทั้งรสเผ็ดร้อน ใช้เต้าซี่เป็นเครื่องปรุง มีเครื่องเทศมาก อาหารฮกเกี้ยน มักใช้ข้าวหมักสีแดงสด โดยที่นำมาหมักเต้าหู้ยี้สีแดง มีน้ำซุปใสที่เก่าที่สุด อาหารไหหลำ อาหารส่วนใหญ่มีเต้าเจี้ยวถั่วเหลืองและถั่วดำเป็นเอกลักษณ์ และใช้น้ำส้มปรุงรส อาหารปักกิ่ง เน้นการทอดที่กรอบและนิ่มนวล แต่อาหารไขมันค่อนข้างสูง ทั้งนี้ เพราะภูมิอากาศที่หนาวเย็น อาหารซัวเถา เน้นการตุ๋นและเคี่ยวเปื่อยนุ่ม

    และอาหารกวางตุ้ง ใช้น้ำมันหอยและผักมาก เน้นการปรุงอาหารได้ดูสด รสชาตินุ่มนวล หลายคนบอกว่าเป็นอาหารที่ดีที่สุด เพราะมณฑลกวางตุ้ง หรือกว่างตง ซึ่งอยู่ตอนใต้สุดของประเทศ ติดกับทะเลจีนใต้ ใกล้เกาะฮ่องกงและมาเก๊า (มณฑลนี้นี่เองที่ประชากรส่วนมากอพยพไปตั้งถิ่นฐานต่างประเทศเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว) มีสภาพอากาศดี ปลูกพืชผักได้หลากหลายกว่าภาคใดๆ อาหารกวางตุ้งนอกจากเน้นผลไม้ พืชผักนานาชนิด ยังมีอาหารทะเล ส่วนกรรมวิธีมีทั้งทาน้ำมันย่าง ผัดไฟแรง และนึ่ง ไก่ย่างกับหมูย่างนับเป็นอาหารขึ้นชื่อ แต่ยังโด่งดังไม่เท่าติ่มซำที่มีให้เลือกหลากหลาย



    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNeE1RPT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB3Tnc9PQ==
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    บิ๊กไซส์ ไข่ยักษ์

    เรื่องแปลก เรื่องแปลกๆ ไข่ไก่ ไข่ยักษ์


    [​IMG]

    [​IMG]



    บิ๊กไซส์ ไข่ยักษ์ (เดลินิวส์)

    เจ้าของเล้าไก่แห่งหนึ่งทางตอนเหนือของนิวยอร์กถึงกับตะลึงงง!... เมื่อเปิดประตูเล้าไก่หมายใจจะเข้าไปเก็บไข่จนได้พบกับไขไก่ใบโต มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ที่ดูภายนอกก็ว่าใหญ่แล้ว แต่เมื่อนำไปวางบนเครื่องชั่งก็ยังหนักถึง 138 กรัม ขณะ ที่ไข่ไก่ทั่ว ๆ ไปจะมีน้ำหนักระหว่าง 35-77 กรัมเท่านั้น

    หลังความตื่นตะลึงลดระดับลง"‘คริส เชาเออแมน" ผู้เป็นเจ้าของ กวาดสายตาไปรอบ ๆ เล้าไก่ เพราะขณะนั้น เขาเชื่อว่าไข่ยักษ์ที่อาจเป็นไข่ของตัวประหลาดหรือปีศาจแน่ ๆ แต่กลับไม่มีวี่แววของความผิดปกติใด ๆนอกเสียจากแม่ไก่ตัวหนึ่งที่เพิ่งออกไข่มา 5 ฟอง โดย 4 ฟองแรกนั้นมีขนาดและน้ำหนักปกติ แต่ฟองสุดท้ายนั้นใหญ่บิ๊กเกินทน ส่งผลให้แม่ไก่อ่อนล้าดูไร้เรี่ยวแรง นอนหายใจโรยรินอยู่ข้าง ๆ ไข่ไก่ทั้ง 5 ฟอง และไม่กี่ชั่วโมงต่อมา แม่ไก่ตัวนั้นก็ลาโลกไป

    ใหญ่โตขนาดนั้นคงแบ่งกินกันได้หลายคน


    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • hn01.jpg
      hn01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.3 KB
      เปิดดู:
      585
    • hn02.jpg
      hn02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.5 KB
      เปิดดู:
      638
  15. Phocharoen

    Phocharoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +225
    ท่าน สมาชิกพระ วังหน้าฯ ทุกท่าน
    เมื่อวันออกพรรษาที่ผ่านมา ผมไม่ได้เข้าร่วมประชุมครับ ต้องขออภัยด้วย เนื่องจากติดภาระกิจ พาลูกหลานไปทำบุญกัน ส่วนวันงาน ท่าน อาจารย์ ประถม ต้องทำอะไรบ้าง ผมรอ ทาง คุณ สิทธิพงศ์ แจ้งอยู่ครับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    วันออกพรรษาที่ผานมา ไม่ได้มีการประชุมครับ เพียงแต่ไปพบปะสังสรรค์กัน ไปชมพระพิมพ์ต่างๆกัน เท่านั้นเองครับ

    ส่วนวันงาน ผมต้องรอปรึกษากับพี่แอ๊ว คุณแด๋น และทางกลุ่มลูกศิษย์ของพระอาจารย์ท่านหนึ่งก่อนครับ

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เรียน ท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าทุกท่าน

    หากท่านใดเห็นร้านอาหารที่ใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงาน ที่มีอาหารอร่อยๆ สามารถนำมาร่วมงานได้ ส่วนท่านใดที่มีความประสงค์ที่จะนำอาหารมาถวายพระภิกษุรูปหนึ่ง และพระอาจารย์นิล สามารถนำอาหารมาร่วมถวายเพลได้อีกเช่นกัน แต่สำหรับพระอาจารย์นิล ท่านฉันมังสะวิรัตครับ

    อ่า ท่านกุ้งมังกอน ครับ อย่าลืมกล้วยกับมะพร้าวด้วยนะครับ จะได้ถวายหลวงปู่ครับ

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>มหัศจรรย์!เสียงของลูก ปลุกแม่ฟื้นจากภวังค์ความตาย!!
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>8 ตุลาคม 2552 16:11 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ปาฏิหาริย์แห่งรักระหว่างแม่-ลูกเกิดขึ้นอีกครั้งในโรงพยาบาล เมื่อแม่ที่นอนป่วยนานร่วมเดือน กลับมามีชีวิตที่สดใสอีกครั้ง หลังจากได้ยินเสียงของลูกชายตัวเอง

    นับเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับครอบครัว มอร์ริสโร-คลัทตอน ในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ “คาเรน มอร์ริสโร คลัทตอน” บรรณารักษ์ วัย 32 ปี คุณแม่ลูกหนึ่ง ต้องเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากร่างกายติดเชื้ออีโคไล ซึ่งส่งผลให้คาเรนมีอาการโคม่ามานานหลายเดือน ขณะที่ “โอลิเวอร์” ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอมีอายุเพียง 10 เดือนเท่านั้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=466 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=466>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บีบีซี-คาเรนพร้อมสามี(พอล)และลูก(โอลิเวอร์)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ทั้งนี้คาเรนเผยว่า ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ความเจ็บปวดจากการติดเชื้อ ทำให้เธอหมดหวังและกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะการติดเชื้อในครั้งนี้ นอกจากจะส่งผลกระทบให้จิตใจของเธอย่ำแย่แล้ว ยังทำให้ไตของเธออยู่ในภาวะล้มเหลวอีกด้วย

    “ฉันรู้ดีว่าฉันกำลังจะตาย ฉันหนีสิ่งนี้ไม่พ้นแน่ๆ อีกอย่างความเจ็บปวดและความทรมานที่ฉันต้องเจอนั้น มันทำให้ฉันอ่อนใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป และการรักษาที่ผ่านมามันก็ไม่ได้ทำให้ฉันดีขึ้นเลย”

    “ฉันยอมแพ้และพร้อมที่ตาย แต่ทว่า ในวันที่ฉันยอมแพ้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ฉันได้ยินเสียงของโอลี่ ลูกชายของฉันที่มีอายุเพียง 2 เดือนกว่าเท่านั้น เสียงของลูกทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะสู้กับโรคที่เป็นและพร้อมที่จะลุกขึ้นกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง”


    อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ที่คาเรนต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนานเพราะอาการที่โคม่าจนต้องเฝ้าระวังตลอดเวลานานร่วม 2สัปดาห์ ทำให้เธอไม่สามารถพบหน้าลูกได้ เพราะเธอต้องอยู่ในห้องของผู้ป่วยหนัก ห้ามญาติเข้าไปในห้องนั้น เพราะเกรงว่าเชื้อจะแพร่กระจายสู่ญาติได้

    “แม้ว่าฉันจะไม่ได้เห็นหน้าลูก แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันได้ดูรูปถ่ายของเขา ได้ดูวีดิโอที่สามีถ่ายมาให้ เราก็รับรู้ได้ว่า โอลี่สบายดี” คาเรนกล่าว

    ทั้งนี้ วันที่คาเรนได้พบหน้าลูกเป็นครั้งแรกนั้น เป็นวันที่เธอสามารถย้ายมาอยู่ห้องผู้ป่วยธรรมดาได้แล้ว ซึ่งทุกวันนี้คาเรนมีร่างกายที่แข็งแรงมากขึ้น จนแทบจะกลับมาเป็นคาเรนคนเดิม รอเพียงเวลาที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายให้สมบูรณ์และแข็งแรงเหมือนเดิมเท่านั้น

    คาเรนเล่าว่า ในวันที่ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนั้น เป็นวันที่เธอเห็นรอยยิ้มของลูกชายที่นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก เธอเล่าว่า "ขณะนั้นลูกกำลังเล่นอยู่กับพอล (สามี) ฉันนอนอยู่บนเตียง ก็หันไปมองสามี แล้วก็เห็นหน้าลูกชาย เขาส่งเสียงอ้อแอ้ใหญ่เลย"

    “ลูกจำฉันได้ เขายิ้มให้ฉันด้วย มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ่งใหญ่และมีค่าสำหรับฉันมาก ฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดและกลับบ้านไปอยู่กับลูก พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวอีกครั้งที่บ้านของเรา...ขอบคุณลูกจริงๆที่ทำให้ฉันฝ่าฝันอุปสรรคครั้งนี้ได้” คาเรนทิ้งท้าย

    เรียบเรียงจาก บีบีซี นิวส์

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เวลานี้ต้องบอกดังๆว่า เวปพลังจิต เข้ายากที่สุด ...

    วันนี้ใช้เวลาจัดห้องพระ จัดมาถึงหิ้ง"พระเศรษฐีนวโกฐ" ก็คิดถึงคุณหนุ่ม เลยนำภาพมาฝากครับ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1011027.JPG
      P1011027.JPG
      ขนาดไฟล์:
      267.6 KB
      เปิดดู:
      108
    • P1011028.JPG
      P1011028.JPG
      ขนาดไฟล์:
      295.8 KB
      เปิดดู:
      101
    • P1011030.JPG
      P1011030.JPG
      ขนาดไฟล์:
      318.6 KB
      เปิดดู:
      90
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เป็นเวลากว่า ๒ ปีหลังจากเรียนวิชาโหราศาสตร์พระเกตุ(๙) ก็ได้เที่ยวตามหา"พระเกตุ" หาข้อมูลต่างๆก็พบว่าเป็นพระบูชาที่สร้างกันน้อยมากนับแห่งได้เช่นหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ฯลฯ การออกแบบพระเกตุต่างจากพระประจำวันทั่วไปที่มีรูปแบบแน่นอน เช่น พระประจำวันพุธก็แบ่งเป็นพุธกลางวัน พุธกลางคืน พระประจำวันคือพระปางอุ้มบาตร และพระปางลิไลยก์ พระพุทธรูปประจำวันพฤหัสบดีคือพระปางสมาธิ..

    อาจารย์ผู้สอนโหราศาสตร์ยังเคยคิดที่จะสร้าง"พระเกตุ" โดยใช้หลักโหราศาสตร์กำหนดฤกษ์ยามในการจัดสร้าง แต่ไม่ทราบรูปแบบปางขององค์พระพุทธรูป ช่วงนั้นผมเลยหาข้อมูลของพระเกตุ จึงทราบว่า พระเกตุมีผู้จัดสร้างอยู่ปางเดียว นั่นคือปางขัดสมาธิเพชร แต่ผู้รู้บางท่านก็เสนอความเห็นโดยเปรียบเทียบอิริยาบถของพระประจำวัน มีทั้งประทับยืน ประทับนั่ง ประทับไสยาสน์ ฯลฯ จึงกำหนดว่าพระเกตุน่าจะเป็นปางก้าวพระบาท คือปางลีลานั่นเอง...

    พระเศรษฐีนวโกฐเป็นปางขัดสมาธิเพชร จึงน่าจะเหมาะจะเป็นพระประจำตัว และพระบูชาสำหรับผู้ที่มีอายุจรตกในช่วงพระเกตุเสวยอายุ ซึ่งก้นับเอาจุดที่ตั้งที่พระพฤหัสเป็นอายุจร ผมก็จึงมาพิจารณาเห็นจริงวว่า พระเกตุน่าจะเป็นปางขัดสมาธิเพชร เพราะกลับมานับอายุจรพระพฤหัสนี่เอง รายการนี้จึงไม่ต้องไปจีดสร้างเอง เพราะการสร้างพระเศรษฐีนวโกฐทางวังหลวงก็กำหนดฤกษ์ยามในการจัดสร้างแล้วเป็นแน่แท้...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1011030.JPG
      P1011030.JPG
      ขนาดไฟล์:
      318.6 KB
      เปิดดู:
      117
    • P1011029.JPG
      P1011029.JPG
      ขนาดไฟล์:
      319.8 KB
      เปิดดู:
      115

แชร์หน้านี้

Loading...