ริชชี่ มนุษย์พลังจิตคนเชียงใหม่ที่โด่งดังในตอนนี้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย nnn, 15 สิงหาคม 2007.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    สุดท้ายแล้วจริงๆ เกี่ยวกับเรื่องริชชี่ นี้ ก่อนที่ใครต่อใครจะเหม็นขี้หน้าและถีบออกจากเวบไปเสียก่อน ก่อนจะได้ทำประโยชน์ให้พระศาสนา

    ริชชี่ เดิน บนน้ำให้ไดก่อน และ เทสนาสั่งสอนให้ คนเห็นธรรมคือ การสลัดคืน เป็นที่สุด
    รวมถึง ตัวริชชี่เอง ทรงอารมณ์ให้คงที่ก่อน

    เรื่องสมาธิ ไม่ต้องมาสอน เพราะเวบพลังจิต มีมากมายก่ายกอง จนไม่รู้จะอ่านยังไงแล้ว
    เรื่องแก้กรรม ไม่ต้องมาสอน เพราะเวปพลังจิต มีมากมายท่วมหัวแล้ว
    เรื่องระลึกชาติ ไม่ต้องมาสอน เพราะ เด็ก ป4 มันก็ระลึกชาติได้
    แล้วเรื่อง ฟ้าผ่าอะไรที่เอามาเล่านั้น ไม่ต้องมาเล่า เพราะข้างบ้านผม ฟ้ามันก็เคยผ่า ผมไม่เคยคิดเลยว่า มันจะมาเกี่ยวอะไรกับผม
    เรื่อง รักษาคนหายอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ต้องมาเล่า เพราะตัวผมเอง และ ทุกๆ คน ป่วยได้ มันก็หายได้ ประหลาดตรงไหน หมอตี๋ข้างบ้านมันจัดยามา สองชุดเท่านั้น แหละ วิ่งปร๋อ
    เรื่อง บอกว่า เห็นนั่นเห็นนี่ไม่ต้องเอามาเล่า เพราะคุณเห็นอยู่คนเดียว ใครไปรู้ไปเห็นกับคุณ จริงหรือเปล่าใครจะไปตรัสรู้

    ธรรมะ คือ สิ่งที่ทุกคนเห็นได้ จริง ทำได้จริง รู้เองเห็นเอง นั่นแหละ ควรบอก
     
  2. ณ ปลาย

    ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +638

    ดิฉันเห็นจริตคุณ
    ขอบคุณที่เลือกดิฉัน เหอๆๆๆๆ
    จะตอบดังนี้


    จ ริ ต ...หมายถึงบุคคลที่มีลักษณะนิสัยหรือมีความประพฤติอย่างนั้นๆ แบ่งออกเป็น 6 ประเภทใหญ่ๆ

    1.ราคจริต หนักไปทางราคะ ลุ่มหลงรักสวยรักงาม ละมุนละไม กรรมฐานคู่ปรับคืออสุภะและกายคตาสติ
    2.โทสจริต หนักไปทางโทสะ ใจร้อนหงุดหงิดง่าย ไม่สบอารมณ์ได้ง่าย กรรมฐานที่เหมาะคือ เมตตา รวมไปถึงพรหมวิหาร และวรรณกสิณ
    3.โมหจริต หนักไปทางเขลา เหงาซึม เงื่องงง งมงาย คล้อยตามได้ง่าย โลเลวนเวียน แก้ด้วยการฟังธรรม อยู่ใกล้ครู กรรมฐานที่เกื้อกูลได้คือ อานาปานสติ
    4.วิตกจริต ชอบคิดวกวน จับจดฟุ้งซ่าน พึงแก้ด้วยการเจริญอานาปานสติ หรือเพ่งกสิณ
    5.สัทธาจริต มีลักษณะมากไปด้วยศรัทธา หนักไปทางซาบซึ้งง่าย ชื่นบาน น้อมใจเลื่อมใส พึงชักนำไปในสิ่งที่ควรเลื่อมใส ความเชื่อที่มีเหตุผล ระลึกถึงพระรัตนตรัยและศีล ควรใช้กรรมฐานอนุสติ 6 ข้อแรก
    6.พุทธจริต หรือญาณจริต เป็นผู้มีความรู้เป็นความประพฤติปกติ หนักไปทางใช้ความคิดพิจารณาและมองอะไรตามความเป็นจริง ส่งเสริมด้วยแนะนำให้ใช้ความคิดพิจารณาสภาวธรรมให้เจริญปัญญา เช่น พิจารณาไตรลักษณ์ กรรมฐานที่เหมาะคือ มรณานุสติ อุปสมาสติ จตุธาตุวัฎฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา


    ... จริต วาสนา กมลสันดาน นั่นก็ล้วนมาจากจิต และความคิดที่ยึดมั่นถือมั่น การทำให้เป็นของคุ้น บางอย่างถอนได้ บางอย่างถอนไม่ได้ แม้นจะเป็นพระอรหันต์แล้ว ดับทุกข์ก็ยังไม่อาจถอน เพราะไม่เกี่ยวกับทุกข์ แต่เป็นของคุ้น มีความหมายลึก ไม่ใช่แค่ สรุปเป็นจริตหกแค่มุมกว้าง แต่จงมองไปถึงมุมลึกๆ

    จริตที่ดิฉันพูดในกรณีนี้ เป็นความพอใจของเขา ถ้าคุณจะพยายามทำความเข้าใจกับมัน แต่ถ้าหากจะหาเรื่องด้วยการติดถ้อยคำภาษา โดยโยงไปเรื่องจริตหก ขอบอก ทำแบบนั้น ตบตีกันไปเปล่า ไม่ได้กุศล ธรรมะจะกลายเป็นของเสียไปเปล่าดาย

    จริตของเทพ ของพระโพธิสัตต์ นั่นก็เป็นไปตามความปรารถนาของท่าน คุณอาจไม่เข้าใจ



    ส่วนพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านให้คำนิยามง่ายๆ ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ต่อให้นั่งอยู่ตรงหน้าพระองค์ ก็อย่าแน่ใจว่าเห็นท่านแล้ว

    ในโลกของสมมุติ ยังมีจิตอีกมาก ที่ไม่ได้เดินเส้นทางเดียวกับเรา คุณปฏิเสธเขาไป ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมา.. นอกจากความคับแคบในความรู้ แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าคุณเลือกจะดับทุกข์ก็อนุโมทนาให้คุณไปทางตรง

    ถ้าคุณคิดว่า กษัติริย์มี คุณยังต้องพึ่งแผ่นดินที่มีผู้นำที่มีคุณธรรม คุณก็จะเห้นว่า ผู้ใหญ่บ้านมี กำนันมี คนที่เป็นที่พึ่งให้คนอื่นมี แต่นั่นใช่ทางหลุดพ้นไหม มันก็ไม่ใช่ แต่มันเป็นเรื่องที่สมมุติมี และคุณก็ต้องอาศัยอยู่ เพราะคุณยังไม่ใช่ผู้ที่พ้นการเกิด ใครที่คุณไม่อยากข้องกับเขา คุณก็ไม่ต้องไปข้อง แต่พวกเขาก็สร้างบารมี เป็นที่พึ่งของคนอื่น เขายังมีกิเลส แต่ก็มีบารมีด้วย

    เทพทั่วไป บางทีก็ไม่ใช่ใคร เราตายไป ก็อาจไปเป็นเทพ

    ส่วนเขาจะเป็นเทพหรือไม่ คุณรู้เหรอ?? โดยไม่ไต้องไปสัมผัส อ่านเอาก็รู้เหรอ ต่อให้คุณไปสัมผัส บางที คุณอาจจะไม่รู้ก็ได้

    พระพุทธองค์ที่คุณคิดว่าท่านมีอยู่ โดยไม่ต้องไปสัมผัสน่ะ คุณแน่ใจ ว่าคุณพบท่าน แล้วจริง ?????

    คุณเจตนาดี ที่ไม่อยากให้ใครตื่นไฟ

    คุณอื่นเขาเจตนาดี ไม่อยากให้คุณติดยึดอะไรเกินไป

    (sing)
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คุณ ณ ปลาย
    จริต นะ ไม่ใช่ อวิชชา อย่าเอามาปนกัน
    การที่ไม่รู้แล้วทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เขาเรียกว่า อวิชชา คือ ทำไปเพราะไม่รู้ ไม่ใช่จริตเป็นอย่างนั้น
     
  4. ณ ปลาย

    ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +638
    ดิฉัน ไม่ได้เลือกสายเทพ

    แต่ถ้าจะบอกกล่าวเรื่องธรรม คงไม่เลือกวิธีการปรามาสเขา


    ทางพระนี่ดีอยู่แล้ว อยู่ที่คุณจะเผยแพร่ ให้เหมาะควร




    (sing)
     
  5. ณ ปลาย

    ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +638
    แล้วคุณแน่ใจ ว่าคุณรู้
    และที่ทำไปไม่เกี่ยวกับจริต

    ในอวิชชา ก่อใก้เกิด อะไรมากมาย ฝังอยู่

    ถ้าคุณมีรูป มีนิสัย มีจริต มีความติดยึด ฯลฯ ในขณะที่เกิดอวิชชา สิ่งเหล่านี้ ไม่แสดงเหรอ มันหายไปไหน ??


    แม้นแต่มีความปรารนาดีแล้ว สิ่งเหล่านี้ ก็มีอยู่


    แค่คำว่า พุทธจริต ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแล้ว


    (sing)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2007
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    พูดอะไร แตกประเด็นไปเรื่อยเปื่อย
     
  7. SATANS

    SATANS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +13
    <CENTER> </CENTER><CENTER>พุทธพจน์.......</CENTER><CENTER><TABLE width="80%"><TBODY><TR><TD>
    [SIZE=+2]ย[/SIZE]าวเทว อนตฺถาย
    ญตฺตํ พาลสฺส ชายติ
    หนฺติ พาลสฺส สุกฺกํสํ
    มุทฺธมสฺส วิปาตยํ . . . ฯ ๗๒ ฯ

    คนพาลได้ความรู้มา
    เพื่อการทำลายถ่ายเดียว
    ความรู้นั้น ทำลายคุณความดีเขาสิ้น
    ทำให้มันสมองของเขาตกต่ำไป

    The fool gains knowledge
    Only for his ruin;
    It destroys his good actions
    And cleaves his head.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><CENTER>จากพุทธพจน์ข้างบน ขอทุกท่านพิจารณา</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>เมื่อเขาเอาป้าย"หาเรื่อง" แขวนคอมา</CENTER><CENTER>แม้ด้วยเหตุผลถูกต้อง เขาก็ไม่สน</CENTER><CENTER>ใช้ความรู้เพื่อการนั้น</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>เสียเวลาภาวนาและทำกุศล</CENTER><CENTER> </CENTER>
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คำว่า หาเรื่อง นี่ต้องรู้จักแยกนะ หากว่า มีคนมาเตือนแล้วบอกว่าหาเรื่อง นี่มันยังไงกัน
    ถ้าผม เตือนคนอยู่ดีๆ แล้วมีคนมาบอกว่าผมหาเรื่องชาวบ้าน ไอ้คนหลังนี้แหละหาเรื่องตัวจริง เพราะไม่ได้มาเตือนแต่มาหาเรื่อง เพราะไม่ฟังเหตุฟังผล แล้วก็ การกระทำที่ผมทำไป ไม่ได้มีประโยชน์อะไรแอบแฝง ตรงกันข้าม หากสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง เป็นสัจธรรมแล้ว พวกคุณเดินตามพิจารณาตาม ก็จะได้ปัญญาใช่น้อย
    และหากสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงแล้ว คุณไม่เชื่อ คุณก็จะได้โทษไม่ใช่น้อย
    แต่หากสิ่งที่ผมพูด ไม่เป็นความจริง คุณก็ไม่เสียอะไร เพราะว่า มันเป็นธรรมในข้อ กาลมสูตร
    การมองโลกในแง่ดี คนละเรื่องกับ ความงมงาย เพราะฉะนั้น อย่างมงายแต่ให้มองโลกในแง่ดี
    การจับผิด คนละเรื่องกับ การพิจารณาก่อนเชื่อ


    อย่าเชื่อ เพราะได้ยินได้ฟังมา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงรู้ได้เฉพาะตน หากเขารู้อะไรมา เราไม่รู้ด้วยสิ่งนั้นไม่ใช่ธรรมสำหรับเรา หากไม่ใช่ธรรมสำหรับเรา ควรหรือที่เราจะต้องหยิบมา

    ปัจจุบันธรรมมีค่าที่สุด ก็อย่าไปใส่ใจเลย ผมออกมาพูดนี้ก็เพื่อคนที่เขาต้องการพิจารณาจะได้มีทางเลือก ที่เขาควรเชื่อหรือไม่เชื่อ
    คิดให้ธรรมดาสิ ทำเป็นเผด็จการไปได้ อย่าทำเป็นว่า ใครฝ่ายเราดี คนละฝ่ายกับเราก็เท่ากับ ไม่รักสันติ
     
  9. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,236
    เหมือนว่า...มีคนพยายามจะรวมศาสนา หลายๆศาสนาเข้าไว้ด้วยกัน
    ด้วยเข้าใจว่า รวมกันแล้วจะทำให้โลกสันติสุข..ซึ่งไม่สมเหตุสมผล

    ถ้ารวมด้วยวิธีการ เอามายำๆรวมกัน
    มันก็เลยเกิดเป็น ศาสนาใหม่ หรือ ลัทธิใหม่ ขึ้นมาอีก

    ไม่มีปัญหา ถ้าจะมีศาสนาใหม่เกิดขึ้น...
    เช้าๆถึงหัวค่ำ ผมเป็นชาวพุทธ ตกกลางคืนถึงรุ่งสาง เป็นฮินดู ก็ได้...

    แต่ในแนวทางพุทธ ก็ถือว่าคนๆนี้ มีคติไม่แน่นอน
    มีคติไม่แน่นอนก็ไม่เห็นเป็นไร ก็ยังกินข้าวได้ อึได้

    แต่จะให้คนมารับเอาเป็นพวก หรือ จะเข้ารวมหมู่กับศาสนาอื่นๆ
    ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีความคลางแคลงใจ ที่จะไม่ได้รับการยอมรับ

    เมื่อมีการคลางแคลงใจ ก็เกิดคำถาม
    เมื่อตอบคำถาม ก็มีความเป็นไปได้อีก ที่จะไม่ได้รับการยอมรับอยู่ดี

    เสนอความเห็นบ้างนะครับ
    ผมเชื่อว่าเทวดา..มีจริง
    เชื่อว่าการบูชาเทวดา**บางท่าน**..เกิดผลดี ไม่มีผลเสีย
    เชื่อว่าเทวดา**บางท่าน**..เป็นชาวพุทธขั้นสูง
    และก็ไม่ขัดขวาง ถ้าจะบูชาผีและเทวดา..ไม่ว่าจะเพื่ออะไร
    แต่..จะให้มีการยอมรับกันเกิดขึ้น...ไม่เอาด้วยหรอกนะ
     
  10. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    สัจจะ

    ผมขอเคารพนับถือทุกคนที่เป็น "คนดี" ไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม
    และต่อให้เป็นชาวพุทธด้วยกัน หากไม่ใช่ "คนดี" ผมจะไม่นับถือไม่ศรัทธา
     
  11. {ผู้ชนะสิบๆทิศ}

    {ผู้ชนะสิบๆทิศ} เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +917
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ บุญยง โคกกระทา [​IMG]
    เหมือนว่า...มีคนพยายามจะรวมศาสนา หลายๆศาสนาเข้าไว้ด้วยกัน
    ด้วยเข้าใจว่า รวมกันแล้วจะทำให้โลกสันติสุข..ซึ่งไม่สมเหตุสมผล

    ถ้ารวมด้วยวิธีการ เอามายำๆรวมกัน
    มันก็เลยเกิดเป็น ศาสนาใหม่ หรือ ลัทธิใหม่ ขึ้นมาอีก

    ไม่มีปัญหา ถ้าจะมีศาสนาใหม่เกิดขึ้น...
    เช้าๆถึงหัวค่ำ ผมเป็นชาวพุทธ ตกกลางคืนถึงรุ่งสาง เป็นฮินดู ก็ได้...

    แต่ในแนวทางพุทธ ก็ถือว่าคนๆนี้ มีคติไม่แน่นอน
    มีคติไม่แน่นอนก็ไม่เห็นเป็นไร ก็ยังกินข้าวได้ อึได้

    แต่จะให้คนมารับเอาเป็นพวก หรือ จะเข้ารวมหมู่กับศาสนาอื่นๆ
    ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีความคลางแคลงใจ ที่จะไม่ได้รับการยอมรับ

    เมื่อมีการคลางแคลงใจ ก็เกิดคำถาม
    เมื่อตอบคำถาม ก็มีความเป็นไปได้อีก ที่จะไม่ได้รับการยอมรับอยู่ดี

    เสนอความเห็นบ้างนะครับ
    ผมเชื่อว่าเทวดา..มีจริง
    เชื่อว่าการบูชาเทวดา**บางท่าน**..เกิดผลดี ไม่มีผลเสีย
    เชื่อว่าเทวดา**บางท่าน**..เป็นชาวพุทธขั้นสูง
    และก็ไม่ขัดขวาง ถ้าจะบูชาผีและเทวดา..ไม่ว่าจะเพื่ออะไร
    แต่..จะให้มีการยอมรับกันเกิดขึ้น...ไม่เอาด้วยหรอกนะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    แค่มีจิตเคารพศาสนาอื่นยังไม่มีกันเลย อย่าไปคิดว่าจะรวมกันได้เลยมันข้ามขั้นตอนไปแล้ววว การรวมกันได้ต้องได้ใจของบุคคลที่นับถือศาสนาต่างๆได้ สมัยก่อนพระพุทธเจ้าโปรดชลิฏ3พี่น้อง ไม่เคยใช้การด่าว่าลัทธิของพวกเขา แต่ทรงทำฤทธิ์ที่พระองค์มีแสดงให้เขาเห็น เหมือนการแสดงความวิเศษณ์แห่งจิตให้พวกเขาเห็นด้วยเมตตาธรรม พวกชลิฎเขาเลยมาเคารพ นับถือพระรัตนตรัย แต่เดี๋ยวคนมีฤทธิ์มีเดช (บางคน) กลับไม่ใช้ฤทธิ์ในการเผยแผ่คำสอน ไม่สอนให้คนมี สติ ปัญญา และ พรหมวิหารธรรม แบบพุทธ กลับใช้ฤทธิ์เพื่อหาลาภสักการะ และชื่อเสียงเข้าตัวเอง ฝากไว้ให้คิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2007
  12. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    สัจจะ "ไม่เคารพนับถือ"

    ๑. ชาวพุทธที่โกงกินชาติ
    ๒. ชาวพุทธที่ขายชาติ
    ๓. ชาวพุทธที่ยุให้ไทยแตกแยก
    ๔. ชาวพุทธที่ทำลายสถาบันหลักขณะนี้
    ๕. ชาวพุทธที่ยัดเงินให้ฝรั่งทำลายไทย
    ๖. ชาวพุทธที่ทรยศต่อสัจจะที่ให้ไว้ต่อในหลวง


    เอาแค่นี้ก่อนเป็นเบื้องต้น (ไม่ได้ว่าคุณน้า...)
     
  13. สุริยัน-จันทรา

    สุริยัน-จันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +106
    อุเบกขา....!!!!!(b-2love)
     
  14. ณ ปลาย

    ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +638
    คุยเรื่องอื่นดีกว่า

    ที่จริง ดิฉันก็รู้จักพี่คนนึง ที่เขาแบ่งภาคมาจากจิตใหญ่คือพระศิวะนะ เคยเล่าไปทีนึงแล้ว
    ที่ชอบพี่เขา ไม่ใช่เพราะเป็นเทพหรอก แต่ชอบความธรรมดาของเขา เทพรู้เรื่องนิพพานไม่ใช่น้อย ที่สำคัญรู้เรื่องจิตมาก สงสัยอะไรก็ถามได้

    เทพส่วนใหญ่จะเป็นพรหม
    มนุษย์เองที่กำหนดหน้าตาของท่าน เวลาท่านมาก็เลยต้องมาตามที่มนุษย์เชื่อ เพื่อจะได้สื่อสารกันถูก

    คนที่มาแนวพระอย่างดิฉัน ไม่ชอบสังคมเท่าไหร่ วุ่นวาย ก็เลยแค่คุยๆ กัน เวลาเจอ เราก็ให้ความเคารพเวลาเจอ พี่เขาแค่เห็นเราคิดถึง พี่เขาก็ดีใจ เมตตามาก

    แต่อย่าทำอะไรให้โกรธ เพราะเห็นคนอื่นๆ โดนไปตามๆ กัน ก็อยู่ใกล้เทพมาก ลืมตัว ล่วงเกินท่านไป

    ส่วนดิฉัน พี่เขาก็รู้ว่ามาแนวไหน

    แต่ใครมาขอให้ช่วย เขาก็ช่วย
    แต่อย่าลืมว่า มันก็เป็นเรื่องโลกๆ ความเจ็บไข้ ช่วยได้บ้าง ช่วยไม่ได้บ้าง ช่วยแล้ว พอหายก็ว่าเพราะแพทย์แผนปัจจุบัน ไปล่วงเกินเขาอีกก็มี

    มนุษย์ก็แสบกว่าเทพอยู่แล้ววว

    อย่างไรเสีย เทพในร่างมนุษย์ ก็มีความยากลำบากเหมือนมนุษย์ ก็ต้องเห็นใจท่านบ้าง มาเจอเรื่องต้องกระทบมาก ก็ต้องมีอารมณ์

    ถ้าเราเองไม่ชอบการสังคม สันโดษได้ก็จะดีกว่า ไม่วุ่นวาย

    (sing)
     
  15. นาย Touru

    นาย Touru เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +1,160
    ก่อนที่จะมีการเข้าใจผิดกันไปมากกว่านี้ หรือทำให้กระทู้ดี ๆ ต้องมีการทะเลาะกัน (ไม่ใช่แสดงความเห็น หรือถกกัน ออกจะแนวเถียงกันเสียมากกว่า)

    ผมขอเริ่มจากเรื่องของเทพก่อนละกันนะครับ

    Copy มาจาก ส่วนหนึ่งของคอลัมน์ ธรรมาภิวัฒน์ โดยท่าน ว.วชิรเมธี จาก เนชั่นสุดสัปดาห์นะครับ
    -----------------------------------------------------------------------
    ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับเทพเป็นอย่างไร


    ก่อนจะตอบคำถามนี้ เราควรทราบก่อนว่า พุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธความมีอยู่ของเทพ แต่ว่า ปฏิเสธ 'อำนาจของเทพ' ที่มีอยู่เหนือฟ้าเหนือดินในฐานะที่เป็นพระผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง (The First Cause) และเป็นผู้ที่อยู่เหนือกาลเวลา สถิตเป็นนิรันดร์ เทพที่มีลักษณะเป็น 'อัตตานิรันดร' เช่นนี้ ไม่มีอยู่ในระบบคำสอนของพุทธศาสนา และควรกล่าวด้วยว่า ไม่มีอยู่จริงแม้แต่ในธรรมชาติ ในเอกภพ ในสากลจักรวาล พุทธศาสนายอมรับว่าเทพนั้นมีอยู่ แต่ว่ามีอยู่ในฐานะที่ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เช่นเดียวกันกับสิ่งผสม (สังขาร) ทุกอย่าง และเทพที่ว่านี้มีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน กล่าวคือ

    (1) สมมติเทพ เทพโดยสมมติ คือ พระราชา พระเทวี และพระราชกุมาร
    (2) อุปปัติเทพ เทพโดยกำเนิด คือ เทวดาในกามาวจรสวรรค์และพรหมทั้งหลาย
    (3) วิสุทธิเทพ เทพโดยความบริสุทธิ์ คือ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย

    ในเมื่อพุทธศาสนาไม่ปฏิเสธความมีอยู่ของเทพ ซ้ำยังนำเสนอเพิ่มเติมอีกด้วยว่า เทพมีถึง 3 ประเภท แต่ประเภทที่เรากำลังพูดถึงตอนนี้ก็คือ เทพประเภทที่ 2 คือ อุปปัติเทพ ซึ่งจตุคามรามเทพหากมีตัวตนจริง ก็จัดอยู่ในประเภทนี้ ต่อเทพประเภทที่มีตัวตนอยู่จริงในฐานะเป็นสภาพชีวิตอย่างหนึ่งนี้ พระพุทธศาสนาวางหลักความสัมพันธ์เอาไว้ว่า เทพคือสภาพชีวิตอย่างหนึ่งเหมือนกันกับมนุษย์
    และดังนั้น มนุษย์จึงควรอยู่ร่วมกับเทพด้วยไมตรีจิต ไม่ใช่ในฐานะ 'ผู้ขอ' กับ 'ผู้บันดาล' ประโยชน์โสตถิผล ส่วนเทพในความหมายอื่นๆ นั้น หากเราจำเป็นจะต้องเกี่ยวข้อง ก็ต้องเป็นการเกี่ยวข้องที่นำไปสู่ความสุขความเจริญและการมีสติปัญญา ไม่ใช่นำไปสู่ความงมงายไร้เหตุผลหรือยอมสยบต่อเทพจนกลายเป็นทาส ท่าทีของเทพ โดยเฉพาะก็ท่าทีต่ออุปปัติเทพนั้น เราสามารถศึกษาได้จากปฏิปทาและคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังต่อไปนี้

    ท่าทีของพระพุทธศาสนาต่อเทพ

    (1) ทรงเปลี่ยนจากเทพสูงสุดมาเป็นธรรมสูงสุด
    ในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่นั้น คนส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อในเรื่องเทพสูงมาก และเทพที่มีชื่อมากที่สุดในยุคนั้นก็คือ 'พระพรหม' คนอินเดียโบราณเชื่อกันอย่างหนักแน่นว่า พระพรหมคือพระผู้สร้าง โดยที่มนุษย์นั้นเป็นหนึ่งในผลงานสร้างสรรค์ของพระพรหมผู้ทรงกฤษฎาภินิหาร พระพรหมสร้างมนุษย์ด้วยการนิรมิตให้
    ชนชั้นพราหมณ์ เกิดจากโอฐของพระพรหม
    ชนชั้นกษัตริย์ เกิดจากพระพาหา (แขน) ของพระพรหม
    ชนชั้นแพศย์ เกิดจากพระโสณิ (ตะโพก) ของพระพรหม
    ชนชั้นศูทร เกิดจากพระบาทของพระพรหม
    พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธระบบความเชื่อที่ว่ามีเทพเจ้าสูงสุด คือ พระพรหมเป็นผู้ 'ลิขิต' ชีวิตมนุษย์ด้วยการสอนความจริงอย่างตรงไปตรงมาว่า มนุษย์เรานั้นคลอดออกมาจากครรภ์มารดาซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ นี่เอง และคนเราไม่ได้สูงต่ำหรือดีเลวเพราะชาติกำเนิดหรือเพราะพรหมลิขิต เทวลิขิต

    หากแต่เหตุที่ทำให้คนเราแตกต่างกันได้แก่ 'กรรม' คือ 'การกระทำ' ทางกาย วาจา และใจ เท่านั้น และสิ่งที่เป็นตัววัดการกระทำ ว่าการกระทำอย่างไหนดี หรือไม่ดี

    ประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ ก็คือ 'ธรรม' ไม่ใช่เทพอย่างพระพรหม และพระองค์สรุปว่า สิ่งที่สูงที่สุดจริงๆ ก็คือ 'ธรรม' อันได้แก่ ความจริงเท่านั้นไม่ใช่ 'เทพ'
    ---------------------------------------------------------------------
    ทีนี้มาดูเรื่องของริชชี่กัน

    ริชชี่ไม่ได้บอกในหนังสือว่าให้ทุกคนหันมาเคารพนับถือเทพในเชิงขอ แต่ริชชี่สอนธรรมะให้คนได้รู้ ได้เห็นถึงกฎแห่งกรรม ให้ทุกคนได้ปฏิบัติ และเข้าถึงสมาธิได้ด้วยตนเอง เมื่อเรามีสติ ตั้งจิต เกิดสมาธิ แล้ว เราสามารถสื่อถึงเจ้ากรรมนายเวรของเราได้ เพื่อขออโหสิกรรมแก่เค้า(ไม่ใช่การแผ่เมตตาอย่างที่บางคนเข้าใจ) หากเจ้ากรรมนายเวรเค้ายกโทษให้ นั่นคือ การที่เค้าให้อภัยทาน ทำให้หลุดจากกงกรรมกงเกวียนด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย

    ส่วนที่มีการกล่าวถึงองค์นารายณ์เทพในหนังสือ เป็นการบอกถึงที่มาที่ไปว่า เหตุใดริชชี่จึงมีความสามารถทางจิตแบบนี้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ยังเป็นเด็กอายุ 13 ปีเท่านั้น การปฏิบัติสมาธิ กรรมฐาน ก็ยังไม่ได้ทำมามาก แต่เป็นการเชื่อมโยงถึงอดีตชาติว่า มันมีผลส่งมาต่อเนื่องอย่างไร โดยไปเกี่ยวข้องกับองค์นารายณ์ ซึ่งถ้าคนที่ไม่ได้อ่านหนังสือของริชชี่ รู้เรื่องราวเพียงผิวเผินด้วยใจที่มีอคติต่อองค์เทพ หรืออาจจะด้วยระดับจิตที่ไม่ถึงขั้นรับรู้เรื่องราวการมีอยู่จริงขององค์เทพ ก็อาจจะเข้าใจผิด และคิดไปได้ว่า เป็นการโมเมขึ้นมา และยกเทพเหนือธรรมของพระพุทธองค์ ซึ่งถ้าได้สัมผัสริชชี่จริง ๆ แล้ว ทุกครั้งที่เค้าแนะนำใครที่เดือดร้อนไป ริชชี่ได้สอนธรรมะของพระพุทธองค์ทั้งสิ้น โดยรูปแบบการถ่ายทอดที่ง่ายๆ และเห็นภาพ ให้คนหลาย ๆ ระดับได้เข้าใจ และเค้าสามารถไปปฏิบัติต่อยอดได้เองด้วยซ้ำไปในบางราย

    ประเด็นต่อมา เรื่องของศาสนาพุทธหรือศาสนาอื่นๆ

    ริชชี่บอกชัดเจนว่าเป็นพุทธ และผมเองก็เชื่อด้วยว่า จิตของเขาก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมตามหลักของพุทธ ส่วนเรื่องเทพนั้น จะมองว่าเป็นอีกศาสนาหนึ่ง อาจจะไม่ใช่แล้วล่ะครับ เพียงแต่ว่า ทางฮินดู เขานับถือเทพ ซึ่งแท้จริงแล้วนั้น หากอ่านดูในหนังสือของริชชี่ ก็จะพบว่า ที่ริชชี่บอกเล่ามาเกี่ยวกับองค์เทพ เทพทุกองค์ ก็ใช้ธรรม ของพระพุทธองค์ ในการนำทาง ปฏิบัติสร้างบารมี กันตลอด เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้บรรลุธรรมอันสูงสุด สามารถใช้สอนได้ทั้งเทพ พรหม มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายในอบายภูมิ

    ส่วนตัวผมจึงคิดว่า ไม่น่าแตกประเด็นเรื่องศาสนาอื่นหรือไม่กันอีกต่อไปให้ขุ่นข้องหมองใจกันเลย

    จริงๆ ยังมีอีกหลายประเด็นที่อยากบอกกล่าวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหัวข้อกระทู้ที่คุณ nnn ตั้ง, เรื่องการว่าริชชี่ให้เสียหาย โดยที่ไม่ได้รู้จริง... ฯลฯ แต่สุดท้าย จากที่ได้สังเกตการโต้ตอบมา 2 วันนี้ ไม่ว่าจะพยายามชี้แจงไป ด้วยเหตุและผลที่ดีมากเพียงใด หากใจที่พิจารณานั้นมีอคติเป็นที่ตั้ง ก็คงเปล่าประโยชน์ ผมคงได้แต่อุเบกขา วางเฉย และปล่อยไป

    เพราะแต่ละคนก็มีวาระกรรมไม่เหมือนกัน และเป็นธรรมชาติบนโลกใบนี้ ที่จะต้องมีคนไม่เห็นดัวยในเรื่องใด ๆ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่ดี มีประโยชน์อย่างไร แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงแบ่งคนออกเป็นเหมือนบัว 4 เหล่า เพราะการรับรู้ การเข้าใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางทีอาจจะถูกคน แต่ไม่ถูกเวลาก็เป็นได้

    สิ่งที่เห็นตรงข้ามกัน ไม่ใช่สิ่งที่ผิดครับ แต่การเห็นตรงข้ามด้วยเหตุและผล ด้วยใจที่เป็นธรรม ไม่ใช่ด้วยอคติ แลกเปลี่ยนกัน (เชิงสร้างสรรค์) ย่อมเกิดประโยชน์ต่อทั้งตนเอง และผู้อื่นที่ได้เข้ามาอ่าน
    แต่หากจะแสดงความคิดเห็นแบบขอไปที หรือว่ากล่าวโจมตีผู้อื่น โดยที่ไม่ได้รู้มากพอ (ด่วนสรุป) ก็คงไม่เกิดประโยชน์มากเท่าใดนัก ทั้งกับตนเองและผู้อื่น

    เคยมีภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า คนที่โชคร้ายที่สุดก็คือ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นไม่รู้อะไรเลย

    ก็ขอฝากเอาไว้ให้ทุกท่านได้คิด พิจารณา เพื่อจะได้เกิดปัญญา และแสดงความเห็น แลกเปลี่ยนกันเชิงสร้างสรรค์นะครับ

    คิดดีต่อผู้อื่น แล้วสิ่งดี ๆ จะเกิดกับตัวท่านเอง แต่หากคิดร้ายต่อผู้อื่น สิ่งไม่ดีก็ตกกับท่านเองเช่นกัน
    ที่ผม Post ไปนี้ ถ้าอ่านดี ๆ แล้ว ผมไม่ได้ว่าใครนะครับ อย่าร้อนตัวล่ะ (b-2love)
     
  16. นักรบโบราณ

    นักรบโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +973
    <TABLE id=HB_Mail_Container height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 UNSELECTABLE="on"><TBODY><TR height="100%" UNSELECTABLE="on" width="100%"><TD id=HB_Focus_Element vAlign=top width="100%" background="" height=250 UNSELECTABLE="off">ขอบคุณครับที่ความรุนแรงได้ถูกลดลงมา อยากบอกว่าที่ผมบอกสวรรค์มีความเป็นหนึ่งไม่แบ่งแยก ก็พอเอ่ยถึงพระศิวะคนทั่วไปก็บอกว่านั่นเป็นเทพเจ้าทางฮินดู แต่พอเอ่ยถึงอีกพระนามหนึ่ง ชาวพุทธทั่วไปยอมรับทั้งที่คือพระองค์เดียวกัน ซึ่งพระองค์ก็บำเพ็ญเพียรสู่แดนอรหันต์แดนนิพพานเหมือนกัน แต่บำเพ็ญบารมีบางอย่างช่วยสามโลกอยู่ ถ้าทุกท่านเชื่อในกฏแห่งกรรม เชื่อในการเวียนว่ายตายเกิด อย่าลืมพิจารณาศึกษาเรื่องโลกวิญญานดูซิครับ
    </TD></TR><TR UNSELECTABLE="on" hb_tag="1"><TD style="FONT-SIZE: 1pt" height=1 UNSELECTABLE="on">
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. มโนกรรม

    มโนกรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +877
    ผมว่าทุกท่านล้วนมีใจธรรมะและมีเจตนาที่ดีเหมือนๆกัน แต่บางทีของสิ่งๆเดียวกัน หรือเรื่องๆเดียวกัน เราอาจมีมุมมองหรือมีความคิดเห็นที่แต่ต่างกันย่อมเป็นไปได้ แต่ที่สุดแล้วถ้าเรายอมรับฟังซึ่งกันและกันเราก็จะสามารถมองเห็นภาพรวมทั้งหมดที่แท้จริงได้ ถ้ายังไม่เห็นภาพอยากให้ลองนึกถึงเรื่องคนตาบอดคลำช้างดูนะครับ คนหนึ่งคลำไปถูกขาก็บอกว่าช้างต้องมีลักษณะอย่างนี้ คนหนึ่งคลำไปถูกหางก็บอกว่าช้างต้องมีลักษณะอย่างนี้ คนหนึ่งคลำไปถูกตัวก็บอกว่าช้างต้องมีลักษณะอย่างนี้ คนหนึ่งคลำไปถูกหัวก็บอกว่าช้างต้องมีลักษณะอย่างนี้ จริงๆแล้วคนตาบอดทุกคนกำลังคลำช้างตัวเดียวกันแต่บอกลักษณะได้ไม่เหมือนกัน เป็นเพราะว่าเขาแต่ละคนรู้และบอกได้เฉพาะในส่วนที่ตัวเองสัมผัส ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าคนหนึ่งคนใดบอกลักษณะของช้างผิด แต่ถ้าทุกคนพูดคุยกันและรับฟังซึ่งกันและกันเขาทั้งหลายย่อมบอกได้ว่าตัวตนของช้างจริงๆเป็นเช่นไร

    ฉะนั้นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายกำลังถกกันอยู่นี้ก็ไม่ต่างกัน ทุกคนมีความรู้ความสามารถ และมีดีพอๆกัน ไม่มีใครถูกใครผิด เพียงแต่เราต้องยอมรับฟังซึ่งกันและกันก็เท่านั้น

    อยากให้ทุกคนเอาสิ่งที่ดีๆมาร่วมกัน เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่มีประโยชน์และคุณค่าร่วมกันจะดีกว่าครับ ผมเองก็ได้ความรู้จากท่านทั้งหลายไม่น้อยเลยจริงๆครับ

    อย่าหาว่าเป็นการสอนเลยนะครับ เพียงแต่เป็นข้อคิดเห็นจากสมาชิกในเว็ปคนหนึ่งเท่านั้น
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    สำหรับ คุณ โอม บอกว่า อัญญาโกณฑัญญะ ทำนายพระพุทธองค์ได้ อันนี้ ไม่ใช่เรื่องของศาสนาพรามหมณ์ นารายณ์ หรือ ว่า ศิวะอะไร แต่เป็นเรื่องของ การทำนายลักษณะ มันเป็นศาสตร์ธรรมดาอยู่แล้ว
    สมัยนี้มีกรมอุตุนิยมวิทยา ทำนายดินฟ้าอากาศ ไม่เห็นจะแปลกมหัศจรรย์อะไรพอที่จะยึดถือได้ และ การทำนายโหงวเฮ้ง ของจีนก็มี แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ยึดเป็นธรรมไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์เรากำหนดตนเอง ไปดูพระเกจิอาจารย์หลายๆ ท่านสิ โหงวเฮ้งเข้าตำหรับตำราจีนเสียที่ไหน ท่านก็เป็นที่พึ่งให้กับ ชาวบ้านชาวเมืองได้
    แล้วสุดท้าย อัญญาโกณฑัญญะ ก็ต้องมารอฟังธรรมจากพระพุทธองค์ เราเอาเรื่องนี้มาเปรียบไม่ได้ว่า พราหมณ์นั้น ถูกต้อง หรือว่า เอามาเปรียบว่า ริชชี่ กำลังทำถูกต้อง

    สำหรับเรื่องเทพ ผมจะบอกให้ฟังว่า เทวดานี้ไปเกิดเพราะมี กุศลจิต แต่หากไม่รู้อะไรในธรรมของพระพุทธองค์ เทวดาก็ยังมี ขันธ์ทั้ง 5 ครบ เมื่อมีขันธ์ 5 ครบ ย่อมมี การปรุงไป ย่อมไม่รู้อะไร ยังหาหลักหาเกณฑ์อะไรไม่ได้ ยังมีความกลัว ยังไม่รู้แจ้ง ยังแก้ปัญหาแบบผิดๆ ยังเชื่ออะไรแบบผิดๆ เทวดาก็สงสัยเหมือนกันว่า ท่าทาง พรหมจะบันดาลชีวิตเราได้กระมัง พรหมก็สงสัยเหมือนกัน ว่า ท่าทางจะมีมหาพรหมดลบันดาลเราเหมือนกัน
    ก็เพราะไม่รู้อะไร ทั้งเทพทั้งพรหมจึงต้องรอฟัง ธรรมจากพระพุทธองค์ หรือ เทพซึ่งเป็นอริยท่านอื่นๆ

    ก็ เกิดเป็นมนุษย์นี้โชคดีที่สุดแล้ว ได้มาเจอพระศาสนาพุทธ เป็นหนทาง เราเอากำลังจิต กำลังใจ ไปศึกษา พระพุทธศาสนากันให้ถ่องแท้ จะดีกว่ามาเสียเวลา ไขว้เขวกับริชชี่ หรือ สิ่งอื่นๆ อันไม่ใช่ทาง

    การศึกษานี้ต้อง ศึกษากันอย่างจริงจัง ให้เหมือนกับ เรียนหนังสือแบบนั้น คือ ค่อยๆ ตั้งคำถามเริ่มต้นว่า พระพุทธองค์ ตรัสรู้อะไร ก็ตอบว่า ท่านตรัสรู้วิธีการดับทุกข์ การดับทุกข์นั้นทำอย่างไร ก็ตอบว่า ต้องไปรู้จักทุกข์ รู้จักกายภาพของมัน ว่า มันเกิดอย่างไร ดับอย่างไร และอะไรคือทุกข์

    เริ่มจากหยาบๆ ไปจนละเอียด พอเราเห็นหยาบๆ ได้ เรารู้เหตุหยาบๆ ได้ หมั่นสังเกตุด้วยสติ คือ ระลึกรู้ว่า แม้ทุกข์นิดหนึ่งเราก็สังเกตุได้ ละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น ก็จะรู้ทั้ง สมุทัยคือ เหตุของทุกข์ แล้ว พอสังเกตุมากขึ้นๆ เราจะพบกฎไตรลักษณ์ในทุกข์นั้น ตามพระพุทธองค์เอง

    พอพบแล้วไม่ยึด คราวนี้ก็ถอน ก็เป็น อริยมรรคไป จนกว่าจะได้ผลครบถ้วน คือ วิมุตติ

    ก็อยากให้พิจารณาตรงนี้ จะได้ไม่แก้ไขกันผิดทาง ไปตามริชชี่ it's very easy to be me

    แล้วก็จะได้ไม่หันหาทางแก้ทางอื่น

    เมื่อเรามั่นคง ศรัทธาพระพุทธศาสนา แบบเรียกว่า อะไรก็ไม่สน ยอมตายในพระพุทธศาสนาแล้ว อจลศรัทธาจะเกิด คราวนี้ พายุจะพัด เทวดามาขู่ หรือ มารมาเท่าใด เราก็ไม่หวั่นไหว ก็จะเข้าถึงวิมุตติ ได้ไม่ต้องสงสัย

    สังเกตุมันไปเถอะ คำว่าสังเกตุ นี้ทำบ่อยๆ จิตจะชำนาญ จนกลายเป็น มหาสังเกตุ หรือ มหาสติ ก็จะ เข้าถึงสิ่งที่ละเอียดในใจ จนถึงเห็นว่า ทุกข์สิ่งเป็นธรรม เกิด ตั้งอยู่ ดับ เท่านั้น จิตจะหมดความยึด เองโดยอัตโนมัติ เป็น สังขารุเบกขาญาณ

    ก็ถ้าใครสนใจธรรมแท้ ผมจะบอกให้ ศึกษาไปพร้อมๆ กัน จะได้ไม่หลงทางนั้นทางนี้ เหมือนกับที่เป็นกันอยู่
     
  19. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +1,763
    คุณขันธ์
    เขาๆ รู้เรื่องที่คุณพูดกันมานานแล้ว
    แต่คุณรู้เรื่องที่คนอื่นพูดรึเปล่าจ๊ะ

    พอเขาตอบเรื่องใหม่ที่คุณยกมา กลับไปว่าชาวบ้านแตกประเด็น


    ตกลง ธรรมะของคุณ ต้องมนุษย์อย่างเดียวเลยนะ


    เล่าเรื่องพี่ที่เขาเป็นจิตแบ่งลงมา เขาว่ามนุษย์นี่ล่ะสร้างเรื่องเอง
    ที่ว่าฮินดูแบ่งชนชั้นเป็นสี่วรรณะ อะไรนี่ มนุษย์คิดเองนะ


    (sing)
    แต่คุณเป็นตัวแปรหนึ่งที่สำคัญในกระทู้นี้ อาจทำให้เกิดความสมดุล

    ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    พวกรู้แล้ว รู้แล้วนี่แหละ ตัวดี ทำไม่ได้สักราย
    ธรรมะ ที่รู้แล้ว คนละเรื่องกับทำได้แล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...