รายชื่อผู้ที่ปราถรถนาพุทธภูมิ(ในเว็บนี้)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย thanan, 12 พฤศจิกายน 2004.

  1. Tonytt

    Tonytt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +232
    พระวิริยะธิกะ 80 อสงไขย 100000 กัปครับ
    พระศรัทธาธิกะ 40 อสงไขย 100000 กัปครับ
    พระปัญญาธิกะ 20 อสงไขย 100000 กัปครับ
    แต่ยังไงก็ขออนุโมทนาครับ ส่วนผมปรารถนานิพพานครับเพราะว่าผมเบื่อหน่ายการเกิด
    เหลือเกิน จะรอบำเพ็ญบารมีให้ครบทั้ง 30 ทัศไม่ไหว เอา 10 ทัศ ขั้นละเอียดแล้วกัน
     
  2. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    ขออนุญาต กล่าวถึงอรูปพรหมในภพอรูปฯ

    ต้องขออภัย ที่แทรกมา ข้าพเจ้าไม่มีเจตนา ขัดแย้ง จับผิด หรือ หาเรื่องอะไร

    ผู้ปฏิบัติถึงธรรมกายให้น้อมอรูปภพมาเป็นกสิณ ธรรมกายเจริญสมาบัติในกสิณ

    คือน้อมเอาอรูปภพมาตั้งตรงศูนย์กลางธรรมกาย ธรรมกายเจริญฌานสมาบัติในกสิณ หรือพิสดารกาย ดับหยาบไปหาละเอียดจนสุดละเอียด แล้วขยายข่ายของญาณพระธรรมกาย ให้เห็นสุดอรูปภพ ตรวจดูความเป็นไปในแต่ละอรูปภพจากสูงสุด ถึงต่ำสุด คือตั้งแต่ชั้นที่ ๔ ลงไปถึงชั้นที่ ๑ เป็นชั้นๆ ไป


    จะได้เห็นอรูปพรหมมีรูปร่างสวยงามมาก วรกายใหญ่

    มีเครื่องประดับที่สวยงาม ละเอียดประณีตยิ่งนัก และมีรัศมีสว่างกว่ารูปพรหมทั่วๆ ไป

    ละเอียดมากจนแม้แต่อรูปพรหมด้วยกันก็ไม่เห็นรูปกายของซึ่งกันและกัน

    คงติดต่อกันรู้กันได้ด้วยจิต

    มีแต่ตาหรือญาณพระธรรมกายเท่านั้นที่ละเอียดกว่า และสามารถเห็นรูปกายของอรูปพรหมได้ตามที่เป็นจริง


    และได้เห็นว่ารัศมีของอรูปพรหมปุถุชนแม้จะมีรัศมีสว่างไสว แต่ก็ยังไม่สว่างไสวเท่ารัศมีของอรูปพรหมอริยบุคคล และแม้เท่ารัศมีรูปพรหมในชั้นสุทธาวาส ซึ่งเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี ผู้ตัดสัญโญชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการได้หมดแล้ว และชั้นพระอรหันต์ ผู้ตัดสัญโญชน์เบื้องสูงอีก ๕ ประการได้หมดสิ้นแล้ว เพราะอรูปพรหมอริยบุคคลในอรูปาวจรภูมิและพรหมอริยบุคคลในชั้นสุทธาวาส เป็นพระอริยบุคคลผู้บริสุทธิ์จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองกว่าอรูปพรหมปุถุชน จึงมีรัศมีสว่างไสวกว่า ด้วยประการฉะนี้
    มีอาจารย์บางท่านได้แสดงว่า อรูปพรหมเป็นพรหมที่ไม่มีรูป มีแต่นามขันธ์ ๔ ดังเช่น
    “อธิบายว่า ในอรูปภูมิทั้ง ๔ ถึงแม้จะเรียกว่าภูมิก็จริง แต่ภูมินี้ไม่ปรากฏว่ามีรูปร่างสัณฐานอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะเป็นภูมิที่มีแต่อากาศว่างเปล่าอยู่เท่านั้น สำหรับอรูปพรหมนี้ ก็เป็นพรหมที่ไม่มีรูป มีแต่นามขันธ์ ๔ เกิดขึ้นติดต่อกันโดยไม่มีระหว่างคั่นนับตั้งแต่ปฏิสนธิมา” (พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมัตถสังคหฎีกา ปริจเฉทที่ ๕ เล่มที่ ๑: สนองการพิมพ์, พ.ศ.๒๕๓๕, หน้า ๑๖๗.)
    นี้เป็นคำอธิบายความหมายของอรูปพรหมตามความเข้าใจในตัวอักษรว่า “อรูป” ซึ่งท่านเข้าใจและอธิบายว่าดังนี้
    “ความจริงนั้น อรูปพรหมทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจของภาวนาที่ปราศจากความยินดีในรูป (รูปวิราคภาวนา) เพราะเหตุนี้ สถานที่อยู่ของอรูปพรหมจึงไม่มีรูปร่างปรากฏเลย”<SUP> </SUP>
    แต่ผู้ปฏิบัติได้ถึงธรรมกาย ต่างได้เห็นอรูปพรหมด้วยญาณพระธรรมกายว่า มีรูปกายที่ละเอียดนัก จนแม้แต่อรูปพรหมด้วยกันเอง ก็ยังมิอาจเห็นรูปกายซึ่งกันและกัน เพราะอรูปาวจรวิบากที่เมื่อเจริญอรูปฌานไม่ยินดีในรูป แต่รูปขันธ์ย่อมต้องเกิดมีพร้อมกับนามขันธ์ ๔ ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม คือ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป (สฬายตนะ ผัสสะ ฯลฯ) เพียงแต่รูปกายของอรูปพรหมนั้นละเอียดนัก เพราะอรูปาวจรวิบาก จนไม่อาจเห็นได้แม้ด้วยจักษุของอรูปพรหมด้วยกัน หรือด้วยจักษุของสัตว์โลกในภูมิที่ต่ำกว่าเท่านั้น
    ถ้าสัตว์โลกที่เกิดด้วยอำนาจของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เกิดขึ้นแต่เฉพาะนามขันธ์ โดย ปราศจากรูปขันธ์ ได้ พระพุทธดำรัสว่าด้วย “ปฏิจจสมุปบาทธรรม” ก็ไร้ความหมาย และ พระพุทธดำรัสที่ตรัสว่า

    ทูรังคมัง เอกจรัง อสรีรัง คูหาสยัง

    เยจัตตัง สัญญเมสสันติ

    โมกขันติ มาระ พันธนา

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="65%"><TBODY><TR><TD width="18%"></TD><TD vAlign=top width="73%"> “ผู้ใด จักสำรวมจิตที่ไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำคือกายเป็นที่อาศัย ผู้นั้นจักพ้นจากเครื่องผูกของมารได้.” (ขุ.ธ.๒๕/๑๓/๑๙-๒๐)
    </TD><TD width="9%"></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ก็ไม่จริง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ที่สัตว์โลกจะมีแต่จิตใจ โดยไม่มีรูปกายเป็นที่ตั้งที่อาศัย และเป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธพจน์จะเป็นอื่น (คือไม่จริง) พระพุทธพจน์ย่อมเป็นธรรมที่แท้จริงเสมอ
    จึงควรที่จะพึงปฏิบัติไตรสิกขา อันมีนัยอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้ดี ให้ได้ถึงธรรมกาย ก็จะสามารถรู้-เห็น ด้วยตนเองตามที่เป็นจริง


    OOขออนุโมทนา กับทุกกุศลจิต กุศลเจตนาOO
     
  3. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    หรือ ถ้าอธิบายด้วย วิธีมาตรฐานของกรรมฐานโบราณอีกแบบ

    ผู้เจริญอรูปฌาณ ใช้จิตน้อมเอาอาการของอรูปเข้ามาเป็นเครื่องกำหนด

    จนใจละเอียดใกล้เคี่ยง เสมอเหมือน หรือ ละเอียดเทียบเท่า อรูปนั้นไปเรื่อยๆ


    จิต ก็เข้าไปอยู่ในศูนย์กลางใจ หรือมโนธาตุ ซึ่งเป็นธาตุรู้ที่มีความละเอียดและสว่างมาก

    เสวยแสงสว่างและสุขละเอียดดิ่ง นึ่ง แน่นไปเรื่อยๆ จนขาดจากอายตนะหยาบของกาย
    ชั่วคราว ตามกำลังของอรูปฌาณ


    เมื่อกายเนื้อตายขณะทรงฌาณนี้ ใจก็ยังคงอยู่ในศูนย์กลางแห่งแสงธาตุรู้ ไม่อาจเห็น
    กายละเอียดของอรูปกายที่ตนมี หรือ อรูปพรหมอื่นมีได้ อาศัยจิตที่แนบนิ่งในกลางใจ
    สื่อถึงกันโดยตรง
     
  4. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    อรูปพรหม แปลว่า ไม่ใช่รูปพรหม
    อรูปพรหมก็เป็นสิ่งมีชีวิต และชีวิตในทางโลกียะนั้น
    จะขาดรูป-นาม ไม่ได้เลย ต้องมีรูป-นาม กาย-ใจ จึงเป็นสัตว์ได้

    อรูปพรหมนั้น จะเรียกว่ามีรูป ก็เป็นรูปที่ละเอียดมากๆ
    จนเรียกได้ว่า ไม่ใช่รูปพรหม

    อรูปพรหม นั้นย่อมมีรูป-นาม เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
    มีรูปขันธ์ นามขันธ์ แต่ด้วยสาเหตุที่ไม่มีอายตนะอื่น นอกจากใจ
    จึงทำให้ขันธ์นั้น ละเอียดพิศดารยิ่งนัก
    คล้ายกับว่าจะมีก็ไม่ใช่ จะไม่มีก็ไม่ใช่
     
  5. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ เป็นแบบนี้หรอกเหรอครับ

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=2 width=700><TBODY><TR><TD width=738>[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]อรูปภูมิ เป็นภูมิที่อยู่ของพรหมที่ไม่มีรูปร่าง
    เพราะเห็นโทษของการมีรูปร่าง อัตภาพร่างกาย
    ว่าเป็นไปด้วยทุกข์โทษนานาประการ จากการถูกทำร้าย
    ถูกประหาร มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน เป็นต้น
    จึงขวนขวายในการเจริญสมถภาวนา
    เพื่อปรารถนาที่จะไม่มีรูปร่างกาย
    เมื่อบรรลุถึงอรูปฌานสิ้นชีพแล้ว
    จึงได้มาบังเกิดในอรูปภูมิ
    มีแต่นามคือจิตวิญญาณอย่างเดียว ไม่มีรูปร่างกาย
    ในอรูปภูมิซึ่งเป็นแดนจิตวิญญาณนี้ มี ๔ ภูมิ คือ[/FONT]
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD height=60 ="#ffece3">[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]๑. อากาสานัญจายตนภูมิ[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]เป็นที่ปฏิสนธิของอากาสานัญจายตนวิบาก ๑ ดวง
    อันเป็นผลของอากาสานัญจายตนกุศล



    ผู้ที่เกิดในภูมินี้จะต้องเจริญสมถกรรมฐานจนได้ปัญจมฌานมาก่อน
    แล้วมาเจริญอรูปฌานที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนฌาน
    กำหนดเอาอากาศที่อยู่ในปฏิภาคนิมิตมาเป็นอารมณ์
    จนสำเร็จอรูปฌานที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนฌาน
    เมื่อสิ้นชีวิตลงก็จะมาเกิดในอากาสานัญจายตนภูมินี้
    ซึ่งมีแต่นาม ไม่มีรูป มีอายุเสวยในพรหมสมบัติ ๒๐,๐๐๐ มหากัป[/FONT]
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD height=60 ="#ffece3">[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]๒. วิญญานัญจายนตนภูมิ[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]เป็นที่ปฏิสนธิของวิญญาณัญจายตนวิบาก ๑ ดวง
    อันเป็นผลของวิญญาณัญจายตนกุศล


    เป็นภูมิที่อยู่ของ วิญญาณัญจายตนพรหม
    ผู้ซึ่งได้อรูปฌานที่ ๒ คือ วิญญาณัญจายตนฌาน
    ด้วยการพิจารณาจิตวิญญาณ
    ที่เข้าไปรู้อากาศไม่มีที่สิ้นสุดในในอากาสานัญจายตนฌาน
    ภูมินี้อยู่ห่างไกลจากอากาสานัญจายตนภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์
    เป็นภูมิที่มีความสุขประณีตละเอียดกว่า อากาสานัญจายตนภูมิ
    เสวยในพรหมสมบัติ ๔๐,๐๐๐ มหากัป[/FONT]
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD height=60 ="#ffece3">[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC] ๓. อากิญจัญญายตนภูมิ[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]เป็นที่ปฏิสนธิของอากิญจัญญายตนวิบาก ๑ ดวง
    อันเป็นผลของอากิญจัญญายตนกุศล


    เป็นภูมิที่อยู่ของ อากิญจัญญายตนพรหม
    ผู้ซึ่งได้อรูปฌานที่ ๓ คือ อากิญจัญญายตนฌาน
    ด้วยการพิจารณาความไม่มีอะไร คือ ไม่มีทั้งอากาสและวิญญาณ
    ซึ่งเป็นอารมณ์ของอรูปฌานที่ ๑ และอรูปฌานที่ ๒
    ภูมินี้อยู่ห่างไกลจากวิญญาณัญจายตนภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์
    เป็นภูมิที่มีความสุขประณีตละเอียดกว่า วิญญาณัญจายตนภูมิ
    เสวยในพรหมสมบัติ ๖๐,๐๐๐ มหากัป

    ผู้ที่ไปเกิดอยู่ในภูมินี้ ได้แก่ อาฬารดาบสกาลามโคตร
    ผู้ซึ่งเป็นครูที่สอนการทำฌานสมาบัติให้แก่พระโพธิสัตว์
    ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ก็คิดที่จะไปโปรดอาจารย์ผู้นี้
    แต่เมื่อส่องทิพพจักขุญาณแล้ว ก็ทรงประจักษ์ว่า
    ท่านอาฬารดาบสผู้นี้ ได้ดับขันธ์ไปแล้วเมื่อ ๗ วัน
    ก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ
    เข้าสู่ความเป็นอรูปพรหม คือ อากิญจัญญายตนภูมิ นี้[/FONT]
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD height=60 ="#ffece3">[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]๔. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=BrowalliaUPC, CordiaUPC, AngsanaUPC]เป็นที่ปฏิสนธิของเนวสัญญานาสัญญายตนวิบาก ๑ ดวง
    อันเป็นผลของเนวสัญญานาสัญญายตนกุศล


    เป็นภูมิที่อยู่ของ เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม
    ผู้ซึ่งได้อรูปฌานที่ ๔ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
    ด้วยการพิจารณาสัญญาที่เข้าไปรู้ในบัญญัติอารมณ์
    ว่า.....มีก็ใช่..ไม่มีก็ใช่
    อุปมาเสมือนกับน้ำมันที่ทาบาตร
    จะว่าบาตรนั้นมีน้ำมันอยู่ก็ไม่ใช่ หรือไม่มีน้ำมันอยู่ก็ไม่ใช่
    เพราะเทออกมาไม่ได้.....เป็นฌานที่สูงสุด
    ภูมินี้อยู่ห่างไกลจากอากิญจัญญายตนภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์
    เป็นภูมิที่มีความสุขประณีตละเอียดกว่าอากิญจัญญายตนภูมิ
    เสวยในพรหมสมบัติ ๘๔,๐๐๐ มหากัป

    ผู้ที่ไปเกิดอยู่ในภูมินี้ได้แก่ อุทกดาบสรามบุตร
    ซึ่งเป็นครูสอนฌานสมาบัติให้แก่พระพุทธองค์
    ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นเดียวกับ อาฬารดาบส
    เมื่อพระองค์คิดจะไปแสดงธรรม ก็ได้ทราบโดยทิพพจักขุว่า
    อุทกดาบสได้สิ้นชีพไปแล้วเมื่อภพค่ำนี้เอง
    อุบัติเป็นอรูปพรหม ในเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ นี้


    อรูปภูมิทั้ง ๔ นี้ ถึงแม้จะเรียกว่า ภูมิ
    แต่ก็ไม่มีรูปร่างสัณฐาน วิมาน พื้นที่ อย่างใดเลย
    มีแต่อากาศอันว่างเปล่า
    แม้แต่อรูปพรหมเอง ก็มีแต่นามอย่างเดียว
    ไม่มีรูปร่างสัณฐานอย่างใดเช่นกัน
    ดังนั้น วิมาน สวน สระ ต้นไม้
    หรือสิ่งที่เป็นรูปทั้งหลาย จึงไม่มีในอรูปภูมินี้เลย


    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มีนาคม 2010
  6. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    OOOOOOOOOOOOOOO


    ก็ตามที่ได้กล่าวมาครับ

    คงต้องรบกวนผู้ที่มีประสบการณ์ตรงอีกหลายท่าน

    มาบอกเล่า


    ไม่ว่า ฝึกตามแนวไหนมา ก็แลกเปลี่ยนกันดู เป็นการสนทนาธรรม


    ตามคำพระที่ว่า การสนทนาธรรมตามกาล เป็นมงคลอย่างยิ่ง
     
  7. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    ตำรา ไม่ว่าอรรถกถา หรือ ที่สอนในสำนักต่างๆ

    ถูกหรือผิด นั่นก็ต้องพิสูจน์ด้วยตน และ ตัดสินด้วยผู้ที่ถึงจริงและเหนือได้จริง

    สมัยนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีกายเนื้อ คงมีแต่ธรรมและวินัยเป็นศาสดา

    ไม่มีสาวกองค์ใดแทนได้

    ในภพอรูปพรหม


    จะมีรูปจริงหรือไม่ ไม่ใช่สาระ สำคัญที่สุด

    เพราะ แต่ละท่านใช่ว่า จะทำมาเท่ากัน

    สำคัญที่ว่า เดินไปสู่ทางพ้นทุกข์ที่พระองค์ชี้ไว้หรือไม่


    ใช่ว่าทุกคนต้องผ่านอรูปฌาณ จึงจะพ้นทุกข์ได้

    แต่ คนที่จะบำเพ็ญเป็นบรมครู ต้องทำเองให้ชำนาญเพื่อเอาตนให้รอด

    และสอนคนอื่นถูกต้อง

    ถ้าทำได้ ก็ต้องสอบ ต้องเทียบเคียง เปิดใจกว้าง

    สนทนาแลกเปลี่ยน เพื่อพัฒนาตน


    ชาติหน้าหรือชาติไหน เกิดมาใช่ว่า จะพกตำรา พกพระไตรปิฎกมาเกิดด้วย
    หรือ เกิดมาพบพระศาสนาพุทธทุกชาติไป

    ต้องอาศัย สิ่งที่ตนบำเพ็ญมาอย่างโชกโชน ทำแล้วทำอีก

    แล้วจะถึงจุดที่ตัดสินด้วยตน ตามนิสัยสัมมาสัมพุทโธ ว่า...

    ถูกต้อง บกพร่อง ตกหล่นตรงไหน



    OOOOOOOOOOOOOOOOO


    ทุกข์เป็นผล สมุทัยเป็นเหตุ

    กายเป็นทุกข์ ใช่ว่าแค่คิดว่าไม่เอากาย ก็ตัดกายได้

    ด้วยการเพ่งดับที่ตัวผล

    แม้ขณะกายเนื้อตาย

    จิตปักแน่นในอารมณ์อรูปฌาณ


    ที่ไหลไปตามสภาวะของจิต ที่ปักแน่นเข้าไปใน

    นามธรรมที่ละเอียดเรื่อยๆ คือ ช่องว่างระหว่างรูป( อากาส ) วิญญาณ( ธาตุรู้ในช่องว่างนั้น) ความไม่มี และ มีก็ไม่ใช่ไม่มีก็ไม่ใช่ ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นความคิดนึกที่เป็นเปลือกของอวิชชาที่ซ่อนอยู่ข้างในเท่านั้น

    หาใช่ตัวจริง หรือ เหตุแห่งการดับของรูป ตามหลักปฏิสมุปบาท ไม่

    จึงดับ กายไม่ได้ อย่างแท้จริง

    แค่ ปักจิต เข้าไปในศูนย์กลางแสงสว่างของธาตุรู้ ที่หน่วงเอาความคิดนึก
    ในอรูปทั้งสี่มาเป็นอารมณ์เท่านั้น จึงมองไม่เห็นกายละเอียดที่อวิชชาครอบไว้



    กายละเอียด หรือ อทิสมานกายที่หุ้มจิตไว้

    เป็นกายที่เปลี่ยนไปตามอำนาจบุญ บาป และจิตสังขารอันเนื่องจากอวิชชาปรุงแต่ง

    ไม่ว่า มนุษย์ละเอียด เทวดา นางฟ้า พรหม อรูปพรหม

    ซึ่งเป็นรูปละเอียดที่รองรับ นามธรรม(ใจ) ตามหลักแห่งปฏิจสมุปบาท


    การเพ่งดับด้วยอรูปฌาณ ยังมีตัณหาละเอียด

    จึงมีวิญญาณ นามรูป ไปจนถึง

    การมีภพ ( ที่รองรับการเกิดของสัตว์โลก )
    มีชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ
     
  8. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    [​IMG]
    สัมมาอรหัง... ขอธรรมญาณจงเบิกบานในกลางจิตของทุกท่าน
    กลางในกลาง สุดละเอียด ถึงธรรมธาตุ
    สาธุ สาธุ สาธุ

    สาธุ ท่านโอมครับ อรูปพรหมนั้น รูปละเอียดมากสุดพรรณนา
    เกินวิสัยของทิพยจักษุ มีแต่สมันตจักษุขึ้นไป จึงจะปรากฏขึ้นมาในวิสัย
    เช่นเดียวกับโมเลกุลของออกซิเจน ไฮโดรเจน... มีใครมองเห็นหรือ
    นอกจากมองได้ละเอียดลงไป ก็จะเห็นได้...
    แม้อากาศก็มีรูป เพียงแต่ละเอียดเกินจะเรียกว่ารูปเท่านั้น...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2010
  9. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603


    ครับผม อย่างที่ผมพิมพ์นั้นละครับ


    ผมเองก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันนะครับ ก็คงจะตรงตัวนั้นละครับ " อรูปพรหม "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มีนาคม 2010
  10. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

    ไม่เป็นไรครับ .... คุยแลกเปลี่ยนกันธรรมดา

    เรื่องนี้ มีความคิด ความเห็น สองอย่างมานานแล้ว

    ในกลุ่มศึกษาอภิธรรมบางพวก ก็ลงความเห็นเช่นคุณต้นละ

    แต่บางพวก ศึกษาชั้นปรมัตถ์กับมีรูปที่สงเคราะห์ตามเรื่องขันธ์5

    นี่คือ สิ่งที่ต่างกัน เนื่องจากการตีความ


    คือ ตีความหมายของคำว่า อรูปพรหม ว่า พรหมไม่มีรูป

    ไม่ได้ตีความว่า พรหมที่เกิดโดย
    ตอนบำเพ็ญฌาณ ได้น้อมเอาองค์กรรมฐานไม่มีรูปหยาบมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน




    ส่วนในสายปฏิบัติที่ได้ไปรู้เห็นเอง ก็เห็นต่างกันบ้าง
    แต่ นานๆไป พอพัฒนาตนไปสักระยะ เมื่อมาเที่ยบเคียงสภาวะกัน

    เห็นเหมือนกันภายหลังก็มี ( ถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีก )


    [​IMG]





    สนุกดีนะครับ รายละเอียดในการปฏิบัตินี่

    ธรรมทั้งหลาย ช่างหลากหลายพิศดารจริง


    ...ชีวิตทั้งหลาย มัวมาแก่งแย่งโลกธรรมแปดในโลกนี้ทำไมหนอ

    จิต ชีวิต สากลโลก มีอะไรให้ค้นคว้ามากมาย........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มีนาคม 2010
  11. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    อ เป็นคำอุปสรรค แปลว่า ไม่ใช่
    นิร เป็นคำอุปสรรค แปลว่า ไม่มี
    ไม่ใช่ กับ ไม่มี ไม่ได้เป็นความหมายเดียวกันนะครับ
     
  12. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ความหมาย " อรูป "
    น่าจะเป็นแบบนี้นะครับ
    อรูปพรหมไม่มีรูป ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีแต่ทวารใจ เท่านั้น แต่สัมผัสได้เหมือนอากาศ

    พระอริยบุคคลที่เกิดในอรูปพรหม ท่านสามารถอบรมเจริญสติปัฏฐาน

    ต่อในอรูปภูมิ แล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะท่านสำเร็จเป็นพระอริยะ

    ในภูมิที่มีขันธ์ห้าแล้ว เมื่อจุติแล้วเกิดในภูมิที่มีขันธ์สี่ ซึ่งมีแต่นามธรรม ก็

    ไม่เป็นอุปสรรค์ในการเจริญสติปัฏฐาน สำหรับพระอริยบุคคลครับ

    แต่ปุถุชน จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลในภูมิที่มีขันธ์สี่ไม่ได้
    ถ้าคนเราได้ฟังพระสัทธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดปัญญาเข้าใจถูก

    ตามความเป็นจริง เขาย่อมเห็นคุณของกุศลธรรม เห็นโทษของอกุศลธรรม ย่อมเป็น

    ผู้เว้นกรรมชั่ว กระทำแต่กรรมดี เป็นผู้ขวนขวายในคุณความดีอยู่เนื่องๆ จะเป็นคนดี

    ยิ่งๆขึ้นไป ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา..
    มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ โดยที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ...

    จิตเห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป... จิตได้ยินเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป... แต่ละขณะเกิดขึ้นและ

    ดับไป ไม่เหลืออะไรเลย ไม่กลับมาอีก ในแต่ละวันเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส

    กระทบสัมผัส และก็คิดนึก ไม่เคยรู้ความจริง จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันในแต่ละภพ

    ชาติ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดโดยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงปรากฏ

    ให้ได้เห็น เพียงปรากฏให้ได้ยิน...แล้วดับไปหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วตามเหต

    ปัจจัย อยู่มาแล้วนานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ก็ไม่รู้ความจริง จึงต้องเกิดขึ้นมาเห็นอีก

    ได้ยินอีก..ไม่มีวันสิ้นสุด ชีวิตที่ประเสริฐคือ มีชีวิตอยู่เพื่อความรู้สิ่งที่มีจริงที่กำลัง

    ปรากฏ ความเห็นถูกเข้าใจถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง
    ว่าด้วยผลแห่งการต้อนรับบรรพชิต เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มีนาคม 2010
  13. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    มิใช่แล้วครับ
    พระอริยะและพระโพธิสัตว์จะไม่มีทางไปบังเกิดในภูมิของอรูปภูมิอย่างเด็ดขาด หากแต่พระอนาคามีจะไปบังเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส คือพรหมอริยะเท่านั้น ไม่ใช่อรูปพรหม เพราะชั้นสุทธาวาสถือว่าสูงที่สุดแล้ว เป็นโลกุตตรภูมิ
    ชั้นของอรูปพรหมนั้นคั่นระหว่างรูปพรหมกับพรหมอริยะครับผม....
     
  14. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    <CENTER>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๗ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๔
    กถาวัตถุปกรณ์</CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" background="" align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TR><TD bgColor=darkblue width="100%" vspace="0" hspace="0">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <CENTER></CENTER><CENTER>อรูเป รูปกถา</CENTER>[๑๒๓๕] สกวาที รูปมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย หรือ?

    ปรวาที ถูกแล้ว
    ป. เป็นรูปภพ เป็นรูปคติ เป็นรูปสัตตาวาส เป็นรูปสงสาร เป็นกำเนิดแห่งรูปสัตว์ เป็นการได้อัตภาพแห่งรูปสัตว์ หรือ?
    ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ


    ป. อรูปภพ เป็นอรูปคติ อรูปสัตตาวาส อรูปสงสาร เป็นกำเนิดแห่งอรูป-สัตว์ เป็นการได้อัตภาพแห่งอรูปสัตว์ มิใช่หรือ?
    ป. ถูกแล้ว

    ส. หากว่า เป็นอรูปภพ ฯลฯ เป็นการได้อัตภาพแห่งอรูปสัตว์ก็ไม่พึงกล่าวว่า รูปมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย


    [๑๒๓๖] ส. รูปมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย หรือ?
    ป. ถูกแล้ว
    ส. เป็นภพ คติ สัตตาวาส สงสาร กำเนิด วิญญาณฐิติ การได้อัตภาพแห่งสัตว์มีขันธ์ ๕ หรือ?
    ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. เป็นภพ ฯลฯ การได้อัตภาพแห่งสัตว์มีขันธ์ ๔ มิใช่หรือ?
    ป. ถูกแล้ว
    ส. หากว่า เป็นภพ คติ ฯลฯ การได้อัตภาพแห่งสัตว์มีขันธ์ ๔ ก็ไม่พึงกล่าวว่า รูปมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย


    [๑๒๓๗] ส. รูปมีอยู่ในรูปธาตุ และรูปธาตุนั้น เป็นรูปภพ เป็นรูปคติ เป็นรูปสัตตาวาส เป็นรูปสงสาร เป็นกำเนิดแห่งรูปสัตว์ เป็นการได้อัตภาพแห่งรูปสัตว์ หรือ?
    ป. ถูกแล้ว
    ส. รูปมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย และอรูปสัตว์นั้น เป็นรูปภพ เป็นรูปคติฯลฯ เป็นการได้อัตภาพแห่งรูปสัตว์ หรือ?
    ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
    ส. รูปมีอยู่ในรูปธาตุ และรูปธาตุนั้น เป็นปัญจโวการภพ เป็นคติ ฯลฯการได้อัตภาพแห่งสัตว์มีขันธ์ ๕ หรือ?
    ป. ถูกแล้ว
    ส. รูปมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย และอรูปสัตว์นั้น เป็นปัญจโวการภพ คติฯลฯ การได้อัตภาพแห่งสัตว์มีขันธ์ ๕ หรือ?
    ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

    [๑๒๓๘] ส. รูปมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย และอรูปสัตว์นั้น เป็นอรูปภพ เป็นอรูปคติเป็นอรูปสัตตาวาส เป็นอรูปสงสาร เป็นกำเนิดแห่งอรูปสัตว์ เป็นการได้อัตภาพแห่งอรูปสัตว์ หรือ?
    ป. ถูกแล้ว
    ส. รูปมีในอรูปธาตุ และอรูปธาตุนั้น เป็นอรูปภพ เป็นอรูปคติ ฯลฯเป็นการได้อัตภาพแห่งอรูปสัตว์ หรือ?
    ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ


    [๑๒๓๙] ส. รูปมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย และอรูปสัตว์นั้น เป็นจตุโวการภพ คติฯลฯ การได้อัตภาพแห่งสัตว์มีขันธ์ ๔ หรือ? ป. ถูกแล้ว
    ส. รูปมีอยู่ในอรูปธาตุ และอรูปธาตุนั้น เป็นจตุโวการภพ คติ ฯลฯ การได้อัตภาพแห่งสัตว์มีขันธ์ ๔ หรือ?
    ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ


    [๑๒๔๐] ส. รูปมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย หรือ?
    ป. ถูกแล้ว
    ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสการออกไปแห่งรูปทั้งหลายว่า อรูป มิใช่หรือ?
    ป. ถูกแล้ว
    ส. หากว่า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสการออกไปแห่งรูปทั้งหลายว่าอรูป ก็ต้องไม่กล่าวว่า รูปมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย



    [๑๒๔๑] ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสการออกไปแห่งรูปทั้งหลายว่า อรูป แต่รูปก็ยังมีอยู่ในอรูปสัตว์ทั้งหลาย หรือ?
    ป. ถูกแล้ว
    ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสการออกไปแห่งกามทั้งหลายว่า เนกขัมมะ แต่กามทั้งหลายก็ยังมีอยู่ในหมู่เนกขัมมะ อาสวะทั้งหลายก็ยังมีอยู่ในหมู่ผู้หาอาสวะมิได้ โลกิยธรรมก็ยังมีอยู่ในโลกุตรธรรมทั้งหลาย หรือ?
    ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
    <CENTER>อรูเป รูปกถา จบ</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>จากที่อ้างมาในพระไตรฯข้างบน และ รูปละเอียดที่ผู้เข้าถึงพระธรรมกายไปเห็นว่า</CENTER><CENTER>อรูปพรหม มีรูปที่ละเอียดมาก แม้บางที อรูปพรหมด้วยกันที่มีสมันตจักษุ ( จักษุที่ละเอียดกว่า</CENTER><CENTER>ทิพยจักษุธรรมดา ของเทวดา และ จักษุของพรหม ) ก็ยังมองไม่เห็น</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>..........เป็นไปได้ว่า รูปนี้แล เป็นรูปที่สืบเนื่องความเป็นชาติภพของอรูปพรหมอยู่</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>ถ้าไม่มีรูป วงจรปฏิจสมุปบาท จะถูกหักล้าง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พุทธพจน์จะขัดกันเอง</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>และรูปที่เห็นนี้ น่าจะเป็นรูปคนละตัวกับ รูปขันธ์ในขันธ์ห้า เพราะในอภิธรรมข้างบน</CENTER><CENTER>ยืนยันว่ามีขันธ์สี่ และ ก็ยังมีรูปในอรูปสัตว์</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>วงจรปฏิจสมุปบาทเกิดแล้วด้วยอวิชชา เมื่อมีภพ ของอรูปพรหม แสดงว่า</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>ต้องมีรูปคู่กับนาม ภพ จึงเกิดได้</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>เพียงแต่ การตีความ หรือ อุปสรรคแห่งภาษา รวมทั้ง</CENTER><CENTER>ความรู้จากการเห็นต่างมุมกัน</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>มีความรู้พิเศษบางอย่างนอกตำราใดๆคือ</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>อรูปพรหม ของผู้นอกศาสนา เห็นกายยากมากๆหรือไม่เห็น</CENTER><CENTER>แต่ อรูปพรหม ที่ได้ยินได้ฟังคำสอนของพุทธศาสนา มีสัมมาทิฐิเกิดแล้วนั้น</CENTER><CENTER>กลับมีกาย ที่เห็นได้ชัดขึ้น ....???</CENTER>
    </PRE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มีนาคม 2010
  15. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ครับ ประมาณนั้นละครับ
     
  16. มารวิกะ

    มารวิกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +526
    กระทู้นี้ น่าจะเป็นกระทู้แนะนำได้นะครับ เพราะอย่างน้อย พระโพธิสัตว์ท่านอื่นที่ผ่านเข้ามา
    อ่านเจอ รึว่าบางท่านที่ยังไม่แน่ใจ ในพุทธภูมิของตนเอง เข้ามาอ่านจะได้มีกำลังใจมากขึ้น
    มั่นใจใน แนวทางของตนมากขึ้น
     
  17. nopopathorn

    nopopathorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +2,065
    ผมก็หวังพุทธภูมิเเบบปัจเจก
     
  18. wat.R

    wat.R เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +745
    ขอกราบมหาอนุโมทนากับทุกๆท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ นับเป็นวาสนาที่ได้กล่าวมหาอนุโมทนากับท่านพ่อโพธิสัตว์ทั้ง 69 ท่าน ดังมีรายพระนามดังนี้ครับ
    แบบปัญญาธิกะ

    1.คุณ Websnow (ปัญญาธิกะ)
    2.คุณ Carbonato (ปัญญาธิกะ)
    3.คุณ Fame (ปัญญาธิกะ)
    4.คุณ Komodo (ปัญญาธิกะ)
    5.คุณ Samy (ปัญญาธิกะ)
    6.คุณ Star Platinum (ปัญญาธิกะ)
    7.คุณ ammytr (ปัญญาธิกะ)
    8.คุณ boeing (ปัญญาธิกะ)
    9.คุณ golf208 (ปัญญาธิกะ)
    10.คุณ joni_buddhist (ปัญญาธิกะ)
    11.คุณเกจิหนุ่ม (ปัญญาธิกะ)
    12.คุณเด็กอ่อน (ปัญญาธิกะ)
    13.ด.ช.หมึก (ปัญญาธิกะ)
    14.คุณพลายนิล (ปัญญาธิกะ)
    15.คุณเกจิหนุ่ม (ปัญญาธิกะ)
    16.คุณโคตร (ปัญญาธิกะ)
    17.คุณปัญญาฑิกะ (ปัญญาธิกะ)
    18.คุณนักพรต99 (ปัญญาธิกะ)
    19.คุณฐตธนวัฒฆ์ (ปัญญาธิกะ)

    แบบศรัทธาธิกะ

    20.คุณ Attawat Rx (ศรัทธาธิกะ)
    21.คุณ Ball ^_^ (ศรัทธาธิกะ)
    22.คุณ Kerisawa (ศรัทธาธิกะ)
    23.คุณ non_KMITL (ศรัทธาธิกะ)
    24.คุณ Photisud (ศรัทธาธิกะ)
    25.คุณ Seel (ศรัทธาธิกะ)
    26.คุณ tottam (ศรัทธาธิกะ)
    27.คุณ suttatika (ศรัทธาธิกะ)
    28.คุณ Wisdom (ศรัทธาธิกะ)
    29.คุณเทพนิมิตร (ศรัทธาธิกะ)

    แบบวิริยะธิกะ

    30.คุณ dhamma (วิริยะธิกะ)
    31.คุณ PCO (วิริยะธิกะ)
    32.คุณ cwyp (วิริยะธิกะ)
    33.คุณ jumpman (วิริยะธิกะ)
    34.คุณ mahaasia (วิริยะธิกะ)
    35.คุณ madeaw15 (วิริยะธิกะ)
    36.คุณ mozard002 (วิริยะธิกะ)
    37.คุณ Mr.Kim (วิริยะธิกะ)
    38.คุณ mr.tom zaa (วิริยะธิกะ)
    39.คุณ s_pantusom (วิริยะธิกะ)
    40.คุณ scikhuan (วิริยะธิกะ)
    41.คุณ The Lord (วิริยะธิกะ)
    42.คุณ TriKun (วิริยะธิกะ)
    43.คุณ widya (วิริยะธิกะ)
    44.คุณ woottipon (วิริยะธิกะ)
    45.คุณกสิณ (วิริยะธิกะ)
    46.คุณขออุโมทนา (วิริยะธิกะ)
    47.คุณแชมป์ (วิริยะธิกะ)
    48.คุณเดินทางไกล (วิริยะธิกะ)
    49.คุณมารวิกะ (วิริยะธิกะ)
    50.คุณมหัศฤทธิ์ (วิริยะธิกะ)
    51.คุณปัญญาน้อย (วิริยะธิกะ)

    แบบอื่นๆ

    52.คุณ wit (จะไปเป็นคนสุดท้าย)
    53.คุณโมฆบุรุษ (เดินตามทางพระอวโลกิเตศวร)
    54.คุณ Anupap9 (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    55.คุณ TONY2 (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    56.คุณ buddhist (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    57.คุณ kamo52 (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    58.คุณ witt (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    59.คุณ yeen (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    60.คุณกระเจียว (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    61.คุณโคตร (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    62.คุณวรากร (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    63.คุณมหาหิน (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    64.คุณฐตธนวัฒฆ์ (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    65.คุณน้องหน่อยน่ารัก (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    66.คุณอังคาร (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    67.คุณอริยมาร (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    68.คุณจิ้งจอกขาว (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    69.คุณบัวเกี๋ยง (พุทธภูมิ ไม่ได้บอกประเภทเอาไว้)
    ขอกราบมหาอนุโมทนาด้วยเศรียรเกล้าและกาย วาจา ใจ ครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. ลิตเติัลอ้น

    ลิตเติัลอ้น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2009
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +53
    ไม่รู้ว่าปรารถนาอะไร แต่อยากพ้นทุกข์ให้เร็วที่สุด หากไปไม่ได้นี้ ถ้าตายไปขอไปที่เดียว คือ สวรรค์ชั้นดุสิต ที่อื่นไม่ขอไป...ขอให้สำเร็จด้วยเถอะเจ้า
     
  20. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    เหอๆๆ กุอยากไปนิพพาน

    ข้าพเจ้าอยากไปนิพพาน ไปไม่ได้ ลาก็ไม่ออก ลาไปก็ไม่ให้ลา สรุปให้ไปทำจนเต็ม อยากไปนิพพานมาก คิดว่าจะเกิดอีก ก็สะอิดสะเอียนเต็มทีละ เบื่อมาก ตอนนี้เลยเป็นแบบ จำใจเดินต่อไป ใครเป็นแบบนี้บ้างจ้ะ เหอะ แถมโดนผู้ใหญ่ บอกมาอีก ว่าหน้าที่เมิงต้องไปสั่งสอนผุ้อื่นเขา เบื่อเข้าไปใหญ่เลย *^* ขอเป็นกำลังใจให้นะ สำหรับผุ้ปราถนา ทั้งหลาย ขอให้ ตั้งใจนะจ้ะ
    กรรมใดที่เคยล่วงเกินกันมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ขอท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...