รวมตำนานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้นำของโลกยุคใหม่

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย วสุธรรม, 26 มิถุนายน 2010.

  1. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ขออนุญาตเก็บไว้เป็นที่ระลึก(ก่อนโดนลบทิ้ง)

    <TABLE id=post4025439 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>วันที่11พ.ย.53, 03:29 AM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พระศรีอริย<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4025439", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2010
    สถานที่: กทม.
    ข้อความ: 2
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 1
    ได้รับอนุโมทนาบุญ 3 ครั้ง ใน [ARG:2 UNDEFINED] โพส
    พลังการให้คะแนน: 0





    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    พระศรีมาอีกคนแล้ว<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2010
  2. บัวเกี๋ยง

    บัวเกี๋ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    549
    ค่าพลัง:
    +431
    อนุโมทนาสาธุจะอยู่รอและจะไปเกิดยุคพระศรีเพื่อบำเพ็ญบารมีต่อจะสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
     
  3. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ดีแล้ว


    ก็แสดงว่าประเทศเรามีกระแสพระศรีอาริย์อยู่และมีผู้สัมผัสได้จริง
    ไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องเสียหาย ถ้านำมาปฏิบัติเพื่อส่วนรวม

    พระท่านให้ระลึกเป็นพุทธานุสติ ไม่ใช่ให้เข้าไปยึดเพื่อหลงใหลในสมมุติ

     
  4. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    พระศรีฯท่านก็มีอยู่จริงตามสภาวะของท่านนั่นแหละครับ แต่ใครจะเข้าถึง สัมผัสถึงโพธิญาณของท่านได้หรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องบุญบารมีของแต่ละบุคคลที่สั่งสมมาในพุทธศาสนา

    ผู้ที่เคยผ่านภพชาติร่วมสมัยมาในทศชาติการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าพระองค์ต่างๆจะเข้าถึงตรงนี้ได้ไม่ยาก ครับ

    ผมบอกได้แค่เพียงว่าพระโพธิญาณของพระศรีนั้นยิ่งใหญ่ ครับ

    ผมมีภาพการประดับพลอยของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ รวมทั้งองค์พระศรีฯมาฝากครับ ประดับไปแล้ว 1,000 กว่าเม็ด เหลืออีกประมาณ 18,000 กว่าเม็ด เจียยนัยไว้แล้วบางส่วน บางส่วนกำลังเจียรนัย ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1.JPG
      P1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      198.2 KB
      เปิดดู:
      97
    • P3.JPG
      P3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      219 KB
      เปิดดู:
      92
    • P5.JPG
      P5.JPG
      ขนาดไฟล์:
      249.8 KB
      เปิดดู:
      120
    • P10.JPG
      P10.JPG
      ขนาดไฟล์:
      229.3 KB
      เปิดดู:
      122
    • P12.JPG
      P12.JPG
      ขนาดไฟล์:
      161.1 KB
      เปิดดู:
      96
    • P17.JPG
      P17.JPG
      ขนาดไฟล์:
      278 KB
      เปิดดู:
      103
    • P18.JPG
      P18.JPG
      ขนาดไฟล์:
      247.8 KB
      เปิดดู:
      96
    • P19.JPG
      P19.JPG
      ขนาดไฟล์:
      320.6 KB
      เปิดดู:
      102
    • P20.JPG
      P20.JPG
      ขนาดไฟล์:
      266.4 KB
      เปิดดู:
      95
    • P21.JPG
      P21.JPG
      ขนาดไฟล์:
      274.1 KB
      เปิดดู:
      93
    • P22.JPG
      P22.JPG
      ขนาดไฟล์:
      233.7 KB
      เปิดดู:
      101
    • P23.JPG
      P23.JPG
      ขนาดไฟล์:
      263.5 KB
      เปิดดู:
      114
    • P24.JPG
      P24.JPG
      ขนาดไฟล์:
      268.9 KB
      เปิดดู:
      100
    • P25.JPG
      P25.JPG
      ขนาดไฟล์:
      200 KB
      เปิดดู:
      100
    • P26.JPG
      P26.JPG
      ขนาดไฟล์:
      213.6 KB
      เปิดดู:
      99
    • P28.JPG
      P28.JPG
      ขนาดไฟล์:
      216.1 KB
      เปิดดู:
      105
  5. baby dragon

    baby dragon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +8
    รบกวนถามนิดนึงนะ
    ขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่ความเชื่อใครนะ แค่สงสัยเฉยๆ
    แต่ถ้าถามออกไปแล้วทำให้ใครไม่พอใจก็ขอโทษด้วย

    คืออยากจะถามว่าพระจักรพรรดิที่จะมาปรากฎในยุคกึ่งพุทธกาลนั้น
    เป็นพระศรีอารีย์แน่ใช่ไหม ไม่ใช่ พระองค์อื่นที่เป็น 1 ใน 10 พระอนาคตวงศ์
    หรอกเหรอ เพราะจากที่อ่านมานั้นพระพุทธองค์ท่าน กล่าวว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์
    ซึ่งอาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ว่าเป็นพระศรีอารียเมตไตรยเพราะมีคำว่าเมตไตรยเหมือนกับชื่อของท่าน แต่ในความเข้าใจของผู้ถามซึ่งอาจจะผิดก็ได้ (แค่สงสัยเฉยๆ) นะว่าอาจจะเป็น
    พระรามโพธิสัตว์ก็ได้เพราะในบาลีในพระสูตรพระอนาคตวงศ์นั้นของพระรามท่านมีคำว่า

    "( ภควา “เมตฺเตยฺยสฺส สาสนฺกาเล อติกฺกนฺเต ตสฺส สทฺธมฺมปชฺโชโต อนฺตรธายิ
    มณฺฑกปฺเป ราโมจ ธมฺมราชา จ เทฺว พุทธา อุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ อิมํ สทฺธมฺมเทสนํ กเถสีติฯ

    แต่ของพระศรีท่านพระบาลีในพระอนาคตวงศ์ ท่านจะเป็น
    (เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิสาขาย สตฺตวีสติโกฏิธนปริจฺจาเคน การิเต
    ปุพฺพาราเม วสฺสาวาสํ วสนฺโต อชิตตฺเถรํ อารพฺภ ทส โพธิสตฺตาติ อิมํ ธมฺมเทสนํ กเถสีติฯ )

    ซึ่งไม่มีคำว่าเมตไตรยัสส อีกข้อคือในการบำเพ็ญบารมีในพระชาติสุดท้ายคือพระชาติที่ 10ที่ท่านบำเพ็ญทานบารมีนั้น หลังจากที่ท่านลาธาติขันธ์แล้ว ท่านจะต้องขึ้นไปเสวยสุข
    ในสวรรค์ชั้นดุสิตเป็นเวลา 4000 ปีทิพย์ ซึ่งหากท่านมาเป็นพระจักรพรรดินั้นจะไม่ทำให้ท่านอยู่เสวยสุขไม่ครบเวลาหรอกหรือ ซึ่งจัดเป็นพุทธประเพณีอย่างหนึ่งเช่นกัน

    ป.ล. หากทำให้ใครขุ่นข้องหมองใจ หรือ หากใครจะหาว่าข้าพเจ้าบังอาจ ที่จะเปลี่ยนความเชื่อของพวกท่านข้าพเจ้าก็ขอโทษจากใจจริงไว้ ณ ที่นี้ด้วย อย่างที่ ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าแค่สงสัยเฉยๆ เท่านั้นเอง ขอขอบคุณจากใจ
     
  6. baby dragon

    baby dragon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +8



    เกิดความสงสัย ขึ้นในจิตอีกนิดหนึ่ง อย่าเพิ่งรำคาญกันเลยนะที่สงสัยบ่อย
    ที่บอกว่า 1 ใน 2 องค์ที่จะได้พูดคุยกับพระพุทธองค์ในขณะที่ยังมีชีวิตและไม่ต้องผ่านการนั่งสมาธินั้น องค์นั้น ท่านจะมาเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ หรือ
    พระยาธรรมิกราช 1 ใน 2 ร่มโพธิ์ศรี
     
  7. ugudei

    ugudei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +254
    ในตอนนั้นติงไห่ซึ่งตาบอดหลงตัวเองว่าเป็นผู้วิเศษ สามารถสั่งฟ้าสั่งฝนรู้อนาคตได้
    ซึ่งมีอยู่ตอนหนึ่งไซมอนลองไปพบและท้าทายให้ติงไห่ขอให้ฝนตกตามเวลาที่กำหนด แต่ติงไห่ขอเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตก แต่ความจริงก็คือ เขาอาจสั่งฟ้าสั่งฝนได้จริงๆแต่เวลาคลาดเคลื่อนและฝนตกครบระยะเวลาตามที่ไซมอนกำหนด อาจเป็นเพราะว่าหนังจงใจทำให้คนดูลังเลจะเชื่อในปาฏิหาริย์ของติงไห่ เมื่อติงไห่ติดคุก เมื่อเข้าคุก ได้พบกับหลวงจีนกำลังเคาะปอกๆ ซึ่งเสียงดังน่ารำคาญจนตะโกนบอกผู้คุม ว่ามีคนเคาะไม้อยู่ห้องขังข้างๆ แต่ผู้คุมมาดูก็ไม่เห็นอะไร จึงคิดว่าติงไห่บ้าและคิดไปเอง แต่ในหนังมีบทหลวงจีนกำลังเคาะไม้จริง แต่พอติงไห่รำคาญมากๆเข้าก็เปลี่ยนจากการด่ามาเป็นการสนทนา หนังทำให้ทราบหลวงจีนดังกล่าวเป็นหลวงจีนกว่า หลายพันกว่าปีมาแล้วจากนั้นก็ตัดบท
    พอติงไห่ออกมาจากคุก ติงไห่ก็สามารถหาเงิน ได้หลายล้านภายในวันเดียวจากตลาดหุ้นทั้งๆที่ตาบอดและไม่มีเงินเลย ในเวลาเดียวกับฟางซินเสียก็สามารถหาเงินหลายล้านได้ภายในวันเดียวทั้งๆที่ไม่มีเงินเหมือนกัน ตอนจบทั้งคู่ร่วมสู้กับไซมอน
    ในตอนนั้นไซมอนน่าจะสื่อถึงนักเก็งกำไรที่คิดจะยึดครองโลกทั้งใบ และเป็นไปตามคาดไซมอนหมดตัว ติงไห่กับฟางซินเสียชนะ แต่ว่าติงไห่ต้องไปพูดกับไซมอนที่กำลังคลั่งไม่ให้ฆ่าลูกเลี้ยง จนทำให้โดนปืนยิงและตายในที่สุด
    เรื่องฉายเมื่อ ปี ค.ศ. 2000 ตอนวิกฤติต้มยำกุ้งพอดี
    มีลักษณะของติงไห่บางประการที่เหมือคนไทย คือ
    นับถือตรีมูรติ มีฉากทำพิธีไหว้ตรีมูรติเหมือนคนไทย แถมถูกแม่แช่งต่อหน้าตรีมูรติให้ไร้ลูกหลานสืบสกุล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2010
  8. ugudei

    ugudei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +254
    ลักษณะของฟางซินเสีย
    1.หน้าตาขี้เหร่ (หลิวจิงหวิน)
    2.อายุสามสิบกว่าๆ
    3.เชื่อถือโชคลาง
    4.เชื่อมั่นในตัวเองสูงแต่ถูกคนใกล้ตัวหลอกจนหมดตัว(เพื่อน)
    5.เมียตาย
    6.เมื่อหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างก็หมดอาลัยตายอยาก นอนในกล่อง
    กินคุกกี้กับน้ำประทังชีวิตไปวัน ทำตัวเหมือนยาจก
    7.แต่พอตอนหลัง เป็นพวกรับรู้อนาคตผ่านทางการสะกดจิต
    8.ควบคุมกระแสตลาดหุ้นจนหาเงินหลายล้านได้
    ลักษณะของติงไห่
    1.ชั่วและโลภ
    2.ทรัพย์สินได้มาจากการโกงคนอื่น
    3.แต่ก็ถูกลูกชายตนเองชื่อฟางซินเสียแก้แค้นผ่านตลาดหุ้น จนหมดตัว แทบเอาตัวไม่รอด
    4.เป็นผู้ถูกออกหมายจับ
    5.ตาบอด
    6.หลงตัวเองคิดว่าเป็นผู้วิเศษ จนเหมือนคนบ้า
    7.อยู่กับมารดา
    8.มีลูกเยอะแต่ก็ตายหมด ยกเว้นลูกที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนอย่างฟางซินเสีย
    9.สามารถควบคุมกระแสตลาดหุ้นได้เหมือนฟางซินเสีย
    10.ตอนหลังเหมือนคนบรรลุธรรมมีความสามารถรู้อนาคต โดยยอมเอาตัวเองเข้าขวาง
    ไซมอนเพราะรู้ว่าไซมอนคลั่งจะฆ่าลูกเลี้ยงตัวเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2010
  9. ugudei

    ugudei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +254
    จากเรื่องดังกล่าวทำให้ทราบว่า 1-2 ของ
    สามร่มโพธิศรี น่าจะเป็น พ่อลูกกัน ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ว่า
    พระเจ้าจักรพรรดิ มีขุนพลแก้วคู่ใจซึ่งเป็นลูกชาย
    คอยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่พระเจ้าจักรพรรดิ
     
  10. คนนะ

    คนนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +221
    ระวังโดนหลอกนะ .....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2010
  11. baby dragon

    baby dragon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +8
    ขออ้างอิงจาก คุณ สมภาพธรรม วันที่ 27/01/10
    หัวข้อ องค์พระศรีอริยเมตไตรยต้องบุรพกรรม


    เรื่องราวของพระศรีอาริย์ ท่านอาจารย์กรกล่าวว่า

    ".... พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปไม่ใช่พระศรีอาริยเมตตรัย คำๆนี้ เป็นคำกล่าวสรรเสริญมหาโพธิสัตว์ที่จะนำความเจริญมาสู่สามโลกด้วยธรรม ศิริ แปลว่า เจริญรุ่งเรือง อาริยะ หรือ อารยะ คือ ประเพณีหรือแบบแผนของชาวอริยะ หรือ อริยะประเพณี เมตตรัย นี้มาจากคำของพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา เป็นคำเก่าโบราณตั้งสมัยชาวสุเมเรียน ชาวบาบิโลนใช้สืบต่อกันมา

    รวมความแล้ว ศรีอาริยะเมตตรัย คือผู้ที่ประกอบด้วยเมตตาจิต กรุณาจิต มุทิตาจิตอันไม่มีประมาณนำซึ่งความเจริญมาสู่แก่สรรพสัตว์คืออริยะประเพณี มาบอกกล่าวอีกครั้ง

    คำๆนี้บ่งบอกสภาวะธรรม คุณธรรมของโพธิวัตว์ที่จะมา ไม่ใช่ชื่อของใคร แต่ก็มีโพธิสัตว์ชื่อนี้นะ ศิริอาริยะเมตตัยโพธิสัตว์ก็มี สิริอาระยะโพธิสัตว์ก็มี แต่สององค์นี้ยังอีกไกลกว่าจะได้ตรัสรู้

    พระยาธรรมิกราชดูได้ไม่ยาก ใครได้ครอบครองแก้วจักรพรรดิ์อันมาจากนภากาศ จากธรรมธาตุอีกจักรวาลหนึ่ง อันเป็นจักรวาลที่จะมอบรัตนะเจ็ดอย่างให้กับพระยาธรรมิกราชผู้นั้น และเป็นพระยาธรรมิกราชคนสุดท้ายที่จะมาบังเกิดอีก นานแสนนาน ตลอดจนถึงสรรพสัตว์รูปนามสุดท้ายหลุดพ้นวัฏฏสงสาร

    ใครครอบครองแก้วนี้ คนนั้นแหละคือพระยาธรรมิกราช และตอนนี้ แก้วจักรพรรดิ์ได้อยู่ที่โลกมนุษย์แล้ว ใครมีตาในก็หาดูเอา

    เรื่องราวของพระยาธรรมิกราชหยั่งรู้ได้ยาก แม้มหาโพธิสัตว์ที่มีญาณแก่กล้ายังไม่สามารถเข้าถึงได้เลย เพราะท่านมาทำหน้าที่หลายอย่าง หมุนธรรมจักรใหม่ เปลี่ยนแปลงระบบจักรวาลใหม่ ระบบของสามภพใหม่ แม้พระอินทร์ต้องให้ท่านให้พรเท่านั้นจึงจะทำหน้าดังเดิมได้ ไม่ใช่พระอินทร์ให้พรท่าน ดังที่หลายๆคนเข้าใจ

    บารมีธรรมของท่านยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ เอาบารมีธรรมพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์มารวมกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและต่อไปในอนาคตก็ไม่มีใครเสมอได้ ด้วยเหตุที่ท่านบำเพ็ญบารมีมาไม่ต่ำกว่าล้าน ล้าน ล้าน ล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆอสงไขยหลายแสนมหากัปป์ ยาวนานมาก เป็นผู้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ในโลกมนุษย์ไว้ให้ชม เที่ยวกันหลายอย่าง

    ไม่ว่าจะเป็นปิรามิดต่างๆที่อียิปต์ สฟิงส์ ถ้ำอชันต้า ถ้ำเอลโลร่า บุโรพุทโธ กำแพงเมืองจีน ผู้ให้กำเนิดภาษามนุษย์ ปฏิทินโหราศาสตร์ในสมัยชาวแอนตรากติก้า บาบิโลน สุเมเรียน เป็นนักปรารชญ์ชื่อดังในกรีก โรมันคือเพลโต

    เป็นปราชญ์ในจีนคือขงจื้อ และในธิเบตคือท่านมิลาเรปะ พระเจ้าอโศกมหาราช

    ผู้สร้างนครวัด นครธม ปราสาทเขาพนมรุ้ง พระพุทธชินราช พระแก้วมรกต พระศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในเมืองไทยให้เราได้กราบไหว้บูชา เป็นกษัตริย์ในยุคต่างๆ ในสมัยอาณาจักรน่านเจ้า อาณาจักรฟูนัน นครจัมปาศรี พ่อขุนรามคำแหง พระยาลิไท พระนารายณ์มหาราช

    หนึ่งในทหารเอกสี่คนของพระเจ้าตากสิน เป็นพระสหายของรัชกาลที่ ๕ ในทวีปยุโรปคือ ไกเซอร์วิลเฮมของเยอรมัน และเป็นผู้ปราบกลียุคในสามโลกมาตลอดเวลาตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์อสงไขยนับไม่ถ้วน

    ใครได้พบได้รู้ได้คุยกับท่านพระยาธรรมิกราชถือว่าเป็นบุญอันประเสริฐ ในโลกทิพย์ตอนนี้ได้พากันสร้างรูปเหมือนท่านเป้นที่กราบไหว้สักการะทุกภพภูมิ ยกเว้นในโลกมนุษย์ผู้มีจิตหยาบยังไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร

    เชื่อ ไม่ เชื่อ ให้พากันพิจารณาเอา ไม่ได้บังคับ สิ่งที่เรารู้ ไม่เหมือนคนอื่น และสิ่งที่รู้เป็นจริงเสมอในสภาวะธรรมจริงๆ....."<!-- google_ad_section_end -->



    ขออ้างอิงจากที่คุณสมภาพธรรมเคยได้บอกในกระทู้ไว้ ว่า คำว่าเมตไตร อาจไม่ใช่
    ชื่อของพระพุทธเจ้าก็ได้แต่เป็นคุณธรรมของท่านที่จะได้มาเป็นพระจักรพรรดิในยุคนี้

    ซึ่งพระรามโพธิสัตว์เจ้าในอดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นพระเจ้าอโศกมหาราชมาก่อนซึ่งค่อนข้าง
    ตรงกับที่ทางคุณสมภาพธรรมบอกไว้ แต่ ไม่ได้บอกว่าทางคุณสมภาพธรรมบอกว่าเป็นพระรามโพธิสัตว์นะ แต่ เป็นความรู้ที่ได้มาจากสภาวะธรรมเฉยๆ ซึ่งอาจจะไม่เหมือนใครเท่านั้นเอง
     
  12. baby dragon

    baby dragon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +8
     
  13. baby dragon

    baby dragon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +8
    เค้าก็แก้ได้ถูกนะ เป็นความหมายกิน 2 นัยย นัยยแรกพิจารณาตนเอง อีกนัยยนึงพิจารณาคนอื่น
     
  14. วัวใจดี

    วัวใจดี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +12
    กระทู้นี้ดีมากครับเพราะทำให้ผมตาสว่างขึ้นมาในทันทีทันใดว่าความงมงายมันไม่เข้าใครออกใคร ถ้าจำไม่ผิดคำว่าพุทธะแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไม่ใช่เหรอครับ เพราะฉะนั้น ตื่นได้แล้วครับ ขอเปรียบเทียบกับตัวเองหน่อยนะครับว่าปกติผมว่าผมนี่เพ้อเจ้อจินตนาการสูงแล้วแต่เข้ามาเจอกระทู้นี้เข้าไป กระทู้นี้เปรียบได้กับมหากาพย์เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ส่วนตัวผมมันก็เป็นได้แค่ หนูหิ่นอินเตอร์เท่านั้นเอง
     
  15. มารวิกะ

    มารวิกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +526
    เอาเป็นว่าถ้าใครเข้ามาอ่านแล้วรู้สึกไม่ดีไม่เห็นด้วยก็ควรปล่อยวางเสียดีกว่า ปฎิบัติตนตามแนวทางคำสอนของ พระพุทธองค์ เป็นหลักจะดีกว่า เรื่องที่แบบนี้ต้องใช้วิชาความรู้ที่
    พระพุทธเจ้าท่านให้ไว้ เป็นเครื่องพิสูจน์ดีที่สุด ถ้าทำได้แล้วก็ไปถามจากพระพุทธองค์
    เลยดีที่สุด ว่าจริงตามนี้มั้ย ก็เท่านี้เอง เป็นของไม่ยากเกินกำลังของเราๆท่านกันเลย
    ถ้ามีศีล ความเพียรที่เพียงพอ
     
  16. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    สวรรค์เท่านั้นที่รู้.........
     
  17. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    แก้วจักรพรรดิ

    แก้วจักรพรรดิ

    แก้วกายสิทธิ์ แก้วจักรพรรดิ์ ทรัพย์ ๒ อย่าง
    หลวงพ่อวัดปากน้ำเคยอธิบายว่า............ทรัพย์อันหมายถึงเครื่องปลื้มใจในโลกนี้แบ่ง
    ออกเป็น ๒ อย่างคือ สวิญญาณกทรัพย์ และ อวิญญาณกทรัพย์สวิญญาณกทรัพย์ คือ
    ทรัพย์ที่มีวิญญาณ หรือทรัพย์เป็นอวิญญาณกทรัพย์ คือ ทรัพย์ที่ไม่มีวิญญาณ หรือ
    ทรัพย์ตาย หลวงพ่อท่านให้อัตถาธิบายว่า สวิญญาณกทรัพย์ คือทรัพย์เป็นนั้น เป็น
    ทรัพย์ที่สำคัญยอดยิ่ง คนที่ไม่เข้าใจจะหลงหาสะสมแต่อวิญญาณกทรัพย์ คือทรัพย์ตาย
    ทรัพย์เป็นไม่หา ถ้าคนมีปัญญาจะไม่หาทรัพย์ตาย ทรัพย์เป็นที่สำคัญที่สุดคือตัวเราเอง
    ถ้าเราทำตัวของเราให้ดี มีวิชาความรู้ความสามารถจะเป็นที่พึงประสงค์ของคนทุกคน
    ใครเห็นก็อยากได้ไปอยู่ด้วย อยากจะได้เป็นพรรคเป็นพวกด้วย ถ้าเป็นหญิงก็ต้องมีวิชา
    ความรู้ของหญิง มีความสามารถรักษาตัวดี หญิงบางคนมีรูปสวยไม่มีใครเทียมทันจนเป็น
    ที่เลื่องลือ ขนาดพระเจ้าแผ่นดินยังต้องให้เสนาอำมาตย์ไปรับมาอภิเษกเป็นมเหสี เรียกว่า
    สวิญญาณกทรัพย์เกิดขึ้นในตัวเอง คนที่เขาจะรับผู้ใดไปร่วมสกุล ร่วมวงศ์วานเขาจึงต้องดู
    ให้รอบคอบ พิจารณาให้ละเอียดเพราะกลัวจะไปเจอคนชั่วเข้าคนที่มีลักษณะชั่วจึงไม่เป็น
    ที่พึงปรารถนาของผู้ใด เพราะกลัวจะไปทำให้ลูกหลานที่เกิดมาสืบลักษณะชั่วอีก เขาจะแสวง
    หาที่สวยกันทั้งนั้น ยิ่งสวยงามจนไม่ทีที่ติยิ่งเป็นที่นิยมชมชอบ ได้ชื่อว่าเป็นสวิญญาณก
    ทรัพย์แท้ ๆ ส่วน อวิญญาณกทรัพย์ คือทรัพย์ตาย เป็นเครื่องใช้สอยของสวิญญาณกทรัพย์
    คือมนุษย์นั่นเอง ทรัพย์ที่มนุษย์ใช้สอยไม่ว่าจะเป็นเงินทอง เรือกสวนไร่นา ตึกรามบ้านช่อง
    ล้วนเป็นอวิญญาณกทรัพย์ทั้งสิ้น ส่วนพวกสิ่งที่มีชีวิตต่าง ๆ ที่เป็นบริวารของมนุษย์ เช่น วัว
    ควาย ช้าง ม้า เป็ด ไก่ สุกร ข้าทาสบริวาร เหล่านี้ล้วนเป็นสวิญญาณกทรัพย์ แต่เป็นสวิญญาณ
    กทรัพย์จริง ๆ ก็คือตัวของตัวเอง การที่จะเป็นสวิญญาณกทรัพย์ชั้นดีหรือชั้นเลวนั้น ขึ้นอยู่กับ
    การทำตัวเราเอง ถ้ารู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น รู้จักสร้างตัวสร้างหลักฐาน รู้จักปรับปรุง
    แก้ไขตัวเอง ไม่ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม เรียกว่ารู้จักสร้างสวิญญาณกทรัพย์ ทรัพย์ที่ดีเกิดขึ้น
    ในตัวเอง ถ้าทำตัวไม่เป็นเรื่องเป็นราว เกียจคร้านเหลวไหล จัดเป็นสมบัติเลว คือเป็นสวิญญาณ
    กทรัพย์อย่างเลว ในสากลโลกนี้ เขาต้องการแต่สิ่งที่ดี ไม่ว่าจะเป็นสวิญญาณกทรัพย์หรือ
    อวิญญาณกทรัพย์ ทุกคนเขาต้องการแต่สิ่งดีเยี่ยม ทรัพย์ในโลกนี้ต้องคัดชนิดเนื้อเยี่ยมตั้งแต่
    เนื้อเงิน เนื้อทอง เนื้อเพชร เนื้อแก้ว ต้องคัดกันอย่างละเอียด ถึงแก้วสารพัดนึก แก้วกายสิทธิ์
    สิ่งที่จัดเป็นสวิญญาณกทรัพย์รัตนะ ๗ ประการมี ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว
    นางแก้ว จักรแก้ว แก้วมณี อันเป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ พระเจ้าจักรพรรดิมี ๓ ประเภท
    คือ -บรมจักร (จักรพรรดิอย่างสูง) -มหาจักร (จักรพรรดิอย่างกลาง) -จุลจักร (จักรพรรดิอย่างต่ำ)
    สมบัติเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นในโลกแล้วช่วยทำให้โลกเป็นสุข จัดเป็นสวิญญาณกทรัพย์แท้จริง
    ตามปกตินั้นเมื่อโลกได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ไม่มีความสงบสุข พระพุทธเจ้าจะอุบัติมา
    เป็นที่พึ่งของมนุษย์โลก ถ้ายุคนั้นไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง จะมีพระปัจเจกพุทธเจ้าแทน
    หากยุคนั้นว่างทั้งพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า พระเจ้าจักรพรรดิจะมาเกิดพร้อมรัตนะ
    ๗ ประการ เพื่อเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์ บรรเทาความทุกข์ยากเดือดร้อน ปราบปรามพวกมิจฉาทิฐิให้
    เบาบางลง ทำให้มวลมนุษย์ได้รับความสงบสุขขึ้น สวิญญาณกทรัพย์ ๗ ประการนี้ลึกซึ้งยิ่งนัก
    ดูเหมือนเป็นของตาย แต่ความจริงแล้วเป็นของเป็น เหาะเหิรเดินอากาศไปได้มาได้ ในโลก
    มนุษย์นี้และโลกอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่มีสวิญญาณกทรัพย์เหล่านี้ ไว้ใช้สอยทั้งนั้น จัดเป็นรัตนะ
    อันประณีตในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น คือ จาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานนรดี และปรนิม
    มิตวสวัตตี ทุกชั้นล้วนมีแก้วมณีทั้งสวิญญาณทรัพย์ และ อสวิญญาณกทรัพย์ทั้งสิ้น แก้วมณีที่
    เป็นอวิญญาณกทรัพย์ คือ ทรัพย์ตาย ได้แก่ เครื่องประดับตกแต่งวิมานแท่นที่นั่งที่นอน ล้วน
    แต่สวยสดงดงาม ประณีต เป็นของมีค่าที่เป็นสวิญญาณกทรัพย์ หรือทรัพย์เป็นได้แก่รัตนะ ๗
    ประการ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ทำให้มีแต่ความสุขกายสุขใจ ไม่มีความทุกข์ นอกจากสวรรค์ทั้ง ๖
    ชั้นแล้ว ในชั้นพรหมทั้ง ๑๑ ชั้น คือ พรหมปาริสัชชาภูมิ พรหมปุโรหิตาภูมิ มหาพรหมมาภูมิ
    ปริตตภาภูมิ อัปปมานาภูมิ อาภัสราภูมิ ปริตตสุภาภูมิ อัปปมานะสุภาภูมิ สุภกิณหาภูมิ เวหัปผลาภูมิ
    อสัญญีสัตตาภูมิ ก็ใช้รัตนะ ๗ ประการนี้เช่นกัน แต่รัตนะ ๗ ประการนี้ทั้งที่เป็น สวิญญาณกรัตนะ
    และ อวิญญาณกรัตนะ ก็หาเลิศประเสริฐไปกว่าพระพุทธเจ้าไม่ พุทธรัตนะเป็นรัตนะสูงสุด
    การที่เราได้ธรรมกายคือการเข้าถึง พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เรียกว่าตัวพระรัตนตรัย
    หรือแก้ววิเศษสุด ๓ ประการนั่นเอง รัตนะแปลว่าแก้ว ในที่นี้หมายถึงเอาแก้วอย่างประเสริฐ เช่น
    แก้วมณีโชติ ถึงนับถือกันว่าเป็นแก้วมีคุณวิเศษสูงสุด ใครมีไว้ย่อมชื่นชมโสมนัส อิ่มอกอิ่มใจยิ่งกว่า
    ทรัพย์สินอย่างอื่นทั้งหมดในโลก แก้วรัตนะตรัยนี้เหมือนกัน ผู้ใดเข้าถึงก็ย่อมอิ่มใจชื่นใจเช่นเดียวกัน
    ดังมีพระบาลีรับรองมาในรัตนะสูตรดังนี้

    ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา สัคเคสุ วายัง ระตะนัง ปะณีตัง นะโน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ อิทัมปิ
    พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัติถิ โหตุฯ

    รัตนะอันใดมีค่าอันเป็นเครื่องปลื้มใจในโลกนี้ หรือโลกอื่นก็ดี แก้วล้ำค่าอันใดที่ละเอียดอ่อนในสวรรค์
    ก็ดี สิ่งเหล่านี้จะประณีตเสมอด้วยพุทธรัตนะนั้นไม่มีเลย นี้แลเป็นความกายสิทธิ์ของดวงแก้วใน
    พระพุทธเจ้า ด้วยเดชะวาจานี้ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดขึ้น พุทธรัตนะนี้มีสัณฐานเหมือนพระปฏิมากร
    เกตุดอกบัวตูมขาวใส เป็นแก้วมีรัศมีขาวใสประดุจเพชรน้ำดีไม่มีที่ติ ดวงธรรมที่มีลักษณะกลมใสบริสุทธิ์
    ใสสว่างดุจแก้วมณีโชติ ที่ศูนย์กลางกายพุทธรัตนะนั้นคือธรรมรัตนะ พุทธรัตนะนั้นคือธรรมกาย
    ธรรมรัตนะคือดวงธรรม ส่วนธรรมกายละเอียดที่อยู่กลางดวงธรรมนั้นคือสังฆรัตนะเป็นแก้วใสสว่าง
    แก้วทั้งสามองค์รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย แก้ววิเศษ ๓ ประการนี้ใครได้เข้าถึงเป็นเจ้าของจะมีแต่ความสุขใจ อันใดเปรียบไม่ได้เลย เป็นของวิเศษสุดในโลก เป็นสุดยอดของมนุษย์ทุกคนที่พยายามหาหนทางเข้าถึงพระรัตนตรัยนี้


    อ้างอิงhttp://www.navagaprom.com/oldsite/book.php?id=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2010
  18. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    กายสิทธิ์คืออะไร

    โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านครับ

    กายสิทธิ์คืออะไร

    กายสิทธ์ คืออะไร?มีความสำคัญต่อการเจริญวิชชาธรรมกายอย่างไร? กายสิทธิ์ในวิชชาธรรมกาย เรียกว่า ภาคผู้เลี้ยงมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงมนุษย์ มีหน้าที่เลี้ยงดูพิทักษ์รักษาพวกกายมนุษย์ พวกกายสิทธิ์มีรูปร่างคล้ายพระ พุทธรูปทรงเครื่อง มีดวงแก้วเป็นเรือนอาศัย กล่าวโดยย่อ มี ๓ ขั้น คือ
    ๑. จุลจักร พร้อมทั้งบริวารมีหนาที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ ที่มีบารมีอย่างต่ำ
    ๒. มหาจักร พร้อมทั้งบริวารมีหน้าที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ ที่มีบารมีชั้นกลาง
    ๓. บรมจักร พร้อมทั้งบริวารมีหน้าที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ ที่มีบารมีชั้น สูงมนุษย์คนหนึ่ง ๆ มีจักรพรรดิทั้ง ๓ พร้อมบริวารชุดหนึ่ง ๆ เป็นผู้เลี้ยง และอาจผลัดเปลี่ยนกันรักษาไปตามคราว ๆ เป็นต้นว่า... คราวใดจุลจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาก็มีทรัพย์สมบัติ และความสุขน้อย คราวใดมหาจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาก็มีทรัพย์สมบัติ และความสุขมัชฌิมา คราวใดบรมจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา ก็มีสมบัติ และความสุขบริบูรณ์ทุกประการไม่เลี้ยงรักษาแต่เฉพาะกายมนุษย์เท่านั้น สิ่งไม่มีวิญญาณก็สมบูรณ์เหมือนกัน

    ถึงแม้สมัยยุคของโลกก็เลี้ยงทั่วไปเป็นสาธารณะเหมือนกันถ้ายุคใดสมัยใด จุลจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาโลกก็มีความสุขน้อย สมบัติและอาชีพต่าง ๆ ก็อัตคัดกันดารไม่สมบูรณ์ถ้ายุคใดสมัยใด มหาจักร กับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็มีความสุข เป็นมัชฌิมาทรัพย์สมบัติและเครื่องกินเครื่องใช้ก็พอปานกลาง ไม่ฟุ่มเฟือยนัก และ ไม่กันดารนัก พอปานกลางถ้ายุคสมัยใด บรมจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็บริบูรณ์ไปด้วยความ สุขทุกประการ ทรัพย์สมบัติ วิญญาณกทรัพย์ และอวิญญาณกทรัพย์ก็หาได้ง่าย มั่งคั่งสมบูรณ์ไปตาม ๆ กัน ไม่เบียดเบียนกัน จักรทั้ง ๓ กับบริวารที่กล่าวมานี้ เฉพาะกายมนุษย์ส่วนกายอื่น ๆ ก็มีจักรทั้ง ๓ กับบริวารเลี้ยงรักษามีประจำสำหรับทุกกายไปตลอดจนกายสุดหยาบ สุดละเอียดเท่ากันเหมือนกัน ถ้าเลี้ยงกายไหน รูปพรรณสัณฐาน ร่างกายก็เหมือนกายนั้น เช่นจักรเลี้ยงกายมนุษย์และกายทิพย์ เลี้ยงกายปฐมวิญญาณหยาบ เลี้ยง กายปฐมวิญญาณละเอียด เลี้ยงกายธรรมเป็นต้นก็มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนกับกายนั้น ๆ แต่ทว่าดีกว่า ใสกว่ากายนั้น ๆ ส่วนรูปร่างเหมือนกับกายที่เลี้ยงนั้น ตลอดจนกายสุดหยาบสุดละเอียด

    จักรทั้ง ๓ นั้น เหตุใดจึงเรียกนามว่า จักร คือ กายสิทธิ์มีตัวอยู่ในดวงแก้ว ดวงแก้วนั้นเป็นบ้านเรือนสำหรับอยู่อาศัยของเขา เหมือนมนุษย์อาศัยอยู่บ้านเรือน ภายในดวงแก้วนั้นมีรัตนะเจ็ด คือ
    แก้ว ๗ ประการ ดังต่อไปนี้ จักรแก้ว ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ ดวงแก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑ คฤหบดี (ขุนคลัง) แก้ว ๑ ขุนพลแก้ว
    ๑ในแก้ว ๗ ประการนี้ จักรแก้วเป็นใหญ่ เป็นประธานในแก้ว ๗ ประการ ทั้งหลายเหล่านั้น ในแก้ว ๗ ประการ เป็นตัวอำนาจมีสิทธิให้สำเร็จ อำนาจและเกิดการน้อยใหญ่ ดุจดังมหาอำมาตย์ผู้ใหญ่ เป็นผู้สำเร็จราชการทั้งปวง เพราะเหตุนี้แหละ จักรทั้ง ๓ นั้นจึงได้นามว่า “จักร”ความแตกต่างกันของจักรทั้ง ๓ นั้นคือ จุลจักร เป็นดวงแก้วกลมใส สะอาด บริสุทธิ์ ประณีต มีฤทธิ์อำนาจและบริวารน้อยกว่าแก้วมหาจักรมหาจักร เป็นดวงแก้วกลมใส สะอาดบริสุทธิ์ ประณีตกว่าจุลจักร มีฤทธิ์อำนาจบริวารมากกว่าจุลจักรบรมจักร เป็นดวงแก้วกลมใส ขาวสะอาดบริสุทธิ์ประณีตกว่าแก้วมหาจักร มีฤทธิ์อำนาจและบริวารมากกว่าจุลจักรและมหาจักร กายหนึ่ง ๆ ก็มีจุลจักร มหาจักร บรมจักร พร้อมทั้งบริวารเป็นผู้เลี้ยง มีประจำไปเช่นนี้ทุกกาย กายละพวก ๆ จนสุดหยาบสุดละเอียด ผู้เลี้ยงก็มีไปจนสุดหยาบสุดละเอียดของกายผู้เลี้ยงเหมือนกันขนาดของจักรทั้ง ๓ กับแก้วบริวาร คือ๑) แก้วจุลจักร และบริวาร ขนาดตั้งแต่เล็กเท่าแววตาดำขึ้นไป จนถึงโตเท่าผลมะตูม หรือผลมะขวิด๒) แก้วมหาจักร และบริวาร ขนาดผลตาลขึ้นไปจนถึงผลมะพร้าวแห้ง๓) แก้วบรมจักร และบริวาร ขนาดตั้งแต่เท่าบาตรขึ้นไปจนถึงโตเท่าตะแกรงหรือเท่ากระด้งพวกผู้เลี้ยงหรือที่เรียกว่า พวกกายสิทธิ์นี้ ก็มีธาตุตายธรรมตาย เป็นต้นว่า ภพเป็นที่อยู่เหมือนกับพวกมนุษย์เช่นเดียวกันธาตุเป็น ธรรมเป็น ก็มีเหมือนกายมนุษย์ คือ มีกาย ใจ จิต วิญญาณ รวมเป็น ๔ อันเป็นที่ตั้งของเห็นจำคิดรู้ มีธาตุคือ ธาตุเห็น ธาตุจำ ธาตุคิด ธาตุรู้ รวมเป็น ๔ และมีดวงคือ ดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด ดวงรู้ อีก ๔ รวมเป็น ธาตุ ๑๒ ธรรม ๑๒ (ที่กล่าวมานี้ ปรากฏอยู่ใน หนังสือวิชชามรรคผลพิสดาร เล่ม ๒ ของหลวงพ่อวัดปากน้ำซึ่งเป็นตำราวิชชาธรรมกายขั้นสูง)และยังมีกล่าวถึงเรื่อง แก้วกายสิทธิ์ ในหนังสือมรรคผลพิสดาร วิชชาธรรมกายชั้นสูง เล่ม ๑ ของหลวงพ่อมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ) หน้า ๕๖ ลำดับที่ ๓๓ ดังนี้.....นิพพานปรุงแต่งขึ้นด้วยธาตุธรรม แก้วกายสิทธิ์ใสสว่างไปด้วย แก้วกายสิทธิ์ พื้นและอากาศเบื้องบน และข้างขวาซ้าย ภายในนิพพานนั้นสำเร็จไปด้วยแก้วกายสิทธิ์ทั้งนั้น นิพพานมีลักษณะสัณฐานกลมดังลูกกระสุน (หรือดวงแก้ว) รอบนอกก้อนกลมนั้นเป็นอากาศว่างสะอาดและละเอียดบริสุทธิ์ ก้อนกลมนั้น ลอยอยู่กับอากาศมีอากาศที่ละเอียดสะอาดรองรับอยู่ ภายในก้อนกลมนั้นเป็นเมืองนิพพาน เป็นที่เสด็จอยู่ของพระพุทธเจ้า และพระอรหันตขีณาสพทั้งหลาย มากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง ๔ พื้นว่าง และอากาศเป็นพื้นเบื้องบนและอากาศที่เป็นพื้นข้างขวา ข้างซ้าย ภายในก้อนกลมนั้นสำเร็จไปด้วยแก้วกายสิทธิ์ทั้งนั้น มีพระพุทธเจ้านั่งเป็นแถวเรียงกันไปสุดหู สุดตาจะนับ จะประมาณมิได้ มีขนาดองศาเท่า ๆ กัน เกตุดอกบัวตูมเป็นแก้วขาวใส หน้าตักกว้าง ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เท่ากันที่เป็นพระพุทธเจ้า เนื้อแก้วก็ใสสะอาด เนื้อแก้วละเอียดก็มีน้ำดี เป็นเพชรชั้นที่หนึ่ง มีแก้วอ่อนกว่ากันเป็นชั้น ๆ ที่เป็นพระสาวกและพระสาวิกา เนื้อแก้วก็ใสละเอียดลงมากกว่าพระพุทธเจ้า เป็นเพชรน้ำที่รอง ๆ กันลงมา และมีแก่อ่อนกว่ากันเป็นชั้น ๆ ตามบารมีแก่อ่อนกว่ากัน หรือตามธาตุอ่อนธาตุแก่กว่ากัน ดูภพ ๓ คือ อรูปพรหมนั้นเป็นรูปอยู่ภายในดวงแก้ว หน้าตักกว่า ๑ คืบ สูง ๑ ศอก นั่งอยู่ภายในดวงแก้วกลม ๆ หุ้มห่ออยู่ ตั้งเป็นแถวเป็นแนว เรียงรายไปสุดหูสุดตาเต็มไปหมดภพทั้ง ๓ คือ อรูปพรหม รูปพรหม กามภพ มีอรูปพรหมเป็นสุดเบื้องบน มีอเวจีนรกเป็นที่สุดเบื้องล่างของภพทั้ง ๓ อรูปพรหมนั้นตั้งลอยอยู่บนอากาศปรุงแต่งขึ้นด้วยธาตุธรรมเป็นแก้วกายสิทธิ์เหมือนกันแต่หยาบกว่าชั้นนิพพานลงมาตามชั้น พื้นเบื้องล่าง และอากาศเบื้องบน เบื้องขวา เบื้องซ้ายของอรูปพรหมนั้น สำเร็จด้วยแก้วกายสิทธิ์ แต่หยาบกว่าชั้นนิพพานมาก อรูปพรหมอีก ๓ ชั้น ต่ำลงมากเช่นเดียวกัน แต่หยาบลงมาเป็นชั้น ๆ ทุกทีตลอดลงมาถึงชั้นรูปพรหม ๑๖ ชั้น ไปจนถึงสวรรค์ ๖ ชั้น และชั้นมนุษย์ ฯลฯ (จากหนังสือมรรค ผลพิสดาร เล่ม ๑ หน้า ๖๒ ของหลวงพ่อวัดปากน้ำกล่าวไว้อีกว่า.......)ส่วนของกายสิทธิ์นั้นเหมือนเปลือกหุ้มอยู่ชั้นนอกของศูนย์สิ่งนั้น ๆ คือ ในศูนย์ของศูนย์ภพของศูนย์นิพพาน ในศูนย์ของภพ ๓ ในศูนย์ของโลกันต์ ในศูนย์ของกายนั้นนี่ดูส่วนของกายสิทธิ์ แต่คงมีคู่กันไปทุกอย่าง ส่วนนอกเป็นของมนุษย์ส่วนในซ้อนอยู่ข้างในเป็นของกายสิทธิ์ เช่นภพนอกเป็นภพของมนุษย์ ภพที่ซ้อนอยู่ชั้นในเป็นภพของกายสิทธิ์ มีเปลือกส่วนหนึ่ง มีเนื้อส่วนหนึ่งหุ้มซ้อนกันอยู่มีคู่กันไปเช่นนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างคู่กันตลอดไปจนสุดหยาบสุดละเอียดเหมือนของกายมนุษย์มีสิ่งไร ไปมากเท่าใดของกายสิทธิ์ซึ่งเรียกว่าผู้เลี้ยงมนุษย์ ก็มีไปเท่าจำนวนของมนุษย์คู่กันไปเท่านั้นเหมือนกัน เพราะกายสิทธิ์เลี้ยงรักษา, ที่กายสิทธิ์นั้นคือได้แก่ จักรแก้ว ๓ จำพวก๑) จุลจักร มีฤทธิ์และมีอำนาจเดชาศักดานุภาพอย่างต่ำ มีแก้วกายสิทธ์เป็นบริวารอเนกอนันตัง เป็นคนรับใช้สอยของแก้วมหาจักรและบรมจักร ซึ่งมีอำนาจเหนือขึ้นไป มีหน้าที่ดูแล เลี้ยง และรักษามนุษย์ให้สมบัติเกิด และให้ความสุขความเจริญแก่หมู่มนุษย์ ป้องกันสรรพสัตว์อันตรายต่าง ๆ บันดาลให้อาหารเครื่องบริโภค และเครื่องอุปโภค เครื่องใช้สอยต่าง ๆ ให้บังเกิดขึ้น เป็นความสุขแก่หมู่มนุษย์ และคอยพิทักษ์ป้องกันรักษา และทรัพย์สมบัติของของหมู่มนุษย์ไม่ให้เป็นอันตราย๒) มหาจักร มีฤทธิ์อำนาจมีเดชานุภาพมากกว่า สูงกว่าจุลจักร มีแก้วกายสิทธิ์ชั้นนี้เป็นบริวารอเนก อนันตัง อปริมาณัง เหลือที่จะนับจะประมาณได้ มีอำนาจเหนือจุลจักร แต่เป็นผู้รับใช้สอยของแก้วบรมจักร และมีอำนาจใช้สอยแก้วจุลจักร พร้อมทั้งบริวารของแก้วจุลจักร เป็นผู้มีหน้าที่เลี้ยงและรักษาดูแล ให้สมบัติและความสุขความเจริญพร้อม อาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค และเครื่องใช้สอย เครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ นานาแก่มนุษย์ ป้องกันภัยอันตราย โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นานา ไม่ให้เบียดเบียนแก่หมู่มนุษย์ คอยพิทักษ์รักษาแก่หมู่มนุษย์ และทรัพย์สมบัติของหมู่มนุษย์ไม่ให้เป็นอันตรายเช่นเดียวกันกับแก้วจุลจักร แต่ว่าทำหน้าที่ประณีตกว่า ละเอียดกว่า สูงกว่า ดียิ่งขึ้นไปกว่า ประเสริฐกว่าแก้วจุลจักร๓) บรมจักร มีพระบรมเดชาศักดานุภาพและมีฤทธิ์มีอำนาจใหญ่ยิ่งสูงสุดกว่า จุลจักรและมหาจักร มีแก้วกายสิทธิ์ชั้นบรมจักรนี้เป็นบริวารอเนกอนันตัง ปริมาณังเหลือที่จะนับจะประมาณได้ มีอำนาจเหนือ และเป็นผู้บังคับบัญชาใช้สอยจุลจักร,มหาจักรพร้อมทั้งบริวารจุลจักร มหาจักรด้วย เป็นผู้มีหน้าทีเลี้ยงและรักษาดูแล ให้สมบัติและความสุขความเจริญ พร้อมด้วยอาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค เครื่องใช้สอย เครื่องอุปกรณ์ความสุขต่าง ๆ นานา ไม่ให้เบียดเบียนหมู่มนุษย์ คอยพิทักษ์รักษาดูแลหมู่มนุษย์ และทรัพย์สมบัติของมนุษย์ไม่ให้เป็นอันตราย คอยให้ความสุข ป้องกันความทุกข์ต่าง ๆ ของมนุษย์เช่นเดียวกันกับแก้วจุลจักรและมหาจักร แต่ทว่าทำหน้าที่ประณีตกว่า อุดมกว่า สูงสุดกว่าละเอียดกว่าเลิศประเสริฐกว่า ยิ่งใหญ่กว่าแก้วจุลจักรและแก้วมหาจักรทั้ง ๒ ประการนั้น จักรทั้ง ๓ ประการนี้เป็นผู้มีหน้าที่เลี้ยงและคอยรักษามนุษย์เฉพาะภพหนึ่ง ๆ ถ้ามนุษย์ก็จักรทั้ง ๓ นี้เลี้ยงดูด้วยสมบัติมนุษย์ ถ้ากายทิพย์ กายปฐมวิญญาณหยาบ-ละเอียดก็มีจักรกายละ ๓ จักรรักษา เลี้ยงด้วยสมบัติละเอียดอันเป็นส่วนสมบัติทิพย์ สรุปความว่า กายสุดหยาบสุดละเอียดของกายทุก ๆ กาย มีจักรรักษาอยู่กายละ ๓ จักรเหมือนกันหมด แก้ว ๓ ประการนี้เป็นผู้เลี้ยงรักษาด้วยสมบัติหยาบละเอียดตามขั้นของกายทั่วไปทุกกายไม่เว้นเลย เรียกว่าสมบัติมนุษย์และสมบัติทิพย์ ก็คือแก้ว ๓ ประการนี้เองเป็นผู้ให้สมบัติ ส่วนสมบัตินิพพานนั้นก็มี แก้วกายสิทธิ์อย่างละเอียดเป็นผู้แต่งสมบัติในนิพานอีกเหมือนกันคือ ๑) แก้วจุลพุทธจักร ๒) แก้วมหาพุทธจักร ๓) แก้วบรมพุทธจักรจักร ๓ ประการนี้ เป็นผู้แต่งสมบัติอันประณีตในส่วนนิพพาน ให้พระพุทธเจ้าและพระอรหันตขีณาสพทั้งหลายเป็นบรมสุขอยู่ด้วยทิพยโอชารสาหารอันประณีต สุขุมซึมซาบเอิบอาบปนอยู่ในไส้ และเป็นบรมสุขอันสุขุมประณีตอยู่ด้วยคุณสมบัติในนิพพาน ซึมซาบเอิบอาบปนเป็น อยู่ในพระองค์ละเอียดสุขุมยิ่งนัก เป็นบรมสุข แสนสุขชั่วนิรันดร ไม่มีกาล ไม่มีระหว่าง เพราะพุทธจักร แก้วทั้ง ๓ ประการนั้นเป็นผู้แต่งสมบัติในนิพพานให้เป็นบรมแสนสุข จักรทั้ง ๑๕ ประการเหล่านี้ คือ ๑) จุลจักร สำหรับกาย ๔ กาย คือ มนุษย์ ทิพย์ ปฐมวิญญาณหยาบ ปฐมวิญญาณละเอียด ๒) มหาจักร สำหรับกาย ๔ กายคือ มนุษย์ ทิพย์ ปฐมวิญญาณหยาบ วิญญาณละเอียด๓) บรมจักร สำหรับ ๔กายคือ มนุษย์ ทิพย์ ปฐมวิญญาณหยาบ ปฐมวิญญาณละเอียดรวมเป็น ๑๒ จักรด้วยกันกับอีก ๓ พุทธจักร คือ ๑) จุลพุทธจักร สำหรับพระนิพพาน๒) มหาพุทธจักร สำหรับพระนิพพาน๓) บรมพุทธจักร สำหรับพระนิพพานรวมเป็น ๑๕ จักร ภพหนึ่งก็มีจักร ๑๕ ประการนี้..........................และในหนังสือ มรรคผลพิสดาร เล่มที่ ๑ หน้า๕๓ ได้กล่าวไว้ในลำดับที่ ๓๑ ว่าสมบัติ ๓ ประการ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติสมบัติ ๓ ประการนี้เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็อยากได้ยิ่งนัก เพราะอำนวยความสุขให้สมใจหวังทุกอย่าง ฉะนั้น มนุษย์เราทำบุญกุศลต่าง ๆ จึงได้ตั้งปณิธานความปรารถนากันนักว่าขอให้ได้สมบัติ ๓ ประการนี้คือ สมบัติมนุษย์ สมบัติสวรรค์ สมบัตินิพพานสมบัติมนุษย์คืออะไร ? ก็คือ ๑. แก้วจุลจักร ๒. แก้วมหาจักร ๓. แก้วบรมจักรสมบัติสวรรค์คืออะไร ? ก็คือ ๑. แก้วจุลทิพย์จักร ๒. แก้วมหาทิพย์จักร ๓. แก้วบรมทิพย์จักร สมบัตินิพพานคืออะไร ? ก็คือ ๑. แก้วจุลพุทธจักร ๒. แก้วมหาพุทธจักร ๓. แก้วบรมพุทธจักรสมบัติทั้ง ๓ ประการนี้แหละ เป็นยอดสมบัติทั้งปวง ในหนังสือ คู่มือสมภาร ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ สั่งให้เรียบเรียงขึ้นเป็นคู่มือแก่ผู้ปฏิบัติธรรม วิชชาธรรมกาย ได้กล่าวไว้ในลำดับที่ ๑๔ ว่า........... “ดูกายสิทธิ์ในดวงแก้ว” ให้เอาดวงแก้วที่ถืออยู่ในมือนั้น เข้าไปไว้ในสุดละเอียด (ศูนย์กลางกาย) หยุดนิ่งอยู่ในกลางดวงแก้ว ขยายให้ดวงแก้วนั้นโตขึ้น ก็จะแลเห็นกายที่อยู่ในดวงแก้วนั้นได้ถนัด เมื่อต้องการจะรู้ด้วยเรื่องอะไร ก็ถามได้จากกายที่อยู่ในนั้นได้ กายนี้เองที่เรียกว่า “กายสิทธิ์” กายสิทธิ์มีคุณค่าหรือความสำคัญต่อวิชชาธรรมกายอย่างไร คำตอบ มีคุณค่ามีคุณประโยชน์มหาศาล อเนกอนันตัง นับแต่เริ่มปฏิบัติธรรมโดยใช้ดวงแก้วกายสิทธิ์กลมใสมาเป็นนิมิต เจริญภาวนาจนได้บรรลุธรรมถึงธรรมกายและเมื่อถึงธรรมกายแล้ว ก็ต้องเจริญวิชชาธรรมกายขั้นสูง ๆ และใช้กายสิทธิ์ร่วมทำวิชชาขั้นสูงดังจะขอยกตัวอย่างดังต่อไปนี้ .... (จากหนังสือมรรคผลพิสดาร เล่ม ๒ ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ) “สิทธิและอำนาจ” สิทธิและอำนาจทั้งสองอย่างนี้ต่างกัน สิทธิหมายถึงได้สิทธิในสิ่งนั้น ๆ บริบูรณ์เต็มที่ เช่นได้สิทธิเป็นกษัตริย์ ได้สิทธิเป็นจักรพรรดิ ได้สิทธิเป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นผู้มีสิทธิในเรือกสวนไร่นาของตน มีสิทธิปกครองสิทธิ์ขาดแต่ไรอำนาจของตนก็มีสิทธิไปแค่นั้น วิธีแสวงหาสิทธิทางโลก ต้องใช้วิธีต่าง ๆ นา ๆ ตลอดจนถึงเบียดเบียนรบราฆ่าฟันกันเป็นพวก ๆ ใช้ศัสตราวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เข้าประหัตประหารกัน เพื่อแย่งสิทธิกันนั่นเอง เพราะชาติใดพวกใดได้สิทธิขยายเขตออกไปมากแค่ไร อำนาจการปกครองขยายส่วนไปแค่นั้นตามสิทธิ ส่วนการแสวงหาสิทธิในทางธรรมนั้น ไม่ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ประหัตประหารกันเช่นนั้น ใช้สมาธิจิต หรือจิตตานุภาพที่หยุดนิ่งจนละเอียดไม่มีที่สิ้นสุดที่เรียกว่า “อนัตตญาโน” นับเป็นเครื่องหาสิทธิของเขามา คือ เอากายทั้งหมดทุกกายตลอดวงศ์สายขาว, วงศ์สายกลาง, วงศ์สายดำ ทั้งเถาชุดชั้นตอนภาคพืด มาซ้อนสับทับทวีเข้าในกายมนุษย์ กลั่นให้ใสสะอาดดี แล้วเอาจุลจักรกับพวกบริวารพร้อมด้วยสมบัติรัตนะ ๗ ประการ และมหาจักรกับพวกบริวารพร้อมด้วยสมบัติรัตนะ ๗ ประการ ของทุก ๆ กาย ตลอดวงศ์สายขาว สายกลาง ทั้งกายเถาชุดชั้นตอนภาคพืดลงมาซ้อนในรัตนะ ๗ ประการ นั้นทั้ง ๗ อย่าง หรือเฉพาะอย่างเดียวก็ได้ คือเมื่อเอารัตนะอย่างหนึ่ง อีก ๖ อย่างก็รวมในจักรแก้วหมดนั้นทุกอย่าง หรือจะไม่รวมเฉพาะอย่างให้คงอยู่เป็นสัตตรัตนะอยู่ครบทั้ง ๗ก็ได้ สุดแท้แต่จะต้องการ แล้วกลั่นให้ใสสะอาดทั้ง ๗ แล้วเอามือขวาของกายมนุษย์ถือจักร มือซ้ายถือดวงแก้วส่วนรัตนะอีก ๕ อย่างนั้น เอาเข้าในกายมนุษย์ กลั่นให้กายใสเป็นแก้ว นี้เป็นการยืนพื้นไว้มูลเดิม แล้วพิสดารรัตนะ ๗ ออกไปตามแต่ต้องการจะใช้เมื่อกายมนุษย์นี้ มือขวาถือจักรแก้ว มือซ้ายถือดวงแก้วมณีโชติ และแก้วอีก ๕ นั้น กลั่นเข้าในกายมนุษย์จนใสสะอาดบริสุทธิ์ดีแล้ว จึงเดินเครื่องเข้าไปในหัวใจเครื่องของสิทธิร้อยไส้ หัวใจ เครื่องสิทธิเข้าไป เป็นลำดับ ๆ ไม่ถอยหลังกลับ ละเอียดเข้าไป แก่เข้าไปทุกที เข้าไป ในหัวใจเครื่องของทะเลสิทธิ ของเหตุทะเล ในเหตุทะเลสิทธิ ละเอียดหนักเข้าไปไม่ถอยหลังกลับ แก่เข้าไปเท่าไร ละเอียดเข้าไปเท่าไรร้อยไส้เครื่องสิทธิเข้าไปได้เท่าไร ก็ชื่อว่าได้ธาตุธรรมเป็นสิทธิเท่านั้น ๆ และได้อำนาจปกครองบังคับธาตุธรรมได้แค่นั้น ๆ เหมือนพระมหากษัตริย์รบได้อาณาเขตออกไปเท่าไรก็ได้อำนาจปกครองเท่านั้น ๆ ทำไปเช่นนี้เป็นลำดับ ๆ จนกว่าจะยึดสิทธิในธาตุธรรมได้ทั้งหมด ถ้ายึดสิทธิธาตุธรรมได้ทั้งหมดแล้ว ก็เอาแก้วบรมพุทธจักรสูงสุดมาใช้ได้ เมื่อใช้บรมพุทธจักรสูงสุดมาใช้ได้ เมื่อใช้บรมพุทธจักรสูงสุดได้แล้ว ก็มีอำนาจบังคับให้เกิดบุญศักดิ์สิทธิ์ และบังคับบาปศักดิ์สิทธิ์ได้สมใจนึก เพราะฉะนั้น วิชชา (วิชชาการสะสางธาตุธรรม) นี้ พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ) อุตส่าห์พยายามยิ่งนักทุกคืนวันเป็นเวลา ๑๑ ปีเศษ เพื่อจะยึดสิทธิมาสร้างความสุขให้แก่สัตว์โลกทั่วไปตลอดทั้งแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล ทั้งสิ้นโดยไม่ถอยหลังกลับ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตขีณาสพ ทั้งหลาย สร้างบารมีองค์ละมาก ๆ นับด้วยอสงไขยก็เพื่อจะยึดสิทธินี้เอง เพราะสิทธิเป็นตัวสำเร็จ สิทธิทางโลกยึดได้ด้วยกำลัง ศัสตราวุธ ส่วนสิทธิทางธรรมยึดได้ด้วยบารมีเท่านั้น นอกจากบารมีแล้วยึดไม่ได้บารมีนั้นมี ๓๐ ประการคือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี รวมเป็น ๑๐ เมื่อบารมีแก่กล้าขึ้นเต็มส่วน ก็จะกลั่นตัวเองเป็นอุปบารมีอีก ๑๐ และเมื่ออุปบารมีแก่กล้าขึ้นเต็มส่วนก็จะกลั่นตัวเองเป็นปรมัตถบารมีอีก ๑๐ รวมเป็น ๓๐ ประการ รัศมีนั้นก็มาจากบารมี ๓๐ นั่นเอง แต่กลั่นเป็นแสงสว่าง รุ่งโรจน์โชติช่วงขึ้นเป็นรัศมีสว่างกำลัง คือ ความแรง และความแก่กล้าของบารมี ๓๐ นั้น แรงกล้าขึ้นฤทธิ์ คือ สำเร็จผลของบารมี ๓๐ นั้น คือตัวยึดสิทธินั่นเอง ทั้งบารมี, รัศมี, กำลัง, ฤทธิ์, เหล่านี้ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตขีณาสพเจ้าทั้งหลาย ตลอดจนถึงพระอริยสาวก และปุถุชนทั้งสิ้น ได้ก่อสร้างบำเพ็ญมานับชาติไม่ถ้วน เป้าหมายแห่งจุดประสงค์นี้ ก็เพื่อจะเป็นกำลังให้มากจนกว่าจะพอการยึดสิทธิได้สำเร็จผลนั่นเอง เหมือนชาวโลกตระเตรียมกำลังพลรบบ้าง อาหารบ้าง ศัสตราวุธบ้าง เพื่อรบเอาดินแดนเป็นสิทธิของพวกตนจนสำเร็จผลนั้นเอง ฯลฯ

    คัดลอกจากhttp://www.navagaprom.com/oldsite/book.php?id=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2010
  19. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ความลับของดวงแก้ว

    โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านครับ
    ****************************

    ความลับและความสำคัญยิ่งของดวงแก้ว
    กายสิทธิ์-จักรพรรดิ

    ดวงแก้วกลมใสบริสุทธิ์ที่เจียระไนจากหินแก้วบริสุทธิ์ที่มี
    ขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางเกิน ๓ นิ้วขึ้นไปนั้นมีคุณค่าต่อการ
    ทำวิชชาธรรมกายขั้นสูงอย่างสำคัญยิ่ง เพราะดวงแก้วขนาด
    ใหญ่เกิน ๓ นิ้วนี้ จึงจะมีกำลังฤทธิ์แรง ช่วยในการเดินวิชชา
    ธรรมกายได้เร็วมีพลังขึ้น และดวงแก้วใสขนาดใหญ่ ที่ใส
    บริสุทธิ์นี้เมื่อนำมาเดินวิชชาธรรมกายขั้นสูงแล้วจะมีอานุภาพ
    ยิ่งนัก
    ๑. เช่นช่วยในการเชื่อมสายสมบัติบันดาลให้เกิดสมบัติต่าง ๆ
    ใช้ในการคำนวณผังอุดมสมบูรณ์พูนสุข เช่นในสมัยหลวงพ่อ
    วัดปากน้ำ ในสมัยนั้นมีพระ เณร แม่ชี ศิษย์วัดรวมนับเป็นพัน
    ชีวิต หลวงพ่อต้องรับภาระเลี้ยงดูตั้งโรงครัวเลี้ยง ซึ่งท่านก็
    ได้อาศัยดวงแก้วกลมใสขนาดใหญ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
    ๓ นิ้ว ๓ ดวง มาเจริญวิชชา ช่วยเชื่อมสายสมบัติ จนวัด
    ปากน้ำ เจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์จนปัจจุบันนี้
    ๒. ในการเจริญวิชชาสะสางธาตุธรรม (วิชชารบ)
    (วิชชาปราบมาร)
    เป็นวิชชาสูงสุดยอดของวิชชาธรรมกายนั้น จำเป็นอย่างยิ่ง
    ต้องอาศัยดวงแก้วขนาดใหญ่ช่วยเป็นกำลังสำคัญ เพราะกาย
    มนุษย์นั้นต้องมีการกิน,การถ่าย,การพักผ่อนหลับนอน
    พูดง่าย ๆว่ายังมีโอกาสเผลอได้ ส่วนจักรพรรดิในดวงแก้วนั้น
    ไม่มีการกิน การถ่าย แบบมนุษย์ ดังนั้น ผู้เป็นวิปัสนาจารย์ หรือ
    พระโยคาวจรผู้ทำวิชชา จึงสามารถถ่ายทอด วิชชาปราบมาร
    ให้จักรพรรดิ์ในดวงแก้ว ทำวิชชาแทนกายมนุษย์ได้ดี
    เป็นคุณประโยชน์ต่อการทำวิชชาขั้นสูงสุดในวิชชาธรรมกาย

    และในยุคหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น ท่านสั่งให้บรรดาศิษย์ผู้เชี่ยว
    ชาญในการทำวิชชาธรรมกาย ให้นำดวงแก้วกายสิทธิ์จักรพรรดิ
    นำมาถือไว้ในมือ ขณะทำวิชชา หลวงพ่อวัดปากน้ำบอกว่าจะ
    ช่วยให้การทำวิชชาเร็วและแรงขึ้น และนอกจากนี้ดวงแก้วหิน
    ใส ขนาดใหญ่ถ้าหากได้นำมาเจริญวิชชาธรรมกายอย่าง
    ชำนาญแล้ว องค์จักรพรรดิ์ในดวงแก้วหรือองค์กายสิทธิ์
    ในดวงแก้ว สามารถจดจำวิชชาที่กายมนุษย์ได้ทั้งหมด
    อีกด้วย

    คุณค่าและความสำคัญของดวงแก้วหินใสในวิชชาธรรมกาย
    นั้นมีอีกมาก และไม่อาจนำมาเปิดเผยชี้แจงให้ทุกท่านทราบได้
    ในขณะนี้ นอกจากว่าท่านได้ลงมือปฏิบัติธรรมบรรลุธรรมกาย
    และท่านได้ศึกษาทำวิชชา ตามแนววิชชาที่หลวงพ่อวัดปาก
    น้ำแนะนำไว้ ท่านจะทราบและรู้ซึ้ง ในคุณค่าของดวงแก้วหิน
    ใส ว่ามีความสำคัญยิ่งเพียงใด โดยเฉพาะในการทำวิชชา
    ปราบมาร และการทำวิชชาเข้าไปยึดสิทธิอำนาจในธาตุธรรม
    เป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งต้องอาศัยหินใสบริสุทธิ์ช่วยขณะทำ
    วิชชา คือวิชาปราบมารซึ่งมารเกรงกลัวเป็นที่สุด เพราะถ้ากาย
    มนุษย์ธาตุธรรมสายขาวใส ได้บรรลุธรรมกายและทำวิชชาขั้น
    สูงสะสางธาตุธรรม วิชชารบ(ปราบมาร) โดยถือดวงแก้วหิน
    ขาวใสบริสุทธิ์ขนาดเกินผลส้มเข้าไว้ในมือ แล้วเจริญวิชชา
    ธรรมกาย จะเกิดประสิทธิภาพฤทธิ์เดชในส่วนหยาบส่วน
    ละเอียด ส่งผลให้วิชชาธรรมกายฝ่ายพระหรือฝ่ายบุญภาค
    ปราบมีอานุภาพมากเฉียบขาด ทำวิชชาประกอบกันจะเกิด
    พลานุภาพ ฤทธิ์ ,สิทธิ์,อำนาจ,เฉียบขาด สามารถขจัด
    อวิชชา,ปราบมารได้ผลดีสุดจะประมาณ และบรรดาจักรพรรดิ์
    ฝ่ายปราบบนพระนิพพานก็ซ้อนกายลงมาช่วยทำวิชชา
    ในดวงแก้วหินขาวใสนั้นด้วย จึงเกิดผลดีต่อการเจริญวิชชา
    ธรรมกายเบื้องสูงสุดจะประมาณทีเดียว ฝ่ายมารจะระเบิดวิชชา
    ฝ่ายเราไม่แตก
    บรรพบุรุษของไทยได้รู้จักแก้วกายสิทธิ์มานานแล้ว
    ตั้งแต่โบราณกาล
    มีบุคคลท่านหนึ่งเป็นบุคคลเก่าแก่สมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ได้ปฏิบัติธรรมจนได้ธรรมะคือคุณแฉล้ม อุศุภรัตน์ ท่านก็ได้
    แก้วกายสิทธิ์รูปร่างคล้ายไข่นกเป็นแก้วสีน้ำผึ้ง สวยงามมาก
    ปาฏิหาริย์มาปรากฏที่บูชาเอง
    และมีอุบาสิกา คหปตานีที่อุปถัมภ์อุปัฏฐากหลวงพ่อวัด
    ปากน้ำมาแต่ต้น จนหลวงพ่อมรณภาพไปและอุบาสิกาท่านผู้นี้
    ก็ได้ปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกายมากับหลวงพ่ออย่างเชี่ยวชาญ
    ท่านได้รู้ได้ทราบเรื่องเกี่ยวกับกายสิทธิ์
    ท่านเล่าให้ฟังว่า...........
    สมัยนั้นมีศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่งชื่อพระสิงห์ทอง
    ได้ปฏิบัติวิชชาธรรมกาย สามารถนั่งเจริญวิชชา
    ธรรมกาย เข้านิโรธได้วันละหลายชั่วโมง ปรากฏว่าท่านเห็น
    ในเหตุด้วยญาณทัศนะของธรรมกายว่า ทุกวันขณะท่านนั่งเข้า
    สมาธิก็มีแก้วกายสิทธิ์ลอยวนรอบตัว จนพอถึงวันที่ ๗ จึง
    ตกลงมาใกล้ตัวท่าน มีลักษณะขาวใสเหมือนน้ำค้าง มี
    ลักษณะรี ป้องสั้นคล้ายไข่เต่าน้ำจืด ขาวใสมาก ท่านจึงเก็บ
    รักษา และต่อมาจึงได้ให้โยมอุปัฏฐาก ข้างวัดปากน้ำไป
    ปัจจุบันก็ยังมีหลักฐานอยู่
    ยังมี ท่านแม่ชีอาจารย์ทองสุข สำแดงปั้น
    ท่านเชี่ยวชาญการปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกาย นั่งสมาธิเข้าที่
    จนมีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาโปรดหลายครั้ง และมีแก้ว
    กายสิทธิ์เสด็จมาอยู่ด้วย มีลักษณะยาวรีคล้ายไข่เต่ามีสีคล้าย
    หยกเขียวอ่อนจาง ๆ ซึ่งต่อมาท่านแม่ชีทองสุขได้มอบให้
    แม่ชีเธียร ธีระสวัสดิ์ ไว้ติดตัวช่วยเหลือ เป็นกำลังในการ
    ปฏิบัติวิชชาธรรมกายและการเผยแพร่วิชชาธรรมกาย
    บางท่านอาจสงสัย แต่ถ้าท่านปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรมกาย
    ท่านจะรู้จะเข้าใจ แจ่มแจ้ง ทั้งรู้และเห็นด้วยตนเอง
    มิใช่แต่เฉพาะที่วัดปากน้ำเท่านั้นที่พบแก้วกายสิทธิ์ แม้ใน
    อดีตสมัยหลวงพ่อทวด ซึ่งเป็นพระปฏิบัติสมัย
    อยุธยา ตามประวัติกล่าวว่า ในสมัยที่หลวงพ่อทวดเกิดใหม่ ๆ
    นั้นได้มีงูคาบดวงแก้วกายสิทธิ์มาให้ นับเป็นเรื่อง
    แปลกหรืออาจกล่าวว่า แก้วกายสิทธิ์เป็นของคู่บุญบารมีมา
    อุปการะ ช่วยเหลือคุ้มครองแก่ผู้มีบุญบารมีทางธรรมปฏิบัติ
    โดยเฉพาะก็คงกล่าวไม่ผิด
    [​IMG]
    ดวงแก้วกายสิทธิ์ - จักรพรรดิ คู่บารมีหลวงปู่ทวด เดิม
    มีลักษณะกลมแบบมะนาว ต่อมาถูกคนบ้าลักขโมยไปและเอา
    หินทุบจนแหว่งไป ลักษณะคล้ายไข่นกกระทา ดวงแก้วนี้มี
    ลักษณะเป็นหินแท้ธรรมชาติ คือ ในเนื้อแก้วจะมีลายหิน,รอย
    หิน มีคราบสีเหลืองแก่ปะปนอยู่ในหินแก้วบ่งบอกอายุความเก่า
    แก่ของหิน
    นอกจากนี้ยังมีหลักฐานยืนยันจากประวัติพระธุดงค์ที่ท่าน
    จาริกไปในป่าเขาปฏิบัติธรรม มีบางท่านปักกลดในป่าบริเวณ
    ตีนเขา พอตกดึกก็แลเห็นมีแสงสว่างพุ่งขึ้นบนยอดเขา พอรุ่ง
    เช้าจึงขึ้นไปดูพบมีหินแก้วกายสิทธิ์สีต่าง ๆ ต่อมาท่านก็ใช้ลูก
    ศิษย์ไปนำแก้วกายสิทธิ์เหล่านั้นมาบรรจุไว้ที่ถ้ำกระบอก
    สระบุรี ทีมีชื่อเสียงในการรักษาผู้ติดยาเสพติดจนได้รางวัล
    แมกไซไซ
    มีสามเณรองค์หนึ่งปฏิบัติกรรมฐานจาริกธุดงค์ปักกลดที่ป่า
    เขาในจังหวัดแพร่ มีคืนหนึ่งขณะเข้าที่เจริญภาวนาเสร็จแล้ว
    ท่านลืมตาออกจากสมาธิ ท่านได้เห็นมีแสงนวลสว่างออกมา
    จากพื้นดินเขานั้น ท่านจึงเข้าไปดู พบว่ามีดวงแก้วกายสิทธิ์
    ขาวใสภายในมีสีเขียวคล้ายตะไคร่น้ำอยู่ในนั้นด้วย
    และมีพระนักปฏิบัติธรรมสายอีสาน ชื่อพระอาจารย์
    พุฒ รตนญาโน แห่งวัดป่าเขาสวนกวาง จังหวัด
    ขอนแก่น ท่านได้ตอบสัมภาษณ์แก่นักข่าว วารสารฉบับหนึ่ง
    ที่มาถามท่านขณะท่านมา ณ วัดบวรนิเวศน์วิหาร กรุงเทพฯ
    ถึงเรื่องแก้วกายสิทธิ์ที่พระอาจารย์พุฒ เดินธุดงค์กรรมฐานไป
    ที่ภูเขาลูกหนึ่ง คืนหนึ่งขณะที่ท่านกำลังทำความเพียรเดิน
    จงกรมไปมาตรงบริเวณที่พัก ท่านสังเกตเห็นแสงสว่างเรืองสุก
    ใส ลอยวนไปวนมาเหนือศีรษะ ท่านเลยเงยหน้าขึ้นไปมอง
    ลูกแก้วนี้ลอยวนไปวนมาเหมือนมีชีวิต ครั้งแรกที่ท่านเห็นก็อด
    คิดไปต่าง ๆ นานาไม่ได้ เพราะคิดว่าสิ่งนั้นคือของวิเศษชนิด
    หนึ่ง แต่ในที่สุดท่านก็สำรวมใจ ไม่สนใจภายนอกมุ่งเดินจง
    กลมปฏิบัตความเพียรต่อ จนได้เวลาก็เข้าในกลดนั่งสมาธิ
    ภาวนาจนรุ่งเช้า และท่านยังคงปักกลดที่นั่นเพราะสงบดีเหมาะ
    แก่การภาวนามาก
    วันที่สองตอนกลางคืน ท่านก็ปฏิบัติสวดมนต์ แล้วมานั่ง
    สมาธิภาวนา พอตกดึกท่านก็เดินจงกรม ประมาณ 3 ทุ่มเศษ
    ๆ ลูกแก้วก็ลอยปรากฏให้เห็นอีก คราวนี้ลอยต่ำกว่าทุกคราว
    คือเรี่ย ๆ ศีรษะพอดี ท่านพระอาจารย์พุฒก็ไม่ได้ให้ความ
    สนใจมากนัก จะลอยวนเวียนอย่างไรก็ช่าง ท่านเดินจงกลม
    รักษาสติอย่างเดียว คืนต่อ ๆ มาก็ปรากฏเช่นนี้ทุกคืน
    และจนคืนหนึ่งดวงแก้วลอยต่ำลงมากแล้วยังวนเวียนช้า ๆ
    รอบ ๆ ตัวท่านอีกด้วย แสงสีเรือง ๆ นั้นทำให้ท่านหยุด
    พิจารณาแล้วยื่นมือไปหยิบดวงแก้ววิเศษนั้น ท่านบอกว่ามัน
    ง่ายดายมาก พอท่านจับดวงแก้วไว้แสงเรือง ๆ สว่าง ๆนั้น
    ก็ค่อย ๆมืดดับไปจนหมด เหลือแต่สภาพเป็นดวงแก้ว
    (สีขุ่นขาวนวลไม่ถึงกับใสแจ๋วนัก) ท่านจึงพิจารณาทราบว่า
    เจ้าของหมายถึง ผู้รักษาแก้วนั้นหรือแก้วกายสิทธิ์นั้นคงจะให้
    ท่าน ท่านจึงเก็บไว้ ต่อมาท่านได้ถวายพระอาจารย์แนนซึ่ง
    เป็นพระธุดงค์อีกองค์หนึ่งไป
    (นี่เป็นเรื่องจริงทุกประการ ท่านสามารถเรียนถามได้จาก
    พระอาจารย์พุฒ วัดเขาสวนกวางได้ทุกเวลา)
    [​IMG]
    เรื่องเกี่ยวกับแก้วเสด็จ คือ ตั้งแต่สมัยโบราณ คนเฒ่า
    คนแก่ จะเล่าให้ฟังว่าตามป่าเขายามดึกสงัด
    วันเพ็ญ 15 ค่ำ มักมีแก้วสุกใสสว่างดวงกลมลอยขึ้น จาก
    ภูเขาลูกนี้ไปลงเขาลูกนั้น พอใกล้สว่างก็ลอยกลับลงมาที่เขา
    ลูกเดิม แก้วบางดวงก็เล็ก,ใหญ่มีรัศมีสีแสงอ่อนไม่เท่ากัน
    บางดวงมีบริวารแวดล้อมระยิบระยับไปหมด เรื่องทำนองนี้
    มีผู้พบเห็นมาแต่โบราณจนแม้ในยุคปัจจุบัน ทำให้เป็นที่
    สนใจสงสัยของบรรพบุรุษ ซึ่งสมัยนั้นคงสงสัยในใจกันมา
    นาน และสมัยโบราณปกครองด้วยระบบเจ้าขุนมูลนาย
    ดังนั้นเมื่อเจ้าเมืองที่เมืองป่า เขาได้พบเห็นปรากฏการณ์นี้
    ด้วยความสงสัยมานาน ที่เห็นดวงสว่างลอยขึ้นจากยอดเขา
    หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของภูเขา แล้วลอยไปยังเขาอีกลูกหนึ่ง
    พอใกล้สว่างก็ลอยกลับที่เดิม เป็นเช่นนี้นานเข้า ด้วยความ
    สงสัยอยากรู้ และอาศัยมีอำนาจสั่งการให้ไพร่ฟ้าหรือบริวาร
    ทดลองขุดดูตรงบริเณที่แสงลอยหายตกวูบไป
    เมื่อขุดดูก็ได้พบแท่งแก้วผลึกบ้าง ก้อนแก้วผลึกบ้าง
    เป็นหินขาวใสบริสุทธิ์บ้าง ขาวขุ่น ๆ ใส ๆ บ้าง จึงนำมาทำ
    เป็นเครื่องประดับยอดเจดีย์ เช่นทำเจียระไนเป็นรูปดอกบัว
    รูปดวงแก้วกลม ไว้บนฉัตรทองคำยอดพระธาตุ เจดีย์ต่าง ๆ
    เช่น เจดีย์หริภุญชัย ลำพูน,พระธาตุดอยสุเทพ,พระธาตุ
    ต่าง ๆ ทั่วภาคเหนือ,พระธาตุนครศรีธรรมราช ก็มีดวงแก้ว
    กลมใสจำนวนมากประดับบนฉัตรรอบยอดเจดีย์
    และวันดีคืนดี ก็จะมีปาฏิหารย์เป็นดวงแสงสว่างลอย
    จากยอดเจดีย์นั้นไปหาเจดีย์นี้ เชื่อกันว่าแก้วเสด็จไปมาหา
    สู่กับแก้วด้วยกันในถิ่นอื่น ๆ หรือไปเยี่ยมกัน

    และนอกจากนี้คนยุคโบราณยังนำหินแก้วกายสิทธิ์
    เหล่านี้มาเจียระไน ทำเป็นพระพุทธรูปบรรจุไว้ในเจดีย์ที่
    เชียงแสน,เชียงใหม่,อ.ฮอด,เชียงราย,ลำพูน,ลำปาง,น่าน
    แพร่,อุตรดิตถ์,พิษณุโลก,อยุธยา ฯลฯ แสดงว่ามีผู้รู้จักแก้ว
    กายสิทธิ์มาแต่โบราณกาลนับพัน ๆ ปีแล้ว
    จากหลักฐานที่ขุดค้นพบจากกรุเจดีย์ต่าง ๆ ในภาคเหนือนั้น
    ก็ล้วนพบดวงแก้วกายสิทธิ์บ้าง พระหินแก้วกายสิทธิ์บ้าง
    และกายสิทธิ์รูปต่าง ๆ ดังปรากฏหลักฐานใน
    พิพิธภัณฑ์แห่งชาติทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดทั่ว
    ประเทศ ซึ่งจะพบว่าตามกรุเจดีย์วัดร้างที่ขุดพบนี้
    มีพระแก้วกายสิทธิ์,ช้างแก้ว,กวางแก้ว,ผอบแก้วใส่พระ
    บรมสารีริกธาตุและมีดวงแก้วกลมอีกด้วย เช่น ที่พบจาก
    เมืองฮอดเชียงใหม่ เชียงแสน เชียงของ เชียงคำ และ
    อำเภอเถิน ลำปาง แสดงว่าบรรพบุรุษของไทย
    ได้รู้จักแก้วกายสิทธิ์มานานแล้วตั้งแต่โบราณกาล
    ความลับเกี่ยวกับเรื่องขุมแก้วกายสิทธิ์ในเมืองเหนือ
    เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพระพุทธ
    แก้ว อันถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมือง เพราะแก้วย่อมถือเป็นของ
    มีค่าหาได้ยาก โดยเฉเพาะแก้วหินจากธรรมชาติ พระแก้วที่เกิด
    ขึ้นในเมืองเหนือที่ถือเป็นพระปฏิมากรองค์สำคัญ เช่น พระ
    พุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระศรีรัตน
    ศาสดารามในปัจจุบัน ก็พบครั้งแรกในกรุกลางเมืองเชียงราย
    เมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๙
    พระแก้วอีกองค์หนึ่ง ซึ่งปรากฏอยู่ที่วัดพระธาตุลำปาง
    หลวง มีหน้าตัก ๖ นิ้ว พบในลำปางตามตำนานกล่าวว่าพบ
    เป็นลูกแก้วอยู่ในผลแตงโม (มะเต้า) แล้วนำมาเจียระไนเป็น
    พระพุทธรูป
    พระแก้วอีกองค์หนึ่ง มีความสำคัญคู่ตำนานคือ พระแก้วหริ
    ภุญชัย กล่าวว่าเป็น พระแก้วของพระนางจามเทวีแต่สมัยหริ
    ภุญชัย ขณะนี้อยู่ที่วัดเชียงมั่น จ.เชียงใหม่ ทราบกันดีในชื่อ
    พระเสตังคมณี
    นอกจากนี้ยังมีประดิษฐกรรมจากแก้ว ที่พบกันในกรุร้างวัด
    ต่าง ๆ ในเขตอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่ามีทั้งพระ
    พุทธรูปแก้วกายสิทธิ์ใส ๆ ช้างแก้ว กวางแก้ว ดวงแก้วกลมใส
    ผอบแก้วใสบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในเขตเมืองเก่า เชียง
    แสน เชียงขอม เชียงคำ และเขตกรุร้างต่าง ๆ ในจังหวัดภาค
    เหนือ และในกรุวัดร้างของอำเภอเถินก็พบหลักฐานที่
    ประดิษฐกรรมเจียระไนจากหินแก้วกายสิทธิ์ ในรูปต่าง ๆ
    เจริญอยู่ในสมัยลานนาไทยมานานแล้ว ทางสุโขทัยและพระ
    นครศรีอยุธยา การขุดค้นต่าง ๆ ของคณะโบราณคดี
    มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็พบแก้วใสด้วยวิธีเจียระไนแบบพื้น
    เมืองโบราณ ลึกลงไปในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้พบหลัก
    ฐานว่าคนในสมัยดึกดำบรรพ์ได้นำลูกแก้วปัดสีต่าง ๆ มาประดับ
    คุ้มครองตัวเอง เราจะหาดูได้จากพิพิธภัณฑ์อู่ทองสิ่งที่น่า
    สนใจยิ่งคือ ลูกแก้วลูกปัดที่มีสีขาวใสสะดุดตาเรียกว่า
    “แก้วน้ำค้าง” ซึ่งจัดอยู่ในประเภทหินแก้วกายสิทธิ์ หินผลึก หิน
    เขียวหนุมาน หินแก้วโป่งข่ามนั่นเอง
    นอกจากหินแก้วกายสิทธิ์สีขาวแล้ว อาจมีสีม่วง ชมพู น้ำ
    ชา สีฟ้า และมีแร่ธาตุต่าง ๆ เข้าปะปนมีคล้ายตะไคร่น้ำ ทราย
    หรือเป็นเส้นสีดำ สีทอง สีนาค สีเงิน ซึ่งล้วนเป็นหินแก้ว
    กายสิทธิ์เกิดเองตามธรรมชาติ มีอายุนับล้าน ๆ ปี หินแก้วชนิด
    ขาวใสบริสุทธิ์เป็นของหายากและมีค่าสูงพอ ๆ กับสีม่วงใสซึ่
    นิยมกันมาก และมีราคาแพงแต่ทว่าลักษณะหินแก้วใสเหล่านี้
    เกิดเองมีขนาดใหญ่ ๆ ที่ใสบริสุทธิ์จริง ๆ หายากมาก ส่วนมาก
    มักขุ่นครึ่งใสครึ่ง ถึงใสหมดก็มีขนาดเล็ก และหายากมีค่าสูง
    ส่วนบางก้อนถึงใสสนิทก็อาจมีลายหินม่านหินตามธรรมชาติ
    เกิดอยู่ภายในปะปนอยู่ทุกก้อน ทุกดวง มากบ้าง น้อยบ้าง
    ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรมชาติ
    ในต่างประเทศ เช่น จีน เรียกแก้วกายสิทธ์นี้ว่า
    “หินแก้วจุยเจีย” หรือที่แปลกันว่าแก้วหยกน้ำค้าง หรือ
    น้ำกลายเป็นหินแข็งใส ทำนองนี้ แก้วจุยเจียมักมีคุณภาพความ
    ใสสะอาดเป็นเลิศ และมีขนาดใหญ่ สามารถนำมาเจียระไนเป็น
    ลูกแก้วกลมใสขาดเท่าลูกพุทรา เท่ามะนาว
    ตัวอย่างในตำนานจีนประวัติ 8 เซียน กล่าวถึง
    "หลีเล่ากุน" มีดวงแก้ววิเศษเท่าผลส้ม เปล่งแสงออกมาเป็น
    ฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ และเมื่ออธิษฐานขอดูภาพ
    เหตุการณ์ต่าง ๆ จากดวงแก้ว จะเห็นตามเป็นจริง นอกจากนี้
    ในศาสนาพุทธมหายานในจีน พระพุทธรูปตรีกาย (ซำเป้า)
    พระพุทธรูปองค์กลาง(พระศากยมุนี) พระหัตถ์ถือดวงแก้วเป็น
    สัญลักษณ์
    ส่วนทางยุโรป อเมริกาเรียกว่าร็อคคริสตัล “คริสตัล”
    เรียกสั้น ๆ ว่า คว้อทซ์นั่นเอง ประชาชนชาวจีน
    ชาวญี่ปุ่น นิยมนำเอาหินจุยเจียมาทำเป็นดวงแก้วกลมเล็กบ้าง
    ใหญ่บ้าง เพื่อนำมาเป็นนิมิต ปฏิบัติธรรม ซึ่งมีอานุภาพต่อ
    ทางจิตสูงมาก เช่นถือกันว่ามีพลังวิเศษอยู่ในดวงแก้วนั้น
    ในทวีปอเมริกานิยมเอาหินแก้วใสบริสุทธิ์ ร็อคคริสตัล
    จุยเจียนี้ทำเป็นคริสตัลบอลล์ หรือดวงแก้ว ใช้เพ่งให้จิตเป็น
    สมาธิ เพื่อให้รู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ เช่นยีนส์ ดิกสัน
    ชาวอเมริกาที่โด่งดังในอเมริกา
    สำหรับในประเทศไทยนิยมยกย่องหินแก้วผลึกขาวใส
    (จุยเจีย) เป็นรัตนะ (แก้วอันประณีต ประเสริฐ) เป็น
    ของบริสุทธิ์จึงนิยมมาเจียระไน เป็นพระพุทธรูป,ผอบ,
    เจดีย์แก้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า,
    พระธาตุของพระอรหันต์ และนิยมทำเป็นดวงแก้วกลม
    ประดับบูชาไว้บนยอดเจดีย์ต่าง ๆ
    [​IMG]
    เช่น พระธาตุดอยสุเทพ,พระธาตุหริภุญชัย , พระตาลดอยป่า
    ตาล ทั่วภาคเหนือ และพระธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ก็มีดวง
    แก้วหินขาวใสจุยเจียประดับ บนยอดฉัตรเจดีย์หุ้มด้วยสาแหรก
    ทองคำจำนวนหลายสิบดวง
    [​IMG]
    [​IMG]
    (คดมะพร้าวขนาด 1.5 นิ้ว มีหน้าตา - ปาก คล้ายคน)

    คัดลอกมาจาก

    http://www.navagaprom.com/oldsite/book.php?id=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2010
  20. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ตันติปาละ<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4146001", true); </SCRIPT>
    สมาชิก PREMIUM

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: อยู่ในวังวนของชีวิต
    อายุ: 34
    ข้อความ: 1,145
    พลังการให้คะแนน: 306
    ********************************************
    การจุติของพระศรีอาริยะเมตไตรนั้น(การเสวยชาติ)
    1.ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร
    2.ไม่ได้เกิดมาในพุทธศาสนา(ต่างศาสนา)
    3.จุติเิกิดแค่ 2 วรรณะเท่านั้น คือกษัติย์และพราม
    4.ไม่เข้าใจในธรรม
    5.มีจิตที่เป็นเมตตาโดยสันดานแห่งโพธิสัตว์<!-- google_ad_section_end -->
    http://palungjit.org/threads/หลวงพ่...รีอาริยเมตไตยมาจุติสร้างบารมีหรือป่าว.271405/
    **********************************
    อีกหนึ่งความคิดเห็นครับ
    วสุธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...