เจริญมรณะสติ รบกวนผู้มีความรู้หรือประสบการณ์ด้วยค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย gaiou419, 30 กันยายน 2011.

  1. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    อยากขอรบกวนท่านผู้เจริญมรณะสติ ดิฉันกำลังหัดใหม่
    ทำความรู้ตัวและระลึกถึงความตายและความเสื่อมสลายของ
    ร่างกายอยู่ โดยคิดว่า เดี๋ยวเราก็ตายแล้ว หนีไปไม่พ้น
    บางทีก็มองแขนตัวเองขณะทำงาน แล้วคิดเอาว่าเวลามัน
    เขียวเน่าแล้วเป็นอย่างไร
    ดิฉันต้องการตัวอย่างที่จะเอาไว้ใช้คิดนอกจากสองข้อ
    ข้างต้นนี้ หากใครมีวิธีคิดและแง่อื่นที่ใช้อยู่ ขอเป็นธรรมทาน
    สอนดิฉันบ้าง หากยิ่งมีมากวิธี มากแง่คิด แจกแจงเป็นข้อๆ
    ได้ยิ่งดีค่ะ แบบไหนก็ได้ จะเปรียบเทียบก็ได้
    ขอขอบพระคุณมา ณ.ที่นี้ค่ะ
     
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมคิดว่าอีกไม่นานความตายก็จะมาแล้ว อะไรที่ยังไม่ได้ทำ ก็ต้องรีบทำ

    ผมมีเพื่อนหลายกลุ่ม ทั้งดี และ ไม่ดี แต่คนเหล่านั้นก็ทยอยล้มหายตายจากไปทีละคน

    ฉนั้น ไม่ว่าทำดี หรือ ไม่ดี ความตายก็จักมาเยือนเราทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

    แล้วที่เราตายเพราะเรามาเกิด แล้วอะไรเล่าที่ทำให้เรามาเกิด เพราะเราเกิดตายมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง

    แล้วสิ่งที่เราได้เกิดความกลัว กลัวนั้น กลัวนี่ ที่จริงเรากลัวอะไร หากเราตายไปแล้วเราจะกลัวอยู่ไหม

    เพราะที่จริงมนุษย์เรากลัวเป็นที่สุด ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์เรากลัวไปมากกว่าความตาย

    หากไม่กลัวตายแล้ว ก้ไม่มีสิ่งใดที่เราจะกลัวได้อีก เมื่อมองเห็นความตายที่จะมาเยือนเราแล้ว

    สิ่งที่เราหลงยึดอยู่นี้ สิ่งเหล่านี้ นี่เองที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ทั้งๆที่ไม่ได้มีอำนาจกับเราเลย

    เพียงแค่เราไม่ให้ความสนใจ เพียงเท่านั้น ก็ไม่เกิดผลกระทบต่อเรา แล้วเรามัวยึดอะไรอยู่

    คำถามจะค่อยๆเกิดขึ้นมาในจิตใจของเราเอง โดยไม่ต้องไปตรึกนึกขึ้นมา เพื่อพิจารณา

    หากแต่จะพิจารณาเอง รู้เห็นจากความเป็นจริง โดยเป็นผู้รับรู้อยู่อย่างนั้น เราไม่ต้องบังคับให้พิจารณา
     
  3. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    ไม่กลัวตาย ทำอย่างไรคะ พิจารณาอย่างไรให้เกิดความรู้สึกนี้
     
  4. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    มันจะทวนกระแสภายนอกเข้ามา อุทานในใจว่า "เอ้อ..! เดี๋ยวเราก็ต้องตายแล้วหนอ"
    จะรู้สึกถึงความสงบเข้ามา และรู้สึกถึงความไม่เที่ยง ของสังขารร่างกายเราเขา

    แต่อย่าจบเพียงแค่นี้ ให้ระลึกอาศัยไปในธรรมสัญญา คือความไม่ประมาท
    เกิดฉันทะความพอใจ ต่อการดำริออก ในกายสังขาร และจิตสังขารนี้
    ออกสู่ทางเจริญในมรรค มีความเพียรช่วยจูงเหตุ

    และนั่นก็คือ มรณสัญญา หรือ มรณานุสสติ เกิดธรรมสังเวช มีความชุ่มชื่นเกิดขึ้น

    อย่างในประวัติของธิดาช่างหูก เหตุเพราะท่านเจริญมรณานุสติมามาก
    พอได้สดับจากพระศาสดา ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ขึ้นทันที
     
  5. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    มีคำถามผู้เจริญมรณะสติจนเป็นปกติ ๓ ข้อ ครับ ^^

    ถ้ามีอารมณ์ความตายไม่แน่นอน อาจตายตอนนี้พรุ่งนี้ก็ได้

    สามารถสละของรักได้หรือไม่

    มีความขมีขมันพากเพียรในหน้าที่การงานหรือไม่

    มีอารมณ์ปกติสุขอันเป็นกุศลหรืออยู่กับความหดหู่หรือไม่
     
  6. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    การเจริญมรณานุสติ..ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะให้จิตจำ และเข็ดกับการมาเกิดอีก..จขกท.ท่านต้องมีพื้นฐานการเรียนรู้ "กาย อาการ32" ให้ชัดเจนก่อน การเจริญมรณา ของท่านจะง่ายเข้ามากเอง
    ..เหตุเพราะ การพิจราณากาย..จะไล่จิตท่านให้เกิดสมาธิ อ่อนๆไปจนเข้าเขต ขนิกะ อุปจาระ..โดยที่ท่านอาจไม่รู้ตัวว่าสมาธิเกิดแล้ว นอกจากจะรู้ว่ากำลังมีความคิดพิจราณา..ดิ่งไปในทางเดียว ไม่มีเรื่องอื่นใดเข้ามาแทรก..นี่อาการเกิด แบบต่อเนื่อง เจือสม กันอย่างที่แยกกันไม่ออก
    ต้องสร้างเหตุ.. พื้นฐานท่านต้องสมควร..จะดีมาก หากท่านมานั่งนึกถึงความตายบ่อยๆทุกวัน ก็จะได้แค่ลดความทะยานอยาก ความโลภ..เป็นพักๆ แต่ก็จะลืมง่ายเหมือนอ่านหนังสือแล้วลืม ต้องกลับมาอ่านใหม่ครับ
    ศึกษาเรื่อง กายคตาสติ ไปพร้อมกันด้วยรับรองครับ แน่นปึ๊ก.(ผมกำลังศึกษาอยู่ รออาจารย์ เสขะ..ของผมสำเร็จก่อนครับ)
     
  7. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ชีวิตนี้เป็นทุกข์ แม้แต่อยู่คนเดียวก็เป็นทุกข์ และ อีกอย่างคือเราไม่สามารถหลีกหนี

    ซึ่งความตายได้ ได้แต่ยอมรับด้วยใจจริงเท่านั้น มองความเป็นจริงเท่านั้นครับ
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    การเจริญมรณานุสติ ต้องพิจารณาอย่างเป็นกระบวนการ มีที่มาและที่ไป เมื่อเจริญมากๆ จะทำให้เบื่อ และทำให้ไม่ก่อเวรต่อกัน ละพยาบาท ละโลภ ละโกรธ ละหลงได้ เพราะได้เห็นความจริงของความตาย ได้เห็นโทษของกายสังขาร การเกิด การตาย ไม่สิ้นสุด ทับถมกันทุกวันๆ เมื่อตายแล้วก็กลายเป็นซากเน่าๆ ที่ไร้ประโยชน์ เผาไปแล้วก็ไม่เหลืออะไร แม้เถ้ากระดูกก็ไม่มีใครเก็บไว้ ดีหรือชั่ว ก็ล้วนแต่มายา ไม่ใช่ของจริง เมื่อจิตตั้งมั่นได้แล้ว จะเร่ิงขวนขวายหาวิชชาโดยอัตโนมัติ ไม่ได้ไปหาจากที่ไหนทั้งนั้นนะ หาได้ในกายนี้แหละ เพื่อหาทางหลุดพ้น ใครที่จิตยังไม่ถึง ก็ไม่ต้องรีบ ร้อนรนที่จะแสวงหานะ เพราะจะทำให้เจอแต่ของปลอม ของจริงเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และดับไปเองตามธรรมชาติ เปรียบเหมือนกับกฎของออสโมซิส ความเข้มข้นมากจะไหลไปสู่ความเข้มข้นน้อย

    ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่มีความตั้งใจ
     
  9. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    อ่านทุกข้อความแล้วเกิดปิติขึ้นอย่างประหลาด ขอบคุณมากค่ะ
    โดยเฉพาะคำถามสามข้อ จะลองถามตัวเองดูขณะนั่งสมาธิ
    ขอทุกท่านที่กรุณาช่วยมาตอบกระทู้ได้ในสิ่งที่หวัง สมปรารถนา
    ทุกท่านไป หวังสวรรค์ก็ขอให้ได้สวรรค์ หวังนิพพานก็ขอให้ได้
    ในเร็ววัน อนุโมทนาด้วยค่ะ
     
  10. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อนุโมทนาครับ นอกจากต้องตายแล้ว ยังเกี่ยวเนื่องหลายหมวดครับ นอกจากตายแล้วเน่า ลองมองคน ให้เหมือนสัตว์ สกปรก เนื้อคน ผิวสวย ก็เหมือนหมู ขาว ๆ เหมือนกัน มองกายสวยให้เป็นถุงขี้ครับ ใต้หนัง มีไส้ สกปรก เลือด น้ำลาย ไข มูถ ฯลฯ แตกให้เป็นตรงไหนมีรู ตรงนั้นมีขี้เลย อาหารก็เช่นกัน มีแต่ของสกปรกทั้งนั้น ถ้าไม่กินให้ไปเน่าในกาย ทิ้งไว้ ก็บูดเน่าเหม็นทั้งนั้น
     
  11. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    [​IMG]

    มรณานุสติกรรมฐาน

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


    มรณานุสสติ แปลว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เรื่องของความตายเป็นของธรรมดา
    ของสัตว์และมนุษย์ที่เกิดมา เมื่อมีความเกิดมาได้แล้ว ก็ต้องตายในที่สุดเหมือนกันหมด ความ
    ตายนี้รู้สึกว่าเป็นปกติธรรมดาของคนและสัตว์ทั่วไป ท่านผู้อ่านจะสงสัยว่า เมื่อความตายเป็นของ
    ธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทราบว่าตัวจะต้องตาย แล้วพระพุทธเจ้ามาสอนให้นึกถึงความตายเพื่อประโยชน์
    อะไร ? ปัญหาข้อนี้ตอบไม่ยาก เพราะธรรมดาของคนที่มีกิเลสทั่วไป รู้ความตายว่าเป็นของธรรมดา
    จริง แต่ทว่า เห็นว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้อื่นตายเท่านั้น ถ้าความตายจะเข้ามาถึงตนเองหรือญาติ
    คนที่รักของตนเข้า ก็ดิ้นรนเอะอะโวยวายไม่ต้องการให้ความตายมาถึงตนหรือคนที่ตนรัก พยายาม
    ทุกทางที่จะไม่ยอมตายปกติของคนเป็นอย่างนี้ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ว่าใคร
    จะหนีความตายไม่ได้ การดิ้นรน เอะอะโวยวายต้องการให้ความตายไปให้พ้นนี้เป็นการดิ้นรนเหนือ
    ธรรมดาไม่มีทางทำได้สำเร็จ จะทำอย่างไร ความตายก็ต้องจัดการกับชีวิตแน่นอน เมื่อกฎธรรมดา
    เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน คือย้ำตามความเป็นจริงว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดาไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น ความตายนี้แบ่งออกเป็นสาม
    อย่างด้วยกัน คือ

    ๑. สมุจเฉทมรณะ ความตายขาดตอน หมายถึงความตายของพระอรหันต์ท่านเสร็จ
    กิจแห่งพรหมจรรย์ คือสิ้นกิเลสแล้ว เหตุที่จะต้องทำให้เกิด คือกิเลสและตัณหาที่จะควบคุมบังคับ
    ท่านให้เกิดอีกไม่มี ท่านมรณะแล้วท่านไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เรียกว่า สมุจเฉทมรณะ แปลว่า
    ตายขาดตอนไม่กลับมาเกิดอีก

    ๒. ขณิกมรณะ แปลว่า ตายเล็กๆ น้อย ๆ ท่านหมายเอาความตาย คือ ความดับ หรือการ
    เคลื่อนไปของชีวิต ที่มีการเคลื่อนไปวันหนึ่ง ๆ วันเวลาล่วงไป ชีวิตก็เคลื่อนไปใกล้จุดจบสุดยอดคือ
    ตายดับทุกขณะ การผ่านไปของชีวิตท่านถือเป็นความตาย คือ ตายทุกลมหายใจออกและเกิด
    ต่อทุกๆ ลมหายใจเข้า อาหารเก่าที่บริโภคเข้าไปเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตชั่วคราวเมื่อสิ้นอำนาจ
    ของอาหารเก่า ร่างกายต้องการอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงแทนแต่ถ้าไม่ได้อาหารใหม่เข้าไปทด
    แทนชีวิตก็จะต้องดับ ชีวิตที่ทรงอยู่ได้ก็เพราะอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อสิ้นสภาพของอาหาร
    เก่า ท่านถือว่าร่างกายต้องตายแล้วไปยุคหนึ่ง พอได้อาหารใหม่มาทดแทน ชีวิตก็เกิดใหม่อีกวาระ
    หนึ่ง การเกิดการตายต่อเนื่องกันทุกวันเวลาอย่างนี้ ถ้าอาหารเก่าหมดสภาพไม่บริโภคใหม่ หรือลม
    หายใจออกแล้ว ไม่หายใจเข้า สภาพของร่างกายก็จะสิ้นลมปราณ คือตายทันที ที่ทรงอยู่ได้อย่างนี้ก็
    เพราะได้ปัจจัยบางอย่างค้ำจุนทดแทนกันเข้าไป ท่านสอนให้มองเห็นสภาพของสังขารร่างกายว่ามี
    ความตายเป็นปกติทุกวันเวลาอย่างนี้ท่านเรียกว่า ขณิกมรณะ แปลว่า ตายทีละเล็กละน้อย หรือ
    ตายเล็ก ๆ น้อย ๆ

    ๓. กาลมรณะ และ อกาลมรณะ กาลมรณะ แปลว่า ตายตามกาลตามสมัยที่ชาวโลก
    นิยม เรียกว่า ถึงที่ตาย คือสิ้นอายุ อย่างชนิดที่ไม่มีการแก้ไขได้ อกาลมรณะ แปลว่า ตายใน
    โอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย แต่ต้องตายเพราะกรรมบางอย่างที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้น
    ให้ตาย การตายประเภทหลังนี้พอมีทางต่อให้อายุยืนยาวต่อไปได้ตามสมควรแก่กรรมใน
    อดีต จะต่อให้เลยพอดีนั้นไม่ได้ พวกตายตามแบบกาลมรณะตายไปแล้วเสวยผลกรรมทันที แต่
    พวกที่ตายตามแบบอกาลมรณะนี้ ตายแล้วยังไม่ไปเสวยผลกรรมทันที ต้องไปเป็นสัมภเวสี แสวงหา
    ที่เกิดก่อน คือรอกาลที่จะถึงกาลมรณะก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วจึงจะได้รับผลกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำ
    ไว้ขณะที่ยังไม่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้นั้นต้องลำบากในเรื่องอาหารและที่อยู่ ท่องเที่ยวไปตามความ
    ต้องการ พวกตายแบบอกาลมรณะนี้ ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า ตายโหงนั่นเอง เช่น ถูกฆ่าตายคลอด
    ลูกตาย รถทับตาย ฟ้าผ่าตาย ฆ่าตัวตาย งูกัดตาย รวมความว่าตายแบบผิดปกติ ไม่ใช่ป่วยตายตาม
    ธรรมดาเรียกว่า อกาลมรณะ คือตายก่อนกำหนด ตายทั้งนั้น การตายแบบนี้ ถ้ามีท่านผู้รู้ช่วย
    เหลือสามารถช่วยให้พ้นตายได้ เช่น ที่นิยมเรียกกันว่า สะเดาะเคราะห์หรือต่ออายุ การสะเดาะ-
    เคราะห์หรือต่ออายุนั้น ต้องทำโดยธรรมจริง ๆ และรู้จริงจึงใช้ได้แต่ถ้าต่อแบบหมอต่อยัง
    มืดมนท์ด้วยกิเลสแล้วไม่มีทางสำเร็จผล ไม่ต่อดีกว่า ขืนต่อก็เท่ากับไปต่อชีวิตหมอให้มีความสุข
    ส่วนผู้ต่อกลายเป็น ผู้ต่อทุกข์ไป เรื่องต่ออายุนี้มีเรื่องมาในพระสูตรคือเรื่องของท่าน อายุ-
    วัฒนสามเณร

    เรื่องย่อดังนี้
    วันหนึ่ง บิดามารดาพาท่านเมื่อยังเกิดไม่กี่เดือนไปหาพระพุทธเจ้า (ขอเล่าลัด ๆ) เมื่อบิดา
    ลาพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า "ทีฆายุโก โหตุ" แปลว่า ขอเธอจงมีอายุยืนนาน พอแม่เข้าลา
    ท่านก็ว่าอย่างนั้น ตอนท้าย สองผัวเมียให้ลูกชายกราบลาท่าน ท่านไม่พูด คือท่านเฉยเสีย สองผัว
    เมียแปลกใจ ถามว่า เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันสองผัวเมียกราบลา พระองค์ให้พรว่าขอเธอจงมีอายุ
    ยืนนาน แต่พอเกล้ากระหม่อมฉันให้ลูกชายลา พระองค์ทรงนิ่ง เหตุอะไรจะมีแก่บุตรชายเกล้า
    กระหม่อมฉันทั้งสองหรือพระพุทธเจ้าข้า
    พระองค์ตรัสตอบว่า เพราะบุตรชายของเธอจะตายภายใน ๗ วันนี้ ตถาคตจึงไม่กล่าวอย่างนั้น
    สองผัวเมียฟังแล้วตกใจ ขอให้พระองค์ช่วยเหลือ พระองค์สั่งให้ไปปลูกโรงพิธีกลางลานบ้าน แล้ว
    ให้เอาพระไปนั่งล้อมเด็กสวดพระปริตครบ ๗ คืน ๗ วัน พอวันที่ ๗ เป็นวันตายของเด็ก เพราะยักษ์
    จะมาเอาชีวิตวันนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จเอง เมื่อพระองค์เสด็จ พรหมและเทวดาผู้ใหญ่มามาก ยักษ์
    เข้าไม่ถึง พอครบเวลาที่ยักษ์จะเอาชีวิต หมายความว่า ถ้าเลยเวลาเขาทำไม่ได้ เขาทำตามกฎของ
    กรรมว่าจะให้ตายเวลาเท่าใด เวลาเท่านั้นเขาจะต้องทำให้ได้ ถ้าเลยเวลาแล้วเขาก็ไม่ทำ พอเลย
    เวลาที่เด็กจะต้องตาย พระพุทธเจ้าท่านก็พาพระกลับ เลิกพิธี ก่อนกลับพระองค์ให้พรแก่เด็กว่า
    ทีฆายุโกโหตุต่อมาเด็กคนนั้นมาบวชเณรเมื่ออายุ ๗ ปี ได้สำเร็จพระอรหันต์ ท่านมีอายุครบ ๑๒๐
    ปี จึงนิพพาน
    พวกอกาลมรณะนี้ต่อได้อย่างนี้ แต่การต่อต้องเป็นผู้รู้จริง ทำถูกต้องจริง และการทำให้ต้อง
    ไม่ปรารภสินจ้างรางวัล ทำเพื่อการสงเคราะห์จริงๆ จึงเกิดผลว่า จะพูดเรื่องตายเป็นกรรมฐาน
    แอบมาเป็นหมอต่ออายุเสียแล้วขอวกกลับไปเรื่องมรณานุสสติใหม่

    นึกถึงความตายมีประโยชน์

    ประโยชน์ของการนึกถึงความตาย ทำให้เป็นคนไม่ประมาท เพราะรู้ตัวว่าจะตายจะได้
    แสวงหาความดีใส่ตัวโดยรู้ตัวว่า ชาตินี้จนเพราะชาติก่อนให้ทานไว้น้อย ถ้าชาติหน้าไม่ยากจนอีก ก็
    พยายามให้ทานเสมอ ๆ ตามกำลังทรัพย์ที่พอจะให้ได้ และอย่าให้จนหมดตัว จะเกินพอดี ต้องให้พอ
    เหมาะพอดี ไม่เดือดร้อนภายหลังนั่นแหละจึงจะควร

    รู้ตัวว่ามีโรคมาก ป่วยไข้ไม่สบายเสมอๆ ของหายบ่อย ๆ รูปร่างสวยน้อยไปคนในบังคับ
    บัญชาดื้อด้าน วาจาไม่ศักดิ์สิทธิ์ อารมณ์ความจำเสื่อม ถ้าต้องการให้สิ่งบกพร่องเหล่านี้สมบูรณ์ใน
    ชาติหน้าจะได้พยายามรักษาศีล ๕ให้บริสุทธิ์ครบถ้วนแล้ว ก็จะได้รับอานิสงส์ มีอายุยืน รูปสวย ไม่มี
    โรคภัยรบกวน ไม่มีภัยจากโจรรบกวนทรัพย์สมบัติ คนในบังคับบัญชาอยู่ในโอวาทเป็นอันดี ไม่มีใคร
    ดื้อด้าน มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไรเป็นนั่น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์
    ถ้าเห็นว่า มีปัญญาน้อย ไม่ใคร่ทันเพื่อน ก็พยายามเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน
    พอมีฌานมีญาณเล็กน้อย ในชาติต่อไปก็จะเป็นคนมีปัญญาเลิศ
    ถ้าเห็นว่า ความเกิดเป็นโทษเป็นทุกข์ เพราะการเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร มีตระกูล
    สูงส่งประการใดก็ตาม ต้องประสบกับความทุกข์อย่างมหันต์ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องการความ
    เกิดอีก ก็เร่งรัดเจริญสมถะให้ได้ฌานต้น แล้วเจริญวิปัสสนาญาณให้จบกิจพระศาสนา ซึ่งเป็นของ
    ไม่หนักเลยสำหรับท่านที่นึกถึงความตายเป็นปกติ หรือที่เรียกว่า เจริญมรณานุสสติกรรมฐาน
    เพราะกรรมฐานกองนี้ เป็นกรรมฐานหลักสำหรับเจริญวิปัสสนาญาณ ท่านจะได้ดี เป็นเทวดา เป็น
    พรหม เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องอาศัยการปรารภความตายเป็นปกติ แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เอง พระองค์แม้แต่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ทิ้งมรณานุสสติกรรมฐาน คือนึกถึงความตาย
    เป็นอารมณ์ วันหนึ่งพระองค์ตรัสถามพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวัน
    ละกี่ครั้ง พระอานนท์กราบทูลตอบว่า นึกถึงความตายวันละเจ็ดครั้งพระเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า ยัง
    ห่างมากอานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก การนึกถึงความตายเป็นปกติเป็น
    ของดี แม้แต่พระพุทธเจ้ายังเฝ้าคิดถึงความตาย เพราะผู้ที่คิดถึงความตายรู้ตัวว่าจะตายแล้ว
    ย่อมไม่สั่งสมความชั่ว คอยปลีกตัวออกจากความชั่วและมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวในเมื่อความตาย
    มาถึงแล้ว เพราะคิดอยู่รู้อยู่เสมอแล้วว่าเราต้องตายแน่ ความตายนี้หานิมิตเครื่องหมายไม่ได้
    กำหนดการเกิดหมอบอกได้แต่กำหนด เวลาตายไม่มีใครกำหนดได้แน่นอนสำหรับปุถุชน
    คนธรรมดา สำหรับพระอริยเจ้าหรือท่านที่ชำนาญในอานาปานุสสติกรรมฐานท่านสามารถบอก
    เวลาตายที่แน่นอนของท่านได้ พระอริยาเจ้าที่จะบอกเวลาตายได้ ก็ต้องเป็นท่านที่ได้ วิชชาสาม
    เป็นอย่างน้อย ถ้ามีความรู้พิเศษต่ำกว่านั้น ท่านก็กำหนดเวลาตายไม่ได้เหมือนกัน ท่านเปรียบชีวิต
    ไว้คล้ายกับขีดเส้นบนผิวน้ำ ขีดพอปรากฏว่ามีเส้นแล้วในทันทีเส้นที่ขีดนั้นก็พลันสูญไปชีวิตของ
    สัตว์ที่เกิดมาก็เช่นเดียวกันความตายรออยู่แค่ปลายจมูกถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไร ก็สิ้นภาวะเมื่อนั้น
    เอาความยั่งยืนไม่ได้เลย

    ท่านเจริญมรณานุสสติกรรมฐาน เมื่อท่านคิดถึงความตายเป็นปกติ จนเห็นความตายเป็น
    ปกติธรรมดา เตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์คือ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาพอสมควรแก่ความ
    ต้องการแล้ว ถ้าคิดให้ไกลไปอีกสักนิดว่า ความตายเป็นของมีแน่ เราไม่หนักใจแล้ว ความเกิดต่อไป
    ก็มีแน่ จะเกิดเป็นอะไรก็ตามเต็มไปด้วยความทุกข์ หนีทุกข์ไม่พ้น เราไม่ต้องการความเกิดอันเป็น
    เหยื่อของวัฏฏะอีก แม้แต่ร่างกายอันเป็นที่หวงแหนยิ่ง จะต้องพังทลายเรายังไม่มีเยื่อใย ก็สมบัติอะไร
    ในโลกีย์ที่เราต้องการ เราไม่ต้องการอะไรอีก เทวโลก พรหมโลก เราไม่ต้องการ สิ่งที่พอใจที่สุดก็
    คือพระนิพพาน ทำใจให้ว่างจากความเกิด ความเกาะในชาติภพ ปรารภพระนิพพานเป็นปกติ อย่างนี้
    ท่านมีหวังสิ้นชาติสิ้นภพ ประสบผลอย่างยอด คือถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันแน่นอน

    (ขอยุติมรณานุสสติไว้แต่โดยย่อเพียงเท่านี้)

    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=268
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2011
  12. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
  13. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    เหมือนว่า จขกท. จะเคยถามเรื่องกรรมฐานกองนี้มาแล้วครั้งหนึ่งหรือเปล่าครับ...
     
  14. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    มรณสติ คือการระลึกความแตกดับของอินทรีย์ (ชีวิตินทรีย์)
    ๑เกี่ยวเนื่องด้วยความทุกข์กังวล
    ๒เกี่ยวเนื่องด้วยความกลัว
    ๓เกี่ยวเนื่องด้วยอุเบกขา
    ๔เกี่ยวเนื่องด้วยปัญญา
    ทุกข์เป็นสิ่งที่ดับได้เพราะอาศัยการปฎิบัติมรณสติที่เกี่ยวเนื่องด้วยปัญญาเท่านั้น

    มนุษย์เราส่วนมากเข้าถึงสภาพแห่งความตายโดยมีอายุไม่ถึง ๑๐๐ปี

    เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะมีชีวิตอยู่ตลอดคืนและวัน
    ในช่วงแค่เวลาที่เหลืออยู่เราเพียรระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ได้หรือไม่
    โอกาสเช่นนั้นเป็นของเราหรือไม่

    เราสามารถมีชีวิตอยู่เพียงหนึ่งวัน ครึ่งวัน ชั่วขณะหรือไม่

    เรามีชีวิตอยู่นานพอที่จะทานอาหาร๑มื้อ ครึ่งมื้อ หรือ ๑คำได้หรือไม่

    เราสามารถมีชีวิตอยู่นานพอที่จะหายใจออกหลังจากหายใจเข้าหรือไม่
    เราสามารถมีชีวิตอยู่นานพอที่จะหายใจเข้าหลังจากหายใจออกหรือไม่

    ......................................................................................................
    ดูเหตุในปัจจุบัน ทุกอย่างแค่ชั่วขณะจิตเดียว เมื่อจิตดับขันธ์๕ก็แตกดับลง

    ในขณะจิตอดีต บุคคลไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว ไม่ได้กำลังมีชีวิตอยู่ และจะไม่มีชีวิตอยู่
    ในขณะจิตอนาคต บุคคลไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว จะไม่มีชีวิตอยู่ และไม่ได้มีชีวิตอยู่
    ในขณะจิตปัจจุบัน บุคคลไม่ได้กำลังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีชีวิตอยู่ บุคคลมีชีวิตอยู่เท่านั้น
    ......................................................................................................
     
  15. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,801
    ผมชอบฝึกตายตอนก่อนนอน หรืออิริยาบถนอน

    นอนนึกว่าตัวเองกำลังใกล้จะตายในขณะนั้น แล้วปลงใจปล่อยวางทุกสิ่งอย่างลง

    แล้วนอนรอความตายอย่างสงบ เฝ้ามองดูลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ว่าจะหมดไปเมื่อใด ตอนไหน

    บางครั้งก็ยื่นแขนออกไปด้านข้าง เหมือนดั่งศพรอคนมารดน้ำศพให้

    สุดท้ายของชีวิตเรา คือ ไม่มีอะไร และไม่เหลืออะไร

    เราจึงควรใช้ชีวิตที่มีเหลืออยู่สร้างความดี เหมือนดั่งเป็นวันสุดท้ายของชีวิต ทุกๆวันครับ
     
  16. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -เจริญมรณะสติ ควบคู่กับ อานาปานสติ จะเห็นความตาย ความเกิดอยู่ทุกลมหายใจ เมื่อเห็นชัดแล้วความกลัวตายจะหายไป ความกล้าจะเกิดขึ้น เมื่อชำนาญแล้วอุปทานทั้งหลายจะหายไป
     
  17. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    ไม่เคยค่ะ ปรกติก็ทำกรรมฐานปรกติ อาปนาสติ ดูจิตและกิเลสที่เข้ามา
    กระทบ แต่ไม่เคยหัดอสุภะ หรือ มรณะสติค่ะ เลยอยากลองฝึกดู
    แต่ข้องใจว่า ใช้อะไรกันบ้าง เพราะแค่คิดว่า เดี๋ยวก็ตาย ชักจะชินๆ
    กับความคิดนี้ หลังๆเลยเหมือนคำว่า ฮัลโหลๆ ไปเฉยๆ
    นี่ว่าจะเอารูปเมรุไปแปะไว้หัวนอน ดูทุกวัน ไม่รู้จะดีหรือเปล่า 55
     
  18. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    เห็นภาพเลยค่ะ จะลองดูคืนนี้เลย
    ง่ายๆ วิธีเข้าใจได้ ขอบคุณมากค่ะ
     
  19. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เมื่อนึกคิดจนชินแล้ว ยังกลัวตายอยู่ไหมครับ

    หากยังกลัวตายอยู่ แสดงว่ายังไม่ชินจริงๆครับ

    ต้องพิจารณาจนเห็นเป็นจริง ถึงความตายที่จะเข้ามาเยือนเราในอีกไม่ช้านาน
     
  20. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ออ....แสดงว่าผมอาจจำผิดคนครับ....
     

แชร์หน้านี้

Loading...