อานิสงส์ของบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐม ปิดทอง หน้าตัก 4 ศอก พร้อมวิหารแก้ว

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย มหาหินทร์, 19 มีนาคม 2006.

  1. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    สุดยอดธงมหาพิชัยสงคราม[​IMG]


    หมดแล้วครับ

    รายชื่อ ผู้จอง
    ๑ คุณ พัฒนา ๑ ผืน
    ๒ คุณ หมอน้อย ๓ ผืน
    ๓ ภารโรง ๓ ผืน
    ๔ คุณ atha ๑ ผืน
    ๕ คุณ วิเชียร ๒ ผืน

    ถูกต้องไหมครับ

    สำหรับท่านที่ยังไม่มีแล้วหาจากที่ไหนไม่ได้จริงๆ มาคุยกับผมได้ครับ แต่คุณเตอร์ ยังมีให้บูชาตามกระทู้ที่คุณ พัฒนาลงไว้ ในขณะนี้ติดตามดูได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2007
  2. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    นับแต่เริ่มต้นของบุญปู่แก้วมาเมืองจนถึงขณะนี้มีผู้ทำบุญมาแล้วดังนี้
    คุณ พัฒนา นำวัตถุมงคลมาร่วม 2 องค์ 6,000 บาท
    คุณ วิเชียร นำองค์ปฐมรุ่น 3 มาร่วม 1 องค์ 4,000 บาท
    คุณ เตอร์ ยันต์มหาพิชัยสงคราม 20 ผืน 7,000 บาท
    19/3/06 ผม ณรงค์ เพ็งลาภ 100,000 บาท
    19/3/06 คุณ พัชนี จันทร์แก้ว 100,000 บาท
    20/3/06 คุณ พัฒนา 10,000 บาท
    20/3/06 คุณ khomeraya 100 บาท
    20/3/06 คุณ คูณ 4 2,000 บาท
    20/3/06 คุณ praelim 500 บาท
    20/3/06 คุณ oyoyo 554 1,000 บาท
    21/3/06 คุณ nonglucp 200 บาท
    21/3/06 คุณ ayuraveda 510 บาท
    22/3/06 คุณ พัชรวัฒน์ 500 บาท
    22/3/06 คุณ pchaisai 500 บาท
    29/3/06 คุณ tiggerlet 500 บาท
    4/4/06 คุณ kenichi 500 บาท
    10/4/06 คุณ piaprakhueng 1,600 บาท
    16/4/06 คุณ พุทธันดร 300 บาท
    17/4/06 คุณ tritri 6,000 บาท
    17/4/06 คุณ ayake 120 บาท
    18/4/06 คุณ mungkorn 1,000 บาท
    22/4/06 คุณ taewy 500 บาท
    2/5/06 คุณ ดร 500 บาท
    2/5/06 คุณ นิด 100 บาท
    13/5/06 ผมณรงค์ เพ็งลาภ 8,400 บาท
    13/5/06 คุณ พัชนี จันทร์แก้ว 6,600 บาท
    8/7/06 คุณ เสขะ 300 บาท
    29/8/06 คุณ taton 300 บาท
    15/9/06 คุณ s3057780 $ 100 au
    13/11/06 คุณ ทองดี 1,000 บาท
    17/11/06 คุณ Numthip 1,000 บาท
    18/11/06 คุณ แก้วบูรพา 2,000 บาท
    28/11/06 คุณ Yellow 3,000 บาท
    7/12/06 คุณ numq 200 บาท
    29/12/06 ผม ณรงค์ เพ็งลาภ 10,000 บาท
    29/12/06 คุณ พัชนี จันทร์แก้ว 10,000 บาท
    31/1/07 คุณ หฤทัย 500 บาท
    22/2/07 คุณ แก้วบูรพา 1,000 บาท
    14/3/07 คุณ anko 300 บาท(ร่วมประดับแก้วเก้าสี)
    23/3/07 คุณ chinna 200 บาท
    4/4/07 คุณ smartpup2001 200 บาท
    6/4/07 คุณ เทิด 500 บาท
    14/4/07 คุณ สมเกียรติ 100,000 บาท
    18/4/07 คุณ หมอน้อย 5,000 บาท
    -/4/07 คุณ ปราณ ยอดไกรศรี และ คณะ 22,567 บาท
    2/5/07 คุณ ROY04 3,059 บาท
    3/5/07 คุณ Khunkik 200 บาท
    9/5/07 คุณ พรหมประกาศิต 3,050 บาท
    11/5/07 คุณ เทิด 500 บาท
    16/5/07 คุณ PCO 3,100 บาท
    16/5/07 ผม ณรงค์ เพ็งลาภ 2,060 บาท
    16/5/07 คุณ พัชนีพร้อมคณะ 7,000 บาท
    22/5/07 คุณ หมอน้อย 5,000 บาท
    28/5/07 คุณ พรหมประกาศิต 5,000 บาท
    3/6/07 คุณ Yellow 1,000 บาท
    4/6/07 คุณหมอ สุมนัส 3,000.99 บาท
    4/6/07 คุณ เทิด 3,000 บาท
    11/6/07 คุณ Queenie 500 บาท
    13/6/07 คุณ กระเทียม 2,200 บาท
    14/6/07 คุณ sence 180 บาท
    17/6/07 ผม ณรงค์ และคุณ พัชนี 4,000 บาท
    8/7/07 คุณ komodo 3,500 บาท คุณ วิเชียร 500 บาท
    10/7/07 คุณ tawatd 500 บาท
    10/7/07 คุณ atha 350 บาท
    10/7/07 คุณ pomsakda และคณะ 15,500 บาท
    15/7/07 คุณ วิเชียร 700 บาท
    15/7/07 คุณ พัฒนา 350 บาท
    23/7/07 คุณวิเชียร 576 บาท
    24/7/07 ผม ณรงค์ เพ็งลาภ 1,000 บาท
    24 /7/07 คุณ พัชนี จันทร์แก้ว 1,000 บาท
    3/8/07 คุณ พรหมปรพกาศิต 777 บาท
    4/8/07 ผม ณรงค์ เพ็งลาภ 1,000 บาท
    4/8/07 คุณ พัชนี จันทร์ แก้ว 2,000 บาท
    6/8/07 คุณ หมอน้อย 1,400 บาท
    6/8/07 คุณ เทิด 500 บาท


    กราบโมทนาในบุญกุศลกับทุกท่านอย่างยิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 สิงหาคม 2007
  3. วิเศษชัยชาญ

    วิเศษชัยชาญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,869
    ค่าพลัง:
    +2,465
    ทุกท่านครับ
    ผมเห็นบางกระทู้เขากำลังเอาพระของหลวงพ่อมาขายเอาเงินเข้ากระเป๋าในราคาถูกๆ ผมหนักใจแทนพี่วิเชียร,พี่ณรงค์,พี่พัฒนา,คุณยายผีป่าและคนอื่นๆที่มีจิตเป็นกุศลทั้งบอกบุญและช่วยเหลือเวปโดยไม่มีผลประโยชน์แม้แต่น้อยและเข้าใจว่ายังต้องเสียสละเงินเช่าพระมาแล้วต้องสละพระให้ผู้ที่เข้ามาช่วยงานบุญและช่วยเวป แต่เขาขายพระเอาเงินเข้ากระเป๋าอย่างเดียวเลย ดูแล้วค่อนข้างเห็นแก่ตัวมากเลยครับ เขากำลังช่วยกันหาเงินเข้าเวปเพื่อให้เวปเร็วขึ้น ถือเป็นสาธารณะประโยชน์ แต่คนคนนี้ช่างฉวยโอกาสจริงๆช่างน่ารังเกียจมากเลยครับ แล้วพระดีๆเอามาขายราคาถูกๆนี่ยังสงสัยว่าเป็นของแท้หรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือพวกเราว่าไงครับ......
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  4. เตอร์

    เตอร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,009
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +52,961
    คิดว่าผมส่งโดยตรงน่าจะสะดวกดีนะครับ โดยจะแจ้งให้คุณณรงค์ทราบว่า ส่งไปให้ใครบ้าง จะได้ไม่ขาดตกบกพร่องครับ
     
  5. vichian

    vichian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8,164
    ค่าพลัง:
    +41,921
    คุณณรงค์ครับ ผมขอรับ 2 ผืนสุดท้ายละกัน โอนแล้วจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งครับ
     
  6. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    ครับคุณเตอร์ ผมเพียงอยากช่วยเหลืออะไรได้บ้างเท่านั้นครับ จริงแล้วผมก็ไม่สะดวกเท่าไรอย่างที่คุณเตอร์เข้าใจน่ะถูกแล้วครับแม้กระทั่งเรื่องการโอนเงินทำบุญผมต้องรอจังหวะเดียวที่มีการโอนเงินรายเดือนครับ

    อนุโมทนาครับคุณเตอร์
     
  7. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    กราบโมทนากับคุณวิเชียรด้วยครับ ที่ได้มีโอกาสมาร่วมบุญกันตรงนี้อีก

    จริงๆแล้วผ้ายันต์พิชัยสงครามนี้ ผมอยากให้หาเก็บกันไว้บ้างสำหรับท่านที่ยังไม่มี ผมเชื่อว่าจะช่วยหนักเป็นเบา จากเบาเป็นปลอดภัยได้นะครับ

    ครับผมดีใจมากครับงานบุญแห่งนี้เริ่มขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแรงขึ้นมามาก ด้วยพวกเราทั้งหลายมาร่วมแรงร่วมใจ พระศาสนาจะเจริญสืบต่อไปก็ด้วยเหตุนี้ประการหนึ่ง แม้ขณะนี้ทั่วประเทศไทยจะมีกิจการงานบุญทั่วทุกภาค แต่ละงานบุญก็สามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง นั่นหมายถึงศรัทธาของมหาพุทธชนยังมีความมั่นคงเต็มเปี่ยมตลอดเวลานั่นเอง

    เมื่อก่อนที่ผมยังไม่เป็นผู้เป็นคนเสียเวลาทิ้งเปล่าไป สี่สิบปี โดยไม่ได้อะไรเหนื่อยไปวันๆ เมื่อมาเจอธรรมของหลวงพ่อพระราชพหมยาน จึงได้เห็นตัวเองและได้เป็นคนขึ้นมากับเขาบ้าง

    จึงได้สังเกตุเห็นว่าที่ผ่านมาศูนย์เปล่า เหนื่อยกับการสร้างฐานะบำเรอตัวเอง ในที่สุดก็มีแต่อ่อนล้า ทำให้เห็นสัจจะธรรมของพระพุทธองค์ ที่องค์หลวงพ่อครูบาอาจารย์ได้นำมาสอนเรา ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา บางทีสร้างไว้ทำไว้แล้วก็ล้มหายตายจากไป เอาไปด้วยไม่ได้สักอย่าง ร่างกายเมื่อยามมีชีวิตอยู่ทนุถนอมรักกว่าสิ่งใด เมื่อหมดลมหายใจก็มีแต่ รีบเอาไปทำลาย เผาไฟทิ้ง นี่หรือตัวเรา ของเรา

    พระพุทธ พระะรรม พระอริยะสงฆ์ มีคุณอันหาที่สุดประมาณไม่ได้ รสพระธรรมอันประเสริฐเลิศยิ่งนักนี้ เมื่อได้สัมผัสแล้ว ในส่วนตัวผมแล้ว จะหาอะไรมาประเสริฐเลิศเลอกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ธรรมของสมเด็จพระประทีปแก้ว เป็นเครื่องยังโลกให้ผาสุขโดยแท้แต่ฝ่ายเดียว อย่างยิ่ง

    ด้วยเหตุนี้การทุ่มเทชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา ในแต่ละชาติในแต่ละภพ นานนับกัป นับกัลป์ นับอสงไข ยังหาได้สมใจที่อยากตอบแทนคุณพระรัตนะตรัยได้สาแก่ใจได้ จึงไม่มีการท้อถอยในเรื่องทำเพื่อพระศาสนา แต่จะท้อตรงที่กลัวทำไม่สำเร็จมากกว่า

    แต่เมื่อได้มีท่านทั้งหลายได้เข้ามาช่วยอย่างนี้ทำให้เห็นความเป็นไปได้ของความสำเร็จใกล้เข้ามาอีกนิด มดเมื่อรวมพลังก็สร้างรังอันใหญ่โตได้อย่างคุณ เตอร์ ว่า เมื่อพวกเรามารวมพลังวิหารแก้วทั้งหลังก็สำเร็จลงได้นะครับ

    กราบโมทนากับทุกท่านด้วยอย่างยิ่งครับ
     
  8. เตอร์

    เตอร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,009
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +52,961

    ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามที่จะมอบให้ผู้ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม และวิหารแก้ว ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เป็นที่ระลึก ๑๐ ผืนนั้น หมดลงแล้ว

    ขอมอบผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามให้กับงานบุญนี้อีก ๑๐ ผืน ครับ
     
  9. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม
    สุดยอดของธงชัยในยุคปัจจุบัน
    ได้เสด็จมาเพิ่มอีก 10 ผืน

    โดยคุณเตอร์มอบให้ผู้ร่วมทำบุญ 350 บาท ต่อผืน
    ในการสร้างองค์ปฐมพร้อมวิหารแก้วเจดีย์ปู่แก้วมาเมือง
    มหาบุญมหากุศล รับมหามงคลสุดยอดธงมหาพิชัยสงคราม ไว้คุ้มครองป้องกันภัยต่างๆ
    สมบัติพ่อวัดท่าซุงกำลังจะหมดลงไปเลื่อยๆนะครับ

    กราบโมทนากับคุณเตอร์เป็นอย่างยิ่งครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กรกฎาคม 2007
  10. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    [​IMG]

    ผมเพิ่งกลับจาก วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม....

    มีภาพ ความคืบหน้าของงานการก่อสร้างเจดีย์ และวิหารแก้ว ดังนี้....

    ...................................................................................​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2007
  11. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    สืบเนื่องกันไปเลยนะครับ....

    ......................................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    วิหารแก้ว กำลังเติบโต....

    ......................................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    โตขึ้น โตขึ้น....

    ......................................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385

    มาพักเที่ยงทุกวัน ผมจะมาเปิดดูทุกวัน ดูไปด้วยกินข้าวไปด้วย มาวันนี้เห็นภาพที่พึ่งมาใหม่ทำให้อิ่มก่อนกินข้าวหมดชาม ด้วยปีติกับภาพที่คุณมหาหินเอามาให้ชม ดีใจอิ่มใจมากครับ เป็นผลงานที่พวกเราเสียสละทรัพย์เพื่อพระศาสนา มาสร้างองค์ปฐมวิหารแก้ว เจดีย์ปู่แก้วมาเมือง ได้เห็นการเจริญเติบโตวิหารแก้วอย่างคุณมหาหินว่าน่ะครับ

    กราบโมทนาสาธุขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ได้นำภาพมาให้ได้ปีติสุขครับ คุณมหาหิน

    เอาดอกไม้ไปหนึ่งช่อ (bb-flower
    ภาพแจ่มดีมากวันนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กรกฎาคม 2007
  15. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    ข้อความและภาพเก่าของคุณมหาหิน
    พลังแห่งความศรัทธา....

    ส่งต่อก้อนหิน.. เพื่อมาใช้สำหรับเป็นโครงสร้างของ องค์พระ
    (เด็ก ๆ น่ารักมา ใครได้เข้ามาสัมผัส ก็จะประทับใจ มีแต่ความใสซื่อ....)

    ขนมปังปี๊ป เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องเขียน นี่.... พวกเขา ต้องการมาก จริง ๆ

    [​IMG]
    <!-- / message --><!-- attachments -->

    ***********************************************************************************************************


    กว่่าจะมาเป็นวิหารแก้วให้เราเห็นในวันนี้ ทำให้นึกถึงภาพเก่าที่คุณมหาหินนำมาลงให้ชม ผมไม่เคยลืมภาพนี้เลย เด็กๆตัวเล็กๆได้เสียสละกำลังกายกำลังใจทำเพื่อพระพุทธศาสนา

    มาช่วยกันขน หิน ดิน ทรายถมทำฐานให้กับวิหารแก้วในช่วงเริ่มต้น หิน ก้อนเล็กก้อนใหญ่ถูกลำเรียงด้วยหัวใจศรัทธาที่มีในเด็กตัวแค่นี้ จนได้ฐานวิหารแก้วมั่นคงแข็งแรง

    ไม่ได้เป็นการใช้แรงงานเด็กแต่ประการใด คำว่าศรัทธา กับการใช้แรงงานเด็กโดยการบังคับต่างกัน สำหรับผมจำและนึกถึงมาตลอด เห็นวิหารในวันนี้ก็ยังอดย้อนนึกถึงภาพในครั้งนั้นไม่ได้

    จึงได้นำมาลงให้ชมในจิตใจอันประเสริฐเลิศยิ่งนักของเด็กเหล่านี้ สืบเนื่องจากผมได้อ่านประวัติขององค์หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา จึงได้ทราบความเป็นมาและความผูกพันธ์ระหว่างองค์หลวงปู่กับชาวเขาเหล่านี้

    จนถึงความศรัทธาของพวกเขาทั้งหลายที่มีต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งนี้มาจากองค์หลวงปู่ก็ว่าได้ โอกาสหน้าจะเอาประวัติหลวงปู่มาลงให้อ่านแบบสมบูรณ์ดีไหม ผมอ่านแล้วได้ข้อคิได้เห็นในสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมากมายเป็นประโยชน์อย่างยิ่งทีเดียว<!-- / message --><!-- attachments --><!-- / message --><!-- attachments -->
     
  16. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    ประวัติ ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา


    ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา
    ( พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ )
    [​IMG]

    สงฆ์สาวกพระภาคเจ้า
     
  17. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    ปัญญาพิจารณาเห็นทุกข์

    ขณะที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในป่าคนเดียวตามลำพัง ท่านได้เปรียบเทียบชีวิตท่านกับสัตว์ป่าทั้งหลายว่า " นกทั้งหลายต่างก็หากินไป ไม่มีที่หยุด ต่างก็เลี้ยงตัวเองไปตามประสามัน ก็ยังทนทานไปได้ ตัวเราค่อยอดค่อนทนไปก็ดีเหมือนกัน สัตว์ทั้งหลายก็ทุกข์ยากอย่างเรา สัตว์ในโลกก็ทุกข์เหมือนกันทุกอย่าง เราไม่ควรจะเหนื่อยคร้าน ค่อยอดค่อยทนตามพ่อแม่นำพาไป "
    พรหมวิหารสี่

    หลวงพ่อมีความเมตตากรุณาและพรหมวิหารสี่มาแต่เยาว์วัยอย่างหาที่เปรียบมิได้ เพื่อนของหลวงพ่อตั้งแต่สมัยนั้นเล่าว่า เมื่อสมัยที่ท่านเป็นเด็กระหว่างทางไปหาของหรืออาหารป่า ทุกครั้งที่เห็นสัตว์ถูกกับดักของนายพราน ท่านจะปล่อยสัตว์เหล่านั้นให้มีอิสรภาพเสมอ แล้วจะหาสิ่งของมาทดแทนให้กับนายพราน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับชีวิตของมัน

    ครั้งหนึ่งท่านเห็นตัวตุ่นถูกกับดักนายพรานติดอยู่ในโพรงไม้ไผ่ ด้วยความสงสารท่านจึงปล่อยตัวตุ่นนั้นไป แล้วหยิบหัวมันที่หามาได้จากในป่า ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่และน้องๆกิน ใส่เข้าไปในโพรงไม้นั้นแทน เพื่อเป็นการชดใช้แลกเปลี่ยนกับชีวิตของตัวตุ่นนั้น

    ต่อมามีอยู่วันหนึ่ง ท่านไปพบปลาดุกติดเบ็ดของชาวบ้านที่นำมาปักไว้ที่ห้วย ท่านเห็นมันดิ้นทุรนทุรายแล้วเกิดความสงสารเวทนาปลาดุกตัวนั้นมาก จึงปลดมันออกจากเบ็ด แล้วเอาหัวผักกาดที่ท่านทำงานแลกมาซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่และน้องๆกิน มาเกี่ยวไว้แทนเป็นการแลกเปลี่ยนชีวิตปลาดุกนั้น

    หลวงพ่อได้เมตตาบอกถึงเหตุผลที่กระทำเช่นนั้นว่า ในเวลานั้นท่านมีความเวทนาสงสารสัตว์เหล่านั้นจึงได้ช่วยชีวิตของมันไว้ ท่านมักจะสั่งสอนลูกศิษย์อยู่เสมอว่า " ชีวิตของใครๆก็รักทั้งนั้น เราทุกคนควรจะเมตตาตนเอง และเมตตาผู้อื่นอยู่เสมอ โลกนี้จะได้มีความสุข "

    ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่ไม่ชอบการผิดศีลมาตั้งแต่สมัยเด็ก เมื่อท่านเห็นว่าคนอื่นจะผิดศีล ข้อปาณาติบาต ( การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ) ก็รู้สึกสงสารทั้งผู้ทำปาณาตีบาตและผู้ถูกปาณาติบาต ซึ่งท่านไม่อยากเห็นพวกเขามีเวรมีกรรมกันต่อไป แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ไม่ต้องการให้ตัวเองต้องผิดศีลโดยไปลักขโมยของผู้อื่น ซึ่งในเวลานั้นท่านไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ท่านจึงต้องหาสิ่งของมาตอบแทนให้กับเขา แต่ในบางครั้งก็ไม่มีสิ่งของมาแลกกับชีวิตของสัตว์เหล่านั้นเหมือนกัน แต่ท่านก็สามารถจะช่วยมันได้โดยปล่อยมันให้เป็นอิสระ แล้วท่านนั่งรอนายพรานจนกว่าเขาจะมาและก็ขอเอาตัวเองชดใช้แทน ซึ่งท่านได้เล่าว่า บางคนก็ไม่ถือสาเอาความ แต่บางคนก็ให้ไปทำงานหรือทำความสะอาด ทดแทนกับที่ท่านไปปล่อยสัตว์ที่เขาดักไว้ แต่ไม่เคยมีใครทำร้ายทุบตีท่าน อาจจะมีบ้างก็เพียงแต่ว่ากล่าวตักเตือน

    ท่านได้พูดว่า " แม้ว่าบางครั้งจะต้องทำงานหนักเพื่อใช้ชีวิตของสัตว์ที่ท่านได้ปล่อยไป แต่ท่านก็รู้สึกยินดีและปิติใจเป็นอันมากที่ได้ทำในสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ "
    กินอาหารมังสวิรัติ

    เมื่อท่านอายุได้ ๑๒ ปี ท่านได้พบเหตุการณ์สำคัญที่ทำไม่อยากจะกินเนื้อสัตว์นั้นเลยนับแต่นั้นมากล่าวคือ มีครั้งหนึ่งท่านได้เห็นพญากวางใหญ่ถูกนายพรานยิง แทนที่พญากวางตัวนั้นจะร้องเป็นเสียงสัตว์มันกลับร้องโอยๆๆๆเหมือนเสียงคนร้อง แล้วสิ้นใจตายในที่สุด และเมื่อท่านไปอยู่กับครูบาชัยลังก๋าซึ่งไม่ฉันเนื้อสัตว์ ท่านจึงงดเว้นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ตั้งแต่นั้นมา

    อีกประการหนึ่งอาจเป็นด้วยบุญบารมีที่ท่านได้สร้างสะมาแต่อดีตชาติ ประกอบกับได้เห็นความทุกข์ยากของสัตว์ต่างๆที่ถูกทำร้าย จึงทำให้ท่านเกิดความสลดใจอยู่เสมอ ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานถึงคุณพระศรีรัตนตรัยตั้งแต่นั้นมาว่า " จะไม่ขอเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์และจะไม่ขอกินเนื้อสัตว์อีกต่อไป " ท่านได้เมตตาสอนว่า " สรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมรักและหวงแหนชีวิตของมันเอง เราทุกคนไม่ควรจะเบียดเบียนมัน มันจะได้อยู่อย่างเป็นสุข " และท่านยังพูดเสมอว่า " ท่านต้องการให้ศีลของท่านบริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อยๆ "

    สัตว์ทุกตัวมันก็รักชีวิตของมันเหมือนกัน เมื่อเราฆ่ามันตายเพื่อกินเนื้อมัน จิตของมันไปที่สำนักพระยายมก็จะฟ้องร้องว่าคนนั้นฆ่ามันตาย คนนี้กินเนื้อของมัน ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่า คนกินก็เป็นจำเลยด้วยก็ย่อมต้องได้รับโทษ แต่จะออกมาในรูปของการเจ็บไข้ได้ป่วย และความไม่สบายต่างๆซึ่งเจ้าตัวไม่รู้สึกเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา
     
  18. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    บรรพชาเป็นสามเณร

    เมื่อท่านอายุย่าง ๑๓ ปี ( พ.ศ. ๒๔๖๘ ) ด้วยผลบุญที่ท่านได้บำเพ็ญมาตั้งแต่ปางก่อนในอดีตชาติ และได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระสงฆ์ครูบาอาจารย์ในชาตินี้จึงดลบันดาลให้ท่านมีความเบื่อหน่ายต่อชีวิตทางโลก อันเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ท่านจึงได้รบเร้าขอให้พ่อแม่ท่านไปบวช เพื่อท่านจะได้บำเพ็ญธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อบิดามารดาได้ฟังก็เกิดความปิติยินดีเป็นยิ่งนัก

    ไม่นานหลังจากนั้นพ่อแม่ก็ได้นำท่านไปฝากกับหลวงอาท่านได้อยู่เป็นเด็กวัดกับหลวงอาได้ไม่นาน หลวงอาจึงนำท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์และบวชเณรกับครูบาชัยลังก๋า ( ซึ่งเป็นธุดงค์กรรมฐานรุ่นพี่ของครูบาศรีชัย ) ครูบาชัยลังก๋าได้ตั้งชื่อให้ท่านใหม่หลังจากเป็นสามเณรแล้วว่า " สามเณรชัยลังก๋า " เช่นเดียวกับชื่อของครูบาชัยลังก๋า
    มีความเคารพเชื่อฟัง

    ท่านเป็นผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียรและเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ตลอดจนผู้สูงอายุ จึงทำให้ครูบาอาจารย์และผู้เฒ่าผู้แก่รักใคร่เอ็นดูมาก จนเป็นเหตุทำให้เพื่อนเณรบางคนพากันอิจฉาริษยา หาว่าท่านประจบครูบาอาจารย์ เมื่อใดที่ท่านอยู่ห่างจากครูบาอาจารย์เป็นต้องถูกรังแกเสมอ ทำให้การอยู่ปรนนิบัติติดตามครูบาอาจารย์เป็นไปอย่างไม่มีความสุข แต่ด้วยความเคารพกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ และต้องการที่จะปฏิบัติธรรมกรรมฐานเพื่อมรรคผล ท่านจึงได้ใช้ขันติและให้อภัยแก่พระเณรเหล่านั้นที่ไม่รู้สัจจธรรมในเรื่องกฎแห่งกรรมที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้กล่าวไว้ว่า " ทำความดีได้ดี ทำความชั่วผลแห่งความชั่วย่อมตอบสนองผู้นั้น "
    ชายชราลึกลับ

    เพื่อนพระสงฆ์ที่เคยอยู่ร่วมกันกับท่านในสมัยเป็นเณรได้เล่าว่า " หลวงพ่อวงศ์เป็นผู้มีขันติและอภัยทานสูงส่งจริงๆ " ครั้งหนึ่งท่านเคยถูกเณรองค์อื่น เอาน้ำรักทาไว้บนที่นอนของท่านในสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้า และเทียนก็หาได้ยาก ท่านจึงมองไม่เห็น เมื่อท่านนอนลงไป น้ำรักก็ได้กัดผิวหนังของท่านจนแสบจนคัน ท่านจึงได้เกาจนเป็นแผลไปทั้งตัว ไม่นานแผลเหล่านั้นก็ได้เน่าเปื่อยขึ้นมาจนทำให้ท่านได้รับทุกขเวทนามาก แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนดีมีธรรมะเมตตาให้อโหสิกรรมกับผู้อื่น ท่านจึงใช้ขันติข่มความเจ็บปวดเหล่านั้นโดยไม่ปริปากหรือกล่าวโทษผู้ใด

    ทุกครั้งที่ครูบาอาจารย์ถาม ท่านก็ไม่ยอมที่จะกล่าวโทษใครเลย เพียงเรียนไปว่า ขออภัยให้กับพวกคนเหล่านั้นเท่านั้นและขอยึดเอาคำของครูบาอาจารย์มาปฏิบัติ เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมกันต่อไปในอนาคต และเพื่อความหลุดพ้นจากวัฎสงสารแห่งนี้เข้ามรรคผลดังที่ครูบาอาจารย์ได้อบรมสั่งสอนมาด้วยความยากลำบาก เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นคนดีและเป็นพระสงฆ์เนื้อนาบุญของพุทธบริษัทต่อไป

    ด้วยผลบุญที่ท่านได้สั่งสมมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน จึงดลบันดาลให้มีชายชราชาวขมุนำยามาให้ท่านกิน ให้ท่านทาเป็นเวลา ๓ คืน เมื่อท่านหายดีแล้ว ชายชราผู้นั้นก็ได้กลับมาหาท่าน และได้พูดกับท่านว่า " เป็นผลบุญของเณรน้อยที่ได้สร้างสมมาแต่อดีตถึงปัจจุบันไว้ดีมาก และมีความกตัญญูเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ครูบาอาจารย์ดีมาก จึงทำให้แผลหายเร็ว ขอให้เณรน้อยจงหมั่นทำความดีปฏิบัติธรรม และเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ต่อไปอย่าได้ท้อถอย ไม่ว่าจะมีมารมาขัดขวางอย่างไรก็ดี ขอเณรน้อยใช้ความดีชนะความไม่ดีทั้งหลาย ต่อไปในภายภาคหน้าสามเณรน้อยจะได้เป็นพระสงฆ์เนื้อนาบุญของพุทธบริษัทต่อไป "

    เมื่อชายชราผู้นั้นกล่าวจบแล้ว จึงได้เดินลงจากกุฏิที่ท่านพักอยู่ สามเณรชัยลังก๋านึกได้ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่ของชายชราผู้มีพระคุณจึงวิ่งตามลงมา แต่เดินหาเท่าไรก็ไม่พบชายชราผู้นั้น ท่านจึงได้สอบถามผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่พบเห็นชายชราเช่นนี้มาก่อนเลย นอกจากเห็นท่านนอนอยู่องค์เดียวในกุฏิ จากคำพูดของคนเหล่านี้ทำให้ท่านประหลาดใจมาก เพราะท่านได้พูดคุยกับชายชราผู้นั้นถึง ๓ คืน เหตุการณ์นี้ทำให้ท่านคิดว่าชายชราผู้นั้นถ้าไม่เป็นเทพแปลงกายมา ก็อาจจะเป็นผู้ทรงศีลที่บำเพ็ญอยู่ในป่าจนได้อภิญญา

    การกลั่นแกล้งจากพระเณรที่อิจฉาริษยายังไม่สิ้นสุดแค่นั้น บางครั้งเวลานอนก็ถูกเอาทรายกรอกปาก ถึงเวลาฉันก็ฉันไม่ได้มาก เพราะถูกพระเณรที่ไม่เชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษรังแก หรือหยิบอาหารของท่านไปกิน แต่ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีความอดทนและยึดมั่นในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงอโหสิกรรมพวกเขาและใช้ขันติในการปฏิบัติธรรมรับใช้ปรนนิบัติครูบาอาจารย์ด้วยดีต่อไป

    ครูบาชัยลังก๋ามักลูบหัวของท่านด้วยความรักเอ็นดูและสั่งสอนให้ด้วยความเมตตาอยู่เสมอว่า " มันเป็นกรรมเก่าของเณรน้อย ตุ๊ลุงขอให้เณรน้อยใช้ขันติและความเพียรต่อไป เพื่อโลกุตตรธรรมอันยิ่งใหญ่ในภายหน้า เมื่อถึงเวลานั้นแล้วทุกคนที่เคยล่วงเกินเณรน้อย เขาจะรู้กรรมที่ได้ล่วงเกินเณรน้อยมา "
    ไปวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม

    ในระยะที่อยู่กับครูบาชัยลังก๋าๆได้เมตตาอบรมสั่งสอนวิชาการต่างๆให้แก่ท่าน เช่น ภาษาล้านนา ธรรมะ การปฏิบัติกรรมฐาน รวมทั้งธุดงควัตร ตลอดถึงการดำรงชีวิตในป่าขณะธุดงค์ ครูบา-ชัยลังก๋ามักพาท่านไปแสวงบุญและธุดงค์ไปในที่ต่างๆเสมอ เพื่อให้ท่านมีประสบการณ์ ทั้งยังเคยพาท่านไปนมัสการรอบพระพุทธบาทห้วยต้มหลายครั้ง ( วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ในสมัยก่อนนั้นชื่อว่า วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้ม ) สมัยนั้นวัดนี้เป็นวัดร้างยังเป็นเขาอยู่

    ครั้งหนึ่งสามเณรชัยลังก๋าเห็นวิหารทรุดโทรมมาก จึงกราบเรียนถามครูบาชัยลังก๋า " ทำไมตุ๊ลุงถึงไม่มาสร้างวัดนี้มันทรุดโทรมมาก " ครูบาชัยลังก๋าตอบด้วยความเมตตาว่า " มันไม่ใช่หน้าที่ของตุ๊ลุงแต่จะมีพระน้อยเมืองตื๋นมาสร้าง " ขณะที่ครูบาชัยลังก๋ากล่าวอยู่นั้น ท่านก็ได้ชี้มือมาที่สามเณรน้อยชัยลังก๋าพร้อมกับกล่าวว่า " อาจจะเป็นเณรน้อยนี้กะบ่ฮู้ที่จะมาบูรณะวัดนี้ " ท่านจึงได้เรียนไปว่า " เฮายังเป็นเณรจะสร้างได้อย่างใด " ครูบาชัยลังก๋าจึงกล่าวตอบไปด้วยความเมตตาว่า " ถึงเวลาจะมาสร้าง ก็จะมาสร้างเอง "

    คำพูดของครูบาชัยลังก๋านี้ไปพ้องกับคำพูดของครูบาศรีวิชัยที่เคยกล่าวกับหม่องย่นชาวพม่า เมื่อตอนที่ท่านอายุได้ ๕ ขวบ ในครั้งนั้นครูบาศรีวิชัยได้รับนิมนต์จากหม่องย่นให้มารับถวายศาลาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม หม่องย่นให้ขอนิมนต์ครูบาศรีวิชัยมาบูรณะวัดพระพุทธบาทห้วยต้มให้เจริญรุ่งเรือง แต่ครูบาศรีวิชัยได้ตอบปฏิเสธไปว่า " ไม่ใช่หน้าที่กู จะมีพระน้อยเมืองตื๋นมาสร้างในภายภาคหน้า "

    ท่านอยู่กับครูบาชัยลังก๋าที่วัดพระธาตุแก่งสร้อยเป็นเวลา ๑ ปี หลังจากนั้นครูบาชัยลังก๋าได้ออกจาริกธุดงค์ไปโปรดชาวบ้านที่จังหวัดเชียงราย ครูบาชัยลังก๋าได้ให้ท่านอยู่เฝ้าวัดกับพระเณรองค์อื่น ในช่วงที่ท่านอยู่วัดนี้ ท่านก็ได้พบกันครูบาศรีวิชัยเป็นครั้งแรกซึ่งท่านเคารพนับถือครูบาศรีวิชัยมาก่อนหน้านี้แล้ว

    ในครั้งนั้นครูบาศรีวิชัยได้มาเป็นประธานในการฉลองพระธาตุที่วัดพระธาตุแก่งสร้อย ในโอกาสนี้ท่านจึงได้อยู่ใกล้ชิดปรนนิบัติรับใช้ครูบาศรีวิชัยเป็นเวลา ๗ วัน การพบกันครั้งแรกนี้ ครูบาศรีวิชัยก็ได้รับท่านไว้เป็นศิษย์ตั้งแต่นั้นมา หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ท่านก็ยังประจำอยู่ที่วัดพระธาตุแก่งสร้อยได้ไม่นาน เพราะทนต่อการกลั่นแกล้งจากพระเณรอื่นไม่ไหว จึงได้เดินทางกลับมาอยู่กับหลวงน้าของท่านเพื่อช่วยสร้างพระวิหารที่วัดก้อท่าซึ่งเป็นวัดร้างประจำหมู่บ้านก้อท่า ตำบลก้อทุ่ง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

    ในระหว่างอายุ ๑๕-๒๐ ปีนั้น ท่านได้ติดตามครูบาอาจารย์หลายองค์ และได้จาริกออกธุดงค์ ปฏิบัติธรรมตามที่ต่างๆ ตลอดจนได้ไปอบรมสั่งสอนชาวบ้านชาวเขาในที่ต่างๆด้วยเช่นกัน ในบางครั้งก็ไปกับครูบาอาจารย์ ในบางครั้งก็ไปองค์เดียวเพียงลำพัง เมื่อมีโอกาสท่านก็จะกลับมารับการฝึกอบรมจากครูบาอาจารย์ทุกองค์ของท่านเสมอๆ
     
  19. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; WIDTH: 228px; BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; HEIGHT: 34px" cellSpacing=1 cellPadding=2 width=228 align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    อุปสมบทเป็นพระภิกษุ

    เมื่ออายุ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีครูบาพรหมจักร วัดพระบาทตากผ้าเป็นอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า " ชัยยะวงศา " ในระหว่างนั้น ท่านได้อยู่ปฏิบัติและศึกษาธรรมะกับครูบาพรหมจักร ในบางโอกาสท่านก็จะเดินธุดงค์ปฏิบัติธรรมไปในที่ต่างๆทั้งลาวและพม่า ท่านได้อยู่กับครูบาพรหมจักรระยะหนึ่งแล้ว จึงได้กราบลาครูบาพรหมจักรออกจาริกธุดงค์ไปแสวงหาสัจจธรรมความหลุดพ้นจากวัฏสงสารแห่งนี้เพียงลำพังองค์เดียวต่อ เพื่อเผยแพร่สั่งสอนธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับพวกชาวเขาในที่ต่างๆเช่นเคย
    สอนธรรมะแก่ชาวเขา

    ขณะที่ท่านธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ท่านได้พบและอบรมสั่งสอนธรรมะของพระพุทธองค์ให้กับชาวบ้านและชาวเขาในที่ต่างๆ ท่านเล่าว่า ตอนที่ท่านพบชาวเขาใหม่ๆนั้น ในสมัยนั้นชาวเขาส่วนใหญ่ยังไม่ได้นับถือพุทธศาสนา ในขณะที่ท่านจาริกธุดงค์ไปตามหมู่บ้านของพวกชาวเขา พวกชาวเขาเหล่านี้ก็จะรีบอุ้มลูกจูงหลานหลบเข้าบ้านเงียบหายกันหมดพร้อมกับตะโกนบอกต่อๆกันว่า " ผีตาวอดมาแล้วๆๆ "

    ในบางแห่งพวกผู้ชายบางคนที่ใจกล้าหน่อยก็เข้ามาสอบถามและพูดคุยกับท่าน บางคนเห็นหัวของท่านแล้วอดรนทนไม่ไหวที่เห็นหัวของท่านเหน่งใส จึงเอามือลูบหัวของท่านและทักทายท่านว่า " เสี่ยว " ( แปลว่าเพื่อน ) หลวงพ่อว่าในตอนนั้น ท่านไม่รู้สึกเคืองหรือตำหนิเขาเหล่านั้นเลย นอกจากขบขันในความซื่อของพวกเขา เพราะพวกเขายังไม่รู้จักพุทธศาสนา ในสมัยนั้นพวกชาวเขายังนับถือลัทธิบูชาผี บูชาเจ้า ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ถือธุดงค์ปฏิบัติกรรมฐานในสถานที่แห่งนั้น เพื่อจะหาโอกาสสอนธรรมะของพระพุทธองค์ให้กับพวกชาวเขา การสอนของท่านนั้น ท่านได้เมตตาบอกว่า ท่านต้องทำและสอนให้พวกเขารู้อย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ทำให้พวกเขามีความรู้สึกแปลกประหลาดและขัดต่อจิตใจความเป็นอยู่ที่เขามีอยู่

    ท่านได้ใช้ตัวของท่านเองเป็นตัวอย่างให้เขาดู ในการที่จะทำให้พวกเขาหันมาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธองค์ เมื่อพวกเขาถามท่านว่า " ทำไมท่านจึงโกนผมจนหัวเหน่ง และนุ่งห่มสีเหลืองทั้งชุดดูแล้วแปลกดี " ท่านก็จะถือเอาเรื่องที่เขาถามมาเป็นเหตุในการเทศน์ เพื่อเผยแพร่ธรรมะให้พวกเขาได้ปฏิบัติและรับรู้กัน

    หลวงพ่อได้เล่าว่า การสอนให้เขารู้ธรรมะนั้น ท่านต้องสอนไปทีละขั้น เพื่อให้เขารู้จักพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์เสียก่อน จากนั้นท่านจึงสอนพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับพวกเขา โดยเฉพาะการทำงาน การถือศีล และการนั่งภาวนา ให้พวกเขาได้ปฏิบัติยึดถือกัน โดยเฉพาะเรื่องของศีล ๕ ท่านจะสอนเน้นให้พวกเขาไม่เบียดเบียนผู้อื่น และไม่ทำร้ายผู้อื่น เพื่อจะได้ไม่เป็นเวรกรรมกันต่อไปในภายภาคหน้า ซึ่งการสอนของท่านทำให้พวกชาวเขาได้รับความสงบสุขภายในหมู่บ้านของเขาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาจึงยิ่งเคารพนับถือและเชื่อฟังในคำสั่งสอนของท่านมากยิ่งขึ้น
    สอนกินมังสวิรัติ

    หลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า ในสมัยนั้นพวกชาวเขาได้นำอาหารที่มีเนื้อสัตว์มาถวาย แต่ท่านหยิบฉันเฉพาะที่เป็นผักเป็นพืชเท่านั้น ทำให้เขาเกิดความสงสัย ท่านจึงได้ยกเอาเรื่องในพุทธชาดกมาเทศน์ให้พวกเขาฟัง เพื่อเป็นการเน้นให้เห็นถึงกฎแห่งกรรมและผลดีของการรักษาศีล

    ท่านได้อยู่อบรมสั่งสอนให้พวกเขารับรู้ถึงธรรมะและการรักษาศีลอยู่เสมอๆ ทำให้พวกเขาเลื่อมใสและหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนาโดยละทิ้งประเพณีเก่าๆ ที่เคยปฏิบัติกันมา

    ต่อมาพวกชาวเขาเหล่านี้ก็ได้เจริญรอยตามท่าน โดยเลิกกินเนื้อสัตว์หันมากินมังสวิรัติแทน ( ดังที่เราจะเห็นได้จากกะเหรี่ยงที่อพยพมาอยู่ที่หมู่บ้านพระพุทธบาทห้วยต้มในปัจจุบันนี้ ) เมื่อท่านได้สอนพวกเขาให้นับถือศาสนาพุทธแล้ว ท่านก็จะจาริกธุดงค์แสวงหาสัจธรรมต่อไป และถ้ามีโอกาสท่านก็จะกลับไปโปรดพวกเขาเหล่านั้นอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ชาวเขาและชาวบ้านในที่ต่างๆที่ท่านเคยไปสั่งสอนมาจึงเคารพนับถือท่านมาก
    สร้างทางขึ้นดอยสุเทพ

    เมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ท่านจึงเดินทางกลับมาหาครูบาศรีวิชัยพร้อมกับชาวกะเหรี่ยงที่เป็นศิษย์ของท่าน เพื่อช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ในครั้งนี้ครูบาศรีวิชัยได้เมตตาให้ท่านเป็นกำลังสำคัญทำงานร่วมกับครูบาขาวปีในการควบคุมชาวเขาช่วยสร้างทางอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ยากลำบาก เช่น การสร้างถนนในช่วงหักศอก ก่อนที่จะถึงดอยสุเทพ

    ในระหว่างกำลังสร้างทางช่วงนี้ ได้มีหินก้อนใหญ่มากติดอยู่ใกล้หน้าผา จะใช้กำลังคนหรือช้างลากเช่นไรก็ไม่ทำให้หินนั้นเคลื่อนไหวได้ ชาวกะเหรี่ยงที่ทำงานอยู่นั้นจึงไปกราบเรียนให้ ครูบาศรีวิชัยทราบ ท่านจึงให้คนไปตามหลวงพ่อซึ่งกำลังสร้างทางช่วงอื่นอยู่ เมื่อหลวงพ่อวงศ์มาถึงท่านได้ยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้เดินทางไปผลักหินก้อนนั้นลงสู่หน้าผานั้นไป เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แปลกใจไปตามๆ กันที่เห็นท่านใช้มือผลักหินนั้นโดยไม่อาศัยเครื่องมือใดๆ ครูบาศรีวิชัยได้ยืนยิ้มอยู่ข้างๆท่านด้วยความพอใจ

    ประทับรอยเท้าเป็นอนุสรณ์

    ขณะที่ท่านช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ท่านได้ประทับรอยเท้าลึกลงไปในหินประมาณ ๑ ซ.ม. ข้างน้ำตกห้วยแก้ว ( ช่วงตอนกลางๆของทางขึ้นดอยสุเทพ เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ท่านได้มาช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทาง )
     
  20. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    อุปสรรค

    ท่านเป็นผู้ที่ครูบาศรีวิชัยไว้ใจมากองค์หนึ่ง เพราะเมื่อครูบาศรีวิชัยมีปัญหาเรื่องขาดกำลังคน ครูบาศรีวิชัยก็จะมอบหน้าที่ให้ท่านไปนำกะเหรี่ยงอยู่บนดอยต่างๆมาช่วยสร้างทาง

    หลวงพ่อเล่าว่า การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ และการสร้างบารมีของครูบาศรีวิชัยนั้นทุกข์ยากลำบากมาก เพราะถูกกลั่นแกล้งจากบุคคลอื่นที่ไม่เข้าใจและอิจฉาริษยาอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ครูบาศรีวิชัยให้ท่านไปนำกะเหรี่ยงมาช่วยสร้างทาง ระหว่างการเดินทางต้องคอยหลบเลี่ยงจากการตรวจจับของพวกตำรวจหลวงและคณะสงฆ์ที่ไม่เข้าใจ

    ครูบาศรีวิชัยท่านได้เล่าว่า ในเวลากลางวันต้องหลบซ่อนกันในป่าหรือเดินทางให้ห่างไกลจากเส้นทางสัญจร เพื่อหลบให้ห่างจากผู้ขัดขวาง ส่วนในเวลากลางคืนต้องรีบเดินทางกันอย่างฉุกละหุก เพราะเส้นทางต่างๆมืดมากต้องอาศัยโคมไฟตามบ้านเป็นการดูทิศทาง เพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    ด้วยบารมีและความตั้งมั่นในการทำความดีของครูบาศรีวิชัยที่มีต่อพระพุทธศาสนาทำให้พุทธบริษัททั้งชาวบ้านและชาวเขาจากในที่ต่างๆ จำนวนมากมาช่วยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพได้สำเร็จดังความตั้งใจของครูบาศรีวิชัย โดยใช้เวลาสร้างเพียง ๗ เดือนเท่านั้น

    เมื่อครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพสำเร็จแล้ว หลวงพ่อจึงได้ไปกราบลาครูบาศรีวิชัย กลับไปอยู่ที่เมืองตื๋น วัดจอมหมอก ตำบลแม่ตื๋น กิ่งอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
    ห่มขาว

    เมื่ออายุได้ ๒๓ ปี ขณะที่ท่านอยู่ที่วัดจอมหมอก เจ้าคณะตำบลได้มาจับท่านสึก ในข้อหาที่ท่านเป็นศิษย์และเป็นกำลังสำคัญที่ปฏิบัติเชื่อฟังครูบาศรีวิชัยอย่างเคร่งครัด ( ซึ่งในขณะนั้นครูบาศรีวิชัยได้ถูกจับมาสอบสวนอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯ ) แต่ตัวท่านเองไม่ปรารถนาที่จะสึก จะหนีไม่ได้ เมื่อทางคณะสงฆ์จะจับท่านสึก และให้นุ่งห่มดำหรือแต่งแบบฆราวาส ท่านไม่ยอม เพราะท่านไม่ได้ผิดข้อปฏิบัติของสงฆ์ แต่เมื่อคณะสงฆ์ที่ไปจับท่านสึก ไม่ให้ห่มเหลือง ท่านจึงหาผ้าขาวมาห่มแบบสงฆ์ เลียนเยี่ยงอย่างครูบาขาวปี วัดผาหนาม ( ซึ่งเคยถูกจับสึก ไม่ให้ห่มเหลืองในข้อหาเดียวกัน ในคราวที่ครูบาศรีวิชัยถูกอธิกรณ์ ก่อนที่จะมีการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ) และยึดถือข้อวัตรปฏิบัติเหมือนที่เป็นสงฆ์อย่างเดิม

    ในหมู่พระสงฆ์และฆราวาสที่เป็นศิษย์ของครูบาศรีวิชัย ก็ยังนับถือหลวงพ่อเป็นพระสงฆ์เช่นเดิม เพราะการสึกในครั้งนั้นไม่สมบูรณ์ ครูบาวงศ์ไม่ได้ทำผิดพระวินัยของสงฆ์ และในขณะที่สึกนั้น จิตใจของท่านก็ไม่ยอมรับที่จะสึก ยังยึดมั่นว่าตัวเองเป็นพระสงฆ์เหมือนเดิม ดังจะเห็นได้จากการที่ท่านยังปฏิบัติข้อวัตรพระธรรมวินัยของสงฆ์ทุกประการ

    หลวงพ่อได้เล่าว่า ในคราวนั้นลูกศิษย์ลูกหาของครูบาศรีวิชัยระส่ำระสายกันมาก บางองค์ก็ถูกจับสึกเป็นฆราวาส บางองค์ก็หนีไปอยู่ที่อื่นบ้าง ในป่าในเขาบ้างเพื่อไม่ให้ถูกจับสึก
    รวมตัวที่บ้านปาง

    หลังจากที่ครูบาศรีวิชัยพ้นจากอธิกรณ์ ครูบาศรีวิชัยได้เดินทางกลับไปจังหวัดลำพูนเพื่อไปบูรณะและสร้างวัดบ้างปาง อันเป็นวัดบ้านเกิดของท่าน หลวงพ่อและครูบาขาวปี ( ซึ่งขณะนั้นนุ่งขาวห่มขาวทั้งคู่ ) ตลอดจนลูกศิษย์ทั้งที่ถูกจับสึกเป็นฆราวาส และที่หนีไปในที่ต่างๆ ต่างก็ได้เดินทางกลับมาช่วยกันสร้างและบูรณะวัดบ้านปาง เพื่อให้เป็นที่อยู่ที่ถาวรของครูบาศรีวิชัย

    หลวงพ่อได้ช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างวิหารที่วัดบ้านปางได้ระยะหนึ่ง ท่านจึงลาไปบำเพ็ญภาวนาธุดงค์ แสวงหาสัจธรรมต่อไปในป่าในเขา และเผยแพร่ธรรมะให้กับชาวบ้านและชาวเขาในที่ต่างๆต่อไป
    เดินธุดงค์

    ในสมัยนั้นท่านได้ธุดงค์บำเพ็ญเพียรไปในที่ต่างๆองค์เดียวเสมอ ท่านชอบธุดงค์ไปอยู่ในป่า ในถ้ำที่ห่างไกลผู้คน หลวงพ่อเล่าว่า ในสมัยนั้นการเดินธุดงค์ไม่สะดวกสบายเช่นสมัยนี้ เพราะเครื่องอัฏฐบริขารและกลดก็หาได้ยากมาก ตามป่าตามเขาก็มีสัตว์ป่าที่ดุร้ายอาศัยกันอย่างมากมาย ในขณะถือธุดงค์ในป่าในเขา ก็ต้องอาศัยถ้ำหรือใต้ต้นไม้เป็นที่พักที่ภาวนา เมื่อเจอพายุฝน ก็ต้องนั่งแช่อยู่ในน้ำที่ไหลท่วมมาอย่างรวดเร็วเช่นนั้น จนกว่าฝนจะหยุดตก การภาวนาในถ้ำในสมัยก่อนนั้น ก็มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย เช่น เสือ ช้าง งู เม่น ฯลฯ เป็นต้น แต่มันไม่เคยมารบกวน หรือสร้างความกังวลใจให้ท่านเลย ต่างคนต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

    ท่านเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านได้ไปบำเพ็ญภาวนาในถ้ำแห่งหนึ่งที่ตำบลบ้านก้อ สมัยนั้นยังเป็นป่าทึบ ต้นสักแต่ละต้นขนาด ๓ คนโอบไม่รอบ ในถ้ำนั้นมีเม่นและช้างอาศัยอยู่ บางครั้งก็มีเสือเข้ามาหลบฝน บ่อยครั้งที่ท่านกำลังภาวนาทำสมาธิอยู่นั้น พวกมันจะมาจ้องมองท่านด้วยความแปลกใจ ทำให้ท่านรู้สึกถึงความบริสุทธิ์และความไร้เดียงสาของสัตว์ที่มองดูท่านด้วยท่าทางฉงนสนเท่ห์ ทำให้ท่านนึกถึงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า " ความไม่เบียดเบียนกันเป็นความสงบสุขอย่างยิ่ง "
    หลวงพ่อบอกว่าพระธุดงค์ในสมัยก่อน ต้องผจญอุปสรรคและปัญหาต่างๆมากมาย จึงต้องเคี่ยวจิตใจและกำลังใจให้เข้มแข็งและแกร่งอยู่เสมอ ดังนั้นพระธุดงค์รุ่นเก่าจึงเก่งและได้เปรียบกว่าพระสงฆ์ในปัจจุบัน ทั้งในด้านจิตใจและการปฏิบัติบำเพ็ญภาวนา แต่เสียเปรียบกว่าพระสงฆ์ในยุคนี้ ในด้านการใฝ่หาความรู้ทางด้านปริยัติ เพราะในสมัยนี้ ความเจริญทำให้ไปไหนมาไหนได้สะดวกและเร็วขึ้น พระสงฆ์ในรุ่นเก่าที่อยู่ห่างไกลตัวเมืองจึงต้องบังคับจิตใจ บำเพ็ญเพียรปฏิบัติภาวนาให้เกิดปัญญาและธรรมะขึ้นในจิตในใจ เพื่อนำมาพิจารณาและปฏิบัติให้ถึงพระนิพพาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...