คุณคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนามีความสัมพันธ์กันหรือไม่?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย khajornwan, 8 พฤศจิกายน 2010.

  1. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เรียนรู้วิทยาศาสตร์ทางจิตต้องรู้จักฝืนใจ

    [​IMG]

    พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) แห่งวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ได้แสดง ธรรมทัศนะเกี่ยวกับประเด็นยอดฮิตของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับความลี้ลับอื่น ๆ และเรื่องราวของไสยศาสตร์ไปแล้ว ไว้ในงานมหกรรม วิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งชาติ เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ว่า

    วิทยาศาสตร์ทางจิต คือ การศึกษาทั้งปวงที่ทำให้คนเราสามารถค้นหา และเข้าใจจิตของตัวเองได้ เมื่อใดก็ตาม คนรู้จัก ฝืนจิตของตัวเองได้ วิทยาศาสตร์ทางจิตก็จะเกิดขึ้นโดยทันที
    <O:p</O:p
    สำหรับคนที่จะเรียนรู้ และเข้าใจวิทยาศาสตร์ทางจิตได้นั้น ต้องเป็นคนมีปัญญาและรู้จักวาระของจิต หรืออาจกล่าวง่าย ๆ ว่า คนจะค้นหาวิทยาศาสตร์ทางจิตได้ ต้องรู้จัก อ่านอารมณ์ตัวเอง ให้ได้
    <O:p</O:p
    หากคนเราต้องการจิตใจที่เข้มแข็งแล้ว ต้องรู้จักการฝืนจิตในขณะที่ คนที่ประมาทแล้วจะไม่สนใจอารมณ์ของตัวเองเลย
    <O:p</O:p
    อย่างไรก็ตามกรณีที่บางคนบอกว่า วิทยาศาสตร์ทางจิตเป็นเรื่องที่เหลวไหลนั้นเพราะ คนมันเหลวไหล เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว จิตใจของคนก็เหมือนกับน้ำที่มัก ไหลลงสู่ที่ต่ำอยู่เสมอ ๆ ชอบไหลไปตามอารมณ์ หรือตามความพอใจของตัวเอง
    <O:p</O:p
    มนุษย์ควรเอาอย่างปลา ที่สามารถว่ายทวนน้ำขึ้นสู่ยอดเขาได้ ไม่ใช่ปล่อยตามอารมณ์ของตัวเอง มีคำกล่าวว่า ผู้หญิงที่น่าเกลียด คือ ผู้หญิงที่ตามใจตัว ผู้ชายที่น่ากลัว คือ ผู้ชายที่ไม่เกรงใจคน ... คนเหล่านี้ไม่มีวิทยาศาสตร์ทางจิต
    <O:p</O:p
    อันที่จริงแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบวิทยาศาสตร์ทางจิตมานานกว่า ๒,๐๐๐ ปีแล้ว โดยมีหลักง่าย ๆ คือ ต้องฝืนจิตจะปล่อยตามอารมณ์ตัวเองไม่ได้
    <O:p</O:p
    อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวของจิตใจ ย่อมต้องอาศัยเวลา เช่นเดียวกับการศึกษาทางโลก ที่ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน<O:p></O:p>
    ถ้าจะเปรียบไปแล้ว พระที่บวชมา ๓ ปี ถือว่าจบปริญญาตรี, ๗ ปีก็สำเร็จปริญญาโท, ส่วน ๑๐ ปี ก็จบปริญญาเอก... แต่ทุกวันนี้ บวชกันแค่ ๗ วัน ก็ยังไม่ถึงเลย
    <O:p</O:p
    อีกข้อคิดที่ขอย้ำเตือน คือ เวลาในโลกนี้เหมือนกันหมด ไม่มีการเหลื่อมล้ำกันขึ้นอยู่กับว่า ใครจะใช้เวลาได้อย่างมีคุณค่าได้มากกว่ากันเท่านั้น... ต้องรู้จักทำจิตให้เจริญ มันจะได้เจริญไม่เปลืองเวลา
    <O:p</O:p
    หากพิสูจน์วิทยาศาสตร์ทางจิตได้ ก็จะค้นพบและเข้าใจความต้องการพื้นฐานของคน ๑๐ ประการได้แก่<O:p</O:p
    ๑. ๑.ความรัก<O:p</O:p
    ๒. ๒.ต้องการมีคนนิยมชมชอบ<O:p</O:p
    ๓. ๓.อยากได้รับความเลื่อมใสศรัทธา<O:p</O:p
    ๔. ๔.ชอบความมีมนุษยสัมพันธ์<O:p</O:p
    ๕. ๕.ต้องการได้รับความเอาใจใส่จากคนรอบข้าง<O:p</O:p
    ๖. ๖.มีคนเคารพนับถือ<O:p</O:p
    ๗. ๗.ต้องการความเมตตา<O:p</O:p
    ๘. ๘.ต้องการความเห็นอกเห็นใจ<O:p</O:p
    ๙. ๙.ต้องการความเป็นกันเอง<O:p</O:p
    ๑๐. ๑๐.ต้องการความเป็นธรรมชาติ
    <O:p</O:p
    สิ่งเหล่านี้คือผู้ที่จะเรียนวิทยาศาสตร์ทางจิตต้องศึกษา<O:p</O:p
    ทั้งนี้คุณลักษณะของคนฉลาด หรือผู้ที่มีวิทยาศาสตร์ทางจิตประการหนึ่ง ก็คือเป็นคนที่ ไม่เชื่อใครง่าย ๆแต่ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า จะกลายเป็นคนหัวแข็ง ตรงข้ามกลับเป็นคนที่ สอนง่ายเพราะยอมรับฟังด้วย ข้อเท็จจริงและความเป็น เหตุและผลจึงเป็นผู้รับการสอนได้ง่าย
    <O:p</O:p
    ส่วนอีกลักษณะหนึ่ง ของผู้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ทางจิต คือ ต้องเป็นคนที่เอาการเอางาน มีความขยัน ไม่ใช่เป็นคนขี้เกียจ การบริหารจิตไม่จำเป็นที่จะต้องไปนั่งสมาธิ หรือไปบวชชีพราหมณ์ ซึ่งเมื่อกลับมาแล้วก็ขี้เกียจ ไม่ทำงานอย่างนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ทางจิต
    <O:p</O:p
    ถ้าท่านมีวิทยาศาสตร์ทางจิต ท่านก็จะฝืนจิตให้เหนือโลกได้ และผู้มีจิตที่เหนือโลกนี้ ก็จะมองโลกอย่างแจ่มใสเป็นคนรู้จักและเข้าใจโลก สามารถทำประโยชน์ต่อโลก โดยจิตที่เป็นกุศลแล้ว ก็จะทำงานได้ทุกเรื่อง แต่หากเป็นผู้ต่ำกว่าโลก ก็จะมองคนในแง่ร้าย เห็นศาสนาอื่นก็ไม่ดีไปหมด
    <O:p</O:p
    นอกจากนี้ ผู้ค้นพบวิทยาศาสตร์ทางจิตก็จะพึ่งตัวเองได้ และสอนตัวเองได้ และการศึกษาวิทยาศาสตร์ทางจิต จะพิสูจน์ให้เห็นว่า จิตใจสามารถทำอะไรได้บ้าง
    <O:p</O:p
    ทั้งนี้ขอสนับสนุนการศึกษาวิทยาศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ เพื่อให้คนเราได้รู้จักจิตใจของตัวเองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากสามารถฝึกจิตได้แล้ว ก็ต้องรู้จักใช้ในทางที่ดี ไม่ใช้ในทางเสียหาย เช่น การใช้อำนาจจิตในทางไม่ดีเป็นต้น
    <O:p</O:p
    จิตใจของมนุษย์ยังมีข้อเร้นลับอีกมากให้ศึกษา เมื่อศึกษาและรู้จิตของตัวเองแล้ว ก็จะเข้าใจได้ทั้งตัวเราและผู้อื่นโดยไม่ต้องไปคอยศึกษาคนอื่นเลย...
    <O:p</O:p
    บทความจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๓๙
    (deejai)(deejai)(deejai)<O:p</O:p
     
  2. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    นานา ทัศนะ ..

    <table style="width: 505px; height: 29px;" class="contentpaneopen"><tbody><tr><td class="contentheading" width="100%">ศาสตร์ VS ศาสน์ </td> <td class="buttonheading" align="right" width="100%">
    </td> <td class="buttonheading" align="right" width="100%">
    </td> </tr> </tbody></table> [​IMG]
    คอลัมภ์ จุดประกาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ปีที่ 19 ฉบับที่ 6454 วันพฤษหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม 2549

    พุทธ ศาสนา และวิทยาศาสตร์ ต่างมีเป้าหมายที่สอดคล้องกันโดยบังเอิญ คือการแสวงหาสัจธรรมแห่งสรรพสิ่ง ถึงกระนั้น ด้วยเนื้อหาที่สนใจต่างกันทำให้ศาสนา และวิทยาศาสตร์ เดินอยู่คนละทาง และมุ่งคนละผลลัพธ์ ปองพล สารสมัคร ออกค้นหาสัจธรรมแห่งชีวิตผ่านวาทกรรมของปราชญ์แห่งศาสนา และนักวิทยาศาสตร์ <hr> ครั้งหนึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์นามอุโฆษ เคยพูดว่า...
    "พุทธ ศาสนามีบุคลิกที่คาดว่าจะพบได้ในศาสนาแห่งจักรวาลที่จะมีในภายภาคหน้า เนื่องจากพุทธศาสนาข้ามพ้นเรื่องพระเจ้าที่เป็นตัวตน ไม่พูดเรื่องลัทธิ หรือเทววิทยา พุทธศาสนาครอบคลุมทั้งจิต และสภาวะ เป็นศาสนาที่แสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ทุกสิ่ง เป็นหนึ่งเดียว"

    อีกวาระหนึ่ง เขาแสดงความรู้สึกต่อโลกว่า...

    "มนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งมวลที่เราเรียกว่า จักรวาล เป็นส่วนที่จำกัดอยู่ในกาล-อวกาศ แสวงหาประสบการณ์ ความคิด และความรู้สึกของตัวเอง เหมือนกับเป็นบางอย่างที่แยกออกจากมายาพี่ทคอบงำความรู้สึกนึกคิดของเรา มายาเป็นคุกอย่างหนึ่งสำหรับเรา จำกัดเราอยู่กับกิเลส และความรักที่เรามีต่อคนใกล้ตัวเราเพียงไม่กี่คน ภารกิจของเราคือ ต้องปลดปล่อยตัวเองออกจากคุก โดยแผ่เมตตากับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเรา และสภาวะทั้งมวล ไม่มีใครสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่การดิ้นรนเพื่อให้บรรละสิ่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่การดิ้นรนเพื่อให้บรรจะความสำเร็จสามารถทำได้โดย การเป็นส่วนหนึ่งของการหลุดพ้น และวางรากฐานให้กับความมั่นคงภายใน"

    ใน หลายกาละเทศะ พุทธฑศาสนามักได้รับการชื่นชมว่าเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผลเฉกเดียวกับ วิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง ความเป็นวิทยาศาสตร์ ของพุทธศาสนา แม้จะไม่จำเป็นต้องได้การรับรองจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกคนไหน แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่างไอน์สไตน์ กล่าวถึงพุทธศาสนาในเชิงชื่นชมก็ถือเป็น หนึ่งในบทพิสูจน์ความจริงที่ได้รับการพิสูจน์กันมาแล้วก่อนหน้านี้

    การ ค้นพบกฏฟิสิกส์มากมายช่วยไขความลับปริศนาดำมืดของจักรวาล และหลักการต่าง ๆ ถูกนำมาใช้ประดิษธ์นวัตกรรมเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกฏว่าด้วยแรงโน้มถ่วย หรือกฏแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น

    ถึง แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วแค่หน ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา แต่ปัญหาหลาย ๆ อย่างยังไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ดังนั้น หน้าที่ในการไขข้อข้องใจให้อย่างกระจ่างจึงตกเป็นของศาสนา เส้นขนานของศาสตร์ทั้งสองด้านนี้ยังเป็นสิ่งที่สองฝ่ายพยายามค้นหาคำตอบ เพื่อแสวงหาหนทางที่สอดคล้องกัน

    ฟิสิกส์เป็นเรื่องสมมติ
    <hr>"วิทยา ศาสตร์ค่อนข้างหนักไปทางวัตถุ สสารและพลังงาน ศึกษาลึกลงไปถึงองค์ประกอบของสสาร อนุภาคต่าง ๆ และยิ่งศึกษาไปถึงดวงดาวครอบคลุมไปถึงจักรวาล จนพบว่าแท้จริงแล้วจักรวาล และอนุภาคก็มาบรรจบกันโดยไม่ตั้งใจ" ผศ. ดร. พรชัย พัชรินทร์ตนะกุล อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในการสนทนาระหว่างนักวิชาการพุทธศาสนา และนักฟิสิกส์ในหัวข้อ "พุทธศาสนากับฟิสิกส์" จัดขึ้นโดยกลุ่มสนทนาพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์พันดารา

    การสนทนาดัง กล่าวจัดขึ้นเพื่อเปิดมุมมองของทั้งนักฟิสิกส์ นักวิชาการ และให้ผู้ปฏิบัติรรมในพระพุทธศาสนา มาแลกเปลี่ยนความรู้ และทัศนะ ซึ่งกันและกันในเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติของโลก สสาร และจักรวาล

    ผศ. ดร. พรชัย กล่าวเสริมว่า การศึกษาค้นคว้าด้านวิทยาศาสตร์ ไม่ได้อยุดอยู่แค่ค้นพบ แต่ยังนำไปสู่การนำไปใช้ในวิทยาการต่าง ๆ ด้วย ส่วนศาสนาศึกษาไปถึงจิตและสำนึกที่เกี่ยวจ้องกับจิตใจ "ความจริงศาสนาศึกษาลึกลงไปถึงวัตถุ แต่เป็นการศึกษาที่เป็นนาม และมีความละเอียดในระดับจิตใจมากกว่า"

    จุดร่วมกันของวิทยาศาสตร์ และพุทธศาสนาที่เห็นได้ชัดก็คือ ต่างฝ่ายต่างก็มุ่งค้นหา "ความจริงแห่งธรรมชาติ" และต่างก็ค้นพบว่า ธรรมชาติมีลักษณะที่ไหลไปตลอดเวลา หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ยึดถือเอาเป็นแก่นสาร สาระไม่ได้ แต่ก็อาจใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้บ้างตามความจำเป็น แต่บางทีก็เป็นไปตามกิเลส และตามความสามารถที่ตอบสนองกิเลส

    ผศ. ดร. พรชัย บอกว่า การเรียนรุ้ และเข้าถึงความจริงของวัตถุอย่างลึกซึ้ง ทำให้นักวิทยาศาสตร์ สามารถใช้วัตถุในการบำรุงบำเรอความสนุกสนานทางร่างกายได้

    "วิทยา ศาสตร์ได้สร้างสิ่งที่สวย ๆ งาม ๆ น่าดูน่าชม สิ่งที่ส่งเสียงไพเราะเสนาะหู สิ่งที่หอมหวนชวนดม สิ่งที่เอร็ดอร่อยชวนให้ลิ้มรส และสิ่งที่อ่อนนุ่มเยือกเย็น ชวนสัมผัส รวมทั้งสิ้งอื่น ๆ ที่นำไปสู่ความสนุกสนาน เช่น การสื่อสารทางไกลด้วยวิทยุ โทรทัศน์ และทีวี การเดินทางขนส่งด้วยยานพาหนะ รถยนต์ เรือบิน เรือเร็ว เป็นต้น" นักวิทยาศาสตร์จากจุฬาฯ กบ่าว

    อย่างไรก็ดี เมื่อมีการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ไปถึงระดับหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่า เมื่อส฿กษาไปแบ้วอาจไม่ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้น เช่น เมื่อลองเปรียบเทียบความเหมือน และความต่างของสองสิ่งระหว่างการที่ สิ่งหนึ่งไม่มี กับการไม่ยึดถือว่าสิ่งนั้นมี

    ในด้านความแตกต่าง ระหว่างพุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์นั้น นักวิชาการพบว่า ศาสตร์ทั้งสองสาขานี้มีแง่ของความแตกต่างมากกว่าความเหมือน แต่ก็เป็นความแตกต่าง อันเนื่องจากะรรมชาติของเนื้อหาวิชาโดยที่วิธีการขั้นตอนต่าง ๆ ยังมีความเหมือนกันอยู่ โดยเฉพาะเจตนาในการค้นหาความจริงของธรรมชาติ

    ด้าน ศ. ดร. ระวี ภาวิไล ปราชญ์ทางด้านวิทยาศาสตร์ และศาสนากล่าวถึง การมีอยู่ความจริงในธรรมชาตินั้น เป็นเพราะจิตมารับรู้ และสร้างสรรค์ปรุงแต่งขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่างที่ชัดเจน แล้วยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนี้คือความจริงสูงสุดแล้ว ตามธรรมชาติ

    "แสง เป็นคบื่อนหรือเป็นเม็ด อานุภาพ สสาร เป็นคลื่น หรือเป็นเม็ด เรื่องพวกนี้มีสองด้านเสมอ เมื่อเป็นอย่างนี้เท่ากับว่าอยู่ที่ใจของมนุษย์ สติปัญญาของมนุษย์ที่พยายามใชข้วิทยาศาสตร์ แต่ไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่หากศึกษาไปเรื่อย ๆ มันจะค่อย ๆ ออกมา ขณะที่ฟิสิกส์ ก้าวหน้ามาก มีแนวคิดใหม่ ๆ อย่างการเกิดขึ้นของเอกภพ หรือบิ๊กแบง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมีจิตมารับรู้ และสร้างสรรค์ปรุงแต่งขึ้นมา" ศ. ดร. ระวี กล่าว

    เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจว่า ในฐานะนักฟิสิกส์ ชั้นนำคนหนึ่งของประเทศ แต่ ศ. ดร. ระวี กลับมองว่า ฟิสิกส์ เป็นเรื่องสมมติขึ้นมาทั้งกาลอวกาศ และตัวตนของมนุษย์

    "นักฟิสิกส์ น่าจะพิจารณาต่อไปว่า กาลอวกาศไม่มีอยู่จริง เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ดังนั้น ไอน์สไตน์ จึงบอกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เที่ยงแท้ถาวร มันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผุ้รับรู้"

    เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วความจริง ของธรรมชาติคืออะไร ปลายทางของวิทยาศาสตร์ และศาสนาคืออะไร ลองนึกเล่น ๆ ถึงคำกล่าวของไอน์สไตน์ ที่เคยกล่าวว่า คนที่อยู่บนยานความเร้วสูง เวลาย่อมแตกต่างกับเวลาบนโลก แต่เวลาเป็นเพียงสัมพัทธ์ ไม่มีอยู่จริงเป็นเพียงอุปกรณ์เท่านั้น

    เช่นเดียวกับ ดร อรรถกฤต ฉัตรภูมิ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าในทางทฤษฎี แล้วฟิสิกส์คือแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เพื่ออธิบายธรรมชาติ หรือผลการทดลองเพื่อนำมาทำนาย ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ โดยไม่สนใจว่า ความเป็นจริงทางธรรมชาติ แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

    "นิวตัน เคยอธิบายถึงแรงโน้มถ่วงทางธรรมชาติได้ แต่ก็ไม่ได้สนใจว่าแรงนั้นมีอยู่จริงหรือเปล่า" นักฟิสิกส์วัยหนุ่มกล่าว

    อย่าง ไรก็ดี แม้ว่าจะได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เป็นเหตุ เป็นผล แต่ไม่สามารถใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ซึ่งในเรื่องนี้เมื่อพิจารณา เนื้อแท้ของพุทธศาสนาแล้ว จะพบว่าสิ่งที่พุทธศาสนา สนใจกับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ ให้ความสำคัญนั้น เป็นคนละเรื่อง ดังนั้น วิธีการพิสูจน์จึงไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน

    "วิทยา ศาสตร์สนใจในเรื่องของวัตถุ จึงใช้วิธีพิสูจน์ทางวัตถุ นั้นคือ เป็นวิธีที่ต้องเห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า หรือด้วยอุปกรณ์เครื่องมือ ที่ใช้ช่วยประสาทสัมผัสทั้งห้า" นักฟิสิกส์ กล่าว

    เช่น ถ้าจะพิสูจน์ว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ก็ต้องออกไปยืนดูในที่กลางแจ้ง เวลาพระอาทิตย์ขึ้น หรือจะพิสูจน์ว่าเชื้อโรคมีจริง ก็ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู หรือพิสูจน์ว่าดวงกาวนั้น ดวงนี้อยู่ไกลเท่านั้นเท่านี้ปีแสง และต้องใข้กล้องจุลทรรศน์ ส่องดุเป็นต้น โดยที่กล้องชนิดต่าง ๆ คืออุปกรณ์ท่ใช้ช่วยขยายขอบเขตของการมองเห็นของตา

    แต่สำหรับในทาง พุทธศาสนา เนื่องจากเนื้อหาที่สนใจเป็นเรื่องของจิตใจ จึงใช้วิธีพิสูจน์ดดยใช้วิธีการทางวัตถุไม่ได้ หรือใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่ได้ แต่จะต้องใช้วิธีการทางจิตเท่านั้น

    "ดัง นั้น การใช้สมาธิ และวิปัสสนาจึงถูกนำมาใช้ในการพิสูจน์ทางพุทธศาสนา เช่น การพิสูจน์กฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ทางจิตอย่างขาวสะอาด ปราศจากข้อสงสัยในเรื่อง กฏแห่งกรรม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ต้องการพิสูจน์ในสมาธิทั้งสิ้น" ดร. อรรถกฤต ให้มุมมอ อย่าง ไรก็ดี มีประเด็นว่าในการพิสูจน์ทางวัตถุนั้นคนปกติทุกคนจะต้องเห็นตรงกันหมด โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า ใครเป็นผู้ทำการพิสูจน์ ถ้ามีคนปกติใด ๆ แม้แต่คนเดียวไม่เห็นครงกับคนอื่นก็ถือว่าการพิสูจน์นั้นใช้ไม่ได้ ส่วนการพิสูจน์ทางจิตนั้น ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทุกคนเห็นตรงกัน หรือไม่ แม้ทุกคนพูอออกมาเหมือนกัน แต่ก็เป็นเพียงคำพูดเท่าน้น

    สร้างดาวกันคนละดวง
    <hr>''เป้า หมาของการค้นพบนั้นต่างกัน เพระเป้าหมายทางพุทธศาสนา คือการดับทุกข์ ดับที่มนุษย์ ดับที่ใจ ปรมัตะรรม คือ ความเป็นจริงที่ไม่มีใครสร้างได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานความจริง วิทยาศาสตร์เป็นการศึกษาปรากฏการณ์เป็นครั้งคราว สสาร พลังงานของวิทยาสาสตร์ หากเทียบกับพุทธศาสนา ก็คงเทียบได้ไม่หมด" ผศ. ดร. บรรจบ บรรณรุจิ อาจารย์จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอ่ยขึ้นมาบ้าง

    ความ แตกต่างอึกประการหนึ่ง ระหว่างพุทธศาสนา กับวิทยาศาสตร์ คือ ความแตกต่างของวิการค้นคว้า หรือวิจับหาความรู้ ความแตกต่างนี้ขึ้นอยู่กับความสนใจในสิ่งที่ศึกษาที่แตกต่างกัน โดยที่วิทยาศาสตร์สนใจศึกษาเรื่องของ วัตถุ วิทยาศาสตร์จึงต้องใช้วิการทางวัตถุเป็นหลักในการศึกษา โดยใช้ระบบประสาทเพื่อสัมผัส กับวัตถุ ต่าง ๆ คือ ใช้ตาดู หูฟัง ใช้จมูกดม ใช้มือจับ เป็นต้น

    "หากประสาทสัมผัส ไม่มีความเพียงพอ เช่นวัตถุนั้น ๆ อาจมีขนาดเล็กเกินไป หรืออยู่ไกลเกินไป หรืออยู่ในความมืด หรือส่งเสียงค่อยเกินไป ก็อาจจะต้องใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ช่วยประสาทสัมผัส เช่น ใช้กล้องรัสีอินฟาเรดส่องดูวัตถุในที่มืด ใช้กล้องวิดีโอ ส่องดูเหตุการณ์ที่อยู่ในที่ลับ ใช้เครื่องขยายเสียงช่วยฟัง" ผศ. ดร. บรรจบ สาธยาย

    การใช้ประสาท สัมผัสนี้เรียกว่า การสังเกต หรือการทดลอง ซึ่งช่วยให้ติดต่อไปถึงการค้นหาสมมติฐาน ทฤษฏี หรือ กฏเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่ออธิบายผลของการสังเกต หรือการทดลอง รวมทั้งทำนายต่อไปว่า หากสังเกต หรือทดลองภายใต้เงื่อนไขใหม่ ๆ ก็จะได้ผลลัพธ์อย่างไร

    ขณะที่การ ศึกษาทางศาสนา กลับสนใจเรื่องของจิต ควบคุมจิต ต้องการให้จิตสงบ เพื่อผลแห่งการบรรลุ ความสุขสันต์ ทั้งในระดับส่วนตัว ระดับครองคัว สังคม จนถึงระดับโลก ดังนั้น ศาสนาจึงต้องใช้วิธีการทางจิตเป็นหลักในการพิสูจน์ความจริง อาทิ การวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เกิดปัญญที่ไม่ได้เกิดจากประสาทสัมผัส และไม่ได้เกิดจากการคิดตามวิธีการของตรรกวิทยา แต่เป็นปัญญา ที่เกิดขึ้นเองจากจิตใจที่สงบระงับเงียบ ทำให้เห็นความเป็นไปแห่งจักรวาล ตามความเป็นจริง

    เขามองว่า นักการศาสนาจำเป็นต้องมีพื้นฐานอย่างดี การศึกษาหาความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสทั้งห้า และด้วยการคิดคำนึงอย่างมีเหตุมีผลตามหลักตรรกศาสตร์ ซึ่งต้องศึกษาหลักการของศาสนาจากอาจารย์ จากตำรา และหนังสือต่าง ๆ รวมทั้งต้องศึกษาโดยการติดตามดูจากพฤติกรรมของคนที่มีอุปนิสัยใจคอ ต่างกัน และคิดตามที่ได้ส฿กษามานั้นให้เห็นจริงด้วย จึงเป็นพื้นฐานอย่างดีแก่การปฏิบัติกรรมฐานต่อไป

    "วิทยาศาสตร์พยายาม ยกอ้างกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ ให้มีความถูกต้องแม่นยำมากที่สุด เท่าที่ความรู้ในทางวิทยาศาสตร์จะเอื้ออำนวยให้ได้ แต่กฎทางวิทยาศาสตร์เป็นคำอธิบายที่ใช้ได้ชั่วคราว ตราบใดที่ไม่มีกฏอืน ๆ ที่ดีกว่า หรือเรายังไม่สามารคิดหากฏอื่นที่ดีกว่าได้ กฎนั้นก็ยังใช้ได้ดี"

    แต่ เมื่อมีข้อมูลใหม่ และวิธีคิดใหม๋ ๆ เกิดขึ้น ก็อาจจะคิดหากฏใหม่ที่ดีกว่ากฏเดิมที่ใช้กันในขณะนั้นก็ได้ เมื่อเป็นดังนี้ กฏเดิมก็ย่อมตกไป และกฏใหม่จะเข้ามาแทนที่

    ส่วนกฏทางศาสนาจะไม่มี การเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เพราะเป็นสัจธรรมที่เป็น "อกาลิโก" กฏทางศาสนาได้มาจากการตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ของพระบรมศาสนา ซึ่งจะผิดไม่ได้ กฏแห่งกรรมในสมัยพุทธกาลใช้ได้ดีอย่างไร ในปัจจุบันก็ยังใช้ได้เช่นเดิม แต่หากกฏศาสนาเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยได้เช่นเดียวกับกฏทางวิทยาศาสตร์แล้ว ศาสนาคงจะไม่มีความหมาย และก็ไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนาก็ได้

    "หากจะว่าไปแล้ว พุทธศาสนาเหมือนกับวิทยาศาสตร์ ในฐานะที่เป็น วิชาการที่ศึกษาปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ศึกษาปรากฏการณ์ของวัตถุ แต่พุทธศาสนาศึกษาปรากฏการณ์ทางจิต โดยต่างฝ่ายต่างก็ใช้วิการศึกษาที่มัขั้นตอน มีเหตุมีผล และมีที่มาที่ไป พิสูจน์ได้และทดสอบตามวิการของแต่ละแขนง วิทยาศาสตร์ศึกษาธรรมะของวัตถุด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ส่วนพุทธศาสนา ศึกษาวิทยาศาสตร์ของจิตด้วยวิธีการทางศาสนา วิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยธรรมะทางวัตถุ ส่วนพุทธศาสนาก็เป็นวิทยาศาสตร์ ต่างฝ่ายก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน" ผศ .ดร. บรรจบ กล่าว

    ดร. อรรถกฤต กล่าวเตือนว่า ในระยะหลังเกิดปรากฏการณ์จับแพะชนแกะบ่อยครั้ง จนบางครั้งผู้ที่อยู่ในวงการศาสนา และวงการวิทยาศาสตร์ ต่างหวั่นวิตกว่าอาจจะเกิดวิกฏติศรัทธาขึ้นต่อทั้งศาสนา และวิทยาศาสตร์

    "ใน ระยะหลัง ๆ มักมีคนจับแพะชนแกะ เอาวิทยาศาสตร์ และศาสนา มาผูกโยงกันอย่างเป็นเรื่องราว แต่เป็นการกล่าวอ้างที่ผิด เพราะหากนำศาสนามายึดติดไว้กับวิทยาศาสตร์ อาจจะเป็นสิ่งที่อันตราย เพราะวิทยาศาสตร์ คือความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตราบใดที่มีการค้นพบใหม่ ๆ เกิดขึ้น และพิสูจน์หักล้างทฤษฏีเดิม ๆ แต่ศาสนาเป็นหลักการที่คงอยู่ตราบนานเท่านาน" <hr>หมายเหตุ : ส่วนหนึ่งของรายงานชิ้นนี้ เรียบเรียงจากบทความ "พุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์ มีความเหมือน และความแตกต่างกันอย่างไร" ของ ดร. พรชัย พัชรินทร์ตนะกุล อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


    *******************
     
  3. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    แสงออร่า

    วันก่อนพึ่งคุยกะพี่คนหนึ่งเค้าไปถ่ายออร่าในงานมหกรรมทางจิตมา
    บอกว่าออร่าของเค้าเป็นสีขาว, สีครามเล็กน้อย, สีเขียวอ่อนนิดหน่อย
    ว้าว.. เด๋วปีหน้าเราไปถ่ายเล่นมั่งดีก่า.. 400.- บาทเอง.. น่าสนน่าสน:cool:

    ขอขอบคุณคุณเงือกน้อยมั่กๆ เลยค่ะที่มาช่วยเสริมความรู้ให้อีกทีหนึ่ง.. LOVE LOVE



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=850 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff></TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>แสงออร่า




    <CENTER>ควอนตัมฟิสิกส์

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] คือวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาและอธิบายการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งในจักรวาล เริ่มต้นจากสิ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดได้แก่ เอกภพ --> จักรวาล --> แกแล๊กซี่ --> โลก --> วัตถุต่างๆ --> โมเลกุล --> อะตอม --> อนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม --> พลังงาน จากการศึกษาดังกล่าว ทำให้เรารู้ว่าทุกสิ่งในจักรวาลรวมทั้งมนุษย์ล้วนถือกำเนิดจากสิ่งเดียวกันนั่นคือ “พลังงาน”



    สนามพลังงานหรือออร่าของมนุษย์

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    มนุษย์นั้นคือจิตวิญญาณที่กำลังตื่นขึ้นอย่างช้าๆจากความเชื่อที่ว่าเราคือวัตถุ ในโลกแห่งวัตถุ มนุษย์เราถูกสร้างขึ้นจากอะตอมซึ่งมีความลึกลับมากว่าที่เราคิด และมีอนุภาคมูลฐานซึ่งแยกออกจากกันด้วยความว่างเปล่า โดยแก่นแท้แล้วมนุษย์เรานั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นไปด้วยสสารแต่ประกอบไปด้วยพลังอันน่าประทับใจและน่าพิศวงซึ่งสามรถเพิ่มขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้อย่างมหาศาล สิ่งเหล่านี้เองที่อธิบายถึงหลักฐานทางการแพทย์มากมายซึ่งพบว่า บาดแผลและเนื้องอกต่างๆหายไปจากร่างกายไม่ใช่เพียง 1 สัปดาห์หรือ 1 วัน แต่หายไปทันที ดังนั้นมนุษย์เราคือจิตวิญญาณซึ่งกำลังเรียนรู้ถึงการเพิ่มพลังงานและขยายความสั่นสะเทือนให้สูงขึ้น ในความเป็นจริงวิวัฒนาการของมนุษย์จากรุ่นสู่รุ่นนั้นเพื่อยกระดับความสั่นสะเทือนให้ถึงขั้น"แสงบริสุทธิ์" การฟื้นฟูสุขภาพ การสร้างภูมิต้านทานและการชะลอวัยอย่างสมบูรณ์ต้องปรับสมดุลของเซลล์และสนามพลังของมนุษย์ ​

    [​IMG] คนสุขภาพดี
    ออร่าจะสว่าง​


    [​IMG] คนป่วย
    ออร่าจะอ่อนลง
    คนใกล้ตาย
    ออร่าจะอ่อนลงอย่างมาก​


    [​IMG] คนตาย
    ไม่สามารถวัดออร่าได้​



    [​IMG] [​IMG] [​IMG] การฟื้นฟูสุขภาพ การสร้างภูมิต้านทานและการชะลอวัยอย่างสมบูรณ์ต้องปรับสมดุลของเซลล์และสนามพลังของมนุษย์ ​


    ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วย

    1. ร่างกาย
    2. สนามพลัง









    สีและความหมายของแสงออร่า





    [​IMG] [​IMG] [​IMG] ออร่ามีสีสัน งดงาม สีต่างๆ นี้จะขึ้นอยู่กับ ความนึกคิด จิตใจ รวมถึงสุขภาพของร่างกายและจิตใจ ด้วยเหตุนี้ ออร่าของคนเราจึงเปลี่ยน แปลงสีต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา สีเหล่านี้สามารถมองเห็นได้ และถ่ายออกมาเป็นภาพให้ดูได้ (Kirlian Photography) สีของออร่าแสดงถึงสุขภาพและ ความเจ็บป่วยต่าง ๆ ของผู้นั้น บางครั้งสีของออร่าสามารถบ่งบอกถึงอดีตและอนาคตชาติของผู้นั้น สีของแสงออร่าสามารถสื่อความหมายได้ดังนี้

    [​IMG] สีชมพู หมายถึง พลังกายพลังใจที่แจ่มใส สดใส มีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น มีความโอบอ้อมปลอบประโลมผู้อื่นในวัตถุถือว่าส่งผลทางเมตตามหานิยม​







    [​IMG] สีแดง หมายถึง การกระฉับกระเฉง ความทะเยอทะยาน ความภาคภูมิใจ เต็มไปด้วยพลังแห่งการทำงาน

    ในวัตถุมงคล ถือว่าเป็นอำนาจปกป้องคุ้มครอง ข่มอาถรรพ์คุณไสยและทางมหาอำนาจด้วย เครื่องรางประเภทคงกระพันชาตรี จะพบออร่าสีแดงเป็นพื้นอาจมีสีอื่นผสมด้วยสีแดงยิ่งเข้ม ยิ่งแสดงอำนาจในการคุกคาม แสดงถึงอำนาจในการป้องกันสูงตามไปด้วย​







    [​IMG] สีเขียว หมายถึง จิตใจละเอียดอ่อน ใจดี เข้าใจผู้อื่นง่าย เป็นสีแสดงถึงความสมดุลของสภาพร่างกาย

    ในวัตถุมงคลคือส่งผลทางป้องกันรักษา โดยเฉพาะการรักษาโรค และล้างคุณไสย และในบางกรณี การผสมของออร่า บางสี อย่างสีเหลือง(แสดงอารมณ์ปิติมีความสุข) และสีฟ้า(อารมณ์เมตตา) ก็อาจเห็นเป็นออร่าสีเขียวได้เช่นกันดังนั้นการอ่านออร่า จึงต้องมีผู้ที่เชี่ยวชาญที่เห็นออร่าแบบต่างๆมามากให้คำแนะนำ​







    [​IMG] สีเหลือง ความตื่นตัวของจิตใจ คิดพิเคราะห์ ความสุข การมองโลกในแง่ดี ความเป็นตัวของตัวเองสูง การใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ​





    [​IMG] สีสัม มีความใฝ่ทางโลกและวัตถุ การแสดงอารมณ์รุนแรง ความคิดสร้างสรร ขาดเหตุผลไม่ค่อยมีวินัยในตนเอง มีพละกำลังดี ​





    [​IMG] สีน้ำเงิน หมายถึง ความสงบ มีสัจจะ ซื่อตรง จริงใจ เป็นผู้มีความมั่นคง ฉลาด และมักประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างสูง สีของพลังจิต มีสัมผัสที่ ๖ มีความฉลาดล้ำลึก ความคิดสร้างสรรค์ และมีความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ชอบค้นหาสัจจะธรรมของชีวิต

    ในวัตถุมงคลเป็นสีทางโชคลาภอีกสีหนึ่งที่มาจากลาภลอย ลาภจาก การเจรจาตกลง เป็นการแสดงอำนาจญาณบางชนิดด้วยแต่ต้องชำนาญในการอ่านเช่นญาณพระพุทธ (สีคราม-ฟ้า) ญาณว่าน ญาณจากวัตถุธรรมชาติซึ่งแตกต่างกันในรายละเอียดบางประการต้องได้รับการแนะนำจากผู้รู้
    [​IMG] สีม่วง หมายถึง จิตละเอียดอ่อน เป็นตัวของตัวเอง มีสัมผัสที่ ๖ และแสดงถึงเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง ชอบทางสมาธิและโน้มเอียงไปทางศาสนา ชอบเรื่องลี้ลับ คนส่วนมากมักไม่มีสีนี้
    ในวัตถุมงคลถือว่ามีเทพระดับสูงรักษา (แรงครูบาอาจารย์)วัตถุมงคลที่มีสีม่วงแสดงว่ามีญาณทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าลางสังหรณ์​







    [​IMG] สีขาว หมายถึง เป็นสีที่มีความสมดุลมากที่สุด มักพบในนักบุญหรือผู้ที่เจริญสมาธิอยู่เสมอ ถ้าปรากฏเป็นเส้นสีขาวผ่านซ้อนแสงหมายถึง การสื่อกับมิติอื่นได้ เป็นสีของญาณสมาบัติ ในวัตถุมงคลแสดงว่าผู้เสกสร้างได้สมาธิระดับสมาบัติชั้นสูง สีขาวเป็นการผสมของสีต่างๆอย่างสมดุลลงตัว เป็นสีที่บอกประการหนึ่งของพลังด้านบวก เป็นตัวปรับสมดุลเครื่องรางที่มรสีขาวจะมีผลทางด้านส่งเสริมให้จิตใจผู้สวมใส่เป็นสมาธิได้ง่าย และยังใช้ในการอธิษฐานขอเรื่องต่างๆได้ด้วย ​




    [​IMG] สีทอง สีของพลังจักรวาล พลังแห่งทิพยชั้นสูง ผู้ที่มีสีนี้พบได้น้อยมากปัจจุบันแทบจะหาไม่พบเลย เป็นพลังอำนาจนอกมิติการอ่านในภาพถ่ายจะแยกยากมากระหว่างสีเหลืองกับสีทองรายละเอียดจะข้ามไปสำหรับผู้ศึกษาโดยเฉพาะ​



    </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>​

    http://www.ssdthailand.org/aura.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2010
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** นักวิทยาศาสตร์หาไม่เจอ...พระพุทธเจ้าค้นหาพบแล้ว ****

    วิทยาศาสตร์...ค้นหา ความจริง
    ศาสนศาสตร์....หนทางหลุดพ้นทุกข์พ้นโลก
    ด้วยสัจจะธรรม หลักเดียวที่ปักไว้มั่นคง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  5. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    วันก่อนพึ่งฝันถึง post ปริศนาธรรมของคุณหนุมานอยู่เรยยค่ะ..
    ฝันว่า " ทำไมมนุษย์เรามีความสูงไม่เท่ากัน? "
    น่าจะหมายความถึง ระดับจิตหรือสภาวะจิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน
    จึงทำให้ความเข้าใจของเราแต่ละคนไม่เหมือนกันใช่รึเป่าน้อ? ^_^
    chearrchearrchearr
     
  6. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    สัจจธรรม

    ขออนุญาตเอาใจคุณหนุมานหน่อยจ้า:cool:
    ....................................
    สัจธรรมเป็นถ้อยคำที่ใช้กันในวิชาปรัชญาและศาสนา ซึ่งเป็นวิชาเกี่ยวกับจิตวิญญาณชั้นสูง พวกคุณส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุคคลธรรมดาสามัญ พวกคุณไม่ใช่นักปรัชญา พระสงฆ์ นักวิชาการ หรือนักวิจัย ดังนั้นเมื่อเราพูดกันถึงเรื่องสัจธรรม อาจารย์ใคร่ขอแบ่งปันให้กับพวกคุณได้เข้าใจในประเด็นสำคัญๆ ที่ถูกต้องแน่นอน สามารถฝึกปฏิบัติได้และมีประโยชน์แก่การดำเนินชีวิตของพวกคุณ อาจารย์จะไม่กล่าวถึงเรื่องนามธรรมหรือปรัชญาที่ละเอียด ลึกซึ้ง เพราะว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับคุณ
    <O:p</O:p
    ในเชิงปรัชญา เมื่อเรากล่าวถึงสัจธรรมเรามักจะอ้างถึงวลีหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายว่า “ ถ้าความจริงอยู่ที่ด้านหนึ่งของเทือกเขา พี – รีนิส อีกด้านหนึ่งของเทือกเขานี้ก็คือความเท็จ ” คงจะไม่มีใครสักคนเลยที่สามารถจะเข้าใจวลีนี้ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ ซึ่งอาจจะไม่มีใครในหมู่พวกคุณรู้ด้วยซ้ำไปว่า เทือกเขา พี – รีนิส อยู่ที่ไหน? อะไรคือสัจธรรม และทำไมสัจธรรมจึงไปอยู่ที่ด้านหนึ่งของเทือกเขา พี – รีนิส ทำไมจึงไม่ไปอยู่อีกด้านหนึ่ง เพราะว่า พี – รีนิส เป็นเทือกเขาซึ่งเป็นเส้นแบ่งพรมแดนของ 2 ประเทศ คือ ฝรั่งเศส – สเปน ด้านที่เป็นประเทศฝรั่งเศสก็จะมีภาษาพูด วัฒนธรรม ประเพณี ศิลปะ เศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ โดยรวมแล้วแตกต่างไปจากอีกด้านหนึ่งของเทือกเขา พี – รินิส ซึ่งได้แก่ประเทศสเปนนั่นเอง
    <O:p</O:p
    ความหมายของสัจธรรมตามความเชื่อในทางศาสนาเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและเป็นนามธรรม จึงมีภาวะธรรมชาติที่ลึกลับซับซ้อน อย่างเช่น ในพระพุทธศาสนาก็จะกล่าวถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดความสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลาการมีชีวิตอยู่ของคนๆ หนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่งกับอีกช่วงเวลาหนึ่งที่เขาเคยมีชีวิตอยู่ แนวความคิดเกี่ยวกับความดี – ความชั่ว สวรรค์ – นรก ฯลฯ ซึ่งไม่เคยมีใครสามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์เกี่ยวกับแนวความคิดเหล่านี้ได้ พระพุทธศาสนาเองก็มีนิกายแบ่งแยกเป็น 2 นิกายหลัก ที่มีแนวความคิดทางอุดมการณ์ที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่น ศาสนาพุทธในประเทศไทยไม่ได้ห้ามพระสงฆ์ฉันท์เนื้อสัตว์ แต่ศาสนาพุทธในประเทศจีนและเวียดนามกลับมาข้อกำหนดให้พระสงฆ์ต้องฉันท์เฉพาะอาหารมังสวิรัติเท่านั้น ถ้าพระรูปใดฉันท์เนื้อสัตว์ถือว่าประพฤติผิดศีลอย่างร้ายแรง ดังนั้นจะพิจารณาได้อย่างไรว่า การฉันท์อาหารของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาข้างต้นใครประพฤติผิดใครประพฤติถูก คริสต์ศาสนาก็เช่นกัน แบ่งแยกออกเป็นนิกายย่อย ฯลฯ มีองค์กรทางศาสนาที่มีวิสัยทัศน์และแนวคิดแตกต่างกันออกไป ทั้งบทบัญญัติเก่าและบทบัญญัติใหม่ บทบัญญัติเก่าเน้นหนักไปในเรื่องนี้ ส่วนบทบัญญัติใหม่ก็เน้นไปอีกเรื่องหนึ่ง ตัวอย่างสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันก็คือ นิกายโรมันคาทอลิกบูชาพระแม่มาเรีย แต่นิกายแป๊ปตีสก์ไม่ได้เชื่อถือในความเป็นหญิงพรหมจรรย์ของพระแม่มาเรีย พวกเขาบูชาในพระเยซูคริสต์เพียงพระองค์เดียว อย่างนี้เราจะสรุปได้อย่างไรว่า ใครผิด ใครถูก และสัจธรรมอยู่ที่ไหน?
    <O:p</O:p
    [​IMG]

    ความหมายอย่างธรรมดาๆ ใกล้เคียงและง่ายที่สุดของคำว่า “ สัจธรรม ” ก็คือ “ ความจริงแท้ ” แต่ในภาษาเวียดนามจะมีความหมายที่ซับซ้อนมาก ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปจะเรียกสิ่งนี้ว่าข้อเท็จจริงและจะเรียกบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ดีเลิศว่า “ สัจธรรม ” แต่ที่อาจารย์ได้กล่าวกับพวกคุณบ่อยๆ ว่า สิ่งเหล่านี้มีความยิ่งใหญ่และความเป็นเลิศและเป็นนามธรรมอย่างมากๆ พวกคุณจึงไม่จำเป็นต้องทุ่มเทความพยายามและเสียเวลาที่จะไปทำการศึกษา ค้นคว้า พวกคุณเพียงแต่เรียนรู้ว่าอะไรที่เราจะสามารถนำมาฝึกใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อตัวคุณ ครอบครัวสังคม และประเทศชาติของคุณ เพราะว่าด้วยผลประโยชน์แท้จริงของสิ่งเหล่านี้พวกคุณจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสัจธรรม แต่อะไรคือความจริงในชีวิตประจำวัน อาจเป็นตัวเราเอง ครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ มนุษยชาติ โลกอวกาศ กาลเวลา ความรัก ความสุข ความเจ็บปวด วัตถุ จิตใจ วิญญาณ ร่างกาย ฯลฯ
    <O:p</O:p
    ความจริงแล้วพวกเรามีความรู้ไม่มากนักหรืออาจมีความรู้เพียงเล็กน้อย เกี่ยวกับสิ่งที่รายล้อมพวกเราอยู่นั้นคือความเป็นจริงซึ่งรวมทั้งตัวคุณเองด้วย คุณรู้จริงๆ หรือว่าคุณคือใคร มาจากไหน มีจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์อะไรที่มาอยู่บนโลกนี้ คุณอยู่บนโลกนี้มานานเท่ไรแล้ว และจะเดินทางไปที่ไหน ร่างกายของคุณอยู่ในสถานภาพอะไร ในร่างกายมีพลังงานชนิดใด มีข้อจำกัดอะไรบ้าง จิตวิญญาณของคุณเป็นใคร อยู่ในภาวะใด มาจากที่ใด และจะเดินทางไปที่ไหนต่อไป ทำไมจิตวิญญาณนี้จึงมาอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ทำไมไม่ไปอยู่กับร่างกายอื่น ทำไมจึงเป็นผู้ชาย ทำไมจึงเป็นผู้หญิง ทำไมจึงเป็นคนผิวดำ ทำไมจึงเป็นคนผิวขาว ทำไมเชื้อชาตินี้จึงมีการพัฒนาการสูง ทำไมเชื้อชาติอื่นจึงด้อยพัฒนา ทำไมคนๆ หนึ่งจึงร่ำรวยและมีความสุข ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังมีความทุกข์จากความยากจนและหิวโหย ฯลฯ

    ในเมื่อเราเองยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวของเราเลย แล้วจะมีความรอบรู้ในสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดเป็นสิ่งธรรมดามาก เล็กมาก เรายังไม่สามารถจะเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งเลย แล้วทำไมเราจึงต้องพยายามเรียนรู้เรื่องสัจธรรม เราสามารถจะรู้ถึงความเป็นจริงแท้ ความจริงนิรันดร์ได้อย่างไร เราสามารถจะรู้ถึงความจริงแท้แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงตามคำนิยามของสัจธรรมได้อย่างไร ดังนั้นอาจารย์จึงได้สอนพวกคุณให้สามารถฝึกและประยุกต์ใช้สัจธรรมในวิชาพลังจักรวาลได้ทันที แทนที่จะต้องเสียเวลาทุ่มเทความพยายามอย่างสูญเปล่าในการค้นคว้าวิจัยว่า อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าสัจธรรมตามความหมายในทางปรัชญา ซึ่งมีความหลากหลายในเชิงตรรกวิทยา หรืออะไรคือสัจธรรมตามหลักคำสอนในทางศาสนาซึ่งเต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ และมีคุณสมบัติลึกซึ้งที่ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้และไม่มีประโยชน์อะไรเลย
    <O:p</O:p
    สัจธรรมที่พวกคุณต้องการจะเรียนรู้ และจำเป็นต้องเรียนนั้นอยู่ไม่ไกลนัก อยู่ใกล้นิดเดียว อยู่ตรงหน้าในสายตาคุณ เป็นบทเรียนที่ปรากฏในทุกระดับชั้นเรียนในวิชาพลังจักรวาล ซึ่งเป็นสูตรที่พวกคุณได้ประยุกต์ใช้เป็นประจำทุกวัน การส่งพลังไปรักษาโรคให้แก่บุคคลคนหนึ่ง หรือครอบครัวหนึ่ง การรักษาหมู่ให้กับบัญชีรายชื่อ หรือคนไข้กลุ่มหนึ่ง ฯลฯ ทุกครั้งที่พวกคุณฝึกและใช้สูตรในวิชาพลังจักรวาล ขณะที่คุณส่งพลังไปรักษาคนๆ หนึ่งหรือคนอื่นๆ นั้น เป็นเวลาที่คุณได้ติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ และทุกครั้งที่คุณติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ จิตวิญญาณของคุณจะได้รับคำแนะนำคำสอนจากพระองค์ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงสอนให้แก่พวกคุณล้วนเป็นสัจธรรม และเป็นสัจธรรมที่พวกคุณสามารถเรียนรู้ ประยุกต์และฝึกปฏิบัติได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นับตั้งแต่พวกคุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับสัจธรรมได้โดยตรงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ ฉะนั้นถ้าพวกคุณประสงค์ใคร่จะเรียนรู้เกี่ยวกับสัจธรรมให้มากขึ้น พวกคุณก็จำเป็นต้องติดต่อกับพระองค์ด้วยการประยุกต์ใช้วิชาพลังจักรวาลต่อไปเรื่อยๆ ด้วยการรักษาตนเอง และช่วยเหลือผู้อื่น ยิ่งพวกคุณให้การรักษาคนไข้มากขึ้นเท่าไร พวกคุณก็จะได้เรียนรู้จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายความรวมถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับสัจธรรมด้วย
    <O:p</O:p
    พวกคุณไม่จำเป็นต้องเรียนวิชาพลังจักรวาลในระดับสูง เพื่อจะติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ และเรียนรู้เกี่ยวกับสัจธรรม โดยหลักการแล้วไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับใดของวิชาพลังจักรวาลก็สามารถจะติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ และเรียนสัจธรรมได้ และเมื่อพวกคุณมีความเจริญก้าวหน้าในการเรียนระดับสูงขึ้นก็จะสามารถรับพลังเข้าไปในร่างกายและจิตวิญญาณได้มากขึ้น สามารถติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เถื่องเด๋ เพื่อรับพลังจากพระองค์และเรียนบทเรียนทางจิตวิญญาณได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
    <O:p</O:p
    สำหรับบุคคลที่ไม่ได้เรียนวิชาพลังจักรวาล เขาจะสามารถติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ และหรือจะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับสัจธรรมได้หรือไม่นั้น อาจารย์ไม่ต้องการพูดว่าพวกเขาไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้ อย่างไรก็ตามอาจารย์สามารถพูดได้ว่าเป็นไปได้ยากมากๆ ซึ่งจากประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาตินับเป็นล้านปีมาแล้ว สามารถยืนยันในประเด็นนี้ได้เป็นอย่างดี ถ้ามนุษย์สามารถติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และค้นพบสัจธรรมได้แล้ว มนุษย์ก็ไม่ควรจะมีความทุกข์ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน และในอนาคตกาลด้วย การติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์พวกคุณจำเป็นต้องมีพลังมากพอ และจะต้องเป็นพลังแห่งจิตวิญญาณ เป็นพลังพิเศษที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ ได้ประทานให้กับอาจารย์โดยเฉพาะเพื่อปฏิบัติภารกิจที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ลงมาช่วยมวลมนุษยชาติได้สำเร็จ ลุล่วง ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงอนุญาตให้อาจารย์ส่งพลังความสามารถนี้ให้แก่พวกคุณ เพื่อให้พวกคุณและอาจารย์ร่วมกันปฏิบัติภารกิจที่ได้ทรงมอบความไว้วางใจให้ลงมาปฏิบัติในยุคนี้ศตวรรษนี้ให้สำเร็จสมบูรณ์

    สิ่งศักดิ์สูงสุดเถื่องเด๋ ไม่ทรงประทานสมองให้แก่มนุษย์ เพื่อให้สามารถค้นพบและเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ความสามารถของมนุษย์ก็ยังมีอยู่ค่อนข้างจำกัด มนุษย์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจำกัดมาก ทั้งในด้านกายภาพและในสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ก็ยิ่งจำกัดมากขึ้น ทุกๆ สิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้อาจจะเรียกว่าสัจธรรม แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไป บางสิ่งบางอย่างอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องในหมู่คนในศาสนานี้ แต่อาจเป็นสิ่งไม่ถูกต้องสำหรับหมู่ชนในอีกศาสนาหนึ่งก็ได้ หรืออะไรทำนองนั้นในทางกลับกัน ดังนั้นเราจึงอาจกล่าวได้ว่าสัจธรรมของมนุษย์นั้นอาจมีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกันหรืออาจเป็นจุดอ่อนของกันและกันได้
    <O:p</O:p
    พวกเราเรียนสัจธรรมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ ก็เพื่อจะได้รู้ถึงความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าในสัจธรรมของมนุษย์ จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติได้ คุณไม่ต้องมองไปไกล ให้มองที่ตัวเองด้วยความละเอียดถี่ถ้วนจะเกิดความเข้าใจในบางสิ่งบางอย่างที่เคยคิดว่าเป็นสิ่งถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้สิ่งนั้นยังเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่หรือเปล่า บางสิ่งบางอย่างที่เคยคิดว่าเป็นสิ่งผิด เดี๋ยวนี้ยังผิดอยู่จริงหรือไม่ บางสิ่งบางอย่างที่เคยเชื่อว่าเป็นความดี จริงๆ แล้วเดี๋ยวนี้คุณยังคิดว่าสิ่งนั้นเป็นความดีที่แท้จริงอยู่อีกหรือไม่ บางสิ่งบางอย่างที่เชื่อว่าเป็นสิ่งเลวเดี๋ยวนี้ยังคงเป็นสิ่งเลวอยู่จริงหรือไม่ ด้วยความจริงใจและเพื่อความมั่นใจว่าพวกเราทุกคนได้ใช้ดุลยพินิจและการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาด เพราะคนแต่ละคนจะมีมุมมองและความคิดที่แตกต่างกัน ดังนั้นคนหลายๆ คนย่อมจะมีความคิดและมุมมองที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน จงพิจารณาดูคนที่มาในงานเลี้ยงอาหารค่ำ คุณจะสังเกตเห็นความแตกต่างในความคิดและมุมมองของพวกเขาเหล่านั้น เช่น น้ำซุปที่เสริฟบนโต๊ะอาหารสำหรับเลี้ยงแขก 10 คน คนหนึ่งอาจจะบ่นว่าซุปนั้นเค็ม ในขณะที่อีกคนจะบ่นว่าสีสันไม่น่ารับประทาน บ้างก็ว่าเปรี้ยว บ้างก็ว่าเผ็ด บ้างก็ชมว่ารสดี แต่บางคนก็ตำหนิว่ารสไม่ดี ดังนั้นเราจะสรุปได้อย่างไรว่าใครพูดถูก อะไรคือสัจธรรม พวกเรามักคาดคะเนคิดฝัน คิดเอาเองว่าเราถูกแต่คนอื่นผิด เพราะความมืดมน คับแคบ ใจเร็วด่วนสรุปว่า ผิด – ถูก คนเรามักจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีพิพาท ความอิจฉา ความเกลียด ความตาย และความทุกข์ พวกเราจำเป็นต้องก้าวออกไปจากวงล้อมและข้อจำกัดทางความคิด ในเรื่องความผิด ความถูก ความดี ความชั่ว การคาดคิดเอาเอง ดังเช่นคนตาบอดที่ด่วนสรุปเรื่องราว เพราะจะทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของมนุษยชาติในปัจจุบันนี้ได้หมดสิ้น
    <O:p</O:p
    โดยที่จริงแล้วอาจารย์ได้สอนเกี่ยวกับสัจธรรมมาแล้วหลายบทเรียนด้วยกัน แต่พวกเราคงจำกันไม่ได้ซึ่งบทเรียนเหล่านี้เป็นบทเรียนที่มีคุณค่ามีความสัมพันธ์กับสิ่งที่พวกคุณได้เคยพบเห็นมาแล้ว เช่น เรื่องสูงหรือต่ำ ผิดหรือถูก ดีหรือชั่ว ล้วนเป็นเรื่องในจินตนาการของพวกคุณทุกคน นักศึกษาวิชาพลังจักรวาลจะมีความคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่สัมพันธ์กับสัจธรรม แต่ในความเป็นจริงแล้วจะมีสักกี่คนที่มีความเข้าใจในเรื่องราวเหล่านี้ รวมทั้งเรื่องมหาปิรามิดที่เกิดจากปิรามิด 3 ด้าน ซึ่งวางซ้อนกันอยู่บนยอดปิรามิดแต่ละอัน ด้วยปิรามิด 3 ด้านที่วางซ้อนกันอยู่บนยอดปิรามิดแต่ละอันนั้น ถ้าปิรามิดคือสัจธรรม ฉะนั้นก็จะมีปิรามิดอันอื่นอีกมากมายอยู่เต็มทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ปิรามิดแต่ละอันไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม จะมีความเหมือนกันกับปิรามิดอันอื่นทุกๆ อัน และในความเป็นจริง เราไม่สามารถจะมองเห็นปิรามิดเหล่านี้ซึ่งมีอยู่ทั่วทุกแห่งได้ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถจะนับจำนวนปิรามิดทั้งหลายที่คงมีอยู่ทั่วไปทั้งหมดได้ ซึ่งอาจารย์ได้เคยสอนแล้วและพวกคุณก็ได้ปฏิบัติแล้วเช่นกัน
    <O:p</O:p
    สัจธรรมไม่ใช่สิ่งที่สูงหรือต่ำ ถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว หรือเป็นสิ่งที่ถือได้ว่ามีคุณลักษณะเฉพาะมีข้อจำกัดด้วยเวลา ที่ว่าง ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความรู้ และวิสัยทัศน์ สัจธรรมที่แท้จริงจะต้องอยู่เหนือความสัมพันธ์ที่มีข้อจำกัดทั้งหลาย เพื่อหลีกเลี่ยงไปจากคู่สัมพันธ์ที่ตรงกันข้ามอย่างสุดโต่ง เช่น ดีและชั่ว สูงและต่ำ ผิดและถูก ขาวและดำ พวกคุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ไปแล้วบางส่วน เมื่อคุณตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวและการแบ่งเป็นสองอาจารย์ได้เคยแนะนำหลายครั้งแล้วว่า พวกคุณควรจะข้ามพ้นเรื่องการแบ่งแยกเป็นสอง เพื่อจะได้เรียนรู้และใช้ทฤษฏีเอกภาพในวิชาพลังจักรวาล ซึ่งเป็นเรื่องการไหลเวียนของพลังงานรวม หรือคลื่นความถี่รวม ที่ไม่มีขั้วตรงกันข้ามอย่างขั้วบวกและขั้วลบ แต่เป็นพลังที่พวกคุณใช้ในการรักษาโรคผู้ป่วย เป็นพลังที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเสาอากาศในอนาคต พวกคุณหลายคนรู้ว่าได้ทำผิดแต่ไม่กล้าพอที่จะรับสารภาพ ไม่ต้องการแก้ไข มีหลายสิ่งที่พวกคุณรู้ว่าถูกต้องแต่ไม่กล้าพอจะเรียนรู้หรือปฏิบัติตาม ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วจะค้นพบสัจธรรมได้อย่างไร มีเรื่องน่าเศร้าสลดของมนุษยชาติมากมายซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุที่มีทัศนคติเกี่ยวกับความกลัว และความขี้ขลาดของมนุษยชาติ ดังนั้น ถ้าพวกคุณต้องการจะค้นหาสัจธรรม ประการแรกสุดคุณจะต้องกล้าเอาชนะความกลัวในกฏเกณฑ์ ประเพณี วัฒนธรรม คำวิพากษ์วิจารณ์ สังคม และประเทศชาติ ฯลฯ

    โดยความเป็นจริงแล้ว มีคนจำนวนไม่มากนักที่จะสามารถเอาชนะความกลัวเหล่านี้ไปได้ ซึ่งก็รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมจึงเป็นการยากมากที่จะค้นพบสัจธรรมบนโลกนี้ แม้แต่ในสถาบันพลังจักรวาลของพวกเราซึ่งประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้านด้วยพลังและความสามารถของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มีพวกเราจำนวนหนึ่งที่ยังมีความศรัทธาไม่เต็มที่ในสิ่งที่ได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการฝึกปฏิบัติที่เกี่ยวกับปิรามิดจำลอง ปิรามิดในจินตนาการ เสาอากาศ การประยุกต์ใช้วิธีการส่งพลังเพื่อรักษาผู้อื่น การส่งพลังให้กับต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์ ภูมิภาคที่อาศัยอยู่และประเทศชาติ ฯลฯ

    เมื่อมีความเชื่อมั่นเพียงพอที่จะก้าวขึ้นไปเรียนวิชาพลังจักรวาลในระดับสูงนี้ พวกคุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับบทเรียนที่ว่าด้วยสัจธรรมมากขึ้น เมื่อมีความเข้าใจในวิชาพลังจักรวาลในเรื่องของจักระก็จะได้เรียนเกี่ยวกับปิรามิด ซึ่งพวกคุณจะได้เรียนบทเรียนใหม่เกี่ยวกับสัจธรรม และเมื่อเลื่อนขึ้นไปเรียนในชั้นเรียนที่สูงกว่าเกี่ยวกับศักยภาพภายในของมนุษย์ และสมองมนุษย์โบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ พวกคุณจะลืมการจินตนาการและเรื่องราวของปิรามิด ซึ่งจะทำให้สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับสัจธรรมได้ลึกซึ้งขึ้น เมื่อเรียนจบระดับ 13++ จะได้รับพลังของสมองมนุษย์โบราณและพลังแสงทิพย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ พวกคุณจะลืมบทเรียนเก่าๆ ที่ได้เรียนมาแล้วทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ แนวความคิดในชั้นเรียนต้นๆ เช่น เรื่องจักระและปิรามิด พวกคุณจะได้เรียนบทเรียนล่าสุดเกี่ยวกับสัจธรรม

    <O:p
    [​IMG]</O:p

    สัจธรรมในชั้นเรียนนี้ก็ไม่ใช่สัจธรรมในชั้นเรียนก่อน ในช่วงเวลาหนึ่งก็ไม่ใช่อีกช่วงเวลาหนึ่ง สำหรับคนๆ หนึ่งไม่ใช่สำหรับอีกคนหนึ่ง เฉพาะสัจธรรมของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ เท่านั้นที่เป็นสัจธรรมสำหรับทุกๆ คน ทุกๆ สิ่ง ในเวลาและที่ว่างทั้งหมดจะเต็มไปด้วยสัจธรรม ในวิชาพลังจักรวาลสัจธรรมก็คือคลื่นความถี่ที่พวกเราได้เรียนรู้แล้วมีภาพที่สะท้อนความมหัศจรรย์ซึ่งสามารถใช้อธิบายเกี่ยวกับสัจธรรม ซึ่งทั้งหมดบ่งบอกถึงความสามารถเหนือจินตนาการของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ สิ่งนั้นได้แก่ภูเขาหินสีแดง “ เอเยอร์ร็อค ” ที่อูลูรู ซึ่งด้านหนึ่งของทิวเขานี้ได้ปรากฏร่องรอยลึกลงไปในเนื้อหินเป็นภาพของสมองมนุษย์โบราณ ซึ่งนักศึกษาวิชาพลังจักรวาลแทบทุกคนรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทิวเขานี้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เพราะสามารถเปลี่ยนสีได้อย่างต่อเนื่องจากสีฟ้าไปเป็นสีแดง เหลือง น้ำตาล และสีม่วง ตามสภาวะของแสงแดดและละอองฝน ในยามเช้า กลางวัน เย็น และยามค่ำคืน
    <O:p</O:p
    สัจธรรมรอคอยประชาชนที่มีทัศนคติกล้าหาญจะศึกษา เรียนรู้ทำความเข้าใจในองค์ความรู้ของสัจธรรมอยู่เสมอ ทุกวันนี้ ทุกคนทราบว่าโลกโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ แต่เมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมากาลิเลโอนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียนต้องเผชิญหน้ากับสังคมอำนาจรัฐของประเทศอิตาลีและอำนาจของคริสตจักรนิกายคาทอลิก เมื่อเขาได้ประกาศความจริงที่ค้นพบทางดาราศาสตร์ว่า โลกโคจรไปรอบๆ ดวงอาทิตย์หาใช่ดวงอาทิตย์โคจรรอบๆ โลกตามที่ได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ กาลิเลโอถูกบังคับให้ยอมรับสารภาพว่าสิ่งที่เขาประกาศไปนั้นเป็นความผิดพลาดของเขา มิฉะนั้นเขาจะถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศรีษะ แต่ในยุคปัจจุบันแม้พวกคุณจะถูกกดดันบีบคั้นจากสังคม วัฒนธรรม หรือประเพณี แต่ก็นับว่าได้ว่ายังน้อยกว่าและไม่รุนแรงเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่กาลิเลโอเคยได้รับ พวกคุณมีความกล้าหาญพอที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับพลังอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ ซึ่งได้มอบให้ตั้งแต่พวกคุณได้เข้ามาเรียนวิชาพลังจักรวาล ยอมรับในผลลัพธ์ที่เหลือเชื่อของวิชาพลังจักรวาลว่าเป็นสิ่งที่เป็นจริง และการมีอยู่ของอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเราได้หรือยัง ในความเป็นจริงแล้วมีคนจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่มีความกล้าหาญเช่นนี้
    <O:p</O:p
    ถ้าปราศจากเสียซึ่งความกล้าหาญที่จะเรียนรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง แม้พวกคุณจะสามารถสัมผัสหรือมีประสบการณ์ในวิชาพลังจักรวาลถึงการมีอยู่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สามารถมองเห็นได้ในห้วงอวกาศอันไร้ขอบเขต และแม้แต่บนโลกของเรารวมทั้งได้สัมผัสพลังอำนาจอันไร้ขอบเขตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เถื่องเด๋ ที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งจักรวาลและมนุษยชาติแล้วก็ตาม พวกคุณก็จะไม่สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับสัจธรรม ความจริงแท้ ซึ่งสอนโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ เพื่อนำความมีสุขภาพดี ความรัก ความสุข มาให้กับบุคคล ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ โลกและมนุษย์ได้<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->

    อาจารย์เลืองมินห์ด๋าง
    http://palungjit.org/threads/ปัญญา-and-ความรู้แจ้ง-สาส์นแด่มนุษยชาติในยุคปัจจุบัน.226106/page-14
     
  7. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ปกติแล้วก็รักและศรัทธาในจิตวิญญาณของตัวเองเสมอ และไม่เคยเชื่ออะไรง่ายๆอยู่แล้ว
    "เธอสามารถพิสูจน์ความจริงของข้อมูลของฉันได้ จากการสังเกตดูความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของเธอที่เกิดจากคำพูดของฉัน"(ส่วนตัวจะยึดหลักนี้ด้วยเช่นเดียวกัน)
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** สูงไม่เท่ากัน ****

    ปัญญา...ไม่เท่ากัน
    อย่างพระพุทธเจ้า แหลมสูงทะลุท้องฟ้าไปแล้ว
    มีปัญญาเหนือสัตว์โลกแล้ว

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. bhuddhany

    bhuddhany Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +26
    ผมว่าอีกนานนนนนนนนมากกกกกกกกกกกว่า ที่วิทยาศาสตร์จะทัน ศาสนาพุทธของเรา ครับ พูดจริงๆ
     
  10. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    พระพุทธเจ้าในความหมายของคุณหนุมานนี่ครอบคลุมถึงไหนน้า?
    พระพุทธเจ้าที่เป็นกายเนื้อแบบนี้..

    [​IMG]

    หรืออะไรหนอ? ฮี่ฮี่..
    hello4hello4hello4
     
  11. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    รู้สึกยินดีที่ได้สนทนากับคุณ RINVARA จิงๆ เรยยค่ะ..:cool:

    หากศาสนาพุทธประมาทก็สามารถกลายเป็น " กระต่ายกับเต่า " ได้เหมือนกันนะคะ
    คำว่าวิทยาศาสตร์ทางจิตในความหมายของท่านอาจารย์อนามัยนั้น
    หมายความว่า " สามารถทดสอบซ้ำๆ ได้ โดยคนๆ เดียว หรือหลายๆ คนได้ "
    แม้แต่ความฝันก็ก็ต้องฝันแบบวิทยาศาสตร์.. ไม่ใช่ฝันแบบสะเปะสะปะเด้อค่ะเด้อ.. เอิ๊กๆ
    :z6:z6:z6
     
  12. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    การถาม - ตอบ ทางจิตวิญญาณ

    เพิ่มเติมสำหรับคุณ RINVARA ค่ะ:cool:
    ลองฝึกตั้งคำถามสั้นๆ และหาคำตอบทางจิตวิญญาณด้วยตัวเองดูค่ะ ^_^
    อาจจะได้มาด้วยความบังเอิญ, ความฝัน, ความคิดปิ๊งแว๊ป
    หรือมีใครสักคนพูดขึ้นมาแล้ว.. ใช่เลย ประมาณนี้ค่ะ
    เป็นการฝึกสัมผัสกับองค์ความรู้ที่เป็นของกลางในจักรวาลหรือจิตว่างในภาษาพุทธด้วยนะคะ
    ..............................................
    อ้างอิง:<O:p</O:p
    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-padding-alt: 4.5pt 4.5pt 4.5pt 4.5pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ebebeb 1pt inset; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: #ebebeb 1pt inset; PADDING-LEFT: 4.5pt; BACKGROUND: #f7f3f7; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: #ebebeb 1pt inset; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: #ebebeb 1pt inset; mso-border-alt: inset windowtext .75pt">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณkhajornwan
    ขอขอบคุณพี่นักเขียนมาก ๆเลยค่ะที่กรุณาชี้แนะวิธีการค้นหาอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดลุ่มลึกอันเป็นเอกลักษณ์ให้ มีเรื่องน่าแปลกอยู่อย่างสำหรับตัวเองก็คือถ้าหากเราเกิดข้อสงสัยอะไรในวันนี้หรือมาตั้งคำถามในห้องวิทย์นี้มักจะได้รับคำตอบในคืนนั้นซึ่งอาจจะเป็นไปในรูปของความฝันหรือความรู้สึกนึกคิดเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของอีกวันหนึ่งและคำตอบก็มักจะสอดคล้องกับคำกล่าวของพี่นักเขียนเสมอ

    ก็ไม่ทราบว่าคิดไปเองรึปล่าวนะคะพี่นักเขียนแต่จะลองสังเกตุพฤติกรรมของตัวเองไปเรื่อย ๆจนกว่าจะมั่นใจค่ะ..


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:<O:p</O:p
    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-padding-alt: 4.5pt 4.5pt 4.5pt 4.5pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ebebeb 1pt inset; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: #ebebeb 1pt inset; PADDING-LEFT: 4.5pt; BACKGROUND: #f7f3f7; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: #ebebeb 1pt inset; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: #ebebeb 1pt inset; mso-border-alt: inset windowtext .75pt">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณpenpilai <O:p</O:p
    สวัสดีค่ะพี่นักเขียนและพี่ๆน้องๆทุกท่านนะคะพอดีตัวเองไม่ค่อยมีเวลาได้เข้ามาโพส แต่ก็จะพยายามเข้ามาติดตามอ่านย้อนหลังค่ะ
    ที่ผ่านมาตนเองก็เคยฝึกนั่งสมาธิ(แบบหลับตาตามดูลมหายใจแต่ก็รู้สึกว่าไม่ใช่พอมาฝึกให้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวบ่อยๆก็รู้สึกว่าชอบมากกว่า)แต่พอมาติดตามอ่านหนังสือและฝึกฝนตามที่พี่นักเขียนแนะนำเมื่อหลายวันก่อนเกิดมีความรู้สึกแบบลึกๆแล้วเหมือนมีพลังงานแผ่ออกรอบตัวเป็นเวลานานต่อวันและต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้ก็คิดในใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็หาคำตอบให้กับตังเองไม่ได้วันนี้พอมาอ่านที่พี่นักเขียนพูดถึงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดอันลุ่มลึกอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้ตนเองรู้สึกว่านี่คือคำตอบที่กำลังหาอยู่ มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆเพราะอ่านหนังสือเล่มนี้มา 2 รอบแล้วแต่ทำไมเหมือนยังไม่ได้อ่านตรงนี้ (สงสัยอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ) ก็กลับไปอ่านหนังสืออีกรอบ ตอนนี้ทำให้เข้าใจมากขึ้นและจะนำบทฝึกฝนที่ 1 ที่พี่นักเขียนแนะนำไปปฎิบัติค่ะ
    ขอขอบคุณพี่นักเขียนเป็นอย่างสูงนะคะ




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอตอบคุณน้องขจรวรรณ กับ คุณน้อง penpilai ด้วยคำตอบที่ได้มาจากความฝันล่าสุด
    พี่นักเขียนมีประสบการณ์เช่นเดียวกับคุณน้องขจรวรรณนับตั้งแต่ได้สื่อสารกับท่่านอาจารย์อนาลัยในความฝันหรือเผชิญกับสถานการณ์คล้ายคุณน้อง penpilai คือได้คำตอบที่ยังหาไม่พบจากประสบการณ์ที่ดูเสมือนว่าเป็นความบังเอิญเสมอๆกล่าวคือพี่นักเขียนมักจะได้คำตอบเสมอๆในความฝันหรือชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่จะลืมตาตื่นขึ้นในยามเช้าหรือในบางขณะที่กำลังเพลิดเพลินเช่น นั่งชมนก ชมไม้ หรือเฝ้าดูกระรอกกระต่ายในสวนหลังบ้านเงียบๆตามลำพัง คำตอบจะผุดขึ้นมาหลังจากนั้นมักจะมาพบคำถามในห้องวิทย์ฯที่ตรงกับคำตอบที่ได้มาเสมอเช้ามืดวันนี้พี่นักเขียนได้รับคำตอบสำหรับคำถามของคุณน้องขจรวรรณ คุณน้อง penpilai และเชื่อว่าเป็นคำตอบสำหรับเจ้าของคำถามอีกหลายท่านที่ไม่ได้ log-in เข้ามา post คำถามด้วย คำตอบที่ได้จากความฝันล่าสุดมีดังนี้ :
    ..............................
    เมื่อจิตวิญญาณของเธอทั้งหลายเปิดรับฉันอย่างหมดใจจิตวิญญาณของเธอไม่ได้เปิดรับบุคคลตัวตนใดๆหากแต่ได้เปิดรับข้อมูลความรู้หมวดที่ครอบคลุมสาระเกี่ยวกับเส้นทางใหม่สู่การเป็นอิสระจากความปรารถนาข้อมูลความรู้จากหมวดความรู้นี้จะหลั่งไหลจากจิตวิญญาณ(ของฉัน)มาสู่จิตวิญญาณ(ของเธอ)โดยตรงอย่างเป็นธรรมชาติเสมอหากเธอจะมองหามัน-เธอจะพบคำตอบที่จิตวิญญาณของเธอใฝ่รู้เสมอคำตอบทั้งหลายจะปรากฏในชีวิตประจำวันของเธอเมื่อเธอตระหนักได้ถึงการรับความรู้จากภายในจากจิตวิญญาณสู่จิตวิญญาณโดยตรงด้วยสติสัมปชัญญะเธอจะมองเห็นภาพสะท้อนของความรู้หรือคำตอบทั้งหลายปรากฏเป็นความคิด เสียงภายในวัตถุธาตุ บุคคล ปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวันทั้งยามตื่น และยามฝัน

    ฉันอยากจะกล่าวว่าข้อมูลความรู้จากหมวดความรู้นี้จะหลั่งไหลจากจิตวิญญาณมาสู่จิตวิญญาณโดยตรงอย่างเป็นธรรมชาติเสมอโดยไม่ต้องกล่าวว่า ของฉัน-ของเธอ เพราะตามธรรมชาติความเป็นจริงแล้วจิตวิญญาณปราศจากเจ้าของและตัวตนจำเพาะการถ่ายทอดข้อมูลความรู้จากจิตวิญญาณไปสู่จิตวิญญาณเป็นไปได้ด้วยกลไก 3 ประการคือ :
    1. ความใฝ่รู้
    2. เจตนา
    3. ความเชื่อในทางที่ถูกต้อง


    1. ความใฝ่รู้ในที่นี้หมายถึงความใฝ่รู้เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณหากเธอปราศจากความใฝ่รู้ด้วยสติสัมปชัญญะในระดับตามปกติของเธอแม้ว่าความรู้จะหลั่งไหลจากต้นกำเนิดมาสู่จิตวิญญาณของเธอมากมายเพียงใดเธอก็จะมองหามันไม่พบเสมือนว่าเธอมองข้ามคนใกล้ตัวที่มีความรู้มากมายที่จะให้เธอได้แต่เธอกลับให้คุณค่าหรือตีคุณค่าของเขาเพียงน้อยนิดไม่ต่างไปจากการที่บุคคลมองข้ามครูบาอาจารย์ของตนเองไปและพอใจกับความรู้อันจำกัดของตนเองและไม่แสวงหาความรู้หรือสื่อสารกับครูบาอาจารย์ของเขาด้วยความทะนงแม้ครูบาอาจารย์จะให้ความรู้แก่เขามากมายเพียงใด นอกจากเขาจะไม่เห็นคุณค่าแล้วเขาก็มักจะมีความเชื่อในทางที่ผิดว่าความรู้ที่ครูบาอาจารย์ให้แก่เขาเป็นสิ่งที่เขารู้ได้ด้วยตนเอง


    2. เจตนาความรู้อันเป็นสากลโลกของจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจมหาศาลฉันได้กล่าวไว้ใน ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณถึงประสาทสัมผัสภายในหรือประสาทสัมผัสที่หกซึ่งเป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติของจิตวิญญาณไว้ว่า -หากปราศจากการใช้ประสาทสัมผัสภายใน จิตวิญญาณจะไม่อาจพัฒนาก้าวหน้าไปได้แต่เธอจะไม่อาจใช้ประสาทสัมผัสภายในได้จนกว่าเธอจะรู้จักและเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ - การที่เธอทั้งหลายจะเข้าใจถึงประสาทสัมผัสภายในได้อย่างถ่องแท้เป็นไปได้ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ อันเป็นเจตนาที่แท้จริงของตัวตนภายในซึ่งประสานตัวตนภายในอื่นๆและตัวตนภายนอกทั้งหลายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณเข้าด้วยกันเจตนาอันบริสุทธิ์ของตัวตนภายในเป็นสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือบิดเบือนไปจากต้นกำเนิดตามธรรมชาติเพราะมันเป็นปัจจัยที่หลอมรวมจิตวิญญาณทั้งหลายให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ทำให้จิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับความรู้

    เจตนาของตัวตนภายนอก-ของบุคคลผู้มีความเชื่อในทางที่ผิดมักเป็นไปด้วยการแบ่งแยกตัวตนเรา-เขาเป็นไปด้วยความปรารถนาที่มุ่งหวังโดยเอาตนเองเป็นที่ตั้งเธอทั้งหลายจะสัมผัสกับเจตนาของตัวตนภายในได้ไม่ยากเพราะมันจะทำให้เธอตระหนักถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สัมผัสกับความรักการช่วยเหลือเกื้อกูลสัมผัสกับอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดลุ่มลึกอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สัมผัสกับความรักอันปราศจากเงื่อนไขปราศจากความอิจฉาริษยา ปราศจากความโกรธ ปราศจากการแตกแยก ปราศจากการกล่าวโทษการให้-การรับเป็นไปด้วยการมีความรักและความปรารถนาที่จะช่่วยเหลือเกื้อกูลกันและเห็นแก่ประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นที่ตั้งมิใช่เป็นไปด้วยความโลภและความปรารถนาที่จะเอาความดีความชอบเพื่อตนเอง

    ความสุขใจอันลุ่มลึกที่เกิดจากการให้ด้วยความรักอันปราศจากเงื่อนไขและความปรารถนาที่จะช่วยเหลือเกิ้อกูลผู้อื่นอย่างหมดใจจะทำให้เธอสัมผัสกับอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดลุ่มลึกอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอเธอจะรู้สึกได้ถึงความรักและศรัทธาที่เธอมีต่อจิตวิญญาณของตนเองสัมผัสได้ถึงความพึงพอใจที่เธอคือจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังและได้ใช้ความรู้-ความสามารถและทักษะจำเพาะอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองหรือใช้พลังอำนาจของตนเองอย่างดีที่สุดเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น

    3. ความเชื่อในทางที่ถูกต้องเป็นกลไกที่ทำให้จิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกันกับความรู้หากบุคคลมีความเชื่อในทางที่ผิด เช่น เชื่อว่าเขาหาความรู้ได้จากภายนอกได้จากบุคคลที่เขาเรียกว่าเป็นผู้วิเศษเหนือมนุษย์ความเชื่อดังกล่าวจะนำพาให้เขาแสวงหาความง่าย แสวงหาสิ่งที่มีพลังอำนาจสำเร็จรูปเช่นวัตถุสิ่งของที่เขาคิดว่าเมื่อได้มาครอบครองแล้วจะทำให้ตนแปลงสภาวะเป็นอื่นที่เหนือชั้นไปกว่าเดิมได้อย่างฉับพลันหรือในระยะเวลาอันสั้นการแสวงหาความรู้จากภายนอกมักจะดำเนินต่อไปยาวนานเพราะไม่ว่าบุคคลหรือวัตถุสิ่งของเหล่านั้นจะดูเสมือนว่ามีพลังอำนาจมากมายเหนือชั้นเพียงใดพลังอำนาจเหล่านั้นไม่อาจถ่ายทอดมาสู่สติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอกของเขาได้ทำให้เขาต้องแสวงหาต่อไปอีก

    พลังอำนาจที่แท้จริงของจิตวิญญาณ คือปัญญาอันเกิดจากการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้จะถ่ายทอดจากภายใน-มาสู่ภายในเสมอหากเธอทั้งหลายมองหามันจากภายนอก เธอจะไม่มีวันหามันพบสิ่งที่เธอพบในบุคคลหรือวัตถุสิ่งของเป็นเพียงเงาหรือภาพสะท้อนที่ฉายจากจิตวิญญาณออกมาสู่โลกภายนอกเท่านั้นเมื่อเธอรับเอาวัตถุธาตุต่างๆมามันไม่ต่างจากการเก็บเอาเพียงเงาของพลังอำนาจที่แท้จริงของจิตวิญญาณมาและเชื่อว่าเธอได้ต้นฉบับของมันมาด้วย

    ในทางตรงกันข้าม-หากเธอมีความเชื่อในทางที่ถูกต้องและได้รับความรู้ภายในได้อย่างแท้จริงพลังอำนาจของจิตวิญญาณจะหลั่งไหลไปสู่ทุกสิ่งทุกอย่าง ปรากฏเป็นความคิด วัตถุธาตุบุคคล ปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวันทั้งยามตื่นและยามฝันซึ่งทำให้เธอมองเห็นและตระหนักได้ว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นเป็นจินตภาพและกายภาพเหล่านั้นเป็นภาพสะท้อนของความรู้ที่แท้จริงที่เธอได้รับจากภายในและสิ่งที่ปรากฏในโลกทางกายภาพนั้นๆ ทุกสิ่งมีความหมายแม้แต่คำพูดที่เอ่ยเอื้อนออกมาจากปากของเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาคำกล่าวที่ออกมาจากปากของบุคคลที่สังคมวินิจฉัยว่าโง่เขลาหรือด้อยปัญญาคำกล่าวที่ออกมาจากปากของบุคคลที่ศาสนาตัดสินว่าไม่ใช่คนดี ไม่มีบุญไม่อยู่ในศีลในธรรม ไกลพระเจ้าปรากฏการณ์ที่ดูเสมือนจะไร้ความหมายกลับมีความหมายและให้ข้อมูลความรู้และคำตอบมากมายแก่เธอ

    ความเชื่อที่ผิดหนึ่งๆมักนำไปสู่กลุ่มความเชื่ออื่นๆที่ผิดซึ่งสนับสนุนกันมันมักทำให้เธอมองเห็นได้ยากว่า มันเป็นเพียงความเชื่อซึ่งไม่ใช่ความรู้ศาสนาและสังคมของเธอสร้างคำนิยามมากมายที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่อยูุ่สุดคนละปลายขั้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความดี-ความชั่ว บุญ-บาป สูง-ต่ำ เทวดา-ปิศาจ

    เมื่อเธอมีความเชื่อว่าเธอใฝ่หาธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณและเธอเชื่อว่าหามันพบเพราะเธอสัมผัสกับสิ่งต่างๆที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัสที่ห้าของเธอได้เธอมักนำความคิดเหล่านี้มาสร้างฐานให้กับตนเอง เช่นพิจารณาว่าเธอได้นำพาจิตวิญญาณของเธอไปสู่หนทางที่เป็นความดี เป็นบุญสู่ภาวะที่สูงขึ้น ใกล้ชิดเทวดามากขึ้นในขณะเดียวกันความเชื่อของเธอก็มักจะทำให้เธอพิจารณาต่อไปว่าผู้ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับเธอ คือผู้ที่ยังต่ำกว่า ยังมีกรรมหรือไกลเทวดา

    เมื่อใดก็ตามที่ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากการใฝ่หาความรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณทำให้เธอมองเห็นความแตกแยกหรือความแตกต่างของตนเองไปจากผู้คนรอบตัวเธอมากขึ้นไปอีก เธอกลับไม่ได้ตระหนักว่าความรู้ที่เธอได้รับนอกเหนือไปจากประสาทสัมผัสที่ห้าหรือเชื่อว่ารับได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หก หรือ ประสาทสัมผัสภายในนั้นแม้เธอจะรับได้จริงด้วยสติสัมปชัญญะของตัวตนภายในแต่เมื่อมันมาสู่สติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอกของเธอ-มันก็ยังไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริงเพราะสิ่งที่เธอรับได้กลับถูกบิดเบือนไปด้วยความเชื่อที่ผิด

    มันอาจจะเป็นสิ่งแปลกประหลาดหากฉันจะบอกเธอว่าหากประสาทสัมผัสที่หกของเธอทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างชัดแจ้งและข้อมูลความรู้ที่เธอได้รับมาสู่สติสัมปชัญญะภายนอกของเธอโดยไม่ได้ถูกบิดเบือนไปด้วยความเชื่อที่ผิดเธอกลับจะพบว่า การเป็นบุคคลตัวตนของเธอนั้นเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งทั้งหลายความแปลกแยกแตกต่างจากผู้อื่นหรือการแบ่งแยกเรา-เขา จะจางหายไป คำว่าความดี-ความชั่ว บุญ-บาป สูง-ต่ำ เทวดา-ปิศาจ แทบจะปราศจากความหมาย เพราะเมื่อเธอพบกับความเป็นหนึ่งเดียวอันเป็นแก่นแท้ของจิตวิญญาณการแบ่งแยกทั้งหลายจะไร้ความเป็นจริง

    [​IMG]

    จากนิทานเรื่องน้ำค้างกับเมล็ดข้าว ฉันได้เล่าว่า
    ต้นข้าวมากมายออกรวงสีทองและเต็มไปด้วยต้นข้าวที่บ้างก็มีรวงข้าวที่แน่นจนยอดของมันโน้มลงสู่ดินบ้างก็ชูยอดสูงสู่ฟ้า บ้างก็มีเมล็ดที่สมบูรณ์เป็นพิเศษพวกมันมีความสุขและงอกงามร่วมกันอย่างร่าเริง พวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สอง น้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่น้ำค้างหยดที่ห้า น้ำค้างหยดที่หก น้ำค้างหยดที่เจ็ด และน้ำค้างหยดที่แปด......<O:p</O:p

    .........ไม่ว่าเมล็ดข้าวสีดำจะงอกงามได้เร็วช้าเพียงใดมันก็เต็มไปด้วยแนวโน้ม ความเป็นไปได้อันหลากหลายเป็นอนันต์และมันก็จะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ในทิศทางของมันได้ในที่สุดไม่ว่าในช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาเมล็ดข้าวเหล่านั้นจะเรียกการเจริญงอกงามของของมันว่าเร็ว-ช้า ก่อน-หลังก้าวหน้า-ล้างหลัง ล้มเหลวหรือประสพความสำเร็จ

    ในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-นาข้าว ท้องถิ่นกันดาร ฝน น้ำค้างและความแห้งแล้งล้วนเป็นมิติจำเพาะที่ทำให้เมล็ดข้าวเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตของมันได้อย่างเป็นเอกลักษณ์จากมมุมมองจำเพาะ และ จากความเชื่อจำเพาะ

    ความเชื่อที่ว่าความก้าวหน้าของจิตวิญญาณซึ่งพัฒนาไปได้ด้วยการขยายการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสภายในจะทำให้เธอกลายเป็นรวงข้าวที่ชูช่อเหนือรวงข้าวอื่นๆจึงเป็นความเชื่อที่ไม่ใช่ความรู้หรือความเป็นจริงเพราะข้าวเต็มรวงย่อมน้อมลงสู่ดินเสมอ
    ;k06;k06;k06
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2010
  13. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ตามให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง (กระทู้ในดวงใจทีเดียว) ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ
    จะลองนำไปปฎิบัตดู สู้ๆนะเพื่อนรัก...
     
  14. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    “ศาสนาพุทธ” กับ ”ศาสนาอิสลาม” ที่ควรเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ( 1 )

    เย้ๆๆ.. เรามีเพื่อนรักเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คนแว้วววววว..:cool:
    ............................................
    วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2010 เวลา 12:35 น.โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา

    กัณหา แสงรายา
    โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
    <O:p</O:p
    คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของ จ.สงขลาไม่ว่าจะนับถือศาสนาพุทธหรือศาสนาอิสลามเคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบและปลอดภัยมานานนับร้อยๆ ปี ยกตัวอย่างเช่นคนเชื้อสายไทยพุทธใน ต.พิเทนอ.มายอ ต.ปิยา อ.ยะหริ่ง ต.ทรายขาว อ.โคกโพธิ์จ.ปัตตานี ฯลฯ ไม่เคยมีปัญหาใดๆกับคนเชื้อสายมลายูซึ่งนับถือศาสนาอิสลามและเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่
    <O:p</O:p
    การอยู่ร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจกันเป็นภาพประทับใจที่ไม่เพียงส่งผลต่อสภาพจิตใจที่ดีเท่านั้นหากยังส่งผลดีต่อชีวิตทางเศรษฐกิจของส่วนรวมและชีวิตความเป็นอยู่ทั่วๆ ไป เช่นในการปกครองท้องถิ่น การศึกษา และสุขภาวะในชุมชนแต่ละแห่งเป็นอย่างมากด้วย
    <O:p</O:p
    อย่างไรก็ตามปัญหาหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นเรื่องอ่อนไหวซึ่งสามารถทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนในพื้นที่ได้คือการดูถูกกันในเรื่องความเชื่อ โดยเฉพาะการที่ชาวมุสลิมเชื่อหรือศรัทธาในอัลลอฮฺ (Allah) เนื่องจากศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เชื่อและศรัทธาในพระเจ้าในขณะที่ศาสนาพุทธไม่เชื่อในพระเจ้าหลายคนจึงคิดว่าทั้งสองศาสนานี้ไม่มีวันจะเข้าใจกันได้ เมื่อไม่เข้าใจกันแล้วก็เลยพาลดูถูกเหยียดหยามสิ่งที่อีกศาสนาหนึ่งนับถือและศรัทธาทำให้ความไม่เข้าใจกันยิ่งถ่างกว้างออกไปอีก
    <O:p</O:p
    บทความในรูปคำถาม-คำตอบต่อไปนี้จะพยายามทำความเข้าใจกับความเชื่อในศาสนาทั้งสอง (และศาสนาที่เกี่ยวข้องอื่นๆอีกเล็กน้อย)เพื่อให้ผู้นับถือศาสนาทั้งสองได้มีโอกาสทำความเข้าใจกับศาสนาของเพื่อนรวมทั้งศาสนาที่ตนเองนับถืออย่างลึกซึ้งด้วยเพื่อที่จะได้มีความเข้าใจซึ่งกันและกันอันจะเป็นการปิดหนทางที่อาจนำไปสู่การดูถูกเหยียดหยามความเชื่อทางศาสนาของอีกฝ่าย

    [​IMG]

    <O:p</O:p
    ข้อจำกัดในการอธิบายของผู้เขียนย่อมมีแน่นอน จากพื้นฐานที่ว่าประการแรกผู้เขียนไม่มีโอกาสศึกษาศาสนาอิสลามโดยตรงประการต่อมาในส่วนของศาสนาพุทธนั้นแม้ผู้เขียนจะเคยสอบได้ธรรมศึกษาตรีมาตั้งแต่สมัยยังรุ่นๆ อยู่เมื่อหลายสิบปีก่อนก็ยังนับว่าเป็นข้อจำกัดอยู่ดี แต่ในการศึกษาต่อเนื่องผู้เขียนได้ใช้เวลาศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับศาสนาทั้งสองนี้ด้วยตนเองมาโดยตลอดจวบจนปัจจุบันดังนั้นหากมีความบกพร่องหรือข้อผิดพลาดประการใดโปรดได้ให้อภัยและได้โปรดถือเป็นความด้อยปัญญาของผู้เขียนอย่างแท้จริง
    <O:p</O:p
    แต่ก็ขอได้โปรดมองเจตนาดีของผู้เขียนที่หวังให้พี่น้องต่างศาสนิกได้เข้าใจกันเพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขบนผืนแผ่นดินที่ทุกคนต่างก็เป็นเจ้าของผืนนี้...<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    O ความหมายของคำว่า ศาสนา” (Religion)?<O:p</O:p
    ในศาสนายูดาย (ยิว) ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ฯลฯ คำว่า ศาสนาหมายถึงคำสั่งหรือบทบัญญัติของพระเจ้าซึ่งสั่งสอนโดยศาสดาพยากรณ์ (รอซุลหรือนบี)ส่วนในศาสนาพุทธ ศาสนาขงจื๊อ ศาสนาเต๋า ฯลฯหมายถึงคำสั่งสอนและวินัยบัญญัติโดยศาสดาผู้เป็นเจ้าลัทธิเอง
    <O:p</O:p
    O ศาสนามี 2 กลุ่มใหญ่ซึ่งมีความแตกต่างกัน โปรดอธิบาย<O:p</O:p
    ในโลกนี้ศาสนามีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
    <O:p</O:p
    1. ศาสนาที่เชื่อว่ามีพระเจ้า เรียกว่า "ศาสนาเทวนิยม" (Theism) เช่น ศาสนายูดาย ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามศาสนาพราหมณ์-ฮินดู<O:p</O:p
    2. ศาสนาที่ไม่เชื่อในพระเจ้า เรียกว่า"ศาสนาอเทวนิยม" (Atheism) เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาเซน เป็นต้น
    <O:p</O:p
    การแยกศาสนาออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆนี้เป็นเพียงการแบ่งตามความเชื่อในพระเจ้า โดยแยกเป็นกลุ่มที่เชื่อว่ามีพระเจ้าและกลุ่มที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้าเท่านั้น ศาสนาที่เชื่อว่ามีพระเจ้าจะเชื่อว่าพระเจ้าเป็น ผู้สร้าง (Creator) บรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายในขณะที่ศาสนาที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็จะเชื่อว่ามนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติหามีพระเจ้าเป็นผู้สร้างแต่อย่างใดไม่
    <O:p</O:p
    แต่ถ้าทำความเข้าใจกันให้ลึกซึ้งแล้วไม่ว่าจะเป็นศาสนาที่เชื่อหรือไม่เชื่อในพระเจ้าต่างก็เป็นศาสนาที่มีความเชื่อในแนวที่เรียก
    ว่า จิตนิยม (Spiritualism) ทั้งสิ้น คำว่า จิตนิยม ในที่นี้หมายถึงว่าทุกศาสนาล้วนสอนและมีพื้นฐานความเชื่อใน สิ่งเร้นลับ หรือ สิ่งเหนือธรรมชาติ (Supernatural) ทั้งสิ้น
    <O:p</O:p
    สิ่งเร้นลับ หรือ สิ่งเหนือธรรมชาติ นั้น เราไม่สามารถใช้ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) มาอธิบายได้ ส่วนทัศนะที่ว่าเราสามารถใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ สิ่งเร้นลับ ในศาสนาของตนได้นั้น เอาเข้าจริงๆ แล้วเมื่อทำการพิสูจน์ก็เป็นการใช้วิธีการทางปรัชญาเท่านั้นหาใช่วิธีการทางวิทยาศาสตร์แท้ๆ ไม่

    [​IMG]

    <O:p</O:p
    O จุดมุ่งหมายของ ศาสนาคืออะไร?
    <O:p</O:p
    การสอนให้คน ทำความดี-ละเว้นความชั่ว ถือเป็นพื้นฐานคำสอนของทุกศาสนาอย่างไรก็ตาม แต่ละศาสนามักมี เกณฑ์ของความดีและความชั่วแตกต่างกัน บางศาสนาเกณฑ์ดังกล่าวนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในขณะที่ในบางศาสนาเกณฑ์ดังกล่าวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะศาสนาแนวเทวนิยมเช่น ศาสนาอิสลาม เชื่อว่าบทบัญญัติต่างๆ เป็นของพระผู้เป็นเจ้าดังนั้นจึงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ศาสนาอิสลามจึงเป็นศาสนาที่มีความเคร่งครัดมากยิ่งกว่าศาสนาใดๆ
    <O:p</O:p
    แต่ถึงกระนั้นศาสนาอิสลามก็มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิบัติที่ให้คำนึงถึงความยืดหยุ่นความสะดวกและความง่าย ไม่ให้มีความยากลำบาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เวลานั้นๆเช่น เมื่อมีเหตุจำเป็นในกรณีเกิดอุบัติภัยหรือกรณีฉุกเฉินที่ในศาสนาเรียกว่า ภาวะ ฎอรูเราะห์ (Darurah) เกิดขึ้น
    <O:p</O:p
    นอกจากนี้ในศาสนาอิสลามยังเปิดโอกาสให้มีการตีความบทบัญญัติต่างๆโดยให้มีการแต่งตั้งคณะผู้รู้ในอิสลามเพื่อทำหน้าที่ตีความบทบัญญัติในศาสนาทุกครั้งที่มีปรากฏการณ์ใหม่ๆทางสังคมหรือจักรวาลวิทยา ทั้งนี้โดยไม่เปลี่ยนแปลงบทบัญญัติในพระคัมภีร์
    <O:p</O:p
    ในศาสนาพุทธและในศาสนาคริสต์เป็นเช่นเดียวกับศาสนาส่วนใหญ่คือมีการ สังคายนาหรือการรวบรวมปรับปรุงและจัดหมวดหมู่บทบัญญัติทางศาสนาเพื่อให้เป็นระบบระเบียบและเพื่อความเหมาะสมกับยุคสมัยเป็นระยะๆนับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาหลายต่อหลายครั้ง
    <O:p</O:p
    O แต่ละศาสนาพูดถึงการศรัทธาหรือความเชื่อในสิ่งเร้นลับ ศาสนาต่างในโลกนี้มีความเชื่อใน สิ่งเร้นลับอะไรบ้าง?
    <O:p</O:p
    ความเชื่อใน สิ่งเร้นลับในศาสนาแนวเทวนิยม เช่นความเชื่อในพระเจ้า (God), บาปกำเนิดในศาสนาคริสต์, กฎการตอบแทนในเรื่องบาปบุญคุณโทษในศาสนาต่างๆ, กฎแห่งการกำหนดสภาวการณ์ของพระเจ้าในศาสนาอิสลาม, ความเชื่อใน สิ่งเร้นลับในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ เช่น ชาติหน้า, สังสารวัฏ (การเวียนว่ายตายเกิด) และหลักปฏิจสมุปบาท, นิพพาน (Nirvana) ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพุทธ
    <O:p</O:p
    ทฤษฎี จิตประภัสสรทฤษฎี เวรกรรมเช่นความเชื่อในเรื่องเจ้ากรรมนายเวร, ทฤษฎีเรื่องกรรม (กรรมนิยม) ดังคำกล่าวที่ว่า กรรมเป็นตัวกำหนดชี้ชะตาของมนุษย์ว่าถ้าทำดีก็ต้องได้ดีและถ้าทำชั่วก็ต้องได้ชั่วเหมือนกับการหว่านพืช: กลฺยาณการี กลฺยาณํ, ปาปการี จ ปาปกํ ยาทิสํ วปเตพีชํ, พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ; คนจะดี-ชั่วก็เพราะกรรม: กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ; กรรมคือการกระทำเป็นผู้จำแนกสรรพสัตว์ให้ดีชั่ว:กมฺมํ สตฺเตวิภชติ; "โลกเป็นไปตามกรรม": กมฺมุนา วตฺตตี โลโก ในศาสนาพุทธเป็นต้น
    <O:p</O:p
    สิ่งเร้นลับ อื่นๆซึ่งมีอยู่ในแทบทุกศาสนาและความเชื่อของกลุ่มชนเผ่า เช่น ชาติหน้า, ชีวิตภายหลังความตาย, นรก-สวรรค์, เทวดา นางฟ้า, พญาแถน, ผีบรรพบุรุษ (ผีด้ำ), ภูตผีปีศาจ, เปรต, เจ้าพ่อ-เจ้าแม่, เจ้าที่-เจ้าทาง, เจ้าป่า-เจ้าเขา, อำนาจของรูปเจว็ดหรือสิ่งที่เคารพ, จอมปลวก, ลัทธิบูชากบ (พญาคันคา )ก), พิธีทางไสยศาสตร์ เช่นเสกหนังเข้าท้อง การสักตัว ผ้ายันตร์ เหล็กไหล ตะกรุด ฯลฯล้วนแล้วแต่เป็นความเชื่อที่ขนานไปกับวิทยาศาสตร์ (Science) ซึ่งไม่อาจใช้ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้
    <O:p</O:p
    คำว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์และคำว่า ดลบันดาล ที่ปรากฏในภาษาไทย แสดงถึงความเชื่อของคนไทยที่มีต่อ สิ่งเร้นลับดังกล่าว พึงสังเกตว่าในภาษาไทยมีคำกล่าวที่มักคอยเตือนสติว่า ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ ซึ่งสะท้อนความเชื่ออันยากที่จะปฏิเสธถึงความมีอยู่ (existence) ของบรรดา สิ่งเร้นลับต่างๆ ในมโนภาพของคนไทย
    <O:p</O:p
    อย่างไรก็ตาม ทฤษฎี (Theory) ทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากก็อาศัยความเชื่อ (Belief) ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเพียง ข้อสมมุติฐาน (Assumption) เท่านั้นเอง เช่นทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin), ทฤษฎีกำเนิดจักรวาล ฯลฯซึ่งล้วนแต่ไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นจริงได้อย่างน่าเชื่อเช่นกัน
    <O:p</O:p
    O เหตุใด คำปฏิญาณของชาวมุสลิมจึงกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์” (There’s no gods but Allah) จงอธิบาย
    <O:p</O:p
    ศาสนาอิสลามก็เช่นเดียวกับศาสนายูดาย (ยิว) เป็นศาสนาเทวนิยมประเภท เอกเทวนิยม (Monotheism) หรือศาสนาที่มีหลักศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ศาสนาอิสลามเชื่อใน อัลเลาะห์ (Allah) ว่าเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวตามที่ปรากฏในคำกล่าวปฏิญาณดังกล่าว

    [​IMG]

    <O:p</O:p
    คำกล่าวปฏิญาณมีลักษณะของการปฏิเสธไม่เชื่อว่ามีเทพเจ้าหรือพระเจ้า (ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่) อื่นใด นอกจากอัลเลาะห์ (องค์เดียว)
    <O:p</O:p
    คำกล่าวปฏิญาณนี้จะเป็นตัวกำหนดโลกทัศน์และชีวทัศน์ของคนอิสลามว่าเว้นแต่พระเจ้า (อัลเลาะห์) แล้วหน่วยของจักรวาลทั้งหมดเป็นเพียงวัตถุทางธรรมชาติเท่านั้นไม่ได้มีความศักดิ์สิทธิ์หรือมีสถานะที่สูงส่งไปกว่าวัตถุทางธรรมชาติอื่นๆแต่อย่างใดไม่ดังนั้นวัตถุทางธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทั้งหลายจึงไม่อาจเป็นเป้าหมายที่มนุษย์จะต้องไปกราบไหว้และเคารพบูชาประหนึ่งพระเจ้าหรือยึดเหนี่ยวไว้เป็นที่พึ่ง
    <O:p</O:p
    ในโลกทัศน์ของชาวมุสลิมจึงเห็นว่า พระอาทิตย์ก็คือพระอาทิตย์ดวงจันทร์ก็คือดวงจันทร์ ต้นไม้ก็คือต้นไม้ แม่น้ำก็คือแม่น้ำ ฟ้าผ่าก็คือฟ้าผ่าฯลฯ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่อธิบายได้ (ตามหลักวิทยาศาสตร์) และสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ สิ่งเร้นลับหรือสิ่งนอกเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด ศาสนาอิสลามจึงไม่มีพิธีกรรม บูชา สิ่งธรรมชาติเหล่านี้รวมทั้งไม่บูชารูปเคารพหรือสิ่งที่เป็นเจว็ดทุกประการ
    <O:p</O:p
    การที่ศาสนาอิสลามเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวจึงทำให้สามารถแยกสิ่งเร้นลับออกจากสิ่งธรรมชาติออกจากกันด้วยเหตุนี้ศาสนาอิสลามจึงแตกต่างจากศาสนาบางศาสนา เช่นศาสนาพราหมณ์-ฮินดูซึ่งเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ ที่เรียกว่า ตรีมูรติอันประกอบด้วยพระอิศวร พระนารายณ์ พระวิษณุในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมักอธิบายในทำนองว่าพระเจ้าแทรกซึมอยู่ในสรรพสิ่งอันเป็นธรรมชาติทั้งหลายชาวฮินดูจึงกราบไหว้บูชาและวิงวอนขอจากพระอาทิตย์ก็ได้ พระจันทร์ก็ได้ แม่โพสพก็ได้ฯลฯ เพราะถือว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นเป็น เทพเจ้า (สังเกตการใช้คำว่า พระนำหน้าวัตถุสรรพสิ่งเหล่านั้น)คล้ายคนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน
    <O:p</O:p
    แต่ในศาสนาอิสลาม ชาวมุสลิม (ผู้นับถือศาสนาอิสลาม)ไม่สามารถบูชาหรือกราบไหว้สิ่งธรรมชาติเหล่านั้นได้เพราะจะขัดต่อหลักศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวการกราบไหว้บูชาสิ่งอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์ ถือว่าเป็นการตั้งภาคีต่ออัลเลาะห์ (พระเจ้า) ซึ่งในศาสนาอิสลามถือเป็นบาปใหญ่ถึงกับตกจากศาสนาเลยทีเดียว
    <O:p</O:p
    O ศาสนามีความสำคัญหรือมีประโยชน์อย่างไร?
    <O:p</O:p
    ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือศาสนาเป็นบ่อเกิดของจริยธรรมและศีลธรรมตั้งแต่ในระดับบุคคล จนถึงสังคมที่ใหญ่ขึ้นศาสนาช่วยควบคุมสังคมตั้งแต่พื้นฐานเลยทีเดียวผลก็คือทำให้สังคมทุกระดับมีความมั่นคงทั้งทางจิตวิทยาและวัตถุศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจของสมาชิกในสังคมทุกระดับได้ดีที่สุดศาสนามีชุดคำตอบที่สมบูรณ์ที่สุดสำหรับมนุษย์ซึ่งครอบคลุมทั้งชีวิตในปัจจุบันและภายหลังความตาย
    <O:p</O:p
    ในขณะเดียวกันกฎหมายของบ้านเมืองล้วนมีพื้นฐานมาจากเกณฑ์ความดี-ความชั่วที่บัญญัติไว้ในศาสนาซึ่งคลี่คลายขยายตัวเป็นระยะๆโดยลำดับในกระแสธารของประวัติศาสตร์ทำให้สังคมมีอายุสืบเนื่องมาได้จนถึงทุกวันนี้<O:p</O:p

    O ศาสนามีโทษหรือไม่?<O:p</O:p
    แน่นอนทุกปรากฏการณ์ย่อมมีทั้งคุณและโทษศาสนามีคุณหรือโทษขึ้นอยู่กับผู้ที่นับถือศาสนานั้นๆมากกว่ามาจากคำสอนในศาสนาที่ตนนับถือเราทราบว่าศาสนาคือระบบความเชื่อที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงที่สุดที่ดำรงอยู่อย่างยาวนานดังนั้นแต่ละศาสนาจึงประกอบด้วยผู้ที่เชื่อถือและศรัทธาในศาสนาซึ่งเรียกว่า ศาสนิกชน (เช่น อิสลามิกชน พุทธศาสนิกชน หรือพุทธมามกะคริสตศาสนิกชน ฯลฯ) อยู่เป็นจำนวนมากยิ่งกว่านั้นในแต่ละศาสนาก็มีลัทธิและนิกายแยกย่อยไปอีกมากมายแนวปฏิบัติและประเพณีต่างๆ ในศาสนาจึงมีมากมายราวกับไม่จำกัดสิ่งเหล่านี้เปิดโอกาสให้ความขัดแย้งก่อตัวขึ้นได้ง่ายในระหว่างผู้ที่มีความนิยมและยึดมั่นต่างกัน
    <O:p</O:p
    อย่างไรก็ตาม ทุกศาสนาล้วนมีบทบัญญัติในเรื่องขันติธรรม (Tolerance) ซึ่งแสดงว่าแต่ละศาสนาเน้นให้มีความอดกลั้นทั้งในระดับบุคคลและสังคมเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของมวลหมู่มนุษย์ (น่าสนใจที่อีกความหมายหนึ่งของคำว่า อิสลามแปลว่า สันติภาพหรือ Peaceแสดงอย่างชัดแจ้งว่าอุดมการณ์ของอิสลามคือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของมนุษยโลก)
    <O:p</O:p
    ตัวอย่าง ขันติธรรมในศาสนาอิสลามดังปรากฏในบทบัญญัติในเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนาซึ่งแสดงถึงการเคารพในความแตกต่างกันในสังคมแห่งการอยู่ร่วมกัน เช่นในพระมหาคัมภีร์กุรอานมีบทบัญญีติว่า ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา (อัลกุรฺอาน 2:256) และ สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน (อัลกุรฺอาน 109:6)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    -----------------------------โปรดติดตามต่อตอนที่ 2-------------------------
    :z8:z8:z8<O:p</O:p
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ยึดตามเดิม จนไม่ได้พัฒนาตามจริง ****

    ปัญหาของสัตว์โลก ที่ไปไม่รอด
    คือ การไม่ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลก

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  16. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    “ศาสนาพุทธ”กับ“ศาสนาอิสลาม” ที่ควรเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ( 2 )

    วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2010 เวลา 23:48 น.โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา

    กัณหา แสงรายา
    โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
    <O:p</O:p
    ภาค 2 ของบทความในรูป คำถาม-คำตอบ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อพยายามทำความเข้าใจกับความเชื่อในศาสนาพุทธ อิสลามและศาสนาอื่นๆ ด้วยหวังให้ผู้ที่นับถือศาสนาแตกต่างกันได้ทำความเข้าใจซึ่งกันและกันอันจะเป็นหนทางของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข...ยั่งยืน
    <O:p</O:p
    O จงบอกชื่อศาสดา พระคัมภีร์สถานประกอบพิธีทางศาสนาของศาสนาที่สำคัญๆ<O:p</O:p
    ศาสดาในศาสนาที่สำคัญๆ เช่น ในศาสนาพุทธ คือ พระพุทธเจ้า (Lord Budha) ในศาสนายูดาย คือ โมเสส (Moses) ชาวมุสลิมเรียกศาสนายูดายหรือยิวว่า ยาฮูดี (Yahudi) เรียกศาสดาโมเสสว่า นบีมูซา (Nabi Musa) ในศาสนาคริสต์ คือ พระเยซู (Jesus Christ) ชาวมุสลิมเรียกศาสนาคริสต์ว่า นัศรอนี (Nasrani) และเรียกพระเยซูว่านบีอีซา (Nabi Isa) ในศาสนาอิสลาม คือ มูฮัมมัด (Muhammed) หรือ นบีมูฮัมมัด (Nabi Muhammed)
    <O:p</O:p
    คัมภีร์ในศาสนา เช่น ในศาสนาพุทธ คือ พระไตรปิฎก ศาสนายูดาย คือโอลด์เทสทาเมนต์ หรือพันธสัญญาเก่า (Old Testament) ศาสนาคริสต์ คือ คัมภีร์ไบเบิล (Bible) หรือพันธสัญญาใหม่ (New testament) ศาสนาอิสลาม คือ อัลกุรฺอาน (Al-Qur’an)
    <O:p</O:p
    ส่วนสถานประกอบพิธีทางศาสนาหรือประกอบศาสนกิจมีดังนี้ ศาสนาพุทธ คือวัด ศาสนายูดาย คือ ซินนะก็อก (Synagogue) ศาสนาคริสต์ คือ เทมเปิล (<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:placeType>temple <st1:placeName w:st="on">หรือ โบสถ์คริสต์ </st1:placeName></ST1:p) ศาสนาฮินดู คือ วิหาร (Vihara) และศาสนาอิสลาม คือ มัสยิด (Masjid) หรือสุเหร่า (Surau) ในภาษามลายู

    [​IMG]
    <O:p</O:p

    O ท่านเข้าใจศาสนาพุทธอย่างไรบ้าง? <O:p</O:p
    ศาสนาพุทธที่ข้าพเจ้าเข้าใจในเบื้องต้นคือ "ศาสนาแห่งมนุษยนิยม" (Humanism) จะเห็นได้ว่าความเป็นมาของศาสนาพุทธคือแนวคิดและคำสอนที่แยกออกจากศาสนาพราหมณ์ฮินดูโดยการปฏิรูปหรือการปฏิวัติศาสนาดังกล่าวเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นสมาชิกราชวงศ์ในสังคมประเพณีแบบพราหมณ์-ฮินดูมาอย่างยาวนานทรงตัดสินพระทัยเสด็จออกแสวงหาโมกขธรรมด้วยลำพังพระองค์เองและครั้งหนึ่งได้ทรงเข้าร่วมกับพวกปัญจวัคคีย์เพื่อทดลองทุกรกิริยาในแนวทางของกลุ่มนักแสวงธรรมกลุ่มนี้แต่ภายหลังทรงปลีกตัวหันเข้าหาทางสายกลาง (มัชฌิมปฏิปทา) ด้วยหวังบรรลุสัจธรรม (Truth) ในเร็ววันพระองค์ทรงพิจารณาสติและปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานไปได้ระยะหนึ่งจนกระทั่งทรงตรัสรู้ในที่สุด
    <O:p</O:p
    ก่อนอื่นจะต้องทราบว่า พื้นฐานเดิมของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็น"ศาสนาแบบสรรพเทวนิยม" (Pantheism) ดังนั้นศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาแห่งมนุษยนิยมเนื่องจากพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธระบบความเชื่อดั้งเดิมในศาสนาดังกล่าวโดยเฉพาะในประเด็นของ พรหมลิขิตพระพุทธเจ้าทรงเสนอระบบ กรรมลิขิตขึ้นมาแทนที่ซึ่งเท่ากับทรงปฏิวัติระบบความเชื่อดั้งเดิมอย่างถอนรากถอนโคน
    <O:p</O:p
    ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาแนว กรรมนิยม ศาสนาใหม่นี้นำพามนุษย์เข้าใกล้ชิดกับ อัตตาหรือ ตัวตน (self) ของ ตัวเองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เริ่มแรกเสมือนว่ามนุษย์เป็น เจ้าของตัวเอง ซึ่งเป็นไปในแนวมนุษยนิยม ดังสะท้อนให้เห็นในคำกล่าวที่ว่า ตนย่อมเป็นที่พึ่งของตน (อัตตาหิ อัตโน นาโถ) การหลุดพ้น (วิมุติ) ด้วยการที่ ดวงตาแห่งธรรม (อุปติสสะ)แบบปัจจุบันทันด่วน (Sudden Enlightenment)
    <O:p</O:p
    ตามปรัชญาของนิกายเซน (Zen) จึงได้รับการอธิบายในแบบ กรรมลิขิตหมายความว่า ผู้ที่จะบรรลุได้นั้นจำต้องสะสม กุศลกรรม หรือ กุศลบารมีอย่างยาวนานในหลายๆชาติภพมาก่อน การบรรลุธรรม (วิมุติ) อย่าง ปัจจุบันทันด่วน (sudden) จึงจะบังเกดขึ้นได้
    <O:p</O:p
    ด้วยเหตุนี้ศาสนาพุทธจึงแสดงให้เห็นการใช้ อัตตาเพื่อปูทางไปสู่การปฏิเสธ อัตตา นั่นคือการหยั่งรู้พ้นเข้าไปในภาวะอนัตตา (ความไร้ตัวตน)หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเมื่อมีการ ละวาง ตัวตน (self) ซึ่งกอปรด้วยเครื่องปรุงแต่งร้อยรัดทั้งปวง จึงจักเข้าสู่ภาวะแห่งสุญตา (Nothingness) อันเป็นอุดมธรรม (บัญญัติในเรื่องอนัตตา ปรากฏอยู่ในข้อธรรมว่าด้วย ไตรลักษณ์ )
    <O:p</O:p
    ผลก็คือศาสนาพุทธได้ก้าวไปไกลในลักษณ์ของศาสนาแนว สุญนิยมเชิงอุดมการณ์ซึ่งไม่ใช่ทั้งเทวนิยมหรือมนุษยนิยมในลักษณ์ใดๆ อีกต่อไปส่วนการเข้าถึงปรัชญาแห่ง สุญตา ก็มิได้ถูกระบุว่ามีเป้าหมายที่นอกเหนือไปกว่านี้ โดยการกำหนดใช้คำว่า ปัจจัตตัง (ใช้ ตัวเอง เพื่อเข้าถึง)เพื่ออธิบายสิ่งที่ไม่อาจมีใครอธิบาย (แทน) ได้ หรืออาจขยายความได้ว่าผู้ปฏิบัติธรรมสามารถพบเห็นได้ด้วยตนเอง (สันทิฎฐิกะ)และนี่คือลักษณะพิเศษหรือลักษณ์เฉพาะของพุทธศาสนาซึ่งแตกต่างจากศาสนาอื่นๆโดยสิ้นเชิง
    <O:p</O:p
    O เหตุใดจึงกล่าวว่าหลักคำสอนของศาสนาพุทธเป็น จิตนิยมจงอธิบาย?<O:p</O:p
    คำกล่าวที่ว่าศาสนาพุทธเป็น จิตนิยม สามารถอธิบายได้แต่ก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจกับสิ่งที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เสียก่อน<O:p</O:p
    ...สรรพสิ่งทั้งหลายสามารถแยกออกเป็นสองส่วน คือส่วนที่เป็นร่างกายหนึ่ง และส่วนที่เป็น จิตหนึ่งแนวคิดแบบจิตนิยมจะสนับสนุนว่า จิต มิใช่ปรากฏการณ์หรือผลจากการกระทำของวัตถุ (คนละกรณีกับที่ว่า ความคิด เป็น ผล จากการกระทำของ สมอง ซึ่งเป็นวัตถุ )
    <O:p</O:p
    ในทัศนะของแนวคิดแบบ จิตนิยมเห็นว่าการที่ร่างกายดำรงอยู่ได้เป็นเพราะมี จิต ซึ่งเป็น ตัวตน ชนิดละเอียดประณีตอาศัยอยู่และทำหน้าที่กำกับ กายหยาบดังนั้นการแตกสลายของ กายหยาบมิได้ทำให้ จิต ดับไปด้วย (เพราะเป็นคนละส่วนกัน)หากทว่า จิต นั้นยังคงอยู่ต่อไป และจิตนี้เองจะเป็นผู้ ชดใช้กรรม (อันล่วงมาแล้ว) ใน กายใหม่ ด้วยการเสวยชาติภพไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้น กรรม (หมดเวรหมดกรรมเสียที) อันเป็นเหตุแห่งการเกิด (หรือเกิดแล้วเกิดอีก)ซึ่งพัฒนาเป็นแนวอธิบายเหตุและปัจจัยแห่งการเกาะเกี่ยวกันตามหลัก ปฏิจสมุปบาท (Depending Origination) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อัทปฺปจฺจยตา
    <O:p</O:p
    ปรัชญา จิตนิยม ในศาสนาพุทธปรากฏอย่างชัดแจ้งจากความเชื่อที่ระบุว่าสรรพสิ่งในโลกมีจิตเป็นผู้นำและผู้กำหนด ดังปรากฏในพระบาลีว่า จิตเป็นผู้เริ่มเป็นต้นเหตุ การกระทำทุกอย่างย่อมเป็นไปตามอำนาจของจิต : จิตฺเตน นียติโลโกด้วยเหตุนี้ศาสนาพุทธจึงเน้นที่การชำระจิต

    [​IMG]

    <O:p</O:p
    สำหรับมนุษย์ในทัศนะของศาสนาพุทธ นอกจากต้องกำจัดบาป ทำแต่กรรมดีแล้วจะต้องชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องแผ่วด้วย : สพฺพปาปสฺส อกรณํ, กุสลสฺสู ปสมฺปทา, สฺจิตฺต ปริโยทปนํ การกล่อมเกลาฝึกจิตหรือที่เรียกว่า ฝึกสมาธิ (Meditation) เพื่อให้บรรลุความสุขทั้งความสุขชั่วคราวและความสุขถาวรจึงเป็นประเพณีปฏิบัติในพุทธศาสนาดังเช่นที่กล่าวในพระบาลีว่า จิตที่ฝึกมาดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้: จิตฺตํ ทนฺตํสุขาวหํ
    <O:p</O:p
    อย่างไรก็ตามความสุข ในทัศนะของพุทธศาสนามุ่งที่ความสงบระงับของจิตที่มักฟุ้งซ่านคล้ายอาการ จิตกำเริบ เป็นประการสำคัญ ความสุข ดังกล่าวนี้มุ่งหมายไปยัง ความสงบทางใจนั่นแน่แท้เพราะในชีวิตจริงจิตที่ยุ่งเหยิงคือจิตที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับวัตถุธรรมอันเป็นที่พิศวาสของบรรดา มนุสโสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น มนุสโส" ประเภทมหาเศรษฐีหมื่นล้านหรือ มนุสโสประเภทที่อยากถีบส่ง ความจนไปให้พ้นๆ ตัวเร็วๆ!
    <O:p</O:p
    ที่ว่าดังกล่าวนี้เพียงต้องการบอกว่าลำพังการฝึกสมาธิอย่างเดียวจะยังไม่พบ ความสุขที่แท้จนกว่าจะได้ เข้าใจ เข้าถึง และละวางซึ่ง วัตถุหรือ อาสวกิเลส ทั้งหลายอันเป็นประหนึ่ง กองอาจม แม้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานและอย่างค่อยเป็นค่อยไปซึ่งพุทธศาสนาเชื่ออย่างมั่นคงว่า บุคคลจะพบกับความสุขที่จีรังยั่งยืนนี้ได้แต่ทัศนะจากศาสนาอื่นๆ อาจ มองต่างมุม ในเรื่องนี้
    <O:p</O:p
    อย่างไรก็ตาม การมีชีวิตไปวันๆ ด้วยการหมกมุ่นเอาแต่สะสมหรือเพิ่มพูน สมบัติทางวัตถุ พุทธศาสนาในประเด็นนี้ก็คล้ายๆกับศาสนาทั้งหลายนั่นแหละ ที่มองสมบัติทางโลกหรือ สมบัติทางวัตถุ เหมือนดังสมบัติบ้า เพราะถึงอย่างไรตายไปก็เอาติดตัวไปไม่ได้ ตรงกันข้ามสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงคือ สมบัติทางธรรม เพราะใช้เท่าไหร่ก็ใช้ไม่หมดไม่ว่าบนโลกนี้หรือโลกหน้า
    <O:p</O:p
    ยิ่งกว่านั้น สมบัติทางธรรม สามารถให้ความสุขทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น เป็นความสุขโดยถ้วนหน้าไม่จำกัดอยู่แต่กับคนในแวดวงของตัวเอง ญาติพี่น้อง และพวกพ้องหากแต่สามารถเผื่อแผ่ไปได้อย่างกว้างขวาง ไม่จำกัดอยู่ด้วยเชื้อชาติ สีผิวภาษาหรือศาสนา...กระทั่งเกิดการขัดข้องขึ้นมา
    <O:p</O:p
    O เมื่อศาสนาพุทธไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกและสรรพสิ่งศาสนาพุทธเชื่อว่าคนเราและสรรพสิ่งเกิดได้อย่างไร?<O:p</O:p
    ศาสนาพุทธอธิบายหลัก ปฏิจสมุปบาท ซึ่งเป็นทฤษฎีที่แสดงให้เห็นเหตุปัจจัยแห่งการเกิดของสรรพสิ่ง (รวมทั้งมนุษย์)ซึ่งมีลักษณะเป็นเหตุปัจจัยเกาะเกี่ยวอาศัยซึ่งกันและกันไปเรื่อยๆความเกี่ยวข้องในลักษณะแห่งเหตุปัจจัยหรือการเป็นเหตุเป็นผลกันเป็นลูกโซ่ดังกล่าวคือเหตุปัจจัยที่ทำให้อีกสิ่งอื่นเกิดขึ้น และเกี่ยวร้อยกันไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงภพปัจจุบัน
    <O:p</O:p
    ศาสนาพุทธอธิบายอย่างละเอียดว่า จิตเดิมแท้มีลักษณะเป็นประภัสสรคือเป็นจิตที่สว่างไสว (Enlightenment) มีลักษณะ วิชชา แต่แล้วก็กลายเป็นจิต อวิชชา ซึ่งทำให้สามารถก่อกรรมหรือสร้าง กรรม ขึ้นมา และจาก กรรม ดังกล่าวทำให้สรรพสิ่ง (รวมทั้งมนุษย์) เกิด ขึ้นบนโลกนี้ (แต่ไม่ได้อธิบายว่ากรรมภพแรกเกิดเพราะเหตุใด) แต่มีการอธิบายเหตุผลของการ เกิด ของมนุษย์และทุกสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ด้วยการใช้หลักเหตุผลแบบ ปฏิจสมุปบาทดังนี้
    <O:p</O:p
    เพราะมี อวิชชา เป็นปัจจัยจึงมี สังขาร (ร่างกาย) <O:p</O:p
    เพราะมี สังขาร เป็นปัจจัยจึงมี วิญญาณ (ความจำได้หมายรู้)<O:p</O:p
    เพราะมี วิญญาณ เป็นปัจจัยจึงมี นามรูป <O:p</O:p
    เพราะมี นามรูป เป็นปัจจัยจึงมี อายตนะ<O:p</O:p
    เพราะมี อายตนะ เป็นปัจจัยจึงมี ผัสสะ (ความรู้สึก)<O:p</O:p
    เพราะมี ผัสสะ เป็นปัจจัยจึงมี เวทนา<O:p</O:p
    เพราะมี เวทนา เป็นปัจจัยจึงมี ตัณหา<O:p</O:p
    เพราะมี ตัณหา เป็นปัจจัยจึงมี อุปาทาน (การยึดมั่นถือมั่น)<O:p</O:p
    เพราะมี อุปาทาน เป็นปัจจัยจึงมี ภพ (ชาติต่างๆ) <O:p</O:p
    เพราะมี ภพ เป็นปัจจัยจึงมี ชาติ (การเกิด)<O:p</O:p
    เพราะมี ชาติ เป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โสกะ และปรเทวะ เป็นต้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    O ท่านมีองค์ความรู้เกี่ยวกับนิกายเซนอย่างไรบ้าง? <O:p</O:p
    นิกายเซนเป็นนิกายในพระพุทธศาสนาซึ่งมีผู้นับถือจำนวนไม่น้อยอยู่ในญี่ปุ่นอันที่จริงนิกายนี้แพร่หลายในจีนมาก่อน คำว่า เซนมาจากคำว่า เซนา หรือ ฉาน ในภาษาจีน หรือ ฌาน ในภาษาบาลี (ตรงกับ ธยาน ในภาษาสันสกฤต)ในภาษาบาลีคำว่า ฌาน หมายถึง การทำใจให้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือการทำสมาธิจิตนั่นเอง
    <O:p</O:p
    ในญี่ปุ่น นิกายเซนมี 3 กลุ่มได้แก่ นิกายรินไซ (Rinzai) ตั้งโดยพระญี่ปุ่นชื่อ อิไซ (Eisai: พ.ศ.1684–พ.ศ.1758) นิกายโซโต (Soto) ตั้งโดยพระญี่ปุ่นชื่อ โดเย็น (Dogen: พ.ศ.1743–พ.ศ.1796) และนิกายโอบากุ (Obaku) ตั้งโดยพระจีนอิเย็น (Igen)
    <O:p</O:p
    สาระสำคัญของนิกายเซน คือ จงพิจารณาที่จิตของตนแล้วท่านจะพบพุทธภาวะ”, “คำสอนอื่นใดยกเว้นประเพณีนิยมไม่มีในตำราจงมุ่งตรงไปที่จิต ดังนั้นนิกายเซนจึงมุ่งเน้นที่การทำสมาธิ (Meditation) มีการฝึกสมาธิอย่างจริงจัง และคำสอนเข้าใกล้กวีนิพนธ์อย่างมาก ดังที่ปรากฏในคำสอนและปริศนาธรรมจำนวนมาก อาทิ<O:p</O:p


    [​IMG]

    1. “รูปกาย คือ ต้นโพธิ์<O:p</O:p
    จิต คือ กระจกใสสะอาด<O:p</O:p
    จงขัดถูบ่อยๆ อย่าให้ฝุ่นจับเกาะได้”<O:p</O:p

    2. “ต้นโพธิ์ไม่มี<O:p</O:p
    กระจกไม่มี<O:p</O:p
    ไม่มีสิ่งใดปรากฏ<O:p</O:p
    เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝุ่นจะจับที่ไหน”<O:p</O:p

    3. “จงนั่งนิ่งๆ ไม่ต้องทำอะไร<O:p</O:p
    ฤดูใบไม้ผลิมาถึง<O:p</O:p
    ติณชาติทั้งหลาย ย่อมงอกงามด้วยตัวของมันเอง”<O:p</O:p

    4. “ต้นสนเฒ่าแสดงธรรมเรื่องปัญญา<O:p</O:p
    นกป่ากำลังเล่นหยอกอยู่กับสัจธรรม”<O:p</O:p

    5. “เมื่อข้ามสะพานไป<O:p</O:p
    สายน้ำมิได้ไหล<O:p</O:p
    แต่สะพานไหลริน”<O:p</O:p

    6. “ผู้มีชีวิต คือ ผู้นั่ง แต่ไม่นอน<O:p</O:p
    คนตาย คือ ผู้นอน แต่ไม่นั่ง <O:p</O:p
    สุดท้าย คือ กองกระดูก”<O:p</O:p
    ฯลฯ<O:p</O:p

    นักรบญี่ปุ่นประทับใจกับกวีนิพนธ์สั้นๆแนวปรัชญาอันลึกล้ำนี้เป็นอันมากเนื่องจากสอดคล้องกับสิ่งที่นักรบยึดมั่นและเชื่อนั่นคือนักรบจำต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่ง มั่นคง ไม่หวั่นไหวซึ่งจะเป็นเช่นนี้ได้ก็โดยการฝึกฝนสมาธิจิตอย่างแข็งขันนั่นเอง
    <O:p</O:p
    นิกายเซนแพร่หลายอย่างรวดเร็วในญี่ปุ่นเนื่องจากได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจากโชกุนมีผู้ศึกษาศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่นกล่าวว่า ศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นวรรณคดีจิตรกรรม ศิลปะการจัดดอกไม้ พิธีชงชา ฯลฯล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากพุทธศาสนานิกายเซนทั้งสิ้น
    <O:p</O:p
    ที่เสนอมาทั้งหมดนี้หวังว่าชาวพุทธและชาวมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเกิดองค์ความรู้ในศาสนาของกันและกันไม่มากก็น้อยอันจะทำให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจกันดียิ่งขึ้น
    http://www.isranews.org/isranews/index.php?option=com_content&view=article&id=299:-1&catid=13:2009-11-15-11-18-09&Itemid=6
    :z16:z16:z16<O:p</O:p
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ตัวเรา ก็คือตัวเรา ไม่ใช่คนอื่น ****

    "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
    คือ ตัวของเราปัจจุบัน ต้องพึ่งผลจากตัวกระทำที่เกิดจากการกระทำที่ทำไปแล้ว

    "ดวงตาเห็นธรรม"
    คือ ถึงจุดที่เข้าใจธรรมชาติ มองเห็นตัวกระทำที่มองไม่เห็นด้วยตา
    คือ เห็นตัวตนของการกระทำที่ได้ทำไปแล้ว ว่ามีผลตอบแทน
    อย่างเมื่อได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า พอถึงวินาทีที่เข้าใจ
    เห็นตัวกระทำไม่ตาย และมีผลตอบแทน...ก็คือ "ดวงตาเห็นธรรม"
    เห็นด้วยความคิด การพิจารณาเหตุและผล
    ไม่ได้เห็นด้วยลูกตา !!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279

    เมื่อคืนวาน ใครนินทาผม สารภาพมาซะดีๆ - -*

    ปล.โหดจังทำเอาซะผมจามทั้งคืนเรย T_T
     
  19. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ตามอ่านจนตาลายเรยย ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ? พักผ่อนมั่งก็ได้นะ เป็นห่วงสุขภาพของเพื่อนน่ะ
     
  20. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    การนอนสมาธิ

    ขอบคุงคะที่เป็นห่วง.. อ่านจนตาลายเรยยหร๋อ? น่าจงจ๋านจังเยยย
    ของเราบางเรื่องก็ copy เค้ามา บางเรื่องก็พิมพ์เอง.. ไม่เหนื่อยหรอกจ้า อิอิ..
    เอาเรื่องการฝึกนอนสมาธิของพี่นักเขียนมาฝาก.. ลองฝึกดูค่ะ ช่วยผ่อนคลายดีทีเดียวนะจ๊ะ:boo:
    ...................................

    ขอให้พวกเราที่มีอาการปวดเมื่อยหรือมีปัญหาสุขภาพอื่นๆลองใช้วิธีเหนี่ยวนำกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกให้ผ่านร่างกายเวลานอนนะคะคือเริ่มจากจินตนาการว่า มีพลังงาน จิตวิญญาณ หรือกระแสจากพลังจักรวาลผ่านเข้าทางหัวแม่เท้า
    นับ 1-5 จินตนาการว่ากระแสผ่านจาก-หัวแม่เท้า-มาถึงส้นเท้า
    นับอีก 1-5 จินตนาการว่ากระแสผ่านจาก-ส้นเท้า-มาถึงหัวเข่า
    นับอีก 1-5 จินตนาการว่ากระแสผ่านจาก-หัวเข่า-มาถึงสะโพกและครอบคลุมมือไปถึงข้อมือ
    นับอีก 1-5 จินตนาการว่ากระแสผ่านจาก-สะโพก-มารวมที่ก้นกบ
    นับอีก 1-5 จินตนาการว่ากระแสผ่านจาก-ก้นกบ-มาถึงท้องน้อย(ใต้สะดือ)
    นับอีก 1-5 จินตนาการว่ากระแสผ่านจาก-ท้องน้อย-มาถึงเหนือสะดือ 2 นิ้ว
    นับอีก 1-5 จินตนาการว่ากระแสผ่านจาก-เหนือสะดือ-มาถึงกลางอก
    นับอีก 1-5 จินตนาการว่ากระแสผ่านจาก-กลางอก-มาถึงฐานคอ(ใต้ลูกกระเดือก)
    นับอีก 1-5 จินตนาการว่ากระแสผ่านจาก-ฐานคอ-มาถึงตาที่สาม(หว่างคิ้ว)
    นับอีก 1-5 จินตนาการว่ากระแสผ่านจาก-ตาที่สาม-มาถึงกลางกระหม่อม
    นับอีก 1-5 จินตนาการว่ากระแสผ่านจาก-กลางกระหม่อม-ออกคืนสู่จักรวาล

    ใครนอนหลับยากอาจใช้นับ 1-10 หรือ 1-20 แทนแต่ละช่วง และหากนับแล้วจิตไม่สงบให้ย้อนกลับไปซ้ำช่วงที่ผ่านมาแล้ว เช่น นับขึ้นมาถึงหัวเข่า จิตยังว้อกแว้กให้กลับไปเริ่มนับใหม่ตั้งแต่หัวแม่เท้า หรือย้อนกลับไปแค่ส้นเท้าหากจดจ่อได้ดีจะรู้สึกได้ว่า ร่างกายส่วนที่ถูกครอบคลุมด้วยกระแสจะชาจนในที่สุดเมื่อไปถึงตาที่สาม ตัว แขน ขาจะชาหมด แทบจะกระดิกไม่ได้หากนอนกำหนดไว้ที่ตาที่สามแล้วขอหลับ ขอฝัน ขอจำ จิตจะเป็นสมาธิเหนี่ยวนำให้ฝันและมีสติสัมปชัญญะคมชัดขึ้นเรื่อยๆ

    แรกๆอาจพบว่านับไปไม่ถึงไหนก็หลับแล้วคนหลับยากอาจหลับง่ายขึ้นแต่ถ้าทำบ่อยๆทุกคืนจะได้ผลค่่ะเมื่อนับไปถึงตาที่สามแล้วไม่หลับ ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะปิดประสาทสัมผัสภายในจะทำงานตั้งจิตแล้วป้อน keyword หรือคำถามจำเพาะ จะปรากฏให้เห็นหรือได้ยินบางคนอาจเผชิญกับภาวะที่เหมือนผีอำ หรือ ไฟดูด อย่าตกใจตัวเรากำลังหลับ จิตเรากำลังตื่นเป็นภาวะที่เปรียบได้กับ ฌาน 4 ที่เคยกล่าวมาแล้วค่ะ

    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-padding-alt: 4.5pt 4.5pt 4.5pt 4.5pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ebebeb 1pt inset; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: #ebebeb 1pt inset; PADDING-LEFT: 4.5pt; BACKGROUND: #f7f3f7; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: #ebebeb 1pt inset; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: #ebebeb 1pt inset; mso-border-alt: inset windowtext .75pt">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณkhajornwan
    หวัดดีค่ะพี่นักเขียนหายไปวันนึงกลับมาอู้ฮูกระทู้ยาวมากเลยค่ะอ่านแทบไม่ทันแน่ะแต่ก็ยังไม่ลืมเรื่องที่ตั้งใจว่าจะถามพี่นักเขียนเรื่องการนอนสมาธิที่พี่นักเขียนแนะนำคุณจิตต์ปภัสสรไว้น่ะค่ะ..

    อาการชาที่พี่นักเขียนกล่าวเป็นอาการคล้ายกับการฝึกการเต้นของหัวใจในวิชาพลังจักรวาลคือเมื่อฝึกไปถึงจุดที่อัตราการเต้นหัวใจช้าที่สุด ประมาณ 5 - 10 ครั้งต่อนาทีจะทำให้ตัวเราชาตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่งควรจะอยู่ในอิริยาบทนั่งแบบสบายๆ เพราะกลัวว่าถ้าใช้วิธีการนอนและฝึกไปเรื่อย ๆแล้วเกิดเราเคลิ้มหลับไปเกรงว่าหัวใจจะเต้นช้าจนถึงกับหยุดไปเลยก็ไปได้ซึ่งอันตรายมากแต่อาจารย์ก็กล่าวว่าการฝึกวิธีนี้จะทำให้เราสัมผัสกับจุดที่เรามีสมาธิที่สุด

    แต่ขจรวรรณก็ลองฝึกตามที่พี่นักเขียนแนะนำดูนะคะปรากฏว่าเกิดอาการชาตั้งแต่ปลายเท้าเรื่อยมาจนถึงเอวก็เลยหยุดเพราะกลัวอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นอยากจะถามพี่นักเขียนว่าอาการดังกล่าวคล้ายกันหรือไม่? และเราฝึกวิธินี้เพื่อประโยชน์อะไรคะ?

    อีกเรื่องนึงนะคะคือเมื่อคืนขจรวรรณก็เผชิญกับการจิตวิญญาณพุ่งออกไปนอกร่างกายอีกแล้วค่ะแต่ครั้งนี้ไม่รู้สึกกลัวเริ่มที่จะเรียนรู้สิ่งที่เราเผชิญ เช่นการพุ่งทะลุไปนอกกำแพงและเมื่อออกไปจนเบื่อแล้วก็สามารถควบคุมให้กลับมาสู่ร่างกายของตัวเองได้แต่ในขณะที่พุ่งออกไปรู้สึกว่าเราปวดหูมากเลยค่ะ จะทำยังงัยดีคะ..พี่นักเขียน..



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    การนอนสมาธิที่พี่นักเขียนแนะนำไปนั้นเป็นศาสตร์ของโยคะซึ่งมีชื่อเรียกว่าโยคะนิทราจุดต่างๆที่อยู่ในร่างกายที่อยู่ในเส้นทางของการจดจ่อในการนอนสมาธิคือจุดที่ปรากฏในศาสตร์ของจักระ จะแตกต่างไปบ้างเพียงเล็กน้อยเช่นตำแหน่งจากปลายเท้าขึ้นมาจนถึงก้นกบ ก็เพียงเพราะท่าที่ปฏิบัตินั้นแตกต่างกันเช่น ท่านั่งใช้จุดเริ่มต้นของการนำพลังเข้าสู่ร่างกายที่ฐานที่หนึ่ง คือก้นกบแต่ท่านอนที่พี่นักเขียนใช้ปลายเท้าเป็นจุดเริ่มต้นเป็นต้น

    อาการชาของร่างกาย เกิดจากการหลับของร่างกายซึ่งเราไม่คุ้นเคยที่จะรู้เห็น เมื่อเรานอนสมาธิและกำหนดนับจากปลายเท้าขึ้นไปนั้นเราจะเรียกกระบวนการนี้ว่าการรับพลังตามธรรมชาติแล้ว-การนอนหลับทุกคืนตามปกติของเราก็คือการรับพลังจักรวาลอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติเพราะในขณะที่เรานอนหลับภาวะต่างๆที่ขัดขวางการรับพลังจะถูกกำจัดไปโดยที่เราไม่รู้ตัวสิ่งที่ขวางกั้นการรับพลังในขณะที่เรากำลังตื่นอยู่ได้แก่การตื่นตัวของประสาทสัมผัสทั้งห้า? ซึ่งก่อให้เกิดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบ

    เมื่อร่างกายของเรานอนหลับอย่างน้อยที่สุดเราก็ตัดเอาการตื่นตัวของประสาทสัมผัสทั้งห้าออกไปได้ตามธรรมชาติทำให้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบลดลง แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตามปัจจัยอื่นๆเท่าที่พี่นักเขียนทราบและได้ทดลองใช้เพื่อสนับสนุนการรับพลังธรรมชาติมีหลายประการ? ซึ่งได้ให้รายละเอียดไว้ สำหรับการนอนสมาธิเพื่อฝึกฝันด้วยการมีสติอย่างคมชัดที่novaanalai.com - nova anal ai Resources and Information. This website is for sale!

    เมื่อจิตเป็นสมาธิจนถึงระดับฌาน 4 เราจะละจากประสาทสัมผัสทั้งห้าได้เกือบหมดอาจเหลือแต่เพียงการได้ยินแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นการได้ยินในระดับที่แตกต่างไปจากระดับปกติ

    ตามธรรมชาติแล้วในขณะที่เรานอนหลับ หัวใจก็จะเต้นช้าลงกว่าปกติอยู่แล้วเพราะมันไม่ต้องสูบฉีดโลหิตไปยังส่วนต่างๆของร่างกายมากเท่ายามตื่นซึ่งร่างกายต้องเคลื่อนไหว ต้องย่อยอาหาร ฯลฯ เมื่อเรานอนหลับเราไม่ได้รู้เห็นการเต้นของหัวใจที่เปลี่ยนแปลงไปและมันก็เปลี่่ยนจังหวะไปอย่างเป็นธรรมชาติ

    แต่เมื่อเราทำสมาธิเรารู้เห็นการเปลี่ยนจังหวะที่เราไม่เคยรู้เห็นมาก่อนมันมักทำให้เรามีวิตกวิจารณ์เพราะเรานำเอาภาวะที่หัวใจเปลี่ยนจังหวะไปเปรียบเทียบกับภาวะปกติเมื่อเรารู้เห็นว่ามันเต้นช้าลงเรื่อยๆ เราก็คิดว่ามันอาจจะหยุดเต้นซึ่งไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น แต่ความกลัวมักทำให้เราตกใจซึ่งส่งผลให้ร่างกายทำงานผิดจังหวะไปจากปกติสิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับการผิดจังหวะที่เรารู้เห็นได้ทันทีก็คือการเต้นของหัวใจอีกเช่นกันเพราะมันควบคุมร่างกายของเราทุกระบบ และการเปลี่ยนจังหวะอย่างกระทันหันมักทำให้เรารู้สึกใจสั่น อึดอัดและรู้สึกไม่สบายยิ่งขึ้นไปอีกซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการอื่นๆตามมาอีก เช่น หายใจไม่ออก หูอื้อ กล้ามเนื้อกระตุกเป็นต้น

    [​IMG]

    การนอนสมาธิตามหลักการที่พี่นักเขียนแนะนำไปนั้นเป็นการเหนี่ยวนำให้ร่างกายหลับและในขณะเดียวกันการจดจ่อด้วยการนับทำให้จิตยังคงตื่นต่อไปได้ (ตราบใดที่เรายังนับได้ ไม่เผลอหลับไปเสียก่อน) หากคุณน้องขจรวรรณนับต่อจนถึงกลางอกจะรู้สึกอึดอัดเพราะการเปลี่ยนจังหวะการเต้นของหัวใจและการเปลี่ยนจังหวะของลมหายใจด้วย หากรู้สึกอึดอัดมากให้นับผ่านช่วงอกเร็วขึ้นกว่าที่ผ่านมาแล้ว นับต่อไปจนถึงฐานคอและกลางหว่างคิ้วแล้วค่อยย้อนกลับมาพิจารณาว่าอาการชาหรือการหลับของร่างกายว่าครอบคลุมไปถึงจุดใดแล้วหากยังไม่ครอบคลุมไปถึงอก-คอและหว่างคิ้วอย่างน้อยที่สุดความกลัวจะลดลงที่มองเห็นการผ่านของการกำหนดจิตของช่วงอกซึ่งไม่ได้ทำให้หัวใจหยุดเต้นแต่ประการใด

    หากยังกลัวอยู่ก็ให้ย้อนกลับและนับผ่านช่วงอกซ้ำอีกแต่คราวนี้ให้ผ่านช้าลงกว่าครั้งแรกการฝึกเช่นนี้จะทำให้ความกลัวลดลงเรื่อยๆจนหายไปได้ และจะทำให้เราเห็นได้ว่าไม่ว่าจะนับผ่านหรือกำหนดจิตผ่านช่วงอกไปอีกกี่หน หัวใจมันก็ยังเต้นอยู่แม้อาการชาจะยังไม่ครอบคลุม แต่ก็เป็นเสมือนการหยั่งดูภาวะที่ไม่คุ้นเคยก่อนเมื่อหยั่งดูบ่อยเข้า เกิดความคุ้นเคย ก็ให้นับชาลงเรื่อยๆจนได้จังหวะเดียวกันกับที่นับผ่านจุดอื่นๆมาจนพบว่าร่างกายชา

    หากทำแล้วได้ผลนับขึ้นไปได้จนถึงหว่างคิ้วจะรู้สึกเสมือนว่าเหลือแต่ศีรษะเท่านั้นที่ยังมีความรู้สึก ให้พิจารณาร่างกายจะพบว่าอาการชาก็จะหายไปด้วย เสมือนไม่มีร่างกาย ไม่มีแขน ไม่มีขาความวิตกวิจารณ์ว่าหัวใจจะหยุดเต้นก็จะหายไปโดยปริยาย เพราะเราจะหาหัวใจเต้นไม่พบลมหายใจก็หาไม่พบเหลือแต่ความเบาสบายและความคิดเท่านั้น

    พี่นักเขียนเคยได้ยินผู้ที่ฝึกสมาธิกล่าวถึงการถอดจิตแล้วกลับมาไม่ได้บ้างการฝึกจักระแล้วหัวใจหยุดเต้นบ้าง หรือการฝึกลมปราณแล้วหยุดหายใจบ้างทำให้ถึงความตายก่อนเวลาอันควร หากเราพิจารณาด้วยเหตุผลว่าการฝึกทั้งหลายเหล่านี้คือการฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัดและเราก็คงจะได้ยินมาไม่มากก็น้อยว่าผู้ที่ฝึกสติสัมปชัญญะจนคมชัดแล้วนั้ันเช่นพระในลัทธิเซ็นสามารถเลือกที่จะตายในท่านั่งสมาธิ ในท่ายืนสมาธิ หรือในท่านอนสมาธิได้บางรูปตายในท่าโยคะที่ใช้ศีรษะตั้งกับพื้นและปลายเท้าชี้ฟ้า

    พี่นักเขียนมีความเชื่อว่าการฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัดย่อมไม่ทำให้ผู้ฝึกถึงแก่ความตายโดยไม่ได้เลือกที่จะตายเพราะสติสัมปชัญญะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณยิ่งผู้ที่กลัวว่าอาจจะตายได้ในขณะที่ฝึกจิตวิญญาณของเขายิ่งจดจ่อกับภาวะทางกายภาพเป็นอันมากเพราะไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ภาวะอื่นๆเช่นภาวะอันเป็นจินตภาพหรือภาวะอันเป็นจิตวิญญาณจิตวิญญาณก็ย่อมมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นร่างกายเนื้อหนังต่อไปอย่างแน่นอน

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้เสมอๆว่า
    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด
    จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นเป็นภาวะนั้น

    การฝึกสมาธิไม่เคยให้ผลเสียหรือผลร้ายไม่มีคำว่าทำผิดวิธีแล้วจะให้ผลเสียถึงชีวิต แต่ผลเสียที่เป็นไปได้ก็คือทำผิดวิธีแล้วมักจะไม่สามารถจดจ่อได้อย่างคมชัดหรือทำให้ไม่ก้าวหน้าเพราะไปติดอยู่กับภาวะหนึ่งๆ

    การนอนสมาธิที่พี่นักเขียนมักแนะนำให้พวกเราฝึกปฏิบัติให้ผลหลายประการคือ :
    1. เหนี่ยวนำไปสู่การฝันอย่างมีสติคมชัด
    2. เหนี่ยวนำให้ร่างกายและจิตใจอยู่สภาวะที่ไม่ขัดขวางพลังงานทำให้พลังงานหลั่งไหลผ่านร่างกาย ทำให้รักษาโรคได้อย่างเป็นธรรมชาติ
    3. เหนี่ยวนำไปสู่การเป็นฌานได้เร็วกว่าการนั่งสมาธิเนื่องจากไม่ต้องพะวงกับการพยุงกล้ามเนื้อในท่านั่งทำให้ผ่อนคลายและละประสาทสัมผัสทั้งห้าได้เร็ว

    ประสบการณ์ที่จะเกิดขึ้นในการทำสมาธิมักดำเนินต่อไปในความฝันหรือการหลับที่หลับแต่ร่างกาย-แต่จิตตื่นทำให้รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสภายในหรือประสาทสัมผัสที่หก

    แต่พี่นักเขียนก็ขอแนะนำว่าผู้ที่ไม่เคยฝึกสมาธิมาก่อน เมื่อนอนสมาธิเป็นแล้วก็ควรฝึกนั่งสมาธิด้วยเพราะการนั่งสมาธิจะทำให้เรารู้จักเหนี่ยวนำสติสัมปชัญญะไปสู่การจดจ่อได้ในยามตื่นที่ร่างกายของเราตื่นตัวมากกว่าเวลานอนทักษะที่ได้จากการนั่งสมาธิจะมีประโยชน์กับชีวิตประจำวันซึ่งเราตื่นตัวในขณะเดินทาง ทำหน้าที่การงานแต่ก็มีทักษะที่จะจดจ่อได้อย่างคมชัดด้วย

    การพุ่งออกไปนั้นคุณน้องขจรวรรณควรพิจารณาว่า เราพุ่งออกไปทำไม เราไปด้วยการควบคุมของสติสัมปชัญญะด้วยความปรารถนาที่จะท่องเที่ยว เดินทางเพื่อแสวงหาประสบการณ์หรือเปล่าเป้าหมายของเราคืออะไร เมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะจิตวิญญาณมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วกว่าแสง

    วิญญาณคือผู้รู้ และวิญญาณประสานกับจิตเสมอไม่เคยอยู่แยกจากกัน
    จิตวิญญาณพุ่งไปหรือเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความนึกคิด
    สติเป็นปัจจัยกำหนดทิศทาง
    อารมณ์เป็นพลังสำคัญที่ผลักดันให้จิตวิญญาณไปสู่จุดหมาย

    การป้องกันไม่ให้เกิดการพุ่งไปโดยที่เราตั้งตัวไม่ติดทำได้ด้วยการกำหนดเป้าหมายหรือจุดหมายปลายทางด้วยความคิดหากปราศจากการกำหนดจิตวิญญาณก็จะเคลื่อนไหวไปอย่างสะเปะสะปะ ไปสู่จุดหมายที่เรานึกคิดโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้การรู้เห็นเป็นไปไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะรู้ ไม่ได้ตั้งใจจะเห็นไม่ต่างไปจากการเดินทางด้วยยานพาหนะใดๆที่แล่นไปอย่างรวดเร็วเช่นรถไฟฟ้าเมื่อมันแล่นผ่านสถานที่ต่างๆไป เราก็ตามรู้ตามเห็นไม่ทันต่อเมื่อเราตั้งเป้าหมายว่า เราจะจับตาดูอะไร เช่นกำหนดว่าเมื่อมันผ่านสถานที่จำเพาะหนึ่งๆ เราจะสังเกตดูว่ามันเป็นอย่างไร เป็นต้นเราก็จะรู้ได้เห็นได้ เพราะเมื่อถึง เมื่อผ่าน ก็รู้ว่าถึงแล้วผ่านแล้ว

    ปรากฏการณ์ทางจิตเป็นสิ่งที่กำหนดรู้กำหนดเห็นได้เช่นกันแม้ว่าเราจะไม่คุ้นเคยกับเส้นทางของมันเหมือนกับการคุ้นเส้นทางที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่านเป็นประจำแต่การกำหนดว่าจะขอรู้อะไร เห็นอะไร ศึกษาอะไรก็จะนำพาให้จิตวิญญาณพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่จุดหมายได้อย่างฉับพลัน

    คุณน้องขจรวรรณควรพิจารณาว่าอาการปวดหูนั้น ปวดในความรู้สึกหรือปวดที่ร่างกายอันเป็นกายภาพจริงๆหากปวดด้วยความรู้สึก ควรกำหนดจิตพิจารณาให้เราตระหนักได้ว่าร่างกายของเรากำลังอยู่ในภาวะที่ปราศจากประสาทสัมผัสทั้งห้า กำหนดรู้จะพบความรู้สึกปราศจากแขนขา ร่างกาย และอาการปวดทั้งหลายจะหายไปแม้ว่าปวดอยู่จริงทางกาย เราก็จะพบว่า สติสัมปชัญญะของเราแยกออกจากการเป็นผู้ปวดหูกลายเป็นผู้สังเกตเห็นหรือรู้การปวดหูซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้สามารถรักษาอาการทางร่างกายทั้งหลายได้

    การฝึกสมาธิทำให้ตายไม่ได้แน่นอนเพราะหากเป็นการฝึกที่เป็นอันตรายเช่นนั้น ต้องถึงกับเอาชีวิตไปแลกกับความไม่รู้ก็คงไม่มีวันได้ไปถึงความรู้ มันก็ย่อมไม่ใช่หนทางสู่ปัญญา
    พี่นักเขียน โนวา อนาลัย
    (f)(f)(f)<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...