ที่นี่เดี๋ยวนี้ ศิลปะแห่งการเจริญสติ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย datedoctor, 17 สิงหาคม 2010.

  1. เลขโนนสูง

    เลขโนนสูง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2010
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +825
    ได้แต่ เพียง อ่าน แต่กลับ ไม่มี ความ สังสัย
    ในการอ่าน ข้อ ความ ที่ได้กล่าว นี้เลย
    รู้สึก ถึง ความ เย็น สะบายๆ ดี ครับ
     
  2. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ‎"โยนทุกอย่างทิ้งไป เหลือไว้ก็แต่เรื่องความรักเท่า<WBR>นั้น จงมีความรักให้กับทุกสิ่งทุกอย่<WBR>าง อย่าได้นำเรื่องของความชอบ/ไม่ช<WBR>อบเข้ามาปน คนเรามักจะสับสนคำว่ารักกับคำว่<WBR>าชอบเสมอ มักใช้คำว่ารักกับสิ่งที่ตนเองช<WBR>อบ พอบอกให้รักในสิ่งที่ตนไม่ชอบก็<WBR>เลยเป็นเรื่องที่ยากลำบาก จงจำไว้ว่าความรักไม่ได้เกี่ยวอ<WBR>ะไรกับเรื่องความชอบ มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน !"
     
  3. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ท่านหายไป เป็นปีๆ เลยเหรอ? บังเอิญว่าผม เป็นแฟนคลับ ท่านOSHOน่ะครับ
     
  4. KBLS

    KBLS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +280
    ขอบคุณ ที่ได้นำมาให้อ่าน ค่ะ
     
  5. AUNKZERI

    AUNKZERI Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +49
    ๕๕๕ ยาวมักๆ ^-^.. :cool::cool::cool:
     
  6. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/Q5kteKBfQ0I?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    Happiness is here and now.

    I have dropped my worries.

    Nothing to do. Nowhere to go.

    There’s no need for hurry.

    Happiness is here and now.

    I have dropped my worries.

    Something to do. Somewhere to go.

    But, there’s no need for hurry.

    ความสุขอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้
    เมื่อ..ฉันได้ปล่อยวางความกังวล
    ไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำ ไม่มีที่ไหนจะต้องไป
    ไม่มีความจำเป็นต้องรีบเร่ง

    ความสุขอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้
    เมื่อ..ฉันได้ปล่อยวางความกังวล
    อาจมีบางสิ่งที่ต้องทำ และบางแห่งที่ต้องไป
    แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องรีบเร่ง

    :cool:
     
  7. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    แล้วดีหรือไม่ล่ะครับ? อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร? ถามใจตัวเองดู

    ..จงใช้ชีวิตอย่างเป็นปัจจุบัน เปิดหัวใจของคุณ ซื่อสัตย์กับตัวคุณเอง
    จงเคารพความแตกต่างระหว่างบุคคล... จงมองหาสิ่งที่เป็นไปได้..เพื่อนรัก..
     
  8. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ในครานั้น พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ตรัสถามพระอาจารย์ตั๊กม๊อว่า

    "ตั้งแต่ข้าพเจ้าครองราชย์มา ได้สร้างวัดวาอาราม โบสถ์วิหาร และพระคัมภีร์มากมาย อีกทั้งอนุญาตให้ผู้คนได้บวช โปรยทาน ถวายภัตตาหารเจแด่พระภิกษุสงฆ์ ตลอดจนทะนุบำรุงพระศาสนามากมาย ไม่ทราบว่าจะได้รับกุศลมากน้อยเพียงใด "

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า
    "ไม่ได้อะไรเลย ตรงข้ามพระองค์จงเตรียมตัวพบกับนรก"

    พระเจ้าเหลี่ยงบู๊ตี้ ทรงตรัสถามอีกว่า "อริยสัจ คืออะไร"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า "โลกกว้างใหญ่ไม่มีสิ่งใดเป็นอริยะ"

    พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงตรัสถามอีกว่า"เบื้องหน้าข้าพเจ้านี้ คือใคร"

    พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า "อาตมาไม่รู้"

    [​IMG]

    ครานั้นมีคนถามท่านเว่ยหล่าง ว่า
    “ท่านอ่านหนังสือไม่ออก ท่านจะเข้าใจความหมาย เข้าใจหลักธรรมได้อย่างไร”

    ท่านเว่ยหล่างตอบว่า“หลักธรรมของพุทธะ กับตัวหนังสือไม่เกี่ยวกัน ตัวหนังสือเป็นเพียงเครื่องมือที่จะเรียนรู้ สิ่งที่จะเข้าใจหลักธรรมคือจิต คือตัวรู้ ไม่ใช่ตัวหนังสือ เนื่องด้วยจิตเดิมแท้ของเราซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ของการตรัสรู้นั้น เป็นของบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ และต้องอาศัยจิตเดิมแท้นี้เท่านั้น จึงจะเข้าถึงความเป็นพุทธะได้โดยตรง "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2011
  9. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491


    ขอบคุณ..ขอบคุณ...ขอบคุณ...ขอบคุณ..........
     
  10. AUNKZERI

    AUNKZERI Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +49
    :cool::cool::cool: :cool:
     
  11. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    คุณจะได้เรียนรู้บทเรียนมากมาย

    ...ชีวิตก็คือการเีรียนรู้
    มีเรื่องรอให้เรียนรู้อยู่มากมาย
    ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม...
     
  12. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ณ อารามเซน ยังมีลานดินโล่งที่ถูกทิ้งแห้งแล้งผืนหนึ่ง เณรน้อยเห็นดังนั้นจึงเอ่ยกับอาจารย์เซนว่า "ท่านอาจารย์ ศิษย์คิดว่าเราควรหาเมล็ดพืชมาหว่านลงบนดินผืนนี้สักหน่อยดีไหมครับ ปล่อยไว้แห้งแล้งเช่นนี้เห็นแล้วช่างไม่สบายตาเอาเสียเลย"

    อาจารย์เซนตอบว่า "เมื่อไหร่เมื่อนั้น สุดแล้วแต่"

    เมื่อถึงกลางฤดูใบไม้ร่วง เณรน้อยนำเมล็ดพืชไปหว่านลงบนดินผืนนั้น แต่กลับมีลมพัดมาหอบใหญ่ ยิ่งหว่านไปเท่าไหร่ เมล็ดพืชก็ถูกลมพัดปลิวไปกับสายลม เณรเห็นดังนั้นก็ตกใจมาก ตะโกนบอกอาจารย์ว่า "แย่แล้วท่านอาจารย์ เมล็ดพืชโดนลมพัดไปแล้ว"

    อาจารย์เซนกลับไม่ตื่นตกใจ เพียงกล่าวว่า "ที่ลมพัดไปเป็นเพียงเมล็ดฝ่อ แม่จะหว่านลงในดินก็ไม่งอกเงย ปล่อยให้พวกมันสุดแล้วแต่ลมพาไปเถิด"

    เมื่อทำการหว่านเมล็ดพืชเรียบร้อย กลับมีนกกระจิบฝูงใหญ่แห่กันมากินเมล็ดพืช พอเณรน้อยเห็นดังนั้นก็กล่าวด้วยความกังวลว่า "แย่แล้วท่านอาจารย์ นกกระจิบคงจะกินเมล็ดผักที่หว่านไว้จนหมดเป็นแน่"

    อาจารย์เซนจึงกล่าวกับเณรน้อยว่า "จงอย่ากังวล เมล็ดผักมากมาย นกกินไม่หมด จะกินเท่าไหร่ก็สุดแล้วแต่พวกมันเถิด"

    พอตกกลางคืน ฝนตกลงมาห่าใหญ่ ทำเอาเณรน้อยนอนไม่หลับ เนื่องจากเป็นห่วงว่าเมล็ดพืชจะลอยหายไปกับสายน้ำ พอเช้าขึ้นมาจึงรีบไปที่ลานดิน ปรากฏว่าเมล็ดผักอันตรธานไปดังคาด เณรน้อยทุกข์ใจยิ่งนัก จึงรีบวิ่งไปบอกอาจารย์เซนให้มาดู

    เมื่ออาจารย์เซนทราบเรื่องก็กล่าวว่า "เณรไม่ต้องทุกข์ใจไป เมล็ดพืชบางส่วนเพียงจมลงไปในดิน ส่วนเมล็ดพืชที่ลอยไปกับสายน้ำ เมื่อมันหยุดลงที่ไหน มันก็จะเจริญงอกงามขึ้น ณ ที่นั้นเอง สุดแท้แต่วาสนาเถิด"

    เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ยอดสีเขียวอ่อนของต้นพืชก็ปรากฏขึ้นมาเป็นหย่อมๆ บนลานโล่ง ที่แท้เมล็ดพืชที่ไม่ไหลไปกับสายน้ำได้งอกขึ้นมาแล้ว เมื่อเณรน้อยเห็นดังนั้นก็ดีใจเป็นอันมาก รีบไปรายงานอาจารย์เซนทันทีว่า "พืชที่ศิษย์ปลูกงอกงามขึ้นมาแล้ว ช่างดีจังเลยครับท่านอาจารย์"

    อาจารย์เซนพยักหน้าพลางกล่าวแค่เพียงว่า "ดีแล้ว ชอบแล้ว"
     
  13. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,801
    แค่ชื่อกระทู้ก็โดนใจแล้วครับ เนื้อหาดี แต่ดูรกตาไปนิดนึง ปรับปรุงอีกนิดจะกลายเป็นกระทู้ชั้นยอดครับ สู้ๆครับ
     
  14. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    เพื่อนรักของฉัน ไม่มีอะไรในโลกนี้สมบรูณ์แบบหรอก ความไม่สมบรูณ์แบบนั้นนับเป็นเรื่องดี
     
  15. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    ขอบคุณครับ......................
     
  16. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    โลกนี้ พร่องอยู่เป็นนิจ...เพราะเป็นเช่นนี้ โลกถึงสมบูรณ์แบบ...แบบสมดุล..
     
  17. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    “ในที่ของเรานี้ไม่มีความจริงแท้อันใดจะบอกท่าน หน้าที่ของเรา คือการยกภาระอันหนักอึ้งที่อยุ่บนหลังท่านออกไปและทำให้มันเบาลง ภารกิจของเราคือการทำลายสิ่งที่ผูกมัดต่างๆที่ทำให้ท่านปราศจากอิสรภาพ และ ฆ่าทุกสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างตัวท่านกับท่านเอง” ท่านสวนเฉียว

    เพื่อนที่รักของฉันเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้พูดคุยกัน พระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาประจำชาติของเมืองไทย ทั้งนี้เนื่องจากว่า เมืองไทยเป็นอีกที่หนึ่งในโลกนี้ที่พระพุทธศาสนาได้เข้ามามีชีวิตชีวาอยู่ และหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของผู้คน นานหลายร้อยหลายพันปีมาแล้วที่ผู้คนอันเป็นที่รักยิ่งของฉันในดินแดนแห่งนี้ได้รับเอาเมฆฝนที่ ชื่อว่าพระพุทธศาสนาเข้ามาดับกระหายแก่วิญญาณ ดังนั้นคงไม่มีหัวข้อการสนทนาใด จะดีไปกว่า “แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาอีกแล้ว” นั้นคือ เราจะมาสรุปเอาใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนากัน

    เพื่อนรักของฉันตลอดการสนทนาในวันนี้ ฉันขอเน้นย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า “เราจะร่วมเดินทาง เพื่อค้นหาว่าสิ่งใดกันแน่ที่เป็นหัวใจของศาสนาพุทธกัน” ในขณะที่สนทนากัน ในหลายๆตอนฉันจะอ้างถึง วัชรสูตร(Diamond Sutra) ทั้งนี้เพราะ ในหลายๆตอนของพระสูตรได้บรรยายถึงสิ่งที่เรียกว่า หัวใจของศาสนาพุทธไว้อย่างลึกซึ้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อประโยชน์ในอ้างอิง และ ศึกษาต่อในกรณีที่เธอสงสัยเท่านั้น ในขณะที่เราสนทนากันตอนใดที่เธอสงสัย ขอเธอจงอย่าได้พยายามขบคิดให้มากนัก ให้มันข้อความเหล่านี้ค่อยๆไหลฝ่านเธอไปเหมือนบทกวีแล ในขณะที่เธอเกิดความสงสัยในขณะที่เธอยังคงอ่านอยู่ จงอย่าได้พยายามค้นหาว่า คำกล่าวนี้มาจากไหน? พระสูตรใด? ตรงไหนในพระไตรปฏิก? แต่ขอให้เธอเพียงแต่ตามรู้ดูไปเท่านั้นว่า ตอนนี้เธอตามความคิดของตัวเธอเองทันอยู่รึเปล่า ความคิดที่ชอบเปรียบเทียบ ระแวงสงสัย เช่น คิดว่าคำสอนเหล่านี้เป็นฉันเขียนเอง หรือ ลอกเอาของใครมา แล้ว ถ้าลอกเอามาแล้วเอามาจากไหน หากเป็นเช่นนี้ เธอก็จะมองไม่เห็นรักแท้ของครูของฉัน ลองคิดดูเถอะว่าเธอจะมองเห็นความงามได้ในที่ที่มีความระแวงสงสัยรึ และ ที่ใดก็ตามที่ปราศจากความงามก็หามีความรักไม่ ฉันเกรงว่าเสียเวลาเปล่าที่เธอจะอ่านต่อไป หากเธอไม่อาจจะวางความยึดมั่นถือมั่นของเธอ ความคิดทัศนะความเชื่อ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอ่าน เพราะเธอนั้น มีธรรมมากเกินไป หากเธอยังติดในสิ่งเหล่านี้ที่ฉันพูด นั้นแสดงว่าเธอไม่เข้าใจในทั้งหมดที่ฉันพูดมาแม้แต่ประโยคเดียว

    ฉันใคร่กล่าวว่าฉันไม่ได้กล่าวว่าฉันนั้นเป็นผู้รู้ ความจริงฉันนั้นไม่รู้อะไรเลย ฉันเป็นเพียงขลุ่ยให้ พุทธะผู้เป็นครูของฉันเป่าเท่านั้น ดังนั้นหากเธอคิดว่านี้ เป็นคำสอนของฉันเธอก็กำลังเข้าใจผิด ด้วยจิตที่เต็มไปด้วยความเห็นผิด และ ฉันใครกล่าวว่า นี้ไม่ใช่เซน หากเธอคิดว่าคำพุดทั้งหมดนี้คือ ความพยายามของฉันที่จะสอนคำสอนของเซน เธอก็กำลังเข้าใจผิด ด้วยจิตที่เต็มไปด้วยความเห็นผิด และ นี่ยังแสดงว่าเธอยังคงยึอติดและพยายามที่จะเปรียบเทียบและเป็นเพียงทาสของความคิดของตัวเธอเอง เซนไม่อาจจะถ่ายถอดด้วยคำพูด คำพูดใดๆก็ตาม หนังสือเล่มไหนก็ตามที่เขียนถึงเวน นั้นคือขยะ ไม่มีใครสอนเซนเธอได้ นอกจากตัวเธอเอง นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งปวงต่างหากเล่า จงอย่าได้โต้เถียง เก็บเอาสิ่งดีไปใช้นั้นมิใช่เรื่องประเสริฐกล่าวรึ (ความจริงแล้วหามีสิ่งดี สิ่งชั่วไม่ ดังนั้น แล้วจึ่งมีดี มีชั่ว เช่นนี้เองที่ครูของฉันได้สอนมา)

    ในอลคัททูปสูตร มีข้อความหนึ่ง ที่ฉันชอบมาก ฉันใคร่ขยายเป็นพิเศษ เพื่อเตือนสติเธอ
    พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า "เธอทั้งหลายผู้ใด ศึกษาธรรมด้วยเพียงเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็น หรือเพื่อนำไปโต้เถียงเอาชนะกันไม่ได้ศึกษาธรรมเพื่อความหลุดพ้นเป็นอิสระ เขาก็เข้าไม่ถึงธรรม เปรียบเหมือนบรุษที่จับงูผิดวิธี" สิ่งนี้ชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า สัจจะก็คือสัจจะ มันยังคงเป็นจริงเสมอ และ มิได้เป็นจริงเพราะขึ้นอยู่กับข้อถกเถียงของคนโง่ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่โต้เถียงกัน ราวกับว่าเมื่อคนโง่เถียงกันแล้วจะทำให้ข้อถกเถียงนั้นกลายเป็นความจริงขึ้นมา จงมองมาตรงที่ข้างในตัวเธอ แล้วถามว่ามีอะไร?ที่เป็นจริงบ้าง นั้นประเสริฐกว่ากันนัก

    เพื่อนรักของฉันพึงรับรู้ไว้ว่า ”เมื่อนิ้วชี้ไปที่ดวงจันทร์จงอย่าติดอยู่ที่นิ้ว” และขอให้เธอที่รักพึ่งตระหนักไว้ให้มั่นเถอะว่า “สัจจะนั้นเป็นดินแดนอันไร้หนทาง ไม่มีองค์กรใด ใคร ศาสดาใด ความเชื่อใดสามารถนำไปสู่สัจจะได้”

    เมื่อเขียนเช่นนี้แล้วฉันก็คิดว่า สำหรับผู้มีปัญญาย่อมเข้าใจในสิ่งที่ฉันได้กล่าวไป ดังนั้นฉันจึ่งหวังเป็นอย่างมากว่า เธอทั้งหลายจะเลือกหนทางของผู้มีปัญญา ฉันคิดว่า พระพุทธเจ้าก็คงจะเห็นด้วยกับสิ่งนี้ ท่านคงจะพูดว่า "หากไม่ปฏิบัติตามฉันสอน อย่าริอาจจะเรียกฉันว่าครู" (ยิ้ม)ฉันรู้ว่าเพื่อนรักของฉัน เธอทั้งหลายผู้มีธรรมคงจะเลือกหนทางของผู้มีปัญญา ฉันวางใจในเชาว์ปัญญาของเธอ
    (ความจริงเธออาจจะไม่จำเป็นต้องอ่านจนจบ เพียงแค่เธอเรียนรู้จะค้นหาสิ่งดีงามที่มีอยู่ในตัวเธออย่างจริงจังนั้นตั้งแต่นี้ ก็นับว่าเธอได้อ่านจนจบแล้ว )

    คำพูดเหล่านี้ แด่ครูทั้งหลายของฉัน พระพุทธเจ้า พระเยซู นิชเช่ โอโช กฤษณมูรติ มีรา ยิบราน ซาธารุสตรา ติช นัทท์ ฮันท์ ซานาย และ ท่านทำลายที่ทำงานหนักเพื่อปลุกจิตสำนึกของมนุษย์ ก่อนอื่นเลย เธอที่รัก ฉันใคร่ขอกล่าวว่า ในยุคสมัยที่พระพุทธเจ้าปรากฏขึ้น คำสอนที่ลึกซึ้งที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมไปถึง กลิ่นหอมบริสุทธ์ของศาสนา ก็ปรากฏตามมาด้วย แต่กระนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่ผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าก่อร่างสร้างขึ้นไม่ใช่ศาสนา แต่ทว่าเป็นแก่นแท้แห่งศาสนา ดังนั้นเพื่อนรักของฉัน ฉํนใคร่ย้ำอีกครั้งหนึ่งถึงคำๆนี้ และเนื่องด้วยเหตุนี้เธอที่รัก ศาสนาพุทธแบบองค์กรจัดตั้งที่เต็มไปด้วยสาวก นักบวช คัมภีร์ การการทำตามๆกันตามความเชื่อ ค่านิยม ที่ครอบครัวของเธอ สังคมของเธอได้ปลูกฝังตั้งแต่เด็ก จนกลายมาเป็นความเชื่อหรือมโนทัศน์หนึ่งๆที่เธอรับรู้ นึกคิดเอาอยู๋นี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆมากนักกับพระพุทธเจ้า เมื่อเทียบกับสิ่งที่เรียกว่า แก่นแท้แห่งศาสนานี้ เพื่อนรักของฉันถ้าเธออยากรู้จักพระองค์เธอต้องมองให้เห็นถึงสิ่งนี้ มองให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงบอกอะไร? และ มอบสิ่งใดไว้ให้กลับโลก มองให้เห็นซึ่งประตูที่พระองค์ทรงชี้ทาง ประตูซึ่งเปิดไปสู่ความสำนึกรู้ของมนุษยชาติ ประตูแห่งวุฒิภาวะ หากเธอไม่มองมาที่ตรงนี้ ก็เชื่อได้เลยว่า ชีวิตของเธอได้ดำเนินไปโดยพลาดเที่ยวบินแห่งจิตสำนึก ดวงดาราที่สูงที่สุด เจิดจ้าที่สุด เสียแล้ว

    เพื่อนรักฉันเคยได้ยินเรื่องเล่ามาว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนักบวชหนุ่ม 2 รูปจาริกร่วมกันมายังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ระหว่างทางทั้ง 2 พบสตรีสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ริมตลิ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้น นักบวชรูปที่แก่กว่าอีกรูปเล็กน้อยก็ตรงเข้าไปหาเธอแล้ว เพื่อถามสาเหตุ เขาถามว่าว่า “น้องหญิง เหตุใดเธอจึ่งมานั่งร้องไห้อยู่ในสถาณที่ที่เปลี่ยว อย่างนี้ในเวลาเย็นเช่นนี้เล่า ?” เธอตอบว่า “ท่านเจ้าขา ที่ดิฉันร้องไห้ เพราะ ดิฉันเกิดความกลัวในอันตรายขึ้นมาเจ้าค่ะ ฟ้าใกล้มืดแล้วดิฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวในที่เปลี่ยวเช่นนี้ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปกับดิฉันบ้างดิฉันไม่อาจจะรู้ได้เจ้าค่ะ เห็นนั้นไหมเจ้าค่ะ บ้านของดิฉันอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามนั้น เมื่อเช้าดิฉันลุยข้ามแม่น้ำมายังที่นี่ แต่ตอนนี้ดิฉันไม่สามารถข้ามกลับไปได้แล้ว เจ้าค่ะ เพราะ ระดับน้ำได้สูงขึ้นกว่าตอนเช้ามาก” นักบวชรูปนั้นตอบว่า “โอ้ นั้นไม่ใช่ปัญหาฉันจะให้เธอขี่หลังข้ามไปเอง” ว่าแล้วท่านก็ตรงไปอุ้มหล่อนข้ามแม่น้ำไป หลังจากนั้นนักบวชทั้ง 2 ก็เดินทางต่อ ไม่นานนักหลังจากนั้นนักบวชอีกรูปที่หนุ่มกว่าก็ได้พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ท่านไม่น่าทำเช่นนี้เลย เราถือคำสัตย์ว่าจะไม่แตะต้องสตรีเพศ สิ่งนี้ช่างเป็นบาปมหันต์” นักบวชที่แก่กว่ากล่าวว่า “น้องเราเธอไม่เหนื่อยบ้างรึ จนถึงเดี๋ยวนี้ทำไม? เธอยังคงแบกน้องหญิงผู้นั้นอีก ยังไม่วางลงอีก ”
    ใช่นักบวชรูปนั้นพูดได้ถูกต้องทีเดียว “น้องเราเธอไม่เหนื่อยบ้างรึ จนถึงเดี๋ยวนี้ทำไม? เธอยังคงแบกน้องหญิงผู้นั้นอีก ยังไม่วางลงอีก ” เพื่อนรักของฉัน คนเราทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ เราทุกคนมักจะแบกเอาสิ่งที่เรียกว่า ความทรงจำ ประสบการณ์ ความกังวล ความโศกเศร้า หน้าที่การงาน ชื่อเสียง ความสำเร็จ ความกลัว ความรัก และ ความขัดแย้ง ความจริงก็ยังมีอื่นๆอีกมากมาย เรามักคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภาระ เป็นหน้าที่ที่เราพึงกระทำอยู่ตลอดเวลา เราแบกรับทุกสิ่งที่เราคิดว่าสำคัญเสมอ และไม่เคยละวางมัน มนุษย์ทุกคนเสพติดความทะเยอยาน เมื่อเราไขว่คว้าสิ่งใดแล้วได้มา เรารู้สึกว่า ตนดิ้นรนต่อสู้ได้เรารู้สึกสบายใจ รู้สึกดีที่ชนะ เรามักคิดว่าคนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาอาจจะเป็นคนที่กลับกลอกปลิ้นปล้อน หาประโยชน์จากผู้อื่นเพื่อตัวเขาเอง แต่เรากลับเรียกพวกเขาว่าฉลาดปราดเปลื่อง พระพุทธเจ้ากล่าวว่าความทะยานอยากนั้นคือน้ำมัน ที่หล่อเลี้ยงตะเกียงแห่งความทุกข์ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ความทะยานอยากนั้นมาจากไหน? พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “มันมาจากความไม่รู้ที่เป็นรากฐานของคน ความไม่รู้นี้นำพาความเห็นที่ผิดที่ว่า สิ่งๆต่างที่เกิดจาก การเห็นก็ดี การชิมรส การฟัง หรือ ผัสสะอื่นๆ เหล่านี้ดำรงอยู่มีตัวตน และ ไม่มีวันเสื่อมสลายไป ดังนั้น ความยึดมั่นถือมั้นจึ่งเกิดขึ้น ความยึดมั่นถือมั่นนี้นำพาไปสู่ความทะยานอยาก และ ความทะยานอยากนี่เองคือน้ำมัน ที่หล่อเลี้ยงตะเกียงแห่งความทุกข์ ดังนั้นสังสารวัฏจึ่งมี การวิ่งไล่ตามอนาคต อดีตจึ่งมี ”>><O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    >ฉันคิดว่าในทุกๆ เช้า ถ้าเธอตื่นขึ้นมาเพื่อออกมาเดินเล่น แล้วเธอก็ใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อชื่นชมความงามของผู้คนที่สันจรไปมา เธอเฝ้าสังเกตุ รอยเท้าของพวกเขาที่ก้าวเดิน ร่องรอยแห่งความกังวล ความเศร้าความกลัว ความทุกข์ที่พวกเขาได้ฝากไว้บนพื้นโลกขณะที่พวกเขาได้เดินผ่านไป เธอก็จะเห็นได้ถึงปัญหานี้ทุกๆเวลาในประเทศนี้ รถจะติดถ้าเป็นรถสาธารณะก็จะแน่นไปด้วยผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวันที่ร้อนอบอ้าว อากาศเย็น หรือฝนตกชุ่มช่ำเพียงใดก็ตามผู้คนยังคงจะออกมาเพื่อแข่งขันกันไปที่ไหนสักแห่งแข่งขันกันทำสิ่งต่างๆ ไขว่คว้าสิ่งต่างๆ แต่ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นอะไรก็ตามผู้คนกำลังแสวงหา หรือ แย่งชิงอะไร?บางอย่างกัน จนนำตัวเองไปผูกติดกับอดีต หรือ อนาคตหลงทางไปจากปัจจุบัน เพราะงั้นความทุกข์จึ่งเป็นเหมือนเงาตามตัว ของพวกเขาและ แล้วตรงนั้นฉันคิดว่าลึกๆในใจเธอ ความเมตตาของเธอคงจะ บอกกับเธอว่าฉันอยากจะช่วยเหลือพวกเขา อยากจะช่วยดูแลความทุกข์ของพวกเขา แต่ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร? ฉันเองก็ไม่ต่างอะไร?จากเขาเหล่านั้น เพื่อนรักของฉัน รู้อะไร?ไหม ? ถ้าเธอเห็นสิ่งนี้ นั้นก็หมายความว่า เธอยืนอยู่บนหนทางแห่งความตื่นแล้วล่ะ<O:p></O:p>

    เคชูเป็นอาจารย์พุทธนามกระเดื่องในยุคเมจิ ของญี่ปุ่น อยู่มาวันหนึ่งลูกศิษย์ของท่านที่เป็นผู้ว่าเมืองเกียวโตได้คนรับใช้ เชิญท่านมาพบ เมื่อคนรับใช้ไปถึงวัดโตฟูกุของท่าน เขาได้แสดงจดหมายเชิญที่หน้าซองเขียนว่า จากคิตากาคิ ผู้ว่าเมืองเกียวโต ให้อาจารย์เคซูดู “ข้าไม่มีธุระอะไรกับคนๆนี้ ข้าไม่รู้จักเขากลับไปซะไสหัวไป” คนรับใช้เดินทางกลับไปหาผู้ว่าพร้อมทั้งเล่าเรื่องราวทั้งหมดแล้วกล่าวคำขอโทษ “อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย มันเป็นความผิดของข้าเอง “เขากล่าว “เอาจดหมายมานี่” ว่าแล้วเขาก็ขีดคำว่าผู้ว่าเมืองเกียวโตทิ้ง “คราวนี้เจ้ากลับไปใหม่” เขากล่าว เมื่อคนรับใช้ไปพบท่านเคซูอีกครั้งและยื่นซองจดหมายให้ไป “โอ้ นั้นคิตากาคิรึ ข้ารู้จักเขาไปสิไปข้าอยากพบเขา” ท่านเคซูพูด<O:p></O:p>
    จากเรื่องเล่านี้เธอจะเห็นได้ว่ามนุษย์เราไม่เคยเรียนรู้ที่จะละวางจริงๆ จากเรื่องน่ารักๆนี้เธอคงจะเห็นว่าสิ่งที่คิตากาคิ ลบออกนั้นไม่ใช่แค่คำว่า ผู้ว่าเมืองเกียวโต เท่านั้น เขายังลบเอาบทบาทของการเป็นผู้ว่า ตำแหน่งหน้าที่ อัตตาตัวตนออกไปด้วย เขาสลัดความคิดทุกอย่างทิ้งไป และ ภาพลักษณ์ของตัวเองออก นี่คือการเปลี่ยนแปลง เมิ่อเธอสลัดภาพลักษณ์ที่เธอคิดว่า เธอเป็นออกไป สิ่งที่เธอเป็นจริงๆก็ปรากฏ ความคับแคบหายไป ตรงนั้นความเป็นไปได้ของเธอไร้ขีดจำกัด นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อจักรพรรดิหวู่ถามพระโพธิธรรมว่า “เบื้องหน้าเรานี้เป็นผู้ใด?” แล้วท่านตอบว่า “อาตมาไม่รู้” ในสื่อโทรทัศน์ ตัวละครที่เป็นต้นแบบ มักเป็นตัวละครที่มีสิ่งต่างๆเพียบพร้อม รูปโฉมงดงาม ร่ำรวย ความภูมิใจที่ได้เป็นดั่งคนในอุดมคติของตน ในขณะที่ในชีวิตประจำวัน เราส่งเด็กๆที่น่ารัก และ มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของเราเข้าสู่โรงเรียน ที่ซึ่งปลูกฝังค่านิยมที่ผิด ค่านิยมแห่งการเอารัดเอาเปรียบ ความทะยานอยาก ด้วยเหตุนี้ระบบการศึกษาจึ่งวนอยู่แต่เรื่องการสร้างความทะเยอทะยาน เราหล่อหลอมคนให้มีความทะเยอยาน และ ป้อนเข้าสู่สังคม พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นดังใจตน เป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา ตามแบบอย่างที่สังคมตั้งไว้ พวกเขารู้สึกภูมิใจเมื่อใครสักคนพูดว่า พวกเขาเป็นพ่อแม่ที่ดี หลายครอบครัวมีปัญหา ลูกขัดแย้งกับพ่อแม่ เพราะ เขาไม่สามารถเป็นดั่งที่พ่อแม่หวังหวัง เขาพยายามแล้ว แต่เขามิอาจจะเป็นเช่นนั้น ในโรงเรียนมีนักเรียนที่ล้มเหลวกับการเรียนจำนวนมาก มีคนจำนวนมากที่อยู่ผิดที่ผิดทาง เธออยากเป็นนักวาดรูป แต่สุดท้ายเธอกับเลือกที่จะเรียนหมอทั้งๆที่เธอไม่ชอบ เพียงแต่อาชีพหมอนำความรู้สึกมั่นคงมาให้เธอ เพราะอาชีพหมอสามารถตอบสนองต่อการขูดรีดเบียดเบียนของสังคมได้ดีกว่า เธอคิดว่าอาชีพหมอจะนำความสุขมาให้เธอ เธอจะไม่ลำบาก นักวาดรูปเป็นอาชีพที่ไม่แน่นอน ไม่มั่นคง ไม่มีรายได้ เธอคงจะอดตาย ไม่ได้รับการยอมรับ เธอหวาดกลัวทั้งๆทีมันยังมิได้เกิดขึ้น แต่เธอก็ได้คิดเพื่อมัน
    มองดูผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์สิ เจงกิสข่าน แทมบาร์เลน อเล็กซานเดอร์มหาราช นโปเลียน สตาลิน เหมาเซตุง พวกเขาเป็นเพียงแค่คนบ้าที่วิ่งไล่ความโลภ และ ความทะยานอยากด้วยวาดหวังว่า โลกใบนี้จะตกเป็นของเขา หลุมศพของคนมากมายที่พวกเขาเหยียบย้ำกองสูงเสียดฟ้า แต่เราก็ยกย่องพวกเขาทั้งที่เขาเป็นเพียงฆาตกร เราเรียกพวกเขาว่าผู้ยิ่งใหญ่ ประวัติศาสตร์ช่างรู้เพียงบางส่วนเสียจริงๆ

    เมื่อใครสักคนวิ่งไล่ความโลภ และ ความทะยานอยาก เขาก็ได้พลาดบางสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อความสุขในชีวิตของเขาไป นั้นคือปัญญา ความรัก ความงาม และ ความจริง ฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกมากที่ทุกวันนี้เราต่างก็มัวแต่ให้ความสำคัญกันกับเรื่องที่ค่อนข้างมีความสำคัญน้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่เรียกว่า คุณค่าของชีวิต อย่าง ครอบครัวของเรา ศาสนาของเรา ความเชื่อของเรา คนรักเรา และอื่นๆ แน่ล่ะฉันไม่ได้กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ แต่ฉันพูดว่ามันสำคัญน้อยกว่า การหันกลับมาดูแลชีวิตของเราเอง เพราะนี่เป็น สิ่งที่มีค่าที่สุดของเรา เพราะถ้าหากเธอไม่อาจจะเรียนรู้ที่จะดูแลชีวิตเธอแล้ว แล้วเธอจะดูแลชีวิตของคนที่เธอรักได้อย่างไร? เธอจะรู้จักวิธีที่จะช่วยเหลือพวกเขาแบ่งปันความทุกข์ของพวกเขาได้อย่างไร? นี่แค่คนใกล้ตัวเท่านั้นยังเป็นเช่นนี้ แล้วสังคมเล่ายิ่งไม่ต้องพุดถึงเลย และ การที่เราไม่สนใจที่จะดูแลตัวเรานี่เองที่เป็นรากฐานของปัญหาต่างในชีวิตของเรา
    ที่ญี่ปุ่นฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาชื่อว่า มิชิโอะ มิชิโอะเป็นวิศวกรไฟฟ้าที่ประสบความสำเร็จ หลายบริษัทต้องการตัวเขา ในขณะที่ความสำเร็จวิ่งเข้ามาหาเขาเรื่อยๆ มันก็เป็นพลังคอยผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ 8 โมงเช้าที่เขาเข้าทำงาน และ เที่ยงคืนที่เขาออกจากงาน และ เดินทางกลับเพื่อผักพ่อน ในขณะที่รุ่งเช้าเขาต้องตื่นขึ้นมาอีกเพื่อออกจากบ้านไปให้ทัน
    เวลาเข้างาน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อะไร? กำลังเกิดขึ้นในชีวิตมิชิโอะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อมิชิโอะกลับไปบ้านเขาจะมีเวลาได้สวมกอดภรรยา หรือ ลูกหรือเปล่า เขามักพูดเสมอว่าเขาทำสิ่งนี้เพื่อตัวเขาเองและครอบครัว แต่ความจริงแล้วเขาจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร? ก็ในเมื่อเขาไม่เคยเรียนรู้ที่จะปล่อยให้ตัวเองสามารถที่จะมีชีวิตเพื่อตัวเองได้ อยู่ที่นั้นตรงนี้ที่นี่เพื่อตัวเขาเอง และ ถ้าเขาไม่อาจจะทำเช่นนี้เขาก็ไม่มีวันที่จะมองเห็นว่า การที่หัวใจของเขาได้อยู่ตรงนี้อย่างแท้จริงกับครอบครัว ได้ทานอาหารพร้อมหน้ากัน หัวเราะ พูดคุย สวมกอดกัน คือ สิ่งมหัศจรรย์แห่งชีวิตอันล้ำค่า เขามีชีวิตเพียงเพื่อความก้าวหน้า และ งานเท่านั้น ด้วยวาดหวังว่า หากตนเองมีเงิน มีฐานะ มีสิ่งต่างๆมากขึ้น ความสุข การพักพ่อนจะอยู่ที่นั้น และ แล้วคนในครอบครัวก็จะเป็นสุขด้วย แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่เคยได้พักผ่อน ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ถูกรถยนต์ชนและจากไป ดูเหมือนว่าความตายได้พรากการมีชีวิตไปจากเขาเสียแล้ว ในงานศพของเขาฉันบินไปเพื่อพบภรรยาของเขา เธอได้เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ฉันฟัง นั้นทำให้ฉันเข้าใจว่า ความจริงแล้วไม่ใช่รถยนต์หรอกที่พรากการมีชีวิตของมิชิโอะไป แต่เป็นการวิ่งไล่ตามความทะยานอยากของเขาต่างหาก
    ตรงนี้ทำให้ฉันนึกถึงโศลกหนึ่งที่นักบวชเชน ท่านเขียนไว้ให้เตือนใจกษัตริย์ทมิฬว่า
    "ไม่มีใครในโลกที่จะพ้นจากความตาย และ หนีไปอย่างเสรีได้เลย ท่านผู้มันแต่สะสมสมบัติ จงเลิกเสีย พรุ่งนี้กลองในงานศพก็จะดังอยู่แล้ว"
    ที่จริงแล้ว แก่นแท้ของคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นก็มีขึ้นเพื่อถอดถอน ความทะยานอยากนี้นั้นเอง คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีไว้เพื่อปลดปล่อยผู้คน และ โยนเขาเหล่านั้นให้กลับไป ค้นพบการดำรงอยู่ของตน ในปัจจุบันขณะ หากใครสักคนสามารถปฏิบัติได้เยี่ยงนี้ก็ถือได้ว่า เข้าได้เดินข้ามผ่านก้าวใหญ่ในชีวิต
    ในพระพุทธศาสนานั้น สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ชาวพุทธกระทำกันก็คือ การบ่มเพาะอำนาจแห่งสติ เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งในความไม่เที่ยงแท้ ไม่มีตัวตน และ ความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง ซึ่งจะช่วยให้ความรักที่แท้จริง สามารถเกิดขึ้นในจิตวิญญาณของเรา และมีเพียงรักแท้เท่านั้นที่จะเปิดประตูแห่งความงาม และ สัจจะได้ หากปราศจากการมีปัญญาเห็นแจ้งในความไม่เที่ยงแท้ ไม่มีตัวตน และ ความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งนี้แล้ว ความรักแท้นั้นก็มิอาจจะเกิดขึ้นได้ ปัญญาเห็นแจ้งนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามองกลับไปในชีวิตของตนเองอย่างลึกซึ้ง ในทั้งหมดของชีวิต ในความต้องการ และ ปรารถนาที่มี มองให้เห็นว่า ที่ผ่านมาเราหิวกระหายและวิ่งไล่ตามสิ่งใด บ้างในโลกภายนอกนี้ เช่น บางคนหิวกระหายเงินทอง บางคนก็เป็นอำนาจ หรือคู่ชีวิตที่ดีพร้อม ศาสนาที่นำพาไปสู่ฝั่ง พระเจ้า ความดีงาม กุศล สัจธรรม และอื่นๆอีกมากมาย โดยคิดว่าถ้าเราพบความสุขจะอยู่ที่นั้น แก้วที่รั่วจะถูกเติมเต็ม จนกระทั้งบางคนได้พบเจอสิ่งที่เขาคิดว่าตนตามหาอยู่และพยายามไขว่คว้ามัน หากไม่ได้ก็ทุกข์ หากได้ก็ยังทุกข์ เพราะเรารู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเราจริงๆวันหนึ่งเราต้องเสียมันไป เราพยายามที่จะฉุดรั้งมันให้นานที่สุด และเราก็ทุกข์จากความพยายามนี้ทั้งๆที่การสูญเสียนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้น เช่นนี้แล้วเราจะเรียกว่าเราค้นพบสิ่งที่ตามหาได้อย่างไร? นี่คือการรับรู้ที่ผิดพลาด ความงามที่เราคิดว่าครอบครองไม่ใช่ความงามที่แท้ สัจจะที่เราเชื่อไม่ใช่สัจจะ หนทางที่เรายึดไม่ใช่หนทางที่แท้ หากเปรียบไปสิ่งนี้นั้นก็คล้ายกลับการที่เธอรักใครสักคนบนพื้นฐานการรับรู้ที่ผิดเกี่ยวกับตัวเขาในตอนแรก แล้วทึกทักว่านั้นคือสิ่งที่เขาเป็น พอเวลาผ่านไปเธอพบว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด และ เธอก็กล่าวหาว่าเขาหลอกลวงเธอ ดังนั้นเธอจึงเลือกเดินจากไปมองหาคนใหม่ แต่เธอก็จะพบว่าเธอยังคงผิดหวังอีกครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นนี้เรื่อยไป ฉันเคยได้ยินมาว่า
    กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้วในขณะที่พระพุทธองค์กำลังลงลอยถาดอาหารของพระองค์ลงแม่น้ำเนรัญชรา ใกล้เมืองพุทธคยา ทันใดนั้นเองเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรไปยังอีกฝั่งที่อยู่ตรงข้าม ความคิดหนึ่งได้แล่นเข้ามา “หากเนรัญชราเป็นเพียงแม่น้ำเล็กๆ เมื่อเทียบกับมหาสมุทร แต่ฉันก็ยังคงไม่สามารถจะว่ายข้ามมันไปได้ แล้วการก้าวข้ามมหาสมุทรแห่งวัฏสังสารล่ะมัน
    ก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครสักคนจะก้าวข้าม หรือ เปลี่ยนแปลงโลก ใช่แล้วนี่คือเรื่องไร้สาระ บัดนี้ ไม่มีสิ่งใดอีกยกเว้นความตาย ไม่มีสิ่งใดอีกที่ต้องบรรลุความคิดว่าจะประสบความสำเร็จเป็นสิ่งไร้สาระ ความปรารถณาของมนุษย์เป็นสิ่งไร้ประโยชน์
    หลังจากประกายความคิดนี้ได้ผ่านเข้ามาในเย็นวันนั้นพระองค์ก็ละวางทุกสิ่ง ทรงประทับใต้ต้นโพธิ์ อย่างผ่อนคลาย และบรรทมหลับทั้งคืน และแล้วในรุ่งเช้าพระองค์ก็ตรัสรู้ พระองค์กล่าวว่า “ฉันได้นอนหลับอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในล้านชาติภพ และตอนนี้ ในรุ่งเช้านี้ ดวงดาวสุดท้ายได้สูญไป ฉันเองก็สูญตาม ท้องฟ้านั้นว่างเปล่า เมื่อมองมายังภายในตัวฉัน ก็ไม่มีอะไร? อนัตตา ไร้ตัวตน ไม่มีใคร ใช่แล้วในชั่วขณะที่ปลอดพ้นความพยายามใดๆ ฉันได้บรรลุ ได้ตระหนักรู้” และแล้วพระองค์ก็ทรงพระสรวลกับความไม่เป็นสาระทั้งปวง ใช่แล้ว ไม่มีใครไปถึงเป้าหมาย ไม่มีใครเลยที่ค้นพบอิสรภาพ สัจจะใดๆ ไม่มีสรรพสิ่ง
    มันต้องเป็นเช่นนั้นเพื่อนรักของฉัน กว่า 6 ปีที่พระองค์ทรงแสวงหา แต่ก็ยังไม่ทรงพบสิ่งที่แสวงหา พระองค์ทรงย้ายจากสำนักปฏิบัติต่างๆ ปฏิบัติแม้กระทั้งเทคนิคประหลาดๆ อย่างการกลั่นหายใจ การอดอาหาร จนในที่สุดก็ทรงอ่อนแอ โรยรา ก็ยังไม่ทรงค้นพบความสุขสงบที่แท้ที่ทรงตามหา นี่ยังไม่รวมถึงว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าชาย ซึ่งนั้นก็หมายความว่า ความสุขทั้งมวลบนโลกใบนี้ที่มนุษย์ที่มนุษย์ถวิลหาพระองค์ทรงพบมาหมดแล้ว แต่ก็นั้นแหละ สิ่งนี้ก็ยังไม่ใช่ความสุขสงบที่แท้ที่ทรงตามหา แต่แล้วเมื่อพระองค์หยุดค้นหาและเปิดตามองดู พระองค์ก็ทรงพบ ใช่แล้วความสุขสงบที่แท้ที่ทรงตามหานั้นอันที่จริงแล้วอยู่ตรงนี่ที่นี่เสมอมา เพียงวางลงซึ่งความยึดถือเท่านั้น ดังนั้นเราจึงไม่อาจจะพุดได้ว่า พระองค์ทรงตรัสรุ้อะไร? พระองค์ไม่เคยได้อะไร?มาใหม่ พระองค์เพียงแต่มองเห็นสิ่งที่มีอยู่เสมอมาเท่านั้น นี่คือ ความเป็นเช่นนั้นเอง อันที่จริงพระองค์ได้กล่าวว่า”บัดนี้ตถาคตรู้แจ้งว่าทุกชีวิตคือ พุทธะ(เชาว์ปัญญา) เช่นที่มันเป็น” ในใน โพธิสัตว์ศีลสูตรมีคำกล่าวว่า "จิตเดิมแท้ของเรา เป็นของบริสุทธิ์โดยเด็จขาด และ ถ้าเราได้รู้จักใจของเราเอง แล้วรู้แจ้งว่าตัวธรรมชาติแท้ของเราคืออะไรแล้ว เราก็จะลุถึงพุทธภาวะได้ทุกคน" ดังคำกล่าวตอนหนึ่งในในวัชรสูตร(Diamond Sutra) ของพระพุทธองค์ว่า<O:p></O:p>

    “สุภูติ ที่เรียกว่า พุทธธรรมคือทุกสิ่งที่ไม่ใช่พุทธธรรม เพราะ แท้จริงแล้วไม่มีธรรมบรรลุใดอันจะนำไปสู่สิ่งที่พึงเรียกได้ว่า จิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน ทั้งไม่มีจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน ให้บรรลุถึงได้เลย ก็เพราะเหตุว่า ความเป็นเช่นนั้นของสรรพสิ่ง สิ่งต่างๆหาใช่สิ่งที่อาจจะติดตามยึดถือ แต่ก็มิใช่สิ่งเลื่อนลอยไร้แก่นสาร ด้วยเหตุนี้ แท้จริงแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้นมิใช่ธรรม ดังนั้นธรรมทั้งหลายจึงได้ชื่อว่าธรรม”<O:p></O:p>
    “สุภูติเอย จงอย่าได้คิด หรือ กล่าวว่า ตถาคตได้แสดงธรรมสั่งสอน ก็เพราะว่า การกล่าวเช่นนี้เป็นการกล่าวร้ายตถาคต เขานั้นไม่เข้าใจสิ่งที่ตถาคตกล่าวเลย การสนทนาธรรมนั้น แท้จริงแล้วมิได้เป็นการสนธนาธรรม ดังนี้จึงจะเป็นการสนธนาธรรมที่แท้”
    เพื่อนรักของฉัน จงอย่างได้ใช้ชีวิตอันงดงามของเธอไปบนหนทางแห่งการวิ่งตามแรงปรารถนาเลย หนทางนั้นไม่อาจจะนำพาเอาความสุขใดๆมาให้กับเธอได้หรอกนอกจากการประหัตประหารตัวเธอเอง และ คนที่เธอรัก บ่มเพาะเมล็ดพันธ์แห่งความเห็นแก่ตัว การทำลายล้างลงบนจิตอันบริสุทธิ์ของเธอ
    ในพุทธประวัติมีตอนหนึ่งที่กล่าวถึง องคุลีมาลเรียกให้พระพุทธองค์หยุด และ พระองค์ทรงกล่าวว่า “ฉํนหยุดแล้ว แต่เธอต่างหากที่ยังไม่หยุด “ คำว่า หยุด ในที่นี้ของพระพุทธองค์นั้นก็หมายถึง การหยุดที่จะวิ่งไล่ตามแรงปรารถนาของตนที่ลุกโชนอยู่นั้นเอง อันที่จริงพระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่เรียกว่า ตัวตนของเธอนั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใดอีกนอกเสียจากเปลวไฟ มันถูกจุดให้เร่าร้อนด้วยแรงปรารถนาของเธอ อาจจะกล่าวได้ว่า สำหรับผู้ที่วิ่งไล่ไฟปรารถณาของตนเขาเหล่านั้นย่อมสูญเสียความสามารถที่จะมีชีวิตไป หากเธอยังคงเป็นเช่นนี้ ยังคงดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต่าง เงินทอง ชื่อเสียง แม้แต่กระทั้งบุญกุศล ความดีงาม ก็เชื่อได้เลยว่าเธอได้เดินบนหนทางที่ผิดเสียแล้ว เนื่องเพราะการเดินบนหนทางนั้นก็เท่ากับว่า เธอไม่เคยทำสิ่งใดเพื่อตัวเธอเองจริงๆเลย เธอได้ยอมทิ้งปัจจุบันเพื่อแลกกับอนาคต อนาคตที่ตัวเธอไม่ได้ดำรงอยู่ อนาคตที่เมื่อมันได้ไหลมาหาเธอมันก็กลายเป็นปัจจุบันไป การดิ้นรนทำเพื่ออนาคตโดยละเลยที่จะมีชีวิตอย่างลึกซึ้งในปัจจุบัณขณะจึ่งเท่ากับว่าเธอได้ละทิ้งโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้งในทุกขณะอย่างน่าเสียดาย อันที่จริงการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้งในทุกขณะของชีวิตอย่างมีสติ นี้เองที่เป็นหัวใจของการปฏิบัติทั้งมวลในพระพุทธศาสนา ที่นี้ฉันใคร่ขอกล่าวว่าการที่ฉันใช้คำว่า “การเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้ง” นั้นมิได้ให้ความหมายในเชิงเปรียบเทียบ มนุษย์เรานั้นชอบวัดค่าสิ่งต่างในเชิงเปรียบเทียบเสมอ เช่น สุขทุกข์ ดีชั่ว สวยงามน่าเกลียด อ่อนแข็ง ลึกตื้น และการเปรียบเทียบนี่เองที่เป็นผลผลิตของความจำ (ความจำได้หมายรู้) ยกตัวอย่าง ดอกไม้ที่ฉันเห็นสวยกว่าดอกอื่นๆที่ฉันเคยเห็น เห็นอะไรไหมฉันกำลังเปรียบเทียบกับกับดอกไม้ดอกอื่นๆซึ่งอยู่ในความจำของฉัน และ ไม่ใช่ของจริง ถ้าฉันเปรียบเทียบตัวฉันกับเธอตลอดเวลา และ ดิ้นรนเพื่อให้เป็นไปได้เหมือนเธอ ฉันก็ได้ปฏิเสธสิ่งที่ฉันนั้นเป็นอยู่จริง และ กำลังสร้างมายาภาพขึ้น ซึ่งที่ใดมีมายาภาพที่นั้นก็มีความทุกข์ ใช่ความขัดแย้งนั้นได้เกิดขึ้นระหว่างสิ่งที่ฉันเป็นกับสิ่งที่ฉันต้องการจะเป็น ดังนั้นฉันใครกล่าวว่าพระพุทธศาสนาไม่อาจจะเข้าใจได้ด้วยความจำ
    มีคนถามท่านเว่ยหลางว่า “หลวงพ่ออ่านหนังสือไม่ออก แต่ทำไมหลวงพ่อจึ่งเทศนาสั่งสอนธรรมในพระพุทธศาสนาได้” ท่านยิ้มและตอบว่า “เธอกำลังเข้าใจผิดเสียแล้ว ธรรมในพระพุทธศาสนานั้นไม่ได้อยู่ในคัมภีร์ใด หรือ ตัวหนังสือ แต่อยู่ในจิตเดิมแท้ ดังนั้นจึ่งมีแต่จิตเดิมแท้เท่านั้นที่รู้ว่าธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร?” คำตอบนี้ค่อนข้างจะลึกซึ้งมาก ใช่แล้วธรรมในพระพุทธศาสนานั้นไม่ได้อยู่ในคัมภีร์ใด หรือ ตัวหนังสือ นานมาแล้วที่เราได้ป้อนความรู้ ความคิดของเรา จากตำรับตำรา หนังสือ นักบุญ ผู้นำทางศาสนา เราพูดว่าได้โปรดบอกฉันด้วยโปรดบอกจากแจ่งแจ้ง บอกฉันว่านี่คืออะไร?
    อะไรอยู่ลึกลงไปในโลกใบนี้ ในมหาสมุทร เรามีชีวิตอยู่บนถ้อยคำ คำบอกเล่า ไม่ว่ามันจะเนื่องมาจากความโน้มเอียงของตัวเราเอง การถูกบังคับโดยสภาพการณ์ สิ่งแวดล้อมให้ยอมรับ ดังที่ จ. กฤษณมูรติกล่าวว่า “เราเป็นผลผลิตของอิทธิผลทั้งมวล” ไม่มีอะไรใหม่ในตัวเราเอง ไม่มีอะไรที่เราพบเพื่อตัวเราเอง เธอรู้ไหมเชาว์ปัญญาที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน? มันอยุ่ในตัวเธอนั้นเอง มันอยู่ข้างนอกในผู้คนที่เธอมีปฏิสัมพัทธ์ด้วย อยู่ในดวงดาว ธุลีดิน สิ่งปฏิกูล อันที่จริงแล้วนิพพาน หรือ พระเจ้าก็คือสิ่งนี้ คือ เชาว์ปัญญา
    อันที่จริงแล้วการที่เธอจะสามารถมองเห็นเชาว์ปัญญา ในตัวเธอได้นั้น ต้องอาศัย ความวางใจในชีวิตของเธอเป็นอันมาก วางใจในความดีงามของเธอ เธอนั้นงดงามสมบรูณ์ดีอยู่แล้ว อย่างที่เธอเป็นเพื่อนรักของฉัน นักคิดทางศาสนาผู้ยิ่งใหญ่มันเปรียบสิ่งนี้กลับดอกไม้ พวกเขามักชี้ให้เห็นว่า ดอกไม้นั้นไม่เคยกล่าวว่า ฉันเป็นกุหลาบ ฉันไม่ดีพอ และ ฉันต้องเป็นกล้วยไม้ ดอกไม้เคารพในตัวเอ' ดอกไม้นั้นเพียงแค่ดำรงอยู่ของมันเท่านั้น มันไม่สนว่าจะมีมีคำชมว่า งดงามหรือไม่ มันยังคงเป็นของมันเช่นนั้นยังคงบานสะพรั่งสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าเธอสามารถเป็นมนุษย์ธรรมดาที่แท้จริงได้นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการมีชีวิต จงเป็นคนธรรมดาแล้วเธอจะทำให้โลกใบนี้นั้นสดชื่นและรื่นเริงเธอไม่จำเป็นต้องแสวงหาผู้วิเศษที่ไหนเพื่อมาสร้างโลกใบนั้น โลกใบที่งดงาม เพราะเธอคือคนๆนั้น คนที่จะช่วยให้เธอพบสัจจะ ให้เธอก้าวผ่านไป เธอคือคนนั้นคนที่จะเปลี่ยนแปลง เปิดเผยโลกใบนี้ให้งดงามอย่างที่มันเป็น และ เมื่อเชาว์ปัญญาเช่นนี้ได้บ่มเพาะขึ้นแล้วในตัวเธอ เธอก็ต้องหมั่นที่จะเตือนตัวเองว่า ตัวเองนั้นงดงามสมบรูณ์ดีอยู่แล้ว อย่างที่เป็น และ เพียรเฝ้ามองดูตัวเองให้เดินบนหนทางนั้น หนทางแห่งความดี <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    พึ่งรับรู้ไว้เถอะว่า เชาว์ปํญญานี้คือสิ่งเดียวกันกับที่เราเรียกว่า ความว่าง หรือ สุญญตา ในภาษาบาลี อันความว่างนั้น เราถือว่า “เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา” ฉันเคยได้ยินคนหนึ่งเขาเป็นราชบัณทิตคนหนึ่งของประเทศนี้ เขาได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาขึ้นมาเล่มหนึ่ง ในคำนำเขากล่าวว่า “หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เกิดจากการสั่งสมความรู้ของข้าพเจ้ามานานหลายปีเมื่อเห็นดังนี้ทำให้ฉันรู้ว่าเขาเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญในเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แต่ไม่ใช่ผู้รู้พระพุทธศาสนา มันต้องเป็นเช่นนั้น “เธอกำลังเข้าใจผิดเสียแล้ว ธรรมในพระ พุทธศาสนานั้นไม่ได้อยู่ในคัมภีร์ใด หรือ ตัวหนังสือ แต่อยู่ในจิตเดิมแท้ ดังนั้นจึ่งมีแต่จิตเดิมแท้เท่านั้นที่รู้ว่าธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร?” เธอจะสั่งสมอะไร? นี่คือมายาภาพ คำสั่งสอนของพระพุทธองค์มีเพื่อปลดปล่อยเธอออกจากความคิด จากการสั่งสมถ้อยคำ จากมายาคติทั้งมวล พระองค์ทรงปลดปล่อย มิใช่บีบบังคับ พระองค์ทรงสอนเธอถึงวิธีมีชีวิตอยู่ ดังนั้นท่านพุทธทาส จึงกล่าวว่า "ยิ่งศึกษาพระพุทธศาสนาลึกซึ้งเท่าใด ยิ่งรุ้พระพุทธศาสนาน้อยลงเท่านั้น"
    ดูเถอะถ้อยคำ ความรู้ ทัศนะคติ ค่านิยมที่เธอมัวแต่ไปสั่งสมกันมา มันทำให้เธอกลายเป็นอะไร?บางอย่าง มันปิดประตูความเป็นได้ของเธอมากมาย เธอเป็นชาวพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู เป็นแพทย์ นักการเมือง พระ คนกวาดถนน และอื่นๆ ดูสิความรู้นั้นมันมอบอุดมคติให้เธอ เมื่อเธอรู้เกี่ยวกับสังคมประชาธิปไตยดังนั้นเธอจึ่งแสวงหา เธอรู้เกี่ยวกับสวรรค์เธอจึ่งวิ่งหานักบวชหาบุญหากุศล ดูสิเธอว่าฉันรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนามากมาย ฉันท่องพระไตรปิฏกได้ทั้งเล่ม สวดมนต์ยาวๆได้ ฉันรักษาศีลได้นับร้อยนับพันข้อ ดูชีวิตที่เปลี่ยมจริยธรรมของฉันสิ นี่มันหนทางแห่งการทำให้อัตตาตัวตนขยายงอกเงยทั้งนั้น ไม่มีความรู้ใดที่เธอจะใช้มันเพื่อเปิดประตูแห่งสัจจะ แม้ว่าความรู้นั้นจะเป็นความรู้เกี่ยวกับจริยธรรมที่สูงส่ง คุณธรรม ความดีงาม แต่ดูจิตของเราสิมันเป็นนักสั่งสม ดังนั้นมันจึ่งวิ่งวุ่นไปนั้นทีนี่ที
    ฮาคูอินเป็นอาจารย์เซ็นชาวญี่ปุ่น วันหนึ่งนักบวชหนุ่มเข้ามาถามคำถามกับเขาว่า “อะไร?เกิดขึ้นกับอาจารย์เซ็นหลังดับขันธ์ไปครับ”
    ท่านจึงย้อนถามว่า “เธอถามฉันทำไม?”
    “ก็ท่านเป็นอาจารย์เซ็นนี่ครับ”เขาตอบ
    ท่านฮาคูอินกล่าวว่า “ใช่ ฉันเป็นอาจารย์เซ็นแต่ไม่เคยตาย”
    ใช่ง่ายแค่นี้ ฉันยังไม่ตาย เรื่องของคนเป็นเรายังไม่มีวันรู้แล้วเราจะรู้เรื่องของคนตายได้อย่างไร? มองดุเพื่อนเธอคนรักของเธอสิ เธอแน่ใจจริงหรือว่าเธอเข้าใจพวกเขาดี รู้ใจเขา คิดดูสิแม้แต่ตัวเธอเองเธอยังคงไม่เข้าใจเลยดังนั้นเธอจึ่งทุกข์ สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง มันไม่หยุดนิ่ง ดูอย่างชีวิตสิ ในไม่ช้ามันก็จะกลายมาเป็นความตาย ความเยาว์วัยก็จะเปลี่ยนเป็นความแก่ชรา แล้วเธอจะเข้าใจมันได้อย่างไร? เธอไม่อาจจะเข้าใจสิ่งที่เครื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเสมอได้หรอก นี่คือเรื่องไร้สาระ ดูสิผู้ชายมักบอกว่าผู้หญิงเข้าใจยาก ก็เพราะอารมณ์ของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตลอด ถ้ามันไม่เปลี่ยนแปลงเราก็คงจะเดาได้ไม่อยากนัก? มันเหมือนเธอดูหนังซ้ำๆนั้นเอง ดังนั้น ความรู้เหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่จะเข้ามาจัดระเบียบในชีวิตเธอเท่านั้น ให้เธอทำสิ่งที่ผิดพลาดน้อยลงไป แต่มันไม่ใช่กุญแจไขประตูแห่งพระนิพพาน ประตูซึ่งไม่เคยปิด ทั้งนี้เพราะคุณความดีเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่เพื่อตัวมัน ไม่ใช่เพื่อที่จะให้ใครได้รับอะไรจากมัน
    ฉันขอยกตัวอย่างเรื่องทาน ในวัชรสูตร(Diamond Sutra) มีตอนหนึ่งกล่าวว่าครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวกับภิกษุสุภูติว่า
    “ เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ถ้าบุคคลใดบำเพ็ญ ทานบริจาคด้วยสัปตรัตนะ จนเปลี่ยมล้นทั่วทั้งสามล้านอสงไขยโลกธาตุ บุคคลนั้นจะได้เสวยปีติสุขมากล้นอย่างหาที่เปรียบมิได้ด้วยผลบุญนี้เป็นแน่”
    สุภูติทูลภามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
    “หามิได้พระเจ้าข้า เพราะ กุศลกรรม และ ปิติสุขเช่นนั้นมิใช่กุศลกรรม และ ปิติสุขดังที่พระตถาคตแสดง"
    และ อีกตอนที่กล่าวว่า
    ครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวกับภิกษุสุภูติว่า
    “สุภูติ แม้นว่าพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานบริจาคด้วยสัปตรัตนะมากเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา จนเปลี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุ สุขานิสงส์จากการบำเพ็ญบุญกุศลนี้ ก็ยังน้อยกว่าอานิสงค์อันบุคคลจักพึงได้รับเมื่อเขาแจ่มแจ้งเข้าใจ และ เลื่อมใสความจริงที่ว่าธรรมทั้งหลายนั้นไม่มีตัวตน และ เขายังมีชีวิตอยู่ด้วยสัจธรรมนี้ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่าสุภูติ ก็เพราะว่าพระโพธิสัตว์ไม่จำเป็นต้องสั่งสมกุสลมูล และ ความปีติปราโมทย์ใดๆเลย”<O:p></O:p>

    สุภูติทูลภามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงหมายความเช่นไร? พระเจ้าข้าเมื่อพระองค์ทรงรับสั่งว่า “พระโพธิสัตว์ไม่จำเป็นต้องสั่งสมกุสลมูล และ ความปีติปราโมทย์ใดๆเลย”<O:p></O:p>
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า
    “ดูก่อน สุภูติ พระโพธิสัตว์ย่อมปลูกฝังสั่งสมกุศลมูล และ ความปีติปราโมทย์ แต่จิตของท่านั้นไม่ได้ยึดมั่นในกุศลมูล และ ความปีติปราโมทย์นั้น สุภูติเอย ถ้าพระโพธิสัตว์องค์ใดบำเพ็ญทานด้วยความสำคัญมั่นหมาย อุปมาดั่งบุคคลเดินอยู่ในความมืด เขาจะไม่เห็นสิ่งใด ด้วยเหตุนี้เราจึ่งกล่าวว่า พระโพธิสัตว์ไม่จำเป็นต้องสั่งสมกุสลมูล และ ความปีติปราโมทย์ใดๆเลย ”
    เธอเห็นอะไร? “แม้นว่า พระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานบริจาคด้วยสัปตรัตนะมากเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา จนเปลี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุ สุขานิสงส์จากการบำเพ็ญบุญกุศลนี้ ก็ยังน้อยกว่าอานิสงค์อันบุคคลจักพึงได้รับเมื่อเขาแจ่มแจ้งเข้าใจ และ เลื่อมใสความจริงที่ว่าธรรมทั้งหลายนั้นไม่มีตัวตน “<O:p></O:p>
    เธอเห็นอะไรไหม? การบำเพ็ญทานบริจาคนั้นเป็นความดี เธอบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อลดความตระหนี่ถี่เหนียว ซึ่งเป็นเรื่องดี การที่เธอมีความสำนึกรู้ถึงสิ่งนี้เป็นความดี แต่หากเธอมองให้ลึกซึ้งเธอจะเห็นว่า สิ่งที่เธอบริจาคให้กับโลกไม่ใช่ทรัพย์สิน หรือ กระทั้งชีวิตของเธอ แต่เป็นความยึดมั่นถือมั่นของเธอ ความรู้สึกแบ่งแยก ว่านี่ฉัน นี่ของฉัน นี้ ต่างหาก ดังนั้นพระพุทธองค์จึ่งกล่าวกำชับว่า “สุขานิสงส์จากการบำเพ็ญบุญกุศลนี้ ก็ยังน้อยกว่าอานิสงค์อันบุคคลจักพึงได้รับเมื่อเขาแจ่มแจ้งเข้าใจ และ เลื่อมใสความจริงที่ว่าธรรมทั้งหลายนั้นไม่มีตัวตน” หากครั้งหลายคราเธอมักได้ยินว่าการบริจาคของเธอทำให้เธอสั่งสมบุญบารมีเพื่อชาติหน้า เพื่อสวรรค์ เพื่อให้กรรมที่เธอทำลดทอนอำนาจลง เพื่อนรักของฉันฉันคิดว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่โง่เขลามาก แต่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่า มันเป็นสิ่งที่ผิด เพราะ การทำบุญหวังผลเช่นนี้ทำให้สิ่งสวยงามอย่างการบริจาคทานยังคงดำรงอยู่ได้ แต่ในฐานะชาวพุทธฉันคิดว่าเธอควรจะมองให้เห็นว่า การที่เธอบริจาคเพื่อหวังผลนั้นเป็นเพียงรุปแบบหนึ่งของการแสวงหาสิ่งที่จะมาเติมเต็มอัตตาตัวตนของเธอ เป็นจิตที่ละโมบ และ คับแคบ พึงรับรู้ไว้เถอะว่าทุกๆการกระทำควรเป็นรางวัลในตัวมันเอง มิเช่นนั้นเธอก็จงอย่ากระทำมันเลยที่รัก ไม่มีใครหรอกที่จะอยู่ที่นั้นเพื่อมอบรางวัลให้เธอ นอกจากตัวเธอเอง ทุกๆการกระทำของเธอคือรางวัลของเธอ คือการลงโทษเธอ เธอนั้นเองคือนายแห่งโชคชะตาของตัวเธอเอง การบริจาคเพื่อหวังผลนั้นการทำเช่นนี้จึ่งไม่อาจจะช่วยให้เธอสถาปนาความสุขสงบที่แท้จริงขึ้นมาได้ และ ชาวพุทธที่แท้จริงต้องไม่ทำเช่นนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม? เมื่อตอนที่จักรพรรดิหวู่ ถามพระโพธิธรรมว่า “ ข้าพเจ้าได้สร้างโบสถ์วิหารหลายแห่ง เลี้ยงดูผู้รู้นับพันๆคน ข้าพเจ้าเปิดมหาวิทยาลัยขึ้นเพื่อเผย่แพร่พุทธศาสนา ถวายจักรวรรดิ และ โภคทรัพย์ทั้งปวงแด่พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจะได้สิ่งใด” ท่านโพธิธรรมจึ่งตอบว่า”ไม่ได้อะไรเลย ตรงข้ามท่านจะได้นรก” มันต้องเป็นเช่นนั้น ความจริงแม้แต่ความคิดที่ว่าการบำเพ็ญทานบริจาคนั้นเป็นความดี เป็นการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อลดความตระหนี่ถี่เหนียว ก็ยังไม่ควรที่จะเป็นความคิดของคนที่เป็นชาวพุทธเนื่องด้วยเป้าหมายยังอยุ่ที่นั้น เธอบริจาคเพื่อบริจาค กินเพื่อกิน รักเพื่อรัก เพียงแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องคิดหาเหตุผล สิ่งนี้แหละคือสติล่ะ นี่แหละคือความหมายที่พระพุทธเจ้าท่านทรงอธิบายให้ภิกษุสุภูติฟัง<O:p></O:p>
    เพื่อนรักของฉันตรงนี้ ฉันใคร่ขยายความอีกครั้งว่า คำที่ฉันกล่าวว่า”ไม่มีความรู้ใดที่เธอจะใช้มันเพื่อเปิดประตูแห่งสัจจะ แม้ว่าความรู้นั้นจะเป็นความรู้เกี่ยวกับจริยธรรมที่สูงส่ง คุณธรรม ความดีงาม” ไม่ได้หมายความว่าฉันกล่าวว่าความรู้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญแต่ฉันหมายความว่า จงอย่ายึดติดกับความรู้ ขอเน้นย่ำอีกครั้งหนึ่งว่า “เมื่อนิ้วชี้ไปที่ดวงจันทร์จงอย่าติดที่ดวงจันทร์” พระไตรปิกฏเป็นเพียงแพช่วยให้เธอข้ามพ้นสังสารวัฏแต่ไม่ใช่ฝั่ง ในอลคัททูปมสูตร “พระพุทธเจ้าตรัสว่า คำสอนของพระองค์คือลำแพที่เธอต้องสละทิ้งเมื่อข้ามไปถึงฝั่งแล้ว”
    เพื่อนรักของฉัน จนค้นหาให้พบที่ภายในของตัวเธอเองเถิด ค้นให้พบถึงแก่นสารของการดำรงอยู่ภายในตัวเธอ การที่เธอสามารถค้นพบการดำรงอยู่ของตัวเธอเองในปัจุบันขณะได้ สิ่งนี้ถือว่าเป็นก้าวใหญ่ในชีวิตของเธอ เพราะเมื่อถึงตอนนั้น ในแต่ล่ะขณะชีวิตของเธอจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นเวลาแห่งการเรียนรู้ แห่งความสุข แห่งการดำรงอยู่ ณ จุดนั้นบางสิ่งบางอย่างจะหลั่งไหลออกมาจากตัวเธอ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งลี้ลับได้เปิดประตูให้กับเธอ เมล็ดพันธุ์แห่ง ความงดงาม ความรัก ที่มีอยู่ในตัวเธอได้เริ่มงอกงามออกมา สายธารแห่งชีวิต ความเมตตากรุณาที่เธออาจจะไม่เคยรับรู้ว่าตนเองมีอยู่ หรือ เคยรับรู้แต่เป็นเพียงภาพอันเลือนลางเริ่มปรากฏ ตรงจุดนั้นเธอจะเป็นผู้ไวต่อความรู้สึก แม้แต่เพียงธุลีเล็กๆก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ สำหรับเธอ และ ทรงความหมายสำหรับเธอ จงมีจิตที่ปกติ มีสติ แล้วบางทีประตูจะเปิดออกให้กลิ่นหอมโซยออกมา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กลับตัวเธอเองว่าจะสามารถมองเห็นได้หรือไม่
    อันที่จริงแล้วสิ่งที่จะเปิดประตูนั้นได้คือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และ การเอาใจใส่ตัวเองในแต่ล่ะวัน ความรู้สึกต่อการพูด การกิน การเดิน การคิด ในการเฝ้าดู ไม่คัดค้าน ไม่เห็นค่า ไม่ตัดสินค่า ไม่วิพากษ์วิจารณ์ ตรงจุดนั้นประตูแห่งนิพพานก็จะเปิดออก จากความไม่เป็นอมตะสู่นิรันดริ์กาล เมื่อเธอเฝ้าดูและไม่คัดค้าน ไม่เห็นค่า ไม่ตัดสินค่า ไม่วิพากษ์วิจารณ์ เธอก็ได้หยุดวงจรของตัญหาความทะยานอยากลง และ ตรงนั้นเธอก็จะเป็นตัวของเธอ ไม่แสวงหาสิ่งที่เธอไม่ได้เป็น และ แล้วเธอก็จะพบใจของเธอเอง ในวิมลกิรตินิเทศสูตร มีคำกล่าวว่า "ทันใดนั้นเอง เขาก็ตรัสรู้แจ่มแจ้งสว่างไสว และ ได้รับใจของเขาเองกลับคืนมา" ทีนี้ขอให้เธอลอง พิจารณาดูว่าอะไร?จะเกิดขึ้นบ้างล่ะหาเธอวิ่งตามอุดมคติ เธอคิดว่า คนที่ใฝ่หาแบบอย่างในอุดมคติจะไม่ต้องต่อสุ้ดิ้นรนกับตัวเองเรื่อยๆไปหรอกหรือ เธอที่รัก ดูสิทุกขณะนั้นล้วนมี แต่ความขัดแย้ง ความสับสน เธอไม่อาจะไว้วางใจในตัวเอง สูญเสียความเชื่อมั่น ความปิติยินดีทั้งมวล และเธอก็พร้อมจะเป็นทาสของใครก็ได้ <O:p></O:p>
    ธรรมในพระพุทธศาสนา นั้นอยู่ในจิตเดิมแท้ ดังนั้นจึ่งมีแต่จิตเดิมแท้เท่านั้นที่รู้ว่าธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร? จิตเดิมแท้นั้นคืออะไร? อันที่จริงมันก็คือ ความว่าง ความว่างนั้นเองคือเชาว์ปัญญา 84,000พระธรรมขันธ์ล้วนคือสิ่งนี้ ที่ว่าว่างนี้ว่างจากอะไร หากกล่าวอย่างง่ายๆ ก็ขอใช้คำกล่าวของท่านพุทธทาสว่า "ว่างจากความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่านี่คือฉัน นี่ของฉัน"นั้นเอง พระพุทธองค์ตรัสว่า “ขันธ์ห้าที่ประกอบด้วยความยึดมั่นถือมั่น คืออุปทาน สิ่นนี้แหละคือความทุกข์” ดังนั้นเมื่อว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ความทุกข์ก็หายไป ในพระบาลี มัชฌิมนิกาย มีเรื่องเล่าว่า คราวหนึ่งมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธวจนะทั้งหมดที่ตรัสนั้นถ้าจะสรุปให้เหลือเพียงประโยคสั่นๆได้ไหม? พระองค์ตอบว่าได้ นั้นคือ “สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” และ ทรงกล่าวว่า ”ใครได้ฟังข้อความนี้ถือว่าได้ฟังทั้งหมดของพระพุทธศาสนา ได้ปฏิบัติตามนี้ถือว่าได้ปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ได้รับผลจากการปฏิบัติตามนี้ก็ถือว่าได้รับผลทั้งหมดในพระพุทธศาสนา”<O:p></O:p>
    ในวัชรสูตร(Diamond Sutra) มีตอนหนึ่งกล่าวย้ำประเด็นนี้ว่า
    สุภูติเอย จิตนั้นมีอยู่ทุกแห่งหนเสมอกัน เพราะ ไม่มีสูงไม่มีต่ำจึงเรียกว่าสูงสุด เป็นจิตอันเลิศ รู้ตื่นรู้เบิกบาน ผลานิสงค์ของจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน จะประจักษ์ก็โดยการปฏิบัติอย่างไม่ยึดมั่นกับตัวตน บุคคล สัตวะ ชีวะ ดังนี้แล สุภูติ เมื่อพระโพธิสัตว์บรรลุโพธิจิต รู้ตื่นอยู่เป็นนิจ ท่านต้องละทิ้งความคิดทั้งปวง ไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมรมณ์ ดังนั้น จิตท่านย่อมลุความไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย สุภูติเอย สิ่งที่เรียกว่าการปฏิบัตินั้นแท้จริงแล้วไม่มีการปฏิบัติเลย ดังนี้จึงได้ชื่อว่าการปฏิบัติแท้
    อันที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเดียวกับความว่าง ดังนั้น ความว่างนี้เองคือหัวใจของพระพุทธศาสนา ว่างจากความทุกข์หรือความสุข ก็เนื่องมาจากว่างจากความยึดมั่นถือมั่นนั้นเอง เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นความสุขอย่างยิ่ง ดังกล่าวว่า “นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีคำกล่าวว่า “นิพพานคือความว่าง หรือ ของว่างอย่างยิ่ง” คือความว่างที่เกิดจากการดับลง ของแรงปรารถนา ของสิ่งปรุงแต่งที่ไหลเวียนเปลี่ยนแปลงเป็นกระแส เป็นสาย ซึ่งความว่างนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อเธอสามารถมองทะลุจนข้ามผ่านความเป็นทวิลักษณ์(ความเป็นคู่กันของสิ่งต่างๆไปได้) จิตที่ยึดถือมายาลักษณะแห่งความเป็นทวิลักษณ์นี้ ย่อมเป็นจิตที่เห็นผิด มโนทัศน์ เกิดตาย สูงต่ำ มากมายหนึ่งเดียว ย่อมผิดทั้งสิ้น หากเข้าใจได้เยี่ยงนี้ ตรงจุดนั้นสิ่งที่เคยเป็นมายาจะเลือนหาย ความเป็นเช่นนั้นก็จะพลันปรากกฏ คำว่า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา” ย่อมหมายถึงความเป็นเช่นนั้นเองนี้ ในนิกายเซนเขาเรียกสิ่งนี้(ความว่าง) ว่าจิตเดิมแท้ อันหมายถึงจิตที่ว่างจากสิ่งปรุงแต่งนั้นเอง ว่างจนกระทั้งการจะเรียกว่าจิตก็ยังไม่ใคร่จะถูกต้องนัก สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความคับแคบของภาษานั้นเองความจริงนั้นไม่อาจจะพูดหรือถ่ายทอดผ่านถ้อยคำได้ ต้องลงมือปฏิบัติเองจึงจะรู้ได้ ดังคำกล่าวในคำภีร์เต๋า เต๋อ เก็ง ว่า”เต๋าที่บอกเล่าได้ย่อมไม่ใช่เต๋า” หรือคำกล่าวของท่านโพธิธรรมที่ว่า “การเห็นตรงเข้าไปในธรรมชาติแท้ดั้งเดิมของบุคคลนี้คือเซ็น แม้ว่าเธอจะเรียนรู้ พระสูตร และ ศาสตร์นับร้อยนับพันเป็นอย่างดีก็ตาม แต่เธอก็ยังคงเป็นคนโง่เขลาในพระพุทธศาสนา เมื่อเธอยังไม่มองเข้าไปในธรรมชาติแท้ดั้งเดิมของเธอ เนื่องด้วยพระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่ที่นั้น”<O:p></O:p>
    ในวัชรสูตร(Diamond Sutra) มีตอนหนึ่งกล่าวว่า<O:p></O:p>
    “ เธอคิดอย่างไรล่ะ สุภูติ เกี่ยวกับเรื่องที่มีคำกล่าวว่า ตถาคตได้บรรลุแล้วซึ่งจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน เรื่อง ตถาคตได้แสดงพระธรรมเทศนาอยู่เนื่องนิจ”
    สุภูติผุ้เป็นสาวกกล่าวว่า“ หามิได้พระเจ้าข้า ตามที่ข้าพระองค์เข้าใจนั้น พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ไม่มี ธรรมารมณ์อิสระที่เรียกว่า จิตอันเลิส รู้ตื่น รู้เบิกบาน ไม่มีคำสอนใดของพระองค์ดำรงเอกภาวะ ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ ก็เนื่องด้วยเหตุว่า พระธรรมที่พระองค์ ทรงตรัสรู้ และ เทศนาไม่อาจจะบรรยาย ไม่อาจจะกล่าวได้ว่า ดำรงภาวะอิสระแยกจากกัน ไม่เป็นทั้งตัวตนดำรงอยู่ หรือ ไม่มีตัวตนดำรงอยู่ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า พระอริยบุคคลย่อมต่างจากผู้อื่นก็ด้วยอสังขตธรรมนี้แล”
    คำกล่าวที่ว่า”ไม่มีคำสอนใดของพระองค์ดำรงเอกภาวะ ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ ก็เนื่องด้วยเหตุว่า พระธรรมที่พระองค์ ทรงตรัสรู้ และ เทศนาไม่อาจจะบรรยาย ไม่อาจจะกล่าวได้ว่า ดำรงภาวะอิสระแยกจากกัน ” สิ่งนี้บ่งชี้ให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าความจริงนั้นไม่อาจจะพูดหรือถ่ายทอดผ่านถ้อยคำได้ ต้องลงมือปฏิบัติเองจึงจะรู้ได้ เธอเห็นคำว่า “ไม่อาจจะกล่าวได้ว่า ดำรงภาวะอิสระแยกจากกัน” ไหมสิ่งนี้บ่งชี้ว่า ธรรมนั้นอยู่กับเธอแล้วในชีวิตประจำวันของเธอเอง ในองค์รวมของเธอในความทุกข์โศก ในความรัก ความเมตตาของเธอ ไม่ใช่ในมัสยิด วัด คัมภีร์ ใด พระรูปไหน?

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กันยายน 2011
  18. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ฉันเคยได้ยินมาว่า ท่านโจชูถามอาจารย์นานเซ็นว่า “ธรรมชาติแห่งพุทธะคืออะไร?”
    นานเซ็นตอบว่า “ธรรมดา”
    ต่อมานักเรียนคนหนึ่งถามโจชูได้โปรดสอนสิ่งที่ท่านได้เรียนรุ้จากท่านนานเซ็นให้กระผมด้วย
    โจซูพูดขึ้นว่า “ได้ ว่าแต่เธอทานอะไร?แล้วหรือยัง”
    นักเรียนท่านนั้นตอบว่า”กระผมได้ทานแล้วครับ”
    โจชูพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นไปล้ามชามของเธอสิ”
    ใช่มันต้องเป็นเช่นนั้น “ถ้าเช่นนั้นไปล้ามชามของเธอสิ” นี่แหละคือสิ่งที่นานเซ็นสอนท่านโจชุล่ะ
    คำว่า “ พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ไม่มี ธรรมารมณ์อิสระที่เรียกว่า จิตอันเลิส รู้ตื่น รู้เบิกบาน ไม่มีคำสอนใดของพระองค์ดำรงเอกแยกจากกัน ไม่เป็นทั้งตัวตนดำรงอยู่ หรือ ไม่มีตัวตนดำรงอยู่ “ ตรงนี้ท่านสุภูติชี้ว่าไม่มีสภาวะที่เรียกว่าจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน นั้นคือไม่มีธรรมหรือ การบรรลุใดๆ เหตุผลเพราะไม่มีอะไรที่ดำรงตนอยู่อย่างอิสระให้เธอมุ่งไปถึง ทุกสิ่งเป็นองค์รวม ที่เปลี่ยนแปลงไปเสมอๆ ดังนั้นท่านจึ่งกล่าวว่า ไม่เป็นทั้งตัวตนดำรงอยู่ หรือ ไม่มีตัวตนดำรงอยู่ นั้นคือไม่มีสภาวะใดๆที่หยุดนิ่งนี่คือมายาภาพ เช่นเธอพูดว่า คนๆหนึ่งตาย แต่อันที่จริงหามีใครตายไม่ ทั้งไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเกิด ภาวะที่เรียกว่าคนเกิด หรือ คนตายนั้นเป็นสิ่งหยุดนิ่ง แต่เธอจะเห็นว่าแม้ว่าเขาจะตาย แต่ทุกสิ่งก็ยังคงที่จะไม่หยุดนิ่ง ร่างกายของเขายังไม่อาจจะหยุดนิ่งจริง ยังเน่าเปลื่อยผุพัง และ ไหลเวียนกลับไปในธรรมชาติ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเช่นนี้ เช่นเดียวกับการที่คนๆเติบโตขึ้นเรื่อยๆเธอจะเห็นได้ว่าชีวิตของเขาก็ไม่ใช่สิ่งหยุดนิ่ง จากคนเกิด คนเจ็บ คนแก่ คนตาย เมื่อเธอเข้าใจในความว่างเธอก็จะเห็นถึงสิ่งที่เป็นสัจจะจากมายาภาพ ดังคำกล่าวของพระพุทธองค์ว่า “ขอเธอจงมองดูโลกด้วยความเป็นของว่าง มีสติอยู่อย่างนี้ทุกเมื่อ และ เมื่อเธอมองเห็นโลกอยู่ในลักษณะนี้ความตายจะหาเธอไม่พบ” ความตายในที่นี้หมายถึงความตายทางจิตวิญญาณนั้นเอง และ ความตายเยี่ยงนี้นี่เองที่เป็นมายาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา พระพุทธองค์ตรัสว่า “สรรพสิ่งปรุงแต่งดุจดังฝัน ดุจพรายน้ำ ดุจสายฟ้า ดุจภูติหลอน จงดูให้เห็นสิ่งเหล่านี้ ด้วยการเพ่งภาวนา” เมื่อว่างจากสิ่งปรุงแต่งจิตของเราก็จะไม่แสวงหา และ สงสัยอีกต่อไป เธอที่รักถึงตรงนี้อย่าพึ่งเข้าใจผิดว่า จิตของเธอได้พอใจในสภาพที่เป็นอยู่เสียแล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่แต่มันเป็นจิตที่ไม่มีมายาภาพ และเคลื่อนที่ไปในมิติที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากมิติเดิมนี้ที่เธอเคยมีชีวิตอยู่ ชีวิตซึ่งเป็นความกลัว ความเจ็ปปวด ความสุข ซึ่งได้กำหนดจิต จำกัดธรรมชาติของจิต จิตของเธอจะทำงานในมิติที่ต่างออกไป ซึ่งไม่มีทั้งความขัดแย้ง และ ไม่มีความเป็นอื่นอีก
    เพื่อนรักของฉันมีเรื่องหนึ่งซึ่งดีมากๆ ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้ากล่าวกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ฉันกระหายน้ำมาก เธอช่วยไปนำน้ำมาให้ฉันได้ไหม?” ว่าแล้วพระอานนท์ก็เดินไปที่ลำธาร แต่ว่าก่อนที่ท่านจะเดินทางไปถึงก็ได้มีเกวียน 2 เล่มแล่นผ่านมาทำให้ตะกอนดินที่ก้นแม่น้ำลอยขึ้นมา และลำธารก็ขุ่น ท่านจึงต้องจำใจเดินกลับไป เมื่อกลับไปท่านกล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า “เกิดเรื่องบางอย่าง ขึ้นข้าพระองค์ไม่สามารถนำน้ำกลับมาได้ แต่พระองค์อย่าได้ทรงกังวลเลย ในอีก 4 ไมล์ข้างหน้าก็ยังคงมีลำธารอีกสาย ข้าพระองค์จะไปนำน้ำที่นั้นมา” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “จงอย่าได้ไปเลยอานนท์ จงกลับไปที่ลารสายนั้นอีก แล้วนำมาเถอะ” พระอานนท์กล่าวว่า “แต่น้ำนั้นสกปรก” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ไม่เป็นไร เธอไปนำมาเถิด” และ แล้วเมื่อท่านอานนท์ได้กลับไป ท่านก็ได้พบว่าตอนนี้น้ำได้กลับมาใสอีกครั้งหนึ่งเพราะ ขุ่นตะกอนได้ตกลงไปยังก้นแม่น้ำอีกครั้ง ทันใดนนั้นเองบางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้นมันคือการตื่นรู้ ตอนนี้ท่านเข้าใจแล้วว่าครูของท่านหมายความว่าอย่างไร เพียงแค่ตอนนั้นท่านรู้จักรอในไม่ช้าน้ำก็จะใสอีกครั้ง เมื่อท่านกลับไปพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก้กล่าวกับท่านว่า “เธอเข้าใจแล้วหรือยังอานนท์ ” พระอานนท์ท่านร้องไห้แล้วตอบว่า “ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ตลอดมาข้าพเจ้าช่างโง่เขลา สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นเอง ใบไม้ไหลล่องไปตามลำธาร เพียงนั้นอยู่ที่นั้นแล้วเฝ้ามองลำธาร ในจิตใจของข้าพเจ้า อันเต็มไปด้วยตะกอนของ อดีต ความตาย เพียงเท่านั้นในไม่ช้ามันก็จะตกตะกอนไปเอง ที่ผ่านมาข้าพเจ้าพยายามที่จะเป็นดังพระองค์ แต่ยิ่งไขว่คว้า มันกลับยิ่งแย่ลง ทัศนคติร้าย ที่ว่าบางทีในชีวิตนี้ข้าพระองค์คงไม่อาจจะตรัสรู้ได้เช่นพระองค์ก็ได้ยิ่งผ่านเข้ามา” มันเป็นเช่นนั้นอานนท์พระพุทธองค์กล่าว “คนที่กระหายน้ำไม่ใช่ฉันหรอก แต่เป็นเธอเองต่างหาก ที่ฉันให้เธอไปที่นั้นเพื่อสิ่งนี้นั้นเอง”
    เพื่อนรักของฉัน อันที่จริงแล้วนั้น หนทางแห่งการเฝ้าดูนี้พระพุทธองค์ทรงเรียกมันว่า “มัชฌิมานิกาย” หรือ “ทางสายกลาง”
    เพียงนั่งอยู่ที่ลำธารแห่งจิตใจ โดยไม่ต้องทำสิ่งใด เพียงเธอสงบนิ่ง และ เฝ้าสังเกตุสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในจิตใจของเธอ
    สิ่งที่เกิดขึ้นที่ไหนสักแห่งในนั้น ในจิตที่ไม่ใช่ของเธอ แต่เป็นของโลก เธอเป็นเพียงผู้เฝ้าดุ บนทางสายกลางนี้ ไม่เอนไปยังขั่วใด ด้วยการเฝ้ามองนี้เธอก็จะสามารถดำรงอยู่บนทางสายกลางนี้ได้ บนความไม่ยึดมั่น ผลักไสสิ่งใดๆ หากความสุขอยู่ที่นั้นก็แค่รับรู้ถึงมัน แต่เธอก็ไม่ได้ยึดติด ไม่ได้พยายามที่จะทำให้มันเข้ามา หากความทุกข์มาเยือน เธอก็เพียงเฝ้าดู เช่นนี้ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแสงสว่างก็จะมาในขณะที่พระอาทิตย์จากไป ความมืดก็จะมาถึงสลับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เมิ่อความผิดหวังระคนทุกข์อยู่ที่นั้น เธอก็เพียงแต่เฝ้าดู เพราะตอนนี้เธอได้รู้แล้วว่าเมื่อมาเยือนในไม่ช้ามันก็จะจากไป รอยยิ้ม เสียมหัวเราะ ความปีติก็จะเข้ามาแทน แค่กระนั้นเธอก็ยังคงเฝ้าดูมัน เพราะเธอรู้ว่าความสุขนั้นไม่อาจจะดำรงอยู่ได้ตลอดนี่คือเรื่องพื้นๆที่ชีวิตนั้นสะท้อนออกมา ไม่นานนักความทุกข์ก็จะปรากฏตัวออกมา ด้วยการมองเช่นนี้เธอก็จะสามารถเห็นโลกได้อย่างที่มันเป็นจริงๆ ความจริงสิ่งที่กล่าวไปนั้นก็คือ หลักปฏิจจสมุปบาท นั้นคือเมื่อสัมผัสกันเข้ากับรูป เสียง กลิ่น รส ทางตา หู จมุก ปาก หรืออื่นๆ ก็จงอย่าปรุงแต่งให้เป็นความรู้สึกพอใจ หรือ ไม่พอใจขึ้น(เวทนา) เช่นเมื่อมีคนมาทำให้เธอโกรธจงอย่าให้จิตของเอปรุงแต่งให้เป็นความรู้สึกไม่พอใจ ดังนั้นความอยากได้อยากมีไม่อยากได้อยากมี และ ไปยึดมั่นก็จะไม่เกิด (ตัณหา กับอุปทานก็จะไม่เกิด) จึ่งไม่มีภพ มีชาติ มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มีความทุกข์ ซึ่งการที่เธอจะทำเช่นนี้ได้ต้องอาศัยพลังอำนาจของ ความเห็นถูก และ สติ ค่อนข้างมากเพื่อรู้ทันจิตคิด การกระทำของตน ในมรรค 8 การมีความเห็นถูกคือข้อแรก เมื่อเธอเห็นถูก เธอก็จะประพฤติถูกซึ่งก็คือ ข้อต่อๆมา อำนาจแห่งการมีสัมมาสติจะช่วยเน้นย้ำให้เธอสามารถดำรงรักษาความเห็นถูก และ การปฏิบัติถูกของเธอไว้ได้ ถ้าเธอสามารถที่จะมองตัวเธอเองได้อย่างแท้จริงด้วยอำนาจแห่งสติ และยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น เธอก็สามารถที่จะ สถาปณาความสงบสุขให้เกิดขึ้นภายในตัวเธอได้ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนี้ของเธอ การมีสติจะช่วยให้สมาธิได้เกิดขึ้น จิตที่กอปรด้วยสัมมาสมาธิย่อมเป็นจิตที่มีปัญญาญาณ ดังนั้นความทุกข์จึงดับไป ความจริงสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกับ หลักศีล สมาธิ ปัญญา นั้นเอง ศีลนั้นไม่ใช่สิ่งที่สูงส่งอะไร? เพราะศีลนั้นหมายถึงสิ่งที่คนที่เป็นมนุษย์นั้นปฏิบัติกันนั้นเอง แต่สมาธิคืออะไร สมาธิก็คือการที่เธอเฝ้ามองดูปัญหาให้กระจ่างแจ้ง มองให้ทะลุผ่านม่านหมอกแห่งปัญหาที่ซึ่งความทุกข์ทั้งมวลจะสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตามฉันใคร ขอกล่าวว่า การเจริญสติเพื่อบ่มเพาะอำนาจแห่งสมาธิ คือเคล็ดลับของการปฏิบัติทั้งมวลในศาสนาพุทธ มันจะต้องถูกบ่มเพาะจนเป็นเนื้อนาเดียวกันกับชีวิตของเรา เสมือนกับการหายใจ เธอไม่อาจจะหายใจเพียงวันล่ะครั้งได้ รู้อะไร?ไหม? ยิ่งเธอมีสติมากเท่าไหร่? เธอก็จะยิ่งรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของตัวเธอมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในการใช้ชีวิตเธอจึ่งจำเป็นต้องมีสติรู้ตัวพร้อม อย่างต่อเนื่อง เพราะชีวิตของเธอนั้นก็เป็นกระแสรธารที่ต่อเนื่อง การมีชีวิตนั้นเริ่มต้นที่การมีลมหายใจ และ เธอยังคงหายใจต่อเนื่องเสมอๆ การกลับมาอยู่กับลมหายใจตามรู้การเคลื่อนไหวที่เข้า และ ออกโดยไม่ต้องพูดหรือทำสิ่งใด? เพียงแค่รู้เท่านั้นว่าเธอมีชีวิตเพราะกำลังหายใจเข้า และ กำลังผ่อนคลายความทุกข์ ความกลัว ความโกรธ ออกไปเพราะหายใจออก ก็พอแล้ว สิ่งนี้เมื่อฝึกฝนบ่อยขึ้นพลังแห่งสติของเธอจะแข็งแรงขึ้น การมองในมุมมองแบบนี้จะ ช่วยให้เธอตระหนักรู้ถึงความสามารถในการแปรเปลี่ยนความทุกข์ของตนเองทำให้เธอเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น พึ่งคนอื่นและสิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกน้อยลงทั้งเธอยังอาจจะเป็นที่พึ่งพิงแก่บุคคลอื่นได้ด้วย สำหรับการสร้างสุขในทุกขณะนั้นลมหายใจเป็นเครื่องมือเดียวที่ช่วยนำกายและใจกลับมาอยู่รวมกันได้ และตรงจุดนั่นเองที่เธอจะเรียกมันได้เต็มปาก ว่าธรรมชาติแท้แห่งตนเมื่อเธอสามารถข้ามพ้นการเวลา การคิดอันเป็นผลพวงการสะสมของอดีตและตระหนักว่าเวลาเดียวที่เธอนั้นเป็นเจ้าของคือปัจจุบันขณะ
    ในสมัยพุทธกาล มีหญิงผู้หนึ่งชื่อว่า กีสาโคตมี อยู่มาวันหนึ่ง บุตรของเธอได้ตายลง สิ่งนี้ประดุจดังฆ้อนที่สั่นสะเทือนไปยังวิญญาณเธอ เธอไม่เคยรู้ว่ามีความตายอยู่บนโลก เธอกรีดร้องทำร้ายทุกคน แม้แต่สามีที่เข้าใกล้เธอ เธอประคองกอดศพลูกด้วยความรัก เธอสัมผัสศพนั้นอย่างแผ่วเบา เธอครุ่นคิดฉันจะต้องหายามารักษาลูก ลูกของฉันนั้นป่วยเป็นโรคประหลาด ที่หลับไม่ตื่น คนทั้งหมดล้วนบ้าไปแล้ว จะเอาเด็กทั้งคนไปเผาได้อย่างไร?"ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>

    เธอวิ่งและวิ่ง เธอหนี เธอไม่สนใจรูปลักษณ์ของตน ไม่ว่าผมจะหลุดหรุ่ย ไม่ว่าเสื้อผ้าที่ใส่จะขาด ไม่ว่าฝนจะตก หรือไม่เธอยังคงเดินไป น้ำตาของเธอหยดไหลจนเหือดแห้งไป เธออุ้มศพลูกเดินไปตามตลาด ไม่ว่าศพนั้นจะเน่าและส่งกลิ่นเพียงใด ไม่ว่ารูปลักษณ์ของบุตรจะเปลี่ยนไปเพียงใดเพียงใดเธอไม่รับรู้ เธอไปตามบ้านทุกบ้าน เธอแคะ ประตู ด้วยหวังว่า จะมีใครสักคนรู้วิธีรักษาลูกของเธอ วันทั้งวันเธอจะพูดเพียงว่า “ใครรู้จักหมอที่รักษาลูกชายฉันได้บ้าง ใครบ้าง" คนทั้งหมดคิดว่าเธอบ้า
    ขณะนั้นเองมีบัณฑิตผู้คนหนึ่งพบเธอก็เกิดความสงสาร เขาพูดว่า "แม่หญิงถ้าเธอเข้าใจสิ่งที่ฉันพูด จงไปหาพระพุทธเจ้า พระองค์รู้วิธีนั้นที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร” พอได้ยินดังนั้น นางก็รีบไปที่ พระเชตวันมหาวิหาร นางเข้าไปในสภาพเช่นนั้น จิตของนางนั้นราวกับคนละเลือน ปากนางพร่ำเรียกขานชื่อ พระพุทธเจ้า ปากนางรำพึงเพียง “ฉันจะพบพระพุทธเจ้า ลูกฉันต้องการหมอ” <O:p></O:p>
    เมื่อถึงพระเชตวันมหาวิหาร ไม่มีใครยอมให้นางเข้าไป เฝ้าพระบรมศาสดา ใครล่ะจะยอมให้คนบ้าเข้าใกล้คนที่ตัวเองรัก และ เถิดทูล “ออกไปนางหญิงบ้า ออกไปเธอเข้าไปไม่ได้ อย่าให้เธอเข้าไป เธออาจจะทำร้ายพระพุทธเจ้า” เสียงร้องเช่นนี้ดังระงม กีสาโคตมีจะทำอันใดได้ นางกรีดร้อง ร้องไห้ฟูมฟาย “ปล่อยฉันลูกฉันต้องการหมอ” พระพุทธเจ้าเห็นเช่นนั้นจึ่งกล่าวว่า “ให้นางเข้ามาเถอะ” เสียงคัดค้านดังระงม "แต่......นางเป็นคนบ้า” พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไร ให้นางเข้ามาเถอะ” ดังนั้นางจึ่งได้เขาพบพระองค์ พระพุทธเจ้ากล่าวกับนางว่า“แม่หญิงที่รัก หยุดร้องไห้เถอะ ขอเธอจงมีสติ และ บอกความต้องการของเธอมา” นางกีสาโคตมีถวายบังคมแล้วทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญทราบว่า พระองค์ทรงทราบยาเพื่อบุตรของหม่อมฉันจริงหรือพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้ากล่าวกับนางว่า “แม่หญิงที่รักเป็นเช่นนั้น” นางกีสาโคตมีจึ่งกล่าวว่า “ถ้าพระองค์มีได้โปรดแบ่งให้หม่อมฉันด้วย เถอะไม่ว่าอะไร? หม่อมฉันก็จะหามาแลกให้ได้ พระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้ากล่าวกับนางว่า “ เธอไม่ต้องทำเช่นนั้นน้องหญิง เพียงเธอไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาด จากบ้านใดที่ยังไม่เคยมีคนตายมาให้ฉัน แล้วฉันจะปรุงยารักษาลูกเธอให้” นางกีสาโคตมีถวายบังคมแล้วทูลถามว่า “แค่นี้เองรึ พระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้ากล่าวกับนางว่า “แค่นี้” <O:p></O:p>
    หลังจากนั้นไม่นานนางถวายบังคมแล้วรีบอุ้มศพลูกเดินไปตามบ้านต่าง ๆ นางยิ้มอย่างมีความสุข เพราะนางรู้วิธีแล้ว นางแคะเพื่อหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้น หลังแล้วหลังเล่า แต่นางก็ยังคงไม่พบ นางเริ่มท้อ ไม่ว่าจะหลังไหนนางก็ได้คำตอบมาเหมือนกันว่า แต่ละบ้านนั้นมีคนตายมากกว่าคนเป็นเสียอีก และ แล้วบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมันเป็นความคิดที่ไม่มีที่มา มันมาดังสายฟ้าฟาด “ไม่มีบ้านไหนเลยที่ไม่มีคนตาย คนทุกคนล้วนต้องตาย แม้แต่นางเอง นี่เป็นเรื่องธรรมดา” พอนางคิดได้เช่นนั้น นางจึงหยุดเศร้าโศก พิจารณาความคิดนี้ นางรำพึงใช่แล้ว "ลูกฉันตาย ในไม่ช้าฉันก็จะตาย ดังนั้นฉันควรทำสิ่งที่ควรทำในตอนนี้ เพราะใครจะรู้ล่ะว่าอีกไม่กี่เพลาต่อจากนี้ฉันอาจจะตาย "เมื่อคิดตกเธอจึงได้นำเอาศพลูกไปฝังไว้ในป่าแล้วกลับไปยังสำนักของพระบรมศาสดา
    พระพุทธเจ้ากล่าวกับนางว่า “น้องหญิงได้มาไหม?” นางตอบว่า “มิได้พระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้ากล่าวกับนางว่า”น้องหญิงเอ๋ยเธอคงเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าความตายนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครเลยที่หนีจากมันพ้น ทั้งมิอาจจะรู้ได้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ เธอมิอาจจะปฏิเสธแขกคนนี้เมื่อเขาเคาะ ที่จริงความตายนั่นแหละเป็นสิ่งที่แน่นอนสำหรับสัตว์ทั้งหลาย ดังนั้นในขณะที่เธอมีชีวิต จงใช้มัน ชื่นชมความงามของมันในทุกๆขณะ ด้วยความตื่นรู้อย่างมีสติ”
    นางกีสาโคตมีเป็นตัวอย่างของคนที่ไม่รู้เท่าทันชีวิต ไม่รู้ว่าชีวิตเป็นอย่างไร? ดังนั้นเธอจึ่งรู้สึกทุกข์โศกเมื่อต้องสูญเสียสิ่งที่รัก ดังนั้น เรื่องนี้จึ่งเป็นบทเรียนที่ดีต่อตัวเธอ ว่าชีวิตนี้สั้นนัก จงใช้มันอย่างคุ้มค่า ยิ่งเธอรับรู้กระแสธารที่ต่อเนื่องของชีวิต มากขึ้นเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งมองเห็นมันมากขึ้น ที่นี้เธอจะสังเกตุมันได้อย่างลึกซึ้ง การมีสมาธิจะช่วยให้เธอ มองอย่างลึกซึ่งถึงความหมายที่ชีวิตได้มอบให้เธอ ผ่านความสุข ความรัก ความเศร้าโศกระคนทุกข์ ปัญหาต่างๆ แน่ละ ชีวิตเป็นสิ่งที่ไหลเลื่อนเพราะ ในชีวิตนั้นมีความตายอยุ่ทุกๆขณะ และ ในความตายนั้นก็มีชีวิต มีความเกิดอยู่ทุกๆขณะ อันที่จริงแล้วในความเป็นมนุษย์นั้น ผลสำเร็จของชีวิตนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเธอใช้ชีวิตมุ่งไปข้างหน้าได้อย่างไร วิธีไหน?ถึงเป้าหมายหรือไม่แต่มันอยู่ที่ว่า เธอรู้หรือไม่ว่ากำลังมีชีวิตอยู่ ความสุข เป้าหมายทั้งมวลอยู่ที่นั่นแล้ว ในตัวเธอ เพียงแต่เธอจำไม่ได้เท่านั้น เพราะ ที่ผ่านมาเธอมีชีวิตแต่มีอยู่แบบไม่รู้ว่าการมีชีวิตอยู่เป็นอย่างไร การที่เธอได้ตระหนักรู้ก็เท่ากับว่าเธอได้ปล่อยให้พลังของชีวิตที่เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไ รแต่มันอยู่ที่นี่แล้ว ได้หลั่งไหลออกมา
    การที่คนเราตื่นรู้ในการดำรงอยู่ของเรามันก็เท่ากับเป็นการเดินทางเข้าไปในความรัก เป็นการตระหนักอย่างเต็มที่ว่าไม่มีความมืดใดๆ ในตัวเราอีกต่อไปนั่นคือจุดสิ้นสุดของการเดินทาง อย่างไร?ก็ตาม จริงๆแล้วการเดินทางนั้นยังไม่ได้เริ่มต้นและยังไม่ถึงจุดสุดท้ายเธอยังคงเดินต่อไปหลังจากนั้น แต่มันจะเป็นการเดินทางที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเป็นความชื่นชมยินดีเป็นการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่<O:p></O:p>
    สมาธิที่เกิดขึ้นจะช่วยให้ เธอมอง เห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง สิ่งที่เธอนั้นกระทำลงไปย่อมมีผลต่อผู้อื่นหรือโลกใบนี้ และพร้อมกลับคืนกลับมาสู่เธอเสมอ เหมือนลูกตุ้มที่ถูกแกว่งไป ดังนั้นความเข้าใจเช่นนี้จะทำให้เธอมองเห็นว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันโดยไม่มีการแบ่งแยก มันช่วยให้สามารถฟังอย่างลึกซึ้งณ จุดนั้นในสมาธินั้น จิตของเธอที่ได้วิ่งวุ่นมานับร้อยนับพันชาติ ก็จะนิ่งเพียงพอที่จะได้ยินเสียงและความต้องการภายในของเธอ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ในปัจจุบันขณะ ณ ที่นี่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น เมื่อสมาธิ เชาว์ปัญญาก็จะเผยตัวออกมา คนเราทุกคนเกิดมาพร้อมเชาว์ปัญญา ความจริง ต้นไม้ สิ่งต่างๆเองก็มีเชาว์ปัญญา มันซ่อนอยู่ในทุกๆที่แต่มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่รู้ มันก้าวกระโดดออกมาเมื่อจิตเธอว่าง เมื่อเธอมองเห็นธรรมชาติแท้แห่งตน เชาว์ปัญญานั้นเป็นดั่งเพชร มันช่วยให้เธอตัดทำลายมายาภาพ เงื่อนไขที่บิดเบือนชีวิตเธอ เพื่อนรักของฉัน เมื่อใครสักคนมี พลังอำนาจแห่งสติกำกับชีวิต เขาก็ได้เฝ้ามองดูชีวิต สิ่งรอบข้าง ความเป็นไปของมัน ตั้งแต่เริ่ม และ สิ้นสุดไป ตามแต่เหตุ และ ปัจจัย เขาจะเห็นความเป็นอนัตตาในนั้น ในภายในที่ไม่มีสิ่งใด ตัวตน และ ดวงดาวที่เคยมี เคยรับรู้ก็จะพลอยสูญหายไป อันที่จริงคนไร้เชาว์ปัญญา ก็จะเจริญภาวนาพยายามทำสมาธิ แต่มันก็ยังคงทำให้ไม่ช่วยอะไร? เชาว์ปัญญานั้นนำมาซึ่งการทบทวนใคร่ครวญ และ ทดลองปฏิบัติจนในที่สุดก็รู้ได้ด้วยตนเองว่า สิ่งนี้หรือสิ่งนั้น เป็นหนทางอันถูกถ้วนที่สมควรจะเดินต่อไป หรือ หยุดเสีย เพื่อนรักของฉัน ณ ตอนนี้ เช่นนี้ ความทุกข์นั้นจะมิอาจเข้าใกล้เข้าได้ อวิชชาจะไม่มีอำนาจเหลือ เพราะไม่ว่าความสุข หรือ ความทุกข์จะผ่านมา มันก็จะผ่านไปไหลออกจากคนๆที่มีพลังอำนาจนี้โดยมิได้มิได้ส่งผลต่อเขา เขาสุขเมื่อความสุขเข้ามา และ มิได้ทุกข์เมื่อมันจากไป เขาไม่พยายามแม้แต่จะให้มันเกิดขึ้น เพราะ เขารู้ว่าในไม่ช้ามันจะจากไป ความทะยานอยาก แรงปรารถณามิอาจจะนำพาสิ่งใดมาให้ชีวิตได้อย่างแท้จริง อันที่จริงไม่มีสิ่งใดที่เพื่อจะให้ได้มา เขาแบบมือที่เคยกำ เขาทำทุกอย่างเพื่อเป็นรางวัลแด่ตัวเอง ถ้าตอนนี้ความสุขมันอยู่ที่นั้น ก็แค่ดื่มด่ำไปกับมันเท่านั้น เช่น เดียวกันเมื่อความทุกข์เข้ามามันมิอาจจะนำพาความกังวล ทุกข์โศก เจ็บปวดมาสู่เขา เขาพร้องเผชิญหน้ากับมัน เขาอยู่ที่นั้น เขาเฝ้ามองมัน และ จัดการกับมัน ด้วยสำนึกรู้ที่ว่ามันเข้ามาและในไม่ช้าจะจากไปเฉกเช่นดวงดาวในยามค่ำสิ่งนี้แหละ อันที่จริงหัวใจของ<O:p></O:p>
    สมาธิภาวนานั้นคือการสังเกตุ โดยเริ่มจากการที่เธอสังเกตุร่างกายของตนเองก่อน เฝ้ามองแต่ล่ะก้าวที่ก้าวเดิน การกิน การดื่ม ลมหายใจ หรือ กระทั้งการขับถ่ายของเธอ ต่อมาเมื่ออำนาจแห่งสติของเธอเข้มแข็งขึ้น เธอก็เลือนขึ้นสู่จิต สังเกตความคิดของเธอ แต่จงอย่าตัดสิน ความคิดที่ผ่านเข้ามา เพราะชั่วขณะที่ตัดสินการสังเกตุจะหายไป และ แล้วตรง จุดนั้นเธอจะประหลาดใจเพราะเมื่ออำนาจแห่งสติของเธอเข้มแข็งขึ้นความคิดค่อยๆหายไป จากนั้นจงเคลื่อนเข้าสู่อารมณ์ความรู้สึก จากจิตใจสู่หัวใจ และ แล้วฌะอจะค่อยๆเห็นว่าในชีวิตประจำวันเธอได้ปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกครอบงำเธอมากแค่ไหน? ตรงจุดนั้นเธอจะเริ่มเข้าใจและไม่ถูกอารมณ์ความรู้สึกครอบงำอีก และ เป็นอิสระจากทุกๆสิ่งที่อาจจะเข้ามามีอำนาจเหนือเธอ แต่เธอต้องระลึกไว้ว่าการปฏิบัติที่ได้กล่าวไปนี้ จะต้องไม่เกิดจากความพยายาม ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ความคิด ความรู้สึก หรือ อารมณ์ของเธอถ้ามันจะวิ่งไปก็ปล่อยมันในไม่ช้ามันก็จะเหนื่อยและหยุดไปเอง หลังจากนั้นการดำรงอยู่ของเธอก็จะปรากฏออกมา ทั้งนี้เพราะ ณ ตอนนี้ เธอได้ดำรงอยู่เพิ่อตัวเธอเอง ดูแลชีวิตของเธอความสุขของเธอ การพักผ่อนของเธอ ในปัจจุบันขณะนี้แล้ว และ นั้นจะเป็นครั้งแรกที่เธอได้กลับมายังบ้านของเธอ เพียงง่ายๆแค่นี้แล้วเธอจะพบในสิ่งที่น่าประหลาดใจนั้นคือ เธอมีความสุข ความสุขที่เธอหามานานอยุ่ที่นี่ ง่ายๆแค่นี้ ตรงนี้ในการดื่ม การกิน การหายใจเข้าออก การหัวเราะ สัมผัส ความกำหนัด ความริษยา ความตาย ในทั้งหมดที่เรียกว่าตัวเธอเอง
    สิ่งไม่ดีทั้งหลาย จงอย่าทำ สิ่งดีทั้งหลาย จงหมั่นทำ เพียรขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์สงบ นี่แหละคือคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    ฉันใคร่เน้นย้ำอีกทีว่า นิพพานนั้นไม่ใช่เป้าหมายของศาสนาพุทธ เนื่องด้วยอิสรภาพมิอาจจะเกิดขึ้นได้จากแบบอย่างหรืออุดมคติใดๆ ศาสนาพุทธเพียงสอนเธอถึงวิถีในการมีชีวิตอยู่ เพื่อตัวเธอเองและโลกใบนี้ ไม่ใช่เพื่อเป้าหมายหรือให้บรรลุอะไร? ศาสนาพุทธพูดเพียงว่า เธอจะมีความสุขอยู่ ณ ที่นี่ตรงนี่ได้อย่างตระหนักรู้ได้อย่างไร สติตระหนักรู้ไม่ใช่หนทางไปสู่ที่แห่งใด มันคือเป้าหมายในตัวมันเอง
    ดังในวัชรสูตร(Diamond Sutra) มีตอนหนึ่งกล่าวว่า
    “ดูก่อน สุภูติ ถ้าบุคคลกล่าวว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงพระดำเนินมา ทรงพระดำเนินไป ประทับนั่ง และ ทรงไสยาสน์ บุคคลนั้นย่อมไม่เข้าใจสิ่งที่ตถาคตกล่าวไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า ตถาคตหมายความว่า “ไม่มาจากไหน? และไม่ไปที่ไหน” ดังนี้แลจึงเรียกว่า ตถาคต”
    ในขณะที่ท่านเว่ยหลางจะดับขันธ์ ศิษย์ของท่านถามว่า “ท่านกำลังจะไปยังที่แห่งใด?ครับ” ท่านเว่ยหลางตอบว่า “เจ้าโง่ข้าจะไปยังที่แห่งใดได้เล่ามันมีแต่ที่นี่เดี๋ยวนี้เท่านั้น”
    นิพพานคืออิสรภาพ มันคืออิสรภาพทางจิตวิญญาณ อิสรภาพของจิตสำนึกที่ไม่ถูกผูกรัดด้วยโซ่ตรวนของกิเลสใดๆ ความโลภ ตัณหา ความโกรธเกลียด เป็นจิตสำนึกที่ปราศจากความคิด ภาวะไร้จิต อิสรภาพซึ่งดอกบัวแห่งโพธิปัญญาที่มีหลายหมื่นหลายแสนกลีบได้เบ่งบาน อบอวลกลิ่นหอม แห่งสันติธรรม เมตตา กรุญา ความรัก และ ความสุข เป็นความว่างอันพิสุทธิ์ไร้ขอบเขตที่ปรากกออกมาเมื่อพ้นจากความเป็นฉัน และ ของฉัน
    ในคัมภีร์อิติวุตตกะดังเดิม ได้กล่าวถึงนิพพานไว้ 2 ประเภทคิอ สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ยังมีเชื้อกิเลสเหลืออยู่ คือร่างกายอันประกอบไปด้วยขันธ์ห้า (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) และ อนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานอันไม่เหลือซึ่งเชื้อกิเลสทิ้งไว้เบื้องหลัง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเราตาย (ขันธ์ทั้งห้าก็สลายไปหมด) ทีนี้ฉันเห็นด้วยที่ว่าเมื่อเราตายขันธ์ทั้งห้าก็สลายไปหมดดังนั้นจึ่งไม่มีเชื้อให้ความไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้เข้ามาจับจนก่อเกิดเป็นทุกข์ แต่ฉันไม่เห็นด้วยกลับการมีสิ่งที่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ซึ่งเป็นนิพพานแบบครึ่งๆกลางๆ เพราะนี่จะหมายความว่า ในขณะที่พระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ ยังไม่ตาย(หรือพูดให้ถูกคือยังไม่เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน) ก็ยังคงมีเชื้อกิเลสเหลืออยู่ (ดังนั้นจึ่งยังคงที่อาจจะทุกข์อยู่ได้บ้าง) กล่าวคือ ฉันใคร่จะเน้นย้ำว่า การมีขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวทุกข์ แต่การที่เราหลงไปยึดมั่นถือมั่นอยู่กับขันธ์ห้าต่างหากที่ทำให้เราทุกข์ ดังนั้นหากบุคคลผู้ซึ่งหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นได้นั้นความทุกข์ใหม่ก็จะไม่สามารถจับเข้าได้อีก นั้นคือหลุดพ้นไปจากกรรมใหม่(เพราะไม่ได้สร้างกรรมใหม่ขึ้นมาหรือ ก็คือตัดหนทางของกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้น) แม้ว่าขันธ์ห้าจะยังคงอยู่ในขณะที่ท่านเหล่านี้ยังมีชีวิต แต่ท่านก็มิได้ทุกข์ เพราะ ท่านไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นนั้นเอง ทีนี้เธออาจจะสงสัยว่า แล้วในขณะที่ท่านเหล่านี้ยังมีชีวิตเธออาจจะยังคงสงสัยว่าท่านยังคงมีความทุกข์มาจับหรือไม่ ตอบได้ว่าน่าจะยังมีบ้างอันเนื่องมาจากกรรมเก่าเดิมในอดีตนั้นเอง (เช่น องคุลีมาลยังคงมีโอกาสได้รับความทุกข์จากการที่ถูกก้อนหินขว้าง เพราะ ผลกรรมเดิมในสมัยที่เป็นโจรร้าย) ทํศนะนี้ของฉันตรงกับ ติช นัท ฮัทห์ ซึ่งเธอสามารถศึกษาดูได้ ในหนังสือ The Diamond that cuts through illusion ของเขา ที่นี้ฉันใคร่อธิบายความเสริมว่า มีการตีความว่า สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลยังไม่ตาย และ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานอันเกิดขึ้นเมื่อบุคคลนั้นตายจากไป สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ตีความเช่นนี้ยังคงยึดติดในมโนทัศน์ ความมี ความเป็น ยังยึดติดในทิวลักษณ์ของการมีชีวิต และ ความตาย แท้ที่จริงแล้วหามีผุ้ใดตาย และ มีชีวิตไม่ ดังนั้นแล้วจึ่งเรียกว่า ชีวิต และ ความตาย

    นักท่องเที่ยวต่างชาติคนหนึ่งไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ในขณะที่เขาเดินทางมาออสเตรเลีย และกำลังวุ่นอยู่หน้าเคาเตอร์อาหาร เขากำลังกังวลว่าจะต้องพูดว่าอะไร?ดี จึ่งจะสั่งอาหาร ทันใดนั้นเขาได้ยินชายคนหนึ่งสั่งพายแอปเปิ้ลกับกาแฟ ดังนั้นเขาจึงทำตาม 10วันผ่านไปเขายังคงสั่งพายแอปเปิ้ลกับกาแฟ ทั้งนี้เพราะเขาไม่รู้ว่าจะต้องสั่งอาหารอย่างอื่นอย่างไร? แต่แล้ววันนี้เขาก็ทนไม่ไหวอีก เขาคิดในใจว่า “เอาว่ะ วันนี้ฉันจะต้องบอกลาพายแอปเปิ้ลกับกาแฟ” ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟังอีกครั้งว่าชายที่อยู่หน้าแถวสั่งอะไร? ชายคนนั้นสั่ง แซนวิชแฮม
    “แซนวิชแฮม” นักท่องเที่ยวต่างชาติพูด
    “รับเป็นขาวหรือโฮลวีท”คนขายถาม
    “แซนวิชแฮม” นักท่องเที่ยวต่างชาติพูดย้ำ
    “รับเป็นขาวหรือโฮลวีท”คนขายถาม
    แซนวิชแฮม นักท่องเที่ยวต่างชาติพูด
    ตรงจุดนั้นคนขายเริ่มไม่พอใจมาก เขาตระโกนออกมาด้วยเสียงอันดังพร้อมทั้งกระชากคอเสื้อนักท่องเที่ยวคนนั้นแล้วพูดว่า “ อย่ามากวนนะโว้ย ฉันจะถามแกอีกครั้ง ขาวหรือโฮลวีท”
    “พายแอปเปิ้ลกับกาแฟ” นักท่องเที่ยวพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
    เธอเห็นอะไรไหมความกลัวนั้นทำให้เราไม่กล้าที่จะท้าทาย ตั้งคำถาม อย่างที่ฉันได้กล่าวไปแล้วว่าทุกวันนี้เราอยุ่ในสังคมที่มีค่านิยมผิดๆ และ แบ่งแยกผู้คน ค่านิยมให้เธอรักศาสนา ปกป้องชาติ รักแผ่นดิน แต่ฉันใคร่ถามเธอว่าแผ่นดินนี้เป็นของใคร ใช่ไหมมันไม่ใช่ของใคร มันเป็นของมนุษย์ทุกคน ของสรรพสิ่งของโลก ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยง เธอควรรักอย่างไม่มีเงื่อนไขไม่ใช่รักเพียงคนที่มีชาติพันธุ์เดียวกันกับเธอ การแบ่งแยกคนออกเป็นชาตินี้เองที่ทำให้เกิดสงครามโลก เพื่อนรักของฉัน พึงรับรู้ไว้เถอะว่า เธอไม่จำเป็นต้องพิทักษ์ปกป้องศาสนาหรอก เพราะศาสนานั้นจะดำรงอยู่เสมอ ตราบเท่าที่โลกนี้ยังคงเต็มไปด้วยความทุกข์ ตราบใดที่โลกนี้ยังมีความมืดแสงสว่างจะอยู่ที่นั้น เช่นเดียวกันตราบใดที่ยังมีกิเลสเชาว์ปัญญาก็จะอยู่ที่ นั้น จงอย่าได้กังวลเรื่องการเลี้ยงชีพ จงอย่าได้ยอมสยบต่อสิ่งที่ผิด อำนาจ หรือ เงินตรา จงเป็นอิสระ และทำตามสิ่งที่หัวใจของเธอเรียกร้อง จงเชื่อมั่นในความกล้าหาญ เมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามในตัวเธอ เพื่อนรักของฉันพึ่งจำไว้เถอะว่า สำหรับผู้ที่เป็นนักสร้างสรรค์ที่แท้จริงนั้นจะต้องไม่คอยเอาแต่เดินตามเส้นทางที่มีคนได้ขีดเอาไว้ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม ครูของเธอ ศาสดาของเธอ นักการเมือง คัมภีร์ ตำรา หรือ กระทั้งสิ่งที่เป็น นามธรรมอย่างทัศนคติ วัฒนธรรม หรือวิถีชีวิต ที่สังคมได้ขีดไว้ นักสร้างสรรค์ต้องรู้จักแสวงหา และ บุกเบิกเส้นทางใหม่ ด้วยตัวของเขาเอง ฉันคิดว่าการที่คนทั้งหลาย เฮโลคิดตามๆกัน ทำตามๆ เชื่อตามๆกัน โดยมิได้อาศัยปัญญาของตนเป็นเครื่องนำทาง และ พิจารณาไตร่ตรอง นั้นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง การทำเช่นนี้ได้ทำให้สิ่งที่กว้างใหญ่ไพลศาลอย่างชีวิตถูกลดทอนให้มุ่งตรงไปบนหนทางที่คับแคบ แม้ว่าปลายทางของหนทางนั้นอาจจะมีคำปลอบประโลมต่อความกลัว การยอมรับเกียรติยศจากสังคมมอบให้ก็ตาม เพื่อนรักของฉันหากเธอมองดูในหน้าประวัติศาสตร์ ผู้รู้แจ้งทั้งหลายบนโลกนี้ในขณะที่ท่านยังมีชีวิต ท่านมักถูกหาว่าเพี้ยน ไร้หลักแหล่ง หรือ หนีจากโลก รวมทั้งถูกต่อต้านจากคนส่วนใหญ่ของสังคม เช่น ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ในสังคมสมัยนั้น พระเยซูเองก็ถูกตรึงกางเขนโดยคนที่เป็นเพื่อนบ้านของพระองค์ โสรเคตีสถูกบังคับให้ดื่มยาพิษ แม้ว่าเขาอาจจะไม่ต้องตายถ้าเขาเลือกที่จะหยุดพูดความจริงตามข้อเสนอของชาวกรีกในสมัยนั้น อย่างไร ? ก็ตามก็เพราะ ความกล้าหาญที่จะท้าทายต่อสิ่งที่ผิด ไม่สยบต่ออำนาจ และ ยึดมั่นในหนทางที่ถูกต้องด้วยจิตที่บริสุทธิ์นี่เอง ท่านเหล่านี้ถึงยังคงที่จะดำรงความเป็นตัวของตัวเองมาได้ ณ เวลานี้หรือในอนาคต ฉันไม่ทราบว่า เธอจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่ฉันได้พูดไปหรือไม่ อย่างไรก็ตามหากสิ่งนี้มีความจริงแฝงอยู่บ้างแล้ว เมื่อนั้นฉันเชื่อว่าในที่สุดแล้วเธอคงจะเห็นด้วย ตรงนี้ทำให้ฉันนึกถึงคำสอนของท่านเว่ยหลางในสูตรเว่ยหลาง"พระธรรมเป็นของกระจ่างเต็มที่ อยู่เสมอ เพียงแต่ใจของท่านเองต่างหากที่ไม่กระจ่าง พระสูตรนั้นไม่มีข้อความที่น่าฉงลเลย แต่ใจของท่านเองต่างหากที่ทำให้พระสูตรนั้นเป็นของชวนฉงนไป"<O:p></O:p>
    ถ้อยคำสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้ในโลกนี้ คำๆนี้อยู่ใน มหาปรินิวาณสูตร ก็คือ “ ขอเธอทั้งหลายจงตั้งตนเองให้อยู่ในความไม่ประมาท และ ขอเธอจงเป็นประทีปให้แก่ตนเอง” คำว่า“ ขอเธอทั้งหลายจงตั้งตนเองให้อยู่ในความไม่ประมาท “ หมายถึงการดำรงตนให้มีสติตระหนักรู้ทั่วพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตของเธอนั้นเองซึ่งนั้นจะทำให้เธอไม่ทำสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตมากนัก ส่วนคำว่า “ขอเธอจงเป็นประทีปให้แก่ตนเอง” เป็นคำที่งดงามที่สุดอีกคำหนึ่ง และ ฉันจะขอขยายความเป็นพิเศษ ก่อนอื่นเลยคำๆนี้ หรือ Be the lamp unto Yourselves เป็นคำที่จับใจชาวตะวันตกค่อนข้างมาก เพราะ คำๆนี้แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงเป็นครูที่แท้ และ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ต้องการมอบอิสรภาพให้เธอ ดูที่นิพพาน สิ มันหมายถึงความดับ เนื่องด้วยเป็นความดับ ดังนั้นมันจึ่งไม่ใช่สิ่งใดที่เธอต้องไปถึง ทั้งไม่มีใครจากมาและไม่มีใครจากไป มันต้องเป็นเช่นนั้น ดูสิพระองค์ไม่เคยพูดถึงโลกหน้า ไม่แม้แต่จะตอบคำถามทำนองนี้(เธอสามารถดูได้ในโปฏฐปาทสูตร ที่ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวคำถามที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ตอบ) เพราะ ถ้าพูดถึงเธอก็จะพยายามดิ้นรนเพื่อไปให้ถึงอีก และ ถูกครอบงำอยู่อย่างนั้น จากความทะเยอทะยานของเธอเอง อันที่จริงอย่างที่ได้กล่าวไป คำสอนทั้งหมดของพระองค์ คือ อิสรภาพนั้นเอง การเดินตามผู้อื่น เลียนแบบผู้อื่น ล้วนเป็นความเขลา
    เธอเกิดมาพร้อมเชาว์ปัญญาอันยิ่งใหญ่ เกิดมาพร้อมแสงสว่างภายในตัวเธอเอง จงฟังเสียงเล็กๆในตัวเธอ เสียงเล็กที่สงบนิ่ง เธอก็คือเธอเพียงแค่เป็นตัวเธอในสิ่งที่เธอเป็นแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว คนที่เดินตามคนอื่น ทำตามคนอื่นย่อมไม่สามารถจะพบแสงสว่างได้ ถ้าเธอมองดูไปในโลกกว้างเธอจะเห็นถึงอำนาจมากมายที่พยายามควบคุม ครอบงำเธอ ไม่ให้เธอเป็นตัวของเธอเอง นักบวช มักพูดว่า จงเชื่อข้าพเจ้า เชื่อคัมภีร์แล้วท่านจะพบพระเจ้า ได้พระนิพพาน นักการเมืองพูดว่า จงเลือกเรา ทำตามเรา แล้วท่านจะได้ประชาธิปไตย ได้โลกใบใหม่ ความศรัทธา เดินตามเรา แต่พระพุทธเจ้า ท่านกลับกล่าวว่า จงอย่าเดินตามฉันแต่จงเป็นผู้นำแสงสว่างมายังตัวของเธอเอง มันต้องเช่นนั้น มีเพียงแสงสว่างในตัวเธอเท่านั้นที่จะนำทางเธอไปในราตรีอันมืดแห่งจิตวิญญาณ ครูที่แท้จริงจะต้องกล่าวเช่นนี้ ท่านต้องรังสรรค์ครูไม่ใช่ลูกศิษย์ รังสรรค์ศาสดาไม่ใช่นักบวช ความพยายามเพียงหนึ่งเดียวของท่านคือต้องช่วยให้เธอรู้จักก้าวเดินด้วยตัวเธอเอง ท่านจะเข้ามาก็ต่อเมื่อเธอล้มจากนั้นเมื่อเธอลุกขึ้นยืนได้ท่านก็จะจากไป เชาว์ปัญญาย่อมเกิดขึ้นเมื่อใครสักคนมีชีวิตในแสงสว่างของตัวเอง เพื่อนรักของฉันฉันขอบอกเธอว่า ในการที่เราจะสถาปณาสังคมอริยะ ดินแดนแห่งเสรีภาพ ดินแดนแห่งพุทธภูมิ สวรรค์ หรือ อะไรก็ตามแต่ที่เธอยากจะเรียกขานให้เกิดขึ้น ได้นั้น เราจะต้องเริ่มต้นที่ตัวของเราก่อน ใช่แล้วมันไม่ได้เริ่มต้นจากนักการเมืองคนไหน? ศาสดาองค์ใด? นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา หรือ อัจฉริยะผู้ใด แต่เริ่มต้นขึ้นที่ตัวเธอ เริ่มต้นที่การไตร่สวนเข้าไปในตัวเธอ ว่ามีสิ่งใดที่เป็นจริงบ้าง และ ควรทำเช่นไร?เพื่อมอบมันให้กลับโลก ให้กับดวงดาว ก้อนหิน ธุลีดิน คนที่เธอรัก หรือ กระทั้งคนที่เธอชัง ตรงจุดนั้นถ้าเธอเรียนรู้ที่จะเฝ้าดู และ ค้นหามันลึกลงไปในตัวเธออย่างจริงจัง ด้วยการตระหนักรู้ของตัวเธอเอง ไม่ใช่จากการที่ฉันหรือใครสอน และ สั่งให้เธอทำ ตรงจุดนั้นเธอจะพบว่า เธอมีรากฐานความดีงามอยู่ในตัวเธอ ในความเป็นมนุษย์ของเธอ แล้วเธอจะพบว่าไม่มีพระโพธิสัตว์อื่นใดอีกแล้วนอกจากตัวเธอเอง นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก และ มันควรที่จะต้องเกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่ใช่ในโลกหน้า หรือในชาติภพใด แต่มันควรจะต้องเกิดในตอนนี้ ตรงนี้ เวลานี้ จงอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เนื่องด้วยชีวิตนั้นไม่แน่นอน <O:p></O:p>
    ช่างน่าเศร้า ที่ความกลัวนั้นทำให้เราไม่กล้าที่จะเป็นอิสระนัก เราต้องการพึงพิง ความเชื่อใดๆ ทั้งนี้เพราะเราชอบที่จะโยนความรับผิดชอบของเราไปยังที่อืน เรากลัวเกินกว่าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา เรารู้ว่าโลกนี้ไม่สวยงาม เราจึ่งโยนความรับผิดชอบของเราไปยังโลกหน้า ไปยังนักบวช ไปยังนักการเมือง แม้แต่กระทั้งพระพุทธเจ้า เราโยนทุกอย่าง ไปยังใครหรืออะไรก็ตามที่เราอยากจะโยน
    ฉันเคยได้ยินมาว่า ชายคนหนึ่งกำลังยืนตะลึงงัน กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ภรรยาของเขากำลังนอนเปลือยเปล่ากอดกับชายแปลกหน้าบนเตียงของเขา ตาของเขาแดงกล่ำ เขาตระโกนอย่างโกรธจัด พร้องชี้หน้าภรรยาว่า “ทำไมเธอทำกับฉันแบบนี้ ทำไมฉันต้องมาเห็นภาพนี้ด้วย”
    ภรรยากล่าวว่า “ที่รักคงเพราะเธอกลับมาเร็วไปหน่อยกระมัง?”<O:p></O:p>

    เธอเห็นอะไร?ไหม มนุษย์เรามักจะหาเหตุผลที่จะปัดความรับผิดชอบของตนได้เสมอๆ ดังนั้นเราจึ่งชอบคำว่า มันเป็นเพราะ ชะตา หรือ กรรม สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงยาสามัญประจำบ้าน เพื่อใช้ปลอบใจในยามที่ล้มเหลวหรือผิดหวัง และ โยนความรับผิดชอบของเธอให้สิ่งที่ไม่เคยมีอยู่จริง แต่กระนั้นเอง สิ่งเหล่าไม่เคยพันธนาการใครยกเว้นเธอจะโง่ให้มันพัทธนาการ คนเราชอบพึงพิงสิ่งนั้นสิ่งนี้เสียจริงๆ <O:p></O:p>
    เราพูดว่า “ บอกฉันสิว่าฉันควรทำยังไง ฉันอยากทำให้โลกใบนี้ดีขึ้น แต่ฉันไม่รู้วิธีนี่ นั้นควรเป็นหน้าที่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอีก สองพันปีสิ” ความจริงหนทางนั้นเธอรู้อยู่แล้วเพียงแต่เธอไม่ยอมเผชิญหน้ากับมัน จงยืนขึ้นเถิอเธอที่รัก ครูของฉันท่านก็พูดเช่นนี้ ใช่ท่านพูดว่า “ขอเธอจงเป็นประทีปให้แก่ตนเอง จงเผชิญหน้ากับปัญหา เมื่อมีปัญหา เชาว์ปัญญาจะอยู่ที่นั้น ที่ไหนมีเงาที่นั้นก็มีแสงสว่าง มันเป็นเช่นนั้น ชีวิตคือการผจญภัย เธอต้องมีศรัทธาในตัวเธอ เธอที่รักจงมองให้เห็นสิ่งนี้ เพราะ นอกจากเธอจะมองเห็นสิ่งนี้แล้วหาไม่แล้วโลกใบนี้ก็ไม่มีความหวังเอาเสียเลย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กันยายน 2011
  19. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ความจริงแล้ว ฉันได้สนธนากับเธอจบแล้ว แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันไม่ค่อยสบายใจคือ เรื่องที่พระรูปหนึ่ง เผาพระพุทธรูป และติดป้ายว่า นี่คือทองเหลืองไม่ต้องไปกราบมัน ฉันใคร่กล่าวว่า นี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อ้างตนว่าเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าควรกระทำสิ่งที่ผู้เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า และ พระโพธิสัตว์จะทำในกรณีเช่นนี้( อันที่จริงฉันไม่ได้บอกว่า การทำสิ่งนี้ผิด ฉันแค่กล่าวว่าไม่เห็นด้วยเท่านั้น ) ควรจะเป็นก็คือ การชี้หนทางให้ผู้ที่ยังคงปราศจากดวงตาได้มองเห็น มองให้ลึกซึ้ง และ ไกลไปกว่าลักษณะ 32 ประการของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทำลายเผาพระพุทธรูป ความงมงายเกิดเพราะคน ไม่ใช่พระพุทธรูป อันที่จริงสมัยก่อนตัวฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำเราจึ่งต้องกราบพระพุทธรูป แต่ต่อมาฉันก็ได้เข้าใจว่า ทั้งนี้เพื่อให้เราละลางตัวตนลง และ อ่อนน้อม และ หลังจากนั้นสมาธิก็จะเกิดขึ้น เมื่อเธอมองไปที่พระพุทธรูปเธอจะพบความสงบ และ ความเงียบอย่างแท้จริงที่นั้น สิ่งนี้แหละจะช่วยทำให้ใจของเธอรู้สึกสงบ ใจที่วิ่งวุ่นมาทั้งชีวิต เธอโยนความกังวลทั้งหมดที่เคยมีทิ้งไป และ พร้อมแล้วสำหรับสมาธิ ที่นี้ฉันใคร่ขอแสดงความเห็นว่า ศิษย์ของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงย่อมเข้าใจว่าสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงกันจะมีชีวิตก็ดีไม่มีชีวิตก็ดี ดังนั้นแม้จะเป็นแค่ทองเหลือ ก้อนหินก้อนเล็กๆ เขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวหรือทำลาย เขาย่อมให้ความเคารพกับมัน เนื่องด้วยทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติแห่งพุทธะ ใครก็ตามเธอไม่มีสิทธิที่จะทำเช่นนี้ ศิษย์ของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงย่อมเลือกหนทางที่จะชี้ให้คนทั้งหลายได้ มองให้ลึกถึงแก่นแท้ของพระองค์มากกว่า ที่จะทำการปฏิวัติ ต่อต้านเช่นนี้ เขาควรที่จะชี้ให้ผู้คนได้เห็นว่าพระพุทธเจ้าที่แท้นั้น อยู่ในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และ ความตาย แม้แต่ในก้อนหิน สิ่งปฏิกูล

    ส่วนคนที่ประนาณ ต่อต้าน การกระทำเช่นนื้ เธอก็มิอาจจะเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าได้ การใช้อำนาจขับไล่ ประหัตประหารใครที่เห็นขัดแย้งกับเธอ นั้นไม่ใช่หนทางแห่งการพิทักษ์รักษา และ ดำรงไว้ซึ่งหนทางแห่งพุทธะ ไม่ใช่หนทางที่ชาวพุทธควรพึงกระทำโดยอ้างว่าทำไปเพื่อพุทธศาสนา ลองคิดดูเถอะคนที่ร้อนรุ่มไปด้วยความโกรธจะใช้ชื่อว่าศิษย์ของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? เธอ และ โลกนั้นหาได้แยกขาดจากกันไม่ เราล้วนเชื่อมโยงกัน ฉันเชื่อมโยงกับเธอ เธอก็เชื่อมโยงกับฉัน กับคนที่เธอรัก กับมนุษย์ทุกคน กับสรรพสัตว์ กับต้นไม้ กับก้อนหิน กับดวงดาว กับฝุ่นธุลี และ อื่นๆ เมื่อเห็นดังนี้เธอก็จะสามารถเรียนรู้ที่จะไม่ส่งผ่านความเกลียดชัง แต่จะเป็นการส่งผ่านความรัก ความจริง และ ความงามที่มีอยู่แล้วในตัวเธอออกมายังโลกได้อย่างเป็นธรรมชาติ และ ไม่หวังผลตอบแทน นอกจากนี้การมองเห็นซึ่งความเชื่องโยงกันนี้ยังนำมาซึ่งความเข้าใจในผู้อื่น ในศัตรูของเธอ พ่อแม่ของเธอ ธรรมชาติรอบตัวเธอ ฉันขอกล่าวว่าการมองเห็นสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาที่จะช่วยให้เมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตากรุณาของเธอได้เจริญ เติบโตขึ้นมาได้ ทั้งนี้เพราะเธอสามารถที่จะมองได้อย่างลึกซึ้งพอ เช่น เธอสามารถที่จะทำใจให้เรียนรู้ที่จะฟังอย่างมีสติในสิ่งที่คนที่อาฆาตพยาบาทเธอพยายามบอก และ เข้าใจว่าทำไมคนที่เป็นศัตรูของเธอจึงคิดพยาบาทต่อเธอ ทำไมเขาจึ่งโกรธเธอ รวมทั้งเห็นถึงความทุกข์ระทม ความร้อนรุ่มดังถูกเปลวไฟแผดเผาจากการรู้ไม่เท่าทันความโกรธของเขา และรู้ว่าถ้าเธอโต้ตอบคมดาบแห่งความโกรธนั้นด้วยคมดาบแห่งความโกรธเช่นกันเธอก็จะต้องทุกข์ระทม ร้อนรุ่มดังถูกเปลวไฟแผดเผาจากการรู้ไม่เท่าทันความโกรธเหมือนกับเขา สิ่งนี้คือปัญญาเห็นแจ้งละ หากเธอเข้าใจแล้วล่ะก็ตรงจุดนั้นความรัก ความเมตตากรุณาอันงดงามในตัวเธอจะแปรเปลี่ยนความคิดของเธอให้กลายมาเป็นแรงปรารถณาที่จะช่วยเหลือเยียวยาโอบกอดความทุกข์ของเขา ช่วยเหลือเขาให้พ้นไปจากความทุกข์นี้ ด้วยศรัทธาอันเต็มเปลี่ยม และ ไม่ท้อถอยที่จะกระทำ แม้ว่าเขาจะต่อต้านการช่วยเหลือของเธอ แต่เธอก็ยังคงศรัทธาในเขา และวางใจในปัญญา ความรัก ความจริง และ ความงาม ที่เธอได้เห็นแล้วว่ามีอยู่ในเขาเช่นที่เธอมี ใช่ เขาคือเธอ และเธอก็คือเขา เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เธอช่วยเขาได้ก็เท่ากับว่าเธอได้ช่วยตัวเธอเองเช่นกัน แน่นอนว่ามันไปไม่ได้ที่เธอจะมีความสุขได้ถ้าเห็นคนอื่นเป็นทุกข์ นี่คือวิถีทางของธรรมชาติ ความสุขนั้นต้องดำรงอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรแห่งความสุขเท่านั้น มันไม่สามารถดำรงอยู่ตามลำพังได้ นี่คือปิติล้ำยิ่ง เมื่อเธอได้เห็นคนอื่นรอบตัวเธอได้เบ่งบาน เธอไม่ใช่เพียงดอกไม้เพียงดอกเดียวที่เบ่งบานในสวน เมื่อสวนทั้งสวนเบ่งบานไปพร้อมกับเธอ ปีตินั้นยิ่งทวีคูณ ความหมายของการมีชีวิตของเธอยิ่งเด่นชัด ความตื่นรู้นี้ของเธอได้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่โลก ถ้าเธออยากจะดำรงพระศาสนานี้ไว้ เธอก็ต้องเข้าใจว่ามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่เธอจะกระทำเช่นนี้ได้ นั้นคือการที่เธอหันกลับมามองดูชีวิตของเธอเอง มองให้ลึกซึ้ง และ ก้าวข้ามมหาสมุทรแห่งวัฏสังสาร อันเป็น ความทุกข์ด้วยปัญญา หากเธอเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามไปได้ และ แบ่งปันประสบการณ์การตื่นรู้นี้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่เห็นผิดให้กลับมามีดวงตา นั้นก็เท่ากับว่าตัวเธอได้พิทักษ์รักษา พระศาสนานี้ไว้แล้ว
    ภิกษุโจโจซา ถามอาจารย์อินไซว่า “อะไร? คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา”
    อินไซลงมาจากธรรมาสน์ของท่าน ตรงเข้าคว้าจีวรของโจโจซาเขย่า ตบหน้า และ ผลักกระเด็นไป เมื่อโจโจซายื่นอยู่ที่นั้นด้วยความงวยงง ภิกษุอีกรูปร้องขึ้นว่า “โจโจซา ทำไมเธอไม่โค้งคารวะอาจารย์”
    ฉับพลันนั้น ท่านโจโจซาก็ตรัสรู้ ใช่มันต้องเป็นเช่นนั้นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนานั้นอยู่ในตัวเธอแล้ว จงมองให้เห็น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2011
  20. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ขอบคุณ ขอบคุณ...(พักผ่อนบ้างก็ได้นะ 55+)
     

แชร์หน้านี้

Loading...