ที่นี่เดี๋ยวนี้ ศิลปะแห่งการเจริญสติ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย datedoctor, 17 สิงหาคม 2010.

  1. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ในขณะที่เธอมองมาที่ชีวิต เธอคงจะพบเห็นเหมือนฉันว่า ชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่แสนจะยุ่งเหยิงและวุ่นวาย เธอมักจะถูกบีบคั้นด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และต้องรีบเร่งเสมอๆเพื่อแข่งขันและไขว่คว้าบางสิ่ง ถ้าเธอเป็นผู้บริหารเธอจะต้องติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆให้ทัน เพื่อวิเคาระห์สถานการณ์ และ เอาชนะคู่แข่งของเธอให้ได้ ถ้าเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์เธอก็จะต้องพยายามที่จะแข่งขันกับคนอื่นเพื่อค้นพบสิ่งที่ยังไม่มีใครเคยค้นพบมาก่อน เป็นต้น ทั้งนี้เพราะเธอเชื่อว่าสิ้นสุดแห่งการต่อสู้ดิ้นรนเป้าหมายจะอยู่ที่นั้น แต่ลึกๆในใจเธอ เธอเคยคิดไหม? ว่าอันที่จริงแล้วเธอนั้นกำลังทำอะไร?อยู่ กำลังแข่งกับใคร? กำลังรีบร้อนไปทำไม? กำลังไขว่คว้าอะไร? และ สุดท้ายแล้วได้อะไร? ชีวิตนั้นเป็นการเดินทางที่ในขณะที่เรายังคงเยาว์วัย เรายังคงคิดว่าชีวิตนั้นเป็นทางอันแสนไกล เป็นทางที่จะนำวันพรุ่งนี้ ความหวัง ความสุข และทุกข์ มาให้เสมอ แต่ในท้ายของท้ายที่สุดเรากับพบว่าความจริงๆแล้วนั้นชีวิตเป็นเพียงเส้นทางสั้นๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันช่างผ่านไปไวเหมือนความฝัน ตลอดการเดินทางที่ผ่านมานั้นช่างไร้ความหมายใดๆ สิ้นสุดแห่งการไขว่คว้านั้นสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร? ทั้งความดีความชั่วที่ผ่านมาก็ยังเป็นเพียงแค่ภาพลวงแห่งความฝันเท่านั้นสิ่งนี้ทำให้ฉันนึกถึงคำประพันธ์ของ เชคสเปียร์ ในบทละคร As You like It ที่กล่าวว่า “ประดุดังโลกใบนี้คือโรงละคร และ พวกเราก็เป็นตัวละครตัวหนึ่งที่เล่นไปบทบาทที่ ตัวเราเองจะดลบันดาลให้เป็นไป ตามแต่ช่วงขึ้นลงเวทีของเรา

    แต่เธอรู้ไหมว่าชีวิตคืออะไร? อะไร?คือความหมายของชีวิต? คนเราทุกคนนั้นเกิดมาเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต แต่ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้เองก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวเขาว่า เขาจะมองเห็นมันหรือไม่ แล้วเธอล่ะเธอมองเห็นแล้วหรือยัง หรือเธอยังคงที่จะพลาดเป้าไปอีกครั้ง ในขณะที่เธอใช้ชีวิตนั้น เธอกำลังแค่ดำรงอยุ่อย่างให้่หมดๆไปในแต่ล่ะวัน เมื่อความตายกำลังเคลื่อนเข้ามารึเปล่า? แต่นั้นไม่ใช่ชีวิตหรอกเธอว่าไหม?ถ้าเธอคิดว่าชีวิตคือความสุข คือสันติสุข คือความทุกข์ระทม คือ การที่ได้อยู่ในความรัก คือการที่ได้สัมผัสประสบการณ์แห่งสัจจะ คือการให้ได้มาซึ่ง อำนาจ เงินทอง และอีกมากมาย นั้นก็ไม่มีใครพูดได้ว่าความเห็นของเธอนั้นเป็นไปในทางที่ถูกหรือผิด ไม่มีใครตัดสินสิ่งที่เธอทำหรือเป็นได้นอกจากตัวของเธอเอง แต่เธอเคยคิดไหม? ว่าอันที่จริงแล้วนั้นความหมายของชีวิตคืออะไร? สำหรับฉันนั้นฉันคิดว่า ชีวิตก็คือชีวิต ไม่มีอะไรอื่นอีก ฟรีดิช นิชเช่ เคยกล่าวว่า “สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตัวมนุษย์ ก็คือตัวเขาเองไม่ใช่เป้าหมาย แต่ว่าเป็นสะพาน เป็นกระบวณการที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่จุดสุดท้าย แต่เป็นหนทาง เป็นการเดินทาง” เขาพุดได้ถุกต้องทีเดียว ชีวิตคือการเดินทางที่ ไม่ว่าแต่ล่ะก้าวจะเป็นการก้าวเดิน ในแสงสว่างหรือความมืด ในกลางวันหรือกลางคืน ในความหวาดกลัวหรือความกล้า ในสติปัญญาหรือความขลาดเขลา ก็เป็นการก้าวเดินไปโดยไม่มีจุดหมายเพราะ ทุกย่างก้าวนั้นแหละคือจุดมุ่งหมาย ชีวิตคือจุดหมายในตัวของมันอยู่แล้ว ดังนั้นทุกย่างก้าวเหล่านี้จึ่งเป็นทั้งก้าวย่างแรกและสุดท้ายไปในตัว ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เธอตั้งคำถามว่าชีวิตคืออะไร? และ ออกค้นหาเธอก็จะมองไม่เห็น ความหมายของมัน เพราะความกังวลใจ ความทุกข์ อันเกิดจากแรงปราถณานั้นได้พันธนาการเธอ จงอย่าตั้งคำถามว่าชีวิตคืออะไร? ชีวิตเพียงแต่เป็นไป ในแบบที่มันเป็นเท่านั้นเอง
    <O:p
    ในขณะเริ่มแรกที่ฉันฝึกฝนการเดินภาวนา ฉันไม่เคยเข้าใจในสิ่งนี้เลยสักครั้ง? ว่าทำไม?จึ่งเราต้องฝึกการก้าวอย่างเนิบนาบเพื่อไปที่ไหนสักแห่งด้วย แต่เมื่อวันหนึ่งฉันละทิ้งวิธีการต่างๆที่เคยเรียนรุ้ แบบแผนต่างๆที่เคยทราบมาไป และ สร้างประสบการณ์ในแบบของตัวฉันเองขึ้นมา ฉันก็พบว่าที่เราต้องก้าวเดินอย่างเนิบนาบ ก็ด้วยเหตุที่ว่าเป้าหมายของชีวิตก็คือชีวิตนั้นเอง ดังนั้น นี่จึ่งหมายความว่าในแต่ล่ะก้าวที่เราก้าวเดิน แต่ล่ะการกระทำต่างๆที่เราทำไม่ว่าจะเป็นอะไร? นั้นแหละคือชีวิต คือปัจจุบันขณะ เมื่อท่านเว่ยหลาง จะดับขันธ์ มีคนถามท่านว่า “ท่านอาจารย์ท่านกำลังจะไป ณ ที่แห่งใด? สวรรค์ นรก แดนสุขาวดีหรือ อื่นๆ” ท่านเว่ยหลางลืมตาขึ้นและหัวเราะ พร้อมพูดว่า “เจ้าโง่ ข้าจะไปที่ไหนได้เล่า มันมีแต่ที่นี่เดี่ยวนี้เท่านั้น”<O:p></O:p>

    เธอรุ้ไหมในขณะที่เธอถามว่าชีวิตคืออะไร? อะไรคือเป้าหมาย ความพยายามที่จะค้นหาหรือแสวงหา ความหมายให้ชีวิตของเธอ นั้นก็ได้ทำลายความหมายของชีวิตไปจากชีวิต เสียแล้ว เมื่อฉันนั้นเข้าใจว่าชีวิตนั้นปราศจากเป้าหมายที่จะมุ่งไป ฉันก็มองเห้นว่าแล้วจะรีบร้อนไปทำไม?ในเมื่อฉันได้ถึงเป้าหมายแล้ว ฉันไม่ต้องแข่งกับใครอีก ? ไม่มีอะไรให้ไขว่คว้า ? แล้วทำไมฉันถึงต้องปล่อยให้ความมุ่งหมายความปรารถณาผลักดันฉันให้ไปข้างหน้าด้วยเล่า? ชีวิตคือที่นี่เดี่ยวนี้ คือความเป็นเช่นนั้นเอง ชีวิตนั้นจะสะท้อนตัวเองออกมาอย่างเรียบง่ายและชัดเจนเมื่อใดก็ตามที่เธอไม่ไขว่คว้ามัน เมื่อใดก็ตามที่เธอไม่ยึดติดไม่กักตุน ไม่สะสม เมื่อใดก็ตามที่เธอได้คลายมันออก และพร้อมที่จะปล่อยมันไป เมื่อมือของเธอไม่ได้กำแน่น เธอเคยเห็นดอกไม้หรือไม่ ดอกไม้ไม่จำเป็นต้องมีอะไรอื่นอีก เพื่อที่จะเกื้อกูล ขอให้เป็นเพียงดอกไม้ ก็เพียงพอแล้ว มันแค่ดำรงอยู่ของมันเท่านั้นโดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีนามเรียกขานอันใด ไม่จำเป็นต้องมีคำชมว่า งดงามหรือหอมหวน มันยังคงเป็นของมันเช่นนั้นยังคงบานสะพรั่ง สำหรับมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าเธอสามารถเป็นมนุษย์ธรรมดาที่แท้จริงได้ นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการมีชีวิต

    จงเป็นคนธรรมดา แล้วเธอจะทำให้โลกใบนี้นั้นสดชื่นและรื่นเริง เธอไม่จำเป็นต้องแสวงหาผู้วิเศษที่ไหนเพื่อมาสร้างโลกใบนั้น โลกใบที่งดงาม เพราะ เธอคือคนๆนั้น คนที่จะช่วยให้เธอพบสัจจะ ให้เธอก้าวผ่านไป เะอคือคนนั้นคนที่จะเปลี่ยนแปลง เปิดเผยโลกใบนี้ให้งดงามอย่างที่มันเป็น

    เมื่อก่อนในแต่ล่ะก้าวของฉันนั้นถุกความวิตก ความกลัว ความกังวล เหนี่ยวรั้งไว้ ดังนั้นฉันจึ่งพยายามที่จะเดินให้เร็วที่สุดเพื่อหลุดออกไปจากมัน ฉันรู้สึกเบื่อที่จะต้องทำตามแบบแผนขั้นตอน แต่ถ้าไม่ทำฉันก็กลัวว่าฉันจะไม่ได้สิ่งที่มุ่งหวัง มันก็เหมือนกับ การใช้ชีวิตของฉันที่ฉันพยายามที่จะแข่งขันให้เร็วที่สุด แย่งชิงสิ่งต่างๆกับคนอื่น พยายามที่จะไขว่คว้าสิ่งต่างๆที่ฉันคิดว่าจะนำมาซึ่งความสุข คนรอบข้างเห็นว่าดี และนั้นก็ได้ทำให้ความทุกข์นั้นได้เปลี่ยนผ่านเข้ามาบนทางเดินชีวิตของฉัน มันเหมือนกับว่าเส้นทางนั้นโดนปกคลุมไปด้วยความมืด ชีวิตนั้นช่างเหมือนกับว่าเป็นกลางคืนอันยาวนาน ทุกๆวันฉันจะก้าวเดินโดยไม่รู้ว่าจะไปยังที่แห่งใด เมื่อมาถึงที่ที่ฉันคิดว่าคือปลายทาง ที่ฉันอ่อนล้าและคิดว่าจะได้พัก ฉันกับพบว่ามันเป็นเพียงทางแยกไปสู่ทางใหม่ๆอีก ท้องฟ้าที่เคยมีแสง บัดนี้ได้พลันไร้แสงไปเสียแล้ว กระทั้งเมื่อฉันมารู้ตัวอีกที และ มองไปรอบๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันก็คือหัวใจของฉันนั้นพลันหลาดกลัวขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ<O:p></O:p>


    ถ้าเธอเองยังคงเป็นเช่นฉันในตอนนั้น เธอเองคงจะพบว่า คำถามมากมายนั้นได้เริ่มเข้ามาหาเรา ณ จุดนี้ จากนี้ชีวิตเรานั้นจะมีหนทางอื่นอีกไหม? เมื่อไหร่กันนะที่กลางคืนจะสิ้นสุดลง? ทั้งๆที่คนเราก็รู้ว่าโลกนี้ยังมีดวงตะวันอยุ่ แต่กระนั้นเสียงในใจของเราเอง ก็ยังคงดังกังวาลเป็นคำถามว่า แล้วเราจะต้องรอถึงเมื่อไหร่? ดวงตะวันจึ่งจะกลับมาอีกครั้ง หรือ ว่าชีวิตยังคงจะต้องติดอยู่กับความมืดอันดูเหมือนว่าเป็นนิรันดร์เช่นนี้อีกต่อไป?<O:p></O:p>
    แต่เธอรู้ใช่ไหม?ว่า เหตุที่เราแพ้ให้กับความทุกข์เช่นนี้ ไม่ใช่เพราะโชค ชะตากรรมหรืออะไรก็ตาม แต่เพราะตัวเราต่างหากที่ยอมแพ้ให้กับใจของเราเอง เมื่อเรายอมแพ้ให้กับใจของเรา ความหวาดกลัวก็ได้ก้าวเข้ามา กลัวจะสูญเสียสิ่งที่รัก ที่เคยยึดมั่น ความมั่งคั่งและอื่นๆ ดังนั้นความทุกข์จึ่งยังคงเป็นเหมือนกันกลางคืนอันยาวนาน แต่กระนั้นเองก็ไม่มีสิ่งใดที่จะดำรงอยู่เช่นนั้นเป็นนิรันดร์ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะเปลี่ยนแปลงไป โลกนี้ไม่ได้มีแต่กลางคืนเท่านั้นเมื่อเวลายังหมุนผ่านไป กลางวันก็ย่อมต้องมาถึง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เพียงแต่ได้แค่หวังว่า เมื่อแสงสว่างกลับคืนมาอีกครั้ง หนทางแห่งความสุขนั้นคงจะคืนกลับมา อีกครั้ง ความทุกข์ที่เคยมี คงจะไม่ย้อนคืนกลับมาหาหัวใจอันอ่อนแอของเราอีก <O:p></O:p>


    เมื่อฉันเฝ้าสังเกตุสิ่งต่างๆ สิ่งที่ฉันเห็นในรอยเท้าของคนมากมายที่ก้าวเดิน มีเพียงร่องรอยแห่งความกังวล ความเศร้า ความกลัว ความทุกข์ที่ฝากไว้บนพื้นโลก ขณะที่พวกเขาได้เดินผ่านไป เธอเห็นอะไรไหมแม้แต่แค่การเดินเท่านั้นความกังวล ความเศร้า ความกลัว ความทุกข์ ยังตามเธอมาเหมือนดังเงาตามตัวแต่ทำไม?ล่ะ เธอคงรู้ใช่ไหม? ทั้งๆที่โลกใบนี้ช่างงดงาม เต็มไปด้วยเส้นทางหลากสีสัน ที่น่าตื่นเต้น เปลี่ยมไปด้วยปฏิหาริยน์มากมาย แต่ทำไมกัน? ทำไม?คนส่วนใหญ่จึ่งไม่ได้รับรุ้ถึงมันบ้าง อย่างที่ฉันบอกเธอไปนั้นแหละทุกๆวันและเกือบจะทุกๆเวลาในประเทศนี้ รถจะติด ถ้าเป็นรถสาธารณะก็จะแน่นไปด้วยผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวันที่ร้อนอบอ้าว อากาศเย็น หรือ ฝนตกชุ่มช่ำเพียงใดก็ตามผู้คนยังคงจะออกมาเพื่อแข่งขันกันไปที่ไหนสักแห่ง แข่งขันกันทำสิ่งต่างๆ ไขว่คว้าสิ่งต่างๆ แต่ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นอะไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้ก็คือ ผู้คนกำลังแสวงหา หรือ แย่งชิงอะไร?บางอย่างกัน จนนำตัวเองไปผูกติดกับอดีตหรืออนาคต หลงทางไปจากปัจจุบัน เพราะงั้นความทุกข์จึ่งเป็นเหมือนเงาตามตัว ของพวกเขา<O:p></O:p>

    ตรงจุดนี้ทำให้ฉันนึกถึงนิทานเรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยุ่ว่า พระราชาผุ้หนึ่งรุ้สึกว่าตนเองนั้นไม่มีความสุข ดังนั้นพระราชาผู้นั้นจึ่งได้ประกาศหาคนที่รู้วิธีมีความสุขอย่างแท้จริงได้ จนแล้วจนรอดก็ยังหาไม่พบ เพราะขาดตัวพระองค์เองเป็นพระราชายังไม่มีความสุขเลยแล้วใครกันเล่าจะมีความสุขได้ เหล่าขุนนางในราชสำนักรู้สึกเป็นกังวล กับ เรื่องนี้มาพวกเขา รู้ดีว่พระราชามันแต่กังวลและไม่ได้ออกว่าราชการเลย แต่พวกเขาก็ทำอะไร?ไม่ได้ เพราะพวกเขาเองก็ยังมีความทุกข์ พวกเขาเอาแต่ค้นหาตำราต่างๆ จนกระทั้งพวกเขาพบว่ามีอยู่วิธีหนึ่งถุกเขียนไว้ในตำราเก่าแก่ นั้นก็คือการนำเอาเสื้อผ้าของคนมีความสุขมาสวม ว่าแล้วพวกเขาจึ่งทูลพระราชา และ พระราชาจึ่งส่งมหาดเล็กออกไปนำเสื้อของคนที่มีความสุข มหาดเล็กเดินไปทีล่ะบ้านสองบ้านแต่ก้ไม่พบใครเลยที่มีความสุขจริงๆ พวสกเขาเองก็มีความทุกข์ แต่แล้วพวกเขาก็ได้รับคำแนะนำจากชาวบ้านว่ามีชายผู้หนึ่งที่มีแต่ความสุข ทุกคืนเขาจะมาร่ายรำ และ เป่าขลุ่ยที่หลังเขาแห่งหนึ่ง วแล้วมหาดเล็กก็ไปที่นั้น พวกเขาได้ยินเสียงขลุ่ยที่ไพเราะที่สุดเท่าที่เคยได้ยิน มันเป็นเสียงขลุ่ยที่มีแต่คนที่ มีความสุขเท่านั้นที่จะเป่าได้ ในเสียงนั้นปราศจากความกลัวและกังวลใดๆ ว่าแล้วพวกมหาดเล็กจึ่งพุดว่า “ท่านคือความสุขใช่ไหม?” ชายคนนั้นตอบว่า “ ใช่ข้าคือความสุขว่าแต่พวกท่านมีอะไร?รึ” พวกมหาดเล็กจึ่งพุดว่า “พวกข้าขอเสื้อของท่านสักตัวไปให้พระราชาได้หรือไม่” ชายผู้นั้นหัวเราะ แล้วพูดว่า “ ท่านกำลังเข้าใจผิดแล้ว ข้าคือความสุขจริง แต่ข้านั้นไม่สามารถที่จะมองเสื้อให้ท่านได้ เพราะ ข้าไม่มีมัน ตัวข้าเองนั้นไม่มีอะไร? เลยนับจากวันที่ข้าสุญเสียทุกอย่าง และตั้งแต่วันนั้นข้าจึ่งพบว่า ข้าคือความสุข”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ความปราถณาที่จะไขว่คว้า หรือ ครอบครองสิ่งต่างๆ เป็นบ่อเกิดที่สำคัญที่สุดของทุกข์ ความรู้สึกว่าเป็นตัวเธอของเธอ นั้นแหละคือสิ่งนี้ ยกตัวอย่าง ในขณะที่เธอคิดว่าเธอรักใครสักคน และ ต้องการที่จะทำทุกวีถีทางเพื่อให้ได้คนๆนั้นมา ก็ทำให้เกิดทุกข์ ความกลัวจะผิดหวัง จะสุญเสีย ความกลัวที่จะส่งผ่านความรู้สึก ความกลัวที่จะไม่ได้รับการสนองตอบในความรักนั้นๆ กลัวว่าใครสักคนจะมาพรากความรักไปจากเธอ ทั้งที่จริงแล้วความรักนั้นเป็นสิ่งที่งดงาม แต่ความปราถณาที่จะครอบครองมัน ได้ทำลายความรักลง จนความรักกลายเป็นยาพิษไป กลายเป็นสิ่งที่ครอบงำเธอ แต่เธอเคยคิดไหมว่าเธอจะครอบครองความรักได้อย่างไร? ในเมื่อความรักนั้นยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน พระเยซุพูดไว้อย่างชันเจนทีเดียวว่า “ความรักนั้นคือพระเจ้า” เธอเคยเห็นดอกไม้หรือไม่ดอกไม้นั้นจะงดงามที่สุดเมื่อมันบานอยุ่บนต้นของมัน เมื่อมันมีชีวิต แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอไปตัดมันออกมาใส่ในแจกัน ดอกไม้ดอกนั้นก็ได้ตายลง เหี่ยวเฉาลง ดอกไม้นั้นเปรียบได้กับความรักมันเป็นสิ่งที่งดงาม หอมหวน แต่ก็เปราะบาง ดังนั้นความต้องการที่จะครอบครอง เงื่อนไขต่างๆที่ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะครอบงำ แม้เพียงน้อยนิดก็จะพรากการมีชีวิต ลมหายใจ จิตวิญญาณไปจากความรัก <O:p></O:p> พระเยซุพูดได้ถูกต้องทีเดียวว่า "ไม่มีใครที่จะเป็นข้าของนายสองคนได้" ในขณะที่เธอหวังความสุขทางโลก แล้ว เธอยังจะหวังความสุขสงบทางใจได้อย่างไร? ในเมื่อความสุขสงบทางใจนั้นมาจากการละทิ้งสิ่งต่างๆในโลกที่เธอยึดมั่นถือมั่นนี่ มันคล้ายๆกับที่พระพุทธเจ้าว่า "ในขณะที่พระองค์ทิ้งราชบัลลังค์มาแล้วออกแสวงหา พระองค์ก็ได้ทรงกลายเป็นจักรพรรดิแห่งโลกไปเสียแล้ว"
    <O:p> </O:p>
    ของให้เธอจงเฝ้าดู และมองให้เห็นเถอะว่า สิ่งที่เธอเรียกว่ารักแต่ยังมีความรู้สึกอยากจะครอบครองแบบนี้ ก็ยังไม่ใช่ความรักที่แท้จริงๆ มันเป็นเพียงความปราถณาเท่านั้น ความปรารถณาทำให้เกิดการไขว่คว้า และไม่ว่าเธอจะได้มันมาหรือไม่ก็ตามนั้นก็คือความทุกข์ ในขณะที่เธอได้บางสิ่งมา ในไม่ช้าเธอก็จะต้องสูญเสียมันไป นี่คือเรื่องธรรมดา ที่เป็นของมันเช่นนั้นเอง แม้แต่การมีชีวิต เธอเองก็ยังคงพบว่า ในที่สุดแล้วนั้นความตายย่อมมาพรากมันไปจากเธอ การไม่ได้มาซึ่งสิ่งที่เธอต้องการก็ทำให้เกิดความทุกข์ <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    สุลต่านบาร์รามชาม์ผู้ยิ่งใหญ่กำลังยกทัพไปเพื่อจะพิชิตศัตรู กองทัพของเขานั้นมหึมาขนาดที่ว่าสามารถที่จะพิชิตโลกได้ แต่บัดนี้เบื้องหน้านั้น เขาและกองทัพของเขา กำลังเผชิญหน้ากับ ไลคูร์ชายบ้า ผุ้เมามาย ไลคูร์กำลังหัวเราะและเริงระบำ ภายใต้มนตราแห่งท่วงทำนองทันใดนั้นเอง ไลคูร์ก็พูดว่า ระบำนี้แด่ความมืดบอดของสุลต่านบาร์รามชาม์ แด่ความมืดบอดของสุลต่านบาร์รามชาม์” นี่เป็นคำพูดที่ไม่เคยมีใครกล้าพุดกับสุลต่านบาร์รามชาม์ มาก่อน เพราะ สุลต่านบาร์รามชาม์คงจะไม่ปล่อยคนผู้นั้นไว้แน่ๆ มันคล้ายๆกับว่าเขาเป็นผู้ทรงอิทธิผล เป็นมาเฟีย แต่บัดนี้ จังหวะท่วงท่าของไลคูร์กำลังสะกดกองทัพของสุลต่านบาร์รามชาม์ทั้งกองทัพ ภายใต้ความเงียบนั้น สุลต่านบาร์รามชาม์ พุดขึ้นว่า “ท่านผุ้อาวุโสเหตุใดท่านจึ่งกล่าวเช่นนี้ ใครก็พูดว่าข้าสุลต่านบาร์รามชาม์เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นมหาราชผุ้ทรงปัญญา ข้านั้นขยายอณาจักรออกไปกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าผุ้ใด และ ตอนนี้ข้ากำลังจะพิชิตศัตรุอันยิ่งใหญ่ แล้วก็จะพิชิตโลกนี้”

    ไลคูร์ชายบ้าหัวเราะก้องกังวาล แล้วเขาก็พูดว่า “สำหรับข้าแล้ว ท่านนั้นเป็นได้เพียงกษัตริย์โง่เท่านั้น ข้าขอถามท่านว่าหลังจากพิชิตศัตรุ พิชิตโลกแล้ว ยังจะมีอะไร?ให้ท่านพิชิตอีกเล่า? ท่านจะทำอะไร?ต่อ” สุลต่านบาร์รามชาม์ตอบว่า “ข้านั้นก็จะพักผ่อนเมื่อโลกทั้งไปกลายเป็นอณาจักรของข้า กองทัพของข้าก็เช่นกัน เราเดินทางมาไกลก็เพื่อสิ่งนี้” ไลคูร์ชายบ้าหัวเราะก้องกังวาลอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ท่านมันบ้าและมืดบอดไปแล้วจริงๆ กับ เหตุผลโง่เขลาพวกนี้” แล้วหันไปทางกองทัพขนาดมหึมาของสุลต่านบาร์รามชาม์นั้น แล้วพูดว่า “พวกเจ้าเองก็บ้า ที่ใช้ชีวิตไปกับการประหัตประหารใครที่เจ้าไม่รู้จัก ใช้ชีวิตตัวเองเดินเข้าไปหาหลุมศพ ใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือสนองตัญหาของคนบ้า เพื่อกษัตริย์โง่ กลับไปซะ ถ้าพวกเจ้าอยากจะพักผ่อน ก็พอแค่นี้ ดูข้าสิข้ายังไม่เห็นต้องพิชิตโลกเลย ข้ายังพักผ่อนได้ อณาจักรที่แท้จริงนั้นอยุ่ที่ภายใน ในแก่นลึกของการดำรงอยุ่ ที่ตรงนี้เดี่ยวนี้ ไม่ใช่อยุ่ที่ภายนอก ไม่ใช่อยู่ที่อดีตหรืออนาคตจงกลับไป ชัยชนะที่แท้จริงคือการเอาชนะตัวของเจ้าเอง อย่าสร้างบ้านจากไพ่ เลิกไขว่คว้าหาสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริง เลิกบ้ากันได้แล้ว กลับไปซะ” วินาทีนั้นสุลต่านบาร์รามชาม์รู้ในทันทีว่า ชายบ้าผู้นี้ความจริงแล้วนั้นเป็นผู้ทรงปัญญา เป็นชายผู้ซึ่งมองเห็นโลกอย่างแท้จริง ใช่ความจริงแล้วไลคูร์นั้นเป็น ปรมาจารยน์ซูฟี ผู้ยิ่งใหญ่ เข้าเป็นชายที่มองโลกอย่าทะลุปรุโปร่งที่สุด เขาแกล้งบ้าเพื่อหนีจากคำสรรเสริญของผู้คน ฉันคิดว่าเขานั้นช่างเหมือนกับเหล่าจื่อจริงๆ <O:p></O:p>
    สุลต่านบาร์รามชาม์กล่าว“ข้าขออภัยท่านด้วย ข้ารุ้ดีว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นความจริง ท่านพูดได้ถูกต้องข้ากำลังไขว่คว้ารอยเท้าของห่านป่าที่โบยบิน แต่ข้าและกองทัพนั้นมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับไปแล้ว ข้าต้องการชัยชนะ” ไลคูร์ยังคงร่ายรำต่อไป เขายังคงหัวเราะก่อนจะหายไปในความมืด “ระบำนี้แด่ความมืดบอดของสุลต่านบาร์รามชาม์ แด่ความมืดบอดของสุลต่านบาร์รามชาม์”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เธอเห็นอะไรไหม? ไม่ว่าจะยุคสมัยใดผุ้คนล้วนปล่อยให้แรงปรารถณาพาตัวเองก้าวเดินไป แม้นั้นจะเป็นหนทางไปสู่หลุมฝังศพก็ตามที คนมากมายกลัวความตายทั้งที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าความตายคืออะไร? ดังนั้นนี่จึ่งหมายความว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เรากลัวไม่ใช่ความตาย แต่เป็นการหายไปของอัตตาตัวตน ของแรงปรารถณา ของการไขว่คว้า เรากลัวที่จะหายไปเพราะเรารุ้สึกว่าเราไม่ได้อะไร?เลยจากการมีชีวิต ยังมีสิ่งมากมายที่ไม่ได้ทำ ยังมีสิ่งมากมายที่เรายังไขว่คว้าไม่ได้ดังที่ตั้งเป้าหมายไว้ เราไม่พร้อมที่จะตาย ไม่พร้อมที่จะยอมรับและเผชิญหน้ากับมัน เราคาดหวังว่าจะกลับมาเกิดใหม่เพื่อทำสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ คาดหวังที่จะค้นหาวิธีการต่างๆเพื่อเอาชนะความตาย คาดหวังว่าจะมีสิ่งต่างๆที่ภายนอกช่วยไม่ให้เราต้องตาย สิ่งต่างๆที่จะช่วยยืดเวลาให้เรา นี่ก็เป็นรากฐานของความกลัว และ เมื่อใดก็ตามที่มีความกลัว เมื่อนั้นแล้วความกังวลใจก็จะ ตามมาเหมือนเงาตามตัว

    ผุ้รู้คนหนึ่งของชูฟีนาม ราบิย่า ได้พบกับเพื่อนของเธอนามว่าฮัสซัน ในขณะที่ฮัตชันกำลังสวดเพื่อขอให้พระเจ้าเปิดประตูแห่งสรวงสวรรค์ให้เข้าเข้าไป ในวันแรกราบิย่าแค่หัวเราะ ในวันที่ 2 เธอพูดว่า “ฮัสซัน เมื่อไหร่เธอจะมองเห็นเสียที่ว่า ประตุนั้นได้เปิดอยู่แล้ว เธอก็แค่เดินเข้าไปเท่านั้น” เธอมองเห็นอะไร ไหม? ว่าราบิย่ากำลังบอกอะไร? ฮัตซันนั้นกังวลมากเกินไป เขากังวลต่อการร้องขอต่อพระเจ้าของเขา เขากังวลต่อความปราถณาที่จะได้เจอ กังวลต่อการเสาะแสวงหา เขาเอาตัวเองไปผุกติดกับอนาคต สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เขามองไม่เห็นว่าประตูนั้นได้เปิดออกแล้ว สรรพสิ่งนั้นก็ได้เลื่อนไหลไปตามจังหวะของมัน ดอกไม้บาน นกร้องเพลง ฝนตกตามวัฏจักร และอื่นๆ จงอย่าได้กลัวความตายเลย แต่ก็อย่าพยายามกำจัดความกลัวนั้นเจ้าเฝ้าดูความตาย ความกลัวที่มากับความตาย และ ยอมรับมัน ในทุกขณะ ถ้าเธอทำได้ท่านก็จะยอมรับในการมีชีวิตอยุ่ของตัวเธอเองได้ เมื่อนั้นความกลัวจะหายไป พร้อมทั้งความทุกข์ ที่ซี่งความตายและการมีชีวิตได้หลอมรวม ความตายคือเครื่องยืนยันถึงการมีชีวิตของตัวเธอเอง ความตายและการมีชีวิตคือสิ่งเดียวกัน ถ้าเธอกลัวความตายเธอก็กลัวการมีชีวิต กลัวการเผชิญหน้ากับการมีชีวิต ความตายนั้นคือจุดสุงสุดของการมีชีวิต ถ้าชีวิตของเธอคือการตื่นรู้ ความตายก็คือจุดสุงสุดแห่งกการตื่นรู้นั้น ถ้าชีวิตของเธอคือความรัก ความตายก็คือจุดสุงสุดของความรักนั้น<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เมื่อเธอมองมาสันติสุข ฉันขอให้เธอจงอย่าได้เกลียด หรือ พยายามที่จะทำลายความทุกข์ให้หมดไปเลย อย่าที่จะแสวงหาวิธีที่จะกำจัดความทุกข์ อย่าพยายามที่จะต่อสู้ดิ้นรน อย่าพยายามแสวงหาดินแดนบริสุทธิ์ที่ปราศจากความทุกข์เลย แต่จงเฝ้าดูการเกิดขึ้นและสิ้นสุดลงของมันสัมผัสมันให้ได้ว่าเกิดขึ้นมาจากอะไร? ทำให้เกิดอะไรขึ้น? และ สิ้นสุดลงที่ตรงไหน? จากนั้นก็โยนมันทิ้งไป เธอทราบหรือไม่ว่าความทุกข์นั้นเป็นเพื่อนที่แสนดีของเธอ และเธอโชคดีแล้วที่ในชีวิตนั้นมีความทุกข์ เพราะถ้าไม่มีความทุกข์แล้วเธอจะเห็นมรรค ได้อย่างไร? เธอจะสามารถก่อให้เกิดความรักและความเมตตาที่หัวใจของเธอได้อย่างไร? จะก่อให้เกิดความมุ่งมั้นที่จะก้าวเดินได้อย่างไร? ไม่ว่าเธอจะรู้คำสอนจากใครก็ตามมากน้อยเพียงใด ?ไม่ว่าเธอจะอ่านคัมภีร์มามากน้อยเพียงใด? ก็ไม่อาจจะสามารถเทียบได้กลับการเห็นแจ้งในความทุกข์ได้ เมื่อเธอเห็นแจ้งในความทุกข์ มันก็ได้เหมือนกับ ว่าเธอสามารถที่จะชนะความทุกข์ได้แล้ว ความทุกข์ที่เคยมีจะหายไป มันไม่ใช่ความทุกข์อีกต่อไป ซึ่งเธอจะทำแบบนี้ได้ก้ต่อเมื่อเธอมองเห็นว่าความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาเช่นนั้นเอง มีได้เพราะเหตุปัจจัยเช่นนั้นเอง และ ดับลงได้ก็เพราะหนทางแบบนี้เช่นนั้นเอง ชัยชนะที่แท้จริงนั้นไม่ใช่มาจากการต่อสู้ ทำลายล้าง แต่มาจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน การยอมรับตัวตนของตัวเธอเองในแบบที่เธอเป็น<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ในขณะที่เธอมองมาที่ความสุข เธอไม่อาจจะถามคำถามได้ว่าอะไรทำให้เธอมีความสุข ในขณะที่เธอพบคนที่มีสุขภาพดีแล้วเธอก็ถามว่าทำไม? ท่านจึ่งสุขภาพดี เธอจะพบว่ามันเป็นคำถามที่ใช้ไม่ได้ สุขภาพดีนั้นเป็นเรื่องปกติ มันไม่มีสาเหตุ มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆภายนอกเลย มันเป็นเรื่องธรรมดาๆมาก แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอป่วย เธอสามารถไปหาหมอเพื่อถามว่าทำไม?เธอจึ่งเจ็บป่วย ความเจ็บป่วยนั้นเป็นสิ่งที่มีสาเหตุดังนั้นจึ่งสามารถที่จะแก้ไขได้ ความทุกข์ก็เช่นกัน อะไรก็ตามที่มีสาเหตุ มันก็ไม่ใช่ความจริงอะไร สิ่งที่มีเหตุแห่งการตั้งอยุ่ย่อมเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ถ้าเธอมีความสุขเพราะเงิน เพราะยศ เพราะอะไรก็ตาม เธอจะพบว่า นั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เมื่อสิ่งต่างๆเหล่านี้หมดสิ้น หรือ ดับไป ความสุขของเธอก็ไม่อาจจะตั้งอยุ่ได้ ดังนั้นความสุขที่มีสาเหตุจึ่งไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง จึ่งไม่ใช่สันติสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงนั้นจะต้องไม่มีสาเหตุ เป็นสิ่งที่อยู่ภายใน ดังนั้นจึ่งเป็นนิรันดร์ เป็นความว่างที่เงียบสงบ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เมื่อมองเห็นความว่าง เธอก็จะสามารถหลอมรวมสิ่งต่างๆได้ และเมื่อหลอมรวมสิ่งต่างๆความเงียบสงบอันยิ่งใหญ่จะบังเกิด ขึ้นที่ตัวเธอ เมื่อนั้นการเลือกจะหายไป ไม่มีขั่วตรงข้ามใดให้เธอเลือกทำ ยอมรับ หรือตัดสิน เป็นการยอมรับตัวตนของเธอเอง และตระหนักรุ้ว่าจริงแล้วเธอเป็นใคร? นามที่เธอมี นามที่คนรอบข้างเรียกว่าเป็นเธอ อาชีพที่เธอทำ สิ่งที่เธอคิดว่าเธอเป็น นั้นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ การรุ้แจ้งคือ สภาวะที่ความคาดหวังในสิ่งต่างๆมลายหายไป เป็นการสัมผัสแล้ววางทิ้งไป เป็นจุดที่การรุ้แจ้ง นิพพาน เงินทอง พระเจ้า อนาคต อดีต อตามัน ลาภยศ ความรัก และอีกมากมายที่เธอพยายามจะไขว่คว้า ไม่มีความจำเป็นต่อเธอ เป็นห้วงขณะของการตื่นรู้ รู้ตัวพร้อม ปราศจากความคิด เป็นความว่าง ซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกขณะ ทุกสถานที่ ทุกอากัปกริยา ทั้งนี้เพราะการรู้แจ้งนั้นเป็นเรื่องที่อยุ่ภายในตัวของเธอ มันไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก หากแต่บังเกิดขึ้นที่ภายใน เป็นการมองมาตรงๆถึงธรรมชาติแท้แห่งตน ที่ถูกเมฆหมอกแห่งความคิดบดบังไว้ <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ขอเธอจงฟังสิ่งต่อไปนี้ให้ดีๆ ฉันขอให้เธอลองสลัดทิ้งความคิดดุ เพราะจิตที่ชอบคิดนั้นจะนำมาซึ่งความทุกข์ มันทำให้เธอพลาดจากปัจจุบันไปอยุ่กับอดีตและอนาคต เธอลองมองไปที่สิ่งต่างๆสิ ถ้าเธอสังเกตุดูเอจะพบว่า ความคิดมากมายได้ปรากฏออกมา เธอเคยเห็นสิ่งนี้เมื่อตอนนี้ตอนนั้น อนาคตเธอจะต้องมีสิ่งนี้ และอีกมากมาย เธอเห็นอะไร?ไหม? ว่าความคิดนั้นลวงเราไปแค่ไหนกัน ความคิดนั้นเป็นผลพวงมาจากการสะสมถ้อยคำในอดีต คำๆหนึ่งนำไปสุ่คำอีกคำหนึ่งเป็นเช่นนี้ การสลัดทิ้งความคิดความจริงก็คือการสลัดทิ้งถ้อยคำ เมื่อเธอสลัดทิ้งถ้อยคำ โลกทั้งใบก็จะอันตธานหายไป<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    วิธีหนึ่งในการฝึกฝนในการสลัดทิ้งความคิด ก็คือการก้าวเดินช้าๆด้วยวีธีของตัวเธอเอง โดยแต่ละก้าวของเธอไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหนก็ตาม จะต้องผ่อนคลาย เธอจะต้องวางลงสิ่งต่างๆ หน้าที่การงาน เป้าหมาย ความรัก ความโกรธ ความกังวล ความดี ความชั่ว แล้วไปหยุดอยู่ที่ลมหายใจช้าๆทุกขณะ แต่ละก้าวจะต้องมั้นคง และ ไม่คำนึงว่าเธอกำลังจะไปที่ใด? หรือ ทำอะไร? หัวใจของการฝึกแบบนี้ก็คือ เธอจะต้องร็ซึ่งความจงใจ เหมือนที่เหล่าจื่อกล่าวว่า “จงกระทำสิ่งต่างๆให้เหมือนเธอไม่ได้กระทำอะไร?เลย” กำหนดสติของเธอให้อยู่ที่แต่ล่ะก้าวและลมหายใจเข้าออกแต่ล่ะครั้งของเธอเท่านั้น แล้วเธอจะมองเห็นว่าที่ผ่านเธอแบกอะไร?ไว้บ้าง ฉันคิดว่าอากาศในตอนเช้าตรู่ และ ยามค่ำนั้น มักที่จะเย็นสะอาด สดชื่นกว่ายามอื่นๆซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการหายใจมากที่สุด ดังนั้นเออาจจะอาสัยช่วงเวลานี้ในการฝึกก็ได้ วิธีเชื่อมประสานลมหายใจและการก้าวเดินแบบนี้ ไม่ใช่วิธีปฏิบัติที่ยากเย็นอะไร? มันไม่มีขั้นตอนว่าเธอจะต้องทำอะไรบ้าง? มีเพียงการตระหนักรู้ให้ได้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่เท่านั้น เช่น ในขณะที่เธอกำลังหายใจสั่นๆเธอก็แค่ต้องรุ้ว่าเธอกำลังหายใจสั้นๆ เท่านั้นก้เพียงพอแล้ว

    ในการกำหนดรู้เธอ อาจจะอาศัยวลีใดวลีหนึ่งมาช่วยก็ได้ เช่น ถ้าจังหวะการหายใจของเธอเป็น 3-3 เธอก็อาจจะภาวนาด้วยวลีว่า” ดอกบัวบาน จากเท้าแต่ล่ะก้าว” ปลดปล่อยให้เชาว์ปัญญาของเธอทำงานและนำทางเธอนี่คือช่วงเวลาแห่งการตื่นรู้ แทนที่จะอาศัยปรีชาญาณความนึกคิดแบบที่เธอคุ้นเคย ถ้าจิตของเธอเต็มไปด้วยความนึกคิด เธอก็ไม่จำเป็นต้องไปบังคับมัน ปล่อยให้มันวิ่งไปทางนั้นทางนี้ แล้วมันจะอ่อนล้าไปเอง ความสงบจะค่อยเคลื่อนเข้ามา เธอจะรุ้สึกถึงช่องว่างระหว่างถ้อยคำที่จบไปกับที่กำลังจะเกิดขึ้นมา เธอจะเห็นความเป็นจริงอย่างชัดเจนและสว่างไสว ในความว่างนั้นเชาว์ปัญญาจะทำให้การเคลื่อนไหวและชีพจรของเธอเคลื่อนไปในจังหวะเดียว กันกับท่วงทำนองของจักรวาล ณ จุดนั้นฉันอยากให้เธอลองยิ้มน้อยๆดู แบ่งปันโลกที่ตอนนี้เธอพบแล้วว่าแสนมหัสจรรย์เต็มไปด้วยสีสัน ความมีชีวิตชีวา ความน่าประหลาดใจออกไป การทำเช่นนี้คือศิลปะของการมีชีวิตอย่างแท้จริง<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>

    การยิ้มน้อยๆนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นผลผลิต จาก การมีสติและสันติสุขเท่านั้นมันยังมีผลในการหล่อเลี้ยงและรักษาสติด้วย เมื่อเธอยิ้มลองสังเกตุดูรอบข้างของเธอให้ดีๆ แล้วเธอจะพบว่าเมื่อเธอยิ้มโลกก็พลันหมุนเร็วขึ้น สรรพสิ่งก็เริงระบำไปกับเธอ เธอได้แบ่งปันความรักของเธอไปยังทุกๆสิ่ง คนรอบข้างเธอได้พบสันติสุขที่มาจากรอยยิ้มของเธอ และ เขาก็จะส่งผ่าน รอยยิ้มเหล่านี้ไปยังสรรพสิ่งเช่นกัน นี่คือการมีชีวิตอย่างแท้จริง นี่คือการมีชีวิตเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อเสียสละให้ใคร ให้รัฐ ให้ศาสนา ให้พระเป็นเจ้า ให้อุดคคติต่างๆ เธอยิ้ม เพราะเธออยากที่จะยิ้ม เพื่อตัวเธอเอง แต่ไม่ได้ยิ้มเพราะอยากให้คนอื่นยิ้มตาม หรือ ชมชอบในตัวเธอ เมื่อเธอยิ้มคนอื่นก้จะได้รับความสุขนั้นด้วยตัวเขาเอง และเขาก็จะยิ้มเพื่อตัวเขาเองเพราะเขาได้มีประสบการณ์ในการเห็นความสุขของเธอดังนั้นเขาจึ่งรู้ว่าเขาเองก็เป็นเช่นนี้แบบเธอได้ เขามีสิ่งนี้อยุ่แล้ว และนั้นก็หมายความว่าเขาได้ยิ้มเพื่อคนอื่นๆ เพื่อสรรพสิ่งแล้ว ทั้งที่ ไม่มีแรงปราถณาใดเป็นแบบแผนว่าจะทำเช่นนั้น คนที่มีชีวิตเพื่อตัวเองได้ย่อมมีชีวิตเพื่อผู้อื่นได้ การดุแลความสุขของตัวเธอเอง การพักผ่อน และ ปล่อยวาง จะทำให้เธอเข้าใจความสุขที่แท้จริง ดังนั้นเธอจึ่งช่วยชี้ทางให้คนอื่นเห็นในสิ่งที่เธอเห็นนี้ได้ เพราะเธอเข้าใจแล้ว ผ่านประสบการณ์ของเธอ ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นมีอยู่แล้ว ที่นี่เดี๋ยวนี้ เธอคือความสุขนั้น และ และความสุขนั้นของเธอก็ดำรงอยู่ได้ท่ามกลางมหาสมุทรแห่งความสุขด้วยกันเท่านั้น ดังนั้นเธอจึ่งยิ้มเพื่อตัวเธอเอง เมื่อมวลดอกไม้ทั้งป่าเบ่งบาน ป่าทั้งป่าก็เริงระบำ

    หากเธอต้องการอยู่ร่วมกับคนอีกคนหนึ่งอย่างมีความสุข สิ่งหนึ่งที่เธอจะต้องเข้าใจ นั้นคือความเป็นเช่นนั้นของเขา ซึ่งก็รวมไปถึงความเป็นเช่นนั้นของตัวเราด้วย เมื่อใดที่เธอมองเห็นสิ่งนั้น เธอก็จะสามารถอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างมีสันติและมีความสุขโดยไม่มีปัญหาใดๆ

    นี้คือ สิ่งเล็กๆเท่านั้นที่ความเป็นเช่นนั้นเองหยิบยื่นมาให้กับชีวิต เธออาจจะคิดว่า ชีวิตก็แค่การเดินทางเติบโตขึ้น และ เปลี่ยนผ่านไป ยังหลุมฝั่งศพในปั้นปลาย แต่นั้นไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตหรอก ชีวิตคือ การเจริญพัฒนาซึ่งมาจากการเรียนรู้ประสบการณ์ความเป็นทั้งหมด ไม่ใช่การเติบใหญ่ ฉันไม่ทราบว่า เธอมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ตรงจุดนี้หรือไม่ ถ้าเธอเห็นเธอจะรู้ว่า ชีวิตนั้นคือปฏิหาริย์ แต่เป็นที่น่าเศร้านักที่มีคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เห็น มีคนเพียงเล็กน้อยจริงๆที่เห็นว่า ชีวิตคือการเจริญพัฒนาไหลเลื่อนไปยังรากฐานของการดำรงอยู่อันเป็นนิรันดร์ เมื่อเธอเดินห่างออกมาจากความตาย ไม่ใช่เดินเข้าหาความตาย ซึ่งความตายนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เท่านั้น นั้นคือมายาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เรารู้เธอว่าไหม


    การตระหนักรุ้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร? คือความลับของการมีชีวิต การมุ่งความสนใจมาที่ปัจจุบันขณะนั้นจะทำให้เธอสามารถที่จะสลัดทิ้ง สิ่งต่างๆที่เธอแบกมาตลอดชีวิตลงได้ หากทำได้เช่นนี้เธอจะสามารถมองโลกนี้ด้วยความรักอันเต็มเปลี่ยมได้ พระเยซูมักพูดว่าจงศรัทธาในพระเจ้าของท่านสุดความคิดสุดกำลัง ฉันคิดว่าคำว่าศรัทธาของพระเยซุนั้นหมายถึง ความไว้วางใจในชีวิตของตัวเราเองพระเยซุพูดเสมอๆว่า ถ้าเธอมีศรัทธาแม้แต่ภูเขาเธอก็สามารถสั่งให้มันลอยไปในทะเลได้ และนั้นก็คือขั้นแรกของการมีสติอยุ่กับปัจจุบันขณะนั้นเอง การมีสติกับปัจจุบันนั้นต้องอาศัยความไว้วางใจในชีวิตเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเธอไม่อาจจะวางใจในชีวิต เธอก็จะมองมาที่วันวาน หรือ วันพรุ่งนี้ เธอจะกลัวที่จะต้องเผชิญหน้า กับ สิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นและพยายามที่จะหนีไปยังที่ไหนสักแห่ง ไปยังขั้วสภาวะตรงข้ามที่เธอคิดว่ามันได้ขาดหายจากไป ดังนั้นเธอจึ่งไม่อาจจะกำหนดสติให้มาหยุดลงที่ปัจจุบันได้ แต่เธอจะวางใจในชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อเธอเห็นชีวิตในแบบที่มันเป็น เห็นชีวิตในแง่มุมที่เป็นความเห็นที่ถูกต้อง นี่คิอปัญญา เมื่อเธอเห็นเช่นนั้นเธอก็จะสามารถวางใจในชีวิตได้จริงๆ เธอจะสามารถสั่งให้ภูเขาแห่งความยึดมั่นถือมั่นนั้นเคลื่อนไปได้จริงๆ

    การสลัดทิ้งความคิดนั้นอันที่จริงแล้วก็คือ การวางเฉยต่อความคิดนั้นเอง การวางเฉยต่อความคิดคือการเฝ้าดูความคิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ไปยุ่งกับมันเพียงแค่ เฝ้าดู สัมผัส และ จากไปเท่านั้น ในการฝึกเซน วิธีการหนึ่ง ก็คือการฝึก” ซะเซน” เพียงแต่เธอแค่นั่งลงอย่างจริงๆ เท่านั้น โดยไม่ทำอะไรเลย แม้แต่การสวดมนต์ เฝ้าสังเกตุดุแล้วเธอจะพบว่า บางสิ่งบางอย่าง จะเกิดขึ้นเอง จะผ่านเข้ามาเอง ตามทางของมัน เธอไม่จำเป็นต้องไปตามหามัน ในความเงียบสงบนั้น เธอก็จะผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่ เพียงแค่นั่งเท่านั้นฤดูใบไม้ผลิก็จะมาถึง ต้นหญ้าอันเขียวขจีจะเติบโตอย่างสงบเงียบ ด้วยตัวของมันเองถ้าเธอเมื่อยล้า ก็ให้เธอเอนกายลง ถ้าขาเริ่มตึงก้ให้เธอเหยียดมันออก แต่เธอจะต้องคงความเป็นธรรมชาติไว้<O:p></O:p>

    <O:p> </O:p>
    มีสิ่งหนึ่งที่เธอจะต้องตระหนักรู้เมื่อเธอเฝ้าสังเกตุความคิดก็คือ จงอย่ารับสิ่งหนึ่งและล่ะทิ้งสิ่งหนึ่ง ถ้าเธอกำลังนึกคิดถึงสัจจะธรรม การมีชีวิต เธอก็มักจะนึกถึงความดีงาม เธอมักจะเปรียบมันกับสิ่งที่สวยงาม อุดมคติต่างๆ แต่เธอรู้ไหม?การทำเช่นนี้นั้นได้บดบังธรรมชาติแท้ของเธอลงไปเสียแล้ว ลองฟังเรื่องนี้ดู<O:p></O:p>
    นานมาแล้ว

    มีนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งได้ประดิษฐ์เครื่องดุจิต อันเป็นเครื่องมือที่ใช้สะท้อนสิ่งที่คนเป็น เขานำมันมาขาย และพบว่ายอดขายไปได้ไม่ดีนัก มีคนเพียงจำนวนหนึ่งที่ซื้อมัน แต่เขาไม่ได้เอามันไปใช้กับตัวเองนั้นแหละคือปัญหา สามีซื้อเพื่อเอาไปใช้กับภรรยา พ่อแม่ซื้อเพื่อเอาไปใช้กับลุก ดังนั้นเขาจึ่งต้องทบทวนมันใหม่และแล้วเขาก็เลิกประดิษฐมันเพิ่ม และ หันไปสร้างเครื่องดูจิตรุ่นใหม่ อันเป็นอันเป็นเครื่องมือที่ใช้สะท้อนสิ่งที่คนอยากจะเห็นตัวเองเป็น ผลก็คือยอดขายของเขามีมากมายจนผลิตไม่ทัน และ เขาก็กลายเป็นเศรษฐี <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เรื่องเล่านี้ชี้ให้เห็นสิ่งหนึ่ง นั้นก็คือคนเราไม่ต้องการจะเห็นตัวเราเองเหมือนที่เราเป็น การเคลื่อนไปยังภายใน ผ่านการฝึกภาวนา นั้นจะทำให้คนเราได้เห็นในสิ่งที่เราเป็น และตรงจุดนั้นเธอจะเริ่มกลัวตัวเอง และ เริ่มหนีเธอจะไม่ยอมที่จะเคลื่อนไปยังที่ว่างข้างในในส่วนที่ลึกที่สุดของแก่นแท้ในการดำรงอยู่ของเธอ ที่ซึ่งตัวตนของเธอจะเผยออกมาหมด เพราะเธอกลัวว่า ภาพที่เธอคิดไว้เกี่ยวกับตัวเองจะแตกออก อุดมคติต่างๆจะหายไป และ สิ่งที่เป็นจริงอีกส่วนหนึ่งที่เธอเก็บไว้จะเปิดเผยออกมา สิ่งที่เป็นความโกรธ เป็นความเกลียดชัง เป็นนรกที่อยุ่ภายใน เป็นความมืดในอีกด้านของตัวเธอ

    ฉันนึกถึงคำพูดหนึ่งในศาสนาพุทธคำพูดว่า“บัวเกิดจากโคลนตม” บัวนั้นเป็นดอกไม้ที่สื่อถึงความบริสุทธิ์ โพธิปัญญา แต่ถึง จะเป็นเช่นนั้นบัวก็มีรากบานมาจากโคลนตมเช่นกัน ความโลภ ความโง่เขลา ความโกรธ ความเกลียด ความทะยานอยาก นั้นเป็นรากฐานอีกครึ่งหนึ่งของเราทุกคน มันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติแท้แห่งตน และ นี่คือสาเหตุว่าทำไม? บัวจึ่งกลายมาเป็นดอกไม้ประจำศาสนาพุทธ ในขณะที่เธอตระหนักว่าเธอนั้นเป็นคนเห็นแก่ตัว เธอก็จะพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อที่จะพิสุตรว่าเธอไม่ได้เป็นเช่นนี้ เธออาจจะไปตามวัด ตามสุเหร่า ตามโบรถ์ ตามมูลนิธิ เพื่อบริจาค พยายามส่งผ่านความเห็นแก่ตัวไปยังงานของตน เพื่อปลอบใจตัวเองว่าเธอไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่อันที่จริงแล้วสิ่งต่างๆเหล่านี้นั้นก็ไม่มีวันที่จะหายไปได้จริงๆหรอก มันยังคงซ่อนอยุ่ลึกๆในใจเธอนั้นเอง <O:p></O:p>

    <O:p> </O:p>
    ครั้งหนึ่งขงจื่อเคยถามเหล่าจื่อว่า “จริยธรรมคืออะไร?” เหล่าจื่อตอบว่า “จงอย่างพยายามแสวงหาความหมายของจริยธรรมหรือขัดเกลาเลยของแบบนี้หาได้มีอยู่จริงๆไม่ นี่คือคำถามที่โง่เขลา เมื่อใดก็ตามที่คนเรารู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นคนไม่มีจริยธรรมพวกเขาก็จะพยายามแสวงหามัน จงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ” นี่คือการมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง จงหลอมรวมสิ่งเหล่านี้ แล้วเธอจะพบว่าขั้วตรงข้ามทั้ง2นี้เป็นเพียงมายาภาพแห่งความนึกคิดเท่านั้น ติช นาร์ ฮัทห์ มักพุดเสมอๆเมื่อต้องสอนศิษย์ว่า “จงลืมตาตื่นขึ้นต่อสถานการณ์ที่เป็นจริงในโลก แทนที่จะหลับตาลง หากเธอไม่อาจแลเห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นที่เบื้องหน้าและรอบกายของเธอ แล้ว เธอจะคาดหวังให้แลเห็นธรรมชาติแท้ของตัวเธอเองได้อย่างไร? เธอจะเห็นธรรมรัตนะ พุทธะ ในตัวเธอได้อย่างไร? ความอดอยาก การไล่ตามความมั่งคั่ง อำนาจ ความดีงาม เหล่านี้หาได้แยกขาดไปจากธรรมชาติแท้ของเธอไม่”<O:p></O:p>

    ทั้งหมดนี้นั้นที่ ติช นาร์ ฮัทห์กล่าวมา ถ้าเธอเข้าใจเธอจะพบว่ามันจะต้องมาจากพื้นฐานของความมีสติ อันเป็นปาฏิหาริย์ที่เริ่มต้นจาก “ลมหายใจ” ของเธอ ทุกครั้งที่เกิดอารมณ์ที่ไม่ดี เช่น โกรธ เกลียด การกลับมาอยู่กับลมหายใจ ตามรู้การเคลื่อนไหวที่เข้าและออกเท่านั้นโดยไม่ต้องพูดหรือทำสิ่งใด จะช่วยให้ให้พลังแห่งสติโอบรัดความรู้สึกที่ไม่ดีนั้นไว้เสมือนแม่โอบกอดลูกน้อย เมื่อฝึกฝนบ่อยขึ้น พลังแห่งสติของเธอจะแข็งแรงขึ้น และอารมณ์ที่ไม่ดีต่าง ๆ ก็จะเกิดได้ยากขึ้นหรือมีพลังลดน้อยลง

    การมองในมุมมองแบบนี้จะ ช่วยให้เธอ ตระหนักรู้ถึงความสามารถในการแปรเปลี่ยนความทุกข์ของตนเอง ทำให้เธอเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น พึ่งคนอื่นและสิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกน้อยลง ทั้งเธอยังอาจจะเป็นที่พึ่งพิงแก่บุคคลอื่นได้ด้วย สำหรับการสร้างสุขในทุกขณะนั้น ลมหายใจเป็นเครื่องมือเดียวที่ช่วยนำกายและใจกลับมาอยู่รวมกันได้ และตรงจุด นั่นเองที่เธอจะเรียกมันได้เต็มปาก ว่าธรรมชาติแท้แห่งตน เมื่อเธอสามารถข้ามพ้นการเวลา การคิดอันเป็นผลพวงการสะสมของอดีต และตระหนักว่าเวลาเดียวที่เธอนั้นเป็นเจ้าของคือปัจจุบันขณะ

    เมื่อเธอมีความสุขกับการตระหนักรู้ด้วยลมหายใจได้ เธอจะสามารถเฝ้ามองดูสิ่งต่างๆ มองอย่างลึกซึ้ง เห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง สิ่งที่เธอนั้นกระทำลงไปย่อมมีผลต่อผู้อื่นหรือโลกใบนี้ และสิ่งนั้นจะคืนกลับมาสู่เธอทางใดทางหนึ่งเสมอ ดังนั้นความเข้าใจเช่นนี้จะทำให้เธอเกิดความรักที่แท้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยไม่มีการแบ่งแยก นอกจากนี้แล้วเธอยังสามารถฟังอย่างลึกซึ้ง เมื่อมีสติตามรู้ลมหายใจเพื่อให้จิตนิ่งเพียงพอที่จะได้ยินเสียงและความต้องการภายในของเธอ ไม่ใช่การกลบเกลื่อนหรือปกปิดความรู้สึกในใจเอาไว้ ด้วยการหันเหไปทำอย่างอื่น เช่น ดูหนังเพื่อคลายเหงา

    การฟังอย่างลึกซึ้ง จะช่วยเปิดหัวใจ โดยไม่มีข้อโต้แย้งหรือคำแนะนำใด ๆ ในใจ ฟังให้ลึกซึ้งจนเสมือนว่าความทุกข์นั้นแม้ว่าจะเป็นของผู้อื่นก็ยัง เป็นดั่งความทุกข์ของเธอเอง การฟังอย่างตั้งใจนี้ก็เพื่อแบ่งเบาความทุกข์ในใจของผู้อื่น ทำให้ ความทุกข์ของเขาก็ได้รับการปลดเปลื้องไปแล้วกว่าครึ่ง แม้ว่าเธอยังไม่ได้ให้คำแนะนำใด ๆ เลยก็ตาม

    การมีสตินั้นเป็น ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตแบบผู้รู้แจ้ง มีแต่ผู้รู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถเป็นเจ้าของชีวิตและมีความสุขอย่างแท้จริงได้ การกลับมาอยู่กับลมหายใจเปรียบเสมือนจุดเริ่มต้น ของความสุขสงบที่แท้จริง เพราะทั้งกายและใจอยู่ในสภาวะที่ไร้ความเครียดโดยสิ้นเชิง

    สันติสุขนั้นมาจากอิสรภาพ แต่อิสรภาพนั้นไม่ใช่สิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอก ไม่ใช่เรื่องการหลุดพ้นไปจากการครอบงำของรัฐ ของสังคม ศาสนา หรือของใครก็ตาม แต่มาจากการที่เธอสามารถอยู่กับปัจจุบันขณะได้ ความนึกคิดของเธอเป็นผลพวงมาจากอดีต ในขณะที่ความทะยานอยากนั้นเป็นผลพวงมาจากการตามหาอนาคต และการที่ผู้คนมีความทะยานอยากเพื่อที่จะไปสู่สิ่งใหม่นั้น ก็เพราะ พวกเขาพยายามที่จะปกปิดความทุกข์ยากเอาไว้ พวกเธอมักคิดว่าอนาคตเต็มไปด้วยความคาดหวังดังนั้นเอจึ่งมักจะหนีจากปัจจุบันไปยังอนาคต เธอมักจะพูดว่าวันพรุ่งนี้ต้องดีกว่า วันพรุ่งนี้เธอจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ อนาคตเธอจะได้สิ่งนี้สิ่งนั้นเป็นต้น แต่พวกเธอที่รักของฉัน พวกเธอรู้หรือไม่ว่า ไม่มีใครสักคนหรอกที่มีวันพรุ่งนี้ เรานั้นมีแต่วันนี้เดี๋ยวนี้เท่านั้น เมื่อวันพรุ่งนี้เปลี่ยนผ่านเข้ามาหาเธอมันก็ได้กลายไปเป็นวันนี้เสียแล้ว อดีตเป็นเพียงความทรงจำของเธอ สิ่งที่มีอยุ่จริงคือปัจจุบันนี้เท่านั้น ดังนั้นความหวังจึ่งไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในอนาคตหรืออดีตแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในปัจจุบันนี้เท่านั้น <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    การผูกติดกับอดีตเป็นสิ่งที่นำพาความทุกข์เข้ามาสุ่เธอ เนื่องด้วยชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ต้องสดใหม่เสมอๆ ความรุ้เป็นผลพวงมาจากอดีต และเป็นตัวขวางกั้นสิ่งใหม่ๆเสมอๆ แต่ความไม่รุ้นั้นในบางมุมก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งนักเนื่องด้วยว่า ความไม่รู้นั้นทำให้คนเราเปิดรับเอาสิ่งใหม่เข้ามาในชีวิต เป็นการมองดูให้กระจ่าง ทะลายความยึดมั่นถือมั่นในความรู้ ความนึกคิดลง และ ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากความรู้ได้ นี่คือหนทางของความไร้เดียงสา เหมือนเด็กๆ และ นี่คือสาเหตุให้โซคราตีส พูดว่า “เมื่อข้านั้นยังเด็กข้านั้นคิดว่าตัวเองรอบรุ้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้เมื่อข้านั้นชราข้ากับพบว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย” ถ้าเธอเคยอ่านคัมภีร์ไบเบิลเธอจะพบว่า ศาสนาคริสต์นั้นได้ให้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งและกว้างขวางว่า ทำไมมนุษย์จึ่งตกต่ำเพราะความรู้ เหตุผลหลักนั้นก็คือความรุ้ ได้แบ่งแยกสิ่งต่างๆ สร้างระยะห่างระหว่าง “ความเป็นเรา” กับ “ความเป็นเขา” แยก“ผู้รู้” ออกจาก“สิ่งที่ถูกรู้” แยก“ผู้สังเกตุ” ออกจาก “ผุ้ถุกสังเกตุ” ดังนั้นในบางครั้งยิ่งรู้มาก ก็ยิ่งเข้าถึงความเป็นหนึ่งได้ยากขึ้นเท่านั้น พระเยซุมักจะพุดเสมอๆว่า “ผู้ใดก็ตามที่เป็นเช่นเด็กไร้เดียงสา คนผู้นั้นก็เข้าใกล้แผ่นดินของพระเจ้ามากที่สุด” กฤษณมูรติเองก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ เขากล่าวว่า “การลบทิ้งนำมาซึ่งสิ่งที่นิ่งและสงบ” คำว่าลบทิ้งนั้นหมายถึงอะไร? นะหรือ ก็หมายความว่า ลบความคิดต่างๆ ความรู้ที่เป็นผลพวงของการสะสมในอดีตของเธอ เพื่อที่ว่าเธอจะได้มีช่องว่างในตัวเธอ เพื่อปรับเข้าหาสิ่งใหม่ๆได้ สิ่งที่เธอจะต้องเข้าใจเมื่อฉันพูดว่าเธอต้องลบความรุ้เดิม นั้นไม่ใด้หมายถึง การลบความรุ้เดิมเพื่อเปิดทางให้ความรู้ใหม่ได้เข้ามา แต่เป็นการมองดูจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดไปของความคิดนั้นให้กระจ่าง ถ้าเธอลองดูเธอจะพบว่านี่คือช่วงเวลาแห่งความเงียบสงบ ปิติสุขที่เกิดขึ้นกับเธอ เป็นช่วงเวลาที่เธอพร้อมเผชิญหน้ากับทุกๆสิ่ง แม้ความตาย ช่วงเวลาที่เธอจะได้มองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างลึกซึ้งอย่างที่มันเป็น หยั่งลงไปในรากลึกของเธอว่า ความรู้ได้สร้างระยะห่างและการแบ่งแยกในตัวเธอขึ้นมาแค่ไหน? นี่เองทีเรียกว่าสภาวะจิตว่าง สภาวะสูญญตาที่ซึ่งความเป็นนิรันดร์อยุ่ที่นั้น ที่ซึ้งไม่มีสิ่งใดๆให้ถูกรบกวน ไม่มีสัจจะความจริงใดๆให้ถูกบิดเบือนอีกต่อไป<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ความเป็นนิรันดร์นั้นเป็นปัจจุบันเสมอ คำว่า “เดี๋ยวนี้” เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นนิรันดร์ ไม่ใช่กาลเวลา จงปล่อยวาง ราวกับใบไม้ที่ไหลไปตามกระแสน้ำ ตรงจุดนี้ทำให้ฉันนึกถึงคำพูดในกลอนไฮกุของท่าน บาโช ว่า “เมื่อสายฟ้านั้นแลบขึ้นมา น่ายกย่องผุ้ที่ไม่ได้มองว่า ชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่หายวับไปกับตา รุ่งอรุณของวันใหม่ ในไม่ช้าพลบค่ำก็ตามมา อนิจจาชีวิตเป็นดังน้ำค้าง ทว่ายอดผักบุ้งที่ทอดยาวอยู่ หาได้ทุกข์ร้อนอันใดไม่ ยังคงออกดอกอยุ่ร่ำไป ในชีวิตแสนสั้นอันสมบรูณ์นี้” ฉันไม่ทราบว่าพวกเธอมองเห็นความงาม ในคำกล่าวเหล่านี้หรือเปล่า ? นี่คือการละทิ้งสิ่งต่างๆออกไป นี่เป็นการผ่อนคลายอย่างที่สุด เป็นที่สุดแห่งการปล่อยวางที่ซึ่ง นิพพาน สวรรค์ แผ่นดินพระเจ้า จิตวิญญาณของเธอ การรุ้แจ้งของเธอยังถูกทิ้งไป เป็นการมองเข้ามาตรงๆที่ข้างในของเธอว่าสิ่งนี้คืออะไร? นี่คือสาเหตุที่ ท่านเว่ยหลางพูดว่า “หากข้าพบพระพุทธเจ้า หรือ ท่านโพธิธรรม ระหว่างทางข้าจะฆ่าท่านทั้ง 2 ทิ้ง” <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    สำหรับคำพุดนี้นั้นความจริงก็มีความหมายเดียวกับที่ ท่านสวนเฉียง พูดว่า “ในที่ของเรานี้ไม่มีความจริงแท้อันใดจะบอกท่าน หน้าที่ของเรา คือการยกภาระอันหนักอึ้งที่อยุ่บนหลังท่านออกไปและทำให้มันเบาลง ภารกิจของเราคือการทำลายสิ่งที่ผูกมัดต่างๆที่ทำให้ท่านปราศจากอิสรภาพ และ ฆ่าทุกสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างตัวท่านกับท่านเอง”

    การวางสิ่งต่างที่เคยยึดมั่นถือมั่น วางลงซึ่งอัตตาตัวตน นั้นคือแก่นแท้ของศาสนาทุกศาสนา เป็นการสะท้อนที่แสนสงบ คล้ายกับผืนน้ำในทะเลที่ปราศจากคลื่น จนสามารถสะท้อนเงาจันทร์ได้อย่างดี ความสงบไม่ใช่การบังคับจิตให้นิ่ง แต่เป็นการเฝ้าดุ แล้ววางลง เมื่อวางลงเธอก็สามารถมองเห็นจิตเดิมแท้ของเธอที่ยังไม่ถูกความนึกคิดเข้ามาปรุงแต่ง เห็นธรรมชาติแท้ของทุกสิ่งว่าคือความว่างสรรพสิ่ง มิได้ดำรงอยู่แม้เพียงชั่วขณะเดียว เป็นเพียงภาพมายาแห่งความยึดมั่นถือมั่น มองให้เห็นถึงสิ่งนี้ มองมาที่สิ่งที่เธอเคยมองเห็นแต่ตอนนี้มองไม่เห็น สิ่งที่เธอรุ้ว่ามันคืออะไร?แต่หาถ้อยคำมาอธิบายไม่ได้ สิ่งที่เธอพยายามมาชั่วชีวิต คลำทางในความมืดเพื่อค้นหาแต่หาไม่พบเพราะความปราถนาที่จะพบนั้นได้กลายเป็นกำแพงขวางกั้นเธอไว้ หากเธอไม่ค้นหามัน เธอก็จะมองเห็นมันว่ามันอยู่กับเธอเสมอมี และ เธอไม่เคยเสียมันไป ถ้าเธอสามารถมีสติอยุ่กับปัจจุบันได้ ในความเงียบนั้น อิสรภาพจะอยุ่ที่นั้น ความรู้สึกว่ามีตัวเธอของเธอจะหายไป ณ จุดนั้น เธอจะมองเห็นท้องฟ้ากว้างที่ว่างเปล่า แต่ไร้ขอบเขต เธอจะมองเห็นบางสิ่งบางอย่าง แล้วรู้สึกขำขัน เธอจะรำพึนว่าฉันจำได้แล้วมันช่างชัดเจน ลึกซึ้งยิ่งนัก ฉันจำได้แล้วถึงสิ่งนั้น นี่หรือคือฉัน นี่หรือคือพระเจ้า นี่หรือคือพระนิพพาน นี่หรือคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีนามใดจะเรียกขานได้ ดังนั้นเหล่าจื่อจึ่งเรียกมันว่าเต๋าแทน นี่หรือคือสิ่งที่อยุ่ ณตรงนี้ เดี๋ยวนี้ <O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 กันยายน 2011
  2. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ที่นำมาแบ่งปัน จะนำไปปฎิบัติ
     
  3. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ลังแห่งสติทำให้เราไม่ต้องเสียใจกับชีวิตที่ใช้ไป สติช่วยให้เรามองเห็นและสัมผัสคนที่เรารักได้อย่างแท้จริง นี่คือพลังงานที่ช่วยให้เรากลับมาสู่ตัวเอง เพื่อที่จะมีชีวิตและเป็นสุขอย่างแท้จริง
     
  4. TheLionSleepsNoMore

    TheLionSleepsNoMore เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +1,211
    ขอบคุณครับ ที่นำสิ่งดีๆ แบ่งปัน ครับ:cool:
     
  5. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    เป็นบทความที่มีความหมายลึกซึ้ง มาก ต้องอ่านและพิจารณาตามตัวอักษร ก่อเกิดประโยชน์สำหรับท่านที่แสวงหาสัจธรรมของชีวิตที่แท้จริง เมื่อพูดถึงคำว่า"ชีวิตที่แท้จริง" บางท่านอาจคิดว่าเป็นสำนวนนักปราชญ์ เล่นคำหรือเปล่า? ข้าพเจ้าจะบอกว่าเปล่าเลย "ชีวิตที่แท้จริง"มีความหมายอยู่แล้ว ไม่ต้องไปนิยามอะไรมันอีก อยู่ที่ว่าท่านจะเข้าใจหรือไม่? ก็เท่านั้นเอง...
     
  6. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    สติ คือเหตุนำไปสู่การไม่ตาย(นิพพาน)
    แต่การขาดสติ คือเหตุแห่งความตาย(การเวียนว่ายในวัฎสงสาร)
    "ยถา มตา"
     
  7. aimaradona

    aimaradona สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +16
    เขียนดีมากเลยครับผม
    ผมขอเก็บไว้อ่านเตือนสติตัวเองนะครับ
     
  8. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    ความจริงแห่งสันติภาพ

    ความจริงที่รวมจากทุกสัจธรรม

    ความจริงของผู้นำแห่งศรัทธาใหม่
     
  9. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ผมไม่เคยได้อ่านบทความแนวนี้มาก่อน อ่านแล้วขนลุกเลยคับ จริงๆแล้วผมชอบแนวๆนี้อะคับ แต่ไม่ค่อยได้อ่าน ไม่รู้จะหาจากไหน? จขกท. เก่งจริงๆนะครับ ที่หาบทความดีๆแบบนี้มาเผยแพร่ ขอบคุณมากๆเลยคับ
     
  10. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ผมอ่านแล้ว ต้องขอชมเชยท่าน จขกท.ครับ ผมเห็นถึงความตั้งใจของท่านที่จะถ่ายทอดบทความดีๆแบบนี้ให้เพื่อนๆสมาชิกได้รับรู้ ถึงการใช้ชีวิต มุมมองที่แท้ของการดำรงอยู่ ...

    เขียนได้ดีมาก...ขออนุโมทนาด้วยความจริงใจ...
     
  11. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    พระภิกษุในพระพุทธศาสนา นิกายเซ็น อ่านได้ใน พระสูตรของท่านเว่ยหลาง หลวงปู่ดุลย์ และ หลวงพ่อพุทธทาส ก็ได้แนวคิด มาจากท่านนี้เหมือนกัน.............
     
  12. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ไม่มีสิ่งใดที่ต้องไขว่คว้าหรือดิ้นรนเพื่อให้ได้มา หากแต่เป็นการโอบกอดและประสานสิ่งต่างๆที่ธรรมชาติมอบให้กับชีวิตเรา ด้วยวิถีแห่งความรักและดำรงตนอย่างมีสติในทุกขณะ...
     
  13. พี่ทิดศิษย์มีครู

    พี่ทิดศิษย์มีครู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2008
    โพสต์:
    580
    ค่าพลัง:
    +2,794
    ขออนุโมทนากับบทความที่ตั้งใจพิมพ์และถ่ายทอดออกมา ดูด้วยตาก็พบความตั้งใจ และ ใส่ใจที่จะนำตัวอักษรมา และพาดหัวด้วยวลี ที่เหมาะจะเป็นกวีถ้อยร้อยใจคน........ขออนุโมทนาและน้อมใจตามรู้ดูไปกับ ถ้อยคำอันงามนี้แล.... (ธ.โชติกะ)
     
  14. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ...ช่วยดันกระทู้คุณภาพคับบอร์ด...
     
  15. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    WHAT THE HAPPEN? WHAT DO YOU WANT?PLEASE....AND SO IT IS
     
  16. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    อ่านแล้ว ตื่นรู้จริงๆเลยฮะ ท่านผู้ใดเป็นจขกท. ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน? ขออนุโมทนา
     
  17. suriyanvajra

    suriyanvajra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +67
    ชอบเหมือนกัน แต่ทำแบบนี้ไม่เป็นจ้า
    ขอขอบพระคุณในธรรมทาน
    :z3
     
  18. suriyanvajra

    suriyanvajra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +67
    ภาพนี้ชอบมากเลย คาระวะท่านเซนไก
    :z1
     
  19. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    เห็นภาพนี้แล้ว...คิดถึง"ครู" มากฮะ...ครูก็เคยส่งภาพนี้ให้ผม ทุกวันนี้ผมยังเก็บไว้อยู่เลย..
    เป็นเครื่องเตือนตน "ตนเป็นที่พึงแห่งตน"
     
  20. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    [​IMG]


    ท่านบาโชร่ำเรียนเซน ค้นหาวิธีที่จะตรัสรู้มานาน แต่ก็ยังไม่พบ จนกระทั้งวันหนึ่งในขณะที่ท่านนั่งสมาธิเช่นทุกวันในวันนั้น ท่านก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง “จ๋อม” ใช่มันเป็นเสียงกบกระโดดลงบ่อน้ำข้างๆท่าน ในฉับพลันนั้น ท่านบาโชก็ตรัสรู้
    ท่านร่ำพรรณการตรัสรู้ของท่านออกมา เป็นกลอนไฮคุสั่นๆว่า


    An old pond!
    A frog jumps in,
    The sound of water.

    สระน้ำเก่าแก่
    กบกระโดดลงน้ำ
    เสียงดังจ๋อม

    การตรัสรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเธอไม่ค้นหามัน ท่านบาโชลองมาทุกสิ่งเพื่อที่จะตรัสรู้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังคงที่จะไม่พบ แต่แล้ววันหนึ่ง บางสิ่งเกิดขึ้น เสียงดังจ๋อม เจ้ากบกระโดดลงบ่อน้ำ ใช่...มันอาจจะทำเช่นนี้ทุกๆวัน แต่ที่วันนี้สิ่งนี้แตกต่างออกไป เป็นเพราะที่ผ่านมาท่านบาโชไม่เคยสนใจมันไม่เคยตระหนักรู้ถึงมัน แต่ตอนนี้เขาก็ได้ตระหนักรู้แล้ว มันก็แค่นั้น
    มันต้องเป็นเช่นนั้นเมื่อเจ้ากบกระโดดเสียงของมันดึงเอาความสนใจของท่านบาโชไป ชั่วขณะนั้นความคิดที่จะตรัสรู้ถูกลืมไป และ สัมผัสกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ สิ่งนี้คือ การผ่อนคลายอย่างถึงทีสุด เป็นการวางลงอย่างถึงที่สุดและ เมื่อท่านบาโชได้ตระหนักรู้แล้วแบบมือที่กำอยู่ ท่านก็ได้พบ สิ่งที่เรียกว่า ธรรมดา สิ่งที่อยู่ที่นี่ตรงนี้ ในการใช้ชีวิต ในการกิน ดื่ม หัวเราะ เศร้า ความโกรธ เกลียด หรือ ริษยา ในแสงสว่าง ในความตายในสรรพสิ่งรอบๆตัว สิ่งนี้แหละคือสัจจะ

    เมื่อเธอโกรธ เธอตระหนักรู้ว่าเธอโกรธ เธอกำหนัดเธอตระหนักรู้ว่ากำหนัด เธอยิ้มเธอตระหนักรู้ว่ายิ้ม นี่แหละคือการตรัสรู้ มันเป็นสิ่งที่ท่านเซนไก ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อที่จะบอก ไม่มีสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ หรือ สำคัญกว่าเรื่องใดๆ ทั้งไม่มีสิ่งที่ธรรมดาสามัญ การตีค่าสิ่งต่างๆล้วนมาจากความนึกคิดของเรา

    ที่ผ่านมาคนเรามักใช่ชีวิตโดยปราศจากความตระหนักรู้ สิ่งนี้คือบาปเพียงหนึ่งเดียวของคนเรา ไม่มีบาป(กรรม)ใดๆอีกแล้วที่จะยิ่งใหญ่ ไปกว่านี้ บาปที่เกิดจากการ ที่เราไม่สนใจตัวเราเอง เราสนใจงานของเรา การเลี้ยงชีพ ครอบครัว สังคมวัฒนธรรม ศาสนา ทัศนคติที่เราบูชา แต่เรากับหลงลืมที่จะสนใจสิ่งที่มีค่าที่สุดของเรานั้นคือ ตัวเราเอง ในขณะที่หลุมศพได้เคลื่อนเข้ามาหาเราอย่างช้าๆ เรากับไม่ตระหนักถึงมัน

    นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้า

    เพื่อนรักของฉัน จงตระหนักรู้ให้มากๆ แล้วเธอจะพบว่า เธอจะเริ่มไวต่อความรู้สึกมากขึ้น เธอจะเห็นถึงเชาว์ปัญญาในตัวเธอ ความรัก ความงดงามในตัวเธอ ตรงจุดนี้รู้ว่าเธอมีสิ่งเหล่านี้อยู่กับตัว เธอแล้ว จากนั้นถ้ามันจะล้นออกมาเพื่อแบ่งปันมายังโลกจงปล่อยมัน เมื่อเธอไวต่อความรู้สึก สิ่งต่างๆที่เธอไม่เคยให้ความสำคัญก็จะสำคัญกับเธอแม้แต่เถ้าธุลี การตรัสรู้ที่ยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้น สิ่งลี้ลับที่ยิ่งใหญ่ที่เธอไม่เคยรู้ได้เปิดประตู มันเป็นเช่นนั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กันยายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...