คุณคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนามีความสัมพันธ์กันหรือไม่?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย khajornwan, 8 พฤศจิกายน 2010.

  1. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    อำนาจแห่งปัจจุบัน

    เธอสามารถเปลี่ยนภาพชีวิตของเธอได้ทุกเมื่อ หากเธอตระหนักว่าชีวิตในขณะนี้เป็นภาพชีวิตเพียงหนึ่งภาพซึ่งเธอเป็นผู้วาดขึ้น และเธอสามารถวาดภาพได้อย่างไม่มีจำนวนจำกัดในลักษณะต่างๆ ตามจินตนาการและความปรารถนาของเธอ ภาพชีวิตอันหลากหลายเหล่านี้จะมีลักษณะจำเพาะและมีคุณสมบัติพิเศษอันเป็นบุคคลิกภาพแห่งจิตวิญญาณของเธอ
    <O:p</O:p
    ความสามารถ ความแข็งแกร่ง และความหลากหลายเหล่านี้ล้วนเป็นความเป็นไปได้ที่ซ่อนเร้นอยู่และพร้อมเสมอที่จะเป็นจริง หากเธอมีสุขภาพไม่แข็งแรง มีโรคประจำตัวและเธอปรารถนาสุขภาพที่แข็งแรง เมื่อเธอเข้าใจถึงธรรมชาติของความเป็นไปได้ เธอไม่จำเป็นต้องเสแสร้งที่จะละเลยสภาพปัจจุบัน แต่เธอควรจะตระหนักได้ว่า การทำให้สุขภาพของเธอแข็งแรงนั้นนอกจากจะมีความเป็นไปได้แล้วเธอยังสามารถทำให้มันกลายเป็นความจริงได้อีกด้วย เพียงแค่การยอมรับว่า มันเป็นความจริงได้ เธอก็ได้เปลี่ยนวิถีทางแห่งความเชื่อไปสู่เส้นทางแห่งสุขภาพแล้ว
    <O:p</O:p
    เธอสามารถเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ด้วยการจดจ่ออยู่กับความปรารถนาในการมีสุขภาพดี อย่าสร้างความขัดแย้งในใจขึ้นด้วยการนำความปรารถนามาเปรียบเทียบกับสุขภาพที่เธอกำลังเผชิญอยู่ เพราะสุขภาพที่สมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ไม่มีความแตกต่างที่แท้จริง แต่ละสภาพเป็นเพียงภาวะทางกายภาพที่สะท้อนความเชื่อในชีวิตประจำวันของเธอ เธอได้ใช้เวลาที่จะสร้างภาพชีวิตของเธอให้มีสภาพที่ไม่แข็งแรงสมบูรณ์ ดังนั้นเธอก็ต้องใช้เวลาเช่นกันที่จะเปลี่ยนแปลงภาพชีวิตใหม่
    <O:p</O:p
    การจดจ่ออยู่กับโรคภัยไข้เจ็บและสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงสมบูรณ์ นอกจากจะไม่ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เร็วดังปรารถนาแล้ว ยังทำให้สภาพที่เป็นอยู่นั้นยืดระยะเวลาออกไปอีกด้วย
    <O:p</O:p
    สภาวะของร่างกายทั้งสองสภาวะนี้มีความเป็นจริงและความไม่จริงพอๆ กัน เธออยู่ในร่างกายตัวตนร่างใด? บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ในชาติภพใด? ทางเลือกในกรอบของความสามารถแห่งจิตวิญญาณในร่างกายของมนุษย์ – เป็นของเธอ
    <O:p</O:p
    อดีตในความคิดของเธอและจิตใต้สำนึกในความคิดของเธออีกเช่นกัน ล้วนมีส่วนเพียงน้อยนิดกับประสบการณ์นอกความเชื่อของเธอ อดีตบันทึกฉากแห่งความสุข ความแข็งแรง ความสร้างสรรค์และความงดงาม ตลอดจนฉากแห่งความเศร้าโศก สิ้นหวัง ระทมทุกข์ ความยุ่งยากและความโหดร้ายในชีวิต

    [​IMG]

    <O:p</O:p
    ความเชื่อมั่นในปัจจุบันของเธอจะเปรียบเสมือนแม่เหล็กซึ่งกระตุ้นและดึงดูดประสบการณ์ในอดีตทั้งหลาย ทำให้เธอเลือกแต่ประสบการณ์ในอดีตทั้งหมดซึ่งเสริมความเชื่อในระดับสติสัมปะชัญญะของเธอในปัจจุบัน และไม่แยแสต่อประสบการณ์ที่ไม่เสริมความเชื่อ มันจะกลายเป็นประสบการณ์ที่เสมือนไม่อยู่ในความทรงจำหรือเสมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลยในชีวิตของเธอ
    <O:p</O:p
    ความทรงจำจากอดีตที่เสริมความเชื่อของเธอในปัจจุบันจะกระตุ้นกลไกในร่างกายของเธอ และประสานอดีตกับปัจจุบันให้เกิดภาพชีวิตที่กลมกลืนกัน ภาพในอดีตกับปัจจุบันจะประสานกันได้อย่างสนิท ไม่ว่ามันจะเป็นภาพแห่งความทุกข์หรือความสุขก็ตาม
    <O:p</O:p
    การประสานกันของอดีตกับปัจจุบันจะสร้างแนวโน้มไปสู่ประสบการณ์ในอนาคต ในทิศทางที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อใดๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะเปลี่ยนอดีตและอนาคตไปด้วย โครงสร้างของระบบประสาทของเธอรับรู้ได้แต่เพียงปัจจุบัน ปัจจุบันจึงเป็นจุดเดียวที่สามารถจะเปลี่ยนอดีตและอนาคตได้ หรือเป็นจุดเดียวที่การกระทำของเธอบังเกิดผล
    <O:p</O:p
    ฉันไม่ได้กล่าวเพียงแค่เป็นอุปมาอุปมัย แต่ฉันหมายถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับเธออยู่ตลอดวันเวลา อดีตและอนาคตของเธอจะผลิกผันไปได้ด้วยการกระทำในปัจจุบัน การผลิกผันเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเกิดขึ้นในร่างกายของเธอ วงจรในระบบประสาทของเธอจะเปลี่ยนไป พลังงานซึ่งเธอไม่รู้จักซึ่งสถิตย์อยู่ในระบบเหล่านี้จะสร้างระบบการเชื่อมต่อของมันขึ้นใหม่ในระดับที่ลึกเกินกว่าที่สติสัมปะชัญญะของเธอจะรับรู้ได้
    <O:p</O:p
    ความเชื่อในปัจจุบันเป็นปัจจัยควบคุมประสบการณ์ทั้งหมด ความคิดสร้างสรรค์และประสบการณ์ต่างๆ จะก่อตัวขึ้นทุกขณะจิต เธอจะต้องเข้าใจว่าปัจจุบันคือจุดที่วัตถุธาตุและร่างกายเนื้อหนังของเธอเผชิญกับจิตวิญญาณ ดังนั้นปัจจุบันคือจุดที่เธอมีพลังอำนาจสูงสุดในชาติภพของเธอ หากเธอมอบพลังอำนาจให้กับอดีต ชีวิตในปัจจุบันของเธอจะปราศจากพลัง เธอจะทำให้ตัวเองเสมือนตกเป็นเหยื่อของอำนาจลึกลับที่ทำให้ชีวิตของเธอดำเนินไปในทิศทางที่เธอไม่สามารถจะควบคุมหรือแก้ไขได้ เพราะเธอปฏิเสธอำนาจแห่งปัจจุบัน
    <O:p</O:p
    เธอสามารถที่จะฝึกฝนเพื่อให้อำนาจแห่งจิตวิญญาณของเธอใช้การได้ในปัจจุบัน ด้วยการนั่งลืมตาและพิจารณาดูร่างกายตัวตนของเธอ เธอจงตระหนักว่า ขณะจิตนี้ – คืออำนาจแห่งปัจจุบันที่เธอสามารถส่งผลกระทบไปสู่เหตุการณ์ในอดีตและอนาคตได้เสมอ ปัจจุบันซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางกายภาพทั้งหลายอันปรากฏอยู่ต่อหน้าเธอในขณะนี้ เป็นผลลัพธ์ของขณะจิตในปัจจุบันอื่นๆ ซึ่งเธอเข้าใจผิดว่ากลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว อย่าปล่อยให้อดีตและอนาคตคุกคามหรือขู่ขวัญเธอ เธอไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องทำให้ความรู้สึกไม่น่าพึงพอใจในขณะจิตและความเป็นจริงในขณะนี้ส่งผลไปสู่อนาคตของเธอ เธอสามารถใช้อำนาจแห่งปัจจุบันทำให้อดีตและอนาคตเป็นไปในทิศทางที่เธอต้องการได้เสมอ
    <O:p</O:p
    ปัจจุบันเป็นจุดที่เธอเลือกประสบการณ์ทางกายภาพจากเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ทั้งหลาย ซึ่งจะกลายเป็นจริงสภาวะทางกายภาพทั้งหมดรวมทั้งประสบการณ์ชิวิตลุขภาพร่างกายของเธอจะเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติเมื่อเธอเชื่อในอำนาจแห่งปัจจุบัน เมื่อเธอรู้และเข้าใจมากขึ้น เธอก็จะสามารถเติมเต็มประสบการณ์ของเธอได้มาขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ของเธอจะกลายเป็นเส้นทางที่ง่ายดายปราศจากอุปสรรคทั้งปวง ความปรารถนาทำให้เธอเต็มไปด้วยความหวัง ความท้าทายทำให้เธอยอมรับสภาพอุปสรรคต่างๆ โดยปริยาย แต่มันก็ทำให้เธอพร้อมที่จะฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้น
    <O:p</O:p
    หากเธอชอบชีวิตที่ท้าทายมากเท่าไร เธอก็จะพบอุปสรรคมากขึ้นเท่านั้น เพราะเธอเป็นผู้เลือกเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เหล่านี้ บางคนเลือกเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่ท้าทาย จนดูเสมือนว่าไม่มีวันเป็นไปได้ที่เขาจะฟันผ่าอุปสรรคในชีวิตได้สำเร็จ ไม่ว่าเธอจะเลือกเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นทางใด ปัจจุบันคือจุดที่เธอเลือกความเป็นไปได้นั้นๆ ปัจจุบันคือจุดที่เธอเลือกว่า เธอจะเป็นเธอ – ในตัวตนใด? บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใด? และในโลกแห่งความเป็นจริงโลกใด?
    <O:p</O:p
    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่ เป็นอยู่ ดำเนินไป เป็นภาวะนั้น<O:p</O:p
    พร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้น<O:p</O:p

    โนวา อนาลัย<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2010
  2. เซี่ยมหล่อนั๊ง

    เซี่ยมหล่อนั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +665
    เห็นด้วย อย่างยิ่ง open mine ครับ เพราะเมื่อใจเปิด ปัญญาก็เปิด จะเห็นในมิติอื่น ๆ ที่เราไม่คุ้นเคย จาก อวิชชาที่ครอบงำ ทำให้กระจ่างแจ้งในสัจจที่เกิดขึ้น ผมมีหนังสือแนะนำนะครับ เป็นเล่มที่ดีมาก เกี่ยวกับการกำเนิดต้นแบบมนุษย์ กับปลา มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร อ่านจบทำให้นึกถึงหลักพุทธศาสนาในเกือบทุกประเด็น เพราะคนที่แต่งเป็นถึง อธิการบดีมหาลัยของอเมริกา แปลโดยคนไทย น่าสนใจมาก ชื่อว่า คนกับปลา มาอย่างไร แล้ว ละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2010
  3. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ผลลัพธ์จากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบ หรือ บวก

    น่าสงสารคนอ่านกระทู้นี้จริงๆ อ่านกันจนหน้ามืดเรย.. อิอิ..
    เคยถามพี่นักเขียนเรื่องกฏแห่งกรรมมาหลายครั้งเหมือนกันค่ะ..
    แต่หาไม่เจอ เพราะถามเยอะมั่กๆ แฮ่แฮ่ ^_^

    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-padding-alt: 4.5pt 4.5pt 4.5pt 4.5pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ebebeb 1pt inset; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: #ebebeb 1pt inset; PADDING-LEFT: 4.5pt; BACKGROUND: #f7f3f7; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: #ebebeb 1pt inset; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: #ebebeb 1pt inset; mso-border-alt: inset windowtext .75pt">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณkhajornwan
    พี่นักเขียนช่วยอธิบายความเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรมให้แนวของท่านอาจารย์อนาลัยให้เข้าใจอีกสักนิดนึงได้มั้ยคะเพราะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าที่ควรจากที่เคยศึกษามาเมื่อเราทำร้ายใครมาก่อนภาวะนั้นจะสะท้อนกลับมาหาตัวเราให้เราได้รับรู้ผลของการกระทำนั้นไม่มีกฏเกณฑ์อื่นเคยเห็นพี่นักเขียนกล่าวว่าถ้าเราไม่จดจ่อกับภาวะนั้นก็ไม่ต้องรับผลอย่างงั้นใช่รึปล่าวคะ?

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    กฎแห่งกรรมเป็นกฎเกณฑ์ในแนวพุทธศาสนาซึ่งเป็นกฎที่เป็นไปตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จักแต่กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเผชิญกับผลลัพธ์ของการทำดี หรือทำชั่วของท่านอาจารย์อนาลัยเป็นกฎเกณฑ์เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นไปของจิตวิญญาณและการก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกทางกายภาพ รวมทั้งร่างกายตัวตนของเราซึ่งมีต้นกำเนิดมากจากพลังอำนาจของจิตวิญญาณ อันได้แก่พลังอำนาจของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อซึ่งเป็นไปนอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา

    พี่นักเขียนจะขออธิบายเกี่ยวกับผลลัพธ์อันมาจากการกระทำความดี-ความชั่วของคนเราในแนวทางที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวถึงเพราะเข้าใจว่าคือประเด็นที่คุณน้องขจรวรรณอยากจะให้พี่นักเขียนช่วยขยายความหากไม่ถูกประเด็นช่วยแย้งด้วยนะคะ

    พี่นักเขียนขอละไม่ใช้คำว่ากฎแห่งกรรมแต่ถ้าหากใครถามพี่นักเขียนว่า พี่นักเขียนเชื่อเรื่องกรรมหรือไม่ก็ตอบได้ทันทีว่า-เชื่อค่ะ และเชื่อว่ากรรมส่งผลลัพธ์ได้ล่วงหน้าหรือส่งผลลัพธ์รวดเร็วฉับพลันน่ากลัวกว่าที่พี่นักเขียนเคยเข้าใจตามกฏแห่งกรรมตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เคยรู้จักเป็นอันมากและทำให้พี่นักเขียนมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่าสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตคนเรานั้นมาจากไหน อย่างไร และจะหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบันซึ่งหมายความว่าหากเราคิดดี-ทำดีเราไม่ต้องคอยรับผลสืบเนื่องของการคิดดี-ทำความดีนั้นๆในชาติภพหน้าหากเราคิดชั่ว-ทำชั่ว เราก็ไม่ต้องคอยรับผลสืบเนื่องของการคิดชั่วหรือทำความชั่วนั้นๆในชาติภพหน้า เพราะความคิดและการกระทำของเราในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อชาติภพอื่นๆอย่างเป็นป้จจุบันทันด่วน

    แม้ท่านอาจารย์อนาลัยจะกล่าวว่าเธอจดจ่อสิ่งใดได้สิ่งนั้น -ไม่มีกฏเกณฑ์อื่น
    และแม้ท่านจะกล่าวว่าเธอทั้งหลายไม่ได้มาถือกำเนิดในโลกทางกายภาพเพื่อรอรับโทษหรือรับผลรับจากการกระทำในอดีต
    แต่ท่านก็ไม่ได้หมายความว่าหากผู้ที่ทำชั่ว-คิดร้าย-ไร้คุณธรรม-ไม่จดจ่อกับความชั่วของตนเองแล้วจะไม่ต้องรับโทษหรือไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายอันเป็นผลลัพธ์มาจากความชั่วของตนเอง

    ในทางตรงกันข้ามท่านกล่าวว่าความคิดทุกความคิดที่เกิดขึ้นนั้น เราไม่สามารถเรียกมันกลับคืนมาได้และความคิดทุกความคิดของเราก็ไม่ได้สูญสลายไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างที่เราเข้าใจแต่ทุกความคิดจะถูกส่งออกไปและก่อเกิดเป็นความเป็นจริงบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใดเส้นหนึ่งเสมอ ในมิติอื่น โลกอื่น หรือชาติภพอื่นอย่างเป็นปัจจุบันทันด่วน

    ดังนั้นไม่ว่าเราจะมีความคิดหรือจินตนาการในเรื่องใดเราสร้างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ หรือสร้างชาติภพหนึ่ง มิติหนึ่งขึ้นอย่างฉับพลันและหากเรายังจดจ่อกับความคิดนั้นๆต่อไปในที่สุดเราจะเหนี่ยวนำประสบการณ์จากเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนั้น ชาติภพนั้นมิตินั้น มาสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่เราเรียกมันว่า โลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นแห่งความเป็นไปได้เส้นนี้ ชาติภพน้ี มิตินี้

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่าผู้ที่ทำชั่ว คิดร้ายไร้คุณธรรมจะได้รับผลลัพธ์เหล่านั้นอย่างเป็นปัจจุบันทันด่วนไม่ต้องคอยรับผลลัพธ์ข้ามชาติภพ ท่านกล่าวย้ำเสมอๆว่าเหตุการณ์ทั้งหลายในชีวิตของเรานั้นเกิดจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของเราซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าที่เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นเสมอ ไม่ใช่ในทางกลับกัน

    พี่ีนักเขียนขอยกตัวอย่างจากเรื่องจริงไม่อิงนิยายเพื่ออธิบายให้พวกเราเห็นภาพชีวิตที่เกี่ยวพันกับประเด็นที่เรากำลังกล่าวถึงเพราะหากยกตัวอย่างโคมลอย เราจะเข้าใจไม่ได้ว่าภาพชีวิตเหล่านี้จะเป็นจริงได้อย่างไร มีที่มาจากอะไร และจะแก้ไขได้อย่างไร

    ชายผู้หนึ่งร่วมลงทุนกับเพื่อนและพบกับปัญหาขาดทุนแต่เนื่องจากเขาทำหน้าที่ดำเนินการและถือเงินทั้งหมดเขาจึงยักยอกเงินปันผลจากการค้าซึ่งตนจะต้องแบ่งให้กับเพื่อนผู้ร่วมลงทุนเขาพยายามนำเงินส่วนที่ยักยอกไว้ไปแก้ปัญหาการเงินส่วนอื่นๆโดยหวังว่าหากแก้ไขได้สำเร็จจะนำเงินปันผลนั้นคืนให้เพื่อนเมื่อเลยกำหนดจ่ายปันผลให้เพื่อนเขาก็ได้แต่บอกปัดกับเพื่อนผู้ร่วมลงทุนไปเริื่อยๆว่าตนยังไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้

    ชายผู้ยักยอกเงินย่อมจะคิดว่าเขาจำเป็นต้องยักยอกเพราะเขาขาดทุน การยักยอกกลายเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นไปเพราะสถานการณ์บีบบังคับให้เขาต้องทำเช่นนั้นเขาอาจจะมองเห็นแม้กระทั่งว่าการยักยอกเงินของเขาเป็นการกระทำอันชอบธรรมในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพราะเขาทำไปเพื่อไม่ให้ครอบครัวของตนเดือนร้อน

    หากเราพิจารณารูปการทั้งหมด เราอาจคล้อยตามความเป็นไปที่ว่าชายผู้นี้จำเป็นต้องยักยอกเงินเพื่อนเพราะสถานการณ์บีบบังคับหรือความจำเป็นบีบบังคับความเป็นหัวหน้าครอบครัวทำให้เขาต้องเห็นแก่ประโยชน์สุขของครอบครัวของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก

    ธรรมชาติความเป็นจริงของภาวะจิตที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึงจะทำให้เราเข้าใจที่มาของเหตุการณ์ทั้งหมดในทิศทางกลับกันได้ว่าชายผู้นี้มีความคิดที่จะยักยอก ก่อนหน้าที่การขาดทุนทั้งหมดจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำไปการขาดทุนเป็นเพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากความคิดในแง่ลบของเขาหรือกล่าวได้ว่าเป็นผลลัพธ์จากการคิดชั่ว คิดร้าย ขาดคุณธรรมต่อเพื่อนผู้ร่วมลงทุนการขาดทุนมาสู่ความเป็นจริง เพราะเขาคิดจดจ่อกับความขาดทุน การยักยอกเงินปันผลมาสู่ความเป็นจริง เพราะเขาคิดจดจ่อกับการยักยอก ไม่ใช่ในทางกลับกัน

    ชายผู้นี้มีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบตั้งแต่แรกเริ่มว่าหากฉันทำการค้าขาดทุน ฉันจะไม่แบ่งเงินปันผลให้เพื่อนผู้ร่วมลงทุนฉันจะต้องยักยอกเงินปันผลส่วนของเขาไว้แก้ปัญหาส่วนตนก่อนอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบของชายผู้นี้ เหนี่ยวนำการขาดทุนความล้มเหลวทางธุรกิจมาสู่ตนเองกล่าวได้ว่าเขาได้รับกรรมอย่างเป็นปัจจุบันทันด่วนจากความคิดในแง่ลบหรือรับกรรมอย่างฉับพลันก็คงไม่ผิด

    หากชายผู้นี้มีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวกตั้งแต่แรกเริ่มว่าไม่ว่าฉันจะทำการค้าได้กำไรมากน้อยเพียงไรฉันก็จะแบ่งเงินปันผลให้เพื่อนผู้ร่วมลงทุนของฉันอย่างชอบธรรมความคิดในแง่บวกของเขาย่อมเหนี่ยวนำให้เขาประสพความสำเร็จและไม่เผชิญกับสถานการณ์ที่เขาคิดว่าบีบบังคับให้เขาต้องยักยอก การจดจ่อกับผลกำไรและการปันผลกำไรอย่างชอบธรรม ย่อมจะเหนี่ยวนำให้ชายผู้นี้ได้รับผลกำไรและมีความสามารถที่จะปันผลกำไรให้เพื่อนผู้ร่วมลงทุนได้อย่างชอบธรรมอย่างแน่นอนที่สุด

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวย้ำเสมอๆว่า ให้เราสำรวจความเชื่อของตนเองและให้เรียนรู้ที่จะจดจ่อกับความคิดในแง่บวกเสมอ

    ตามตัวอย่างนี้ชายผู้นี้จดจ่อกับความคิดในแง่ลบซึ่งเป็นต้นเหตุที่เหนี่ยวนำประสบการณ์ทั้งหลายมาสู่ชีวิตของเขาเมื่อเหตุการณ์เหล่านั้นมาถึงตัว เขากลับมองเห็นตนเองตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ซึ่งบีบบังคับเขาให้ต้องยักยอกเงินเพื่อนซึ่งกลายเป็นเสมือนการกระทำที่ไม่มีทางเลือก ไม่มีทางออก

    มันอาจจะเป็นการยากที่ชายผู้นี้จะยอมรับอย่างซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นหรือต่อเพื่อนผู้ร่วมลงทุนได้ว่าเขามีความคิดในแง่ลบเหล่านั้นเกิดขึ้นว่าจะยักยอกเงินของเพื่อนหากขาดทุนก่อนหน้าที่การขาดทุนทั้งหมดจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำไป

    คนจำนวนมากเชื่อว่าความคิดเป็นเพียงสิ่งลี้ลับส่วนตนไม่มีผู้ใดรู้เห็น แม้เขาจะมีความคิดในแง่ลบว่าเขาคิดจะยักยอกเงินปันผลก็ต่อเมื่อการค้าร่วมลงทุนนั้นขาดทุนและคิดว่าหากการค้านั้นไม่ขาดทุน เขาก็อาจจะไม่ต้องยักยอก ไม่ว่าเขาคิดจะอย่างไรความคิดของเขาล้วนมีพลังอำนาจเหนี่ยวนำความเป็นจริงทั้งหลายมาสู่ประสบการณ์ชีวิตเสมอหากชายผู้นี้จะกล่าวว่าสถานการณ์ของการขาดทุนบีบบังคับให้เขาต้องทำในสิ่งที่เขาไม่เคยคิดฝันคำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวที่เรียกได้ว่า กล่าวเท็จต่อตนเองและย่อมทำให้เขาตกเป็นเหยิื่อความคิดในแง่ลบของตนเองต่อไป

    [​IMG]


    หากเราสามารถมองเห็นความคิดของชายผู้นี้ได้ เราจะพบว่าเขาจดจ่อและคิดถึงแต่การขาดทุนหรือไม่ขาดทุน แต่เขาไม่ได้จดจ่อกับการได้ผลกำไรภาวะจิตของเขาจึงไม่อาจดึงดูดความสำเร็จทั้งหลายมาโลกแห่งความเป็นจริงของเขาได้เลย

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวย้ำเสมอๆว่า
    เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง
    จินตนาการเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นจริงทั้งหมด
    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใดจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นพร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้นๆ

    พี่นักเขียนเข้าใจว่า กรรมในนัยของท่านอาจารย์<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]อนาลัย คือ</st1:personName>อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวกหรือ แง่ลบ ที่ติดบุคลิกภาพของเราไปหลายชาติภพ

    หากเราเรียนรู้ที่จะจดจ่อกับอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวกจนเป็นนิสัยกล่าวได้ว่าเรามีนิสัย หรือมีบุคลิกภาพของจิตวิญญาณที่จะสร้างกรรมดีหรือดึงดูดประสบการณ์ในแง่บวกมาสู่ชีวิตของเรา

    หากเราเรียนรู้ที่จะจดจ่อกับอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบจนเป็นนิสัยกล่าวได้ว่าเรามีนิสัย หรือมีบุคลิกภาพของจิตวิญญาณที่จะสร้างกรรมชั่วหรือดึงดูดประสบการณ์ในแง่ลบมาสู่ชีวิตของเรา

    จากตัวอย่างเรื่องราวที่พี่นักเขียนเล่าให้พวกเราฟังชายผู้นี้จะสามารถแก้ไขตนเองได้ก็ต่อเมื่อ เขาเรียนรู้ที่จะติดตามความคิดของตนเองและเรียนรู้ว่าอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบของเขาคือต้นกำเนิดของประสบการณ์ในแง่ลบทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขาเขาไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ของความขาดทุนล้มเหลวหรือเหตุการณ์ที่บีบบังคับให้เขาต้องยักยอกหากแต่ความคิดในซอกมุมหนึ่งของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบของเขาเหนี่ยวนำประสบการณ์ทั้งหมดมาสู่ตนเอง

    แม้จะเป็นการยากที่ชายผู้นี้จะยอมรับกับเพื่อนผู้ร่วมลงทุนหรือยอมรับกับผู้อื่นได้ว่าเขามีความคิดในแง่ลบเหล่านั้นแอบแฝงอยู่ในเบื้องลึกของเจตนาของเขาแต่แรกเริ่มก่อนหน้าที่สถานการณ์ทัง้หมดจะเป็นไปแต่จิตวิญญาณของเราทั้งหลายล้วนมีข้อมูลความรู้ และความทรงจำข้ามชาติภพที่ทำให้เราตระหนักได้ว่าเรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบใดจนเป็นนิสัยหรือเป็นบุคลิกภาพของจิตวิญญาณอย่างไร เพราะมันจะเป็นไปให้เราเห็นในชีวิตประจำวันเช่นสะท้อนให้เราเห็นในบุคคลอื่นๆที่อยู่ในครอบครัว สังคมและสภาพแวดล้อมของเราและสะท้อนให้เราเห็นในความฝันของเราเสมอๆ

    เราทุกคนรู้เห็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของตนเองที่เป็นไปหลายชาติภพในทิศทางหนึ่งๆเสมอๆในความฝันเช่นเดียวกับที่น้องนกเล่าให้พวกเราฟังว่ารู้เห็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่น้องนกต้องการปกป้องคุณธรรมเสมอๆส่วนพี่นักเขียนก็รู้เห็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ตนเองมีหน้าที่เสมอๆ

    ทางเลือกทั้งหลายล้วนเป็นของเราทุกขณะจิตแต่ถ้าหากเราไม่เรียนรู้ที่จะติดตามอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบจนเป็นนิสัยและไม่รู้จักแก้ไขหรือเรียนรู้ที่จะจดจ่อกับอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวกเราก็จะต้องตกเป็นเหยื่อของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบจนเป็นนิสัยของตนเองต่อไป อีกหลายชาติภพหรือรับกรรมที่เราก่อต่อไปอีกหลายชาติภพ

    เป็นการยากที่ชายผู้นี้จะเข้าใจได้ว่าปัญหาการขาดทุนทั้งหมดและการยักยอกของเขา จะแก้ไขได้ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อโดยที่เขาจะต้องเชื่อว่า เขาจะไม่ต้องยักยอกเงินปันผลจากเพื่อนผู้ร่วมลงทุนและเชื่อว่าการค้าของเขาจะกำไรและประสพผลสำเร็จเมื่อคนเราเผชิญกับเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าตนเองตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์เสียแล้วการแก้ไขแทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะเขาจะมองเห็นไม่ได้จากจุดยืนที่เขากำลังเผชิญอยู่นี้ว่าหากเขายังจะต้องเจียดเงินปันผลคิืนให้เพื่อนผู้ร่วมลงทุนแล้วสถานการณ์ทั้งหมดจะดีขึ้นได้อย่างไร มันน่าจะแย่ลงไปอีก

    แต่กลไกทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่การกระทำแต่อยู่ที่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวกที่เกิดขึ้นก่อนกระทำของเขาหากชายผู้นี้ตระหนักได้ว่า การปันผลให้กับเพื่อนผู้ร่วมลงทุนของเขาอย่างชอบธรรมย่อมทำให้ชีิวิตของเขาได้รับพร เขาก็จะได้รับพรและหลุดพ้นจากสถานการณ์อันยากลำบากนี้ได้ในที่สุด

    แต่หากชายผู้นี้ยังยึดติดกับความคิดที่ว่าเงินปันผลที่ยักยอกจากเพื่อนผู้ร่วมลงทุนของเขา คือเงินที่จะช่วยให้เขาอยู่รอดหรือช่วยยืดสายป่านของเขาได้อีกหน่อยหนึ่ง มันก็ย่อมเป็นไปเช่นนั้นคือช่วยให้เขาอยู่รอดได้อีกเพียงระยะสั้นเท่านั้น จิตวิญญาณผู้เต็มไปด้วยข้อมูลความรู้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดและความทรงจำข้ามชาติภพย่อมทำให้เราทุกคนตระหนักรู้ได้ว่า อะไรคืิอคุณธรรม อะไรคืออธรรม อะไรคือความดีความชั่วประสบการณ์ชีวิตทั้งหลายเป็นเพียงภาพสะท้อนแก่นแท้ของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเรา

    หากเรากำลังเผชิญกับประสบการณ์ชีวิตที่สุขสมหวัง เราควรตระหนักว่ามันคือภาพสะท้อนแก่นแท้ของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่บวกของเรา

    หากเรากำลังเผชิญกับประสบการณ์ชีวิตที่เต็มไปด้วยปัญหาความทุกข์ยาก ความไม่สุขสมหวัง เราควรตระหนักว่ามันคือภาพสะท้อนแก่นแท้ของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบของเรา

    เราจะต้องเริ่มต้นด้วยการมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองสำรวจความคิดและความเชื่อของตนเองเราจะค้นพบต้นกำเนิดอันเป็นที่มาของประสบการณ์ทั้งปวงและสามารถเปลี่่ยนแปลงแก้ไขชีวิตของเราได้เสมอ

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า
    เธอทั้งหลายไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์เลวร้ายทั้งหลายในชีวิตของเธอ
    แต่เธอตกเป็นเหยื่อของความเชื่อในแง่ลบของตนเอง

    เราทุกคนสามารถแก้ไขการตกเป็นเหยื่อความเชื่อในแง่ลบของตนเองหรือตกเป็นเหยื่อของกรรมชั่วของตนเอง ได้ด้วยการเข้าถึงแก่นแท้ของจิตวิญญาณหรือเข้าถึงแก่นแท้ของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเองและผู้อื่นได้ด้วยการรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเพราะจิตวิญญาณทั้งหลายล้วนมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน การเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบเห็นแก่ได้หรือการประพฤติไม่ชอบธรรมทั้งหลายที่ดูเสมือนเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อประโยชน์สุขส่วนตนนั้นจึงเป็นการเบียดเบียนหรือประพฤติไม่ชอบธรรมต่อตนเอง

    เราจะรู้ได้ไม่ยากว่าเรากำลังใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่บวกหรือลบสร้างโลกแห่งความเป็นจริงอยู่เพราะเราย่อมจะรู้สึกเป็นสุขกับการสร้างสรรค์โลกแห่งความเป็นจริงด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่บวกหรือสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยกรรมดีเสมอ<?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape id=_x0000_i1027 style="WIDTH: 14.25pt; HEIGHT: 14.25pt" alt="" type="#_x0000_t75"> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\Admin\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image003.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/rose.gif"></v:imagedata></v:shape>
    dannce_dannce_dannce_<O:p</O:p
     
  4. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    น่าสนใจดีค่ะหนังสือชื่ออะไรคะ? ใครเขียนเอ่ย?
    สัจจะ ก็คือความจริง
    หากมีสัจจะตั้งไว้ในจิตอยู่ตลอดเวลา
    เราก็จะเจอแต่ความจริง
    สิ่งหลอกลวงก็ไม่สามารถเข้ามาใกล้เราได้
    เคยได้ยินคำว่า " วาจาศักดิ์สิทธิ์ " มั้ย?
    พูดคำไหนคำนั้นย่อมเป็นจริง..
    ผู้มีพลังจิตสูง.. จึงต้องระมัดระวังคำพูดของตนเองอยู่เสมอ
    ไม่พูดหรือคิดไปในทิศทางที่เป็นลบ..
    เพราะอาจส่งผลต่อ.. อย่างรุนแรงได้
    อ้าว.. ออกนอกเรื่องอีกแร้ววเรา.. เอิ๊ก..
    (tm-love)(tm-love)(tm-love)
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ด้วยอำนาจสัจจะ ****

    สัจจะ...สร้าง "การกระทำใหม่"
    ไม่ให้ตามใจ ตามนิสัยสันดาน

    สัจจะ....สร้าง "การกระทำเที่ยง"
    เที่ยงด้วย ปาก ใจ และ ปฏิบัติ

    การกระทำเที่ยง...ย่อมมี "ผลตอบแทนเที่ยง"

    เพราะด้วย อำนาจสัจจะธรรม
    ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน

    เมื่อการกระทำเที่ยง ผลตอบแทนก็ย่อมเที่ยง
    เมื่อการกระทำไม่เที่ยง เช่น ไม่เจตนาทำ ผลตอบแทนจึงย้อนกลับมาแบบไม่เจตนาให้เกิด

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    คำถามจาก Einstein Zipper

    คุณ Zipper เค้าเป็นคริสเตียนที่น่ารักมั่กๆ เลยค่ะ:cool:
    ...........................................
    การที่เค้าว่าทำบุญหรือทำกรรมกับสัตว์ใหญ่แล้วมีผลแรงกว่าทำกับสัตว์เล็กนั่นจะเพราะด้วยว่าสัตว์ใหญ่มีจิตวิญญาณรวมกันมากกว่าสัตว์เล็กด้วยหรือเปล่าครับอันนี้มองในมุมมองที่ว่าจิตวิญญาณเปรียบเหมือนเซลที่ประกอบร่างกันสัตว์ใหญ่จึงมีจิตวิญญาณรวมกันมากกว่าสัตว์เล็ก
    __________________________
    จิตวิญญาณ ปราศจากปริมาตรหรือปริมาณ ปราศจากหน่วยนับและไม่อาจคำนวณได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์. เพราะจิตวิญญาณคือข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    <O:pความรู้เป็นสิ่งที่ไม่อาจวัดขนาดและปริมาณได้แต่ความรู้เปลี่ยนแปลงผู้รู้เสมอ <O:p</O:p

    แม้เราจะใช้คำว่า รู้มาก-รู้น้อย รู้แคบ-รู้กว้าง รู้ตื้น-รู้ลึกคำกล่าวเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นเพียงการเปรียบเทียบและคาดคะเนจากความเชื่อหรือมุมมองส่วนบุคคลที่ปราศจากหน่วยนับ และไม่อาจคำนวณได้เพราะเราไม่อาจวัดความรู้ทั้งหมดในบุคคลตัวตนหนึ่งๆได้อย่างแท้จริง.การสอบหรือวัดผลต่างๆก็เป็นเพียงการวัดด้วยมาตรฐานจำเพาะหนึ่งต่อสถานการณ์จำเพาะหนึ่งๆเท่านั้น <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในนัยนี้ จิตวิญญาณ หรือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ที่ปรากฏในสัตว์ใหญ่ เช่น วัวอาจชัดเจนและส่งผลกระทบต่อชีวิตอื่นๆและสิ่งแวดล้อมมากกว่าจิตวิญญาณที่ปรากฎในสัตว์เล็กเช่นยุงหรือแมลงต่างๆ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หากเรานำเอาหน่วยนับ-ปริมาณหรือปริมาตรมาเกี่ยวข้อง<O:p</O:p
    ซากวัวหนึ่งตัวส่งผลกระทบต่อชีวิตอื่นๆและสิ่งแวดล้อมมากกว่าซากยุงหนึ่งตัวอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในทางตรงกันข้าม ซากยุงนับล้านตัว อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตอื่นๆและสิ่งแวดล้อมมากกว่าซากวัวตัวเดียวอย่างมหาศาล<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เนื้อวัว-จากวัวหนึ่งตัวสามารถเป็นอาหารที่เลี้ยงชีวิตอื่นๆ-ทุกขนาด-ได้หลายชีวิตแต่เนื้อของสัตว์เล็กเพียงหนึ่งตัว-อาจเลี้ยงได้เพียงชีวิตของสัตว์เล็กๆเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    " ขนาด " และ " ปริมาณ " ของสัตว์ จึงเป็นมาตรวัดที่นำมาใช้ตัดสินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์จำเพาะหนึ่งๆเท่านั้นเราจึงไม่อาจนำเอาจิตวิญญาณไปเปรียบเทียบกับเซลล์ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีหน่วยนับมีขนาดและปริมาตรที่คำนวณได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ขนาดและปริมาณ เป็นเพียงสมมุติฐานที่มนุษย์ตั้งขึ้นแต่มนุษย์ก็ใช้ขนาดและปริมาณ เป็นมาตรวัดและมาตรฐานของทุกสิ่งทุกอย่างจนเคยชิน.จนกระทั่ง-ขนาดและปริมาณ-กลายเป็นสิ่งที่เราเชื่อถือว่า-เป็นความเป็นจริงไปโดยปริยาย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    บางลัทธิมีความเชื่อในการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยสัตว์ใหญ่น้อยที่เป็นอาหารของมนุษย์รวมถึงผู้ที่เชื่อในการทำบุญหรือทำกรรมกับสัตว์ใหญ่แล้วมีผลแรงกว่าทำกับสัตว์เล็กแต่ก็ทำการบูชาในพิธีกรรมเหล่านั้นด้วยหัวหมู. เป็ด-ไก่ และมีความ "สุขใจ" - "อิ่มเอิบ " กับการบูชานั้นๆ

    [​IMG]

    ชาวคริสเตียนเชื่อว่า ปลาเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานให้มวลมนุษย์และปลาก็เป็นสัตว์น้ำที่มีมากที่สุดในโลก
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ชาวอิสลามเชื่อว่าหมูเป็นสัตว์ที่สกปรกที่สุดในโลกเพราะหมูบริโภคทุกสิ่งทุกอย่าง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ชาวฮินดูไม่กินเนื้อเพราะวัวให้น้ำนมที่หล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์แต่แรกเกิดจวบจนสิ้นอายุขัย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ชาวธิเบตมีความเชื่อว่า จิตวิญญาณของบุคคล ที่เขารักและผูกพันธ์จะไปเกิดในร่างของสิ่งมีชีวิตทุกสัณฐานไส้เดือนตัวหนึ่ง-จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยจิตวิญญาณของบิดามารดาของเขาและในขณะเดียวกัน. ตัวลามาหนึ่งตัว ซึ่งใหญ่พอๆกับม้าหรือย่อมพอๆกับลาก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยจิตวิญญาณของบิดามารดาของเขาด้วยเช่นกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    จิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ปราศจากเจ้าของ และผ่านเข้าออกทุกอนูของสรรพสิ่งทั้งหลายเช่นเดียวกันกับอากาศ จิตวิญญาณเป็นข้อมูลความรู้ที่ถ่ายทอดได้ไม่มีวันสิ้นสุด.มุมมองของชาวพุทธธิเบตที่ดูเสมือนเป็นเพียง-ความเชื่อ.จึงเป็นความเข้าใจในธรรมชาติของจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งและเป็นธรรมชาติที่สุดซึ่งทำให้ชาวธิเบตละเว้นการล่วงละเมิดธรรมชาติในทุกรูปแบบ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ท่านอจ.อนาลัยได้ให้คำจำกัดความของ " กรรม " ไว้ว่า กรรมคือความรู้สึกผิดในระดับจิตใต้สำนึกของจิตวิญญาณ<O:p</O:p
    จิตวิญญาณตระหนักในคุณค่าของธรรมชาติเสมอ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ต่อคำถามข้างต้น :<O:p</O:p
    การกระทำในสิ่งที่ก่อให้เกิด"กรรม"หรือ"ความรู้สึกผิด"ต่อธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อระดับหนึ่ง ความไม่รู้ระดับหนึ่งและความรู้อีกระดับหนึ่งและไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดหรือปริมาณของจิตวิญญาณในสัตว์ขนาดต่างๆซึ่งวัดไม่ได้
    แต่ไม่ว่าแต่ละบุคคลจะรู้สึกผิดได้มากน้อยเพียงใดด้วยความเชื่อส่วนบุคคลหรือส่วนรวมของลัทธิด้วยความไม่รู้หรือด้วยความรู้ ในที่สุดแล้วจิตใต้สำนึกอันเป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณซึ่งเป็นอิสระจากเครื่องพรางและเชื่อมต่อกับพื้นฐานของพลังชีวิตของจักรวาลโดยตรงปราศจากความบิดเบือนด้วยความเชื่อ จะทำให้บุคคลตระหนักได้ว่าการล่วงละเมิดธรรมชาติจะทำให้ธรรมชาติไม่อาจค้ำจุนบุคคลหรือสิ่งมีชีวิตนั้นๆต่อไปได้.เช่นเดียวกับการฆ่าสัตว์ที่กินแมลง จนก่อให้เกิดปัญหาแมลงทำลายพืชพันธุ์การล่าสัตว์บางชนิดจนกระทั่งสูญพันธุ์รวมถึงการฆ่าโดยไม่เจตนาในวงกว้างเช่นในกรณีเรือน้ำมันล่มในท้องทะเลซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์วิทยาอย่างแก้ไขไม่ได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ด้วยรักและปรารถนาดี<O:p</O:p
    พี่นักเขียน
    :z2:z2:z2<O:p</O:p
     
  7. เลขโนนสูง

    เลขโนนสูง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2010
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +825
    เธอทั้งหลายไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์เลวร้ายทั้งหลายในชีวิตของเธอ
    แต่เธอตกเป็นเหยื่อของความเชื่อในแง่ลบของตนเอง

    ชอบเป็นการส่วนตัวครับ ^__^
     
  8. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ตามให้กำลังใจท่านจขกท.ด้วยคน สู้ๆๆ...เดินหน้าต่อไปเพื่อสิ่งที่ตั้งใจจะบรรลุในเร็ววัน ติดตามท่านมานานแล้ว ท่านเป็นบุคคลที่น่าศรัทธาคนนึงของบอร์ดนี้ ขออนุโมทนาด้วยใจจริง
     
  9. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอขอบคุณคุณ RINVARA มั่กๆ ค่ะที่ตามมาให้กะลังจายกัน ^_^

    [​IMG]

    พึ่งให้รางวัลกะตัวเองด้วยการไปสูดโอโซนแถววังน้ำเขียวมา แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชม อิอิ..
    อากาศสดชื่นจิงๆ เรยย.. ใครมีโอกาสก็ลงไปดูค่ะ
    ที่นี่มีวัวกะทิงเป็นสัญญลักษณ์แต่ไม่ค่อยออกมาให้เราดูเท่าไหร่ ต้องมีผู้ชำนาญพาไปดู
    แถวนั้นมีวัดสายวัดป่าเยอะเรย ได้บรรยากาศไปอีกแบบนึงค่ะ
    อ้อ.. ตอนเด็กๆ นะเคยไปธุดงค์กับพระแถว อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มาด้วยแหล่ะ..
    ไปกะคุณป้าของเพื่อนที่เค้าทำอาหารมังสวิรัติ์ ตอนนั้นก็คิดว่าจาไปเที่ยว
    พอไปด้วยพระท่านบอกว่าต้องข้ามภูเขาไป 6 ลูกนะ จึงจะถึงที่พัก
    เอาวุ้ย.. ไปก็ไป ยังงัยก็เที่ยวฟรี อิอิ..
    ตอนแรกก็ทำเป็นเก่งเดินนำเค้าไปลิ่วๆ ด้วยความภาคภูมิใจ 55++
    พอขึ้นเขาไปได้สองลูกพระที่ตามๆ เรามาท่านเดินนำไปลิ่วๆ มะรอเราเรยย
    อ๋อ.. เหลือพระอยู่ 1 องค์รั้งท้ายไว้ ท่านแบกกะสอบอะรัยก็ไม่รู้ ( เข้าใจว่าเป็นอาหารแห้ง ) ใบเบ่อเริ่มเรยยย..
    ไอ้เราจิเดินตัวเปล่าไม่ได้แบกอะรัยเลย พอเดินไปถึงภูเขาลูกที่ 5
    ก็บอกคุณป้าว่า นู๋เดินต่อไปม่ายไหวแย้ววค่ะ ขอนั่งพักก่องนะคะ
    ทีนี้.. พระสงฆ์ที่เดินรั้งท้ายอยู่ท่านก็บอกด้วยความเมตตาว่า
    เอางี้โยม.. โยมจับไม้เท้าอาตมาไว้ แล้วท่านก็ลากๆๆๆ ข้าพเจ้าไปจนถึงที่พัก เอิ๊กๆๆ
    ที่นี้ท่านก็อธิบายให้ฟังว่า ช่วงเริ่มต้นเดินธุดงค์นี่นะเค้าจะต้องมีการวอร์มร่างกาย
    ด้วยการเดินช้าๆ ก่อน ไม่ใช่พอมาถึงก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินๆๆ จะหมดแรงเอาได้ ฮา
    แต่จำได้ว่าตอนนั้นเราจะเหมือนอยู่คนละโลกกับปัจจุบันเลยอ่ะ..
    ตอนไปยืนจุดที่สูงที่สุดของภูเขา.. เราจะเห็นภูเขาซ้อนๆๆ กัน ไปไกลสุดลูกหูลูกตาเลย
    ธรรมชาติช่วงงดงามอะไรเช่นนี้หนอ? เอ่อ.. ชักจะเพ้อเจ้อแล้วเรา อิอิ
     
  10. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เห็นมีคนสนใจเรียนวิชาพลังจักรวาล ลองศึกษาจากที่นี่ก่อนนะคะ :cool:
    และรู้สึกว่ามูลนิธินี้กำลังจะเปิดสถาบันวิจัยทางด้านจิตวิญญาณที่เป็นวิทยาศาสตร์
    ตั้งอยู่ในประเทศไทยและจะเป็นศูนย์กลางไปทั่วโลก
    ตามเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์ใหญ่เลือง มินห์ ด๋าง ก่อนที่จะเสียชีวิต เมื่อปี 2550
    Spiritual Science for Development Foundation

    http://palungjit.org/threads/ปัญญา-and-ความรู้แจ้ง-สาส์นแด่มนุษยชาติในยุคปัจจุบัน.226106/page-11

    สำหรับฆราวาส ถ้าคุณ triangle-w สอนฟรีให้เมื่อไหร่จะส่งข่าวให้ทราบอีกทีค่ะ
    qsquqsquqsqu
     
  11. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130
    สวัสดีครับ คุณ khajornwan ไม่ได้เข้ามาอ่านหลายวัน มีข้อความดีๆเยอะเลยอ่านแล้วรู้สึกเบาสบายดีจังขอบคุณนะครับ แต่พอดีนึกได้ว่าหัวข้อกระทู้นี้คือ

    "คุณคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนามีความสัมพันธ์กันหรือไม่?"


    นั่งคิดสักพัก เอ้!! อะไรคือ วิทยาศาสตร์ อะไรคือ ศาสนา จากหัวข้อนี้ จะยกอะไรมาเปรียบเทียบดีหน๊อ!! คิดไปคิดมา ก็เลยสุ่มเดาเอาว่า
    • วิทยาศาสตร์ ก็คือ เจ้า คอมพิวเตอร์ที่จิ้ม ต๊อกแต๊กๆ อยู่นี่เอง
    • ศาสนา ก็คือ ข้อความหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์ศาสดา ที่ท่านทั่งหลายเอามาลงในกระทู้นี้หรื่อเวปนี้ นี่เอง
    มันน่าจะสัมพันธ์กันนะ เพราะผมเห็นทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนาอยู่ในที่เดียวกันพร้อมๆกันด้วยในตอนนี้ ( ขอโทษนะครับหากไม่ถูก เพราะผมเดาเอาเอง )

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  12. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เช้าวันนี้ตื่นนอนขึ้นมาด้วยความรู้สึกอึดอัดในใจอย่างบอกไม่ถูก พอนั่งนิ่งลงสักครู่ก็นึกขึ้นได้ถึง post นี้ จิตเค้าคงไม่ต้องการให้ใครมามอบความศรัทธาให้เค้า จึงรู้สึกอึดอัดใจมังคะ? หลายๆ ครูบาอาจารย์เคยสอนไว้ท่านสอนให้เรามอบความรักความศรัทธาให้กับจิตวิญญาณเราเองก่อนเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเราเอง ไม่หลงไปตามการชักจูงของบุคคลอื่น และก่อนจะเชื่อสิ่งใดให้เราคิดพิจารณาก่อนเสมอว่าสมควรจะเชื่อหรือไม่? จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญา.. ต้องขอโทษคุณ RINVARA ด้วยนะคะที่มีความคิดเห็นขัดแย้งน่ะค่ะ ^_^
    :z14:z14:z14
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2010
  13. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    Ricahrd Rileyอดีต Secretary of Education กล่าวว่า
    อาชีพที่เป็นที่ต้องการที่สุดในปี 2010 จะเป็นอาชีพที่ไม่เคยมีมาก่อนเมื่อปี 2004

    ครูทั้งหลายกำลังอยู่ในยุคสมัยที่ต้องเตรียมความพร้อมให้นักเรียนนักศึกษา
    สำหรับอาชีพที่ยังไม่เคยมีมาก่อน

    และต้องสอนให้นักเรียนนักศึกษาใช้เทคโนโลยีที่ไม่เคยถูกคิดค้นขึ้นมาก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะแก้ปัญหาที่เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเป็นปัญหา

    ทายสิว่าประเทศใดคือ
    ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
    ประเทศที่มีกองทัพใหญ่ที่สุดในโลก
    ประเทศที่เป็นศูนย์กลางของธุรกิจและการเงินของโลก
    ประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุด
    ประเทศที่เป็นศูนย์กลางของนวตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
    ประเทศที่มีค่าเงินเป็นมาตรฐานของโลก
    ประเทศที่มีมาตรฐานความเป็นอยู่สูงที่สุด

    คำตอบ : ประเทศอังกฤษ..........เมื่อปี 1900

    ท่านทราบไหมว่า
    สหัรฐ เป็นอันดับที่ 19 ของประเทศที่ใช้ Internet Broadband มากที่สุดในโลก (Luxembourg เพิ่งจะแซงหน้าสหัรัฐไป)

    Nintendo ลงทุนกว่า $140 ล้านในปี 2002 เพียงปีเดียวเพื่อวิจัยและพัฒนา
    รัฐบาลของสหัรฐลงทุนน้อยกว่านี้ครึ่งหนึ่งเพื่อการวิจัยและพัฒนาการศึกษา

    1ใน 8 ของคู่สมรสในอเมริกา รู้จักกันทาง on-line

    มีผู้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก MySpace กว่า 106 ล้านคน (เมื่อ September 2006))
    หากว่า MySpace เป็นประเทศมันจะเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 11 ของโลก
    (มีจำนวนประชากรอยู่ระหว่างญี่ปุ่น กับ Mexico)

    MySpace แต่ละหน้ามีผู้อ่านประมาณ 30 ครั้งต่อวัน

    [​IMG]

    ท่านทราบไหมว่า....

    เรากำลังอยู่ในยุคสมัยที่โลกรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว

    มีผู้ใช้ Google เพื่อค้นหาข้อมูล 2,700,000,000 ( สองพันเจ็ดร้อยล้าน)รายต่อเดือน
    (Before Google - B.G. ไม่ใช่ Before Christ - B.C. ก่อนกำเนิดพระเยซู - พี่นักเขียนแทรกค่ะ) ก่อนหน้าที่จะมี Google ใครล่ะตั้งคำถามเหล่านี้ ?

    ณ วันนี้ จำนวนผู้ส่งและรับ text message ต่อวัน มากกว่าจำนวนประชากรของโลกเสียอีก

    ภาษาอังกฤษมีคำศัพท์ทั้งหมด 540,000 คำ
    ซึ่งมากกว่าคำศัพท์ที่ปรากฏในยุคสมัยของเชคเสปียร์ถึง 5 เท่า

    มีหนังสือใหม่ๆกว่า 3,000 เล่มได้รับการตีพิมพ์.....ทุกวัน

    ข้อมูลที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ New York Time ภายในช่วงเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์
    มีปริมาณมากกว่าข้อมูลที่ปรากฏตลอดชั่วชีวิตของคนในสมัยศตวรรษที่ 18

    ภายในปีนี้เพียงปีเดียว ข้อมูลที่มีสาระเป็นเอกลักษณ์จะถูกสร้างขึ้นเป็นปริมาณ 1.5exabyte (1.5x10 ยกกำลัง18)
    ซึ่งเป็นปริมาณข้อมูลที่มากกว่าข้อมูลในโลกที่ผ่านมาทั้งหมด 5,000 ปีรวมกัน

    ปริมาณของข้อมูลทางด้านเทคโนโลยีมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ทุกๆสองปี
    ซึ่งหมายความว่าครี่งหนึ่งของข้อมูลความรู้ที่นักศึกษาที่เรียนหลักสูตร 4 ปีในสาขาวิชาเกี่ยวกับเทคโนโลยี จะกลายเป็นข้อมูลที่ล้าสมัยเมื่อพวกเขาขึ้นปีสาม
    คาดว่าเมื่อถึงปี 2010 ปริมาณของข้อมูลจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว ทุกๆ 72 ชั่วโมง

    NEC กับ Alcatel ได้ทดลอง fiber optics cable ยุคที่สาม และสามารถส่งผ่านข้อมูลได้ 10 ล้าน-ล้าน bits ต่อวินาที (1,000,000,000,000 or 10 ยกกำลัง 12) ผ่าน fiber optics เพียงเส้นเดียว
    ปริมาณข้อมูลเหล่านี้เทียบเท่า CD 1,900แผ่นหรือการโทรศัพท์พร้มอกันทีเดียว 150 ล้านสายในเวลาทุกๆ 1 วินาที

    ปริมาณข้อมูลที่ส่ง fiber optic cable จะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าทุกๆ 6 เดือน
    และคาดว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปในช่วง 20 ปีข้างหน้า


    เส้นใยแก้วมีพร้อมอยู่แล้ว
    พวกเขาเพียงแต่พัฒนาสวิทช์ที่ปลายทั้งสองข้างของมันเท่านั้น
    ซึ่งหมายถึงว่าเงินลงทุนสำหรับการพัฒนาการส่งผ่านข้อมูลให้มีประสิทธิภาพในครั้งนี้
    คือ $0

    คาดว่า ePaper หรือกระดาษอิเลคโทรนิคจะมีราคาถูกกว่ากระดาษจริงๆ

    laptops 47 ล้านเครื่องถูกส่งไปจำหน่ายทั่วโลกเมื่อปีที่แล้ว
    โครงการ laptops ราคา $100 จะถูกส่งไปให้เด็กๆในประเทศด้อยพัฒนาปีละ 50-100 ล้านเครื่อง

    เมื่อถึงปี 2013 มนุษย์จะสามารถสร้าง Supercomputer ที่มีความสามารถในการคำนวณล้ำหน้าความสามารถของสมองมนุษย์

    เมื่อถึงปี 2023 เด็กนักเรียนชั้นประถมหนึ่ง จะมีอายุ 23 ปี
    และเริ่มทำงานอาชีพแรก......

    แม้ว่าการคาดการณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีไกลกว่า 15 ปีข้างหน้าจะเป็นสิ่งที่ได้ยาก
    แต่ก็มีการคาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี 2049 computer ราคาเพียง $1,000 จะมีความสามารถในการคำนวณเทียบเท่าความสามารถในการคำนวณของเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ทั้งโลกรวมกัน

    ทั้งหมดนี้ มีความหมายอย่างไร?

    ความผกผันกำลังเกิดขึ้น
    และคุณได้ทราบแล้ว........

    พี่นักเขียนมาชวนพวกเราขบคิดและแสดงความเห็นว่า
    การที่โลกผกผันไปเช่นนี้มีความหมายและส่งผลกระทบต่อเรา ในนัยของการพัฒนาจิตวิญญาณอย่างไรบ้าง?
    (f)(f)(f)<?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape id=_x0000_i1025 style="WIDTH: 14.25pt; HEIGHT: 14.25pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\Admin\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/rose.gif"></v:imagedata></v:shape>
    <O:p</O:p
     
  14. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    Beam-In Technology (Hologram)

    พี่นักเขียนนำเรื่องราวเกี่ยวกับ Technolgoy มาให้พวกเราดูกัน
    ไม่ใช่ว่าเพราะพี่นักเขียนเป็นผู้ที่ชอบใช้เทคโนโลยีเท่านั้น
    แต่เป็นเพราะพี่นักเขียนเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏในโลกทางกายภาพของเรา
    เป็นภาพสะท้อนของจิตวิญญาณหรือภาพสะท้อนของข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพที่ถ่ายทอดด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอีกทีหนึ่ง

    สิ่งที่เคยเป็นเพียงจินตนาการในที่สุดก็กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกทางกายภาพ
    เมื่อ Nov. 4 ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันเลือกตั้งของที่นี่ TV ช่อง CNN ได้ Beam-In นักข่าวและผู้ที่เขาต้องการสัมภาษณ์ ซึ่งอยู่ที่รัฐอื่นๆเข้ามายังห้องส่งภาพที่ปรากฏเป็นบุคคลซึ่งเป็นสามมิติคล้ายคนจริงๆ แต่มีแสงเรืองรองเป็น Hologram ไม่ต่างไปจากภาพที่เราเคยเห็นในภาพยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการของ Gene Roddenberry ผู้สร้าง Star Trek และ Beam-In technology ซึ่งเป็น Technology ในจินตนาการเมื่อ 45 ปีมาแล้ว และดูเสมือนว่า เป็นเพียงเรื่องฝันเฟื่องในสมัยนั้นและดูเสมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเป็นจริงหรือเป็นสิ่งที่หลายคนจะเห็นได้ในชั่วชีวิตนี้

    ทั้งหมดนี้ทำให้พี่นักเขียนคิดถึงคำกล่าวของท่านอาจารย์อนาลัยและได้มีโอกาสพิสูจน์คำกล่าวของท่านอีกครั้งว่าจินตนาการเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นจริงทั้งหลาย

    สิ่งที่ดูเสมือนจะไกลโพ้น สุดเอื้อมเป็นไปไม่ได้
    หลายสิ่งก็ได้เกิดขึ้น เพียงแค่เอื้อมและเป็นไปได้แล้วมากมายในโลกของเรา

    กฏเกณฑ์อันเข้มงวดของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาที่ดูเสมือนจะเคยเป็นอุปสรรคที่ทำให้มนุษย์เราเชื่อว่าหลายสิ่งหลายอย่างเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ดูเสมือนจะอ่อนกำลังลงไปทุกทีในโลกมนุษย์

    ปริมาณและความรวดเร็วของข้อมูลความรู้ที่เราทั้งหลายสามารถรับได้ในวันนี้ซึ่งข้ามกฏเกณฑ์ของช่องว่างระยะทางและกาลเวลายิ่งขึ้นเรื่อยๆน่าจะเป็นภาพสะท้อนให้เรามองเห็นได้ว่า ในที่สุดแล้วจิตวิญญาณในร่างมนุษย์ จะพยายามทุกวิถีทางที่จะใช้พลังอำนาจตามธรรมชาตินอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาอันเป็นธรรมชาติที่ปราศจากเครื่องพราง

    [​IMG]

    ผู้ที่ใช้เทคโนโลยีมักจะติดเทคโนโลยี ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเทคโนโลยีทำให้เราสะดวกสะบายขึ้นเท่านั้นแต่เทคโนโลยีทำให้เราสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้-รวดเร็วทันใจคำว่า-รวดเร็วทันใจ-น่าจะทำให้เราค้นพบได้ว่าเทคโนโลยีทำหน้าที่ได้เหมือนใจหรือเหมือนจิตวิญญาณของเรา

    ผู้ที่เป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยีสามารถเรียนรู้เทคโนโลยีได้ แต่อาจจะะน้อยกว่า ผู้สร้างสรรค์หรือคิดค้นเทคโนโลยีฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ที่ไม่ทำสมาธิสามารถที่จะเรียนรู้ภาวะจิตหรือภาวะจิตวิญญาณของตนเองได้แต่อาจจะน้อยกว่าผู้ที่ทำสมาธิเป็นประจำหรือพยายามฝึกฝนที่จะสัมผัสรู้ถึงอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเองอย่างสม่ำเสมอ

    แต่ไม่ว่าเราจะขยันทำสมาธิเป็นประจำหรือไม่ก็ตาม ความเข้าใจในพื้นฐานที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏด้วยเทคโนโลยี ซึ่งมักเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้เป็นภาพสะท้อนอันเป็นรูปธรรมของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอันสร้างสรรค์-รุนแรง-ของผู้สร้างจะทำให้เราตระหนักได้ไม่มากก็น้อยว่าภาวะจิตวิญญาณหรือกลไกของจิตวิญญาณซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่รุนแรง-ของตนเองก่อให้เกิดสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกทางกายภาพของเราเช่นกัน
    (one-eye)(one-eye)(one-eye)<?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:stroke joinstyle="miter"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"></v:f><v:f eqn="sum @0 1 0"></v:f><v:f eqn="sum 0 0 @1"></v:f><v:f eqn="prod @2 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @0 0 1"></v:f><v:f eqn="prod @6 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="sum @8 21600 0"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @10 21600 0"></v:f></v:formulas><V:p
     
  15. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    หวัดดีค่ะคุณไอน์สไตน์ ยังรู้สึกอายอยู่เลยค่ะที่จำผิดจำถูกกับคุณนิวตัน.. อิอิ แต่ก็ดีจัยค่ะที่แวะมาพูดคุยกันอีก คิดถึงคิดถึง:cool:

    ใช่เลยค่ะ.. ว่ากันว่าคอมพิวเตอร์ที่เรากะลังพิมพ์กันก๊อกแก๊กๆ อยู่นี้ ก็เป็นจินตนาการของจิตวิญญาณที่ปรารถนาจะนำมาใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างกายเนื้อจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง ด้วยภาพ, ด้วยเสียงหรือเป็นตัวอักษรก็ได้ หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือที่พวกเรากะลังใช้งานกันอยู่ก็เกิดจากจินตนาการของความสะดวกสบายในการสื่อสารเช่นกัน ในเชิงจิตวิญญาณเค้าคงจะเรียกกันว่า “ โทรจิต ” เน๊อะ
    <O:p</O:p
    หากพูดถึงว่าอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์บ้าง? ถ้าเรามองไปในอากาศนักเคมีก็คงจะนึกถึงตารางธาตุว่าจะมีธาตุอะไรอยู่ในนั้นบ้าง? มีคุณสมบัติทางเคมีอย่างไร? ดูดหรือคายความร้อน? แต่ถ้าเป็นนักฟิสิกส์เค้าก็คงจะนึกถึงการวิ่งชนกันระหว่างอะตอม, โมเลกุลต่างๆ ว่ามีความเร็วเท่าไหร่? มีแสง, สี, เสียงไหม? เวลาที่อะตอมเหล่านั้นวิ่งกระทบกัน หรือแม้กระทั่งคลื่นความถี่และพลังงานต่างๆ แล้วถ้าเป็นนักชีววิทยาล่ะ เค้าก็คงจะนึกถึงก๊าชต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับกระบวนการหายใจของมนุษย์และสัตว์ รวมไปถึงขบวนการสังเคราะห์แสงเพื่อผลิตอาหารของพืชรึเป่าน้อ?
    <O:p</O:p
    สำหรับศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของจิตวิญญาณนั้น เค้าจะนึกถึงทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เค้าก็จะมองว่า อากาศมีก๊าซ O2, CO2, NO3 ฯลฯและในระหว่างอะตอมและโมเลกุลเหล่านั้นจะมีพลังงานจำนวนหนึ่งที่สามารถเหนี่ยวรั้งกันไว้หรืออาจจะผลักกันก็ได้ O2 ตัวนี้อาจจะไปเกาะกับธาตุชนิดใดก็ได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการดูดความร้อนหรือคายความร้อนก็ได้ และอาจจะก่อให้เกิดเสียงเช่นฟ้าร้องหรือก่อให้เกิดแสงเช่นฟ้าแลบก็เป็นได้ ในขณะเดียวกัน O2 อีกตัวหนึ่งอาจจะถูกมนุษย์หายใจเข้าไปในร่างกายด้วยแรงดึงดูดปริมาณหนึ่งแล้วคายเอา CO2 ออกมา แล้วพืชก็นำ CO2 ไปสังเคราะห์แสงต่อ เฮอเฮอ..
    <O:p</O:p
    จะเห็นได้ว่าการศึกษาในแง่ของจิตวิญญาณนั้นเค้าจะศึกษาเรื่องนั้นๆ ในทุกแง่ทุกมุมของปรากฏการณ์นั้น ในเชิงจิตวิญญาณเค้าจะให้ความสำคัญแม้กระทั่งก้อนหินดินทรายที่เราเหยียบย่ำ ในน้ำ ในวัตถุของแข็งทั้งหลายล้วนมีพลังงานที่ดึงดูดเหนี่ยวรั้งกันไว้ เพื่อให้วัตถุนั้นสามารถคงสภาพอยู่ได้ หากวัตถุนั้นมีแรงเหนี่ยวรั้งกันมากเท่าใดเค้าก็จะแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น มนุษย์เราก็เช่นกัน หากเรามีพลังความรักความสามัคคีกันมากเท่าไร ก็ยากที่สิ่งเร้าภายนอกจะมาทำลายลงได้
    <O:p</O:p
    ในระดับจักรวาลเองก็เช่นกันการที่ดาวนพเคราะห์มีความสามารถหมุนรอบตัวเอง และหมุนไปรอบๆ ดวงอาทิตย์ หรือหมุนไปมาระหว่างกันได้โดยไม่ได้ไปชนกันอย่างที่เราคิดกันนั้นเป็นเพราะอะไรหรือ? คิดว่าน่าจะมีแรงบางอย่างที่มาเหนี่ยวรั้งกันไว้ในปริมาณหนึ่งเช่นกันจึงจะสามารถโคจรกันไปมาได้จนถึงทุกวันนี้
    <O:p</O:p
    แล้วพลังงานเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากไหน?:boo:
    <O:p</O:p
    กล่าวโดยสรุปก็คือว่า การเรียนรู้ในเรื่องของจิตวิญญาณสามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์เองก็สามารถอธิบายถึงปรากฏการณ์ต่างๆ ของจิตวิญญาณได้ด้วยทฏษฏีที่ได้รับการทดสอบทดลองแล้ว่าเป็นจริง
    <O:p</O:p
    ในแง่ของศาสนานั้น หากเราเปิดใจและวิเคราะห์กันด้วยเหตุด้วยผลแล้ว จะพบว่าทุกศาสนามีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัย ในยุคใหม่นี้เรามักจะได้ยินใครต่อใครพูดกันมาแล้วว่า “ ทุกศาสนารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ” แล้วอะไรนะที่จะช่วยทำให้ความเชื่อหลายๆ ความเชื่อเป็นหนึ่งเดียวกันได้ และในขณะเดียวกันก็สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ได้ว่าเป็นจริง
    <O:p</O:p
    เราพอจะยอมรับกันได้หรือไม่ว่า มนุษย์ทุกเชื้อชาติ ศาสนา บนโลกใบนี้ประกอบด้วยกายเนื้อที่เราทุกคนมองเห็นและจิตวิญญาณที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และคิดว่านับจากนี้เป็นต้นไปวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณนี่เองที่จะเข้ามาช่วยประสานความเข้าใจกันระหว่างศาสนาทุกๆ ศาสนาไว้ด้วยกัน โดยไม่มีข้อโต้แย้ง.. เพื่อนๆ มีความคิดเห็นเป็นเช่นไร เชิญได้เลยนะคะ
    (kiss)(kiss)(kiss)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2010
  16. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ส่งมานิดๆ หน่อยๆ หุหุ..:boo:
    ....................................
    ผู้ที่ศึกษาศาสนาต่างๆของโลกย่อมตระหนักดีถึงความเป็นจริงที่ว่า
    พระเยซูเกิดก่อนคริสตศาสนา
    พระพุทธองค์ เกิดก่อนพุทธศาสนา
    ท่่านโมฮัมมัดเกิดก่อนศาสนาอิสลาม
    ชนเผ่าอารยัน ผู้ให้กำเนิดความเชื่อในนัยของศาสนาฮินดูเกิดก่อนศาสนาฮินดูถึง 5,000 ปี

    ซึ่งหมายความว่า ศาสนาทั้งหลายในโลกก่อตั้งขึ้นภายหลังที่องค์ศาสดาทั้งหลายได้สิ้นไปแล้วศาสนาทั้งหลายในโลกเกิดขึ้น
    เพื่อการ "แบ่งแยก"
    เพื่อการ "ปกครอง"
    เพื่อการ "สร้างวินัย" สำหรับกลุ่มชน

    ศาสนาจึงมีเหตุและผลจำเพาะอื่นๆอันเป็นเหตุผลส่วนกลุ่มของผู้นำศาสนาซึ่งนอกเหนือไปจากการถ่ายทอดข้อมูลความรู้อันเป็นของกลาง

    พี่นักเขียนสนใจที่จะศึกษาศาสนาทุกศาสนาในโลกและไม่ได้มีความเชื่อว่า ศาสนาใดเพียงศาสนาเดียวในโลกคือศาสนาที่ดีที่สุดและถูกต้องที่สุดเพียงศาสนาเดียว

    พี่นักเขียนเชื่อว่า ทุกศาสนารับเอาข้อมูลความรู้อันเป็นของกลางและเป็นธรรมชาติไว้ ศาสนาละส่วน หากเราได้มีโอกาสศึกษาทุกศาสนา เราจะพบว่าข้อมูลส่วนที่ปราศจากการขัดแย้งในทุกศาสนา คือ ธรรมชาติความเป็นจริงและข้อมูลส่วนที่มีความขัดแย้ง เป็นข้อมูลส่วนที่เป็นไปด้วยเหตุผลจำเพาะ เพื่อการ "แบ่งแยก" เพื่อการ "ปกครอง" เพื่อการ "สร้่างวินัย" สำหรับกลุ่มชนตามเหตุผลส่วนกลุ่มของผู้นำศาสนา
    (one-eye)(one-eye)(one-eye)
     
  17. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    แนวคิดของท่านพุทธทาสภิกขุ

    น่าแปลกที่ท่านเป็นพระสงฆ์ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย และคนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นคุณค่าของท่าน แต่ชาวต่างชาติกลับยกย่องให้ท่านเป็นนักปรัชญาเอกของโลก.. น่าคิดจริงๆ ค่ะ:boo:
    .........................................
    ในโอกาสวันล้ออายุปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ท่านอาจารย์พุทธทาสได้แสดงธรรมในช่วงบ่ายของวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เป็นส่วนหนึ่งในหัวข้อธรรมบรรยายที่ท่านตอบผู้ข้องใจ หรือตอบผู้โจษจ้วงท้วงกล่าวหาท่านที่มีมาในสังคมไทย

    [​IMG]

    ๑๑.การจัดพุทธศาสนาให้เป็นวิทยาศาสตร์เป็นการดูหมิ่นพระพุทธเจ้า<O:p</O:p


    ปรัศนี: มีผู้กล่าวหาท่านอาจารย์ว่าการที่ท่านอาจารย์จัดพุทธศาสนาให้เป็นวิทยาศาสตร์นั้นเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นพระพุทธเจ้า และลดค่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่งด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นี่ท่านอาจารย์จะว่าอย่างไรครับ?<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พุทธทาส: คนที่ถามมันไม่รู้จักวิทยาศาสตร์ มันไม่รู้จักว่า วิทยาศาสตร์นั้นคืออะไรวิทยาศาสตร์นั้นคือมูลฐานอยู่ที่คำว่า "สันทิฎฐิโก" สิ่งที่เห็นได้เองด้วยตนเองในเวลานั้น เป็นสันทิฎฐิโกนั้นคือหลักใจความของวิทยาศาสตร์ ให้เห็นอยู่รู้สึกอยู่โดยประจักษ์ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นๆ นี่เรียกว่า วิทยาศาสตร์ถ้าต้องคำนวณโดยไม่มีตัวจริงเป็นเรื่องคำนวณตั้งสมมุติฐานขึ้นมาด้วยนะสมมติแล้วก็คำนวณแวดล้อมสมมติฐานว่ามันจริงอย่างนั้น อย่างนี้ไม่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างนี้เขาเรียก "ปรัชญา" พุทธศาสนาตัวจริงแท้ เนื้อหาของพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญาแต่เป็นวิทยาศาสตร์ คือว่ามีของจริยมาวางตรงหน้า เช่นว่า เอาความทุกข์มาวางตรงหน้าแล้วพลิกดูว่า เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ตามวิถีทางวิทยาศาสตร์จึงเลยพูดให้เขาถือเป็นหลักว่า พุทธศาสนาใช้วิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ไม่ใช้วิธีการอย่างปรัชญา แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงที่จะไปใช้วิธีการแห่งศรัทธาความเชื่อล้วนๆ ไม่มี คำว่า "ศรัทธา" ในพุทธศาสนามาหลังจากปัญญาเสมอมันจึงเป็นวิทยาศาสตร์ ศรัทธาในพุทธศาสนาเป็นผลของการกระทำทางวิทยาศาสตร์คือเห็นแจ้งแล้วจึงเชื่อ ทีนี้ ศรัทธาในพวกอื่นในศาสนาอื่นอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นจะเป็นศรัทธาตามทางปรัชญา คำนวณตกลงใจแล้วจึงเชื่อ หรือที่ต่ำกว่านั้นก็ว่าเขาพูดแล้วก็เชื่อ นั่นเอาไว้ให้พวกโน้น พุทธศาสนาต้องปฏิบัติตามหลักวิทยาศาสตร์ทีนี้ไม่ได้ลดค่าของพระพุทธเจ้ามาเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์ต๊อกต๋อยคนหนึ่งเหมือนนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายในโลก ไม่ใช่อย่างนั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ที่เราพูดว่า พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์น่ะ ไม่ได้ลดค่าอะไรกลับเป็นการเพิ่มค่า เพิ่มน้ำหนัก เพิ่มเหตุผล เพราะไม่งมงายเมื่อใช้วิถีวิทยาศาสตร์แล้วไม่งมงาย คือทำลงไปบนความจริง ไม่ใช่การคำนวณบนของสมมติเดี๋ยวนี้โลกเขาชอบปรัชญา ใช้วิธีการคำนวณลงบนสมมติ บนสิ่งสมมติ เรียกว่าสมมติฐานนั่น ปรัชญาเลยเฟ้อไปทั้งโลก แล้วไม่มีประโยชน์อะไร<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ปรัชญาไม่ได้ให้อะไรแก่มนุษย์แต่วิทยาศาสตร์กำลังให้ประโยชน์แก่มนุษย์ แต่ที่เอาไปใช้ผิดๆจนเป็นอันตรายนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่เมื่อจะเข้าถึงความจริงกันแล้วมันต้องเป็นวิถีทางวิทยาศาสตร์เราไม่ได้ลดค่าของพระพุทธเจ้าลงมาเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งแต่ว่าเป็นจอมนักวิทยาศาสตร์เหนือนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตทีเดียว ที่ไม่ได้ลดค่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เด็กเล่นวิทยาศาสตร์มันกว้างเกินไป อ้ายของเล็กๆ น้อยๆ ที่มันเป็นวิทยาศาสตร์ก็มีกรณีนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์สูงสุดเป็นวิทยาศาสตร์ดับทุกข์สิ้นเชิงโดยประการทั้งปวง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ขอยืนยันที่ตรงนี้อีกทีว่า พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์มีระบบเป็นวิทยาศาสตร์มีวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์แต่เป็นทางจิตใจ ไม่ใช่ทางวัตถุฉะนั้น จึงเป็นยอดวิทยาศาสตร์สูงสุด เหมือนวิทยาศาสตร์ทั้งหลายพระพุทธเจ้าเป็นยอดนักวิทยาศาสตร์ทางฝ่ายจิตใจพูดอย่างนี้ไม่ได้ลดค่าของพระพุทธศาสนา หรือพระพุทธเจ้าเลย ... มีอะไรอีก...
    :VO:VO:VO<O:p</O:p
     
  18. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่าอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงของจิตวิญญาณนั้นคือประสาทสัมผัสภายในคร๊าบผม:boo:
    .........................
    [​IMG]

    ระหว่างที่นักวิทยาศาสตร์ของเธอกำลังค้นคว้าผิดทางอยู่นี้ พวกเขาสามารถนับจำนวนธาตุที่เขาค้นพบ เขาจะค้นพบธาตุใหม่ๆ ต่อไปอีกจนกว่าเขาจะเสียสติ เมื่อพวกเขาสร้างอุปกรณ์เพื่อช่วยให้เขาค้นพบหน่วยที่เล็กที่สุดของธาตุ เขาจะค้นพบหน่วยย่อยที่เล็กลงไปอีกเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น เมื่ออุปกรณ์ของเขาเข้าถึงจักรวาลทางกายภาพได้กว้างไกลออกไปอีก เขาจะมองเห็นจักรวาลไกลออกไปเรื่อยๆ และเขาก็จะแปลงสภาวะสิ่งที่เขารู้เห็นอย่างเป็นอัตโนมัติให้มันอยู่ภายใต้แบบแผนของเครื่องพรางที่เขารู้จักคุ้นเคยโดยที่ไม่รู้ตัว นักวิทยาศาสตร์ถูกจำกัดโดยอุปกรณ์ของเขาเอง
    <O:p</O:p
    พวกเขาจะค้นพบกลุ่มดวงดาวใหม่ๆ ต่อไป พวกเขาจะรู้เห็นหมู่ดวงดาวอันลึกลับที่มีความถี่สูง ในที่สุดพวกเขาจะพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดพลาด นักวิทยาศาสตร์จะออกแบบอุปกรณ์เพื่อวัดความสั่นสะเทือนที่พวกเขาคุ้นเคยแล้วก็ออกแบบใหม่อีก ปรากฏการณ์ที่เคยเป็นไปไม่ได้จะถูกค้นพบด้วยอุปกรณ์เหล่านี้ แต่ปัญหาก็คืออุปกรณ์เหล่านี้จะถูกออกแบบขึ้นเพื่อจับเครื่องพรางบางอย่างซึ่งมันก็จะทำหน้าที่ของมัน เครื่องมือเหล่านี้จะแปลงข้อมูลที่ได้ – ซึ่งนักวิทยาศาสตร์และพวกเธอทั้งหลายไม่อาจเข้าใจได้ – ให้เป็นคำนิยามที่เข้าใจได้ การแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นทำให้ข้อมูลบิดเบือนไปจากเดิมเป็นอันมาก ข้อมูลที่ได้จะไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกต่อไป การแปลงข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ทำลายความหมายที่แท้จริงของข้อมูลเดิมไปเสียสิ้น
    <O:p</O:p
    เมื่อใดก็ตามที่เธอถอดความหมายของปรากฏการณ์หนึ่งโดยทดแทนด้วยคำนิยามอื่น เธอจะสูญเสียความเข้าใจอันเลือนรางที่พอมีอยู่บ้างไป การเข้าใจในปรากฏการณ์ต่างๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประดิษฐ์อุปกรณ์ใหม่ๆ ขึ้นมาใช้ แต่ขึ้นอยู่กับการใช้อุปกรณ์ที่มองไม่เห็นซึ่งเธอมีอยู่แล้ว พวกเธอบางคนรู้จักและทดลองใช้มัน
    <O:p</O:p
    ข้อมูลของฉันเป็นปรากฏการณ์ที่เสมือนลมพัด เธอมองเห็นหรือจับต้องตัวตนของฉันไม่ได้ เธอพิสูจน์ข้อเท็จจริงทั้งหมดไม่ได้ด้วยวิธีการทางกายภาพ แต่เมื่อเธอสามารถพิสูจน์ว่าลมมีจริงได้จากการสังเกตดูกิ่งไม้ไหวที่เกิดจากการกระทบของลม เธอก็สามารถพิสูจน์ความจริงของข้อมูลของฉันได้จากการสังเกตดูความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของเธอที่เกิดจากคำพูดของฉัน
    <O:p</O:p
    นักวิทยาศาสตร์ตระหนักว่า บรรยากาศของโลกมีผลทำให้อุปกรณ์ของพวกเขาบิดเบือน แต่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้ตระหนักคือ อุปกรณ์ทางกายภาพทุกชนิดถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับความบิดเบือนที่อยู่ในตัวมันเอง อุปกรณ์สำคัญที่สุดของมนุษย์คือจิต ซึ่งประกอบด้วยอารมณ์ จินตนาการ และความรู้สึกนึกคิด ไม่ใช่สมอง
    <O:p</O:p
    อารมณ์ จินตนาการ และความรู้สึกนึกคิด
    คือจุดตัดระหว่างประสาทสัมผัสภายนอกและประสาทสัมผัสภายใน
    (f)(f)(f)
     
  19. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ธันวาคม 2010
  20. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ความหมายของท่านพุทธทาสนั้นหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตใจ เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ไม่งมงายจ้า:cool:
    :z12:z12:z12
     

แชร์หน้านี้

Loading...