ใครกราบไหว้พระพุทธรูปเรียนเชิญ...ครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 15 ธันวาคม 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571
    ไม่ผิดหรอก ผมก็บอกไปแล้วไง กระทู้ที่ #187

    ใครชอบแบบไหนก็เลือกเอา


    สมาธิเปรียบได้ดั่งขุนเขา STATIC


    วิปัสสนานั้นเล่าดุจดั่งสายลม Dynamic



    ท่านย้อนไปดูกระทู้ผมข้างบนครับ


    วิชา Static for Engineer
    กับ วิชา Dynamic for Engineer
    สองวิชานี้ คนละวิชากันนะ หนังสือคนละเล่ม


    ถ้าท่านเรียน มาทาง Engineer หรือ สายวิทย์ ท่านจะเข้าใจ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2011
  2. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    --------------------------

    คุณตอบไม่ค่อยตรงกับคำถามผม
    หรือว่าผมถามไม่ตรงกับที่คุณตอบกันแน่ครับ

    พระสายที่คุณนับถือสอนให้ทำลายหรือไม่ ตรงนี้ครับที่ถามไป
    และที่คุณตอบมานั่นคือสิ่งที่ผมจะถามต่อไป

    คุณเคยบอกให้พระผม ที่ผมไม่ตอบตกลงหรือปัดก็ด้วยเหตุผลดังนี้
    ถ้าบอกปัดก็เท่ากับว่าผมไม่ศรัทธาในรูปพระพุทธเจ้า
    แต่ถ้าบอกรับ ก็เท่ากับเป็นคนมักได้ มีความอยากที่จะได้ของผู้อื่น
    ซึ่งปัจจุบันนี้ ชีวิตผมสมบูรณ์แบบ ในแบบของผมแล้ว จึงไม่สนใจ
    อะไรนอกจากการปฏิบัติธรรม และธรรมที่ผมปฏิบัตินี้ ก็ได้มาจาก
    ผู้มีพระเมตตานั่นก็คือพระพุทธเจ้า ซึ่งผมศรัทธาเป็นสิ่งสูงสุด

    ยิ่งมาเห็นคนที่มาทำลาย และละเลยรูปพระพุทธเจ้า อ้างว่าไม่ยึดติด
    ผมว่าเป็นคำอ้างที่โง่มากๆ เพราะคำว่าไม่ยึดติด มันจะทำให้คนที่พูด
    ต้องจนตรอกกับสิ่งที่พูดไป
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมก็บอกไปแล้วครับ
    ท่านสอนว่า

    พระพุทธรูปเป็นก้อนกายอันประกอบไปด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นของน่าเกลียด เป็นกายเน่า มีหนังเป็นที่สุดรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด มีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร

    เรื่องทำลายไม่ทำลายผมตอบไปแล้วครับ
     
  4. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    คห.คุณ numtrn
    แต่ก่อนผมก็ เข้าใจว่า การทำสมาธิ กับ การทำวิป้สนากรรมฐาน
    คือ อย่างเดียวกัน เรียกรวมๆว่า นั่งสมาธิ
    ---------------

    เอ่อ... อันนี้ผมอ่านแล้วเข้าใจว่า คุณหมายถึงอย่างเดียวกันนะครับ
    เพราะคำว่า อย่างเดียวกัน เรียกรวมๆ กัน นี่แหละครับ
     
  5. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571
    วันนี้ Server เป็นอะไร ไม่ว่างอยู่เรื่อย





    ผมเองชอบ แนวของการ ตามดูมากกว่า คือวิป้สนากรรมฐาน




    เรื่องการ ทุบพระนี่นะ


    หากทุบเพียง เหล็ก ทุบเพียงปูน คงไม่เดือดร้อนต้วเอง ( แต่เดือดร้อนใจผู้อื่น )


    คนอื่นเขาอาจคิดไม่เหมือนที่ท่านคิด เลยเป็นเรื่อง





    เวลาเขาซ่อมพระ เขา ทั้งทุบ ทั้งแซะ ทั้งขูด ทั้งเจาะ เพราะเขาทำที่วัสดุ

    และคนอื่นเขาก็เข้าใจว่า ทำที่วัสดุ




    แต่การทุบทำลาย ออก TV เนี่ยนนะ คนอื่นเขาไม่มองที่วัสดุอย่างเดียว เขามองที่
    สัญลักษณ์ ของพุทธศาสนาด้วย



    ด้วยเหตุนี้ ใครจะทำอะไร ต้องนึกถึงจิตใจผู้อื่นด้วย ไม่งั้น เดือดร้อนไม่รู้จบ




    ใครจะ นับถือพระแบบไหน สุดแล้วแต่จริต


    พระสงท่านจะศีลครบ หรือศีลไม่ครบ
    ไม่ได้ทำให้ตัวเรา ดีขึ้นหรือชั่วลง มันอยู่ที่การปฏิบัติตัวของเรา

    เพราะ กรรมของพระสงท่าน ท่านรับไป กรรมของตัวเรา เรารับไป


     
  6. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    -------------

    เรื่องนี้ใครๆ เค้าก็รู้กันครับแล้วเค้าก็แยกออกว่าอะไรคืออะไร
    คุณเห็นรูปพระพุทธเจ้า กลับบอกว่าเป็นเพียงธาตุ ต่างๆ

    ผมจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆนะครับ
    กระปุกออมสินรูปหมู กับรูปช้าง อยู่ในรถเข็นเค้ามาขาย
    คุณตะโกนบอก พ่อค้า เอากระปุกออมสินปูนพลาสเตอร์
    มาเดาใจกันว่า พ่อค้าจะหยิบอะไรให้คุณ ในใจคุณคิดว่าอยากได้รูปหมู

    แต่สุดท้ายเค้าหยิบรูปช้างให้ ก็เพราะเป็นปูนพลาสเตอร์เหมือนกัน
    เนื่องด้วยคุณไม่เห็นสิ่งนั้นเป็นรูปแบบที่ใครๆ เข้าใจกัน

    คุณจะโทษคนขายได้หรือไม่หละครับ
     
  7. คนเหาะ

    คนเหาะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +85

    ใครๆเขาก้รู้ว่ากราบพระพุทธรูปกันทำไม

    แต่มีหลงฝูงอยู่ตนหนึ่ง กระบือไม่เลิก
     
  8. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    -----------

    คห.นี้ มีเหตุผลมากครับ
     
  9. คนเหาะ

    คนเหาะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +85
    [
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อุรุเวลา [​IMG]
    ผมก็บอกไปแล้วครับ
    ท่านสอนว่า

    พระพุทธรูปเป็นก้อนกายอันประกอบไปด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นของน่าเกลียด เป็นกายเน่า มีหนังเป็นที่สุดรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด มีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร

    เรื่องทำลายไม่ทำลายผมตอบไปแล้วครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล

    ที่ป่าเวฬุวัณ (และทุกๆที่)หรือป่าไผ่ จะเข้าเฝ้า จะลุก จะนั่ง ก็กราบ

    พระพุทธเจ้าก่อนทั่งนั้น (สมัยก่อนพระท่านกราบแบบเบญจาคประดิษ
    รู้จักไหมเองอ่ะ สมันก่อนเค้ากราบกับแบบนี้ทั้งนั้น)

    นั่นก็กายเนื้อท่พระทรงอยู่ ทรงมีชีวิตอยู่

    ถ้าเป็นเอง เองก็ไม่กราบสิ เพราะกายเนื้อพระพุทธเจ้า

    เป็นสิ่งสกปรกยังที่เองว่า งี้เองก็เก่งเกินพระอรหันต์น่ะสิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2011
  10. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    อันนี้วิธีสาธิตว่าจิตไม่มีการเกิดดับ
    (ผมมิได้เจตนาที่จะเอาชนะในความเห็นใด แต่ทั้งนี้ก็เพราะเราซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเช่นกัน จึงต้องชี้แจงให้เห็นว่าสิ่ง ผู้ที่เคยรู้ว่าจิตเกิดดับอยู่ตลอดแท้จริงแล้วมันใช่หรือไม่)
    คุณอุรุเวลา ได้แย้งผมไว้เรื่องนี้ ถึงได้มีผู้ที่เห็นด้วยกับคุณอุรุเวลาตามมาหลายคน
    ผมถึงรู้ว่ามีผู้ที่ยังเข้าใจผิดอยู่อีกมาก

    วิธีสาธิตว่าจิตไม่มีการเกิดดับ

    เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เราเรียนท่องจำธรรมะจาก ตำราหรือครูอาจารย์ที่สอนว่า จิตเกิดดับ เป็นส่วนใหญ่ โดยมิได้เฉลียวใจว่า ขัดกับเหตุผลและหลักของกรรมกันเลย นั่นก็คือ เมื่อจิตดวงหนึ่งทำกรรมไว้อย่างหนึ่งแล้วดับไป จิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลัง จะต้องรับกรรมต่อจากจิตดวงเก่า ดังนี้ ซึ่งจะเป็นผลให้รู้จักธรรมะข้ออื่นที่เกี่ยวข้อง ผิดตามไปด้วยตลอดสาย
    ถ้าจิตเกิดดับเช่นนี้จริง เหมือนดังที่เรียนกันอยู่ การชำระจิตให้บริสุทธิ์ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาต ในวันมาฆะบูชานั้น รวมทั้งข้อบัญญัติเรื่องมรรคมีองค์ ๘ ด้วย ย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามนำไปปฏิบัตินานเพียงไรก็ตาม
    เพราะฉะนั้นก่อนที่จะลงมือสาธิตนั้น เราจะต้องทราบเป็นพื้นฐานเสียก่อนว่า จิตคือธาตุรู้ หมายความว่า ที่ใดมีธาตุรู้ยืนทรงตัวอยู่ ก็ต้องแปลว่าที่นั้นมีจิตอยู่
    ถ้าธาตุรู้นั้น รู้อยู่โดยตลอดเวลาแล้ว แต่เรากลับพูดว่า จิตเกิดดับ (รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง) ก็ย่อมพูดผิดจากความจริง
    เพราะว่า ถ้าพูดว่า จิตเกิด ก็ย่อมแปลว่า เดิมไม่มีจิตอยู่ แต่เพิ่งจะมีจิตขึ้นมา และถ้าพูดว่า จิตดับ ก็แปลว่า จิตนั้นได้หายไปแล้ว ขณะนี้ไม่มีธาตุรู้เหลืออยู่อีกแล้ว
    ดังนั้น ขอให้ใช้ความเป็นธรรมสังเกตดูว่า “ธาตุรู้” ได้บกพร่องขาดหายไปในขณะใดหรือไม่ แล้วกล่าวออกมาตามความเป็นจริงเท่านั้น ก็จะทำให้ได้รับความรู้ที่ถูกต้อง และนี่คือสัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนชาวพุทธทั้งหลาย เพื่อให้เข้าใจตามความเป็นจริง พระบรมศาสดาย่อมไม่ทรงสั่งสอนสิ่งใดที่ผิดไปจากความจริงเป็นอันขาด
    สมมุติว่า เรายกวัตถุชิ้นหนึ่ง ออกมาตั้ง ณ จุดๆหนึ่ง แล้วเพ่งดูอยู่ ณ จุดๆนั้น โดยไม่ให้สายตาที่เพ่งดู เคลื่อนออกไปเพ่งดูที่จุดอื่นนอกจากที่จุดนั้นเพียงจุดเดียวเท่านั้น เราย่อม “รู้” ว่าขณะนี้วัตถุชิ้นนั้น ตั้งอยู่ที่จุดนั้น
    ทีนี้ เรายกเอาวัตถุชิ้นนั้น ออกไปเสียจากจุดนั้น โดยใช้สายตาเพ่งดูอยู่ที่จุดที่กำหนดไว้ตามเดิม เราก็ย่อม “รู้” ว่าขณะนี้วัตถุชิ้นนั้น ได้หายไปจากจุดนั้นแล้ว
    ต่อจากนี้ ก็ยกเอาวัตถุชิ้นเดิมนั้นกลับเข้ามาตั้ง ณ จุดที่กำหนดไว้เดิมอีก เราก็ย่อม “รู้”ว่า วัตถุชิ้นนั้น ได้กลับมาตั้งอยู่ในที่เดิมอีกแล้ว และเมื่อเรายกวัตถุชิ้นนั้น ออกไปเสียจากจุดนั้นอีกครั้งหนึ่ง เราก็ย่อม “รู้” ว่าขณะนี้วัตถุชิ้นนั้น ได้หายไปจากจุดนั้นอีกแล้ว ดังนี้
    ทำเช่นนี้ไม่ว่ากี่ครั้งก็ตาม ย่อมสรุปผลได้ว่า เราย่อม “รู้” อยู่ทุกขณะและตลอดเวลา ว่าวัตถุชิ้นนั้นได้เกิดขึ้น ณ จุดนั้น และวัตถุชิ้นนั้นได้หายไปจากจุดนั้น ไม่ว่าจะมีวัตถุตั้งอยู่หรือไม่ได้ตั้งอยู่ ณ จุดที่กำหนดให้นั้นก็ตาม
    ทั้งนี้ ย่อมแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า จิตของเราไม่ได้ดับตายหายสูญไปไหน คือ ไม่ได้เกิดดับ ดังที่เรียนท่องจำกันอยู่ในปัจจุบันนี้เลย แต่วัตถุ คือ “สิ่งที่ถูกจิตรู้” ต่างหาก ได้เกิดขึ้นที่การรับรู้ของจิต เมื่อยกไปตั้งที่จุดนั้น และดับไปจากการรับรู้ของจิต เมื่อยกออกไปเสียจากจุดนั้น วัตถุต่างๆหรือเรื่องที่จิตรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความนึกคิดทางใจ ซึ่งเรียกว่า อารมณ์ นั้น ต่างหากที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา อย่างนับครั้งไม่ถ้วนในระยะวันหนึ่งๆ
    มีพระบาลี ในมหาสติปัฏฐานสูตรรับรองอยู่ ดังนี้ คือ
    “สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, วีตราคํ วา จิตฺตํ วีตราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ” แปลว่า “เมื่อราคะเกิดขึ้นที่จิต ก็รู้ชัดว่า ราคะเกิดขึ้นที่จิต เมื่อราคะหายไปจากจิต ก็รู้ชัดว่าราคะหายไปจากจิต ดังนี้”
    ทั้งนี้ เราย่อมเห็นได้ชัดเจนที่สุดว่า สิ่งที่เกิดดับตามพระบาลีนี้คือราคะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดดับตามอารมณ์จากภายนอก แต่ ธาตุรู้คือจิต นั้น รู้ทรงตัวอยู่เสมอ ไม่ได้เกิดดับตามราคะไปด้วย อาการรัก-ชังของจิตเท่านั้น ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปจากจิต จิตไม่ได้เกิดดับเลย.
    ※ ธรรมประทีป ๙ ธรรมะภาคปฏิบัติ โดย อ.ไชยทรง จันทรอารีย์ หน้า ๖-๘
    อ่านเรื่องจิต จากหนังสือธรรมประทีป ๙ โดย อ.ไชยทรง จันทรอารีย์
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สมัยพุทธกาล พระภิกษุ ถวายอาสนะ ถวายบังคม ทำประทักษิณ ครับ ส่วนกริยาท่าทางจะกราบแบบกราบเบญจคประดิษฐ์ หรือไม่ผมไม่ทราบครับ แต่ท่านบอกว่าให้ดูการกราบของพระพม่าครับ
     
  12. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อุรุเวลา
    สมัยพุทธกาล พระภิกษุ ถวายอาสนะ ถวายบังคม ทำประทักษิณ ครับ ส่วนกริยาท่าทางจะกราบแบบกราบเบญจคประดิษฐ์ หรือไม่ผมไม่ทราบครับ แต่ท่านบอกว่าให้ดูการกราบของพระพม่าครับ


    การพูดถึงพระไตรปิฏกอ่ะนะ เอ็งอย่าลงเต็มร้อยเปอร์เซ็น

    ฟังความคิดเห็นคนหมู่มากด้วย คนอื่นเค้าก้เรียนมา รู้มาด้วยกันทั้งนั้น

    การตัดสินใจอะเไรคนเดียว มีแต่ผิดพลาด หลายคนช่วยกันทำ ช่วยกันกลั่นกรอง

    การสังคยนาพระไตรปิฏกก็เช่นกัน ขนาดพระอรหันต์ ทำการสังคยนา ยังต้องไช้ 500รูป

    เลย ไปดูสิสิมีบอกไว้ในสมัยพุทธกาล ในกาลทำสังคยนาพระไตรปิฏก

    เพราะเอ็งก็เกิดไม่ทัน จริงหรือไม่จริง เอ็งก็ไม่รู้

    แล้วอีกอย่าง อาจารย์เอ็งก็พี่กรูเกิล

    อาจารย์กรูเกิล มีใครเค้านับถือกันบ้าง

    จะมีก็แต่แกนี่ละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ธันวาคม 2011
  13. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ใจเย็น เขาไม่ใช่คนไม่ดี:cool:
     
  14. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    มันก็แปลกดีนะครับคุณกราบไหว้รูปบรรพบุรุษ บอกว่าทำตามประเพณีเคารพผู้ใหญ่ แต่ทำไมไม่กราบพระพุทธรูป เพื่อแสดงความเคารพ หรือมันเป้นแค่การยึดติดกับความคิดก้ไม่รู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2011
  15. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    ผมอยากทราบจังครับว่า หากว่าคุณอยู่ในสมัยพุทธกาลได้มีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้า คุณจะก้มลงกราบท่านมัียครับ

    เป้นคำถามครับ
     
  16. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    คุณ อุรุเวลา คิดยังไงกับตำราพระไตรปิฏกที่บันทึกภูมิธรรมที่พระพุทธองค์

    บำเพ็ญเพียร สั่งสมปัญญาปารมีมาหลายกัลป์จรตรัสรู้ ย่อลงเป็น 84000 พระธรรมขันธ์

    หรือเห็น ตำราพระไตรปิฏก ก็เป็นเพียงกระดาษกับตัวหนังสือ เป็นธาตุดิน ไม่ต่างกับพุทธานุสติในพุทธรูป ครับ

    ท่านเห็นสิ่งใดหนอ
     
  17. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ๔๗๐] สาวัตถีนิทาน ฯ

    ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้

    สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วยพระนิพพาน และภิกษุ

    เหล่านั้นทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ น้อมนึกมาด้วยความเต็มใจ เงี่ยโสตลงสดับ

    ธรรมอยู่ ฯ

    ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้มีความคิดว่า พระสมณโคดมนี้แล ทรงยัง

    ภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา

    เกี่ยวด้วยพระนิพพาน ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปใกล้พระสมณโคดมถึงที่ประทับ

    เพื่อการกำบังตาเถิด ฯ

    ๔๗๑] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปจึงนิรมิตเพศเป็นชาวนาแบกไถใหญ่

    ถือปะฏักมีด้ามยาว มีผมยาวรุงรังปกหน้าปกหลัง นุ่งผ้าเนื้อหยาบ มีเท้าทั้งสองเปื้อน

    โคลน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่สมณะ

    ท่านได้เห็นโคทั้งหลายบ้างไหม ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า แน่ะมารผู้มีบาป ท่านจะต้องการอะไรด้วย

    โคทั้งหลายเล่า ฯ

    มารกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ จักษุเป็นของเราแท้ รูปก็เป็นของเรา

    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแก่จักษุสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น

    ข้าแต่สมณะ โสตเป็นของเรา เสียงเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่

    โสตสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ จมูกเป็นของเรา

    กลิ่นเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ฆานสัมผัส ก็เป็นของเรา ท่านจะ

    หนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ลิ้นเป็นของเรา รสเป็นของเรา อายตนะคือ

    วิญญาณอันเกิดแต่ชิวหาสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่

    สมณะ กายเป็นของเรา โผฏฐัพพะเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่กาย

    สัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ใจเป็นของเรา

    ธรรมารมณ์เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัสก็เป็นของเรา

    ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ฯ

    ๔๗๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมารผู้มีบาป จักษุเป็นของท่าน

    รูปเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่จักษุสัมผัสก็เป็นของท่านแท้ ดูกร

    มารผู้มีบาป แต่ในที่ใด ไม่มีจักษุ ไม่มีรูป ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่จักษุ

    สัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน โสตเป็นของท่าน เสียงเป็นของท่าน

    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่โสตสัมผัสก็เป็นของท่าน แต่ในที่ใด ไม่มีโสต ไม่

    มีเสียง ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่โสตสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของ

    ท่าน จมูกเป็นของท่าน กลิ่นเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ฆาน

    สัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ ลิ้นเป็นของท่าน รสเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณ

    อันเกิดแต่ชิวหาสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ กายเป็นของท่าน โผฏฐัพพะเป็นของท่าน

    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่กายสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ ใจเป็นของท่าน

    ธรรมารมณ์ทั้งหลายเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัสก็เป็น

    ของท่าน แต่ในที่ใด ไม่มีใจ ไม่มีธรรมารมณ์ ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่

    มโนสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน ฯ

    ๔๗๓] มารกราบทูลว่า

    ชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใดว่า นี้ของเรา และกล่าวว่า นี้เป็นเรา

    ถ้าใจของท่านมีอยู่ในสิ่งนั้น ข้าแต่สมณะ ท่านก็จะไม่พ้นเราไปได้ ฯ

    [๔๗๔] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใด สิ่งนั้น

    ไม่มีแก่เรา ชนเหล่าใดกล่าว ชนเหล่านั้นไม่ใช่เรา ดูกรมารผู้มีบาป ท่านจงรู้

    อย่างนี้ ท่านย่อมไม่เห็นแม้ทางของเรา ฯ

    ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา

    พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง ฯ
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    จริงไม่จริงผมไม่รู้ แต่บอกว่านับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่เชื่อพระไตรปิฏก พระฝรั่งที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ท่านไปเรียนภาษาไทย ภาษบาลี เพื่อจะศึกษาพระไตรปิฏก แต่คนไทยเจ้าของภาษาไม่สนใจ
    คนหมู่มากไม่นับถือพระไตรปิฏก เอาอาจารย์เป็นที่ตั้ง ผมไม่เชื่ออาจารย์องค์ไหนทั้งนั้นถ้าสอนผิดไปจากพระไตรปิฏก ผมยึดพระไตรปิฏกเป็นหลัก ถ้าอาจารย์สอนผิดควรไปแก้ที่อาจารย์เอง ไม่ใช่โทษว่าพระไตรปิฏกผิด หรือใครจะกล้าแก้พระไตรปิฏก ใครกล้าคิดตำหนิคำสอนของพระพุทธเจ้า

    พระสงฆ์ทุศีล พากันแต่งบทสวดใหม่ บทสวดของอาจารย์นั้น บทสวดของอาจารย์นี้ ผมไม่เชื่อท่าน ไม่เชื่ออาจารย์ท่าน อาจารย์ผมคือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ItiVPRldYNE]Buddha Thus Have I Heard - 42 ดับขันธปรินิพพาน - YouTube[/ame]
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ท่านต้องแยกคำสองคำนี้ออกจากกัน ศาสนา กับ ประเพณี ถ้าท่านแยกไม่ออกท่านก็จะยังสงสัยอยู่เช่นนี้
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เป็นคำถามที่ไม่ควรถาม

    "ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุทปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผุ้ใดเห็นธรรมผู้นั่นเห็นคถาคต"
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...