จิตจักรวาล-อ.ปริญญา ตันสกุล

เห้ออออออออออออออออออออออออออออ

ท่านอาจาน น้อ

 

เป็นโพสที่เลอค่ามาก

 

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
เปิดใจให้กว้าง รับฟังแล้วลองพิจารณาดู
ถ้าไม่ถูกจริตเรา ก้อวางไว้ ไม่ต้องเก็บไป
ใครเชื่อ ใครชอบ ก็เรื่องของเค้า...เน้อ...

 

เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องที่สุดแล้วครับ ทุกอย่างขึ้นกับจิตใจที่เปิดกว้าง และระดับสมองที่แต่ละคน ณ ช่วงขณะนั้นจะพึงตัดสินได้

จุดมุ่งหมายที่เดียวกัน ต่างกันตรงวิธีการมุ่งสู่เป้าหมายนั้น

ผู้ที่ไม่เปิดกว้าง ย่อมเสียเวลามากกว่า ผู้ที่เปิดกว้าง

 

การเคารพศาสดา ทุกศาสนาเป็นเรื่องที่ดี ครับ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเรื่องนี้ ผมก็เคารพทุกศาสดา ไม่ว่าจะเป็นศาสดาของ คริสต์ อิสลาม พราหม ฮินดู ผมก็เคารพ...แต่เราก็ไม่ลืมหลักหรือแก่นคำสอนของศาสนา.. โลกใบนี้ไม่ใช่ของเรา มันจะเกิด หรือมันจะดับ ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ สิ่งที่เป็นธรรมชาติทุกอย่าง มันมีหน้าที่ของมัน หน้าที่ของแต่ละท่านละคืออะไร...ความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้เป็นเรื่องปรกติ..เหมือนที่เราแก่ขึ้นทุกวัน..แต่เราไม่สนใจ เราอยากให้โลกใบนี้อยู่เหมือนเดิม ..มันคงเป็นไปไม่ได้..ดินก็ทำหน้าที่ของดิน น้ำก็ทำหน้าที่ของน้ำ ลมก็ทำหน้าที่ของลม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป้นเรื่องธรรมะชาติ ไม่ได้มีตัวบงการใดๆทั้งสิ้น (แค่มนุษย์เป็นตัวเร่ง..ให้เกิดแค่นั้นเอง) แต่ถึงไม่มีมนุษย์บนโลกใบนี้ น้ำท่วม พายุ ซึนามี เปลือกโลกแยก ฝนตก ฟ้าร้อง มันก็มีอยุ่ดี ธรรมชาติเหล่านี้มันมีมาก่อนแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิดตอนมีมนุษย์...
มงคลที่ 37 - จิตปราศจากธุลี - ปล่อยวางในสรรพสิ่ง

สรรพ สิ่งและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า รถราบ้านช่อง คนสัตว์สิ่งของ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เหมือนต้นไม้ที่เราเคยเห็นต้นเล็กๆ ไม่นานก็เจริญเติบโตขึ้น แผ่กิ่งก้านสาขาออกดอกออกผล ให้ความสดชื่นแก่ทุกชีวิต แต่ไม่นาน ดอกไม้ที่ดูสวยสดงดงามเหล่านั้น ก็เหี่ยวแห้ง ร่วงโรยไปตามกาลเวลา ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าท่านศึกษาศาสนาพุทธหรือนับถือศาสนาพุทธจริงๆให้ถึงแก่นธรรม ท่านจะรู้ว่าสิ่งที่ อ.ปริญญา พูดออกไป หรือเอาไปบรรยาย มีในแก่นธรรมของศาสนาพุทธหมดแล้ว...ผมพูดได้แค่นี้ แล้วค่อยมาคุย..เรื่องพระพุทธเจ้าคุย เรื่องมนุษย์ต่างดาวอีก...มีจริงๆครับ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แต่ชาวพุทธเราไม่ได้ศึกษา พระพุทธเจ้ารู้มานานแล้ว.แต่เราเพิ่งตื่นเต้น ต้องให้คนศาสนาอื่นมาบอก..จึงจะเชื่อ...

 

ดิฉันเป็นชาวพุทธคนหนึ่ง เป็นด้วยใจเป็นด้วยการปฏิบัติ..เท่าที่จะพึงจะทำได้
แต่ขณะเดียวกันดิฉันก็ไม่เคยปฏิเสธสิ่งใหม่ๆที่ดิฉันยังไม่เคยรู้
ดังเช่นว่าคำกล่าวของท่านเมตตาตรอน ...จิตจักรวาล...
พระผู้สร้าง...พระบรมบิดา... พระสุริยเทพยูไล ฯลฯ
หรือท่านใดๆ องค์ผู้สร้างใดๆอีกก็ตามที่ดิฉันยังไม่รู้
เพราะดิฉันเปิดใจรับ(อย่างเป็นกลาง) กับทำสิ่งทุกอย่าง
ได้โดยปราศจากอคติ ปราศจากอัตตาในตัวเอง
ดิฉันทำตัวเองให้เป็นแก้วเปล่าที่ยังไม่มีน้ำในแก้ว
จึงง่ายที่จะรับสารและข้อมูลใหม่ๆจากสิ่งใหม่ๆ
และแก้วใบนี้ไม่มีวันที่น้ำจะล้นแก้วเพราะเป็นแก้วใบที่ไม่มีอัตตา
สิ่งที่ดิฉันได้จากการเป็นคนไม่มีอัตตาคือความสุขสว่างทางใจ
เพราะดิฉันเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆจากทุกๆท่าน
และเลือกปฏิบัติตนในเส้นทางที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ก่อนหน้านี้ดิฉันเคยขังตัวเองอยู่ใน paradigm มาก่อน
มาวันนึงลองเปลี่ยนความคิดในหัวตัวเองใหม่
เปลี่ยน paradigm ที่ครอบงำตัวเองเสียใหม่
ละทิ้งอัตตาที่เคยมี มาวันนี้ดิฉันรู้สึกดีมีความสุขมากขึ้น
เป็นความสุขเพราะเราไม่มีอัตตาอีกต่อไปแล้ว
และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคน open mind
ที่พร้อมจะเรียนรู้และรับสารใหม่ๆได้ดีขึ้นเร็วขึ้น
แน่นอน ดิฉันไม่มีเคยหัวเราะขำในความคิดของอ.ปริญญา
เพราะถือว่าท่านเป็นเสมือนครูอีกคนของดิฉัน
ที่ท่านได้มาเปิดเผยมุมมองใหม่ๆให้เรา(ชาวโลก)ได้รับรู้
คนเราเรียนรู้กันได้อยู่ทุกวันตั้งแต่ตื่นนอนมา
แต่ละท่านในเวบบอร์ดพลังจิตเองก็เช่นเดียวกัน
ที่ดิฉันถือว่าเป็นเสมือนครู(ในหลายรูปแบบ)ของดิฉันเช่นกัน
เป็นทั้งแบบมาทดสอบ...แบบมาชี้ช่องทางสว่างให้...
ฉะนั้น หากท่านใดที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของ อ.ปริญญา
ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำปรามาสท่านหรอกค่ะ
และแน่นอนว่าดิฉันเองเห็นด้วยกับคำพูดของคุณ rossalen ทุกประการค่ะ

 

เป็นกำลังใจให้คุณ..โรสสาเลน..ค่ะ

 

เฮ้ย เรื่องนรกสวรรค์นี่จะพูดให้เข้าใจ สมมุติว่าคุณไปทำความผิดมาแล้วต้องติดคุกนี่ ตำรวจเค้าจะยอมปล่อยให้คุณกลับมาบ้านมั้ย เค้าก็กลัวว่าคุณจะหนีไปไม่กลับมานะสิ คนตายไปนรกก็แบบนี้เค้าไม่ปล่อยให้คุณกลับมาหรอก ลองคิดดูนะสวรรค์ก็เหมือนกัน โลกมนุษย์มันเหม็นกลิ่นมนุษย์เหม็นมากสำหรับเทวดาเปรียบเหมือนบ่อขี้คนตายไปสวรรค์เค้าคงไม่อยากลงมายุ่งเกี่ยวอีกหรอก

 

*** เวียนว่ายตายเกิด ****

การเดินทาง...สิ้นสุดด้วย "สัจจะ"

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

ปัญหาอย่างหนึ่ง ของคนที่ฝักใฝ่เรื่องราวทางศาสนา คือ

"ยึดติดในสิ่งที่ตนเชื่อ ว่าถูกต้องที่สุด" ซึ่งคือ "อัตตา" อย่างหนึ่ง...

ลืมไปแล้วหรือว่า ไม่ว่าจะศาสดาองค์ใด ท่านไม่ได้บันทึกคัมภีร์ด้วยตนเอง

ไม่มีศิษย์คนใดเรียนรู้สิ่งที่ครูสอนได้ 100% ... แล้วคัมภีร์ อ้างอิงได้หรืออย่างไร?

คิดตามอีกซักนิด ว่า "ศาสนา" เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของชีวิตของชาตินี้ กายนี้

จิตของท่าน มีศาสนาหรือไม่?... สมัยก่อนจะมีศาสดาทุกพระองค์ จิตนับถือศาสนาอะไร...

เพราะ "จิต ไม่มีศาสนา" ... ใยท่านยังยึดติดว่า "ฉันเป็นพุทธ ฉันเป็นคริสต์อีกเล่า"

เรื่องราวของจิตวิญญาณนั้นเป็นสากล ไม่มีแบ่งเชื้อชาติ ศาสนาใดๆ...

 

ควรมีบุคคลเช่นท่านเยอะๆนะ อะไรๆจะได้ไม่วุ่นวาย
บ้าบออย่างที่เห็นและเป็นอยู่