ทหารพระองค์ดำรายงานตัวหน่อยครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย visut_p, 28 สิงหาคม 2008.

  1. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ชอบครับ เอามาเล่าให้ฟังบ่อยๆ นะครับ:cool: เรื่องพวกนี้ อ่านแล้วทำให้คิดถึงครอบครัวพี่สาวที่ไปแต่งงานกับศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์ศิลปะ รู้สึกว่าที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์ กระมังครับ ทำให้คิดถึงหลานสาว หลานชาย ลูกครึ่ง ที่ ไปอบรมวัฒนธรรม ภาษาไทยที่วัดไหนก็ไม่รู้ เอารูปชีวิตเรื่องราวมาลงบ่อยๆนะครับ สาวน้อยนักรำด้วยก็ดีครับ สาวฝรั่งก็ได้นะครับ สมัยอยุธยาก็มีฝรั่งวิลันดามาช่วยรบไม่ใช่หรือครับ หนุ่มๆชาวทหารท่านอาจจะชอบดูด้วยก็ได้ (แหะๆ เอาคนอื่นมาอ้าง)
    ใครมีเรื่องราวของทหารฝรั่งและเทคโนโลยีที่มาช่วยพระองค์ดำรบ มาเล่าให้ฟังบ้างท่าจะดีนะครับ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2010
  2. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    พระแสงปืนยาว ๙ คืบ พระแสงอัษฎาวุธ เป็นอาวุธของพระเป็นเจ้า
    [แก้ไข] <center>พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง</center>

    <center>[​IMG]</center>
    พระแสงอัษฎาวุธ เป็นอาวุธของพระเป็นเจ้า (ตรี จักร ธนู) บ้างเป็นพระแสงอันเกี่ยวเนื่องทางประวัติศาสตร์ (พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง) บ้าง และอื่น ๆ อีกบ้าง
    ปีพศ.๒๑๒๖ พระเจ้าอังวะคิดแข็งเมืองไม่ยอมขึ้นต่อหงสาวดี พระเจ้านันทบุเรงได้ สั่งให้ประเทศราช (เมืองแปร ตองอู เชียงใหม่ ลาว และกรุงศรีฯ)ยกทัพไปปราบ สมเด็จพระนเรศวรทรง รอโอกาสที่จะแข็งเมืองอยู่เช่นกัน จึงทรงเดินทัพช้าๆเพื่อรอ ฟังผลการรบ ถ้าทางหงสาวดีชนะก็จะทรงกวาดต้อนคนไทยกลับกรุงศรีอยุธยา แต่ถ้าทางหงสาวดีแพ้ก็จะทรงยกทัพไปตีซ้ำ แต่ว่าทางหงสาวดีก็ไม่ไว้ใจสมเด็จพระนเรศวรอยู่แล้วจึงคิดจะกำจัด โดยสั่งให้พระยาเกียรติและพระยารามซึ่งเป็นมอญไปรับเสด็จพระนเรศวรที่เมืองแครง รอตีขนาบหลังจากที่ทัพพระมหาอุปราชเข้าโจมตี
    ด้วยพระบารมีของสมเด็จพระนเรศวรทำให้พระยาเกียรติและพระยารามนำความ เข้ามาปรึกษามหาเถรคันฉ่องพระ อาจารย์ พระมหาเถรคันฉ่องจึงนำเรื่องกราบทูล สมเด็จพระนเรศวรและเล่าความจริงทั้งหมดที่ทางหงสาวดีคิดไม่ซื่อ สมเด็จพระนเรศวรทรงเรียกประชุมแม่ทัพนายกอง นิมนต์พระมหาเถรคันฉ่องพร้อมด้วยพระยาทั้งสองเข้าร่วมประชุมพร้อมเพรียงกัน แล้วทรงเล่าเรื่องที่พระเจ้านันทบุเรงคิดไม่ซื่อจะหลอกฆ่าพระองค์
    เวลาในการประกาศอิสรภาพได้มาถึงแล้ว สมเด็จพระนเรศวรทรงหลั่งน้ำลงเหนือแผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร(น้ำเต้าทอง) ทรงประกาศแก่เทพยดาต่อหน้าที่ประชุมว่า " ตั้งแต่วันนี้ กรุงศรีอยุธยาขาดทางไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรต่อกันดังแต่ก่อนสืบไป " พระราชพิธีนี้เกิดขึ้นในวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๑๒๗ ณ.เมืองแครง จากนั้นพระองค์ ทรงมีดำรัสถามชาวมอญที่อยู่ในเมืองแครงว่าจะอยู่ข้างไทยหรือพม่า ส่วนมากจะอยู่ข้างไทยแล้วทรงรับสั่งให้จัดทัพเพื่อไปตีเมืองหงสาวดี
    สมเด็จพระนเรศวรทรงยกกองทัพข้ามแม่น้ำสะโตง จวนจะถึงหงสาวดีก็ทราบข่าวว่าพระเจ้าหงสาวดีรบชนะพระเจ้า อังวะ และกำลังยกทัพกลับกรุงหงสาวดี สมเด็จพระนเรศวรทรงคิดพิจารณาแล้วว่า การจะตีหงสาวดีครั้งนี้คงไม่สำเร็จ จึงให้ทหารเที่ยวไปกระจายข่าวบอกชาวไทยที่ถูกพม่ากวาดต้อนมาให้เดินทาง กลับเมืองไทยได้จำนวนหมื่นเศษ สมเด็จพระนเรศวรทรงให้ชาวบ้านข้ามแม่น้ำ สะโตงไปจนหมด แล้วพระองค์ทรงอยู่คุมกองหลังข้ามแม่น้ำสะโตงเป็นชุดสุดท้าย(แสดงถึงความ เป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมและกล้าหาญมาก) ขณะนั้นพระมหาอุปราช(มังสามเกียด)ได้จัดทัพติดตามมาให้สุรกรรมาเป็นกองหน้า แล้วมาทันกันที่แม่น้ำสะโตงซึ่งมีความกว้างประมาณ ๔๐๐ เมตร ทางพม่าก็ยิงปืนข้ามมาแต่ไม่ถูก สมเด็จ พระนเรศวรทรงประทับอยู่บนคอช้างริมแม่น้ำทรงประทับพระแสงปืนยาว ๙ คืบหรือ ๒ เมตร ๒๕ เซ็นติเมตร (แล้วทรงอธิฐานถ้าการ กู้ชาติสำเร็จขอให้ยิงถูกข้าศึก) ทรงยิงไปถูกสุรกรรมาตายอยู่บนคอช้าง ทำให้พม่าเกรงกลัวและถอยทัพกลับไป พระแสงปืนต้นนี้มีนามว่า “ พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง หลังจากนั้นสมเด็จพระนเรศวรทรงเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา
    พระแสงปืนที่ใช้ยิงสุรกรรมาตายบนคอช้างนี้ได้นามปรากฎต่อมา ว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง" นับเป็น พระแสงอัษฎาวุธ อันเป็นเครื่องราชูปโภค ยังปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้
    <hr> ขอขอบคุณข้อมูลจาก

    <!-- Saved in parser cache with key panyathai_wiki:pcache:idhash:9279-0!1!0!!th!2 and timestamp 20100121081818 --> Retrieved from ".:: พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง - คลังปัญญาไทย ::."
    ประเภทของหน้า: เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์


    ที่มา
    .:: พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง - คลังปัญญาไทย ::.
     
  3. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    พระแสงปืนนี้ผมก็ไม่ทราบว่าประเทศไหนเป็นผู้ผลิต แต่ถ้าจะให้เดาก็คงจะเป็นฝรั่งชาติตะวันตก ธรรมดาความกว้างของแม่น้ำสะโตง มีผู้เคยเล่าว่าความสามารถปกติคือพิสัยการยิงของปืนที่ผลิตนั้นไม่สามารถยิงข้ามแม่น้ำ แต่ที่ข้ามได้เพราะพระองค์ท่านทรงบารมีมีวิชากระสุนคด เพิ่มกำลังกระสุนนำพากระสุนไปสู่ชัยชนะแห่งสงครามได้
    ท่านใดพอจะทราบรายละเอียดมาเล่าให้ฟังเป็นความรู้วิทยาทานด้วยครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2010
  4. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    กรณีศึกษาตัวอย่างวิชากระสุนคด

    วันพฤหัสบดี ที่ 27 กันยายน 2550
    บันทึกลับ เจ้าพระยาบดินทร์เดชาฯ (ภาค11)


    บันทึกลับในราชการสงคราม
    เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์)
    อาญาสิทธิ์แม่ทัพใหญ่ฝ่ายตะวันออก
    ..เอกสาร สมบัติของ..ฯขุนนคเรศฯ...
    (ภาค 11 )
    (สงวนลิขสิทธิ์ เฉพาะการพานิชย์)
    [​IMG]
    ครั้น ทรงจดหมายใบบอกนี้แล้ว จึ่งโปรดให้จมื่นมหาสนิท หัวหมื่นมหาดเล็ก กับ พระอินทราธิบาล ที่เจ้ากรมพระตำรวจวังหน้า เชิญจดหมายใบบอกลงมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพ ฯ
    ครั้ง นั้นโปรดให้ พระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจในพระราชวังหลวง ซึ่งเชิญสิงของเครื่องเสวยมาแต่เมืองจีนขึ้นไปพระราชทานนั้น โปรดให้กลับลงมากับตำรวจในวังหน้าที่เชิญใบบอกมานั้นพร้อมกัน
    แม้นว่าทัพสยามจักได้ชัยชำนะเดินทัพเข้าสู่เมืองเวียงจันทร์ได้แล้ว แต่พระยาเชียงสา แม่ทัพลาวนั้น ยังคงตั้งค่ายแข็งแรงอยู่ที่ตำบลบ้านโพ้นเชียงทอง ยังหายอมแพ้มาสวามิภักดิ์ไม่ กรมพระราชวังบวรฯ จึ่งทรงมีพระราชบัณฑูร สั่ง
    ให้ พระยาไกรโกษา เป็นแม่ทัพ คุมพลทหารสำหรับทัพที่ยกมาแต่เมืองหล่มศักดิ์นั้น ให้ยกไปตีค่ายพระยาเชียงสา ให้แตกให้ได้
    ทัพ พระยาเชียงสา แม่ทัพลาวได้ต่อสู้แข็งขันเป็นสามารถ กำลังพลไพร่ลาวมากกว่าทัพของพระยาไกรโกษา พระยาไกรโกษาชะล่าใจในทัพลาว ด้วยเหนว่าทัพสยามเข้ายึดเมืองเวียงจันทร์ได้ ทัพพระยาเชียงสาคงจักหวาดกลัว แลแตกหนึไปเองไม่เป็นอันต่อสู้เมื่อเหนทัพสยาม แต่การมิเป็นเช่นนั้น พระยาเชียงสาได้วางกลศึกโอบล้อมกระหน่ำตีทัพของพระยาไกรโกษาแตกหนีมาแลเสีย รี้พลมาก เสียนายทัพนายกองสยามไปมากในการศึกครั้งนี้ด้วยความประมาทในกลศึกพระยาเชียง สานั้น

    กรมพระราชวังบวรฯ ทรงขัดเคืองพระยาไกรโกษามาก จึ่งโปรดให้ขุนนางผู้ใหญ่ แม่ทัพนายกองปรึกษาโทษพระยาไกรโกษา
    เมื่อ พระยา พระ หลวง นายทัพนายกองพร้อมกันปรึกษาความผิด ตาม พระราช ฏีกาอัยการศึกมีความเหนพ้องกันว่า "พระยาไกรโกษามีความผิดมากนัก ขอพระราชทานให้ประหารชีวิตเสีย อย่าให้นายทัพนายกองดูเยี่ยงอย่างต่อไป"
    กรม พระราชวังบวรฯ ได้ทราบข้อยุติแห่งคำปรึกษาแล้วจึ่งตรัสว่า " พระยาไกรโกษานี้เป็นคนเก่า มีความชอบแต่ครั้งไปตีเจ้าราชวงศ์ที่เมืองหล่มศักดิ์แล้วครั้งหนึ่ง ขอให้ยกโทษประหารชีวิตเสียเถิด ให้แต่จำตรวนถอดออกจากที่พระยาไกรโกษา ไม่ให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่แม่ทัพ แลให้จำตรวนไว้ในกองทัพหลวง "
    จากนั้น กรมพระราชวังบวรฯ ได้มีพระราชบัณฑูร ดำรัสสั่ง
    ให้ พระยาเพชรพิไชย ๑ พระยาเกษตร์รักษา ๑ พระยาบริรักษ์ราชา ๑ พระยา
    อัษฏาเรืองเดช ๑ นำไพร่พลทหารสยาม ยกไปตีค่ายพระยาเชียงสาให้แตกให้จงได้
    ทัพพระยาเกษตรรักษา ซึ่งเป็นทัพหน้ายกไปพบค่ายพระยาเชียงสา แม่ทัพลาวที่ตำบลบ้านโพ้นเชียงทอง ก็เข้าโจมจู่ตีกองทัพหน้าของพระยาเชียงสา ในทันที
    [​IMG]
    นาย แผลงไพรินทร์ นายเวรตำรวจวังหน้า เป็นนายม้า เชี่ยวชาญวิชากระสุนคดมือถือปืนหลังม้ายิงไปถูกอ้ายท้าวโสม นายทัพหน้าของพระยาเชียงสานั้นต้องปืนที่แสกหน้า ตกจากหลังม้าตายในที่รบ พระยาเกษตรรักษาแม่ทัพหน้าสยาม จึ่งให้ตัดหัวอ้ายท้าวโสมมาเสียบหอก ขี่ม้าชูนำหน้าไพร่พลสยามนำทัพตีลาวกระหน่ำเข้าไปอีก พลไพร่นายทัพลาวทั้งหลายเหนหัวท้าวโสมถูกตัดเสียบหอกก็ตกใจกลัว พากันแตกตื่นย่นถอยหลังเหยียบกันเป็นพัลวัน พระยาเกษตรรักษาก็ให้พลทหารไล่ตีพักเดียว ทัพอ้ายพระยาเชียงสาก็แตกถอยไปทางเมืองพง ทัพพระยาเพชรพิไขย แล พระยาอัษฏาเรืองเดช พระยาบริรักษ์ราชา จึ่งตามตีทัพลาวของพระยาเชียงสาไปเถิงป่าเมืองพง
    ใน เมืองพงนั้น กองคำ แม่ทัพลาว ได้ตั้งค่ายอยู่ตามคำสั่งเจ้าอนุแต่ครั้งเริ่มศึก กำลังไพร่พลก็สดชื่น ด้วยมิได้ปะทะศึกใดเช่นทัพลาวอื่น จึ่งเมื่อเหนทัพพระยาเชียงสาแตกพ่ายมา จึ่งหาทางแก้กลศึกสยาม กองคำได้ยกพลทหารมาสกัดหลังทัพพระยาเพชรพิไชยที่ถลำเข้าไปในป่า เป็นศึกกระหนาบ
    ทัพ ของพระยาเพชรพิไชย ไม่รู้ว่ามีค่ายทัพลาวของกองคำตั้งรออยู่ที่เมืองพง เมื่อเหนทัพลาวเข้าตีตลบหลังก็แตกระส่ำระสาย กำลังพลสยามล้วนอ่อนล้า ครั้นเมื่อจวนตัวแลกำลังก็น้อยกว่าจึ่งต้องหันกลับประจันบานขั้นตะลุมบอน แต่ทัพสยามสู้มิได้แลใกล้ที่จักแตกอยู่แล้วนั้น
    นายสว่างฤทธิ์ชัย ศิษย์ร่วมอาจารย์ นายแผลงไพรินทร์ นายเวรตำรวจวังหน้า ได้ใช้วิชากระสุนคด ยิงอ้ายกองคำแม่ทัพลาวเข้ากลางอกตกม้าได้ศพมาก็ตัดหัวเสียบหอกเหมือนกันกับ รายท้าวโสม การจึ่งพลิกผันยังผลให้ทัพลาวทั้งหลายเสียขวัญแตกเข้าป่าไป พ่ายแพ้หมดทุกทัพทุกกอง
    เพลานั้นใกล้พลบค่ำทัพสยามจึ่งมิได้ติดตามไปกลัวจักเสียทีแก่อ้ายลาว สงสัยว่าอ้ายลาวทำกลอุบายแตกหนีล่อทัพสยามให้ตามไปตีในป่าเมื่อเวลาค่ำ ทัพสยามจึ่งตั้งมั่นอยู่ที่นั้นคืนหนึ่ง
    พอ เพลารุ่งเช้าทัพสยามจึ่งยกติดตามทัพอ้ายพระยาเชียงสาไป เมื่อเพลาสองโมง ทันอ้ายพระยาเชียงสาที่บ้านห้วยหลวง ทัพสยามจึ่งเข้าประจันบานขั้นตะลุมบอน ทัพลาวได้ตั้งรับวางพลปืนไว้ตลอดแนวป่า ทัพสยามหาได้ทราบไม่จึ่งเสียนายทัพสยาม แลสาหัสไป ดั่งนี้
    พระอินทรเดช น้องพระยาเพชรพิไชย ต้องปืนลาวไม่เข้า แต่ตกม้าพลลาวจึ่งรุมกระหน่ำด้วยหิน แลเอาหอกเสียบรูทวารจึ่งตาย
    พระยา กำแพงเพชร แล พระหฤทัย ทั้งสองต้องปืนสาหัสแต่หาเข้าไม่ กระดูกอกเดาะ หาได้ตายไม่ เพียงเสื้อผ้าอาภรณ์ไหม้เป็นรู พลไพร่ได้นำตัวกลับคืนมารักษาได้
    สยามทัพนี้ล้วนคนดีมีวิชา มีพลน้อยตัวแต่หาญศึกฮึกเหิมด้วยคงกระพันต่ออาวุธ ดาบ ปืน จึ่ง ตีทัพพระยาเชียงสาลาวแตกกระจายไปในป่าอีกครั้งหนึ่ง แต่ทัพลาวหนีไปโดยเร็ว ทัพสยามตามไปไม่ทันก็ตั้งทัพอยู่ที่ริมหนองหลวง เพื่อจักรวบรวมรี้พลที่หลงป่าหลงทางระส่ำระสายในคราวรบกับ ทัพกองคำให้ถ้วนทุกนายเสียก่อน
    พระยา เชียงสา แม่ทัพลาว พาทหารที่ติดตามไปด้วยนั้นเลียบริมฝั่งโขง ลงไปเถิงเมืองยะโสธร จึ่งพบกับกองทัพสยามของ พระยาราชสุภาวดี ตั้งสกัดขวางทางอยู่ พระยาเชียงสาเข้าตาจน จักถอยก็ไม่ได้ จักเดินทัพต่อไปก็มิได้ พระยาเชียงสาจึ่งหาทางรอดชีวิตสั่งไพร่พลทหารลาวที่ติดตาม ให้ทิ้งศาตราวุธทั้งสิ้น ยอมยกให้ทหารพระยาราชสุภาวดีเสียหมดแล้ว ก็เข้าหาพระยาราชสุภาวดีแต่โดยดี ขอสวามิภักดิ์พอให้รอดชีวิต
    ฝ่าย พระยาเพชรพิไชยรวบรวมไพร่พลได้หมดแล้ว ก็ให้พระยาเกษตรรักษายกเป็นทัพหน้า ติดตามพระยาเชียงสาต่อไป พระยาเกษตรรักษานายทัพหน้ายกไปเถิงฝั่งแม่น้ำโขงใกล้เมืองยะโสธร จึ่งได้ทราบข่าวมาจากกองตระเวนด่านดพระราชสุภาวดีว่า พระยาเชียงสาเข้าหาพระยาราชสุภาวดีโดยดีแล้ว พระยาเกษตรรักษาแลพระยาเพชรพิไชย แลพระยานายทัพนายกองทั้งหลาย ยกทัพกลับมายังค่ายหลวงที่พรานพร้าว กราบทูลข้อราชการที่ได้ไปตีอ้ายพระยาเชียงสา นั้นทุกประการแล้ว
    ฝ่าย พระยาราชสุภาวดีตั้งทัพอยู่ที่เมืองยะโสธร คิดจักยกทัพไปตีเมืองจำปาศักดิ์ แต่พอเดินทัพมากลางทางได้ข่าวตามชาวป่าว่า เจ้าราชบุตรเมืองนครจำปาศักดิ์นั้นยกทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองศรีษะเกศ ครั้นพระยาราชสุภาวดีแจ้งเหตุการณ์ดั่งนั้นแล้ว จึ่งยกทัพมาตั้งค่ายใหญ่อยู่ที่ใกล้เมืองอุบลราชธานี

    ฝ่าย เจ้าราชบุตรได้ทราบข่าวศึก พระยาราชสุภาวดียกทัพใหญ่มาตั้งอยู่ที่ใกล้เมืองอุบล เจ้าราชบุตรจึ่งยกทัพมาตั้งค่ายรับอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี จึ่งให้ เจ้าปาน เจ้าสุวรรณ ผู้น้อง คุมกองทัพตั้งค่ายสังกัดหลังอยู่ที่เมืองยะโสธร
    พระยา ราชสุภาวดียกทัพกลับไปตีค่ายเจ้าปานเจ้าสุวรรณ ตั้งค่ายที่เมืองยะโสธรเวลาเดียว ทัพเจ้าปานเจ้าสุวรรณก็แตกกระจัดกระจายหนีไปได้บ้าง นายทัพนายกองจับเป็นได้นายทัพนายกองลาวหลายสิบคน แลไพร่พลได้มาก ที่ต่อสู้ตายเสียก็มาก แล้วพระยาราชสุภาวดีก็ยกทัพขึ้นไปตีเมืองอุบลราชธานี ฝ่ายลาวในเมืองอุบลราชธานีพร้อมใจกันเป็นขบถ คุมกันหลายพวก ได้ไล่ฆ่าฟันกองทัพเจ้าราชบุตรเป็นอลหม่านขึ้นไปในเมืองอุบลราชธานี
    ฝ่าย เจ้าราชบุตรเหนชาวเมืองอุบลราชธานี กลับใจเป็นขบถขึ้นพร้อมกันทั้งเมืองดั่งนั้น จึ่งพากองทัพของตนหนีออกจากเมืองอุบลราชธานี ตรงไปเมืองนครจำปาศักดิ์ซึ่งเป็นบ้านเมืองเดิมของตนเคยอยู่ ฝ่ายครอบครัวเมืองต่าง ๆ ที่เจ้าราชบุตรกวาดต้อน พาไว้ในเมืองจำปาศักดิ์นั้น ก็กำเริบเป็นศัตรูขึ้นด้วย ชวนกันนำไฟจุดเผาบ้านเรือนราษฏรในเมือง ไฟไหม้ขึ้นเป็นหลายสิบหลังแลไหม้ต่อกันไปเป็นอันมาก แล้วพวกครัวต่าง ๆ ก็พากันออกนอกเมืองจำปาศักดิ์ หมายจักต่อสู้กับเจ้าราชบุตรก็มีบ้างที่หนีไป
    เมื่อ เจ้าราชบุตรเหนชาวเมืองคุมกันเป็นขบถเกิดจลาจลขึ้นดั่งนั้น จักเข้าเมืองก็ไม่ได้จึ่งรวบรวมไพร่พลคนใช้ที่สนิทได้ประมาณสามสี่สิบคนแล้ว พากันลงเรือข้ามฟากน้ำโขง หมายใจว่าจักขึ้นบกหนีไปแดนเมืองญวนให้รอดชีวิต
    ที่มา �ѹ�֡�Ѻ ��Ҿ���Һ�Թ���പ�� (�Ҥ11)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2010
  5. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ปาฏิหาริย์แห่ง"กระสุนคด"(1) "หลวงพ่อเอียด"เกจิฯดังเขาอ้อ

    คอลัมน์ มุมพระเก่า

    สรพล โศภิตกุล

    "เขาอ้อ" ตักกสิลาแห่งวิชาพุทธาคมที่พระเกจิอาจารย์ดังทั่วแดนทักษิณต่างมุ่งเข้ามา ศึกษา อีกทั้งยังเป็นสำนักเรียนทางแพทย์แผนโบราณอันเก่าแก่แห่งหนึ่ง

    "การอาบน้ำว่าน แช่น้ำยา" นับเป็นสุดยอดวิชาของสำนักเขาอ้อ

    กล่าว กันว่า ผู้ใดที่ได้ลงไปนอนแช่น้ำยา อาบน้ำว่าน และผ่านการปลุกเสกตามหลักวิชาไสยศาสตร์ของพระอาจารย์ผู้มีกฤติยาคม แกร่งกล้าของวัดเขาอ้อแล้ว หากคนนั้นได้ประพฤติตนปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ผู้ทำพิธีให้ แล้ว คนๆ นั้นจะอยู่ยงคงกระพันชาตรี ฟันแทงไม่เข้าอย่างแน่นอน

    เจ้า อาวาสวัดในพื้นที่จังหวัดพัทลุง อาจกล่าวได้ว่าล้วนเป็นศิษย์สำนักเขาอ้อทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น วัดดอนศาลา วัดบ้านสวน วัดประดู่เรียง ซึ่งอยู่ในอำเภอควนขนุน ตลอดจนวัดปากสระ และวัดยาง ที่อยู่ในเขตอำเภอเมือง ซึ่งเป็นสำนักที่โดดเด่น <table style="border: 1px dotted rgb(255, 255, 255);" width="20%" align="right" border="1" cellpadding="1" cellspacing="5"><tbody><tr bgcolor="#ffe9ff"><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table>

    และ "หนึ่ง" ในพระเกจิอาจารย์ที่ "เด่น" อีกรูปหนึ่งของสายสำนักเขาอ้อ คือพระครูสิทธิยาภิรัตน์ (เอียด ปทุมสโร) หรือที่ชาวบ้านเรียกขานอย่างคุ้นปากว่า "พระอาจารย์เอียด"

    พระอาจารย์เอียดนั้น ยังได้ทันศึกษาวิชาจากพระอาจารย์ทองเฒ่า หรือพ่อท่านทอง ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "พ่อท่านเขาอ้อ" เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน มีความรู้ความสามารถในทางวิทยาคม และแพทย์แผนโบราณ จนเป็นที่เคารพนับถือยำเกรงของคนทั่วไป ตรงศีรษะของท่านมีเส้นผมสีขาว ไม่สามารถโกนหรือตัดให้ขาดได้

    ในสมัยที่พระอาจารย์ทองเฒ่ายังมีชีวิตอยู่ สานุศิษย์ของท่านนิยมทำพิธีแช่ว่านยา กินเหนียว กินมัน กันมาก
    <table style="border: 1px dotted rgb(255, 255, 255);" width="20%" align="left" border="2" cellpadding="1" cellspacing="5"><tbody><tr bgcolor="#ffffe8"><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table>

    การแช่ว่านยาของสำนักเขาอ้อ น่าสนใจทีเดียว

    วัดเขาอ้อ ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง มีหลักฐานว่าสร้างมาแต่ครั้งพุทธศตวรรษที่ 22 และเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.2275-2301)

    พิธีกรรมอันสำคัญยิ่งของสำนักเขาอ้อ ที่เป็นที่กล่าวขานมาโดยตลอด คือ

    พิธีแช่ว่านยาให้มีความขลังอยู่ยงคงกระพัน พิธีนี้จะทำกันในเดือน 5 และเดือน 10 โดยผู้ที่ทำการแช่ว่านยาจะลงนอนแช่ในรางว่านยา แต่ก่อนที่จะลงแช่ว่านยานั้น ต้องหาฤกษ์ที่จะลงในพิธีกรรม ว่านยาที่ใช้จะต้องนำมาลงอักขระเลขยันต์ปลุกเสกตามกรรมพิธี ครั้นได้ฤกษ์แล้วก็แต่งเครื่องบูชามาไหว้ครู จากนั้นจึงทำพิธีเกิดใหม่หรือบริสุทธิ์ให้กับผู้ที่จะลงรางแช่ว่านยา

    ต่อมาเป็นการนิมนต์พระอาจารย์พร้อมพระสงฆ์อย่างน้อย 5 รูป มาสวดปลุกเสก

    ถึงเวลาจะลงรางแช่ว่านยา ผู้ทำพิธีจะหาทิศทางวันที่เป็นเดช แล้วจึงนำผู้ที่จะแช่ว่านยาไปในทิศทางนั้น แล้วให้ยื่นเท้าเหยียบเหล็กกล้า หนังเสือ หนังหมี ไว้บนศีรษะ ลงอักขระเลขยันต์ที่มือ เท้า หน้าอก หลัง ลงกระหม่อมให้แล้วพาลงทางทิศที่หาไว้

    เมื่อแช่ว่านยาตามกำหนดแล้ว ผู้ที่ทำพิธีจะทำพิธีพาขึ้นจากรางว่านยา แล้วป้อนน้ำมันงา ข้าวเหนียวดำ จากนั้นทำพิธีผูกครอบให้เรียบร้อย ทำพิธีบูชาครู หรือไหว้ครูอีกครั้งเป็นการเสร็จพิธีแช่ว่านยา


    Ref.
    http://www.matichon.co.th/khaosod/kh...day=2006/10/19
    <!-- google_ad_section_end --> <fieldset class="fieldset"> <legend>รูป</legend> [​IMG] [​IMG] [​IMG]



    </fieldset>
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ปาฏิหาริย์แห่งกระสุนคดหลวงพ่อเอียดเกจิฯดังเขาอ้อ.54600/
     
  6. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ปาฏิหาริย์แห่ง"กระสุนคด"(2) "หลวงพ่อเอียด"เกจิฯดังเขาอ้อ

    คอลัมน์ มุมพระเก่า

    สรพล โศภิตกุล



    พิธีหุงข้าวเหนียว เป็นพิธีที่ทำขึ้นในเดือน 5 และเดือน 10 หรือในงานวันทำบุญไหว้ครูประจำปีที่วัดดอนศาลา คือ วันเพ็ญกลางเดือน 5 หรือเดือนเมษายน และในเดือน 10 หรือเดือนกันยายนของทุกปี

    พิธีการกินข้าวเหนียวดำนั้น มีความเชื่อว่า ทำให้คงกระพันชาตรี ผิวพรรณดี เป็นอายุวัฒนะ กันและแก้คุณไสย ทั้งยังเป็นเมตตามหานิยมไปในตัว

    การหุงข้าวเหนียว มีกรรมวิธีการ คือนำว่านต่างๆ มาต้ม เพื่อนำน้ำว่านที่ได้มาใช้ในการหุงข้าวเหนียวดำ อันมีกรรมวิธีเป็นขั้นตอน เมื่อแรกที่ได้ว่านมาแล้ว ผู้ทำพิธีจะเอาดินสอพองมาคั่วในกระทะให้โทนสีออกแดง เอาผงที่ตำละเอียดแล้วมาผสมน้ำให้เข้ากัน เอาผ้าขาวกรองน้ำออก ให้ได้แต่เนื้อดินมาปั้นเป็นแท่งดินสอ นำไปตากแดด

    จากนี้จึงหาฤกษ์ที่เป็นทางมหาอำนาจ เช่น เพชรฤกษ์ แล้วนำกระดานชนวนมา แต่งเครื่องบูชาครูบาอาจารย์ บูชาพระรัตนตรัย แล้วสวดมนต์ ตั้งธาตุให้ครบบริบูรณ์ แล้วเอาดินสอพองกับกระดานชนวนมาลงผงต่างๆ ตามตำรา มีผงพระนอโมสำเร็จ ผงคาบสำเร็จ ผงพระปิติ ผงพระทรหด ผงพระเจ้า 16 พระองค์ เมื่อได้ผงตามต้องการแล้ว นำผงเหล่านั้นมาปลุกเสกซ้ำแล้วเก็บไว้

    ในวันที่จะหุงข้าวเหนียวให้เตรียมไม้ฟืน และก้อนเส้ามาเตรียมไว้ให้พร้อม แล้วแต่งเครื่องบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ครูบาอาจารย์ เสร็จแล้วปลุกเสกข้าวสารและน้ำว่านที่จะใช้ผสมข้าวสาร เอาไม้ฟืนที่จะใช้หุงข้าวเหนียวดำมาลงยันต์ ไม้ฟืนที่ใช้นั้นเป็นไม้ซับพลา ไม้กวนข้าวเหนียวเป็นไม้ชัยพฤกษ์ ไม้ทั้งสองต้องลงยันต์กำกับไว้ด้วย

    ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่หุงข้าวเหนียว ต้องลงยันต์ที่ฝ่าเท้า หน้าอก สะดือ และกระหม่อม

    นอกจากนั้น จะต้องลงยันต์ที่แผ่นดินที่จะทำพิธี ลงยันต์ที่ก้อนเส้าทั้งสามแล้วเอาไม้ 3 อัน มาทำจางหยางวนสายสิญจน์จากพระประธานมายังบริเวณที่จะหุงข้าวเหนียวดำ

    เมื่อถึงเวลาหุงแล้ว ผู้ทำพิธีจะต้องนั่งบริกรรมปลุกเสกไปจนข้าวเหนียวสุกดีแล้ว หลังจากนั้นจึงเอาข้าวเหนียวไปตั้งบนเหล็กกล้า หนังเสือ หนังหมี แล้วปลุกเสกอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะป้อนให้กิน

    ผู้ที่จะกินข้าวเหนียวดำ ผู้ทำพิธีจะทำน้ำมนต์ไว้สำหรับพรมให้ผู้จะกิน เพื่อทำความบริสุทธิ์ตัวให้กับผู้ที่จะกินข้าวเหนียวดำ ตอนเข้าไปกินผู้ที่จะกินต้องหาดอกไม้ ธูปเทียน หมากพลู ไปถวายให้กับผู้ทำพิธี เป็นการบูชาครู

    ถึงขั้นตอนที่กิน เมื่อทำตัวบริสุทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ทำพิธีจะให้นั่งบนหนังเสือ เท้าทั้งสองเหยียบบนเหล็กกล้า บนศีรษะตั้งหนังหมีไว้ แล้วป้อนให้กิน ตอนกินผู้ทำพิธีจะกำกับคาถาอาคมไปจนเสร็จ เมื่อเสร็จแล้วก็จะผูกด้วยคาถาอาคมอีกครั้งเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนพิธีกรรม กินข้าวเหนียวดำของสำนักเขาอ้อ

    พิธีเสกน้ำมันงา เป็นพิธีที่ไม่มีขั้นตอนมากมายนัก เพียงมีหมาก 9 คำ ดอกไม้ 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ธูป 3 เล่ม หนังเสือ หนังหมี เหล็กกล้า วางอยู่หน้าเครื่องบูชา มีเพดานสายสิญจน์ ผู้เสกแขวนลูกประคำ เอาน้ำมันงาใส่ถ้วยใบเล็กๆ มาเสกคาถาอาคมจนครบ 108 คาบ น้ำมันงานั้นจะแข็ง หากน้ำมันงายังไม่แข็งต้องเสกคาถาใหม่จนแข็ง

    ครั้นถึงเวลาจะกินน้ำมันงา ของที่จะขาดเสียไม่ได้เลย คือ หนังหมี 1 ชิ้น ปิดหัวหนังเสือ 1 แผ่น เหล็กกล้ายาวเท่าฝ่าเท้าวางบนหนังเสือ ผู้ที่จะกินน้ำมันงาต้องนั่งบนพื้น เท้าทั้งสองเหยียบบนแผ่นเหล็กกล้า




    Ref.
    http://www.matichon.co.th/khaosod/kh...day=2006/10/21
     
  7. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ปาฏิหาริย์แห่ง"กระสุนคด"(จบ) "หลวงพ่อเอียด"เกจิฯดังเขาอ้อ

    คอลัมน์ มุมพระเก่า

    สรพล โศภิตกุล



    [​IMG]



    ทว่า ก่อนกินน้ำมันงานั้น ผู้ทำพิธีจะถามผู้ที่เข้ากินน้ำมันงาว่า เคยผิดศีลข้อ 3 มาบ้างหรือไม่ หากเคยผู้ทำพิธีจะทำพิธีเกิดใหม่ให้ แล้วจึงป้อนน้ำมันงาให้ เมื่อป้อนไปแล้วห้ามกระทำผิดศีลข้อ 3 อีกเป็นอันขาด มิเช่นนั้นน้ำมันงาที่กินเข้าไปจะออกจากร่างกายทางรูขุมขนจนหมดสิ้น ถึงจะมากินใหม่อีกครั้งก็ไม่มีผลแล้ว

    ใน การกินน้ำมันงาบางครั้งมีผู้เข้าร่วมหลายคน ผู้ทำพิธีจะเอาน้ำมันงาใส่ภาชนะขนาดใหญ่ แล้วใช้ไม้พายอันเล็กๆ ขีดแบ่งเป็นตาราง แบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจนว่า ส่วนไหนเป็นของผู้ใด แล้วจึงถามผู้กินน้ำมันงาว่า ใครเคยผิดศีลข้อ 3 มาบ้าง มีบางคนยอมรับก็ทำพิธีเกิดใหม่ให้ ส่วนบางคนปฏิเสธ ผู้ทำพิธีจะเสกน้ำมันงาจนแข็งตัว ส่วนใครที่เคยผิดศีลข้อ 3 มา แต่ปฏิเสธไม่ยอมรับจะพบว่า ส่วนที่เป็นของตนเองนั้น น้ำมันงายังเหลวอยู่ ทั้งที่อยู่ในภาชนะเดียวกัน <table style="border: 1px dotted rgb(255, 255, 255);" width="20%" align="right" border="1" cellpadding="1" cellspacing="5"><tbody><tr bgcolor="#ffe9ff"><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table>

    ถึงตอนนั้นให้รีบวิ่งหนีไปเสียโดยเร็ว

    ผู้ที่เคยกินข้าวเหนียวดำ กินน้ำมันงา และอาบแช่น้ำว่านของสำนักเขาอ้อ ต้องพึงปฏิบัติให้อยู่ในศีลอย่างเสมอมา

    ที่กล่าวมานั้นเป็นตำรับวิชาสำนักเขาอ้อ สำนักเรียนอันเกริกไกรของภาคใต้ แต่อีกสำนักหนึ่งที่เป็นเครือข่ายของสำนักเขาอ้อ คือวัดดอนศาลา ซึ่งเจ้าอาวาสวัดดอนศาลานี้ล้วนเป็นศิษย์สำนักเขาอ้อที่ส่งไปครองวัดดอนศาลา ทั้งสิ้น

    ทั้ง 2 วัดนี้ผลัดเปลี่ยนกันรุ่งโรจน์และโรยรา ยามที่วัดเขาอ้อเด่น วัดดอนศาลาจะโรย

    ที่วัดดอนศาลา อดีตเจ้าอาวาสวัดรูปหนึ่งคือ พระครูสิทธิยาภิรัตน์ (เอียด ปทุมสโร) อัตโนประวัติว่า เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2425 เป็นบุตรของนายรอด ทองโอ่ และนางพัด ทองโอ่
    <table style="border: 1px dotted rgb(255, 255, 255);" width="20%" align="left" border="2" cellpadding="1" cellspacing="5"><tbody><tr bgcolor="#ffffe8"><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table>

    ครั้นเมื่อเติบโตได้ร่ำเรียนวิชาในสำนักพระอาจารย์ทองเฒ่า หรือพระครูสังฆวิจารณฉัตรทันต์บรรพต เจ้าสำนักวัดเขาอ้อ และได้อุปสมบท เมื่อพ.ศ. 2447

    เมื่อพระอาจารย์เกลี้ยง แก้วจันทร์ เจ้าอาวาสวัดดอนศาลาถึงแก่มรณภาพนั้น ชาวบ้านได้มานิมนต์พระอาจารย์เอียดจากพระอาจารย์ทองเฒ่าไปดำรงตำแหน่งเจ้า อาวาสวัดดอนศาลา

    ทว่าเดิมทีพระอาจารย์ทองเฒ่าตั้งใจจะให้พระอาจารย์เอียดเป็นเจ้าอาวาสวัดเขา อ้อสืบต่อจากท่าน แต่เมื่อชาวบ้านมีศรัทธาต่อพระอาจารย์เอียดเช่นนั้น จึงไม่อาจขัดศรัทธา จึงมอบให้พระอาจารย์เอียดไปครองวัดดอนศาลา

    พระอาจารย์ทองเฒ่าได้เรียกพระอาจารย์เอียดมามอบลูกประคำประจำตัวท่านให้ไป เสมือนเป็นการบอกกล่าวว่าพระอาจารย์เอียดจะเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อสืบแทนต่อ จากท่าน

    กิตติศัพท์ของพระอาจารย์เอียดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่เลื่องลือมากคือ ความสามารถในการยิงกระสุนคดอย่างแม่นยำ หากก็ยังมีผู้คนไม่ค่อยเชื่อกันอยากพิสูจน์

    โดยได้ไปยังวัดดอนศาลา ตรงทางทิศเหนือของกุฏิพระอาจารย์เอียดมีสระน้ำอยู่ ทั้งหลายได้หมายตาดอกบัวดอกหนึ่งที่อยู่ในสระ จากนั้นพระอาจารย์เอียดจะยิงกระสุนคดจากกุฏิของท่าน โดยยิงไปทางทิศตะวันออก คนละทิศกับสระน้ำนั้น

    ทว่ากระสุนคดที่ท่านยิงไปนั้น ก็ยังสามารถที่จะวิ่งไปตัดก้านดอกบัวดอกที่ผู้คนเหล่านั้นได้หมายตาเอาไว้

    ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายอย่างน่าอัศจรรย์นัก



    Ref.
    http://www.matichon.co.th/khaosod/kh...day=2006/10/22
     
  8. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    <table width="100%" border="0"><tbody><tr><td align="left" valign="middle">[​IMG]</td> <td align="left" valign="middle"> วิชากระสุนคด
    « เมื่อ: 30 สิงหาคม 2009, 04:01:56 PM »</td> <td style="font-size: smaller;" align="right" height="20" nowrap="nowrap" valign="bottom">
    </td> </tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> วิชาขมังธนู

    หมาย ถึงธนูที่ใช้กระสุนดินเหนียวปั้นเป็นลูกกลมๆ แบบที่เด็กๆ ใช้ยิงกับหนังสะติ๊ก วิชาคันธนูหรือคันกระสุนนี้ ถูกถ่ายทอดกันมาแต่โบราณคณาจารย์รุ่นเก่าๆ ที่ท่านขมังเวท มักจะสำเร็จวิชาขมังธนูนี้ด้วย แต่เดิมนั้นผู้เขียนเชื่อว่าวิชานี้คงใช้ประโยชน์ในการศึกษาสงครามมากกว่า เพราะขุนพลนักรบโบราณล้านต้องเชี่ยวชาญตำรับพิชัยสงคราม และชำนาญพระเวททั้งนั้น คงต้องเรียนรู้วิชาขมังธนูนี้เพื่อการศึกเป็นแม่นมั่น ต่อมาภายหลัง ความจำเป็นที่จะต้องใช้วิชานี้ลดน้อยลง และคณาจารย์รุ่นเก่าๆ ก็ล้มหายตายจากไป วิชานี้จึงสูญเสียการถ่ายทอดไป ผู้เขียนเข้าใจว่าหลวงพ่อฟุ้ง ท่านคงจะได้รับการถ่ายทอดวิชาขมังธนูมาจากอุปัชฌาย์ของท่านคือ พระครูศรีฯ วัดพระปรางค์ ซึ่งกิตติศัพท์ความขมังเวท ของพระครูศรี ในสมัยนั้นจัดอยู่ในระดับแนวหน้าสุดของ จ.สิงห์บุรี และเป็นหนึ่งในสุดยอดคณาจารย์สายภาคกลาง เท่าที่ได้ข้อมูลมา หลวงพ่อฟุ้งท่านเคยแสดงวิชาคันกระสุนอันแม่นยำหลายครั้ง แต่มีผู้ยืนยันว่าที่เห็นกับตา 2 ครั้ง ครั้งแรกนั้นท่านใช้กับสัตว์ ส่วนครั้งที่สองท่านใช้กับคน เรามาเล่าถึงครั้งที่ 2 ก่อนดีกว่า



    นาย หงวน เป็นชาวบ้านบนเหนือวัดสะเดา มีความสนิทคุ้นเคยกับหลวงพ่อฟุ้งมาก บางครั้งจึงพูดจาหยอกล้อหลวงพ่อย่างเป็นกันเอง มีอยู่วันหนึ่งนายหงวนแกมาหาปลาอยู่ในนาแถบๆ เหนือวัดแต่ก็ไม่ไกลมากนัก พอกู่ได้ยินกัน ขณะกำลังเพลินๆ กับการหาปลา คงนึกครึ้มและคันปากขึ้นมาจึงร้องลิเกหยอกหลวงพอว่า “หลวงพ่อ หลวงพี่ เมื่อไหร่จะสึกเสียที สีกาเขามาคอย” ขณะนั้นหลวงพ่อกำลังนอนเล่นอยู่หน้าพระประธาน คงได้ยินเสียงนายหงวนร้องลิเกล้อ จึงคิดจะแก้ลำสั่งสอนเสียบ้าง จึงคว้าเอาคันกระสุนซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ ตัวออกมา แล้วออกมา แล้วง้างสายกระสุนเล็งไปทางทิศตะวันตก ซึ่งอยู่คนละทางกับที่นายหงวนร้องลิเกอยู่ เมื่อหลวงพ่อปล่อยลูกกระสุนออกไป ชาวบ้านหลายคนในที่นั้นก็แลเห็นอยู่ว่าหลวงพ่อเล็งส่งเดชไปทางทิศตะวันตก แต่พอกระสุนหลุดจากรังก็ได้ยินเสียงนายหงวนร้องดัง.......โอ้ย..........และ เสียงต่อมาก็คือละล่ำละลักว่า.....กลัวแล้วหลวงพ่อ....กลัวแล้วครับ ปรากฏว่าแทนที่นายหงวนจะวิ่งหนีกลับบ้านกลับวิ่งมาที่วัดตรงมาหาหลวงพ่อ มือนั้นกุมหน้าผากมา ปากก็สูดปากร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อมาถึงแทนที่จะโกรธกลับก้มลงกราบหลวงพ่อ ฝ่ายหลวงพ่อก็ยิ้มหัวเราะชอบใจ แสร้งถามว่า “หัวไปโดนอะไรมา” นายหงวนก็ตอบว่า “หลวงพ่อไม่น่าทำผมเลย” พูดพลางก็เขยิบเข้าไปหาหลวงพ่อยื่นหน้าเข้าไปใกล้ หลวงพ่อก็เอามือจับหน้าผากเป่าพรวดลงไปตรงรอยปูดเท่าผลมะนาว เพียงหลวงพ่อเป่า 2-3 ครั้ง หน้าผากที่ปูดโน ก็ค่อยๆ ยุบลงจนหายเป็นปกติ นายหงวนจึงกราบลา และอีก 2-3 วันต่อมาก็นำสำรับกับข้าวมาถวายหลวงพ่อเป็นการลุแก่โทษที่ล่วงเกินหลวงพ่อ



    คุณลุงไม้ ไม้ดัด อายุ 68 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59 ม.7 ต.บางกระบือ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ซึ่งท่านเป็นกรรมการวัดกรุณาเล่าให้ฟัง ส่วนเรื่องความขมังธนูเรื่องที่สองนี้ คุณลุงเขียว ลอกเสือ มรรคทายกวัดวัย 70 ปี อยู่บ้านเลขที่ 54 ม.7 ต.บางกระบือ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี เป็นผู้เล่าให้ฟัง คุณลุงเขียว เล่าว่า ขณะนั้นท่านยังเป็นลูกศิษย์วัด และอยู่กับหลวงพ่อฟุ้ง วันหนึ่งลุงเขียวแลเห็นเหยี่ยวแดงตัวใหญ่บินมาโฉบเอาลูกไก่ไปกิน เจ้าเหยี่ยวแดงตัวนี้มา ล่าเอาชีวิตลูกไก่เสียหลายตัวแล้วหลวงพ่อเองก็ยังไม่สบโอกาส จนกระทั่งลุงเขียววิ่งกระหีดกระหอบไปบอกว่า เมื่อครู่เห็นเหยี่ยวแดงตัวเดิม บินมาโฉบเอาลูกไก่ขึ้นไปเกาะบนกิ่งสะเดาใหญ่หน้าวัด แต่ตอนนี้ไม่ทราบว่าตัวเหยี่ยวอยู่ที่ไหนเสียแล้ว คงเกาะอยู่ในพุ่มสะเดาแน่ๆ เพราะยังไม่เห็นไปไหน และเข้าใจว่าคงกำลังกินลูกไก่เคราะห์ร้ายอยู่ หลวงพ่อคว้ากระสุนก็เล็งไปที่ต้นสะเดาโดยที่มองไม่เห็นเป้า เสร็จแล้วก็ปล่อยกระสุนออกไป ลุงเขียวบอกได้ยินเสียงดังป๊อก.........แล้วมีของหนักๆ ร่วงลงมาจากต้นสะเดา หลวงพ่อจึงใช้ให้ลุงเขียววิ่งไปเก็บเอามา เมื่อไปถึงใต้ต้นสะเดา (ไกลจากกุฏิหลวงพ่อมาก) ลุงเขียวเห็นเยี่ยวแดงตัวใหญ่นอนตะแคงอยู่ แต่ตายังลืมแป๋วอยู่ จึงเข้าไปรวบปีกวิ่งเอามาให้หลวงพ่อ หลวงพ่อรับเอาเหยี่ยวมาลูบตามปีกตามหัว 2-3 ทีแล้ว ก็บอกให้ลุงเขียวเอาขังกรงไว้ก่อน เมื่อมันแข็งแรงดีแล้วจึงค่อยปล่อยไป ทุกวันหลวงพ่อจะเอาอาหารป้อนเหยี่ยวเองและพูดเป็นทำนองสอนเหยี่ยวว่า ทีหลังอย่ามาขโมยลูกไก่ไปกินอีก เพราะผิดศีลทั้งข้องปาณาฯ และข้ออทินนาฯ ทั้งยังเป็นบาปกรรมที่พรากลูกพรากแม่เค้า หลวงพ่อท่านป้อนไปสอนไป 2-3 วัน เมื่อเห็นว่าเหยี่ยวแข็งแรงดีแล้วก็สั่งให้ลุงเขียวปล่อยไปและหลังจากนั้นมา เหยี่ยวตัวนั้น ก็ไม่มารบกวนอีกเลย



    วิธีการทำลูกกระสุนของ หลวงพ่อลุงไม้และลุงเขียว ได้อธิบายว่า หลวงพ่อท่านก็เอาดินเหนียวแถวๆ ใกล้ๆ วัดมาปั้นคลึงให้เป็นลูกกลมๆ แต่เวลาปั้นคลึงจะต้องภาวนาคาถากำกับไปด้วยตลอดเวลา ลุงเขียวเล่าว่า วันหนึ่งๆ หลวงพ่อท่านจะนั่งปั้นกระสุนจำนวน 3 ลูก ท่านจะไม่ปั้นน้อยหรือมากกว่า 3 ลูกเป็นอันขาด เวลาท่านปั้นกระสุน ท่านก็จะไม่พูดจากับใครจนกว่าจะเสร็จธุระของท่าน เป็นที่น่าเสียดายว่า คันกระสุนเพิ่งจะสูญหายไปหลังจากหลวงพ่อมรณภาพได้ 2-3 ปี เมื่อก่อนทุกคนก็ยังเห็นกันอยู่ แต่ปัจจุบันนี้สูญหายเสียแล้ว จึงไม่มีภาพมาลงประกอบได้

    <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> [​IMG]

    [​IMG]

    ที่มา
    วิชากระสุนคด
     
  9. kib-kae

    kib-kae เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +259

    ยินดีต้อนรับ นักรบแห่งอิสาน

    นักรบเมืองเหนือ ฝรพ. 3 ค่ายฝึกการรบพิเศษประตูผา ลำปาง เน้อ..
     
  10. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    <table width="100%" border="0"><tbody><tr><td align="left" valign="middle">[​IMG]</td> <td align="left" valign="middle"> ลูกกระสุนคดหลวงพ่อกวย
    « เมื่อ: 30 เมษายน 2008, 01:56:34 PM »</td> <td style="font-size: smaller;" align="right" height="20" nowrap="nowrap" valign="bottom">
    </td> </tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> วิชายิงกระสุนคด เป็นวิชาที่สืบทอดกันเเต่โบราณกาล ถ้าท่านเคยอ่านเรื่องราวของพระเกจิยุคเก่าคงอาจได้ยินมาบ้าง
    หลวง พ่อกวยท่านชอบยิงคันกระสุน จากคำบอกเล่าของคนเเก่ๆ บ้านไหน ยามค่ำคืน ถ้าหลับนอน หน้าต่างไม่ปิด หลวงพ่อจะชอบยิงกระสุนเตือน เพื่อให้เจ้าของบ้านปิดประตูหน้าต่าง เพื่อความปลอดภัย
    ที่วัดก็เช่นกัน พระรูปไหนจำวัด ไม่ปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย หรือดึกดื่น ค่ำคืน เเบบทำอะไรมิดี หลวงพ่อท่านจะยิงกระสุนเตือน บ้างครั้งพระบางรูปโดนหลวงพ่อยิงโป๊กเข้าที่หัว บางรูปโดนยิงจตกหน้าต่างกุฏิก็เคยมีปรากฎ
    การยิงกระสุน ผู้ยิงต้องมีความชำนาญ ถึงจะยิงได้ การยิงกระสุนที่ใช้อาคมร่วม คือใช้วิชาบังคับให้ลูกกระสุนไปในทิศทางที่คนยิงต้องการ การยิงเเบบนี้ เรียกว่า วิชากระสุนคด คนยิงต้องมีทั้งอาคมเเละพลังจิตสูงจึงจะทำได้ การปั้นลูกเเต่ละครั้งต้องมีการบริกรรมไปด้วยจนปั้นเสร็จ
    คันธนูของหลวง พ่อกวย ท่านเคยเขียนไว้ที่คันว่า ธนูเทวะ คันธนูของหลวงพ่อนี้ หลังหลวงพ่อมรณภาพ ศิษย์บางท่านได้ไป ภายหลังได้นำมาคืนวัดเเล้ว
    สมัย หลวงปู่ปรงยังอยู่ ผมไปกราบท่าน เห็นหลวงปู่เอาวางไว้ข้างๆตัว เเสดงว่า หลวงู่ปรงก็ยิงได้ อีกรูปที่ได้ยินมา คือ หลวงพ่อเเสวง วัดหนองอีดุก มีคนเล่าว่า คนวิ่งไปทาง ท่านยิงไปอีกทาง ลูกกระสุนกลับวิ่งมาโดนคนที่วิ่งหนีได้ถูก เป็นเรื่องเเปลก เเต่จริงที่คนโบราณทำได้ครับ [​IMG]

    <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> [​IMG]

    ที่มา
    ลูกกระสุนคดหลวงพ่อกวย
     
  11. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
  12. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    <table width="100%" border="0"><tbody><tr><td align="left" valign="middle">[​IMG]</td> <td align="left" valign="middle"> Re: ลูกกระสุนคดหลวงพ่อกวย
    « ตอบ #2 เมื่อ: 30 เมษายน 2008, 01:59:47 PM »</td> <td style="font-size: smaller;" align="right" height="20" nowrap="nowrap" valign="bottom">
    </td> </tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> กระสุน คดลูกนี้ ผมไปหาคุณเฒ่า เมื่อปี ๓๕ คุณเฒ่าเเปลกใจที่ผมถามหากระสุนคด ในขณะที่คนอื่นหาเเต่พระหลวงพ่อ เเกจึงไปเอามาให้ผมลูกนึงจากบาตรหลวงพ่อ เก็บไว้เป็นที่ระลึกจนถึงทุกวันนี้ครับ [​IMG]
    <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> [​IMG]
    [​IMG] grasoon-khod5.jpg
     
  13. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ...พระปิดตาหลังดอกจันทร์ พระปิดตาหลังดอกจันทร์จัดสร้างตามเอกลักษณ์ศิลปะพระปิดตาเมืองนครฯ ลักษณะพิมพ์ทรงสวยงามคมชัด บนเศียรประทับไว้ด้วยพระยันต์นอโม ประทับดอกจันทร์ไว้ด้านหลังล้อมรอบด้วยอักขระเลขยันต์ ใต้ฐานบรรจุผงมหาว่านปิดด้วยหนังเสือสมิง เป็นเสือสมิงลายพาดกลอนตัวใหญ่ ที่พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เมื่อตอนรับราชการเป็นนายตำรวจ ออกไล่ล่าตามคำร้องทุกข์ของชาวบ้าน เนื่องจากเป็น เสือสมิงจึงดุร้ายล่องหนหายตัวได้ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช จำเป็นต้องใช้วิชากระสุนคด ที่เรียนมาจากพระอาจารย์เอียด จึงสมารถจัดการได้ ซึ่งวิชากระสุนคดคือการยิงกระสุน โดยไม่ต้องเห็นเป้าหมาย แต่กระสุนจะคดเคี้ยวเลี้ยวเข้าหาเป้าหมายได้เอง จัดสร้างด้วยเนื้อทองคำ, เนื้อเงิน ทำผิวแบบโบราณ เนื้อนวโลหะ เนื้อสัตตะโลหะ ทำผิวแบบโบราณ และเนื้อตะกั่วลบถม (ตะกั่วลบถมเป็นของพระอาจารย์นำ โดยทำพิธีหลอมตะกั่วเทเป็นแผ่นหนา ลงอักขระเลขยันต์ และปลุกเสก 3 คืน จากนั้นลบยันต์ออกแล้วลงอักขระใหม่ ปลุกเสก3คืน ทำการลบและถมใหม่ 9 ครั้ง จึงสำเร็จ)....

    http://www.thaipromote.com/view1542292.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2010
  14. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    <table class="contentpaneopen"><tbody><tr><td class="contentheading" width="100%">ธนูสั่ง ธนูกระสุนคด </td> <td class="buttonheading" width="100%" align="right"> | </td> <td class="buttonheading" width="100%" align="right"> </td> </tr> </tbody></table> <table class="contentpaneopen"> <tbody><tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    ธนูสั่ง ธนูกระสุนคดก็ว่า เป็นธนูที่ใช้กระสุนดินเหนียว ปั้นเป็นเม็ดกลมๆแล้วตากแห้ง ธนูนี้ลักษณะเป็นอย่างธนูทั่วไป ผิดกันแต่ได้รับการปลุกเสกด้วยเวทมนตร์คาถา เชื่อว่าสามารถบังคับให้ลูกธนูไปถูกฝ่ายตรงกันข้ามส่วนไหนก็ได้ และที่พิสดารคือลูกธนูลูกเดียว สามารถบังคับให้ไปถูกคนหลายๆคนได้โดยไม่จำกัดทิศทาง จึงเรียกกันว่าธนูสั่ง หรือธนูกระสุนคด
    สำนักไสยศาสตร์หลายแห่ง โดยเฉพาะวัดเขาอ้อ ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง มีอาจารย์ถ่ายทอดวิชาดังกล่าวมาแล้วช้านาน เล่ากันว่า พระมหาช่วย (พระยาทุกขราษฎร์) สามารถยิงธนูสั่งหรือธนูกระสุนคดได้ และเคยนำไปใช้ครั้งรบกับพม่ามาแล้ว นอกจากนั้นยังเล่าสืบต่อกันมาว่า ท่านพระครูรัตนาภิรัต (แก้ว อินทสโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดควนปันตาราม อ.ควนขนุน (มรณภาพ พ.ศ.2499) และ ท่านพระครูเนกขัมมาภิมณฑ์ (ดิษฐ์ ดิสสโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดปากสระ (มรณภาพ พ.ศ.2507) ทั้งสองท่านสามารถยิงธนูสั่งหรือธนูกระสุนคดได้เช่นกัน นับเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของชาวจังหวัดพัทลุงมาจนทุกวันนี้)
    อ้างอิง : หนังสือ " วัดดอนศาลา " โดย ธีระทัศน์ ยิ่งดำนุ่น จำเริญ เขมานุวงศ์ พ.ศ.2532




    http://khaoaor.thaitourholiday.com/index.php/%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%94.html</td></tr></tbody></table>
     
  15. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    <table width="830" align="center" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table width="100%" border="0" cellpadding="5" cellspacing="5"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#000000" height="197" valign="middle"> [​IMG]
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td align="left" valign="top">
    </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="top"> <table width="100%" border="0" cellpadding="5" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#000000" height="197" valign="middle"> [​IMG]
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td class="tx_4" align="left" valign="top"> [ชื่อพระ] ตะกรุดหนังเสือสมิงพยัคฆ์ทักษิณ ขุนพันธรักษ์ราชเดช(ดอกที่1 กล่องเดิม)
    </td> </tr> <tr style="font-size: 12pt; font-family: Times New Roman;"> <td class="tx_4" align="left" valign="top"> ....ตะกรุด หนังเสือสมิงพยัคฆ์ทักษิณ ขุนพันธรักษ์ราชเดช///สร้างทั้งหมดเพียง 500 ดอก/// ที่หัวตะกรุดจะติดหัวนอโมไว้เป็นเอกลักษณ์ ดอกนี้อยู่ในกล่องเดิม อีกดอกเลี่ยมใช้ครับ ///หนังเสือสมิงที่นำมาสร้างตะกรุดนี้(เป็นเสือสมิงลายพาดกลอนตัวใหญ่ ที่พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เมื่อตอนรับราชการเป็นนายตำรวจ ออกไล่ล่าตามคำร้องทุกข์ของชาวบ้าน เนื่องจากเป็น เสือสมิงจึงดุร้ายล่องหนหายตัวได้/// พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช จำเป็นต้องใช้วิชากระสุนคด ที่เรียนมาจากพระอาจารย์เอียด จึงสามารถจัดการได้ ///ซึ่งวิชากระสุนคดคือการยิงกระสุน โดยไม่ต้องเห็นเป้าหมาย แต่กระสุนจะคดเคี้ยวเลี้ยวเข้าหาเป้าหมายได้เอง)เมื่อล่าเสือสมิงตัวนี้ได้ มาท่านขุนพันธ์ได้ขอพระอาจารย์เอียดปลุกเสกให้ ต่อมาได้นำหนังเสือนี้มาทำตะกรุดถักเชือกสามปล้องปิดหัวด้านหนึ่งด้วยหัวนอ โมเสก และ ลงทองบรอนซ์ไว้ เป็นเอกงลักษณ์ ///จำนวนการสร้างทำได้เพียงห้าร้อยดอกเท่าหนังเสือสมิงที่มีเท่านั้นครับ

    </td></tr></tbody></table>
     
  16. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    หัวข้อ: Re: วิชาที่หลวงปู่ไม่ถ่ายทอดให้ใคร
    เริ่มหัวข้อโดย: AorRayong ที่ กันยายน 14, 2009, 08:42:47 pm
    <hr> กระ สุนคต ยิงนัดเดียวตายทั้งกองทัพ วิชานี้ หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ๋า แสดง ให้ กรมหลวงชุมพร ทรงทอดพระเนตร โดยยิงกระสุนนัดเดียว ทะลุใบบอนทุกใบ สุดยอด.....ทุกวิชา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จิต

    http://forums.ittiyano.com/index.php?action=printpage;topic=1056.0
     
  17. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    เสือไท..จอมดาบ ที่ท่านขุนพันธ์ ยอมก้มกราบ..

    บทความ เสือไท..จอมดาบ ที่ท่านขุนพันธ์ ยอมก้มกราบ..

    ที่มา
    บทความ เสือไท..จอมดาบ ที่ท่านขุนพันธ์ ยอมก้มกราบ..


    โดย เด็กเทพฯ [​IMG] [​IMG] [​IMG] เป็นกระทงร้อน 3 เดือนที่แล้ว [​IMG] อยู่ใต้ฟ้าเดียวกันก็จริง แต่คนเรา เห็นขอบฟ้าไม่เหมือนกัน...
    ผู้โพสเขียนหรือทำขึ้นมาเอง

    <table><tbody><tr><td width="50px" valign="top"> [​IMG] </td> <td width="4px"> </td> <td valign="top"> เสือไท จอมโจรระดับชาติ อดีตมหาดเล็ก หนึ่งในเจ็ดทหารเสือของเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ในสมัยนั้น เสือไท หรือ พ่อหลิม เป็นบุคคลที่มีเรื่องราวน่าสนใจ อีกทั้งเป็นคนดี ที่มีวิชา เก่งกล้าจนท่านขุนพันธ์ ยังต้องยอมรับ และขอกราบท่านเสือไทให้เป็นอาจารย์กันเลยทีเดียว ลองมาติดตามเรื่องราวของเสือไทและท่านขุนพันธ์ในช่วงนี้กันดูดีกว่านะคะ ว่าจะน่าสนใจ ชวนติดตามขนาดไหน... </td></tr></tbody></table>
    [​IMG]
    บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
    เล่า กันว่าเสือไท หรืออดีตทหารมหาดเล็กไท คนนี้ อดีตเป็นทหารคนสนิท ของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ เพราะเนื่องจากในจำนวนทหารมหาดเล็ก ที่ใกล้ชิดทั้งหมด มหาดเล็กไท เป็นผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์ และมีคาถาอาคม ถูกพระทัย เสด็จในกรมเป็นอย่างยิ่ง
    ต่อมาในช่วงสมัยรัชกาลที่6 มหาดเล็กไท ประสบวิบากกรรม ต้องหาคดีอาญาร้ายแรง ต้องระหกระเหิน หลบหนี กลายเป็นเสือ ที่ทางราชการต้องการตัวเป็นอย่างมาก
    จนแผ่นดินไท นี้ไม่กว้างขวางพอให้เสือไท ได้หลบซ่อนตัว เขาจึงต้องข้ามเขตชายแดนไปหลบซ่อน ที่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่ลาว เขมร มาเล สิงคโปร์
    ในช่วงนี้เอง ที่เสือไท ได้ใช้วิชาไสยศาสตร์ที่มีอยู่ ทั้งวิชา อยู่ยงคงกระพัน ล่องหน หายตัว หลีกหนี การจับกุม ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปได้ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
    เนื่องจากเสือไท มิใช่เสือร้าย โดยกมลสันดาน ท่านจึงหลีกเลี่ยงไม่ต้องการที่จะปะทะ กับ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง เสือไท ไม่เคยปล้นคนดี ไม่เคยฆ่าเจ้าทรัพย์ หรือข่มเหงชาวบ้าน
    เสือไท จึงเป็นเสือร้าย ที่หนี คดีอาญา มากกว่าเป็นเสือปล้น
    แต่ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดัง จนคับฟ้า ในสมัยนั้น ทำให้มีผู้ นำชื่อเสือไท ไปใช้ ในทางที่ไม่ดี ไปก่อคดีปล้นฆ่า ในหลายจังหวัด
    ทำให้เสือไทตัวจริง ทนอยู่ไม่ไหว จึงต้องออกไปจัดการกับเสือไทตัวปลอมโดยการฆ่าตัดหัว ทุกราย จนไม่มีใครกล้า นำชื่อเสือไท ไปปล้นฆ่าใครอีก
    ท่านขุนพันธ์ ทานได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับเสือไทดี ตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะเข้ามารับตำแหน่ง ผู้บังคับกองตำรวจภูธรที่จังหวัดพิจิตร
    เนื่องจากผู้ให้ข้อมูลลับ กับท่านขุนพันธ์นั้น คือข้าราชการระดับสูงทางภาคใต้ ซึ่งเป็นอดีตทหารมหาดเล็กของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และเป็นหนึ่งในทหารเสือ ของเสด็จในกรมฯ และเป็นผู้ที่รู้จักกับเสือไท เป็นอย่างดี
    เมื่อสิ้นเสด็จในกรมฯ เสือไทได้หลบหนี หลบซ่อนตัวในหลายจังหวัด จนคดี หมดอายุความเสือไท ได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่ เดินทางเข้ามาใช้ชีวิต ในบั้นปลาย ที่จังหวัดพิจิตร
    ด้วยเหตุนี้ ชาวพิิจิตร จึงไม่รู้จักเสือไท ทราบกันแต่ว่า ที่หมู่บ้านจรเข้ผอม ตำบลรังนก อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตรมีผู้เรืองอาคม และมีวิชาแก่กล้า มาอาศัยอยู่ ทุกคนเรียกชายสูงอายุนี้ว่าพ่อหลิม
    และชื่อพ่อหลิมนี้ก็คือ ชื่อใหม่ของเสือไท
    ท่านขุนพันธ์ ใช้เวลานานสองปี กว่าจะได้พบพ่อหลิม โดยขุนพันธ์ต้องพิสูจน์ตัวเองหลายอย่าง ให้พ่อหลิม เชื่อใจ ก่อนที่จะรับท่านขุนพันธ์เป็นศิษย์ และสอนวิชาให้
    เป็นที่ทราบกันดี ว่าพ่อหลิม หรือเสือไท เป็นผู้มีวิชาแก่กล้า ได้ร่ำเรียนวิชา มาจากพระเกจิอาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก หลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน รวมทั้งอาจารยที่เป็นฆารวาส อีกหลายคน
    กล่าวกันว่า วิชา ที่ท่านขุนพันธ์ ยังขาดอยู่และมีความประสงค์ อยากที่จะเรียนมากๆ คือวิชา คัดของ คัดธาตุทั้ง4ออกจากตัวคน ที่มีวิชาอาคม หรือคัดออกจากเครื่องรางของขลัง
    เนื่องจากท่านขุนพันธ์เห็นว่ามีคนที่มีวิชาอาคม หลายๆคน ที่ท่านใช้ปืนจัดการกับเขาเหล่านั้นไม่ได้
    วิชาคัดของนี้เป็นสุดยอดวิชา คงกระพันชาตรี ที่เกจิอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ยอมสอนให้ศิษย์โดยตรง ๆเนื่องจากถือว่าเป็นวิชาฆ่าคน ผิดศีล5ข้อที่1ที่ผู้สอนอาจถึงกับเสื่อมวิชา ที่มีอยู่ในตัวได้
    นอกจากวิชานี้แล้วยังมีวิชากระสุนคด ที่เกจิอาจารย์จะไม่อยากสอนให้ใครง่ายๆ กระสุนคดเป็นวิชา ที่ยิงปืนเพียงนัดเดียว สามารถฆ่าคนได้ทั้งกองทัพ
    ซึ่งวิชานี้ เสด็จในกรม ท่านเคยกราบขอเรียนกับหลวงปู่ศุข แต่หลวงปู่ศุขท่านไม่ยอมสอน แต่เมตตา แสดงให้เสด็จในกรมได้เห็นว่าวิชานี้ เป็นวิชา ที่ทำได้จริง
    โดยเมือหลวงปู่ศุขใช้วิชานี้ ยิงปืนไปที่สระบัวใบ ที่วังนางเลิ้ง เพียงครั้งเดียว ทำให้ใบบัวนั้น ทะลุได้หมดทุกใบเลยทีเดียว
    แต่วิชานี้ เสือไท หรือพ่อหลิม เรียนได้สำเร็จ และทำได้จริงเรียนมาจากอาจารย์ท่านใด ไม่เป็นที่เปิดเผย
    เกี่ยวกับวิชาคัดของคือ เมื่อผู้ใช้วิชานี้ ว่าคาถา และเล็งปืนไปยังร่างคนที่เราจะฆ่า หากคาถาได้ผล ร่างที่ตกเป็นเป้าหมายนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นมารับศุนย์ปืน แต่ถ้าไม่ได้ผล ร่างนั้นก็จะย่อเล็กลง แสดงว่าผู้ที่เป็นเป้าหมายนั้น มีของดีคุ้มตัว
    ชื่อเสียงของพ่อหลิม ในเรื่องของวิชาคัดของนี้ มีอยู่ว่า ที่วัดจรเข้ผอม ที่ริมแม่น้ำยม ฝั่งตรงข้ามบ้านพ่อหลิม มักจะมีพวกร้อนวิชา นำพระเครื่อง และเครื่องรางของขลัง ของตนเอง แต่ละคน มาทดสอบกัน เป็นประจำ เสียงปืน สร้างความรำคาญให้แก่พระเณร และชาวบ้าน และหลวงพ่อหลิมด้วย
    จนหลวงพ่อหลิมทนไม่ไหว เข้าไปดู แล้วบอกพวกร้อนวิชาเหล่านั้นว่า จะลองของไปทำไม กัน ของดีก็คือของดี ถึงเวลาก็รู้เอง
    แต่คนเหล่านั้น ก็ยังยืนยัน ว่าของขลังของตนแน่ และจะลองของกันต่อไป พ่อหลิมเลยขอลองบ้าง โดยบอกให้เอาของขลังที่ว่าแน่ๆ มาวางรวมกัน แล้วให้เจ้าของเครื่องรางคนหนึ่ง ไปหยิบปืนลูกซอง ที่พวกเขาว่ายิงของขลังไม่ได้ ทำยังไงก็ยิงไม่ออกนั่นเอง มาใช้เป็นอาวุธ
    หลวงพ่อหลิมพนมมือ กันหายใจว่าคาถา คัดของ คัดธาตุ แล้วเล็งกระบอกปืน ไปที่ของทั้งหมด แล้วเหนี่ยวไก ปืนลั่น ดังสนั่นเลย ของขลัง ทั้งกมด แตกกระจาย กระเด็นหายไปในอากาศ ท่ามกลาง ความตกตะลึง ของทุกคน เจ้าของ ของขลังบางคนถึงกับร้องไห้ เสียดาย ของขลังของตนเอง
    จากนั้นก็ไม่มีใครมาลองของให้หนวกหู พ่อหลิม อีกเลย
    จบตอนเสือไท
    :cool:
     
  18. KENZO

    KENZO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +1,146
    มาตามอ่านครับ....สนุกมากเลย..ได้ความรู้ในศาสตร์โบราณของไทยอีกชอบครับ
     
  19. visut_p

    visut_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +1,763
    วันนี้โอนเงินไปร่วมทำบุญสร้างพระกริ่งกับพี่มุ่งฯ 200 บาทแล้วนะครับ
     
  20. KENZO

    KENZO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +1,146
    สมบัติพระนเรศวร...ที่ประวัติศาสตร์ไทยต้องตื่นตะลึง...วางแผงแล้ว
    เชิญพี่น้องกัลยาณมิตรทุกท่านอุดหนุนด้วยน่ะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1264132503.jpg
      1264132503.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.5 KB
      เปิดดู:
      1,788

แชร์หน้านี้

Loading...