จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    นิทานเรื่อง ผึ้งกับนกเขา

    วันหนึ่งในฤดูร้อน ผึ้งน้อยตัวหนึ่งรู้สึกกระหายน้ำจึงบินไปหาน้ำดื่มที่ริมลำธาร ด้วยความรีบร้อน มันจึงลื่นพลัดตกลงไปในลำธารแห่งนั้น น้ำในลำธารดูเหมือนจะเชี่ยวกราด ในความรู้สึกของผึ้งน้อย มันพยายามตะกายหาที่เกาะยึดเพื่อให้รอดพ้น จากการจมน้ำตาย แต่ว่าความพยายามไม่เป็นผล มันจึงปล่อยให้ตัวเองไหลล่องไปตามกระแสน้ำนั้น เวลานั้นมีนกเขาตัวหนึ่งบินมที่ลำธารเพื่อดื่มน้ำ ขณะจะบินโฉบลงดื่มน้ำ นกเขามองเห็นผึ้งกำลังกระเสือกกระสนอย่างใกล้จะหมดแรงลงเต็มที นกเขาผู้อารีจึงรีบบินไปคาบใบไม้แล้วหย่อนลงไปในน้ำเพื่อให้ผึ้งยึดเกาะ ผึ้งเกาะใบไม้ไว้ ก่อนที่จะพาตัวขึ้น มาอยู่บนใบไม้นั้น “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านเลย” ผึ้งน้อยบอกนกเขา หลายวันต่อมา ขณะที่ผึ้งน้อยกำลังออกหาน้ำหวานกิน มันเหลือบไปเห็นนายพรานคนหนึ่งกำลังเล็งธนูไปที่ ต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อมองตามไปผึ้งก็เห็นนกเขาผู้มีพระคุณของมันเกาะอยู่ที่ต้นไม้นั้น ผึ้งน้อยจึงรีบบินไปต่อยที่มือของนายพราน อย่างเต็มแรงจนหน้าไม้หล่นลงพื้นไป นกเขาตัวนั้นจึงรอดพ้นจากอันตราย ด้วยความช่วยเหลือของผึ้งผู้ที่มันเคยช่วยชีวิตไว้ นับจากนั้นมาทั้งสองก็คบหาเป็นเพื่อนสนิทคอยช่วยเหลือกันตลอดมา

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    “ผู้ที่ทำความดี ย่อมได้รับสิ่งดี ๆ เป็นการตอบแทนเสมอ“​

    จากนิทานอีสป สำหรับเด็ก นิทานผึ้งกับนกเขา - YouTube
     
  2. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    โอ...อ่านแล้วดีนะค่ะ คุณผึ้งน้อย นับว่าชายผู้นี้เขาช่างโชคดีจริงๆ ที่ถึงจะมีเคราะห์กรรม แต่ก็บุญยังมี..ที่หลวงตามาโปรดให้ทางสว่าง....ไม่งั้นคงต้องตายค้างภพค้างชาติเป็นแน่แท้ แถมยังคิดไม่ตกว่าทำไม๊ๆๆๆๆๆ คิดจนจิตเป็นริดสีดวงก็คิดไม่ออก เพราะไม่มีดวงตาเห็นธรรม โมทนาสาธุ...ค่ะ​
    :cool:
     
  3. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    อ๊าก......นิทานๆ ^^ อนุโมทนาสาธุค่ะ ผึ้งชอบธรรมะแบบนี้จ้ะ อ่านแล้วเข้าใจง่าย มันถูกจริตกับเด็ก ธรรมใดที่สามารถทำให้ผู้รับสดับได้ ธรรมนั้นจึงเป็นกุศล ธรรมใดยากเกินผู้สดับจะรับฟังได้ ธรรมนั้นไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดเลย ขออีกนะคะ คุณ....อาไรดี....คุณลุง◎ (>.<)!!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ji.gif
      ji.gif
      ขนาดไฟล์:
      90 KB
      เปิดดู:
      36
  4. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    พี่ตรี...วันนี้กระทู้เงียบเหงาหรือเปล่าคะ นานๆจะมารออ่านธรรมสักที ช่วงนี้มีเวลาว่าง เมื่อผึ้งว่างก้อชอบเข้ามาอ่านหลายๆข้อความจากในที่นี้ ทำให้ผึ้งได้ข้อคิด และแนวทางการดำเนินชัวิตไม่มากก้อน้อย เมื่อกำลังใจน้อย เมื่อ จิตไม่นิ่ง เมื่อเราหลงไปกับสิ่งเร้ามากๆ เมื่อเข้ามาที่นี่ เหมือนจิตได้กลับบ้าน ทุกข้อความล้วนมีประโยชน์ทั้งนั้น แล้วแต่ว่าใครจะหยิบส่วนไหนไปใช้ ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ถูกก้อไม่มี ผิดก้อไม่มี มีแต่จิตที่ปรุงแต่งว่าถูก ว่าผิด อย่าก้าวก่ายจิตกันเลย ผึ้งก้อโพสไปตามปะสาผึ้ง กะโหลกกะลา แต่ผึ้งก้อแอบเอาธรรมะดีๆของพี่ๆ มาปรับจิต และเดินตามทางที่ควรเดิน ผึ้งเป็นคนขี้สงสัยค่ะ ชอบซัก ชอบถาม ขี้เกัยจเก็บไว้ มันเยอะ เดี๋ยวเมมโมรี่เต็ม 55555+ มีครูท่านหนึ่งได้สอนผึ้งว่า " เจ้าจะสงสัยทำไมกับสิ่งที่มีผู้ที่เคยผ่านมาแล้ว เจ้าแค่เดินตามทางที่เค๊าถางไว้ให้ดีแล้ว เจ้าแค่เดินตาม แต่คนที่บุกเบิกทางนี่สิลำบากแค่ไหนกว่าจะพบทางออก"ผึ้งเลยเดินอย่างเดียว เพราะตอนนี้ทางเตียน ขี้เกียจแวะข้างทาง มันเสียเวลา จริงไม๊คะพี่ตรี อิอิ
     
  5. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    ว่าแต่ไอ้ตัวที่อ้างอิง ของพี่ตรี กับข้อความของผึ้งมันสำพันธ์กันตรงไหนหว่า 55555+ มั่วอีกแล้ว อภัยให้น้องด้วยนะคะ พี่ตรี น้องไม่รู้จะคุยกับใครก้ออ้างอิงไปเรื่อย งิงิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    พอโตขึ้นมาหน่อย ด้วยความปราณี ต 65321 อะไรก็ว่าไป ละเอียดขึ้นมาหน่อย

    คิดสิ่งใดไม่ได้ เขาก็จะไปคว้าเอาถ้อยคำ ที่ประกอบด้วยบทกลอนธรรมะ อันสละสลวย

    พอโตขึ้นอีก ก็จะศรัทธาในคำสอนปฏิปทาครูบาอาจารย์ เป็นแบบอย่าง

    พอเริ่มโตขึ้นมาอีกด้วยวุฒิภาวะทางจิต ก็จะสนใจศึกษาในพุทธวจนะอันสูงค่า
    เพื่อเทียบเคียงในเหตุและผลการปฏิบัติ เพื่อดำเนินไปอย่างถูกต้อง

    ดังนั้น ที่บอกว่าถูกจริตกับเด็ก อะไรนั้น
    ทำไมจะไม่รู้ล่ะขอรับ เข้าไปนั่งร้านอาหารตามสั่งทีไร นึกสิ่งใดไม่ออก
    ก็ผัดกระเพรา พิเศษไข่ดาวด้วย นั่นล่ะครับ ^^

    เรื่องจริตนิสัย ดูกันง่าย มันอยู่ที่หัว...

    <IMG src='http://www.upyim.com/wp-content/uploads/2012/02/ประวัติ-กพล-ทองพลับ.jpg' width=100>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2013
  7. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ไอ้เจ้าประโยค
    เนี้ยมันคืออะไร ผมไม่เข้าใจอ่ะ ช่วยขยายความซักหน่อยเถิดพ่อคุณ หรือว่าผมอ่านข้ามตรงไหนไปล่ะนี่
     
  8. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    อืม... ลืมไปตกเลข 4 กับ 0 เพราะเริ่มด้วย 6

    ข้ามไปเถอะครับดีแล้ว ไม่มีอะไรมาก ^^
     
  9. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    ผึ้งน้อย....นายอย่าเอ๋ยชื่อเราสิ (แปลงร่างอยู่....หมดกั๊นน)....เดินไปเรื่อยตามจริตจิตของเจ้านั้นแหละ...ไปเรื่อยๆ เถิด ดีแล้วหละ ธรรมะคือการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ....อะไรที่อ่านแล้วมันตำใจตำจิตเรา ก็ไปโลด ....ใครว่า?พอหันหน้าเข้าทางธรรมแล้วจะต้องเคล่งต้องเพ่งให้มันเหนื่อยปอดเล่า....ระลึกถึง คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์ ให้มีกำลังใจและ มีดวงตาเห็นธรรม ขอให้ลูกอย่าหลงทาง หลงภพ หลงชาติ...ถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้เทอญ....ของจริง จะถึงไม่ถึง ก็ช่างเถอะ ไปฟังเพลง ดีที่สุดแล้ว ของหิน เหล็กไฟ นะ ....ผึ้งน้อย​
     
  10. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ผึ้งน้อยเขาชอบนิทาน ทำไมไม่แนะนำ นิทานชาดก

    ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ ยกเอามาเพื่อแสดงแก่พระสาวก
    เป็นเรื่องราวในอดีตชาติของพระองค์ ที่บำเพ็ญบารมีพระโพธิสัตว์

    เสร็จแล้ว ในตอนท้ายของนิทานชาดก พระองค์จะแสดงอริยสัจ
    และมีผู้สำเร็จธรรม เป็นจำนวนมาก ในบางชาดก

    นั่นแหละ ผึ้งน้อยเขาชอบ คือสิ่งที่ควรเอื้อนเอ่ย แนะนำหรือบอกทาง ต่อผึ้งกัลยาณี
     
  11. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    ชอบหมดแหละจ้านิทานก้อชอบ เพลงก้อชอบ โดยเฉพาะ "กังนัมสไตล์ " มันโดนใจวัยรุ่น คุณพี่มณีตรี อย่าแนะนำเพลงหินเหล็บไฟจิ เดี๋ยวเค๊าก้อรู้อายุหมดร๊อก >.<
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2013
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทำจิตให้นิ่งๆกันสิ ปัญญาญาณก็จะกลับมา
    เมื่อจิตสำรวมตัวเดียว ก็สุขได้เมื่อนั้น
    ทรงฌานให้มันชินสิ อย่าลืมอารมณ์จิตที่ยกกันใหม่ๆสิ
    แค่นำสติมาอยู่กับจิตที่ยกไปแล้ว มันจะทุกข์กันไหม
    คนเราทุกข์เพราะจิตมันไม่นิ่ง พอจิตไม่นิ่งก็ตกไปอยู่กับกระบวนของความคิด
    เมื่อตกไปอยู่โลกแห่งความคิด ความฟุ้งซ่านก็ตามมา
    ในที่สุดจะพ้นทุกข์กันไหม

    คนมันทุกข์เพราะเอาสติออกห่างจิตกันนี่เอง
    จำกันได้ไหมว่า ทำจิตเกาะพระกันทำไม
    ถ้าไม่ใช่ฝึกจิต ฝึกจิตจากไม่นิ่งให้มันนิ่ง
    โดยการเอาสติ+จิต=สมาธิหรือฌาน=ปัญญา ใช่ไหม?
    ผู้ปฎิบัติอย่าไปหลงทางกัน

    อย่าลืมนะ จิตอริยบุคคลนั้น ต้องต่างกับจิตปุถุชน
    จิตเผลอหรือตกฌานคือจิตปุถุชน แต่จิตอริยบุคคลนั้น ต้องสำรวมจจิตหรือทรงฌานเป็นนิจ
    ทรงฌานเพื่อให้เกิดปัญญา มิใช่ไปยึดฌาน
    ในขณะที่จิตทรงฌาน เวลามีสิ่งกระทบจิต แทบทำอะไรจิตไม่ได้เลย
    เมื่อจิตหลุดพ้นไปแล้ว เหลือแต่สติปัจจุบันเท่านั้น ที่ยังไม่พ้น
    เพราะฉะนั้นคอยประคองสติแค่นำจิตไปอยู่กับจิต หรือหมั่นเจริญสติภาวนา
    การเจริญสติก็คือ ทำสติให้เกิดมากๆ จิตจะได้นิ่ง จิตจะได้สงบสุข
    เมื่อจิตนิ่งหรือเป็นเป็นสมาธิ ปัญญาก็มีพร้อมอยู่แล้ว
    เมื่อจิตไม่นิ่ง สติก็ตามสิ่งกระทบไม่ทัน เพราะแค่ตามกำลังสติธรรมดาๆนั้น
    มันไม่เพียงพอที่จะไปรู้เท่าทันกิเลส ถึงรู้ทันแต่รู้ช้ามาก แล้วจะไปเสียเวลาทำไม
    เป็นถึงจิตบุญกันแล้ว จะไปเสียเวลาไล่ตามกิเลสทำไม๊ เพราะธรรมอื่นหรือกิเลสต่างๆ
    มันไม่พ้นกฎไตรลักษณ์ หรือก็แค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และก็ดับไป มันเป็นธรรมดาอยู่แบบนี้
    จะดูกิเลสกี่ครั้งๆก็เป็นเช่นนี้
    ทำจิตเกาะพระเพื่อฝึกสติ ฝึกสติเพื่อฝึกจิตให้นิ่ง เพื่อจิตเป็นสมาธิหรือฌาน เป็นปัญญา

    อย่าลืมนะ สติทำงานร่วมระหว่างกายกับจิต
    แต่สติมันจะทำงานส่วนหน้าร่วมกับสมอง(เป็นส่วนของร่างกาย)และอายตนะนอก-ใน
    นี่คือธรรมชาติที่เขาสร้างมาให้รับรู้ วิ่งตาม ความรู้สึกครบถ้วน
    และมันทำงานไวมาก สติน้อย ปัญญาอ่อน ตามมันไม่ทันหรอก
    การรู้เท่าทันกิเลส หรือเห็นการเกิด-ดับของจิต(เจตสิก) จำเป็นต้องใช้ปัญญามากๆ
    ยิ่งปัญญาญาณก็ยิ่งดี เพราะเห็นการเกิด-ดับของกิเลสหรือจิตได้เป็นอย่างดี

    ฝึกสติ ฝึกจิต ก็เพื่อให้จิตนิ่ง จิตเกิดสมาธิ เกิดปัญญา หรือปัญญาญาณ
    เพื่อดับกิเลสหยาบไปจนถึงกิเลสละเอียด ไม่ใช่หรือ?
    แต่ถ้าไม่ได้ผล แล้วจะไปฝึกให้เสียเวลากันทำไม
    เพราะในเมื่อจะนำสติไปเที่ยววิ่งไล่จับกิเลสมัน
    จิตบุญบางท่านบอกว่า จะไปเสียเวลาไล่จับมันทำไม๊ เพราะเดินมรรคมายาวไกลแล้ว
    เหมือนก่อนยังไม่ได้ฝึกสติ ฝึกจิตกัน จิตมันยังเป็นเด็กน้อยๆ ที่ชอบจับอึใส่ปาก
    เพราะความไม่รู้ และเมื่อมาเป็นจิตบุญแล้ว เสมือนจิตที่โต แล้วยังจะไปกินอึหรือยึดกิเลสอีกหรือ?
    เอาให้ดีๆนะ ไม่หน๋อมแน้มนะ ไม่ปัญญาอ่อนนะ
    ปัญญาในทางธรรม เกิดหลังสมาธินะ ไม่ใช่ปัญญาทางโลกนะ คนละเรื่องกัน
    อย่าเอาสติไปชนกิเลสเลย เพราะเหมือนนำไม้ซีกไปงัดไม้ซุง
    จำได้ไหม ไม่ว่าจะมาสายไหน ต้องเดินตามมรรคมีองค์ ๘
    จิตบุญมีกำลังใจ มีพลังจิต มีปัญญากันขนาดนี้ แล้วทำไม ไม่ใช้เป็นประโยชน์
    สติเกิดแค่ระงับกิเลสชั่วคราว(กิเลสหมอบ)ชำระกิเลสหยาบ ฌานชำระกิเลสกลาง
    ปัญญาชำระกิเลสละเอียด

    แล้วจะไปฝึกกันทำไม๊ ในเมื่อรู้ว่าสติมันยังไปยึดกาย ไปเอาทุกข์
    ขอพี่ภูบอกหน่อยนะว่า ไหนเป็นอริยบุคคลกันแล้ว ทำไม๊ จิตไม่ต่างกับปุถุชน
    ปิดกระทู้หนีดีไหม
    จิตบุญที่มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า บอกให้ทรงฌานเป็นปกติ หูแตกกันรึไง๊
    ถ้าเป็นอย่างนี้นะ ไม่ต้องฝึกจิตเกาะพระก็ได้
    ปล่อยกาย ปล่อยจิตกันแบบนี้

    จิตบุญถือเป็นจิตผู้ใหญ่แล้ว ดูแล รับผิดชอบสติกับจิตตนเองยังไม่ได้เลย
    ทุกข์เกิดทีไร จะมาร้องทำไม๊ พวกที่ชอบเผลอสติ
    พระอรหันต์ท่านยังเดินจงกรม ทำสมาธิ เข้านิโรธฯ เพราะอะไร
    ถ้าไม่เพราะเจริญสติภาวนา ขืนปล่อยสติไปชนกับควาย(กิเลส)มีหวังตายกับตาย
    เคยรู้กันบ้างไหม ว่าเรา(สติ)นั้น แพ้กิเลสมานับชาติไม่ถ้วน (ยังไม่เข็ด)
    พระพุทธเจ้าให้กรรมฐาน 40 กองมาทำไม ถ้าไม่ใช่ ทำให้จิตนิ่ง เพื่อสร้างสติ สร้างปัญญา ไว้ปราบกิเลส
    แล้วทำไม๊ เอาสติเพียวๆไปวิ่งชนกิเลสแก่ๆ มันจะไหวเร๊อะ

    จิตบุญอ่อนตรงไหน ซ่อมตรงนั้น...

    ปล.ใครมีหน้าที่ทำอะไร ก็ทำไป อย่าไปสนใจเสียงนก เสียงกา
    แต่ถ้ารู้ตัวว่าทำผิดธรรมชาติ รีบกลับใจซะไวๆ

     
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    คุณค่าของคนอยู่ที่ใจ

    คุณค่าของไฟ อยู่ที่ความร้อน

    คุณค่าของค้อน อยู่ที่น้ำหนัก

    คุณค่าของผัก อยู่ที่วิตามิน

    คุณค่าของดิน อยู่ที่ความอุดมสมบูรณ์

    คุณค่าของบุญ อยู่ที่ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ.

    ธรรมะของ หลวงปู่บุดดา ถาวโร
     
  14. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    ท่าน zero รู้สึกไหม๊...? ว่ากำลังนั่งเรือลำเดียวกันกับเรา มันถึงได้วิ่ง ลิ้ว ๆๆๆๆๆเร็วมาก เพราะมัน "เบา"ผู้โดยสารน้อย
    ปล.ขออภัยท่านอย่าคิดมากนะก๊ะ ธรรมะต้องไม่ให้ตึงเคลียด เราเลยรู้สึกว่าต้องผ่อนคลาย
     
  15. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ผู้เป็นนายเรือ จะต้องรู้จริตนิสัยของลูกเรือ ใครน้ำหนักมากไม่ควรเอามานั่งหน้า

    เพราะจะทำให้ เกิดแรงกด ที่หน้าเรือจนเกินงาม
    หน้าเรือไม่เผยอ กับแรงเสียดของผืนน้ำ และแรงลม

    ดังนั้น ควรเอาไปไว้ที่กับนายท้ายเรือ เพื่อไว้ควบคุมทิศทางหางเสือ
    จะทำให้เรือแล่นไปได้เร็ว เพราะการวางตำแหน่งของบุคคลหรือฝีพาย ได้ถูกกับจริตนิสัยทางธรรม

    สำคัญที่นายเรือ จะต้องรู้ใจปลุกใจฝีพายลูกเรือ นั้นแล

    ขอตัวก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2013
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ถึงรู้ร้อยเรื่องพันเรื่อง ก็ไม่สู้รู้เรื่องดับทุกข์

    โลกสว่างด้วยแสงไฟ ใจสว่างด้วยแสงธรรม

    แสงธรรมส่องใจ แสงไฟส่องทาง

    ผู้สนใจธรรม สู้ผู้รู้ธรรมไม่ได้

    ผู้รู้ธรรม สู้ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ได้

     
    ผู้ปฏิบัติธรรม สู้ผู้เข้าถึงธรรมไม่ได้.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2013
  17. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    ง่า......งั้นผึ้งต้องไปนั่งท้ายสุดเลย เพราะอ้วนนนนนนนนมว๊าก !! >.<

    ขำๆน๊า.....อย่าเครียด ธรรมะ มาพร้อมขำขัน ผู้ฟังเบิกบาน คนอ่าน สบายใจ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ดพ.gif
      ดพ.gif
      ขนาดไฟล์:
      11.9 KB
      เปิดดู:
      217
    • fhuieris.gif
      fhuieris.gif
      ขนาดไฟล์:
      6.2 KB
      เปิดดู:
      195
  18. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    น้องผึ้งกลับบ้านได้แล้วลูก กลับไปฝึกสติ ดูกายดูจิตเราดีกว่า มืดค่ำแล้ว ....ทางมันเปลี่ยว ..อันตราย...เจอกันที่ FB ดูกายดูจิตอย่างเดียวนะ อย่าลืม!!! บายบาย
     
  19. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    วิ่งๆๆๆๆ ตามพี่ตรีกลับบ้าน.........พาแม่ไปสวดมนต์ไหว้พระก่อนจ้า บายจ้า ^^
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ง่า.gif
      ง่า.gif
      ขนาดไฟล์:
      65.8 KB
      เปิดดู:
      122
  20. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    วันนี้ วันคุณพระ

    ให้พากันสำรวจตรวจใจตนเองในทุกๆวัน รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในเพลาเช้า ก็ให้เริ่มเลย เริ่มจับลมหายใจ รู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออก
    พอใจเริ่มนิ่ง ก็นึกแผ่เมตตาให้ตนเองก่อนว่า ขอเราจงอยู่เย็นเป็นสุข
    เราจักไม่ขอเบียดเบียนผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ว่าคน หรือสัตว์ ขอเราจงพ้นจากความทุกข์
    ทั้งปวง เราจักไม่ไปเบียดเบียนผู้หนึ่งผู้ใดเลย เราจักไม่อิจฉาริษยาผู้หนึ่งผู้ใดเลย
    เราจักวางเฉยต่อกฎของกรรมที่เราได้รับ แลจักวางเฉยไม่ซ้ำเติมใครๆ
    ในยามที่เขาทั้งหลายเหล่านั้นได้รับผลกรรม หรือพลาดท่าพลั้งเผลอไป ขอกาย วาจา ใจ ของเราจงเป็นสุขๆเถิด...
    แล้วก็น้อมใจแผ่เมตตาออกไปหาผู้อื่นอีกว่า
    ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรต่อกันแลกันเลย
    อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันแลกันเลย อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
    จงมีแต่ความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นไปจากทุกข์ โทษ เวรภัย ทั้งสิ้นเถิด...

    นี่เป็นการรักษา แลควบคุมอารมณ์ใจของเรา อารมณ์มันจักสบายยยยย โปร่ง เบา เย็น อิ่ม สบายใจ
    (ทำกำลังใจน้อมไปตามนี้จริงๆด้วยนะ ไม่ใช่สักแต่ว่านึกพูดไปล่ะ) แล้วต่อมาก็ยกความตาย ขึ้นมาพิจารณา
    ควบไปกับการเห็นว่าร่างกายนี้มันแสนสกปรก น่ารังเกียจ (ด้วยอสุภะรรมฐาน, กายคตานุสดิ)
    แลเราไม่ต้องการร่างกายนี้อีก ด้วยเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของโลก เป็นของธาตุ ๔
    เราบังคับมันไม่ได้เลย มีแต่ความเสื่อมสลายนำไปๆ พิจารณาไปให้เข้าใจ
    แลยอมรับ แลวางเฉยในกายเรา กายบุคคลอื่น แลโยงไปถึงวัตถุธาตุทั้งปวง
    ว่าเราไม่ต้องการกระไรอีก พร้อมกับให้เกิดปีติอิ่มใจ สุขในในศีลของตน

    แลตั้งจิตมั่นคง แช่มชื่นเบิกบานต่อคุณพระรัตนตรัย ว่าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกอันสูงสุด ของเราจริงๆ
    สามารถกำจัดทุกข์เข็ญเวรบาปของเราได้จริง กำจัดสรรพทุกข์ในโลกได้จริง กำจัดภัย มหันตภัยนานาประการ
    กำจัดสรรพภัยในสังสารวัฏนี้ได้จริงๆ (ใช้ปัญญาใคร่ครวญพิจารณา) ก็จักบังเกิดความอิ่มใจ สุขใจ มั่นใจ
    ไร้มลทินวิจิกิจฉาในคุณพระฯ แลเอาจิตทรงอารมณ์ยอมรับนับถือพระปรารถนาพระนิพพานจุดเดียว
    พร้อมกับนึก อาราธนาองค์สมเด็จพ่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระคุณปู่ปาน พระคุณพ่อฤาษีฯ
    ให้เห็นองค์ด้วยความปีติ เบิกบานใจ นึกเห็นตนเองเข้าไปใกล้ทกพระองค์ท่าน ก้มลงกราบนมัสการ
    น้อมถวายคุณงามความดีแด่พระองค์ท่าน พร้อมตั้งใจว่าหมดลมหายใจเมื่อใด
    ขอมาอยู่กับสมเด็จพ่อฯ อยู่กับพระคุณพ่อฯ ที่พระนิพพานที่เดียว (พ่ออยู่ไหน ลูกอยู่นั่น)...
    ยังไม่จบนะ

    พิจารณาโทษของกาม โทษของความโกรธ พยาบาท ว่ามันต้องทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด
    มีแต่ทุกข์สารพัด แล้วตัดออกจากอารมณ์ใจเลย, ต่อมาก็พิจารณาความมัวเมาในอารมณ์สมาธิ
    ความอยากโอ้อวดสมาธิของตนให้ผู้อื่น ฟัง (เพื่อกระไรกัน..อยากให้เขาชม อยากให้เขายอมรับนับถือตน
    ว่าเก่ง ว่าดี ว่าเป็นผู้วิเศษกระนั้นรึ? บ้า..!) ว่าเป็นปัจจัยของความทุกข์ วุ่นวายใจ,
    ตัดความถือตัว ถือตน ทะเยอทะยานออกไปจากใจ ด้วยมันสร้างความบ้า
    ความหลงให้เกิดทุกข์ใจกับเรามามากแล้ว เราไม่ต้องการ, ตัดความฟุ้งซ่านวุ่นวายใจในภพชาติทั้งปวง
    ด้วยกำลังใจ อารมณ์ใจที่เด็ดขาด แน่นอนลงไปเลย ก็จักนิ่งสงบเย็น, แลปฏิเสธความต้องการในมนุษย์โลก...
    เทวโลก พรหมโลก ทั้งปวง..ยินดี ยอมรับนับถือพระนิพพานจุดเดียว ตั้งอารมณ์ใจไว้ที่พระนิพพานที่เดียว เลย
    นั่นแล นิ่งไว้ หยุดไว้ที่พระนิพพาน ว่าง วาง เย็นอยู่ที่พระนิพพาน ที่นี่ที่เดียวที่เราต้องการ
    นิพฺพาน สุขัง นิพฺพาน สุขัง นิพฺพาน สุขังฯ

    ให้อารมณ์ใจสบายยย สบ๊ายยย สบายยยย...เท่านี้ล่ะ จิตเราก็ไม่ส่งออกนอก
    ก็ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องวุ่นวายกับใครๆในโลกนี้เลย นี่ล่ะหัวใจพระพุทธศาสนาแหละ
    "เว้นความชั่วทุกอย่าง สร้างแต่ความดี ชำระจิตให้ผ่องใส" เท่านี้ล่ะสบายย วาง ว่าง โปร่งเบาจริงๆ..!!

    พระธัมมสรโณ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๖
    วัดเขาแร่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...