ท่านจะนิพพานเพียง "ขันธ์ห้า" ไม่ได้ แม้แต่ภารกิจของท่านก็ต้องนิพพานด้วย?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อู่หยาจื่อ, 15 สิงหาคม 2012.

  1. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องหนึ่งเป็น
    เกร็ดความรู้เล็กๆ เรื่องนิพพาน
    ซึ่งไม่อาจจะนิพพานเฉพาะขันธ์
    ทั้งห้าได้ (ขันธปรินิพพาน) จำ
    ต้องนิพพานทั้งส่วน "ธาตุ 7"
    ด้วย นอกจากนี้ แม้แต่ของทิพย์
    ของท่าน ก็ต้องนิพพานด้วยหรือ
    ไม่เช่นนั้น ก็ต้องให้ผู้อื่นมารับผิด
    ชอบ-รับสืบทอดต่อไป ท่านจึงจะ
    นิพพานได้ (สำหรับเทวดา ที่จะ
    นิพพาน) เอาละ วันนี้ เรามาคุย
    เรื่อง "พื้นฐาน" กันอีก เพราะดู
    แล้วหลายท่านยังไม่พร้อมที่จะ
    รับวิทยาการจากต่างดาวนะครับ
     
  2. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    "ขันธปรินิพพาน" เป็นการนิพพานเพียงบางส่วน (สอุปาทิเสสนิพพาน)


    อย่างแรกที่ท่านควรทราบก็คือ การทำขันธปรินิพพาน ไม่ใช่การนิพพาน
    ทั้งหมด (อนุปาทิเสสนิพพาน) แต่เป็นการนิพพานบางส่วน (สอุปาทิเสส
    นิพพาน) คือ เฉพาะส่วนที่เรียกว่า "ขันธ์ห้า" เท่านั้น ซึ่งจะอยู่โดยรอบ
    ของ "มโนธาตุ" (มโนธาตุเป็นศูนย์กลาง เหมือนจุดศูนย์กลาง) จึงมีคำ
    เรียกอีกคำว่า "ขันธปรินิพพาน" แปลว่า ขันธ์นิพพานโดยรอบ (ปริ แปล
    ว่ารอบๆ เป็นรากศัพ์ของคำว่า "บริเวณ" นั่นเอง) ซึ่งผลคือ "ส่วนเหลือ
    จากสอุปาทิเสสนิพพาน" เช่น ส่วนของ "สัมโภคกาย" (กายสังขาร) ก็
    เหลือสิ่งที่เรียกว่า "พระธาตุ" ให้เราได้สร้างเจดีย์บูชากัน เป็นต้น และยัง
    มีส่วนเหลืออื่นๆ อีก เช่น ส่วนของ "นิรมาณกาย" (จิตวิญญาณชั้นนอก)
    ซึ่งยังจรอยู่เพื่อดำรงคงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาต่อไป ส่วนนี้จะสืบทอดไปสู่
    ร่างสังขารอื่นๆ ได้อีก เช่น ร่างพระสาวก ที่ช่วยค้ำจุนพระศาสนา เหมือน
    ภูติประจำตัว ฉะนั้น ส่วนของ "ธรรมกาย" เหลือสิ่งที่เรียกว่า "มโนธาตุ"
    อันเป็นธาตุที่บริสุทธิ์ประภัสสร, สว่างไสว (นิพพานเป็นธรรม อันพ้นแล้ว
    จากของคู่ ทั้งความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์, สว่างไสวหรือมืดมน ก็ตามถ้า
    ยังมีความบริสุทธิ์ประภัสสรอยู่ หรือความมืดมนไม่บริสุทธิ์อยู่ก็ตาม ล้วน
    ไม่ใช่นิพพาน) เอาละ "ส่วนเหลือ" เหล่านี้ เราจะมาศึกษาร่วมกัน ต่อไป
     
  3. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    คำว่า "อนุปาทิเสสนิพพาน" (นิพพานสิ้นเชื้อ) หมายถึงอะไรนิพพานบ้าง


    ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ คำว่า "อนุปาทิเสสนิพพาน" นั้น หมายถึงสิ่งใด

    นิพพานบ้างละ? ที่ว่า "นิพพานทั้งหมด, นิพพานไม่เหลือเชื้อ" นั้นๆ มันมี
    อะไรบ้างละ เอาละ ไล่ดูไปช้าๆ นะ จะได้เข้าใจเป็นพื้นฐานก่อน อย่างแรก
    1. ขันธ์ห้านิพพานหมด 2. ธาตุ 7 นิพพานหมด 3. ของทิพย์อะไรที่เคยมี
    เคยใช้ (กรณีเป็นเทวดาที่มีของทิพย์) ก็นิพพานหมดนะ ยกเว้นว่าได้มีคน
    มารับช่วงต่อ สืบทอดต่อให้แทน เช่นนั้น ไม่ต้องทำ ของทิพย์นิพพาน ก็ได้
    สรุปว่า "หมดไม่เหลือเชื้อ" แม้แต่ "สิ่งที่ตนสร้างขึ้น" อะไรบ้าง ก็ต้องทำ
    ให้ดับสิ้นสภาพนะ ไม่ต้องถึงขั้นนิพพานก็ได้ ทำแค่ไหน กลับคืนแค่นั้นเช่น
    ใช้ดินเหนียวมาปั้นกระสุน ทำให้มันสิ้นความเป็นกระสุนกลับเป็นดินเหนียว
    ก็พอ ถ้าใครสร้างวัดไว้ ก็ทำให้วัดนั้นคืนสภาพเป็น "ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ" ก็
    จะไม่เหลือเชื้อบุญกรรมไว้ ให้เกิดชาติต่อภพ อย่างนี้ก็ได้ ไม่ต้องทำถึงขั้น
    ให้วัดนิพพาน เพราะยังมี "จิตวิญญาณแม่ธาตุทั้งหลาย" รับช่วงดูแลต่อ
    ไปให้ ตรงนี้ไม่ต้องไปทำนิพพานก็ได้ (แม้แต่ดิน ก็นิพพานได้ และต้องได้
    นิพพานในที่สุด จึงจะหมดสมมุติไว้หล่อเลี้ยงวัฏฏะสงสารแต่จะนิพพานก็
    เมื่อสิ้นวาระที่จะรองรับการเกิดอีกแล้วเท่านั้น) เอาละ เรื่องนี้ มันเกี่ยวข้อง
    กับคำว่า "ภารกิจการดูและธาตุธรรม" ต่างๆ ของเทพเทวดาเขา ผมจะไม่
    ขอพูดมาก ยิ่งพูดจะยิ่งสับสนงุนงงเพราะเราไม่ใช่เทพเทวดากับเขาใช่มั้ย
     
  4. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    พระพุทธเจ้าสั่งทุบ "กุฎิดิน" ของสาวกรูปหนึ่ง ก็เพื่อให้เขาได้นิพพาน


    ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ดังที่ผมได้บอกแล้วว่าท่านจะได้ถึงอนุปาทิเสส

    นิพพานได้นั้น ท่านต้องนิพพานหมด เคลียร์งาน เก็บกวาดสมมุติที่ท่าน
    ทำ ท่านสร้างไว้ "ให้สิ้นสภาพเดิมไป" ทั้งหมด จะทิ้งเชื้อเหลือสมมุติไว้
    หล่อเลี้ยงบุญกรรมสืบชาติต่อภพไม่ได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่ให้สงฆ์
    สร้างวัด, ทำอะไรทิ้งไว้บนโลกเลยแม้แต่อย่างเดียว ท่านเคร่งครัดและมี
    ความเด็ดขาดมากในเรื่องนี้ เพราะอะไร? เพราะนี่คือ วิธีที่จะทำให้ได้ถึง
    นิพพานจริงๆ ซึ่งมีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ทราบถึงขั้นนี้ ถ้าไม่
    เชื่อฟังท่านแล้ว "สัตว์โลกคงหมดหวังที่จะได้นิพพาน" ดังนั้น ท่านจึงมี
    คำสั่งให้ทุบกุฎิดินของพระสาวกรูปหนึ่ง ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่ทุกครั้งที่เขา
    สร้างขึ้น สร้างใหม่ก็ทุบ สร้างอีกก็ทุบอีก นั่นแหละ มันคือวิถีที่จะช่วยให้
    เขาได้นิพพานจริงๆ มันต้องทำอย่างนั้นจริงๆ ไม่เช่นนั้น "ถาวรวัตถุ" นั้น
    จะดำรงอยู่ต่อไปหลังผู้สร้างตายไปแล้ว และถ้าเกิดผลประโยชน์แก่สัตว์
    อื่นใดมาใช้ต่อ ก็จะเกิดผลบุญต่อเนื่อง สืบชาติต่อภพต่อไปได้ ดังนั้น จึง
    ต้อง "ทำให้สิ้นสภาพเสีย" และผู้ที่จะเอานิพพานจริงๆ เขาจะไม่สร้างสิ่ง
    อื่นใดไว้บนโลกอีกแล้ว เพราะมันเป็น "ภาระให้แก่ผู้สร้าง" เป็นบุญสืบไป
    เป็นของที่ไม่จบ ไม่สิ้น ไม่หมดลงได้ในชาตินี้ นี่แหละ ถึงบอกว่ามันไม่ใช่
    แค่ "ขันธปรินิพพาน" และจะนิพพานหมดได้ มันก็ต้อง "ทั้งหมด" แม้แต่
    สิ่งสุมติทั้งหลายที่ใครสร้างขึ้น คนนั้นก็ต้องทำลายเสียให้หมด ไม่เว้นแม้
    แต่ "ประเทศชาติบ้านเมือง" บางคนยังต้องเกิดมาทำลายให้สิ้นซากเลย
    ที่กล่าวนี้ไม่ได้สอนหรือยุยงให้ท่านทำละ แต่มันมีผู้ที่ถูกธรรมชาติจัดสรร
    ให้ทำอยู่ เขามี "อาญาสิทธฺ-อาญาธรรม" ที่จะกระทำได้ เราก็ต้องปลง !
     
  5. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    ธรรมะของพระพุทธเจ้าแท้แล้วสวนกระแสโลก ดังนั้นท่านพูดตรงๆ ไม่ได้


    ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ธรรมะของพระพุทธเจ้าแท้แล้ว "สวนกระแสโลก
    ดังนั้น ท่านจึงพูดตรงๆ ไม่ได้" เช่น การที่ไม่สร้างไม่ทำอะไรอีกแล้ว ก็สวน
    กระแสโลก เพราะทางโลกเขาแข่งกันสร้างผลงาน แข่งกันทำไปหมด ใคร
    ไม่ทำ คนนั้นขี้เกียจกลายเป็นคนไม่ดีไป หรือแม้แต่การเก็บกวาดสิ่งตกค้าง
    ที่อยู่บนโลก อันนี้ทางโลกเขาก็หาว่าเป็นคนเลว หาว่าเป็นพวกทำลายล้าง
    สิ่งที่คนอื่นเขาสร้างสรรค์ขึ้นมา ฯลฯ เอาละ ธรรมะอันนี้สุ่มเสี่ยงที่คนจะเกิด
    ความเข้าใจผิดนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ไปทำชั่วหรือทำลายล้างอะไร
    ใคร แยกแยะและทำความเข้าใจให้ดีด้วย สรุปคือ เพราะธรรมของท่านนั้น
    สวนกระแสโลก บางอย่างท่านจึงพูดตรงๆ ไม่ได้ และต้องให้เข้าถึงด้วยตน
    เอง เกิดปัญญาขึ้นเอง ก็จะทราบเองว่าทำไมจึงต้องทำ ต้องเป็นเช่นนั้น แต่
    เมื่อไม่ได้กล่าวตรงๆ นานวันเข้า ผ่านมานานเข้า คนรุ่นหลังก็ไม่เข้าใจ สุด
    ท้ายก็ปฏิติผิดทาง จากสมัยก่อนแค่กุฎิดินยังต้องทุบทิ้ง สมัยนี้สรางวัด ไม่
    ต่างจาก "พระราชวัง" จำลองพระราชวังมาสร้างวัดกัน อันนี้ ก็ไม่มีทุบทิ้ง
    เอาละ ถ้าท่านไม่รีบนิพพาน ก็ไม่เป็นไร! แต่ถ้าท่านไหนจะนิพพานภายใน
    ห้าพันปีนี้ ก็อย่าไปสร้างอะไร ร่วมสืบชาติต่อภพไปข้างหน้ากับเขาแล้วกัน
     
  6. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    เทพจะเข้านิพพาน ยังต้องทำ "ของทิพย์นิพพาน" ก่อน จึงจะเข้าได้


    ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ แม้แต่เทพเทวดาที่มีของทิพย์ "ทิพยทรัพย์"

    ทั้งหลาย ก่อนจะเข้านิพพานได้ ก็ยังต้องกระทำ "ของทิพย์นิพพาน"
    เพื่อไม่ให้ของทิพย์ของตน เหลือตกค้างอยู่ในสามภพ อันจะเป็นเชื้อ
    เหลือเกิด "บุญกรรม" สืบเนื่องต่อไป ให้ก่อตัวเป็นชาติ เป็นภพได้อีก
    ยกตัวอย่างเช่น เทพบางองค์มี "พระขรรค์ทิพย์" จะต้องกระทำ พระ
    ขรรค์ทิพย์นิพพาน" ก่อน จึงจะเข้านิพพานได้และเมื่อพระขรรค์ทิพย์
    ดับสิ้นสภาวะถึงแก่นิพพานนั้น เทพเทวดาองค์นั้น ก็จะเกิดปัญญาจน
    บรรลุอรหันตผลทันที อันเป็นผลมาจาก "พลังทิพย์ระดับนิพพาน" ที่
    แผ่ออกมาในช่วงนั้น นั่นเอง ทั้งนี้ เทพ-เทวดา แต่ละองค์ต่างก็มีของ
    ทิพย์ แตกต่างกันไป การเข้าถึงอรหันตผลด้วยการทำให้ของทิพย์ได้
    ถึงนิพพานนี้ จึงทำให้เกิดปัญญาในแบบที่แตกต่างกัน เช่น ดาบทิพย์
    คือ ประตูนิพพานแห่งการตัดขาดสิ้นเยื่อใย ก็จะมีธรรมไปอย่างหนึ่ง,
    แก้วมณี คือ ประตูนิพพานแห่งการรักษาศีลพรหมจรรย์ ก็จะมีธรรมที่
    เรียกไปอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้น จึงมีคำเรียกต่างกันไปในขณะบรรลุธรรม
    ว่า "บรรลุด้วย อริยมรรค" บ้าง, "บรรลุด้วย อไทวตธรรม" บ้าง ฯลฯ
    แตกต่างกันฉะนี้ ซึ่งท่านที่เข้าถึงอรหันต์ แล้วจะเข้าใจดีถึงสิ่งเหล่านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 สิงหาคม 2012
  7. มินาโก๊จัง

    มินาโก๊จัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +138
    ของทิพย์เรียกกันว่า "โลกียทรัพย์ไม่ใช่เหรอ"

    ส่วน "อริยทรัพย์" มันเป็นการบรรลุธรรมในระดับต่างๆไม่ใช่เหรอ

    รู้สึกว่าจะเขียนผิด[​IMG][​IMG][​IMG]
     
  8. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    "มโนธาตุนิพพาน" ด่านสุดท้ายก่อน "อนุปาทิเสสนิพพาน" (สิ้นเชื้อ)


    สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ การกระทำ "พระธาตุนิพพาน" โดยเฉพาะ
    ส่วนที่เรียกว่า "มโนธาตุ" นั้น เขาทำกันอย่างไร? มันก็ไม่ยากหรอก ก็
    เหมือนกับอย่างอื่นที่นิพพานไปก่อนนั่นแหละ (ที่นิพพานบางส่วน) มัน
    ก็ "มรรคเดียวกัน" พิจารณาด้วยจิตนี้ ให้เห็นถึง "ธรรมในธรรม" ของ
    สิ่งนั้นๆ เช่น พิจารณา "มโนธาตุ" ก็ไปถึง "จิตในจิต" แล้วพ้นไป เหนือ
    ไปจากจิต มันก็ไม่เหลือสภาพจิตอีก มันก็เกิดปัญญาแจ้งตื่นขึ้นได้ว่าอ้อ
    ที่ผ่านมานี้ "เรายึดติดภาวะจิต" คือ ภาวะจิตผู้รู้บ้าง, จิตผู้บริสุทธิ์บ้าง,
    จิตผู้สว่างไสว (ประภัสสร) บ้าง แท้แล้ว "นิพพาน" ที่พ้นแล้วจากทั้งคู่
    ทั้งมืดและสว่าง ทั้งบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์นั้น มันเป็นอย่างไร? ไม่มีภาระ
    ต้องระมัดระวังจิตว่ามันจะมี "พลังมืดเข้าแทรกหรือครอบงำ" อีกต่อไป
    ไม่ต้องห่วงแบบนั้น ไม่มีกังวลว่าจิตจะไม่สว่างไสวอะไรอีกต่อไป มันไม่
    ต่างกันแล้ว มันพ้นแล้วจากทั้งมืดและสว่าง บริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ ไม่มี
    ให้ยึดข้างใดข้างหนึ่งเลย มันพ้นแล้ว, เหนือไปแล้ว เลยไปแล้ว มันเป็น
    อย่างไร? เอาละ ไม่ต้องพูดมากเขารู้กันเอง ถึงเองก็รู้เองไม่ต้องอธิบาย


    ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกาย ช่วยให้ท่านตื่นแจ้งฉับพลัน สวัสดี
     
  9. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    15 ส.ค. 2555


    "เสียงจากพระสาวก"
    รับสื่อสารโดย


    瑠璃王
     
  10. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828

    ใช่ๆ ใช้คำอะไรเรียก "ของทิพย์" ดีละ?
    (ผมใช้คำไม่ถูกนะครับ ขออภัยด้วย)
     
  11. มินาโก๊จัง

    มินาโก๊จัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +138
    ก็ "โลกียทรัพย์ไง"

    ส่วนอริยทรัพย์ รู้สึกว่า "จะเป็นการที่จิตเข้าถึงระดับปัญญา หรือญาณในการบรรลุธรรมในแต่ละชั้นน่ะ"
     
  12. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    ผมเคยเจอพระรูปหนึ่ง
    ท่านยังมีชีวิตอยู่ในยุค
    เรานี่ละ ท่านบอกว่า
    "ท่านเป็นพระไม่มีวัด"
    เพราะท่านไปเรื่อยๆ
    จากวัดหนึ่ง พักแล้ว
    ก็ไป


    ได้โอกาสสนทนาท่าน
    ก็เล่าว่าท่านปฏิบัติแล้ว
    เห็นกายทิพย์ตัวเองใส
    เป็นแก้วประกายพรึกดัง
    เพชรเปล่งประกาย ครูฯ
    ท่านก็บอกว่า "สักแต่ว่า
    รู้ สักแต่ว่าเห็น" ก็เท่านั้น


    ผมได้ทำบุญกับท่านไปนิด
    เดียวเพราะไม่ค่อยมีอะไร
    ท่านก็ไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย
     
  13. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828

    ทิพยทรัพย์
    น่าจะชัดกว่า
    เพราะโลกียทรัพย์
    หมายถึง วัตถุจับต้องได้
     
  14. Prophecy

    Prophecy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,221
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,605
    อริยทรัพย์ 7 (ทรัพย์อันประเสริฐ, ทรัพย์คือคุณธรรมประจำใจอย่างประเสริฐ — noble treasures)
    1. ศรัทธา (ความเชื่อที่มีเหตุผล มั่นใจในหลักที่ถือและในการดีที่ทำ — confidence)
    2. ศีล (การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ประพฤติถูกต้องดีงาม — morality; good conduct; virtue)
    3. หิริ (ความละอายใจต่อการทำความชั่ว — moral shame; conscience)
    4. โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อความชั่ว — moral dread; fear-to-err)
    5. พาหุสัจจะ (ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก — great learning)
    6. จาคะ (ความเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ — liberality)
    7. ปัญญา (ความรู้ความเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผล ดีชั่ว ถูกผิด คุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ รู้คิด รู้พิจารณา และรู้ที่จะจัดทำ — wisdom)

    อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายในจิตใจ ดีกว่าทรัพย์ภายนอกเพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิง ไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่างๆ ทำใจให้ไม่อ้างว้าง ยากจน และเป็นทุนสร้างทรัพย์ภายนอกได้ด้วย
    ธรรม 7 นี้ เรียกอีกอย่างว่า พหุการธรรม หรือ ธรรมมีอุปการะมาก (virtues of great assistance; D.III.282; ที.ปา. 11/433/310) เพราะเป็นกำลังหนุนช่วยส่งเสริมในการบำเพ็ญคุณธรรมต่างๆ ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จได้อย่างกว้างขวางไพบูลย์ เปรียบเหมือนคนมีทรัพย์มาก ย่อมสามารถใช้จ่ายทรัพย์เลี้ยงตนเลี้ยงผู้อื่นให้มีความสุข และบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ ได้เป็นอันมาก.


    http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=292
     
  15. มินาโก๊จัง

    มินาโก๊จัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +138
    ก็ของทิพย์ หรือของเทวดา ก็ยังอยู่ใน กามภูมิ อันเกี่ยวกับ "โลกีย์ไม่ใช่เหรอ" ก็น่าจะถูกเหมือนๆกันแหละ
     
  16. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    พระรูปนั้นท่านไม่ได้สอนอะไรผมมาก
    ท่านได้แต่บอกสั้นๆ ว่า "นิพานมันมี
    สองแบบนะ" แล้วให้ผมไปพิจารณา
    เอง เรื่องนี้แหละ ผมเลยมาพิจารณา
    "ธรรมในธรรม" ค่อนข้างมากหน่อย


    เพราะได้ท่านชี้แนะให้เล็กน้อย ...
     
  17. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828

    ถ้าเป็นคนอื่น
    คงเอามาโฆษณา
    ว่าได้เจอหลวงปู่เทพโลกอุดร
    ไปแล้วมังครับ 555
     
  18. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828

    ไปตามวิบากกรรมสิ
    เขาไล่เรา เราก็ไป
    เขาไม่ไล่เรา เราก็อยู่
    หรือมีคนนิมนต์ เชิญ
    ให้เราไป เราก็ค่อยไป
    แต่เราไม่ได้ "เจตนา"
    จะต้องไป ยึดว่าต้อง
    ธุดงค์ ก็หาไม่ อยู่ๆ ไป
    อย่างนั้นเอง ...
     
  19. มินาโก๊จัง

    มินาโก๊จัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +138
    ก็เห็นเขาว่า "หลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านมีเท้าใหญ่นิ ก้เล่นธุดงค์อย่างนั้น จะไม่ให้ตีนโตได้อย่างไร"
    ก็ว่าแหละ (ฮา) ก็พระธุดงค์ ท่านเล่นเดินไปเรื่อยๆ จนตีนโตนิ (เท้าบวมโต)(ฮาอีกครั้ง)catt3
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2012
  20. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    การบนบานสานกล่าว เป็นสิ่งที่ดีนะ?


    เพราะอะไร? เพราะมันชัดเจนว่าเรา
    จะให้อะไรเขา เท่าไร แล้วเราก็ทำให้
    ได้ตามสัจวาจานั้นๆ (สัจบารมี) และ
    เราก็รอรับสิ่งที่เราบนบานเอาไว้ ถ้ามี
    สิ่งที่แปลกเข้ามา "เราไม่ได้บนเอาไว้"
    เราก็อย่าไปรับง่ายๆ ต้องพิจารณาก่อน
    ว่า "ซาตานเอามาให้" แล้วแลกกับสิ่ง
    ที่เราไม่คาดคิดไหม? เราไม่ได้บน ไม่
    ได้รู้ ไม่ได้กำหนดก่อนว่าจะเอาอะไรไป
    แลก แต่มารู้ทีหลัง เราเสียไปแล้ว จะแย่


    ดังนั้น การบนบานสานกล่าวจึงดีอย่างนี้
    คือ "ชัดเจนไปเลยว่าเราจะให้อะไรเขา
    ตามสัจวาจา" ที่เราจะกระทำต่อเขานั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...