จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    แม่นแล๊ว ละเอียดละออ ละเมียดละไม จริงๆ สาธุสาธุสาธุ
     
  2. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ทำไงได้หล่ะท่านพี่ ดูสิ บางท่านเข้ามาอ่านแล้วได้ไม่กี่อึดใจ หนีเห็นหลังไวไว เอาเป็นว่า บุญใครบุญมันนะนี่ ...พี่....นี้มีแต่ให้(เพลงใครไม่รู้) หุหุ
     
  3. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    เรียนท่านผู้เชี่ยวชาญ"การรู้"
    ขอคำชี้แนะเทคนิคใน"การเอาสติตามรู้ในอริยาบทต่างๆ" ในการทำงานในชีวิตประจำวัน (นอกเหนือจากกุศโลบายในการเอาจิตเกาะพระให้เป็นสมาธิแล้ว) เพื่อให้ได้กุศลเพิ่มกำลังวิปัสนาญานและชดใช้กรรมทางโลก(จากการต้องทำงาน)ไปพร้อมๆกัน จะได้ไม่เสียเวลาในตอนกลางวันไปเปล่าๆ
    เผื่อว่าเทคนิคที่ท่านชี้แนะนี้อาจจะถูกจริตกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ขอน้อมcopyไปใช้บ้าง หรืออาจจะถูกจริตกับท่านผู้อ่านท่านอื่นๆ ซึ่งเขาก็สามารถนำไปใช้ได้ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรม...
     
  4. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ถูกต้อง อิน้องคนงามของพี่ๆ ภัยพิบัติมาได้ทุกรูปแบบ ดิน น้ำ ลม ไฟ บางแห่งอาจหนีน้ำพ้นได้ แต่ภัยจากลมอาจรุนแรงกว่า บางแห่งหนีแผ่นดินไหวรอด แต่ลูกไฟจากฟ้าหล่นลงมากลางบ้าน อาจเป็นไปได้นะ หุหุ ว่าแล้ว พี่ดัชก้อมาคิดว่า....
    หนีอะไรแล้วสบายใจ หนีได้หนีไป แต่ขอร้องหล่ะ อย่าหนีจิตหนีใจตัวเองเลย นำจิตนำใจมาเกาะพระเถอะ พ่อคุณแม่คุณทั้งหลายยยยยย
     
  5. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เทคนิคของพี่ดัชนีนะคะ ตอนเริ่มฝึกสติใหม่ๆ ถูกพี่ภูกับครูเพ็ญเน้นกระชับตลอดมาว่าสตินะสติ......พี่ดัชเอาหลักการเท้ากระทบพื้นให้รู้ก่อนค่ะ(หลักการเจริญสติของหลวงพ่อเทียน จากวัดแพร่แสงเทียน) ทุกฝีก้าวที่เท้าเคลื่อนที่ไปให้รู้ รู้แบบรู้จริงๆ รู้เน้นๆ รู้แน่นๆ ซ้ายวางรู้ซ้ายวาง ขวาวางรู้ขวาวาง อันนี้เอาให้แน่น
    พอรู้มากๆเดี๋ยวจะรู้ลามขึ้นมาทุกส่วนของร่างกาย คอหันซ้าย หัวหมุนขวา เอาสิถ้าไม่รู้ รู้ขึ้นมามาก กระพริบตาก้อรู้ ก้อเห็น ลมเข้าออกจมูก รู้เห็น มันรู้ลามรู้ชัดรู้ทุกส่วนสารทิศของร่างกาย
    ทำให้มากขึ้นเยอะขึ้น น้ำ อาหารลงท้องไปตรงจุดใดส่วนใด รู้เห็นมันลงไปเอง เอาน่า...ถ้าถูกจริตจริง เอาให้ถึงที่สุด เริ่มจากเท้ารู้กระทบพื้นก่อน เอาฐานตรงนี้ให้แน่น ไม่ช้าไม่นาน ก้อลามขึ้นไปเองแหละค่ะ เจริญในธรรมค่ะ
    ปล.พี่น้องชาวจิตบุญ ลงมาเพิ่มเติมหน่อยจ๊า
     
  6. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ขอบพระคุณอย่างสูงคร้าบบบบบ
     
  7. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    โรเจอร์ โรเจอร์ ครับพี่ชายใหญ่

    วาง.....อยาก ตัด.....รัก
    ว่าง.....สำเร็จ ห่าง....โลภ
    สว่าง....จิต หมด....โกรธ
    สำเร็จ...พุทธะ สงบ.....นิพพาน
    (ใครตีความ ได้อย่างไร .... ลองดูนะครับ.. อิอิ)


    ขอไปดำในจิตต่อครับพี่ภู พี่เพ็ญ

    สวัสดีครับ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    การดำรงชีวิตของสัตว์มนุษย์นั้นไม่ยาก
    เพราะมนุษย์นั้น ถือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐกันทุกคนอยู่แล้ว
    ก็จะขึ้นอยู่ที่ว่า มนุษย์นั้นจะใช้ความประเสริญ และมีสติปัญญากันอยู่แล้วนั้น
    จะนำพาชีวิตของตนเองไปเช่นไร
    เฉกเช่นเป็นอริยบุคคล หรือ เป็นดั่งสัตว์เดฉาน คือมีจิตโหดเหี้ยมดั่งสัตว์เหล่า
    ก็จะขึ้นของมนุษย์ผู้ประเสริญนั้นกัน เป็น

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าพวกเราจะทำกิจธุระอันใด หรือว่าจะอยู่ส่วนใดของโลกก็ตาม
    ขอให้ผู้ที่เรียกว่าตนเองว่า เป็นสัตว์ประเสริญนั้น
    เพราะมนุษย์กับเดรัจฉานแตกต่างกันตรงไหน
    ก็ตรงที่จิตใจ
    แต่ถ้าเป็นจิตสัว์เดรัจฉานนั้น มักจะมีจิตโหดร้ายผิดมนุษย์
    ส่วนจิตใจของสัตว์มนุษย์นั้น ส่วนใหญ่มักมีจิตใจเมตตา อ่อนโยน ใจดี ไม่โหดร้ายเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน
    ยกเว้น สัตว์เดรัจฉานในร่างมนุษย์ อันนั้นจัดอยู่ประเภทสัตว์เดรัจฉานไป เพียงมีร่างกายเหมือนมนุษย์ทั่วไปก็ตามที

    เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าคิดว่าเรา คือ สัตว์ประเสริฐ หรือมนุษย์ประเสริญกันแล้ว
    เราจะต้องมีสติ หรือว่ามีศีล
    ทั้งสติและก็ศ๊ลนั้น ในเบื้องต้นมนุษย์ผู้ได้รับการพัฒนาทางจิตใจมักจะสูงตามไปด้วย
    เพราะสติและศีลนั้นถือว่าเป็นฝ่ายความดี ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือมีอยู่ภายในกาย ในใจกันทุกคนอยู่แล้ว
    และผู้ทรงสติ ทรงศีลก็นับได้ว่า หรือรับประกันได้ว่า เป็นคนดีในเบื้องต้นกันแล้ว

    แต่ถ้าคนเรามีสติ มีศีล มีธรรมะอยู่ประจำใจ หรือเป็นปกติกันดีอยู่แล้ว
    นั่นก็หมายถึงว่า เราก็จะไม่ไปเบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น หรือเราก็ไม่เดือนร้อน คนอื่นก็ไม่ทำให้เราเดือดร้อน เพราะถ้าต่างคนเป็นผู้ที่มีสติ มีศีล หรือมีธรรมะประจำใจกัน
    หรือ แต่ถ้าเรามีสติ มีศีล มีธรรมกันแล้ว ไม่ว่าจะทำกิจธุระอันใด หรือว่าจะอยู่ที่ไหนแห่งหน ตำบลใดก็ตาม
    เราก็ทำกิจธุระอย่างมีความสุข หรืออยู่ที่ใดของโลกเราก็มีแต่ความสุข
    เพราะความสุขทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้ว ความสุขแท้จริงนั้น มันอยู่ที่ภายใน หรือจิตใจคนเรา นั่นเอง

    แต่ถ้าเรามีสติดีกัน ถึงไม่มีเงินทองมากมาย เราก็อยู่กันได้ ถึงเงินทองมีความประจำก็ตาม แต่มิได้หมายถึงทั้งหมด เป็นแค่องค์ประกอบที่จะทำให้เราสุขสบายกายกันเท่านั้น แต่อาจจะมีผลทางจิตใจบ้าง
    แต่ผู้ที่ไม่มีสติเลย แต่มีทรัพย์สมบัติมากมาย มหาศาล ไม่ว่าจะทำกิจธุระอันใด หรืออยู่ที่แห่งหนใดก็ตาม
    ก็มักจะทำอะไรก็รู้สึกติดขัด หรือจะอยู่ที่ไหนก็รู้สึกอึดอัด อยู่ไม่ได้ เพราะว่า ไม่ได้ดั่งใจของตนเป็นหลัก นั่นเอง
    บางทีถึงจะมีทรัพย์มากมายก็ตามที แต่ถ้ามีอะไรจนเราต้องทำอะไร หรือจะตัดสินใจจะอะไรก็ไม่ดีแล้ว
    แพ้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะคนที่ไม่มีสติก็มักจะทำอะไรก็ไม่ค่อยจะสำเร็จ เพราะขาดสติ ก็พลอยขาดความตั้งใจไปด้วย
    แต่หากผู้ที่มีสติกันมากอยู่เสมอๆ จะทำกิจธุระอันใดก็มักจะสำเร็จลงด้วยดีเสมอ

    ขอสรุปว่า....
    ที่จริงแล้วเราก็ไม่ต้องไปมีอะไรกันมากมายหรอก
    ขอให้เรามีเพียงแค่ สติ หรือว่าศีล และว่างเราก็ภาวนากันได้ตลอดทุกลมหายใจของตนได้
    พกไปแค่ 1 อย่างก็พอแล้ว คือ ภาวนา
    (เพราะการภาวนาจะได้ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ครบทั้งหมดเลย) หรือ
    Three in One

    การภาวนานั้น มิต้องไปอายใคร เพราะไม่มีคนเห็นในขณะที่เราทำภาวนา มีสติ มีศีลกันอยู่ภายในนั้น
    เราภาวนาไม่ต้องไปอวดคนอื่นเขา
    เช่น เรากำลังเดินอยู่ ก็เหมือนเดินจงกรม หรือ ไปนั่งหลับให้คนอื่นเห็นว่า เรากำลังทำภาวนา เรากำลังสำรวมทั้งกาย วาจา ใจ เราก็ไม่ต้องไปทำกันถึงขนาดนั้น
    ขอให้เราเน้นบวชที่ใจกันนะ อย่าไปบวชกาย หรือไปทำความดีให้คนอื่นเห็น อันนั้นผิดวัตถุประสงค์ของแก่นภาวนากันแล้ว
    แต่ถ้าใครมีพฤติกรรมกันแบบนั้น เขาเรียกว่า คนมีกิเลส คือความโลภอยู่ภายในจิตใจกันแล้ว เพราะเรายังต้องความยินดี ต้องการให้คนชม การกระทำอันนั้น ถือว่าไม่ถูกต้องกันนัก
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ประกาศเตือนทุกๆดวงจิต โดยเฉพาะกระทู้นี้​


    ขอให้เรา(จิต) โดยเฉพาะจิตเกาะพระ จิตบุญขอให้ตั้งมั่นอยู่แต่ การภาวนา
    เพราะการภาวนานั้นจะมีทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา รวมอยู่ภายในกาย ในใจครบหมดแล้ว
    และเราก็สมารถทำกันได้ทุกขณะจิต หรือทุกเวลา
    วิธีนี้สะดวกที่สุด ง่ายที่สุด คือเราไม่จำเป็นต้องไปหาพระประธานกันที่ไหน
    พระพุทธเจ้าที่พวกเราทำกันอยู่นี้แหล่ะ! คือพระพุทธเจ้าซึ่งอยู่ภายในกาย ภายในจิตใจของแต่ละบุุคล
    แต่ถ้าเหตุสุดวิสัย อย่างน้อยที่สุดเราก็จะได้มีสติกัน เพราะมีสติ ปัญญาก็เกิด
    ขอให้จิตพวกเราเกาะพระให้ได้ก็แล้วกัน
    เพราะถ้าถึงเวลาภัยพิบัติกันจริงๆ โดยเฉพาะเวลานอนหลับ ในขณะที่ท่านก็ทราบกันดีว่า สถานที่แห่งไหนปลอด
    แต่ถามว่าเราไปทันไหม๊? ไม่ทัน แต่ถ้าไม่ทันอย่างน้อยที่สุดเราผู้ฝึกจิตเกาะพระกันมาดี อย่างอย่างจิตมีสติ มีสมาธิ และก็ปัญญา เราก็จะไม่เป็นคนตื่นเต้น ตื่นตูม หรือตระหนกตกใจจนเกินกว่าเหตุ
    เพราะถึงเลานั้นเราจะทำอะไรกันไม่ถูก ถ้าพวกเราขาดสติกัน

    ยิ่งตอนนี้กำลังมีข่าวหนาหู
    แต่ผมเชื่อว่าสำหรับผู้ที่กำลังเจริญภาวนา หรือ ทำจิตเกาะพระกันอยู่ในขณะนี้
    จิตใจเรามั่นคงอย่างแน่นอน ไม่ต้องไปดิ้นตามกระแสข่าว โดยเฉพาะกับภัยพิบัติ หรือ กระแสโลกกัน
    เพราะถึงอย่างไร ถ้าเป็นไปตามคำทำนายนั้น ทุกคนก็ยากจะคิดหลบหนี
    เพราะถ้าภัยจะเกิด ก็ต้องเกิดกันทั่วโลก
    ท่านแน่ใจแล้วหรือว่า ที่เราหนีจากทางนึง และไปอีกทีนึงกัน แล้วจะรอด

    ถ้าภัยพิบัติเกิดขึ้นเป็นจริงดังนั้นแล้ว นักภาวนา หรือ ชาวจิตกำลังเกาะพระกันอยู่นี้
    โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งใจภาวนากันแล้ว ท่านจงมั่นใจว่าท่านรอดแน่
    เพราะทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพระอริยสงฆ์ ต่างก็ออกมายืนยันเห็นพร้องด้วยกันว่า
    ผู้ที่มีศีล มีธรรมอยู่ภายในจิตนั้น ท่านว่ารอดแน่
    แต่สำหรับผู้ไม่แน่ใจในศีล ในธรรมก็ต้องคอยลุ้นกันอีกทีนึง

    แต่ถ้าภัยพิบัติไม่เกิดตามที่ทำนายกันไว้ พวกเราชาวจิตเกาะพระก็ไม่ต้องมีความเป็นอยู่เหมือนคนที่ตกนรกทั้งเป็น
    แต่ถ้าคนถึงคราวจะตายก็ต้องตาย ไม่มีผู้ใดหนีพ้น โลกแห่งความตายไปกันได้สักคนเดียว
    แต่ถ้าเราตายไป เราก็จงมั่นใจในศีล ในธรรม หรือมั่นใจในการปฎิบัติของท่าน ซึ่งแต่ละคนก็จะทราบตนเองดี
    จิตเราก็ไปจุติภพภูมิที่ดี หรือไปสุคติ หรือไปตามกำลังบุญ บารมีที่เราสะสมกันตอนยังมีชีวิตกันอยู่นั้น

    ผมในตัวแทนของชาวจิตเกาะพระ หรือ จิตบุญ ขอเตือนจิตใจของพวกเราด้วยความเคารพ
    ขอให้พวกเรารีบเร่ง สะสมบุญภายในกันเข้าไว้มากๆ
    อย่ามัวหลงนำจิตไปเกี่ยวข้อง หรือไปมัวติดติด หรือไปหลงไหล ปล่อยใจออกนอก
    หรือมัวหลงไปติดตามข่าวภัยพิบัติกันจนมากระทบจิตของตน ทำให้เกิดทุกข์ใจกัน
    อายตนะเราไม่ไปปิดบังมัน แต่เราจะต้องรับรู้ข่าวสารกันอย่างมีสติปัญญา
    อย่าไปหลงเชื่อกับคนเตือนภัยกันมากนัก เพราะจิตท่านจะตกหล่นไปในอบายภูมิกันก่อน
    เพราะตกนรกก่อนแล้ว ทั้งๆที่พวกเราก็ยังมีลมหายใจกันอยู่เลย แต่ถ้าตายกันจริงๆ คงได้ไปแบบสมใจนึกกันแน่ๆ
    คือ ไปอบายภูมิ หรือนรกภูิมิ

    พวกเราถือเอาความประเสริฐของมนุษย์นี้ จงตั้งสติ สร้างสติกันเข้าวไ้ให้ดี
    เรามิได้บอกมิให้ไปรับรู้ หรือปิดหูปิดจากันเสียเมื่อไหร่
    แต่ถามว่า สำหรับผู้ที่มีสติและปัญญาดีเท่านั้นจึงรอด
    แต่ผู้ที่สติและปัญญาไม่ดี แล้วจะทำกันอย่างไร
    จิตตก พากันออกจากงาน หวังเพื่อจะหนีกันให้รอดพ้นกับภัยพิบัติกันนี้
    แต่สำหรับผู้มีทรัพย์มากก็รอดไป แต่สำหรับคนจนหล่ะ! ท่านไม่ต้องไปตามเขาหรอก
    ถึงเราไม่มีเงินทองมากมายเหมือนอย่างคนอื่นเขา แต่ถ้ามีความขยันหมั่นเพียรภวนากันให้มากๆ
    ท่านก็มีสิทธิ์กันอยู่แล้ว
    สำหรับคนที่ร่ำรวย แต่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมอยู่ภายในจิตใจ ถึงจะหนีไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ท่านนึกว่าจะรอดกันหรือ???

    กระผมก็หวังดี และก็สื่อให้กันฟัง แต่เพียงเท่านี้

    (ทำจิตเกาะพระกันไปเรื่อย เดี๋ยวทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดีเอง)
    เพราะถ้าเกิดเราก็มีสิทธิ์รอด แต่ถ้าไม่รอด อันมาจากเหตุ ปัจจัยอื่นๆทำให้เราต้องตายไป
    อย่างน้อยที่สุด จิตของเราก็ไปสู่สุคติภูมิ ดีกว่าไปอบายภูมิ หรือว่า นรกภูมิกันเป็นไหนๆ
    หรือ สบายใจทั้งโลกนี้ และโลกหน้า คือ โลกแห่งความตาย
    (แต่โลกหน้า โลกแห่งความตายนั้นอีกยางนาน ยาวไกล แต่โลกนี้ก็แค่ อายุไขของตน หรือไม่แน่ ถ้าเราประมาท)

    ขอให้ทุกๆดวงจิต สบายใจกัน และอย่าได้เป็นทุกข์ใจ ทุกข์กายกันเลยนะครับ


    พระอาทิตย์ดับได้ ฟ้าดับได้ แต่อย่าให้จิตของพวกเราดับนะ
    (เช่น จิตตก จิตทุกข์ มีเป้าที่ไปอย่างเดียว ก็คือ อบาย หรือนรกภูมิ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2012
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ถึงหางธรรมะจะยาวเป็นหางว่าว แต่ก็สาระธรรมะนั้น ยาวกว่าหาวว่าวเสียอีก
    ขอโมทนาสาธุ กับธรรมาทานของครูเพ็ญ ดีมากเลยวันนี้
    ท่านยิ่งพูด ก็ยิ่งดี
    ผมยอมครูตรงนี้แหล่ะ! ว่าจิตครูเพ็ญนั้นดีมากๆ ไม่ใช่มาชมพวกเดียวกันนะ
    พูดไปตามเนื้อผ้า ท่านก็ลองไปอ่านกันดูดิ
    แถมท่านยังเป็นครูสอนสั่งธรรมให้กับผมด้วย แต่ถ้าผมไม่ได้ครูเพ็ญ ผมก็คงไม่มีในวันนี้

    ท่านสมแล้วที่เป็นครูละเอียด+ละออ+ไวไว(ถ้าตอกไข่ไก่ใส่ลงไปด้วย โอ๊ย! หิว)
    ธรรมะคมทั้งพี่ ทั้งน้องเลย(อัญญะมณี สมชื่อ..) นี่ลูกใครหว๋า!
    ดีนะ ถ้าคุณพ่อ+คุณแม่ท่านเล่นเน็ตด้วยละก้อ พวกเราก็คงมีโอกาสได้ฟังธรรมะท่านกันบ้าง

    นี่แค่ปลายแถวของคุณแม่สุมาลีนะ แต่ถ้าหัวแถวจะเป็นอย่างไร
    สำหรับผู้ที่อยากจะฟังธรรมะของคุณแม่สุมาลีนะ ต้องอดใจรอกันหน่อย เพราะท่านจะปรากฎตัวก็ต่อเมื่อ
    รอบ้านเปิดก่อน " Grand Opening "

    แต่จะไม่บอกว่าเป็นบ้านอะไร ปล่อยให้งงกันมั่ง เหมือนบางคนทำจิตเกาะพระกันนั่นแหล่ะ! เพราะบางคนยังไม่เลิกสงสัย ยังไม่หายงง กับจิตเกาะพระ
    ว่างๆ ก็ลองไปถามครูเพ็ญเอากันเองนะว่า จิตเกาะพระเป็นอย่างไร และทำไมถึงได้งงกันหนักกันหน๋า
    ขนาดคครูเพ็ญ ครูละเอียดก็ยังบอกว่า " งง " งง..เต๊กกันมาแล้ว

    ไม่เชื่อก็ไปถามท่านดูดิ่ ว่าจริงอ่ะเปล่า???
    555... ใหม่ๆจะ งงกันทุกคน แม้นกระผมเอง ก็บรมงงไปแล้ว แต่ยังดีนะพวกคนหลังนี้ ยังพอมีคนให้ถาม แล้วเมื่อก่อนคุณลองดูสิว่า ผมงง แล้วจะไปถามใคร....(ให้ทาย) ถ้าทายถูกมารับรางวัลกันหลังไมค์ ยกเว้นจิตบุญนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2012
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ใครอยากรู้ว่าศีลละเอียดนั้นเป็นเช่นไร


    ผมขอยกตัวอย่างจากศีลของตนเอง มิได้ไปคัดมาจากตำราที่ไหน
    แต่ผมคัดออกมาจากจิตใจของผมเอง
    แต่ศีลใครละเอียดมากน้อยกันแค่ไหน ผมไม่ได้ไปเสียเวลาดูหรอก
    ดูแต่ศีลตนเองก็พอ พยายามอย่าให้ศีลขาด ผุ พัง แหว่งก็พอ
    ถ้าไม่ทำดี ก็อย่าไปทำเลว ขอแค่นี้เอง

    ขอยกตัวอย่างศีลละเอียดของตนเอง ซึ่งไม่เกี่ยวกับศีลผู้อื่นนะ
    เพราะศีลละเอียดส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวกับศีลใจ หรือมโนจิตเป็นหลัก
    เพราะการกระทำถือเป็นศีลหยาบ วาจาถือเป็นศีลกลาง
    ปกติศีลละเอียด นอกจากระมัดระวังเรื่องจิตใจอย่างเดียวกันแล้ว
    แต่ผมว่ามันจะต้องละเอียดทั้งไป ทั้งกลับ หรือทั้งขาเข้า ทั้งขาออก

    ขาเข้า หมายถึง นอกจากเราจะไม่รับ หรือตัดวงจร โดยเฉพาะการรับเหตุแห่งทุกข์เข้ามาสู่ภายในจิตใจของตน
    หรือสิ่งที่มากระทบจิต เราก็จะไม่เอาเด็ดขาด เราแค่ยืนดูมันเฉยๆ เพราะทุกข์นั้นเป็นเรื่องทางโลก เป็นเรื่องขันธ์5 มิใช่เรื่องของจิต (พอจะมองเห็นธรรมะกันบ้างนะ)

    ขาออก หมายถึง การไม่ส่งจิตออกนอก ไม่เสียเวลาไปดูว่าใครดี หรือใครไม่ดี เพราะมันไม่เกี่ยวกับเรา โดยคอยระวังมิให้ความคิดของตนเองเลวไปเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ที่มิใช่เราเพียงอย่างเดียว หรือ คอยดูจิตตนเองมิให้คิดเลวเท่านั้นพอ (นำสติตามจับให้ดี)
    เพราะศีลละเอียดนี้ มักจะมีตำรวจนอกเครื่องแบบ(ตำรวจบ้าน)คอยจับ
    นั่นก็คือ สติ (ของตนเอง มิใช่สติคนอื่นนะ)

    และนี่เป็นการตัดวงจรบ่วงกรรม บ่วงเวรที่ไม่ดี หรือไม่ไปสร้างกรรมไม่ดีกับผู้อื่นอีกต่อไป
    โดยการหยุดการกระทำความชั่วทั้งปวง ทั้งกาย วาจา ใจ คือเริ่มต้นที่ตัวเรา ที่ใจของเราก่อน
    ศีลละเอียด คือ ศีลที่เกี่ยวกับจิตใจ เกี่ยวกับความคิดนึก
    คุณเคยได้ยินคำนี้กันบ้างไหม???

    " แค่คิดก็ผิดแล้ว "

    แต่ศีลธรรมของพระพุทธศาสนานั้น จะเห็นได้ว่า จะละเอียดกว่ากฎหมาย
    เพราะกฎหมายเปรียบกับศีลธรรมในทางพระพุทธศาสนา แค่ศีลหยาบกับศีลกลาง
    เพราะกฎหมายนั้น เอาผิดคนแค่ การกระทำ และคำพูดกันเท่านั้น แต่ทั้งสองอย่างนี้ก็ต้องดูตัวที่เจตนากันด้วย เพราะจะเป็นตัวแปลว่าผิดมาก หรือผิดน้อย อย่างไร
    แต่กฎหมายมิอาจเอาผิดกับคนที่คิดนึกเฉยๆ ว่าจะทำร้ายร่างกาย หรือว่าจะฆ่า นึกอยู่ภายในใจกันเท่านั้น กฎหมายมิอาจเอาผิดกันได้กับบุคคลที่คิดแบบนี้

    เป็นอย่างไรกันบ้างพวกเรา คุณคิดอย่างไรกับศีลละเอียด

    (พอจะเข้าใจกันบ้างแล้วนะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2012
  12. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    ธรรมสวัสดีครับ คุณภูทยานญาน2 และคุณ natthapatpan ที่เคารพ และนับถืออย่างสูง

    ผมได้ติดตามอ่านบทความ ธรรมทานทั้งหลายที่ ทั้งคุณภู และครูเพ็ญ รวมทั้งท่านอื่นๆ ขออภัยที่ไม่ได้เอ่ยนาม ได้นำเสนอในกระทู้นี้มาโดยตลอด ขณะที่อ่านก็กำหนดจิตและสติตามไปด้วยทุกครั้งด้วยความตั้งใจ เหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์เรื่องราวเหล่านั้น ทำให้ได้รับความรู้ความเข้าใจอย่างชัดเจน ชัดแจ้งแจ่มใส โดยไม่มีข้อสงสัยหรือโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น นับเป็นวิธีการฝึกจิตที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง เข้าใจง่าย ไม่ต้องเน้นปริยัติ ซึ่งยากเกินไป

    อยากให้เพื่อนๆที่ได้เข้ามาอ่านในนี้ ได้เร่งฝึก"จิตเกาะพระ"กันอย่างเต็มที่ เพราะนี่คือหนทางที่ง่ายที่สุด ในการฝึกจิต และต่อยอดไปจนถึงขั้นวิปัสนากรรมฐานในขั้นที่สูงขึ้นไปได้อีก ส่วนรายละเอียดหรือวิธีการฝึกปฏิบัติต่างๆนั้น ก็ขอให้สอบถามจากในกระทู้นี้ได้ตลอดเวลาได้เลยครับ

    ส่วนผมเองก็คงต้องศึกษาเรียนรู้ และฝึกปฏิบัติต่อไป เพื่อเป้าหมายสุดท้ายของชีวิต คือ พระนิพพาน ให้จงได้ ตอนนี้ก็คงได้แต่คอยให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติฝึก"จิตเกาะพระ"กันให้แนบแน่นตลอดเวลา เท่าที่ทำกันได้ครับ

    ขอโมทนา สาธุ กับกุศลผลบุญทั้งหลายที่ทุกท่านได้กระทำมาทั้งหมดทั้งปวง ทุกภพทุกชาติ แม้กาลปัจจุบันด้วยครับ และด้วยอานิสงค์เหล่านี้ ข้าพเจ้าขออาราธนา อัญเชิญ บารมีของสมเด็จพ่อฯ สมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดา ได้โปรดอำนวยอวยพรให้ทุกท่านประสพแต่ความสุขความเจริญ ยิ่งๆขึ้นไป ตราบจนถึงพระนิพพาน โดยถ้วนหน้ากัน เทอญฯ สา ธุ

    ขอเจริญในธรรม ..........ด้วยจิตคารวะ

    ขอแสดงความนับถือ

    newwave1959
     
  13. do re mi

    do re mi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +183
    ผมปฏิบัติธรรมตามที่โอกาศจะอำนวย หาความรู้ไม่ประมาท มีสติอยู่เสมอแบบที่พระพุทธเจ้าเราตรัสสอนครับ และยอมรับว่าโลกมันพิกล ผมเอาวิด๊โอไปลงไว้ที่ธรณีสูบยักษ์สูบ มหันตภัยล้างโลก ที่กระดานภัยพิบัติและการเตรียมการ ดุแล้วน่ากลัวครับ และกลับมาคิดว่าถ้าอะไรมันเกิดจิตเราก็ต้องมั่นคง มีการเตรียมสิ่งจำเป็นและอาหาร ทำอะไรได้แค่ไหนก็ต้องทำยังดีกว่าไม่ทำอะไร ผมคิดอย่างนี้ครับ
     
  14. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ลูกพลัง
    เรียนท่านผู้เชี่ยวชาญ"การรู้"
    ขอคำชี้แนะเทคนิคใน"การเอาสติตามรู้ในอริยาบทต่างๆ" ในการทำงานในชีวิตประจำวัน (นอกเหนือจากกุศโลบายในการเอาจิตเกาะพระให้เป็นสมาธิแล้ว) เพื่อให้ได้กุศลเพิ่มกำลังวิปัสนาญานและชดใช้กรรมทางโลก(จากการต้องทำงาน)ไปพร้อมๆกัน จะได้ไม่เสียเวลาในตอนกลางวันไปเปล่าๆ
    เผื่อว่าเทคนิคที่ท่านชี้แนะนี้อาจจะถูกจริตกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ขอน้อมcopyไปใช้บ้าง หรืออาจจะถูกจริตกับท่านผู้อ่านท่านอื่นๆ ซึ่งเขาก็สามารถนำไปใช้ได้ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรม...

    พี่เพ็ญเข้ามาตอบก่อน(สงสัยขึ้นบอร์ดทีหลังเพื่อน หุหุ)
    เพราะยังออนไลน์อยู่ในห้องนี้
    ทำไมถึงต้องแย่งพี่ภูตอบ
    เพราะพี่เพ็ญถูกถามบ่อย ๆ เกือบทุกวัน
    ว่าสติทำไง? ทำไงให้มีสติ?

    พี่เพ็ญนี้ก็เคยงมหอยโข่งมาก่อนจิ
    ว่าที่คุณลูกพลังถามน่ะหมายถึงอะไร
    คุณมัวแต่ไปเจริญสติตอนนั่งสมาธิ
    ยืนสมาธิ นอนสมาธิ เดินจงกรมกันใช่ไหมล่ะ
    พอเลิกทำสมาธิ ทั้งจิตทั้งสติหายวับ
    ตามหากันไม่เจอ
    เพราะมัวส่งจิตกับสติออกไปวิ่งอยู่กับกระแสโลก
    ไม่รู้จักแยกกายแยกจิตกันทำงาน
    หน้าที่ใครหน้าที่มันจิ
    อย่าเอาไปมั่วกันนะ

    พี่เพ็ญจะแนะแนวให้นะ
    แต่จะถูกจริตคุณหรือไม่นั้นไม่ทราบ
    และจะถูกจริตคนอื่นด้วยหรือไม่นั้นไม่ทราบ
    ทราบแต่ว่าคนฉลาดท่านนำเอาคำตอบ
    ไปพลิกแพลงให้ถูกจริตตน แล้วทำต่อไป
    ใช่หรือไม่ท่านไปวัดกันที่ผลการปฏิบัติ
    มิใช่วัดที่ถูกจริตหรือไม่ถูกจริต

    ก่อนจะถึงวิธีแนะนำให้เจริญสติ
    ซึ่งง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก
    ตอนนี้ล่ะพูดได้
    แต่เมื่อก่อนล่ะแทบจะจมน้ำตายกับหาสติไม่เจอนี่ล่ะ

    จะพูดเรื่องถูกจริตหรือไม่ถูกจริตก่อน
    ยกตัวอย่างพี่เพ็ญเองเลย
    นักปฏิบัติที่ดื้อด้านที่สุดในโลก
    พี่ภูรู้ดีที่สุด หุหุ
    ดื้อขนาดไหนเหรอ เดี๋ยวมาดูกัน
    ก็ดื้อขนาดว่าฉันไม่ยอมรับใครเป็นครูบาอาจารย์สักคน
    พระดัง ๆ ที่ใคร ๆ ก็ศรัทธา ฉันเฉย ๆ
    ธรรมะของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำใครว่าดี
    แต่ฉันไม่ชอบ ไม่ถูกจริต
    เพราะอะไรก็ท่านเล่นสอนไปด่าไปฉันไม่ชอบ
    หลวงตาบัวรึ ท่านพล่ามอะไรไม่รู้
    ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่สิ่งที่ฉันกำลังตามหา
    หลงพ่อจรัญรึ ใคร ๆ ก็บอกให้เราไปฝึกกรรมฐานที่วัดของท่าน
    ฉันไม่ไปแถมจิตยังเมินหน้าหนี
    เพราะฉันไม่ชอบอะไรที่เข้มงวดไม่ถูกจริตฉัน

    ตอนนั้นทิฐิ อัตตา มานะมีอยู่พร้อมหน้า
    กำแพงอีโก้(ความยึดในตัวกูของกู)
    หนายิ่งกว่ากำแพงเมืองจีนที่ว่ายาวที่สุดในโลก

    ใครอ่านมาถึงตรงนี้ขอให้นำสติย้อนเข้าไปดูจิตตนเองที่ข้างในนะ
    ว่ามันมีอาการหรืออารมณ์อย่างไร
    ถ้ายังมีอาการหรืออารมณ์อยู่
    แสดงว่าจิตท่านยังเลวอยู่
    นี่ไงตามคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเป๊ะ
    เป็นไงล่ะ เห็นยัง? ท่านสอนไปด่าไป
    จิตใครเลวอยู่แล้วก็ยิ่งเลวขึ้นไปใหญ่
    เพราะไปนึกโกรธนึกเคืองว่าท่านด่าเราใช่ไหมล่ะ

    ที่พี่เพ็ญยกตัวอย่างมาน่ะ
    พระอรหันต์ทั้งนั้นนะ
    ดูดิ จิตมันก็ยังไม่ยอมก้มหัวให้ใคร
    เพราะอะไร?
    เพราะจิตพี่เพ็ญมันเลวยังไงล่ะ
    เลวมาก
    แต่ถามว่านับถือพระไหม?
    นับถือค่ะ กราบไหว้พระตลอด
    เคารพผ้าเหลือง
    เพราะเป็นสัญลักษณ์ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า

    นี่เลยครูอาจารย์ที่แท้จริงของพี่เพ็ญ
    ในโลกนี้ฉันยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น
    เอ แต่พระพุทธเจ้าท่านเสด็จปรินิพพานไปแล้ว
    แล้วเราจะไปหาพระพุทธเจ้าเป็นครูอาจาย์ได้ที่ไหนอีก

    คิดไปคิดมาปวดหัวเหนื่อยหน่ายกับการตามหาครู
    ก็เลยเลิกตามหาครู
    แล้วบอกกับตนเองว่า
    ฉันนี่แหละจะเป็นครูของตนเอง
    จะเอาให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ได้ยังไง
    ท่านก็ไม่มีครูอาจารย์มาสอนให้บรรลุธรรม
    แล้วท่านบรรลุธรรมได้ไง

    แล้วตอนนั้นก็โง่ซะไม่มีดี
    ไม่รู้เลยว่าจะต้องเริ่มต้นที่ตรงไหน
    สวดมนตร์ฉันก็สวดไม่ได้
    อยากจะสวดมนตร์แต่ใจมันไม่ยอมสวดด้วย
    อ้างโน่นอ้างนี่สารพัด
    จนดูเหมือนเป็นคนขี้เกียจ

    ก็มานั่งนึกคิดพิจารณา
    เอ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าไงหนอ
    ไม่รู้อ่ะ บรมโง่เลยเรา
    ถามตัวเองว่านี่เธอเป็นพุทธแค่ในทะเบียนบ้าน
    กับบัตรประชาชนเท่านั้นเองเหรอ
    แล้วกับที่พ่อกับแม่บอกไว้ใช่ไหม
    แล้วพ่อแม่ก็บอกว่าเกิดมาก็เป็นพุทธเพราะปู่ย่าตายายบอกมาอีกที
    ส่วนตายายก็เป็นพุทธเพราะปู่ทวดย่าทวด ตาทวดยายทวดบอกมาอีกที
    เหอๆ มีแต่บอกต่อๆกันมาว่าเป็นพุทธ
    แล้วพุทธจริง ๆ คืออะไร

    นอกเหนือจากนั้นแล้ว
    แล้วยังมีอะไรอีกบ้างที่แสดงว่าเธอเป็นชาวพุทธ
    สวดมนตร์ ไหว้พระ ทำบุญ ตักบาต สะเดาะเคราะห์ แก้กรรม บวช
    บวชเหรอ? ทวนถามตนเองอยู่ในใจ
    แต่ฉันยังไม่พร้อมจะบวชนี่
    ฉันยังต้องทำงาน มีภาระชำระหนี้สินอีกมากมาย
    ไปบวชแล้วจะหมดหนี้หรือเปล่า

    ถ้าไปบวชเราก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้สิ
    ขับรถก็ไม่ได้ จะไปซื้อของเองก็ไม่ได้
    จะทำอะไร ศีลก็เยอะแยะไปหมด
    แค่ศีลห้าฉันยังรักษาไม่ได้เลย
    แล้วจะให้ไปรักษาศีลสามร้อยกว่าข้อ(ชี)
    แล้วมันจะไหวเร๊อะ

    ไม่ไหวๆ นอนก่ายหน้าผากอยู่เป็นนานสองนาน
    ในที่สุดทุกข์มันก็บีบรัดเข้ามาเรื่อยๆ
    ใจมันจะสลายเสียให้ได้
    ไม่ได้แล้วตรู
    ขืนมัวทำเอ้อระเหยลอยชายอยู่อย่างนี้ตรูตายแน่
    แถมทิ้งภาระไว้ให้คนข้างหลังอีพะเลอเกวียน

    ก็มานึกคิดพิจารณาว่าเริ่มแรกพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอะไรหนอ
    เดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ในบ้าน
    คิดมันอยู่เรื่องเดียวนี่แหละ
    พระพุทธเจ้าท่านสอนอะไรหนอ
    แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เรากำลังทุกข์อย่างหนัก
    ก็ปิ๊งขึ้นมาว่า อ้อ ท่านสอนให้รู้ทุกข์

    ทุกข์แล้วไงต่อล่ะ
    ไม่รู้วุ้ย โง่ ครูอาจารย์ก็ไม่มีกะเขา
    อีกอย่างคิดว่าถึงจะไปหาครูอาจารย์ก็คงเข้าไม่ถึงอยู่ดี
    อย่างมากก็ไปเจอแค่ครูปลายแถวสอนไม่รู้เรื่อง
    นี่จิตพี่เพ็ญมันเลวอย่างนี้
    แฮ่ แต่ก็จริงนี่นา บางทีครูก็สอนไม่รู้เรื่องอ่ะ
    สอนให้ทำๆๆๆ ถามไรก็บอกไม่ต้องสงสัย
    แล้วก็ไม่อธิบายด้วยยิ่งไม่ชอบใหญ่เลย
    เพราะฉันต้องการรู้ แต่ทำไมไม่ให้ฉันรู้ล่ะ
    สงสัยว่าคงไม่รู้จริงก็เลยตอบคำถามเราไม่ได้ก็ไม่รู้นิ
    แล้วเมื่อไรตรูจะรู้สักทีหว๋า
    ไม่ไปดีกว่า ฝึกเองก็ได้นิ
    พระพุทธเจ้าท่านยังบรรลุธรรมได้เองเลย
    เราก็เอามั่งจิ

    เริ่มแรกเลยมาคิดๆๆๆๆๆ
    นอกจากทุกข์แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไรอีก
    คิดอยู่นานเหมือนกันนะกว่าจะรู้ว่า
    อ้อ ท่านสอนเรื่องเกิดดับ
    แล้วมันเกิดดับไงอ่ะ
    อะไรเกิด อะไรดับ
    ไม่รู้วุ้ย บรมโง่เลยเรา

    เอ้า มีเวลาก็คิดอีก
    อะไรเกิด อะไรดับหว๋า
    แล้วก็นึกสลับไปสลับมากับทุกข์
    ตอนนี้เราเกิดทุกข์
    แล้วไงต่ออ่ะ
    คิดไปคิดมา ปิ๊ง!
    อ๋อ รู้แล้ว ก็ทุกข์ไงเกิด
    แง รู้แล้วว่าทุกข์เกิด
    แต่มันไม่ดับนิ
    แล้วทำไงให้มันดับอ่ะ
    แล้วมันจะไปดับที่ไหน
    แล้วมันจะดับได้ยังไง?
    โห หนี้พะเลอเกวียนซะขนาดนั้น
    แถมโดนจิกโดนทวงซะใจงี้ขาดเป็นริ้วๆ เลยอ่ะ
    ยังไงมันก็ดับม่ายล่ายยยยยยย

    มีเวลาคิดอีก...
    คำว่ามีเวลานี้ หลายท่านมักจะพูดว่าไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด
    แต่พอตั้งใจมาคิดมันก็เลยมีเวลาอ่ะ
    เหมือนจิตเกาะพระ
    ถ้าตั้งใจมาคิดถึงพระ
    มันก็มีเวลาอ่ะ
    แล้วทำไมท่านจึงว่าไม่มีเวลาคิดถึงพระ
    คำตอบง่าย ๆ ก็เพราะท่านไม่ได้ตั้งใจคิดถึงพระน่ะจิ
    หุหุ

    เล่าต่อดีก๊า...ใครอ่านแล้วรำคาญก็ช่างเถอะ
    ใจท่านไม่ใช่ใจเรา
    ใจเราสบายแล้ว อิ.อิ
    พอมีเวลาคิดใช่ไหม
    คือตั้งใจมาคิดๆๆๆๆๆๆ
    คิดอย่างเดียวเลยอ่ะ
    ถึงได้นึกออกว่าเมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ
    เอ แล้วมันเกิดที่ไหน ดับกันที่ไหนหนอ
    ดับที่เจ้าหนี้เหรอ
    งั้นเจ้าหนี้มันก็ต้องตายก่อนสิมันถึงดับ
    เอ่ เจ้าหนี้ยังไม่ตายแล้วจะดับได้ไง
    สงสัยคิดผิด เอาใหม่

    งั้นก็ต้องหาเงินไปใช้หนี้สิ
    แง ก็มันหาเงินไม่ได้นี่
    แล้วทำไงจะให้ทุกข์มันดับอ่ะ
    สงสัยคิดผิดอีกแหง๋
    วุ้ย ทำไมมันคิดยากยังงี้หว๋า

    เอาใหม่มีเวลาก็ตั้งใจคิดใหม่
    เจ้าหนี้ไม่ดับ เงินใช้หนี้ก็ไม่มี
    เหตุแห่งทุกข์ทั้งหมดทั้งปวงมันเกิดมาจากอะไรหนอ
    คิดไปคิดมาก็คิดย้อนไปถึงอดีตตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน
    จนถึงแต่งงานเริ่มสร้างครอบครัว
    ปิ๊งอีกแล้ว อ้อ มันเริ่มทุกข์มาตั้งแต่ตอนแต่งงาน

    พอแต่งงานก็สองหัวช่วยกันคิดสร้างนั่นสร้างนี่จนเป็นหนี้พะเลอเกวียน
    แต่จะมาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว
    หนี้ไม่ลดมีแต่ดอกเบี้ยเพิ่มในอัตราก้าวกระโดด หุหุ
    ทำไรไม่ได้ ช่างมัน ดอกเบี้ยมันจะเพิ่มไปถึงไหนช่างมัน
    ถ้ามันจะช่วยให้ต่อชีวิตไปได้อีกหน่อยก็ยังดี
    ยังพอให้มีเวลาหายใจบ้าง

    เริ่มคิดประติดประต่อเรื่องราวแห่งความทุกข์ได้
    ก็ตอนนึกถึงเรื่องแต่งงานนี่แหละ
    แต่จะมาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว
    คนร่วมสร้างหนี้ตายไปแล้ว
    แหะๆ แต่หนี้ยังอยู่กะฉ้านนนนนนน
    ตอนนี้ก็เล่นได้จิเพราะมันหมดหนี้ร้อนไปแล้วนี่
    เหลือแต่หนี้เย็น ^^

    พอเห็นเรื่องราวของความทุกข์
    อันเกิดจากการสร้างหนี้เพื่อรองรับอนาคตของครอบครัว
    มานั่งนึกคิดพิจารณาเหมือนคนบ้าคิด
    ก็คิดไล่ลำดับไปทีละอย่าง
    ทุกข์ ทุกข์อะไร?
    ทุกข์กาย? ยังไม่ใช่
    ทุกข์ใจ? ใช่เลย
    ทุกข์มันเกิดอยู่ในใจ
    แล้วทำไงให้มันดับ
    พระพุทธเจ้าสอนว่าไงน๊า คิดอีกแล้ว...
    ท่านสอนว่าทุกข์เกิดที่ไหนดับที่นั่น
    เอ ทุกข์เกิดที่ใจ งั้นก็ต้องดับที่ใจสิ
    แล้วทำไงล่ะ? ดับยังไง? เอาอะไรมาดับ?
    พระพุทธเจ้าสอนว่าไงอีก?
    คิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ปล่อยวาง...
    แล้วจะปล่อยยังไงหนอ?
    วางยังไงหนอ?
    คิดไปคิดมา วุ้ย คิดไม่ออก เลิกคิดดีก๊า

    เอ้า มีเวลาก็มาคิดอีก
    วันก่อนคิดไม่ออกว่าจะปล่อยวางยังไงดี
    พระพุทธเจ้าสอนว่า
    สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมดับไปเป็นธรรมดา
    เอ้า ประโยคนี้หมายความว่าไงหนอ
    หมายความว่าทุกข์มันเกิดขึ้นเองมันก็จะดับเองงั้นเหรอ

    คิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ก็ได้คำตอบมาว่า ใช่
    ในเมื่อทุกข์มันเกิดขึ้นเอง
    โดยที่เราไม่ได้เชื้อเชิญให้มันมาเกิดที่ใจเรา
    ทุกข์มันก็ต้องดับลงด้วยตัวของมันเองได้เหมือนกันสิ
    และมันก็จะดับอยู่ที่ในใจเรานี่เอง
    ส่วนเจ้าหนี้เหรอ
    เหอ ๆ มันยังเป็นอมตะนิรันดร์กาล
    มันยังไม่ยอมดับ ฮ่าๆ

    แต่เจ้าหนี้ก็เจ้าหนี้เถอะ สักวันมันก็ต้องดับเหมือนกัน
    ดับที่ใจใครใจมัน ดับที่ขันธ์ใครขันธ์มัน
    แต่ถ้าเจ้าหนี้ยังไม่ดับเราก็ต้องหาตังค์ใช้หนี้ต่อไป
    แต่ตอนนี้ยังไม่มีนะ เจ้าหนี้รอไปก่อนก็แล้วกัน
    เราจะวางเจ้าหนี้ไว้ข้างหลังก่อน
    แล้วเราจะไปหาปัญญาหาเงินมาก่อน

    เมื่อคิดได้ดังนั้น เอาเจ้าหนี้ไปเดินตามหลัง
    ไม่เอามาเดินนำหน้าแล้ว
    เดินนำหน้าเงาเจ้าหน้ามีแต่จะคอยมาบังปัญญาของเรา
    พอเราวางเจ้าหนี้ไว้ก่อน เราก็มาฝึกทำสมาธิ
    วุ้ย สมาธิก็ทำยากอีก แม้แต่นาทีเดียวก็นั่งไม่ได้
    มันร้อน มันฟุ้ง นึกท้อนิด ๆ กรรมของตรู
    คนไม่มีครูอาจารย์ก็เป็นงี้แหละ
    ไปทางไหนใครก็ไม่เอา
    เหลือเดนจริง ๆ เลยเรา

    พี่เพ็ญต้องหาอุบายให้จิตทำสมาธิ
    ด้วยการเจรจาต่อรองกันว่า
    ไม่สวดมนตร์ก็ได้นะไม่ว่าหรอก
    แต่ช่วยนั่งสมาธิหน่อยนะ
    นั่งไม่ได้นานก็ไม่เป็นไร
    วันแรกเอาแค่ห้านาทีก่อน
    นั่งกับพื้นมันปวดหลังใช่ไหม
    งั้นไม่เป็นไรนะ ไปนั่งบนโซฟาให้สบายก็ได้
    มีที่พิงด้วย จิตก็เริ่มคล้อยตาม
    วันแรกนั่งทำสมาธิบนโซฟาได้ห้านาทีเป๊ะ

    เจ้าประคุณเอ๊ย จิตนี่มันคำไหนคำนั้น
    บอกให้นั่งสมาธิห้านาทีมันก็ให้แค่ห้านาทีจริง ๆ
    ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ขอเพิ่มอีกหนึ่งนาทีนะ
    พ่อเจ้าประคุณลุนช่องเอ๋ย
    วันรุ่งขึ้นนั่งทำสมาธิบนโซฟาได้หกนาทีเป๊ะ
    หลังจากนั้นจิตมันก็ไม่เอาแล้ว
    กว่าพี่เพ็ญจะนั่งสมาธิได้สิบนาที
    ใช้เวลาบวกไปอีกห้าวันๆ ละ 1 นาที
    เพราะวันแรกเริ่มไว้ห้านาทีแล้ว

    พอนั่งสมาธิได้สิบนาทีชักมีกำลังใจ
    ก็เพิ่มเวลาไปวันละ 1 นาที
    แหม๊ จิตนี่มันก็ตรงเวลาเป๊ะ ๆ เลยนะ
    ครบเวลาบวก 1 นาทีของทุกวันมันก็ลืมตาปิ๊ง
    จะหลับตาทำต่อทั้งกายทั้งขันธ์มันไม่เอาแล้ว
    ก็ต้องตามใจมันไปก่อน ว่าอะไรไม่ได้เดี๋ยวไก่ตื่น

    กว่าจะนั่งสมาธิได้สามสิบนาทีใช้เวลายี่สิบห้าวัน
    ช่างเป็นความเพียรที่ยาวนานและทรหดอดทนกับจิตตนเอง
    แต่หลังจากนั่งได้สามสิบนาที
    ก็หยุดเวลาไว้แค่นั้นคือตั้งใจว่าจะนั่งสมาธิวันละสามสิบนาทีนะ
    แล้วก็ได้ตามนั้นเป๊ะ ๆ ทุกวันจนจิตนิ่งขึ้นและนั่งได้นานขึ้น

    สูงสุดนั่งได้ 2 ชั่วโมงแต่ไม่ถึงฌานสี่
    อยู่ประมาณฌานสามละเอียด
    แต่กว่าจะนั่งได้ 2 ชั่วโมงนี่ใช้เวลาเป็นปีเลยนะ
    เพราะช่วงแรกจะเกิดเวทนามากปวดขามาก
    พอปวดหนัก ๆ ก็ถอนสมาธิแล้ว
    แต่ในแต่ละวันจะนั่งสมาธิไม่ต่ำกว่าวันละสามสิบนาที
    จนสามารถนั่งสมาธิได้สม่ำเสมอทุกวัน

    ตั้งแต่เริ่มนั่งสมาธิจนถึงปัจจุบันสามปีกว่า
    พี่เพ็ญไม่เคยขาดการนั่งสมาธิสักวัน
    แม้ว่าจะไปพักที่อื่นฉันก็นั่ง
    ผีจะหลอกเรื่องของผี ขอฉันนั่งสมาธิก่อน
    แต่ก่อนนั่งก็แอบนึกถึงพระว่า
    อย่าให้ผีมาหลอกหนูนะเจ้าคะ
    หนูไม่อยากเจอผี ขอพระช่วยกันผีไว้ให้ไกล ๆ เลย
    อย่าให้ผีเข้ามาใกล้หนูได้
    เห็นในนิมิตหนูก็ไม่เอานะเจ้าคะ
    ยังไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรทั้งนั้น
    ขอนั่งสมาธิให้จิตสงบอย่างเดียวเจ้าค่ะ

    ถามว่าได้ผลไหม บอกไปใครจะเชื่อว่าได้ผลเกินคาด
    นั่งสมาธิไม่เคยเห็นไรกะเขาเลย
    ใครถามว่าเห็นไรบ้าง
    บอก อึ้ ไม่เคยเห็นไรเลย

    การนั่งสมาธิของพี่เพ็ญนะ
    ช่วงแรกๆ จิตมันก็ฟุ้งตามประสาจิตลิงนั่นแล
    ไม่รู้จะทำไงให้หายฟุ้งก็เลยหาอ่านธรรมะบนเน็ต
    มีอยู่วันหนึ่งกำลังนั่งดูเวปพลังจิตอยู่
    ติดตามกระทู้เตือนภัย
    อยู่ ๆ เสียงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำก็ดังขึ้นมาเสียงั้น
    ดังออกมาจากลำโพง

    ก็งงจิ ปกติต่อเน็ตจากมือถือมันโหลดช้ามาก
    เสียงเสิงอะไรก็ไม่เคยได้ยินกะเขาหรอก
    อยู่ ๆ เสียงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำดังขึ้นก็งงจิ
    มาได้ไง ไม่สนใจ หลวงพ่อองค์นี้เราไม่ชอบเป็นทุนอยู่แล้ว
    ท่านชอบสอนไปด่าไป แต่ก็ไม่ได้ย้ายหน้าเวปหนีนะ
    ดูเวปไป เสียงท่านก็ลอยมาเข้าหูคมชัดมาก
    เสียงไม่มีขาดไม่มีกระตุก เสียงชัดแจ๋วเลย
    ก็เลยเงี่ยหูฟังว่าหลวงพ่อพูดอะไร
    ท่านสอนธรรมะเรื่องไรจำไม่ได้แล้ว
    แต่ฟังเพลินเพราะน้ำเสียงท่านจริงจังจริงใจและมีเมตตามาก

    หลังจากนั้นก็ต้องไปค้นหาธรรมะของท่านอ่าน
    โอ๊ย อ่านหลายอย่าง รวมทั้งมโนมยิทธิด้วย
    แต่ไม่จำสักอย่าง ได้แต่รู้ในจิตว่าหลวงพ่อพูดว่ายังงี้ๆ
    และนี่เองเป็นจุดที่ทำให้พี่เพ็ญยอมรับนับถือว่าท่านแน่จริง
    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านเป็นพระปฏิบัติจริงท่านรู้จริง
    เพราะคำสอนของท่านสามารถเทียบอารมณ์ของเราได้เลย
    แล้วก็ตรงกันเป๊ะๆ อย่างที่จะหาตำราเล่มใดเทียบได้ยาก
    เราก็เลยน้อมจิตยอมรับท่านไปทีละน้อย
    จนกระทั่งยอมรับนับถือท่านสนิทใจว่าท่านรู้จริง
    ท่านเป็นอริยบุคคลที่สามาถตีโจทย์ของเราให้แตกได้ในระดับหนึ่ง
    เท่านี้ก็หรูแล้วสำหรับเรา

    หลังจากนั้นอีกนานเลยกว่าจะยอมฟังหรืออ่านธรรมะของหลวงตาบัว
    เมื่อได้ยินได้ฟังได้อ่าน
    ก็น้อมจิตไปกราบขอขมาท่านที่ลูกได้เคยปรามาสท่านไว้
    และยอมรับนับถือว่าหลวงตาบัวท่านมีเมตตามากจริงๆ
    สุดท้ายหลวงพ่อจรัญก็น้อมจิตไปกราบขอขมาท่านอีก
    และยอมรับนับถือว่าท่านเป็นพระอริยบุคคลที่มีเมตตามากอีกท่านหนึ่ง

    เป็นไงล่ะ อ่านเรื่องจิตเลวของพี่เพ็ญ
    มีข้อความหรือเรื่องราวตรงไหนไปสะกิดต่อมเลวของท่านบ้างไหม
    เห็นต่อมเลวของตนเองหรือยัง
    ทุกวันนี้บอกว่าตนเองทำความดี
    ดีพอถึงครึ่งของเมตตาพระพุทธเจ้าหรือพระอริยบุคคลหรือยัง
    ความดีที่ท่านทำท่านวัดกันที่ตรงไหน
    วัดว่าท่านทำบุญมากกว่าใครงั้นหรือ
    หรือว่าวัดกันที่เครื่องแบบ
    หรือว่าวัดกันที่ใจ
    ถามเองตอบเองนะ
    ใจใครใจคนนั้น
    รู้ก็อยู่ในใจท่านนั่นเอง

    คงจะงงกันล่ะสิว่าพี่เพ็ญมาเล่าเรื่องจิตเลวของตนเองทำไม ไม่อายเขาเหรอ
    ณ ตอนนี้ตอบว่า เปลือกพวกนั้นน่ะพี่เพ็ญทิ้งไปหมดแล้ว
    แล้วมันยังจะมีอัตตา มานะอะไรกันอีก
    ที่เล่ามาน่ะมันเป็นแก่นโล้น ๆ
    เป็นไงล่ะอ่านเอาแก่นนี่จิตท่านเป็นไง
    หวั่นไหวหรือเฉย เพราะไม่ใช่เรื่องของฉัน
    หรือคิดพิจารณาตาม
    อย่างไหนก็ไม่ผิดหรอก
    เพราะธรรมดาก็เป็นอย่างนั้นเอง

    ทีนี้มาเข้าเรื่องที่ท่านลูกพลังถาม
    ถ้าท่านลูกพลังได้อ่านมาตั้งแต่ต้นนะ
    ท่านพิจารณาตามนะ
    ท่านเห็นไหม อะไรเป็นตัวพาจิตพี่เพ็ญไปคิด
    อะไรเป็นตัวพาพี่เพ็ญไปทำสมาธิ
    อะไรเป็นตัวรู้ที่ทำให้พี่เพ็ญเกิดปัญญา

    พี่เพ็ญตอบให้ก็ได้ว่า "สติ" ไงล่ะ
    ถ้าสติไม่เป็นตัวนำจิตกับปัญญาก่อน
    จิตกับปัญญาจะรู้สึกตัวกันไหมว่าใครมีหน้าที่ต้องทำอะไร
    หน้าที่การระลึกรู้นี้เป็นของสติทั้งนั้น

    ทีนี้มาว่ากันด้วยเรื่องของการฝึกสติให้ต่อเนื่อง
    สำหรับผู้ฝึกใหม่สติไม่มีทางจะต่อเนื่องได้
    เพราะจิตท่านไม่นิ่ง
    ท่านที่นั่งสมาธิส่วนใหญ่จะมีสติเล็กน้อยตอนนั่งสมาธิ
    หรือเดินจงกรม หรือยืนทำสมาธิ หรือนอนทำสมาธิก็แล้วแต่
    ส่วนใหญ่สติหายทุกราย เพราะมีระยะเวลาการฝึกสติน้อยเกินไป
    แค่วันละสามสิบนาทีหรือหนึ่งชั่วโมงถึงสองชั่วโมงนั้นไม่พอหรอก

    ทีนี้จะทำไงให้มีสติกันมาก ๆ

    เอาวิธีทำไปเลยนะ

    1. ตั้งใจฝึกกันจริงจัง

    2. ฝึกสติในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนเราทำอะไรบ้าง เจอกระทบอะไรบ้าง ไม่ว่าทำอะไรหรือเจอกระทบอะไรก็รู้ รู้อย่างเดียว รู้มันไปซะทุกเรื่องทุกอาการและอารมณ์ รู้ แล้ว วาง ไม่ต้องปรุงแต่งต่อ เหตุเป็นไง ผลเป็นไง ช่างมัน วางไปก่อน เอาแค่สติตามรู้กระทบ(เกิด)ให้ทันก่อน

    3. เมื่อสติฝึกรู้เกิดแล้ว ก็ลองฝึกรู้ดับตามไปด้วย

    4. หรือจะลองฝึกรู้ดับก่อนแล้วจึงย้อนรอยขึ้นไปฝึกรู้เกิดก็ได้ ไม่มีอะไรผิด

    5. ฝึกสติรู้เกิดดับของอาการและอารมณ์ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ นึกได้เมื่อไรมีสติระลึกรู้สึกตัวว่าเราทำอะไรอยู่หรือคิดอะไรอยู่ เอาสติตามดูอาการหรืออารมณ์ที่เกิด ณ เวลานั้นๆ

    6. เมื่อมีกระทบจากสิ่งเร้าภายนอกกายหรือภายในกาย ให้เอาสติวิ่งไปดูที่จิตว่ามีอาการหรืออารมณ์อย่างไร วิจัยอาการหรืออารมณ์ให้แจ่มชัด ว่าสิ่งที่เกิดอยู่ภายในจิตนั้นคือกิเลสตัวใด รัก โลภ โกรธ หลง จงอย่าเอาสตินำจิตออกไปดูดีชั่วหรือการกระทำของผู้อื่นหรือสิ่งอื่น ดูที่จิตตนอย่างเดียว ดูทุกครั้งที่เจอกระทบ ดูทุกครั้งที่รู้สึกตัว

    ที่กล่าวมาตั้งแต่ข้อ 1-6 เป็นการฝึกสติในชีวิตประจำวันซึ่งจะฝึกได้มากกว่านั่งสมาธิ ยืนสมาธิ นอนสมาธิ หรือเดินจงกรม ถ้าท่านทำได้อย่างนี้ท่านจะสามารถฝึกสติได้ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

    แต่ต้องตั้งเจตนาว่าจะฝึกสติในชีวิตประจำวันด้วยนะ ถ้าไม่ได้ตั้งเจตนา ใจก็ไม่ตั้งด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าตั้งเจตนาว่าจะทำการฝึกสติในชีวิตประจำวัน สติจะคอยระลึกได้ดีกว่าไม่ได้ตั้งเจตนา

    พี่เพ็ญจะสรุปคำถามช่วงแรกก่อนว่าเทคนิคในการฝึกสติตามรู้ในอิริยาบถต่างๆ ในชีวิตประจำวัน คือ

    1. ตั้งเจตนา
    2. มีความเพียรระลึกรู้สึกตัวบ่อย ๆ
    3. รักษาศีลห้าให้ได้ทุกวัน อันนี้เป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุด ถ้ารักษาศีลห้าได้สติจะอยู่กับจิตตลอดเวลา จำได้ว่าเรื่องศีลกับสติพี่ภูอธิบายไปแล้ว ลองย้อนกลับไปอ่านดูนะคะ หน้าไหนพี่เพ็ญไม่รู้แล้ว

    นี่สรุปเอาแก่นมาให้เลยนะ แต่ถ้าคุณต้องการรูปแบบคงต้องไปตามหาเอาตามสำนักปฏิบัติธรรมต่าง ๆ เพราะกลุ่มจิตบุญเราฝึกสติกันสด ๆ ในชีวิตประจำวันเป็นปกติ

    แต่การฝึกสติอย่างที่กล่าวมาจะทำได้ช้ามากๆ มันไม่ทันใจและไม่ทันใช้กับการงานทางจิตค่ะ เพราะจิตนี้ไวมาก ฉะนั้นเราจึงต้องมีปัญญาพลิกแพลง เอานะ เริ่มเข้าเรื่องที่พี่เพ็ญเล่ามาแล้วนะ

    นั่นคืออย่าติดรูปแบบ เห็นไหมที่พี่เพ็ญเล่ามาทั้งหมดข้างต้นนั้น พี่เพ็ญทิ้งรูปแบบ ไม่เอาอะไรสักอย่าง ตำราก็ไม่เอา ครูอาจารย์ก็ไม่เอา เอาจิตไปลองไปรู้อย่างเดียว พอติดขัดเราค่อยไปหาตำราเทียบเคียงอารมณ์เพื่อจะหาวิธีแก้ไข สรุปว่าวิธีแก้ไขที่ถูกต้องคือ วางลูกเดียว

    สงสัยก็วาง ไม่สงสัยก็วาง รู้ก็วาง ไม่รู้ก็วาง ฟุ้งก็วาง ไม่ฟุ้งก็วาง ทุกข์ก็วาง ไม่ทุกข์ก็วาง สุขก็วาง ไม่สุขก็วาง เฉยก็วาง ไม่เฉยก็วาง ปีติก็วาง ไม่ปีติก็วาง เห็นก็วาง ไม่เห็นก็วาง ได้ยินเสียงก็วาง ไม่ได้ยินเสียงก็วาง วางลูกเดียวเลย

    ตัวที่จะช่วยให้จิตวางได้ก็คือสติ ขอบอกว่าสตินี้เป็นพระเอกตลอดกาล อย่าลืมนะชีวิตจะไม่เท่ถ้าขาดสติ

    แต่การวางโดยมีสติรู้วางนั้น ไม่ใช่วางแล้วไม่ได้ประโยชน์ ประโยชน์ของการมีสติรู้วางคือทำให้ตัวรู้(สติ)เกิด เมื่อตัวรู้เกิดตัวรู้นี้จะไปนำจิตให้พลอยตื่นไปด้วย

    เห็นกระบวนการทำงานของสติ รู้ วาง จิต ตื่น หรือยัง หวังว่าคงจะไม่งงนะ

    แต่ก็อย่างที่บอกการฝึกสติด้วยกำลังใจของตนเองนั้นระดับสติจะเพิ่มขึ้นในอัตราคงที่ กำลังใจท่านมีแค่ไหนสติท่านก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเท่านั้น

    พี่เพ็ญจึงจะขอแนะนำวิธีสร้างสติในอัตราก้าวกระโดด ใช่ คุณอ่านไม่ผิดหรอก สร้างสติในอัตราก้าวกระโดด

    สามารถทำได้โดยฝึกจิตเกาะพระ เพราะถ้าคุณมีสติระลึกถึงพระได้บ่อยเท่าไร สติคุณก็จะยิ่งถูกเร่งให้เข้มแข็งตามจิตไปด้วย เพราะจิตเกาะพระนี้จิตเป็นสมาธิไวมาก

    แต่จิตจะเป็นสมาธิเพียงอย่างเดียวไม่ได้ สติก็ต้องตามจิตไปด้วย จิตเป็นสมาธิละเอียดถึงขั้นไหน สติก็ต้องตามดูตามรู้ไปติด ๆ เหมือนสติถูกเร่งให้วิ่งตามจิตไปโดยละม่อม

    ถ้าสติไม่ตามจิตไปในขณะที่จิตเข้าสมาธิหรือทรงฌาน จะมีผลที่อาการทางกายคือกายเชื่องช้า เบลอ ลืม เหม่อ ยิ่งจิตทรงฌานสูง สติไม่ตามจิตเข้าไป จะมีอาการทางกายจะคล้าย ๆ หุ่นยนต์ มะลื่อทื่อไม่รู้เรื่องรู้ราว

    ถามว่าแล้วคุณจะปล่อยให้กายมันมะลื่อทื่อเป็นหุ่นยนต์อยู่อย่างนั้นเหรอ คุณเคยเห็นตุ๊กตาไหม คุณจับมันตั้งไว้ที่ไหนมันก็ตั้งอยู่ที่นั่นแหละ กายนี้ก็เปรียบเหมือนตุ๊กตานั่นแหละ

    ถ้าสติกับจิตแยกกัน ขันธ์ห้ามันก็งงสิคะ มันไม่รู้ว่ามันจะต้องทำอะไร มันไม่รู้ว่ามันจะเคลื่อนไหวยังไง เพราะสติอยู่นอก จิตหลบเข้าข้างใน สติกับจิตหากันไม่เจอ เหมือนกระทงหลงทาง หุหุ

    อ่ะ ไม่เชื่อก็ต้องลองไปพิสูจน์เอาเอง พิสูจน์แล้วได้ผลเป็นอย่างไร ช่วยมาแบ่งปันประสบการณ์ให้ท่านอื่นทราบเป็นธรรมทานด้วยนะคะ

    ขอให้เจริญสุขแลเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

    พี่เพ็ญ

    ปล. พี่ภูขอเปลี่ยนชื่อจากครูละเอียด เป็นครูไวไวได้ป่าว เขาถามนิดเดียว หนูร่ายซะยาวเลย ทำไงได้ก็จิตมันละเอียดนิ ทำหยาบ ๆ ไม่เป็นอ่ะ



    ขอขอบพระคุณ คุณพี่ภู,คุณครูดัช,คุณครูเพ็ญอย่างสูงยิ่งและ อนุโมทนากับประสบการณ์ที่ผ่านมาด้วยดี ด้วยครับ...
    ขอชื่นชมประสบการณ์และกำลังใจของครูเพ็ญ "ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" ด้วยความยินดีด้วยครับ
    โดยเฉพาะเรื่องการตามหา "อาจารย์ของข้าพเจ้า อยู่ไหน?" ที่แท้ก็อยู่ในตัวเรานี่เอง... (มีประสบการณ์คล้ายๆกันครับ)
    และเมื่อวาสนา บารมีมาถึงก็จะมี อาจารย์หรือกัลยาณมิตรมาคอยชี้แนะ ส่งเสริมต่อยอด แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนทักษะให้กับจิต(ของเรา?) เดินทางไปสู่เป้าหมายเดียวกัน (ดั่งกระทู้ของคุณพี่ภูนี่ไง..)
    ส่วนท่านใดจะไปถึงก่อนไปถึงหลัง ก็ไม่เป็นไร สุดท้ายก็ต้องเจอกันที่นั่น...อยู่ดี...
    "สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม" ต้องอยู่ชดใช้กรรมไปพลางๆก่อน ค่อยๆเคลียภาระทางโลกให้จบไปทีละเรื่องๆ จนเมื่อกรรมหมด เราก็จะสามารถปฎิบัติธรรมขั้นอุกฤษได้
    ชั่วโมงนี้ก็ต้องอาศัยเทคนิค ของกัลยามิตรครูบาอาจารย์ เอาตัวรอดไปวันๆก่อน ทำไปเรื่อยๆ
    มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ว่า "ไม่มีเกียร์ถอย...ไม่มีหยุด..."

    สรุปว่าข้าพเจ้าจะน้อมนำ คำชี้แนะทั้งหลายเหล่านี้ไปลองปฎิบัติดูเพื่อที่จะได้บริหารเวลาในชีวิตประจำวันให้ได้ทั้งบุญกุศลและได้ชดใช้กรรมไปในคราเดียวกัน โดยเฉพาะเวลากลางวัน(เวลางาน)
    กราบขอบพระคุณ ท่านกัลยามิตรที่นับถือ ที่ช่วยเมตตาแบ่งปัน ธรรมทาน แก่สัตว์โลก...
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับทุกๆท่าน

    กระทู้นี้ดูๆ ไปก็ไม่ต่างกับโรงเรียนสอนขับรถยนต์
    แต่กระทู้นี้ จึงเปรียบเสมือนโรงเรียนสอนแห่งชีวิตจริง
    คือ เหมือนเราำำกำลังจะบอกว่าโลกแห่งความเป็นจริงนั้น มันเป็นเช่นไร
    เมื่อเทียบกับเราในปัจจุบันว่าเรากำลังเป็นทุกข์ หรือว่าเป็นสุข อย่างไร
    และเราสามารถปรับเข้ากับผู้อื่น หรือโลกนี้กันได้อย่างไร

    คุณลูกพลัง
    ก็คงได้สมบัติไปหลายหลุม เมื่อได้ไปแล้ว เมื่อมีโอกาสก็แบ่งปันกับผู้อื่นกันบ้างนะ รู้อย่างเดียวไม่มีประโยชน์ แต่ถ้ารู้แล้วนำไปปฎิบัติจะเกิดผลมหาศาล เมื่อเกิดผลกับตนมหาศาลกันแล้ว ก็อย่าลืมเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่นต่อไป
    เดี๋ยวปัญญาจะด้าน จะกลายเป็นคนคิดไม่เป็น

    คุณวิทย์
    ผมขอให้คุณวิทย์ที่กำลังปฎิบัติอยู่นี้ ขอให้คุณนำธาตุรู้(ดวงใส)นี้ และลองเข้าไปสู่ศูนย์กลางแห่งความว่างกันดูนะ
    และถ้ากำลังใจดี หรือมีสติดีแล้ว ลองเคลื่อนดวงจิตใสๆนั้นออกนอกกายกันดูสิ
    และอย่าไปไกลนะ ใหม่ๆลองเคลื่อนไปรอบๆกายหยาบของตนดู
    แต่ถ้าผิดถูกอย่างไร หรือถ้าอยากไปไกลกว่านี้ก็ขอให้คุณขออาราธนาบารมีหลวงพ่อสด เป็นผู้นำพาไปก่อน เพื่อป้องกันความผิดพลาด
    แต่เมื่อคุณพบเห็นอะไรที่ ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่าได้ตกใจ ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง และตั้งสติให้มั่นคง
    ผมลืมถามว่าคุณยังกลัวผีอยู่ไหม๊? ถ้าคุณตอบว่ากลัว นั่นแสดงว่า คุณก็กลัวตนเองเหมือนกัน จะไปกลัวทำไม เพราะเรากับผีก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพียงแต่มันตายก่อนเรา เท่านั้นเอง
    สตินะ สติ จำให้แม่น เหมือนเราต้องหายใจน่ะ เพราะนักภาวนาจะต้องถือสติเป็นหลัก
    ลืมบอกว่า ทำภาวนาทุกครั้งไม่จำเป็นจะต้องหลับตา ลืมตาก็ทำได้ ดีด้วยซ้ำไป เพราะเหมือนปกติ เพราะกายก็ทำงานกับทางโลกไป แต่จิตไปไหน ทำอะไร ให้เอาสติตามไปด้วยทุกครั้ง

    ขอโทษสำหรับผู้อื่นด้วย ที่อกเรื่อง อันใดไม่ใช่เรื่องตนขอให้ผ่านไป
    แต่ผู้ใดทำถึงไหนค่อยมาถามกันทีหลัง
    ขอให้พวกเราถามสิ่งที่เป็นปัจจุบัน หรือ ในขณะที่เราปฎิบัติ เท่านั้น

    ขอบพระคุณ

    (จัดหนัก คนจนหายหมด เหลือแต่คนรวย เพราะคนรวยมีน้อย คนจนมีมาก)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2012
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คิดถึง
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


    อยากอ่าน ฟังเทศน์หลวงตาฯ ไปตามหากันได้ ที่นี่...
    (ขอบพระคุณ)

    ตั้งสติให้ดีนักภาวนา
    Luangta.Com -
     
  17. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    สวัสดีค่ะ คุณnewwave1959 และผู้อ่านทุกท่าน

    ธรรมะของอัญญะมณีก็ได้จากการอ่านเหมือนกันค่ะ
    ถูกใจที่สุดก็ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ มันโชะ โชะ โชะ โดนเหลือเกิน
    อ่านแล้วเหมือนโดนท่านด่าไปในตัว
    ละเอียดละออ นุ่ม ลุ่ม ลึก ต้องหลวงตามหาบัว

    เมื่อปีที่แล้วพี่เพ็ญชวนไปทำบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐม ที่วัดดอยเปา
    ตกลงไปเพราะอยากไปเที่ยว ไม่เคยรู้จักสมเด็จองค์ปฐมมาก่อนค่ะ
    รู้จักแต่ชื่อของพระพุทธเจ้ากัสสปะ (ถ้าสะกดผิดขอขมาอภัย)
    กับพุทธประวัติพระพุทธเจ้าสมณโคดม
    ระหว่างที่ไปร่วมพิธีที่วัดก็มีเด็กหญิงคนหนึ่งมารำถวายให้ฟรี
    แล้วพิธีกรก็พูดว่ามงกุฎของหนูข้างบนนู้นสวยกว่าที่หนูใส่อยู่อีก
    งง...รู้ได้งัย พี่เพ็ญบอกว่าเค้าฝึกมโนมยิทธิ
    เราได้ยินแต่ "ยิทธิ" เออหนอ มันคืออะไร
    เริ่มสนใจ หาข้อมูลตามเว็บ ก็เลยได้รู้จักหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    เรานี่มันโง่แท้หนอ.....มารู้จักตอนท่านตายแล้ว

    ตัดสินใจไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลม ไม่ได้หวังนิพพานหรอกค่ะ
    เพราะตอนนั้นตายังไม่สว่าง อยากได้แค่มโนมยิทธิ
    แล้วก็ซื้อหนังสือท่านมาอ่านค่ะ ซื้อมาหลายเล่ม

    เวลามีความสงสัยเรื่องใด ก็จะได้คำตอบจากหนังสือของท่านบ้าง
    บนเว็บพลังจิตบ้าง จากพี่เพ็ญบ้าง ครูบาอาจารย์มาบอก มาเตือนในนิมิตบ้าง ที่จำได้คืออัญญะมณีไปซื้อการ์ตูนแผ่นก๊อบมาให้ลูกดู ตกกลางคืนพอหลับแล้ว ได้ยินเสียงผู้ชายพูดว่า ซื้อซีดีก๊อบผิดศีลนะลูก อืม......!?!? ท่านใดที่ยังซื้อกันอยู่ ขอเตือนว่าผิดศีลข้อ 2 นะจ๊ะ

    เล่มแรกที่อ่านคือประวัติหลวงพ่อปาน อ่านด้วยความอยากรู้ ก็เลยตั้งใจอ่าน ใจมันจับทุกตัวอักษรที่ท่านเขียน อัญญะมณีรู้สึกได้ว่าจิตมันยกขณะอ่าน มันกระโดดข้ามขั้นเฉยเลยค่ะ
    งงอีกแล้ว...มหัศจรรย์แห่งจิต
    จิตเค้าพัฒนาของเค้าเอง

    พื้นฐานของอัญญะมณีเป็นคนขี้เกียจ ขี้โมโห และพร่องความอดทน
    ความอดทนมันมีนะ แต่มีไม่เยอะ
    ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ไม่เข้าใจก็ถามพี่เพ็ญ ทำอยู่ปีกว่า
    พอมาเจอจิตเกาะพระ ไม่นานก็จบแล้วค่ะ

    อยากแนะนำให้ท่านอื่น ๆ ลองทำดูค่ะ อาจจะถูกจริตของท่าน
    อ่านหนังสือครูบาอาจารย์ที่ท่านชอบ อ่านข้อความในกระทู้จิตพร้อมฯ
    มีสมาธิ น้อมจิตอ่าน ใช้ปัญญาพิจารณาตาม จิตอาจยกแบบไม่รู้ตัวก็ได้ค่ะ ยกขึ้นเป็นพระอริยะในเบื้องต้น และเกาะพระควบคู่กันไปเพื่อเข้าถึงพระนิพพานได้เร็วขึ้นค่ะ

    ขออารธนาพระรัตนตรัย ขอให้บุญกุศลที่ข้าพเจ้ามีทั้งหมด
    จงถึงแก่สมเด็จพ่อ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ และผู้ให้การช่วยเหลือข้าพเจ้าทุกท่าน และขอให้บุญนี้สำเร็จแก่ทุกดวงจิตที่ปรารถนานิพพานด้วยเทอญ
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สมเป็นกระทู้มหาซนเจงๆ
    ตามสบายเลยนะ อยากโพสต์อะไรก็ได้ตามจิต ตามใจ
    กระทู้พี่เบิร์ด สบายๆ

    โพสต์แบบโลกๆบ้างก็ดีนะ จัดหนักเดี๋ยวญาติโยมหายหมด
    คนจนหายหมด เหลือแต่คนรวยๆ ที่ชอบฟังธรรมกันน่ะ

    พอพวกเราให้ทำจิตเกาะพระกัน แหม๊! ทำเป็นงงเล็ก งงใหญ่
    เพราะจิตเกาะกับทางโลกจนเคยชิน และเกาะกระแสมานับชาติกันไม่ถ้วน
    ออกมาพร่ำเฉยๆ ก็คนมันแก่แร๊ว

    ออกมาเรียกแขกก่อน
    พอพวกเขาเผลอกันเมื่อไหร่ เอาเลยนะคุณหญิงรอง(ดชน.)จับพระยัดจิตกันเลยไม่ต้องฟังเสียง
    เป็นอย่างไรกันบ้าง ชาวจิตเกาะพระ อ่านธรรมะ คำคมธรรมไปหลายท่านแล้ว

    ธรรมะครูเพ็ญก็ใช่ย่อยที่ไหน ยังคมเหมือนเดิม
    ธรรมะคุณอัญญะมณี ท่านนี้ก็คมเหมือนพี่ คลานตามกันมาเลย
    ธรรมะคุณดชน. นี่ก็แรงดีจริงๆ ถ้าเปรียบเครื่องบินก็เครื่องยนต์ Jet turbine
    ธรรมะคุณวิทย์ ท่านเอาจริงๆธรรมะพยายาม ถึงจะยังพูดไม่ค่อยเก่ง เดี๋ยววันหน้าเขานำ
    ธรรมะคุณหญิงเล็ก นานๆจะออกมาครั้งนึง เพราะเธอเป็นนางเอก นานๆจะออกโรง
    ส่วนธรรมะผมนั้น ผมให้ท่านผู้ชมติชมตามสบายเลย ธรรมะของผมแบบลูกทุ่งนะ คือไม่มีพิธีรีตอง เน้นแก่น เปลือกไม่ต้อง ประยัตินิดหน่อย เพราะไม่เน้นดูตำรา แต่เน้นดูจิต คือเน้นการปฎิบัติมากกว่า
    เวลาผมนอน มันรู้สึกว่า ไม่ได้นอนอย่างนั้นแหล่ะ! กายนอน แต่จิตไม่นอน
    เห็นหมดว่ากายนอนท่าไหน
    ตกลงผมตายไปจากโลกแล้วหรืออย่างไร
    ตายก็ดี เพราะมีที่หวัง ที่พักพิง มีที่ไป มีจุดหมายปลายทางแล้ว
    ใครพร้อมจะตายกับผมก็บอกมานะ จะได้หิ้วไปด้วย
    มันอยากทุกข์กันนักใช่ไหมกับทางโลกเนี๊ย!
    ผมไม่เห็นโลกทิพย์เขามีทุกข์กันเลย มิใช่ทิพยนรกภูมิกันนะ
    เวลาผมไปเยี่ยมเขาเหล่านั้น ไม่เห็นเขาทุกข์ใจกันเลย มีแต่อิ่มกับอิ่ม เขาเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่ ทุกข์ไม่ต้องพูดถึงเลย
    ขนาดผมออกมาแล้วนะ จิตผมก็ยังยิ้มค้างอยู่เลย

    สำหรับผมนะ ถ้าผมเลือกได้นะ ผมจะเลือกไปจากโลกนี้ดีกว่า เบื่อร่างกายมันไม่เที่ยง
    นี่ก็ใกล้ความแก่มาเยือน หนังก็จะเหี่ยวเข้ามาแล้ว โอ้อนิจจัง
    ผมบอกตามตรงนะว่า ภัยพิบัติผมไม่เคยเกรงกลัวเลย แต่กลับกลัวได้กลับมาเกิดใหม่
    หรือตายไปแล้วก็กลัวไปตกนรกภูมิ สวรรค์ พรหม
    ตกลงผมอยากไปไหน คุณช่วยตอบแทนผมที...

    เดี๋ยวเรื่องนี้ผให้ดชน.มาตอบดีกว่า ท่านนี้แรงเทอร์โบ หนูละ..ช๊อบชอบ
    ม่ะลูกหญิงรองได้เวลาหารับประทานแล้ว...อิอิ
    พวกจิตบุญเขาชอบคุยธรรมะกันนะ
    แต่ถ้าพวกเราเจอกัน สงสัยกลุ่มขี้เหล้าเรียกว่าพี่แน่ๆ เพราะคุยธรรมยันสว่างกันได้
    คุณคิดดู...

     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอพร่ำขั้นรายการอีกนิดนึง
    ทำไมวันนี้ผมพูดมากจัง
    ผมอดเป็นห่วงท่านอ.อัญญสิทธิ์ไม่ได้ เพราะท่านได้ขีดเส้นยาแดงผ่าแปดไว้แล้ว
    แน๊ะ! ผมก็แอบไปอ่านกับเขาเหมือนกัน แต่จิตผมไม่ตกเหมือนคนอื่นเขานะ
    เพราะผมคิดเองได้ ผมขอแนะนำพวกที่เป็นหนุ่มมั่น สาวมั่นกัน มาทำจิตเกาะพระกัน แล้วท่านจะถึงบางอ้อ
    ผมเชิญทุกท่านผู้มีปัญญา ลองมาดูปัญญาในทางธรรมกันดูบ้างว่าเป็นเช่นไร

    พูดถึง อ.อัญญาสิทธิ์อีกนิดนึง ผมไม่ได้นินทาท่านนะ ท่านรู้เจตนาดี
    ผมถามว่าถ้าเหตุการณ์มันไม่เป็นไปตามที่อ.อัญญสิทธิ์พูดกันหล่ะ!
    เพราะตอนนี้ผมพอจะมองเห็นคนจ้องถล่มท่านรอบท้าย
    คุณจำพ่อน้องปลาบู่กันได้ไหม๊?
    แต่ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านดีที่สุด ผมเข้าใจท่าน
    แต่ผมมิได้ไปเปรียบเทียบกับบุคคลใดเลย ว่าดี ว่าเลวกว่าตนเอง ไม่มีแน่
    คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกว่า ถึงจะเป็นคนดีแค่ไหน ก็ต้องมีเกลียด มีคนไม่ชอบ มีคนนินทากันอยู่แล้ว ทุกคน
    ผมก็มี ครูเพ็ญก็มี ขนาดพระพุทธเจ้าท่านก็ยังมีคนที่ไม่ชอบท่านเลย เห็นไหม๊?
    โลกธรรม8 มันก็อยู่กับเราทุกวัน แล้วเราไปสนใจกับข้างนอกกันทำไม
    สนใจเรื่องจิตของตนเพียงอย่างเดียวจะดีกว่า ไม่มีทุกข์ด้วย
    ใครจะด่า ว่าร้าย หรือนินทาก็ปล่อยเขาไป สำหรับผมไม่มีอะไรให้ยึด นอกจากพระแล้ว
    แต่ถ้าพวกเราไม่ไปยึดกายกัน แล้วเราจะไปโกรธคนอื่นมาว่าตนเองทำไม (จริงไหม๊?)

    แต่สำหรับผม ครูเพ็ญ และชาวจิตบุญนี้ ไม่เน้นสร้างพระพุทธรูปนอกจิต
    แต่ จะเน้นสร้างพระพุทธรูปในจิต
    หรือ เน้นสร้างบุญภายใน (จิตเกาะพระ)
    อันนี้มิได้ไปว่าคนที่กำลังสร้างบุญภายนอกกันนะ อันนั้นจะไม่ขอกล่าวถึงกัน
    เพราะต่างคน ต่างทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน เพราะต่างก็เป็นพุทธบุตรที่ดีของพระพุทธเจ้า
    แต่ถ้าผมจะสร้างก็จะสร้างให้พวกเรามาทำจิตเกาะพระกันเท่านั้น
    เพราะคนมาใหม่ หรือคนทำใหม่ เขายังไม่มีกำลังใจ หรือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจกัน
    จึงจำเป็นจะต้องนำจิตไปเกาะพระกันไว้ก่อน เพราะพระเ็ป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวสำหรับจิตของพวกเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2012
  20. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    “โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม”
    เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ ไขเขาไม่ได้
    ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง... ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง

    หลวงปู่ดู่

     

แชร์หน้านี้

Loading...