จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ขอโมทนาบุญกับจิตบุญดวงที่ ๑๒๔ ครูผู้สอน และผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน... สาธุครับ
     
  2. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ขออนุญาตประกาศจิตบุญดวงที่ ๑๒๕ ณ วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕

    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๑๒๕
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1_1Chalong.jpg
      1_1Chalong.jpg
      ขนาดไฟล์:
      98.1 KB
      เปิดดู:
      285
  3. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ขอโมทนาบุญกับจิตบุญดวงที่ ๑๒๕ ครูผู้สอน และผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน... สาธุครับ
     
  4. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    สวัสดีครับ

    ขอแจ้งจิตบุญใหม่ครับ

    คุณเกษมสิทธิ์ จิตบุญ 125 เป็นสามีของจิตบุญพี่กิตติ์ธัญญา และพ่อของจิตบุญตูน

    เริ่มแรกคือ เข้าอบรม เมื่อ 17 พ.ย. 55 จบกิจเมื่อ 21 ธ.ค. 55

    เป็นศิษย์ผมครับ

    เริ่มทำจริงจังก้อคือวันที่อบรม16 ธ.ค. 55 ที่ผ่านมา ก่อนหน้าภรรยาให้ทำแต่ไม่อยากทำ ยังไม่มีศรัธา พอได้ปรับจิตกับผมเมื่อ16 ธ.ค. 55 จิตก้อเปิด และมีศรัทธาในจิตเกาะพระ วันที่อบรม จิตไปไวจนวิ่งถึง อนาคามี

    กลับไปก้อเกาะพระได้ต่อเนื่อง

    เมื่อวานเห็นท่านพอ เห็นหน้าตาชัดเจน จิตเบา โล่ง

    วันนี้ผมไปสอบอารมณ์ ตัดหมดแล้ว ก้อเลยย้ำอารมณ์ให้ทราบว่าจิตยกแล้ว เข้าใจในจิตตน ...

    ศรัทธา นำพาจริงๆ

    ขอให้พี่เพ็ญประกาศด้วยครับ

    ขอบคุณครับ

    วิทย์


    พี่เพ็ญขอโมทนบุญกับจิตบุญใหม่และครูวิทย์พร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้องทุกท่านด้วยค่ะ
    และขอผลบุญที่ได้โมทนาแล้วจงสำเร็จถึงดวงจิตดวงวิญญาณทั้งสามโลก
    ท่านที่มีทุกข์ก็ขอให้พ้นทุกข์ ท่านที่มีสุขก็ขอให้สุขยิ่งขึ้นไปเทอญ
    และขออุทิศผลบุญทั้งหมดนี้ให้กับจิตบำเพ็ญและจิตเกาะพระทุกท่านค่ะ
    ขอให้ท่านสำเร็จมรรค ผล นิพพานโดยเร็วพลันเทอญ

    พี่เพ็ญขอฝากให้จิตบุญใหม่จงหมั่นเจริญพรหมวิหารสี่อยู่เนือง ๆ ค่ะ และขอแนะนำให้สวดมนตร์บทกรณียเมตตสูตรทุกวันค่ะ จิตท่านจะรักในการเจริญพรหมวิหารสี่มากยิ่งขึ้นจนถึงแนบแน่นค่ะ

    พรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมประจำใจเพื่อให้ตนดำรงชีวิตได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหม ประกอบด้วยหลักปฏิบัติ 4 ประการ คือ

    1. เมตตา (ความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นมีความสุข)

    2. กรุณา (ความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์)

    3. มุทิตา (ความยินดีที่ผู้อื่นมีความสุขในทางที่เป็นกุศล)

    4. อุเบกขา (การวางจิตเป็นกลาง การมีเมตตา กรุณา มุทิตา เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าตนไม่สามารถช่วยเหลือผู้นั้นได้ จิตตนจะเป็นทุกข์ ดังนั้น ตนจึงควรวางอุเบกขาทำวางใจให้เป็นกลาง และพิจารณาว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมที่ได้เคยกระทำไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม กรรมนั้นย่อมส่งผลอย่างยุติธรรมตามที่เขาผู้นั้นได้เคยกระทำไว้อย่างแน่นอน)


    ที่มา

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=7Z28YnAvDS4]Karaniyasutta - กรณียเมตตสูตร - YouTube[/ame]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  5. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ขอโมทนากับจิตบุญ๑๒๕ และครูผู้สอนด้วยครับ

    ครอบครัวจิตบุญที่มาเร็วจริงๆครับ(พ่อ แม่ ลูก) ...

    ขอให้น้อมจิตไปรับใช้ท่านพ่อ ในการเผยแผ่ธรรมเพื่อยกจิตผู้คนต่อไปนะครับ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  6. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194

    ผึ้งค่ะ จิตบุญ 124 ขอรายงานตัวเป็นลูกพระพุทธศาสนาด้วยคนนะคะ ผึ้งจะตั้งใจฝึกสติ และทรงอารมฌาณ 4 ตามที่ครูสอนให้ได้ตลอดค่ะ เพราะว่าผึ้งเชื่อครู ตั้งใจ และเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา ถึงทำให้เดินตรงทาง ก้าวข้ามผ่านสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้แน่นอน มาอย่างมั่นใจ และ วันนี้ผึ้งก็ได้รู้ว่า ธรรมะ ไม่ได้อยู่ไกลจากเราเลย เพียงแค่เราไม่เคยหยิบธรรมะ ที่มีอยู่ในก้นบึ้งของจิต มาปัดฝุ่น ปล่อยให้ฝุ่นแห่งโลกียะ จับเกาะจนหนา เพียงแค่เราปัดมันออก เราก็จะเห็นดวงจิตที่ใสสะอาดและงดงาม ต้องขอขอบพระคุณ เฮียเซ้ง (พี่ชายพี่แหม่ม) ที่ทำให้ผึ้งพบเจอสิ่งที่เป็นแก่นแท้ สิ่งที่มนุษย์หลายคนลืมไปแล้ว ว่า นี่แหละ คือสิ่งที่นิรันดร์ "พระพุทธศาสนา กับจิตที่บริสุธิ์" ขอกราบขอบพระคุณ คุณครูที่คอยกระตุ้น ในเดินตรงทาง คุณครูวิทย์ และคุณครูปลื้ม ผึ้งจะเดินตามทางที่ครูวางไว้จนลมหายใจสุดท้าย ตายที่พระค่ะ สาธุ



    โมทนาสาธุดังๆ กับจิตบุญดวงใหม่อีกสองดวง คุณผึ้ง จบ.๑๒๔ และ คุณเกษมสิทธิ์ จิตบุญ ๑๒๕ รวมทั้งครูผู้สอนและผู้ที่ช่วยเหลือทุกท่านค่ะ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  7. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณผึ้ง จิตบุญดวงที่ ๑๒๔ และคุณเกษมสิทธิ์ จิตบุญ ๑๒๕ ครูผู้สอนและผู้เกี่ยวข้องทุกท่านด้วยนะค่ะ
     
  8. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194

    กำลังอ่านเรื่องนี้พอดีเลยค่ะ.... การบรรลุธรรมของพระสีวลี

    ประวัติของท่านพระสีวลีแปลกตรงที่กล่าวว่า ท่านอยู่ในท้องของมารดานานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ดังนั้นเมื่อท่านคลอดจึงสามารถทำงานได้เท่ากับเด็ก ๗ ขวบ ในประวัติกล่าวไว้ว่าวันที่ท่านคลอด พระบิดาของท่านได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ามาเสวยพระกระยาหารที่ในวังพร้อมด้วยพระสาวก ในวันนั้นเด็กชายสีวลีได้ช่วยแม่เลี้ยงพระด้วย พระสารีบุตรมองเห็นก็เกิดความเอ็นดูสนทนาด้วย จนเกิดความคุ้นเคยกันอย่างดี

    ในวันที่ ๗ เป็นวันสุดท้ายของการเลี้ยงพระ พระสารีบุตรได้ชวนเด็กชายสีวลีให้บวชด้วย โดยกล่าวว่า “เธอทุกข์ทรมานอยู่ในครรภ์มานาน ออกบวชไม่ดีกว่าหรือ” เด็กน้อยสีวลำตอบว่า “ถ้ากระผมสามารถบวชได้ก็จะบวช” พระนางสุปปวาสาเห็นบุตรชายสนิทกับพระสารีบุตรก็ดีพระทัย เมื่อพระสารีบุตรทูลให้ทราบว่ากำลังชวนลูกชายให้ไปบวช พระนางก็ดีพระทัยและอนุญาตให้พระโอรสได้บวชตามความประสงค์


    พระสารีบุตรจึงทำการบวชให้ ในเบื้องต้นได้สอนให้ท่านกำหนดพิจารณา ตจปัญจกกรรมฐาน ๕ ประการ คือ พิจารณา เกสา(ผม) โลมา(ขน) นะขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตะโจ(หนัง) อันเป็นเบื้องต้นของการบวชที่พระอุปัชฌาย์จะต้องสอนก่อนการบวชทุกครั้ง ท่านได้พิจารณาถึงความทุกข์ที่ต้องทรมานอยู่ในครรภ์มารดาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ในขณะที่กำลังปลงผมท่านได้พิจารณาไปตามที่พระอุปัฌชาย์สอน เมื่อปลงผมจุกที่ ๑ เสร็จ ท่านได้บรรลุโสดาปัตติผล ปลงผมจุกที่ ๒ เสร็จ ท่านได้บรรลุสกทาคามิผล ปลงจุกผมที่ ๓ เสร็จ ท่านได้บรรลุอนาคามิผล และปลงผมจุกสุดท้ายเสร็จท่านก็บรรลุอรหัตตผล ซึ่งนับว่าท่านได้บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็วแค่ปลงผมเสร็จท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์

    ข้อพิจารณา

    พระสีวลีท่านบวชเมื่ออายุยังน้อยมากคือแค่ ๗ ขวบ และเมื่อก่อนบวชท่านได้รับการสอนตจปัจกกรรมฐาน และด้วยทุกข์ที่ท่านได้ทนทรมานอยู่ในครรภ์มารดาเป็นเวลานาน ท่านสามารถนำคำสอนของพระอุปัฌชาย์ไปพิจารณาจนสามารถบรรลุอรหัตตผลในเวลาแค่ปลงผมเสร็จ นั่นแสดงให้เห็นว่า วัยก็ดี ความรู้ก็ดี ไม่เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรม ขอแต่เพียงรู้จักพิจารณาด้วยปัญญาให้ถูกต้องก็สามารถบรรลุธรรมได้ สมดังพระธรรมคุณว่า “อกาลิโก” คือไม่ขึ้นอยู่กับเวลาในการปฏิบัติ คือได้บรรลุเมื่อใดก็ได้รับผลเมื่อนั้น ได้บรรลุถึงระดับใหนก็ให้ผลในระดับนั้น ทั้งความจริงความแท้แห่งพระธรรมนี้ไม่มีกำหนดอายุกาล จริงแท้อยู่ตลอดกาล จริงแท้อย่างนั้นทุกยุคทุกสมัย

    และการกำหนดพิจารณาสิ่งที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้นหรือกายก็ตาม ถ้าผู้ปฏิบัติหมั่นฝึกให้เป็นนิสัย โดยกำหนดรู้ให้เท่าทันอารมณ์ที่อ่อนไหวไปตามสัมผัสนั้น ๆ แล้วน้อมจิตพิจารณาให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ ในไม่ช้าก็จะเข้าใจสภาวธรรม การกำหนดรู้ให้เท่าทันในอารมณ์ที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็นทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่ากับได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง โดยเฉพาะหมวดจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การกำหนดรู้จิตที่อ่อนไว้ไปตามอารมณ์ที่มากระทบ ธรรมชาติจิตจะปรุงแต่งไปตามอดีตบ้าง อนาคตบ้างทำให้เกิดความรู้นึกยินดีหรือยินร้าย สติที่เข้าไปกำหนดรู้จะเป็นตัวกั้นกระแสของกิเลสไม่ให้เกิดขึ้น เป็นการตัดวงจรของปฏิจจสมุปบาทไม่ให้เกิดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ นั่นก็คือการดับทุกข์นั่นเอง
     
  9. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    ขออนุโมทนาบุญกับอาเตี๋ยด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    จะนรก สวรรค์ จะสุข จะทุกข์ ล้วนเกิดจากที่เดียวกัน คือ จิตตน

    เจอสุขแท้ ก้อมา จิตที่ทรงฌาน จนเกิดปัญญา
    เจอทุกข์ ก้อเกิดจากจิตที่ปรุง ที่ยึด

    พูดง่าย แต่ทำยาก ถ้าไม่เพียรจริง ไม่มีศรัทธา
    จะทำง่าย ถ้าวางกำลังใจให้ทำอย่างเดียว เดินมรรคอย่างถูกวิธี
    เดินอย่างถูกวิธีคือ เดินแบบสบายๆ กลางๆ มิใช่เคร่ง หรือ หย่อนไป

    เคร่งหรือหย่อน ดูจากที่ใด ไม่มีใครเข้าใจได้ดีกว่าจิตเรา

    ศึกษาแค่ในจิตเรา แจ้งในจิตเรา เท่านั้นพอแล้วนะ

    แก่นก้อมีในจิต
    กระพี้ก้อมีในจิต

    ทุกสิ่งมีในจิต เลือกเอาเองว่าอยากได้สิ่งใด

    อยู่ข้างในล้วนๆ ไม่ใช่ข้างนอกอย่างที่หลงกันอยู่มานานแสนนานแต่อย่างใด

    เลิกหลง มิใช่แค่ลมปาก แต่ต้องเลิกจากปัญญาในจิต

    ทำลมก้อได้ลม
    ทำฌานก้อได้ฌาน ได้ปัญญา
    ปลูกสิ่งใด ได้สิ่งนั้น นี่แหละธรรมชาติ อันธรรมดา ...


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  11. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ทำไมเด็กน้อยแก้ผ้าอาบน้ำได้ไม่อายใคร
    แล้วทำไมผู้ใหญ่ไม่กล้าทำ ...

    ลองทำจิตนิ่งๆ แล้วจะได้คำตอบนะ



    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  12. urairatvi

    urairatvi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +2,401
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณเกษมสิทธิ์จิตบุญดวงที่๑๒๕ ครูผู้ฝึกสอน และผู้เกี่ยวข้องข้องทุกท่าน
    ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปคะสาธุ
     
  13. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    เมื่อเจ้า นิ่ง และดูตน แล้วจะแจ้ง
    ตราบใดที่ยังไม่นิ่ง ไม่สนใจจิตตน ... ไม่มีทางแจ้ง มีแต่หลง จมในกองกิเลส

    ตอนนี้เจ้ามองที่ใด เข้าใจสิ่งที่ควรยึดหรือไม่

    ผู้ชี้ทางจะเก่งเพียงใด แต่ถ้าจิตเจ้าไม่เปิด ก้อมิเกิดประโยชน์อันใด
    เป็นเพียง เสียง+ลมที่วิ่งผ่านหูเจ้าไปเท่านั้น


    จงมองตน มองให้ลึกเท่าใด แจ้งไวเท่าน้น

    ละเอียดจับหยาบได้
    แต่หยาบไม่มีทางจับละเอียด

    ว่างก้อคือว่าง
    แต่ยังไม่วาง ก้อ ไม่มีทางว่าง


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  14. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นประทับอยู่ที่ปาวาริกัมพวันนั้น.
    ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีความเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้.
    ถามว่า เพราะเหตุไร พระเถระจึงทูลอย่างนี้.
    ตอบว่า เพื่อประกาศความโสมนัสซึ่งบังเกิดแก่ตน.
    ในเรื่องนี้ มีการกล่าวตามลำดับ ดังต่อไปนี้.

    นัยว่า ในวันนั้น พระเถระชำระร่างกายแต่เช้าตรู่ นุ่งห่มเรียบร้อยแล้ว ถือบาตรจีวร นำความเลื่อมใสมาให้เกิดแก่หมู่เทวดาและมนุษย์ ด้วยอิริยาบถมีการก้าวไป ข้างหน้าเป็นต้นอันน่าเลื่อมใส หวังเพิ่มพูลประโยชน์สุขแก่ชาวเมืองนาลันทา จึงเข้าไปเพื่อบิณฑบาต ในเวลาหลังภัตก็กลับจากบิณฑบาตไปวิหารแล้ว แสดงวัตรแด่พระศาสดา.
    เมื่อพระศาสดาเสด็จเข้าพระคันธกุฎีแล้ว ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกลับไปยังที่พักกลางวันของตน เมื่อสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกในที่นั้น พากันแสดงวัตรแล้วหลีกไป พระเถระได้กวาดที่พักกลางวันนั้นแล้ว ปูลาดแผ่นหนัง เอาน้ำจากลักจั่นชุบมือและเท้าให้เย็นแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ๓ ชั้น ทำตามกำหนดเวลาแล้ว จึงเข้าผลสมาบัติ.

    ท่านออกจากสมาบัติด้วยเวลาตามที่ได้กำหนดไว้แล้ว เริ่มที่จะระลึกถึงคุณของตน.
    ทีนั้น เมื่อท่านกำลังระลึกถึงคุณอยู่ ศีลก็ได้มาปรากฏ ต่อแต่นั้น สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ปฐมญาน ฯลฯ จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนสมาบัติ ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ฯลฯ วิปัสสนาญาณ ฯลฯ ทิพพจักขุญาณ ฯลฯ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ฯลฯ อรหัตตมรรค อรหัตตผล อัตถปฏิสัมภิทา ธรรมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา สาวกบารมีญาณ ก็ปรากฏขึ้นตามลำดับ.


    จำเดิมแต่นั้น เมื่อท่านกำลังระลึกถึงคุณของตน เริ่มต้นแต่อภินิหารที่ได้ทำไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี เหนืออสงไขยกำไรแสนกัลป์ จนกระทั่งถึงเวลาที่กำลังนั่งคู้บัลลังก์ คุณทั้งหลายก็ได้ปรากฏ. พระเถระระลึกถึงคุณของตนเป็นอันมากอย่างนี้ ก็ไม่อาจเห็นประมาณหรือกำหนดของคุณทั้งหลายได้เลย.
    ท่านคิดว่า ประมาณหรือกำหนดแห่งคุณทั้งหลายของพระสาวกผู้ดำรงอยู่ในญาณบางส่วน ย่อมไม่มีแก่เราก่อน แต่เราบวชอุทิศพระศาสดาองค์ใด พระศาสดาพระองค์นั้นมีพระคุณเป็นเช่นไรหนอ ดังนี้แล้ว จึงเริ่มระลึกถึงพระคุณของพระทสพล.

    ท่านได้อาศัยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสนะ สติปัฏฐาน ๔ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า อาศัยสัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ มรรค ๔ ผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ โยนิปริจเฉทกญาณ ๔ อริยวงศ์ ๔ ของพระทสพล แล้วเริ่มระลึกถึงพระคุณของพระทศพล.
    อนึ่ง พระเถระอาศัยองค์ของปธาน ๕ สัมมาสมาธิมีองค์ ๕ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ นิสสรณียธาตุ ๕ วิมุตตายตนะ ๕ ปัญญาเครื่องสั่งสมวิมุตติ ๕ สาราณียธรรม ๖ อนุสสติกัมมัฏฐาน ๖ คารวะ ๖ นิสสรณียธาตุ ๖ สัตตวิหารธรรม ๖ อนุตตริยะ ๖ ปัญญาอันเป็นส่วนแห่งการตรัสรู้ ๖ อภิญญา ๖ อสาธารณญาณ ๖
    อปริหานิยธรรม ๗ อริยทรัพย์ ๗ โพชฌงค์ ๗ สัปปุริสธรรม ๗ นิชชรวัตถุ (เรื่องของเทวดา) ๗ ปัญญา ๗ ทักขิไณยบุคคล ๗ ขีณาสวพละ ๗ ปัญญาปฏิลาภเหตุ ๘ สมมัตตธรรม ๘ การก้าวล่วงโลกธรรม ๘ อารัพภวัตถุ ๘ อักขณเทสนา ๘ มหาปุริสวิตก ๘ อภิภายตนะ ๘ วิโมกข์ ๘ ธรรมอันเป็นมูลของโยนิโสมนสิการ ๙ องค์แห่งความเพียรอันบริสุทธิ์ ๙ สัตตาวาสเทสนา ๙ อาฆาตปฏิวินัย ๙ ปัญญา ๙ นานัตตธรรม ๙ อนุปุพพวิหาร ๙
    นาถกรณธรรม ๑๐ กสิณายตนะ ๑๐ กุศลกรรมบถ ๑๐ ตถาคตพละ ๑๐ สัมมัตตธรรม ๑๐ อริยวาสธรรม ๑๐ อเสขธรรม ๑๐ อานิสงส์เมตตา ๑๑ ธรรมจักรมีอาการ ๑๒ ธุดงคคุณ ๑๓ พุทธญาณ ๑๔ ธรรมเครื่องอบรมวิมุตติ ๑๕ อานาปานสติ ๑๖ พุทธธรรม ๑๘ ปัจจเวกขณญาณ ๑๙ ญาณวัตถุ ๔๔ กุศลธรรมเกิน ๕๐ ญาณวัตถุ ๗๗ สมาบัติ ๒๔ แสนโกฏิ สัญจาริตมหาวชิรญาณแล้ว เริ่มระลึกถึงคุณของพระทศพล.

    ก็พระสารีบุตรนั่งในที่พักกลางวันนั้นนั่นแล อาศัยธรรมอันเป็นเชื้อสายข้ออื่นอีก ๑๖ ข้อ ซึ่งจักมาต่อไปโดยพระบาลีว่า อปรํ ปน ภนฺเต เอตทานุตฺตริยํ จึงได้เริ่มระลึกถึงพระคุณของพระทศพล.

    พระสารีบุตรนั้นระลึกถึงพระคุณของพระทสพลอย่างนี้ว่า พระศาสดาของเราทรงเป็นผู้ยอดเยี่ยมในกุศลบัญญัติ ยอดเยี่ยมในอายตนบัญญัติ ยอดเยี่ยมในการก้าวลงสู่พระครรภ์ ยอดเยี่ยมในวิธีแสดงดักใจผู้ฟัง ยอดเยี่ยมในทัสสนสมบัติ ยอดเยี่ยมในบุคคลบัญญัติ ยอดเยี่ยมในปธาน ยอดเยี่ยมในปฏิทา ยอดเยี่ยมในภัสสมาจาร ยอดเยี่ยมในปุริสสีลสมาจาร ทรงยอดเยี่ยมในอนุสาสนีวิธี ยอดเยี่ยมในปรปุคคลวิมุตติญาณ ยอดเยี่ยมในปุพเพนิวาสญาณ ยอดเยี่ยมในทิพพจักขุญาณ ยอดเยี่ยมในอิทธิวิธี ยอดเยี่ยมด้วยธรรมนี้ ดังนี้ ก็ไม่เห็นที่สุด ไม่เห็นประมาณแห่งพระคุณทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้.

    พระเถระไม่เห็นที่สุด ไม่เห็นประมาณแห่งคุณทั้งหลายของตนก่อน จักเห็นพระคุณทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้อย่างไร


    ก็ผู้ใดมีปัญญามากและมีญาณแข็งกล้า ผู้นั้นย่อมเชื่อพุทธคุณอย่างมาก.

    โลกิยมหาชน ไอก็ดี จามก็ดี ดำรงอยู่ในอุปนิสัยของตนๆ ย่อมระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่า ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
    พระโสดาบันคนเดียวย่อมเชื่อพระพุทธคุณมากกว่าโลกิยมหาชนทั้งหมด.
    พระสกทาคามีคนเดียวเชื่อพระพุทธคุณมากกว่าพระโสดาบันตั้งร้อยตั้งพัน.
    พระอนาคามีคนเดียวเชื่อพระพุทธคุณมากกว่าพระสกทาคามีตั้งร้อยตั้งพัน.
    พระอรหันต์องค์เดียวเชื่อพระพุทธคุณมากกว่าพระอนาคามีตั้งร้อยตั้งพัน.
    พระอสีติมหาเถระเชื่อพระพุทธคุณมากกว่าพระอรหันต์ที่เหลือ.
    พระมหาเถระ ๔ รูปเชื่อพระพุทธคุณมากกว่าพระอสีติมหาเถระ.
    พระอัครสาวกทั้งสองรูปเชื่อพระพุทธคุณมากกว่าพระมหาเถระทั้ง ๔ รูป
    บรรดาพระอัครสาวกทั้งสองนั้น พระสารีบุตรเถระเชื่อพระพุทธคุณมากกว่าพระโมคคัลลานะ.
    พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวก็เชื่อพระพุทธคุณมากกว่าพระสารีบุตรเถระ
    ก็ถ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายพึงนั่งเอาชายสังฆาฏิกระทบกับชายสังฆาฏิในห้องแห่งจักรวาฬทั้งสิ้น แล้วระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
    พระสัพพัญญูพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นเชื่อในพระพุทธคุณมากกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงเหล่านั้น.


    เมื่อพระเถระระลึกถึงคุณของตน และพระคุณของพระศาสดาอยู่อย่างนี้ ปีติและโสมนัสท่วมทับที่ในภายใน เหมือนห้วงน้ำใหญ่ไหลท่วมแม่น้ำใหญ่สองสาย ยังสรีระทุกส่วนให้เต็มเปี่ยม เหมือนลมทำให้ถุงลมเต็มเปี่ยม (และ) เหมือนสายน้ำที่ไหลแยกพุ่งขึ้น ยังห้วงน้ำใหญ่ให้เต็ม ฉะนั้น.

    ลำดับนั้น พระเถระคิดว่า เราผู้ได้บวชในสำนักของพระศาสดาเช่นนี้ นับว่าได้ตั้งความปรารถนาไว้ดีแล้วและการบวชเราได้ดีแล้ว. ปีติและโสมนัสอันมีกำลังมากได้เกิดแก่พระเถระผู้กำลังคิดอยู่อย่างนี้.

    ทีนั้น พระเถระคิดว่า เราควรบอกปีติและโสมนัสนี้แก่ใครหนอดังนี้ แล้วคิดอีกว่า สมณะหรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหมบางคน ไม่สามารถที่จะรับเอาความเลื่อมใสของเรานี้ทำให้เหมาะสมได้... เราจักกราบทูลความโสมนัสนี้แด่พระศาสดาเท่านั้น.
    พระศาสดาเท่านั้นที่จักสามารถรับเอาความโสมนัสของเราได้ ปีติโสมนัสของเรานั้นจงยกไว้ก่อน เมื่อสมณะเช่นเราร้อยหนึ่งก็ดี พันหนึ่งก็ดี แสนหนึ่งก็ดี ประกาศความโสมนัสอยู่ พระศาสดาของเราครองใจคนทั้งปวง ก็ทรงสามารถที่จะรับปีติโสมนัสนั้นได้ เหมือนบึงหรือซอกเขาไม่สามารถที่จะรับแม่น้ำใหญ่ ชื่อจันทรภาคา ซึ่งกำลังไหลบ่าท่วมไปถึง ๑๘ โยชน์ได้ มหาสมุทรเท่านั้นที่จะรับน้ำนั้นได้ แม่น้ำใหญ่ชื่อจันทรภาคาจงยกไว้ก่อน แม่น้ำเห็นปานนี้ร้อยหนึ่งก็ดี พันหนึ่งก็ดี แสนหนึ่งก็ดี มหาสมุทรย่อมรับไว้ได้หมด ความพร่องหรือความเต็มด้วยน้ำนั้นของมหาสมุทรนั้น หาปรากฏไม่ฉันใด พระศาสดาของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อพระสมณะเช่นเราร้อยหนึ่งก็ดี พันหนึ่งก็ดี แสนหนึ่งก็ดี กำลังประกาศปีติโสมนัสอยู่ ทรงครองใจคนทั้งปวงสามารถที่จะรับไว้ได้ สมณะพราหมณ์เป็นต้นที่เหลือย่อมไม่สามารถเพื่อจะรับโสมนัสของเราไว้ได้ เหมือนบึงและซอกเขาไม่สามารถที่จะรับแม่น้ำใหญ่ ชื่อจันทรภาคาไว้ได้ฉะนั้น.

    อย่ากระนั้นเลย เราจะกราบทูลปีติโสมนัสของเราแก่พระศาสดาเท่านั้นดังนี้แล้ว จึงเลิกนั่งคู้บัลลังก์สะบัดแผ่นหนังถือเข้าไปเฝ้าพระศาสดาในเวลาเย็น อันเป็นเวลาที่ดอกไม้หลุดจากขั้วหล่นลงมา เมื่อจะประกาศโสมนัสของตนจึงทูลว่า เอวํ ปสนฺโน อหํ ภนฺเต ดังนี้เป็นต้น.

    บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า เอวํ ปสนฺโน ความว่า มีความเชื่อเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้. อธิบายว่า ข้าพระองค์เชื่ออย่างนี้. บทว่า ภิยฺโยภิญฺญตโร ความว่า รู้ยิ่งกว่าหรือผู้มีความรู้ยิ่งไปกว่า. อธิบายว่า ผู้มีญาณยิ่งกว่า. บทว่า สมฺโพธิยํ ความว่า ในสัพพัญญุตญาณหรือในอรหัตตมรรคญาณ. ด้วยว่า พุทธคุณทั้งหลายมิได้มีส่วนหนึ่งต่างหาก ท่านถือเอาด้วยอรหัตตมรรคนั่นเอง.

    ความจริง พระอัครสาวกทั้งสองย่อมได้เฉพาะสาวกบารมีญาณด้วยอรหัตตมรรคนั่นเอง. พระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมได้ปัจเจกโพธิญาณ และพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมได้ทั้งพระสัพพัญญุตญาณและพระพุทธคุณทั้งสิ้น. ความจริง เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้นนั้นย่อมสำเร็จแก่ท่านเหล่านั้น ด้วยอรหัตตมรรคนั้นเอง. ฉะนั้น อรหัตตมรรคญาณจึงชื่อว่าสัมโพธิ.
    บุคคลผู้ยิ่งกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยอรหัตตมรรคนั้นหามีไม่.
    ด้วยเหตุนั้น ท่านพระสารีบุตรจึงทูลว่า ภควตา ภิยฺโยภิญฺญตโร ยทิทํ สมฺโพธิยํ ดังนี้.
    มาในอรรถว่าประเสริฐ ในประโยคว่า นัยว่า ท่านวัจฉายนะย่อมสรรเสริญพระสมณโคดมด้วยคำสรรเสริญอันประเสริฐ.๒-
    มาในอรรถว่าไพบูลย์ ในประโยคเป็นต้นว่า รัศมีอันไพบูลย์หาประมาณมิได้๓- ดังนี้.

    ย่อจาก อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร
     
  15. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับจิตบุญน้องใหม่ดวงที่ 124 และ 125 แล้วจ้าาาาา พร้อมทั้งครูผู้สอนทุกท่านด้วยค่ะ สาธุ๊:cool::cool::cool:
     
  16. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขออนุโมทนาบุญกับ จิตบุญดวงที่ ๑๒๕ ครูผู้สอนและผู้เกี่ยวข้องทุกท่านค่ะ
     
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การที่เด็กไม่มีความอายนั้น ก็เพราะเขายังไม่มี ตัว "ปรุงแต่ง" เพราะจิตถ้ายังไม่มีผู้บัญชาการ หรือตัวผู้รู้ ก็จะทําอะไร ได้โดยง่าย ก็เปรียบเสมือนเด็ก ก็คือ ผ้าขาว ยังไม่มีสีที่วาดลงไปในผ้าขาวนั้น จิตก็ยังเป็นจิตไร้เดียงสา แต่ผู้ใหญ่มีความอายนั้น ก็เพราะมีตัวผู้รู้ คือ "สติ" ที่จะทําอะไร ออกไป ก็ต้องคิดดูก่อน ก็เลย ไม่กล้าทําในสิ่งที่เด็กทําค่ะ ตอบครูตามความเข้าใจค่ะ สาธุ สาธุ
     
  18. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ขอแสดงความยินดีและอนุโมทนาจิตบุญดวงที่ 122,123,124,125 และคุณครูผู้สอนทุกท่านค่ะ สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พี่ภูโมทนาบุญกับคุณผึ้ง จบ.124
    กับครูผู้สอนและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านด้วยครับ
    พี่ภูขอให้คุณผึ้งจำจดอารมณ์วันที่จิตยกนี้ตลอดไป
    รักษาอารมณ์แบบนี้ให้ได้ตลอดไปนะ
    จิตถึงธรรมแล้วถึงเลย จิตไม่มีวันเสื่อมเหมือนสมองคนเรา
    แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ในระหว่างที่ยังมีลมหายใจ นั่นก็คือ สติ
    พยายามเจริญสติเป็นนิจ หรือทรงฌานเป็นวสี โดยการนึกถึงพระ
    ทำอยู่แค่เนี๊ยเอง อย่าไปทำอะไรให้มันยุ่งยากใจ
    และต่อไปนี้ขอให้เธอหมั่นทรงฌาน รอท่านพ่อไว้ เดี๋ยวท่านจะมาสื่ออะไรกับเธอเอง
    ต่อไปขอให้เธอพัฒนาจิตให้สูงยิ่งๆขึ้นไปกว่านี้ ก็คือ จิตพุทธะ ติดตามเฟสบุ๊คเฉพาะจิตบุญรุ่นพี่ต่อไป

    ลมหายใจของคนเรามันน้อยกว่าที่ไม่ได้หายใจ
    เราอยู่ในโลกนี้แค่อายุขัยของตน แต่จิตยังต้องเดินทางอีกยาวไกล
    ขอให้เธอสุขกาย สบายใจ ตลอดไปด้วยเทอญ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณผึ้ง จิตบุญดวงที่ ๑๒๔
    และคุณเกษมสิทธิ์ จิตบุญ ๑๒๕ ครูผู้สอนและผู้เกี่ยวข้องทุกท่านด้วยครับ
    สาธุๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...