การทดสอบขันติบารมี ว่าบำเพ็ญได้ในระดับใด

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย rose2009, 2 มิถุนายน 2010.

  1. rose2009

    rose2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +653
    ขันติบารมี ...หนึ่งในบารมี 30 ทัศที่บำเพ็ญได้ยากยิ่งในยุคปัจจุบัน ....
    เพราะทุกคนต่างยึดถือศักดิ์ศรี ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน จึงไม่มีใครยอมลงให้ใคร..เพราะต่างถือว่าตัวเองมีดีนั่นเอง

    อยากรู้ว่าตนเองสะสมบารมีมาในขั้นใด...ง่ายนิดเดียว...^-^
    ดูจิตตนเองเมื่อถูกคนพูดจาลบหลู่ดูหมิ่น หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ เมื่อโดนใส่ร้ายป้ายสี...ให้ดูจิตว่ามีใจเดือดพล่านแค่ไหน...

    เราก็จะรู้ว่าเราบำเพ็ญมาในระดับใด...บกพร่องสิ่งใด
    เราพร้อมจะออกไปสอนคนอื่นได้หรือไม่ ?

    เพราะการออกไปสอนผู้อื่นได้นั้นต้องมีความอดทนเป็นเลิศ เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องโดนผู้คนวิพากวิจารณ์ ดูหมิ่นอย่างแรง....
    จิตของเราสามารถอดทน อดกลั้นต่อการดูหมิ่นเหยียดหยามได้เพียงใด
    พิจารณาดูว่า...จิตเมตตาต่อผู้คนลดลงหรือไม่ เมื่อโดนสาดโคลน...โดนใส่ร้าย หรือโดนผู้อื่นย่งความดีไป...เรารู้สึกอย่างไร?
    หากเรายังขุ่นมัว...ยังขัดเคือง...พยาบาท จองเวรกับเรื่องเท่านี้...ก็คงต้องบำเพ็ญบารมีต่อ...เพราะยังพร่อง ขันติบารมี อีกมาก....^^

    ลองตรวจอาการของจิตดูว่าท่านมีขันติบารมีอยู่ในขั้นใด...?

    ขันติบารมีหมายถึง ความอดทนอดกลั้นต่อความทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ ในเบื้องต้นเป็นความอดทนต่อความตรากตรำทั้งหนาวร้อนหิวกระหายทนต่อทุกขเวทนาในเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย สูงสุดสามารถทนต่อความเจ็บปวดใจ ต่อถ้อยคำที่คนอื่นดูถูกเหยียบหยาม เมื่อครั้งพระพุทธเจ้า ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ได้บำเพ็ญขันติบารมี ๓ ขั้น คือ

    (๑) ขันติบารมีได้แก่ขันติที่บำเพ็ญด้วยมุ่งหวังพระโพธิญาณเป็นเบื้องหน้า รักขันติเพื่อพระโพธิญาณยิ่งกว่าคนที่รักและทรัพย์สิน แม้จะสูญเสียคนรักและทรัพย์สมบัติก็จะไม่ละทิ้งขันติ

    (๒) ขันติอุปบารมีได้แก่ขันติที่บำเพ็ญด้วยมุ่งหวังพระโพธิญาณเป็นเบื้องหน้ารักขันติ เพื่อพระโพธิญาณยิ่งกว่าอวัยวะร่างกายของตน แม้จะสูญเสียอวัยวะร่างกาย ก็จะไม่ละทิ้งขันติ

    (๓) ขันติปรมัตถบารมีได้แก่ขันติที่บำเพ็ญด้วยมุ่งหวังพระโพธิญาณเป็นเบื้องหน้ารักขันติ เพื่อพระโพธิญาณยิ่งกว่าชีวิตของตน แม้จะสูญเสียชีวิตก็จะไม่ละทิ้งขันติ

    หากแค่เราทนผู้อื่นเอาเปรียบ...ทนการเหยียดหยามดูหมิ่นมิได้...ยังคงห่างไกลคำว่าบำเพ็ญบารมีในข้อนี้ อีกมากเลยค่ะ...

    ^-^ สาธุอนุโมทามิ (จิตข้าพเจ้าบกพร่องมากกกก...ข้อนี้สอบตก...อิอิ)
     
  2. rose2009

    rose2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +653
    อ่านเจอแล้วคิดว่า "ใช่เลย"(i) ...เลยนำมามาให้พิจารณา :)
    (อ่านอีกครั้ง...สำหรับท่านที่เคยอ่านแล้ว)

    พระบรมโพธิสัตว์สอนตนเองว่า ....ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับแต่นี้ไป
    ท่านพึงบำเพ็ญขันติบารมีให้เต็มเปี่ยม พึงเป็นผู้อดทนได้ทั้งในความนับถือทั้งในความดูหมิ่น
    คนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้างลงบนแผ่นดิน
    แผ่นดินย่อมไม่กระทำความชอบใจ
    ไม่กระทำความแค้นใจ มีแต่อดทนอดกลั้น ฉันใด
    แม้ท่านเมื่ออดทนได้ในความนับถือก็ดี ในความดูหมิ่นก็ดี จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ ฉันนั้น...



    มีธรรมภาษิตที่สุเมธดาบสโพธิสัตว์กล่าวสอนตนเองว่า ในการสร้างบารมีของพระบรมโพธิสัตว์ ...
    1. ท่านเริ่มจากทานบารมีเป็นอันดับแรก เพราะเสบียงเป็นสิ่งที่สำคัญในการเดินทางไกลในสังสารวัฏ เพื่อหล่อเลี้ยงตนเอง และหมู่คณะด้วย ...
    2. จากนั้นท่านได้บำเพ็ญศีลบารมี ชำระกายวาจาใจให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อเป็นการรักษาสภาวะปกติของตนเอง จะได้บังเกิดในภพภูมิที่เหมาะต่อการสร้างบารมีไปทุกภพทุกชาติ จะทำให้หนทางการไปสู่อายตนนิพพานย่นย่อเข้ามา
    3. จากนั้นท่านก็บำเพ็ญเนกขัมมบารมี ฝึกตัวไม่ให้ไปยึดติดในลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่เกาะเกี่ยวในเบญจกามคุณทั้งห้า สลัดให้หลุดจากสิ่งที่ทำให้เนิ่นช้า ทำใจให้ เกาะเกี่ยวอยู่ในกระแสของพระนิพพานอย่างเดียว
    4. เมื่อพิจารณาบารมีทั้ง ๓ อย่างแล้ว ท่านได้ตรวจตราต่อไปก็พบว่า อวิชชา คือ ความไม่รู้ครอบงำสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นจากภพทั้งสามไปได้ ดังนั้นจะต้องแสวงหาความรู้ ตั้งแต่ความรู้จากการได้ยินได้ฟังที่เป็นสุตมยปัญญา จากสำนักอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงต่างๆ ความรู้จากการพินิจพิจารณาไตร่ตรองทดลองด้วยตนเอง ซึ่งเป็นจินตมยปัญญา รวมไปถึงความรู้แจ้ง คือ ภาวนามยปัญญา อันเกิดจากการเจริญสมาธิภาวนาข้ามภพข้ามชาติ ความรู้เหล่านี้จะมาทำลายความมืดแห่งอวิชชาให้หมดสิ้นไป ...คือ บารมีอย่างที่ ๔ เป็นการ บำเพ็ญปัญญาบารมี คือ ท่านสอนตนเองว่า จะบำเพ็ญปัญญาบารมี อุปมาเหมือนภิกษุที่เดินบิณฑบาต ไปรับภัตตาหารที่ใดก็ตาม จะบิณฑบาตไปตามลำดับ ไม่ว่าผู้ที่ ใส่บาตรจะมาจากตระกูลไหน วรรณะใด ชนชั้นใดก็ตาม จะเป็นชนชั้นสามัญทั่วไป ชนชั้นกลาง เศรษฐีหรือชนชั้นสูง เป็น พระราชามหากษัตริย์ ท่านก็จะรับบิณฑบาตหมด เหมือนกับ ผู้แสวงหาความรู้ใส่ตัว ความรู้นั้นอยู่ในบุคคลใด ในวัยไหน ในฐานะใดหรือในชนชั้นใดก็ตาม ขอให้มีความรู้ที่นำมากำจัด อาสวกิเลสได้ ท่านก็จะไปขอความรู้จากคนเหล่านั้น
    5. บารมีประการต่อมาที่ท่านได้ตรวจตราดูดีแล้ว ทรงพบว่า ความบกพร่องในตัวจำเป็นต้องรีบแก้ไขรีบปรับปรุง จึงจำเป็นต้อง มีวิริยบารมี เข้ามาเสริม และนอกจากจะมีความเพียรพยายาม ไม่สิ้นสุดแล้ว จะต้องกล้าเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง หมายถึง กล้าที่จะแก้ไขความบกพร่องของตนเอง สิ่งใดที่ไม่ดีเคยชินอยู่กับ สิ่งนั้น ก็ปฏิวัติใหม่ให้ดีขึ้น และกล้าที่จะละเว้นหรือหลีกเลี่ยงความไม่ดีทั้งหลายที่เคยทำไว้ สิ่งไม่ดีใดที่ยังไม่เคยทำก็จะไม่ทำ จากนั้นยังกล้าที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้นไปอีก ความดีที่ มีอยู่ให้รักษาไว้ อีกทั้งพอกพูนให้มากขึ้น ความดีอะไรที่ยังไม่ เคยทำ หรือที่คนในโลกไม่กล้าทำ ท่านก็กล้าทำ เพราะการจะบรรลุประโยชน์อันสูงสุดได้นั้นต้องบำเพ็ญบารมีที่ยิ่งยวด คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้ตั้งความปรารถนา จึงตามความคิดของพระบรมโพธิสัตว์ไม่ทัน ท่านกล้าคิด กล้าพูด และกล้าที่จะทำความดี ที่ไม่มีใครในโลกเคยทำมาก่อน นี่คือวิริยบารมีของท่าน.....
    6. ต่อมาเมื่อกล้าทำความดี บางครั้งอาจได้ยินเสียง วิพากษ์ วิจารณ์ เย้ยหยันดูถูกดูแคลนจากคนที่ไม่เข้าใจ บารมี ต่อไปที่ต้องรักษาให้ยิ่งยวดขึ้นไป คือ ขันติบารมี เพราะเมื่อกล้าเปลี่ยนแปลงความไม่ดีที่เคยทำอยู่ กล้าทำความดีที่ใครๆไม่กล้าทำ เสียงค่อนขอดวิพากษ์วิจารณ์ย่อมเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ขันติบารมีก็ต้องตามมา ความอดทนเป็นตบะธรรมอย่างยิ่งที่จะชนะกิเลสในตัว ต้องรักษาใจให้เป็นปกติ ไม่หวั่นไหวในปัญหา หรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น อีกทั้งไม่หลงในคำสรรเสริญเยินยอ อันจะเป็นเหตุให้ประมาท จะต้องมีความหนักแน่นทั้งนินทาและสรรเสริญ
    7. ....หาอ่านต่อเอาเองนะคะ.....
    ที่มา : ตัดตอนเนื้อหาบางตอนมาจากเวบ กัลยาณมิตร...ตอน....(ขันติบารมี )
     
  3. fullmoonsun

    fullmoonsun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +2,321
    Anumothana Sathu........very good
     
  4. junthet

    junthet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +139
    อนุโมทนาค่ะ
    กำลังเจอเหตุการณ์ประมาณนี้อยู่พอดี ทำให้มีแรงใจในการการอดทนต่อการถูกนินทาว่าร้ายจะตั้งอยู่ในความดีต่อไป เพื่อความสงบภายหน้า
     
  5. rose2009

    rose2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +653
    ^-^ มิได้เอาคิดเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนหรือคิดจะสอนใครแต่อย่างใด...
    แต่มาทบทวนบารมีกันอีกรอบ...เป็นย้ำเตือนจิตตน...และเผื่อใครกำลังพลุ่งพล่านเป็นเพื่อนกันอยู่...
    เอามาฝากให้อ่านอีกครั้งในฐานะเพื่อนร่วมสังสารวัฏผู้บำเพ็ญบารมี....;k06 ...และขออภัยหากบทความนี้ทำให้ขัดเคืองใจ

    เมื่อสิ่งใดมากระทบ...ก็กำหนดสติไว้เถิด ท่านเหล่าพุทธภูมิทั้งหลาย...บอกตัวเองว่า
    "ขันติบารมี"ๆๆ ...อดทนไว้เถิด เพื่อการบำเพ็ญบารมีให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป...(i)
    ....เมื่อนั้นการกระทบกระทั่งทาง กาย วาจา ใจ ก็จะลดลง...ครั้งแรกๆอาจต้องฝึกระงับเก็บกดไว้ นานๆไปก็เป็นนิสัยโดยธรรมชาติของจิต...
    สังคมจะได้สุขสงบเพราะคนมีขันติ และรู้จักการให้อภัยกันกับการกระทบกระทั่งจากความเห็นไม่ตรงกัน...
    เตือนสติตัวเอง..จากการได้อ่านบทความของ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก "มีขันติ คือ ให้พรแก่ตัวเอง" ตาม link ข้างล่างนี้แหละค่ะ...
    _/|\_ สาธุ...ขอให้ทุกท่านก้าวหน้าในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยการบำเพ็ญขันติบารมีด้วยเทอญ

    ....................

    ในชีวิตประจำวันของคนเรา จำเป็นต้องฝึกให้มีความอดทนต่อเหตุที่มากระทบซึ่งอาจแบ่งได้ 4 อย่าง คือ
    1. อดทนต่อความลำบากตรากตรำ คือ อดทนต่อสภาพธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ ไม่เอาเหตุแห่งดินฟ้าอากาศมาเป็นข้ออ้างที่จะทอดทิ้งการงาน
    2. อดทนต่อทุกขเวทนา คือ การอดทนต่อความเจ็บไข้ได้ป่วย ความไม่สบายกาย
    3. อดทนต่อความเจ็บใจ *** คือ อดทนต่อเหตุแห่งความไม่พอใจที่มากระทบ เช่น คำพูดที่ไม่ชอบใจ ความบีบคั้นจากผู้บังคับบัญชา อดทนต่อความโกรธ หงุดหงิด ขุ่นเคืองใจ เป็นต้น
    4. อดทนต่ออำนาจกิเลส คือ อดทนต่อสิ่งยั่วยุอันน่าเพลิดเพลินใจ อดทนต่อสิ่งที่อยากทำแต่ไม่สมควรทำ เช่น การใช้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย การเที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน สูบบุหรี่ กินเหล้าเมายา เป็นต้น

    มีบางคนที่นำเอาคำว่าขันติมาใช้อย่างผิดความหมาย คือ เอามาเป็นข้องอ้างที่จะปล่อยปละละเลย ไม่ยอมทำในสิ่งที่ถูกที่ควร เช่น บางคนขี้เกียจทำมาหากิน งอมืองอเท้า ตกอยู่ในสภาพใดก็ทนอยู่อย่างนั้น ไม่ขวนขวาย แล้วบอกว่าตนมีความอดทนต่อความยากลำบาก อย่างนี้เป็นการเข้าใจผิด ตีความหมายของขันติผิดไป
    catt8

    ขันติ ความอดทน อดกลั้น ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน หมายถึง อดทนในสิ่งที่ควรอดทนด้วยความเต็มใจและพอใจ คือ ...
    อดทน ในการละ หลีกเลี่ยงจากความชั่ว
    อดทน ทำความดีต่อไปในทุกสถานการณ์
    อดทน รักษาใจให้ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
    ความอดทนจึงเปรียบเสมือนการขุดขุมทรัพย์อันมีค่ามหาศาล.....


    ที่มา : มีขันติ คือ ให้พรแก่ตัวเอง โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
     
  6. จริยากุ

    จริยากุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,314
    ค่าพลัง:
    +1,446
    อนุโมทนาด้วยค่ะ ตอนนี้ช่วงเวลากำหนดจิตให้นิ่ง
    หรือเวลาสวดมนต์หรือเวลา
    ปฏิบัติกรรมฐานจะมีอาการมือสั่น ตัวสั่น
    ใครรู้ช่วยตอบที ( ทำสมาธิมา 15 ปี ไม่สม่ำเสมอ)
     
  7. nrongrit

    nrongrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +546
    อืมมม......
     
  8. rose2009

    rose2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +653
    มีตำนานมาเล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์…. ตำนานเมือง กุกกุฎนคร
    ....ในยุคสมัยนานแสนนาน...เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานล่วงไปได้ 1000 ปี ...
    ....ผู้มีบุญจากดาวดึงส์ลงมาจุติและได้บวชเป็นพระมหาเถระเพื่อดำรงพุทธศาสนา และขณะเดียวกันเทพธิดาองค์หนึ่งก็ได้จุติลงมาเกิดในเมืองนี้เช่นเดียวกัน นางเทพธิดาได้จุติมาเป็นอุบาสิกาผู้ใฝ่ธรรม อยู่ใกล้ๆกับวัดที่พระมหาเถระบวช...

    นางอุบาสิกาเป็นผู้มีใจบุญ เข้าวัดปฏิบัติธรรมมิเคยเว้น ในยามว่างนางมักไปสนทนาข้อธรรมกับพระมหาเถระเป็นประจำ...
    ด้วยนางครองตัวเป็นโสดประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในศีลในธรรมอันดีงามมาตลอด ทำให้เป็นที่ชื่นชมเลื่อมใสต่อเหล่าทั้งมนุษย์และเทวดา...
    ....ต่อมาพระมหาเถระ ประสงค์จะสร้างพระพุทธรูปสักองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่เมือง....แต่หาไม้แก่นจันท์ไม่ได้ ความนี้รู้ไปถึง พระยานาคตนหนึ่งซึ่งรักษาอยู่ในแม่น้ำในเมืองแห่งนั้น จึงเกิดศรัทธา ได้นำเอาแก้วมรกตลูกหนึ่ง สุกใสเปล่งประกายรัศมีสวยงามมากมาจากเมืองพระยานาคใส่เข้าในแตงโมในไร่ของนางอุบาสิกาผู้ใจบุญนี้...ด้วยมั่นใจว่านางจะนำเอาไปให้พระมหาเถระแกะสลักเป็นพระพุทธรูปคู่เมืองตามประสงค์
    ...เช้าวันรุ่งขึ้นวันหนึ่งนางก็เข้าไปในไร่แตงโมเก็บพืชผักไปทำบุญตามปกติ พลันนางสะดุดพบแตงโมลูกหนึ่งมีสีสันสุกใสผิดแผกกว่าลูกอื่น ๆ นางจึงผ่าออกดู ปรากฏมีแก้วมรกตลูกหนึ่งอยู่ในแตงโม นางจึงนำไปให้พระมหาเถรเพื่อแกะสลักเป็นพระพุทธรูป ซึ่งพระมหาเถรได้เกิดความปลื้มปิติเป็นอย่างมาก
    ....พระมหาเถรเมื่อได้แก้วมรกตมาแล้วก็พยายามแกะสลักเป็นพระพุทธรูป แต่ก็แกะไม่สำเร็จสักทีเพราะเนื้อแข็งมาก จนกระทั่งมีชายแก่คนหนึ่ง (ซึ่งเป็นเทวดาปลอมตัวมา) อาสาแกะพระให้ เมื่อมหาเถรเข้าไปเพื่อที่จะเอาเครื่องมือให้แก่ชายคนแก่นั้นแกะพระ ครั้นกลับออกมาก็ไม่พบชายแก่แล้ว แต่มีองค์พระพุทธรูปแก้วมรกตเปล่งประกายงดงามมากยิ่งนักอยู่แทน...
    ....การที่พระมหาเถระและนางมีส่วนร่วมกันในการสร้างพระพุทธรูปคู่เมือง ทำให้ชาวเมืองเคารพยกย่องบุคคลทั้งสองมาก จึงมีผู้อิจฉาและนำความไปทูลยุยงเจ้าเมือง ใส่ความนางว่าเป็นชู้กับพระมหาเถระ
    ....นางจึงถูกเจ้าครองนครสั่งประหารชีวิต... ก่อนตายนางได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าตนไม่มีความผิดขอให้เลือดพุ่งขึ้นสู่อากาศ อย่าให้ไหลลงดินเลยแม้แต่หยดเดียว หากผิดจริงขอให้เลือดตกดิน เป็นการประกาศความบริสุทธิ์ของตน...และปรากฏว่าเมื่อเพชฌฆาตลงดาบประหารนางนั้น เลือดของนางก็พุ่งขึ้นฟ้าไปหมดมิได้ตกถึงพื้นดินเลย
    เพชฌฆาตเห็นเหตุการณ์อย่างนั้นก็นำเหตุการณ์ไปกราบทูลให้เจ้าเมืองให้ทรงทราบ เมื่อเมืองทราบเหตุการณ์เช่นนั้น จึงเสียพระทัยเป็นอันมาก ลุกขึ้นจากแท่นแล้วก็วิ่งไปมาล้มลงขาดใจตายในบัดนั้น…

    มีเรื่องเล่าขานลับๆจนตำนานต่อมาว่า...จิตก่อนตายนั้น นางเกิดความพยาบาทต่อชาวเมืองที่ใส่ร้ายป้ายสีนาง...นางจึงสาปแช่งไว้...ซึ่งผลของคำสาปแช่งนั้นยังเล่าลือถึงวันนี้…

    หากเป็นเช่นนั้นจริง...น่าเสียดายเนอะ...นางผู้บำเพ็ญศีลบารมี ได้พ่ายแพ้แก่ใจตน...เป็นอุทาหรณ์ในการบำเพ็ญบารมีจริงๆค่ะ

    (เท็จจริงประการใด...คงต้องให้ลูกหลานเมืองตัวจริงมาเล่า...และเหล่าสานุศิษย์พระสุปฏิปันโนซึ่งได้มรณะภาพไปแล้ว...เล่าอีกที ^____^)
     
  9. linake119

    linake119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +578
    ขันติบารมี เป็นยอดแห่งบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้บำเพ็ญเพียร เมื่อขันติแก่กล้า การบำเพ็ญปัญญาบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ทานบารมี เนกขัมมะบารมี และบารมีอื่นๆ ก็จะมาเอง ก็จะเต็ม เพราะเนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการบำเพ็ญเพื่อให้บารมีเต็ม ดังนั้นจึงขาดขันติไม่ได้
     
  10. Nok Nok

    Nok Nok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +3,297
    [​IMG]
    ขันติบารมี = ฝึกให้จิตยิ้มทุกลมหายใจเข้า-ออก เจ้าค่ะ สาธุ ^_^
     
  11. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    อยากเสริมนะครับ

    คำว่า "ขันติบารมี" นะ ก็คือ ความอดทนต่อความยากลำบากทั้งร่างกายและจิตใจนั่นเอง

    ดังนั้น ขันติบารมีไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ว่าทนคนด่า คนนินทา ทนคนใส่ร้ายป้ายสีเท่านั้น

    แต่อย่างที่บอกคือ ทนต่อความยากลำบาก ที่เกิดขึ้นกับร่างกายหรือจิตใจ หรือเกิดขึ้นกับทั้งร่างกายและจิตใจนั่นเอง

    จริงๆทุกวันเราก็บำเพ็ญขันติบารมีด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ใครจะพัฒนาให้ยิ่งยวดกว่ากัน

    ทำไมบอกว่าทุกวันเราก็บำเพ็ญขันติบารมี ก็เพราะอย่างน้อยๆในชีวิตเราก็ต้องมีความอดทนใช่ไหม ไม่งั้นขับรถปาดหน้านิดหน่อย อย่างหนักก็อาจลงไปชกต่อยหรือฆ่าแกงกันเลย อย่างเบาก็ด่าบุพการีตามหลัง แต่ถ้าเราทนได้ นั่นแหละ เรากำลังบำเพ็ญขันติบารมี

    การที่เราเสียสละความสุขส่วนตัว ไปทำงานในถิ่นทุรกันดาร ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงครอบครัวหรือเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น โดยเฉพาะพวกทหาร ตำรวจที่ประจำตามชายแดน ที่อยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ถือว่าเป็นการสร้างขันติบารมี ไม่อย่างนั้นลาออกนานแล้ว ไปคุมเธคหรือเปิดบริษัท รปภ.ดีกว่า

    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เราเอาชนะจิตฝ่ายต่ำของตัวเอง เพื่อระงับยับยั้งกิเลส เพื่อมุ่งมั่นในการทำความดี ไม่ว่าตัวเองจะต้องลำบากยากเย็นขนาดไหนก็ตาม ก็นับว่าเป็นการสร้างขันติบารมีอย่างยิ่งยวด
    คนจนนั้น แม้เงินสิบบาทยี่สิบบาทก็มีความหมาย ดังนั้น การที่เค้ายอมสละเงินส่วนนั้น เพื่อสร้างบุญสร้างกุศล นอกจากเค้าจะสร้างทานบารมีอย่างยิ่งยวดแล้ว ก็ยังเป็นการสร้างขันติบารมีอย่างยิ่งยวดด้วย

    ในการปฏิบัติธรรมนั้น เราก็ยังสามารถสร้างขันติบารมี ถ้าไม่มีขันติ จะนั่งสมาธิเป็นชั่วโมงๆได้มั้ย จะอุตส่าห์บากบั่นไปกราบครูบาอาจารย์ในถิ่นทุรกันดารได้มั้ย หรืออย่างพระ สีกาสวยๆมากราบทุกวัน ถ้าพระท่านไม่มีขันติ ท่านก็คงจะลาสิกขาบทไปเรียบร้อยแล้ว.... พระท่านก็ต้องใช้ขันติบารมีเหมือนกัน

    เพราะฉะนั้น ขันติบารมีมี่ความหมายกว้าง และทุกคนสามารถสร้างขันติบารมีได้ แม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน

    แต่สิ่งที่นับว่าเป็นสุดยอดอย่างหนึ่งของการสร้างขันติบารมีก็คือ

    ผู้ที่สามารถอดทนต่อคำจาบจ้วงของผู้ต่ำต้อยกว่าตน โดยมีจิตที่คิดให้อภัย ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องอดทน

    องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของปวงชนชาวไทย สำหรับการบำเพ็ญบารมีข้อนี้ สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันนี้............... อย่างชนิดเหนือคำบรรยายใดๆ
     
  12. kodyhusky

    kodyhusky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +829
    อ่า ผมไม่รู้ว่าอะไรนะครับ

    แต่ผมถูกด่า ทำร้าย- - ใช้ทำต่างๆนานาเหมือนทาสเขา

    ผมก็แค่รู้สึกเหนือยที่ถูกใช้มากไปหน่อยเท่านั้นเอง อันนี้เป็นอาการผิดปกติไหม

    เข้าข่ายบ้าไหม เพราะผมก็พยามบำเพ็ญบารมีเหมือนกัน

    ช่วงนี้สภาพใจก็แย่มาก

    แต่พยามจะต่อสู้กับมันจนถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้
     
  13. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    อนุโมทนาด้วยค่ะ ตอนนี้ช่วงเวลากำหนดจิตให้นิ่ง
    หรือเวลาสวดมนต์หรือเวลา
    ปฏิบัติกรรมฐานจะมีอาการมือสั่น ตัวสั่น
    ใครรู้ช่วยตอบที ( ทำสมาธิมา 15 ปี ไม่สม่ำเสมอ)<!-- google_ad_section_end -->

    ผมว่าเกร็งตัวหรือท่านั่งทำให้สบาย ๆ
    แล้วก็สวดมนต์ รักษาศิล เจริญสมาธิ วิปัสสนาปัญญา
    ถ้าขัดสมาธิไม่ได้ก็เอาเก้าอี้มานั่งก็ได้
    นั่งให้สบาย ๆ ใหม่ ๆ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
    เดินทางสายกลาง ๆ ท่านั่งไม่สำคัญ สำคัญที่จิตนะครับ
    ให้รู้ว่าอะไรกำลัง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เช่น การพิจารณาเสียง
    ที่กำลังเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นพระไตรลักษณ์ คือ เสียงที่เราได้ยิน
    ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น
    ในเสียงที่กำลังได้ยินในขณะปัจจุบันนั้น ๆ เมื่อเก่งแล้วก็พิจารณา รูป เสียง กลิ่น รส
    สัมผัส ความคิด(เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ ฯลฯ ) เกิดขึ้นแล้วก็ดับหายไปจริงใหม ให้พิจารณา
    ไปอย่างนี้เรื่อย ๆ เมื่อเก่ง ๆ แล้วก็พิจารณาอย่างอื่นไปเรื่อย ๆ เบื่อ ๆ ก็มาทำสมาธิ คือ ภาวนา พุทโธ หรืออะไรก็ได้ จำไว้นะครับ ท่านั่งขัดสมาธิเพชรไม่สำคัญเท่ากับการฝึกจิต ให้รู้เท่าทันปัจจุบันว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น สลับไปมาระหว่าง สมาธิ กับ วิปัสสนา
    ท่านสอนไม่ให้เราฝึกชนะการเมื่อยปวด แต่สอนให้เราฝึกชนะจิตใจ นะครับ ไม่ โลภ โกรธ หลง กามตัณหา ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่าเบาสบาย จิตว่าง จิตเป็นสุญญตา ว่างเปล่า ปล่อยวาง ทุกสิ่งทุกอย่าง จิตจึงเป็นบรมสุข คือ พระนิพพาน
    เมื่อนั่งท่าสบาย ๆ ไปนาน ๆ ก็เปลี่ยน อริยาบถ อย่างอื่น อย่านั่งเกร็งจนตัวสั่น มือสั่น
    ผมว่าเกร็งตัวมากเกินไปมากกว่า นั่งให้สบาย ๆ เดินทางสายกลาง ครับ หวังว่าคงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
    และก็ขออนุโมทนา สาธุ ๆ ยินดีกับท่านทั้งหลายที่ได้ทำบุญสร้างกุศลทุก ๆ ท่านด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2010
  14. Attila 333

    Attila 333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +716
    อนุโมทนาครับ.....มีขันติแล้วต้องมีธรรมที่เกื้อหนุนกันด้วย โดยเฉพาะตัวปัญญาต้องทันกัน และก็มีเมตตาให้อภัย ตัวพรหมวิหารธรรมจะช่วยเกื้อกูลกันหมด
     
  15. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สาธุครับ พึงตระหนักไว้แต่แรกแล้วก่อนที่จะลงมาบำเพ็ญบารมี... ว่ายุคนี้บำเพ็ญได้ยากยิ่ง จะวัดก็วัดที่ขันตินี่แหละ ขันติ วิริยะ อุเบกขา เป็นหลักๆเลย... เฮ้อ สังวัฏฏกัปป์ตอนปลาย - -
     
  16. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    ขันติ เป็น ฐานของบารมีทั้งปวง ถ้าฐานไม่ดีก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อนุโมทนาครับ
     
  17. วันมงคล

    วันมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    414
    ค่าพลัง:
    +1,303
    อนุโทนาในบุญบารมีนี้ด้วยเทอญ.สาธุ สาธุ สาธุ.....อนุโมทามิ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0377.jpg
      IMG_0377.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.5 KB
      เปิดดู:
      96
    • IMG_0394.jpg
      IMG_0394.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.8 KB
      เปิดดู:
      86
    • IMG_0417.jpg
      IMG_0417.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.2 KB
      เปิดดู:
      106
  18. laoongfong

    laoongfong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +696
    ความอดทนเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่ในสังคมครับ บทความดีครับ อนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  19. จริยากุ

    จริยากุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,314
    ค่าพลัง:
    +1,446
    อนุโมทนา และขอขอบคุณ คุณ deeled การคิดแบบนั้น ว่าไม่มีตัวเรา ของเราเคยอ่านนานแล้วแต่ไม่ค่อยได้นำมาใช้ ลืมๆไป ขอขอบคุณมากค่ะถ้าเราไม่ยึดติดอัตตา อารมณ์ และความรู้สึกก็จะช่วยให้ใจเราสบาย ละได้มากขึ้น
     
  20. Phra Atipan

    Phra Atipan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,301
    [​IMG]
    อนุโมทนาสาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...