มาให้กำลังใจเเม่ดร.เเม่ชีทศพร..จากหนึ่งเสียงของผู้ศรัทธา

ศีลข้อ 4 ยังไม่ระวังรักษา แล้วจะเรียกว่าผู้ทรงศีลได้อย่างไร ???

ศีลข้อ 4 มุสาวาท ไม่ได้หมายความตื้น ๆ แค่ไม่พูดปด แต่ครอบคลุมถึง 4 อย่างด้วยกัน คือ ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ


เห็นด้วยกับที่ คุณขันธ์กล่าวไว้ค่ะ

กรรมแก้ไม่ได้ เลี่ยงไม่ได้ หนีไม่พ้น
แต่สร้างกุศลกรรมเพื่อให้น้ำหนักกุศลกรรมช่วยชะลอให้อกุศลกรรมส่งผลช้าออกไปได้ แต่อย่างไรก็ต้องรับวิบาก

อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้ายังต้องรับวิบาก แม้ว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองคุลีมาร แม้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังหนีกรรมที่่ก่อไว้ไม่ได้ ต้องรับวิบากเช่นกัน

 

ตามนั้นค่ะ

 

การตัดกรรม คือ การมีสติ ไม่ไหลเคลิบเคลิ้มไปตามอำนาจของกรรมที่จะชักจูงเราไป
ให้ใช้ ทาน ศีล ภาวนา นี้แหละ จะทำให้เรามีปัญญา
การมีปัญญานี้เอง จะทำให้เราสามารถ มองหาหนทางแก้ไข ทั้งภายนอกภายใน ทั้งแจ้งและลึกลับได้
ทั้งฉากหน้า ฉากหลังได้

ยกตัวอย่างเช่น คนตกน้ำ ต้องตาย นี่เป็น อกุศลกรรมที่เขาเคยทำไว้ แต่หากมีกุศลกรรมก็มีคนมาช่วยขึ้นฝั่ง
ไม่ใช่เรื่องของการแก้กรรมให้สลายไป แต่ทำกรรมดีให้มีอำนาจตัดรอนอกุศลกรรมได้ทันท่วงที

คนลงทุนทำมาหากิน แต่ขาดทุน เหตุฉากหน้าก็คือ ปัจจัยต่างๆ มีไม่ครบเช่น ทำเลไม่ดี ของที่ขายไม่มีคุณภาพ หรือ คนยังไม่นิยม เวลาขายของทำหน้ายังกับดมขี้ แต่ฉากหลัง คือ กุศลกรรม ที่จะชักนำพาคนมาซื้อนั้นก็มีอยู่ ซึ่ง กุศล นี้แหละ จะชักพาสิ่งดีๆ มาทั้งหมด ดังที่ว่า พระพุทธองค์จะต้องเดินทางผ่าน ทางกันดาน ไม่มีคน ซึ่งจะต้องอดอาหารแน่ ท่านทรงบอกว่า ให้พา พระสีวลีไปด้วย เพราะพระสีวลีนี้ มีบุญ มีลาภสักการะ อย่างไรแล้ว กุศลของท่านจะต้องชักนำ คนมาให้ทานอาหาร จนได้
นี่คือ อำนาจกรรม ที่ซ่อนอยู่ฉากหลัง

ฉากหลังก็ให้เราหมั่นทำ ทาน ตามกำลัง แต่ทำให้บ่อยๆ เท่านั้นแหละ ชีวิตจะสงบร่มเย็น มีเงินมีทองใช้
ฉากหน้า ก็ให้เราทำอะไรมีสติ รอบคอบ ไม่ใช่จ่ายเกินตัว เกินกำลัง รู้จักอดออม อดทน มีน้อยใช้น้อย
จะลงทุนอะไร ถ้าเป็นการเสี่ยง ก็ไม่ต้องไปซื้อประกัน แต่ให้ทำบุญนี่แหละ หลักประกันความเสี่ยง
ค่อยๆ เริ่มทีละน้อย เวลามันเจ๊ง มันก็ตามกำลังตัว ก็ถือว่า เป็นการศึกษา หาหนทางทำมาหากิน ไม่เจ็บตัว
แล้ว หากทำแล้วมีกำไร ก็ปรับปรุง คุณภาพให้ผู้บริโภคเขาบ้าง มันก็เหมือนเป็นทาน ให้คนซื้อ คนซื้อก็ทำทานให้เรา จุนเจือกันไปแบบนี้ มีแต่ รุ่ง

นี่ให้ทำแบบนี้ ไม่ใช่ไปแก้ กรรม บ้าๆบอๆ

 

ฟังแม่ชีพูดแล้วอึ้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการพูดของผู้ทรงศิล....เสื่อมจริงๆ

 

มาดู สิ่งที่ปรากฏใน คลิปกันก่อน
--------------------------------

คนที่ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด สิ่งที่เป็นกริยากายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
แต่ด้วยความ โสมมของจิต ผู้เอาหูเข้าไปสอดแล้วพาให้จิตโสมมของตัวเอง
แล่นไป ภาพที่ปรากฏในคลิปมันก็ลืมมองเอาดื้อๆ

ประเด็นแรก "ให้ไปเอากับเด็กอายุอ่อนกว่า 2 ครั้ง"

จิตโสมมสกปรกของผู้ฟังที่มีมาก แล้วระลึกไม่ทัน ก็แล่นไปแล้ว ไม่รู้ไปถึงไหน

แต่ถ้าจิตตั้งมั่น พิจารณาอยู่ด้วยดี ฟังธรรมจนจบวาระกรรม ก็จะพบว่า

1. แม่ชีสมมติให้ นักแสดงคนหนึ่งมาประกอบอาชีพนักแสดงของเขา
2. แม่ชีรอให้นักแสดง ปราวณาตนกับ คุณน้าก่อน เมื่อคุณน้าอนุญาติ ก็แสดงบทบาท
ที่สวมบทบาทแบบนักแสดง ไม่ได้กระทำเพราะอารมณ์กาม
3. แม่ชีรอให้คุณน้าจ่ายเงินเป็น"ค่าจ้าง" เป็นทานให้แก่สิ่งไร้สาระ สลัดออก 1 และนอก
เหนือจากนั้นคือความมี ปฏิฆะรังเกลียดกาม อันเป็นเหตุของวาจาทุจริตที่มีอยู่ในชีวิต
ประจำวันถูกยอมรับการเห็น กิเลสในตน แล้วสลัดออก 2
[ สังเกต นักแสดงไม่ได้ดีใจที่ได้กอดหญิง แต่ ยินดีจูบเงิน ให้เห็นประจักษ์
ชัดถึงความติดข้องของจิตว่าไม่สนใจ ที่กามรสแต่อย่างใด ]

4. การมีอะไรกับเด้กอ่อนกว่า 2 ครั้ง จบไปแล้ว ตามคลิป อันนี้ก็แปลว่า ไม่ได้บอก
ให้ไปมีอะไรในแบบสกปรกโสมมแบบที่ยังคาใจของคนที่ดำริไปถึง มันค้างคาที่ตัวคนคิด
เอง เพราะ คลิปนั้นจบกระแสไปแล้ว ไม่ต้องไปทำอีกแต่อย่างใด

ดังนั้น ตรงนี้เป็นการแก้กรรมในแบบที่

1. ให้ระลึกถึงสิ่งที่ตนมี
2. ให้กำจัดความยินร้ายในกาลก่อนๆ ลงเสีย
3. ให้ตามเห็นความปลอดโปร่งโล่งใจ อันเป็นจุดที่ควรเห็น ไว้
4. อาศัยบารมีที่พอจะมีของกลุ่มชนกล่าวคำสาธุ กำชับ ปักหมุด อันเป็นวิถีธาตุ

ก็จะเห็นว่า เป็นการแก้กรรมอีกลักษระหนึ่ง ใช้กับธาตุที่ปฏิฆสัญญาเป็นใหญ่
เที่ยวปฏิเสธนู้นนั่นนี จนกระทั่งขังจิตไว้ในมุมมัวหมองเป็นนิจ

การแก้กรรมแบบนี้ หากพิจารณาเผินๆ ก็ดีกว่า แก้กรรมแบบเปิดโลก ลง
ไปเลื้อย กระแด่วๆ บริกรรมเร็วๆ งุดโงๆๆ จนสลบเหมือดชักแด๊กๆ ซึ่งเป็น
อีกธาตุหนึ่งคือธาตุกูจะเอา หรือธาตุแบบตัณหา แก้กรรมโดยการขอโทษขอโพย
เจ้ากรรมนายเวรแบบปากเปล่า นั่งแหมะแล้ว ขอโทษนะ งุดโงๆ แล้วขอโทษนะจ๊ะ
ซึ่งพวกเอ่ยปาก งุดโง แล้วขอโทษ นี้มันจะคุ้นชินกับการกระทำกรรม พวกนี้
ทำแล้วก็ไล่ด่าแดกชาวบ้านไม่เลิกเป็นนิสัย เพราะทำแล้วเดี๋ยวกูยอมรับ เดี๋ยวกูขอโทษ
"กูคนจริงทำจริง ผิดก็ขอโทษจริง" ตบตาแหกตาตัวเอง

สรุปการแก้กรรม วิธีการแก้กรรมมีสองแบบ

1. บริกรรมเร็วๆ งุดโงๆๆๆๆ แล้วก็ขอโทษขอโพย เปิดทางให้นิมิตเจ้ากรรมปรากฏ
แล้วมากด มาบอก หนทางเจริญอภิญญา สติปัฏฐาน แล้วก็เชื่อเจ้านายที่มาปรากฏนั้น

2. ไม่ต้องบริกรรม เพียงแต่ยอมรับสิ่งที่เป็นปัจจุบันที่ครองภพในใจ ผลักดันแต่ขังไว้
ไปตรงๆ มันก็หลุดออกมาไปตรงๆ แล้วก็รักษาศีล รักษาความเป็นปรกติของใจไป

* * * *

กรณีหอยแขวนที่ประตู อันนี้ หากฟังเผินก็ดูไร้สาระ แต่หากพิจารณาเชิงปฏิภาณจะ
ได้สิ่งที่ควรเห็น

หากคนๆหนึ่ง แขวนโมบายหอยที่หน้าประตู หากมันมีคนเดินผ่านเข้าออก มันจะเกิด
เสียงดัง จะแหวกอย่างไรก็ต้องส่งเสียงดัง ยิ่งคนมาแหวกเข้าอยากเข้าไปในห้องให้
เร็วๆเพื่อหลบสายตา ก็จะต้องเกิดเสียงดังไปกันใหญ่

ฉะนั้น กุศโลบายที่ได้คือ คนจะผ่านเข้าออกประตูน้อยลง อันเป็นสิ่งพึงหวัง

กรรมที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากมีคนลอบเข้าห้องไม่เว้นว่างจะต้องน้อยลงเป็นพึงหวังได้

* * * * *

ก็จะเห็นว่า เป็นการแก้กรรมเฉพาะหน้า จบลงในปัจจุบันได้แทบจะทันที แต่มันก็
จบเป็นกรณีๆไป

ทีนี้ คลิปที่สอนกรรมฐาน สอนให้ทำกรรมฐานมีไหม เท่าที่เคยเห็น ก็มีอยู่ แต่
ไม่เป็นที่แพร่หลายเท่า คลิปแก้กรรมเฉพาะบุคคลเฉพาะกรณีที่หนักใจกุมใจ ซึ่งมัน
ง่ายต่อพวกจิตโสมมจะเอามาสำรากหัวเราะเยาะใส่ โดยไม่พิจารณาถึง ธาตุกรรม
ฐานที่มีเฉพาะกลุ่ม

 

ศีลข้อ 4 มุสาวาท ไม่ได้หมายความตื้น ๆ แค่ไม่พูดปด แต่ครอบคลุมถึง 4 อย่างด้วยกัน คือ ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ


เห็นด้วยกับที่ คุณขันธ์กล่าวไว้ค่ะ

กรรมแก้ไม่ได้ เลี่ยงไม่ได้ หนีไม่พ้น
แต่สร้างกุศลกรรมเพื่อให้น้ำหนักกุศลกรรมช่วยชะลอให้อกุศลกรรมส่งผลช้าออกไปได้ แต่อย่างไรก็ต้องรับวิบาก

อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้ายังต้องรับวิบาก แม้ว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองคุลีมาร แม้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังหนีกรรมที่่ก่อไว้ไม่ได้ ต้องรับวิบากเช่นกัน


เห็นด้วยกับคุณสุปราณะที่นำมากล่าวครับ
ชาตินี้ผมแค่ถือศีลห้าข้อได้ครบ โดยไม่ขาดวรรคใดวรรคหนึ่งหรือเลี่ยงบาลี
แค่นี้ผมก็พอใจแล้วครับ

 

เห็นด้วยค่ะ แม่ชีมีเมตตาธรรมสูงมาก ถึงแม่ชีจะไม่เอาความแต่กฏแห่งกรรม

มันไม่ได้หยุดทำงานค่ะ และเป็นอีกคนนึงที่ได้ดูคลิปเกิดแต่กรรมเกือบทุกคลิป

พอดูเสร็จเหมือนกับว่าเราได้อนุโมทนาบุญด้วยแล้วทำให้เราโล่งด้วย

กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า ทุกวันนี้กลับตัวเป็นคนดีขึ้นมากๆเพราะแม่ชีค่ะ

สาธุ

 

ผมเคยเจอลูกศิษย์แม่ชีมาบ้าง และหลายคนที่เคยพบเจอกับท่าน ก็บอกว่าท่านพูดถูกในเรื่องกรรมปัจจุบันชาติ และอยากบอกคุณขันธ์ ว่าท่านก็คงไม่ได้เป็นพระอริยะ เพราะเท่าที่ทราบ คือท่านปราถนาพระพุทธภูมิ

แล้วที่แม่ชีให้ทำจะว่าแก้กรรมไหม ก็ขอตอบว่า มันเป็นเพียงคำพูดว่าแก้ ท่านก้เคยบอกว่า กรรมมันแก้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำมันคือการขออโหสิกรรม
การที่เราใช้ของต่างๆที่เคยมีกรรม มาประกอบคือทำให้จิตของเราระลึกถึงกรรมที่เคยมีกรรมด้วย คล้ายการเจริญพระกรรมฐาน เมื่อเห็นภาพเก่าในอดีต แล้วก้รู้สึกสำนึกผิด
นี้เป็นวิธีการง่ายๆ คือใช้ของ หรือการกระทำ ให้จิตของเราได้ระลึกถึงกรรม ที่เราเคยทำไว้ และทำให้เรารู้สึกสำนึกผิด แล้วเราก็ขออโหสิกรรม เป็นวิธี เบื้องต้น ขั้นต้น

ท่านไม่ได้ให้ไปเอากันจริง
เคยปฏิบัติธรรมา ใช้ปัญญาหน่อย มาหาว่าคนนั้นคนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าคุณเป็นสัมมาเต็มร้อย คุณคงนิพพานไปแล้ว ไม่มาต่อว่า หรือปะทะคารม กับใครเขาไปทั่วเวบพลังจิตหรอก

เขามีกุศโลบายของเขา
อย่าเอาความรู้ที่รู้ไม่จริง ไปติติงคนอื่น
กุศโลบาย วิธีการมันมี

พวกที่ด่าๆแม่ชี ลองทำให้คนอื่น เขามาสวดมนต์ไหว้พระ กตัญญูพ่อแม่ สำนึกบุญคุณแผ่นดิน เคยพาคนไปบวชเป็นร้อยๆรูป พวกที่ด่าๆๆเคยทำ ได้ไหมหละ คุณขันธ์เคยทำได้ไหม
วัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ลมปาก

เป็นกำลังใจให้แม่ชีครับ

 

แยกกันให้ออกระหว่าง ศรัทธา และ หลักการที่ถูกต้อง

ทีนี้ถ้าเราศรัทธามากเกินไป ก็จะทำให้ดูเหมือนว่า เขาพูดอะไรก็ถูกไปหมด

เราก็จะตีความไปแต่ในทิศทางที่ดี จนลืมมองไปในมุมที่ไม่ถูกต้อง

เราจะรู้สึกอย่างไร หากความจริงมันเป็นแบบนี้คือ

แม่ชีถามว่า มีลูกหรือยัง
ผู้หญิงบอกว่า ยัง

แม่ชีทำท่างงๆ (ตัวเองเดาไม่ถูก) พร้อมพลิกไป ถามว่า มีเด็กๆมาชอบไหม (เลี่ยงคำว่าลูกไปเป็นเด็กๆ)
ผู้หญิงบอกว่า ก็มีบ้าง แต่ไม่สนใจ

แม่ชีทำท่างงๆ พร้อมทั้งบอกว่า มีกรรมนะ ลองยอมเด็กมันบ้างซี (แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมีลูกตอนแรกหว่า)
นี่ถ้าผมจะบอกว่า แม่ชีมีอกุศลจิตเกิดคือ เกิดมานะทิฎฐิ เสียหน้าเลยหาทางเลี่ยงไปในเรื่องของกรรม
นี่ถ้ามันเป็นแบบนี้จริง แม่ชีจะเห็นตัวเองไหมนั่น เพราะตัวเองไม่ทันกิเลสตัวเองว่า ตัวเองกำลังพยายามกลบเกลื่อน

ผู้หญิงบอกว่า ไม่อยากมี
แม่ชี เกิดความขุ่นใจว่า ตัวเองไม่แม่นซะแล้ว เลยบอกว่า ลองให้เด็กมันเอาซักสองที (เผลอตัวพูดไป )
ไม่ได้สำรวมกิริยาอาการ และ วาจา

ผู้หญิงงง คนอื่นงง ทำหน้าตาไม่เห็นด้วย

แม่ชี เห็นคนอื่นเริ่มไม่เห็นด้วยเว่ย ท่าทางจะไม่เวิร์ค อย่ากระนั้นเลย เปลี่ยนมุขดีกว่า เอาเป็นว่าแก้กรรมไป
เอ้า เอาคนมาสมมติว่า กอดกัน คือ การนอนกันแก้เคล็ด แม่ชีนึกคิดอะไรขึ้นมาเรื่อยเปื่อย ก็สั่งว่า ต้องทำแบบนั้นแบบนี้ แม่ชี ตลกหัวเราะชอบใจ ลืมตัว ปรบมือ สนุกสนาน ลืมไปว่า อยู่ดีๆ มันมาลงเอย ด้วยการกอดกันได้ยังไงหว่า


เอ้า ถ้าหากเรื่องจริงมันเป็นแบบนี้ ถามว่า แม่ชีมีเมตตาไหม ยังจะศรัทธากันอยู่ไหม คนฝันเพ้อ แบบนี้จะนำคนไปดับทุกข์ได้อย่างไร มิหนำซ้ำ ยังจะถือว่า แม่ชีมีเมตตามาก

เราต้องขอบคุณ พระศาสดามากกว่า ที่ทำให้มีพระศาสนาจนทำให้เราศรัทธาในเรื่องของกรรม
และ เราก็ต้องดีใจที่มีการ ไม่เห็นดีเห็นงามกับ แม่ชี ที่หยิบยกเรื่องกรรมขึ้นมาผูกเรื่องเอาเอง
หาทางแก้ไข ต่างๆนาๆ ซึ่งพระศาสดาท่านก็ไม่เคยสอนให้ดับทุกข์แบบนี้

เวลาทำอะไร ให้ถามตัวเองว่า นี่มันกุศลหรืออกุศล โง่หรือฉลาด ค่อยๆพิจารณาอย่างมีสติ

อ้อ ที่เอกวีร์สนับสนุน แม่ชี เพราะว่า มีนิสัยเหมือนกัน คือ สนับสนุนกิเลส เก่งในทางพลิกสถานการณ์ จากอกุศลให้เป็น กุศล เพื่อ ลาภสักการะ และ ปกปิดตนเวลาทำอะไรผิดพลาด

 

คุณขันธ์ นี่ท่าจะเป็นเอามากนะครับ ชอบจับผิด
สมญาว่า ที่สันโดษตั้งว่าคุณขันธ์ปากเสีย คงไม่ผิดเลยทีเดียว
ไม่ได้สั่งนะครับ รูปที่ใช้เป็นรูปหลวงตามหาบัว อย่าใช้เลย เอามาเป็นแทนตัวเอง แต่ตัวเอง ปากระรานเขาไปทั่ว พระเจ้าพระสงฆ์ท่านไม่ได้ให้สอนให้ทำแบบนี้

ใครกันแน่คิดอกุศล คุณไม่เจอด้วยตัวเอง คิดเอาเอง เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกว่ามนึกทึกทักเอาเอง น่าสงสาร เลิกกิริยา อาการแบบนี้เสียที ท่านผู้ปราถนาพุทธภูมิ เขาตั้งใจจะช่วยคน กำลังใจเขา เสียสละเพื่อคนอื่น อย่าเอา ความรู้ไม่จริง การสุ่มเดา สาดเทใส่ผู้อื่นเลย

คุณเคยนำคนทำความดีได้เท่าแม่ชีไหม อย่าเก่งแต่ปาก ดีแต่พูด พ่นน้ำลายนะครับ วัดกันที่ผลงานดีกว่า

 

หยุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆอย่าถกเถียงกัน ทั้งฝ่ายเชื่อและฝ่ายไม่เชื่อ ไปพิสูจน์กันให้เห็นกับตาเลย ไปที่วัด ท่านอยู่ที่วัด ใครสงสัยอะไรถามท่านเลย ของจริงพิสูจน์ได้ แสดงความคิดไปต่างๆนานามันก็แค่นั้น "เราต้องพิสูจน์ด้วยตัวเราเอง" จริงมัยท่านผู้เจริญทั้งหลาย ไม่ว่าสายไหนๆกรรมฐานกองไหนๆก็ยังต้องปฏิบัติเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงในพระสัจธรรมของพระศาสดา เพราะฉะนั้น ต้องไปพิสูจน์อย่าเชื่อใคร และถ้าเรายังไม่รู้จริง อย่าเพิ่งตัดสินใครว่าดีหรือไม่ดี ขอให้วางอุเบกขา ไว้ก่อน ด้วยความเคารพท่านผู้เจริญทั้งหลาย

 

ผมเชื่อเหตุและผล ใครทำกรรมไว้ อยากหมดกรรม ให้เด็กเอา 2 ที กรรมก้หายบัลดล ไม่เป็น โรคกันงอมแงมทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วหรอครับท่าน ลองให้คุณพี่ ที่ให้เขากอด ขาวหมวย สวยเซ๊กส์ซิครับ ว่าเด็กจะเอาเงิน หรือเอาผ้หญิง 555 ต่อหน้าคนเยอะๆๆมาทำหื่นใส่ ไม่อายก็บ้าละครับท่าน มองแบบคนทั่วไปมองสิ กรรมถ้ามันแก้กันง่ายๆแบบนี้ คนคงตีกันตายทั้งเมืองแล้ว แล้วค่อยให้เด็กเอาะมาเอา2 ที จบหมดกรรม คนยังมาสาธุ ดีแล้ว ประเสริฐแล้วกันอีก เฮ้อ
อีกอย่างพี่ ขันธ์ พูดยังมีเหตุผม น่าฟังกว่ากันเยอะ ว่าทำอย่างไร ควรได้อย่างนั้น

 

อย่างคุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->แสงส่องทาง<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4633612", true); </SCRIPT> (ขออนุญาติที่เอ่ยนาม) คุณศรัทธามากเกินไปหรือเปล่าครับ
เคยไปดูหมอดูไหม เหมือนกันเรยครับ จิตวิทยาการพุดนะ ลองให้หมอดูเก่งๆดูนะ เคลิบเคลิ้มกันทุกคน ผมไม่ได้ลบหลู่ ผมเชื่อสิ่งที่มองไม่เห็นมีจริง แต่ก็ต้องมีเหตุและผล
ทีเหมาะสม

 

ครับผม กล่าวถึงได้ไม่เป็นไรครับ
ผมไม่เคยไปเปิดกรรมหรืออะไรกับเขาหรอกครับ ไม่ได้ศรัทธาอะไรมากมาย ผมก็มีครูอาจารย์ที่ผมเคารพอยู่แล้ว

แต่ผมเข้าใจในสิ่งที่แม่ชีเขา เคยอ่านหนังสือแม่ชีมาบ้าง เข้าใจกุศโลบาย ที่เขาทำมันไม่ใช่แก้กรรม เรียกว่าการขอขมา การขออโหสิกรรม

ที่ว่าแม่ชีให้เอากัน แม่ชีไม่ได้ให้เอาจริงๆหรอก คือคนที่เปิดกรรม เคยมีกรรมกับเรื่องที่เคยพูดให้คนอื่น ไม่ได้เอาให้เอากันจริงๆ
ทำให้คนที่มีกรรมรู้สึกสำนึกผิด ให้คนนั้นรู้สึกผิดในบาปกรรมที่เขาเคยล่วงเกินผู้อื่นด้วยวาจา ไม่ได้ให้เอากันจริงๆ

ผมพอรู้แนวทาง เข้าใจในเหตุผล และลองทำความเข้าใจดู ผมก็ว่าผมเข้าใจ และเป็นอุบายที่ดีนะครับ คือศึกษาสิ่งที่แม่ชีทำ เปรียบเทียบทำความเข้าใจ และอยากให้เกิดความชัดเจน ไม่ใช่ว่า เราไม่เคยสำผัสหรือรับรู้อะไร แต่ว่ามาพูดลอยๆ และวิจารณ์คนอื่น เพราะว่าไม่ได้ลองทำความเข้าใจให้ชัดแจ้ง อย่างคุณขันธ์ ผมว่า คุณขันธ์ทำไม่ถุกนัก

 

เห็นส่วนดีก็ เอาส่วนดีมารับฟังมาใช้ครับ
ส่วนไหนฟังแล้วรู้สึกไม่ชอบใจรู้สึกมันไม่ใช่ก็ทิ้งมันไป

แต่เท่าที่เคยดูคลิปแม่ชี แม่ชี เขาเป็นคนที่ชอบพูดติดตลกบ่อยๆบางทีก็ทะลึ่งตึงตังเลยคิดว่าเป็นอารมณ์ขันมากกว่า คิดมากกันเกินไปรึป่าวที่จะเอาเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น

แล้วการแก้กรรมมันขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะเช่น(สมมตินะ)
ชาติก่อนๆเคยไปทำร้ายทิ้งผู้ ญ สองคนเสร็จแล้วก็ได้ไปช่วยชีวิต ญ คนนึงไว้
ชาตินี้ก่อนที่จะเจอคู่จิงๆ จะต้องโดน ญ สองคนทิ้งกลับคืนก่อนเช่นกัน
คนที่สามารถสัมผัสเรื่องพวกนี้เลยแนะนำว่า ให้รีบๆไปโดน ญ สองคนทิ้งซะ จะได้สมหวังซะทีนะ --> ฟังดูไร้สาระไหมครับ คนที่ไม่เชื่อก็คงคิดว่าบ้าแหละแต่ไม่แน่มันอาจจะจริงก็ได้นะ(ผมก็ไม่รู้หนะแค่เชื่อ)

หรือการแก้กรรมที่คนนิยมกับสมัยนี้ มันก็คือการที่คนเรามีสื่อจากครูบาอาจารย์หรือญาณของเราเอง มาคอยคุยกับเจ้ากรรมนายเวรเราให้ว่าอโหสิได้ไหม อยากได้ไรหละ พอตกลงกันได้ เจ้าตัวก็ไปทำบุญตามที่บอก เจ้ากรรมนายเวรก็จะเลิกจองเวร กรณีเดียวกันถ้าคนไม่เชื่อก็คงว่าบ้า แก้กรรมมีที่ไหน บุญบาป มันบวกลบกันได้ด้วยหรอ ต่างๆนานา

ผมก็ไม่ได้คิดว่าแม่ชีจะไม่มีส่วนผิดนะแล้วก็ไม่ได้คิดว่ามันคือหลักศาสนาพุทธที่มุ่งตรงต่อการหลุดพ้นด้วย และการที่ผู้ทรงศีลพูดแบบนั้นก็อาจจะไม่ควรในฐานะ แต่แม่ชี เขาก็ทำดีมากมายนะ โปรดระวังการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงให้คนที่อ่านผ่านๆแล้วเข้าใจผิดและจะเป็นการตัดโอกาสให้คนที่มีโอกาสพ้นทุกข์เรื่องต่อๆไป ในอนาคตพลาดโอกาสไปครับ

 

มาให้กำลังใจแม่ชีครับ

ทุกอย่างที่ท่านทำ ที่ท่านพูดกระทบกระเทียบ เพื่อบรรเทากรรมครับ

บางคนชอบด่าพ่อแม่ มาหาท่าน ท่านก็ด่าใส่ ตบปากบ้าง จะได้หมดๆ

มีอะไรท่านรับไว้เอง

ท่านเคยว่า คนที่มากอดท่าน กรรมหนักๆ ท่านรับให้ บางคนกอดแล้วเด็ก

(ที่เคยแท้ง)หลุดมาอยู่ที่ท่านเอง แล้วท่านก็มาเจริญกรรมฐานให้ แผ่เมตตา

ให้

 

จริงอย่างว่า ท่านอยู่ที่วัดพิชยญาติการาม ทุกวันอาทิตย์อยู่แน่ๆ

ไปขอถามท่านเลยดีกว่า ว่าทำไมท่านพูดอย่างนี้ ทำไมท่านสอน

แบบนี้ แล้วที่ท่านแนะนำนั้นแก้ได้จริงหรือ ท่านเปิดกรรมมาแล้วกี่

คน เรียกมายืนยันกันเลย ว่าแก้ตามนั้นแล้วเป็นไงบ้าง

 

ไม่ได้พูด แต่ดูแล้วคิดเห็นเหมือนบางท่านอย่างมาก จะบาปใหมคะ

 

ท่านช่วยเป็นธุระถามไปหน่อยได้ไหมครับตามคำแนะนำจะได้กระจ่างเสียทีเอาแบบชัด ๆ

 

บางคนเค้าไปเพื่อแก้ทุกข์ทางใจ ทั้งนั้นและ จะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่
เรื่องกรรมเก่าก็ส่วนกรรมเก่า เรื่องกรรมใหม่ก็สร้างกันไป
จะให้ทุกคนมาคิดและปฏิบัติตามเหมือนกันทั้งหมดผมว่าดีนะครับ
แต่สำหรับบางท่านบางคน ใจเค้ายังมีทุกข์ มีปัญหา หลากหลายเรื่องราว
ที่ต้องการหาทางออกเดี๋ยวนั้น ณ ปัจจุบัน

ไม่ปฏิเสธนะครับว่า การปฏิบัติ เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์
แต่บางคนเค้าพร้อมเหมือนกันไหม กำลังใจยังมีขึ้นมีลงอยู่เลย

การที่เค้าจะพ้นทุกข์หรือเปล่ามันขึ้นอยู่กับตัวบุคคล
แต่การสร้างกำลังใจให้เดินไปสู้การพ้นทุกข์นี้ซิ
เค้าจะหาวิธีการรักษามันยังไงก็เรื่องของแต่ละบุคคล

กรรมก็ส่วนกรรม พิธีกรรมก็ส่วนพิธีกรรม การปฏิบัติก็ส่วนการปฏิบัติ

คนเราเจออะไรมาไม่เหมือนกัน จะให้คิดและปฏิบัติตามให้เหมือนกันเลยหรอก

มันต้องมีลำดับขั้นกันไป เป็นธรรมดาก็ต้องมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
คนไม่เคยพบเคยเจอ อาจจะค้านหัวชนฝาได้ ว่าสิ่งนี้ไม่มีจริง

จะมาขีดเส้นกันเองทำไม เพื่ออะไร