จริงหรือไม่ สุราเพียงหนึ่งจอก ทำให้จิตปราศนิวรณ์ได้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย aapinyah, 12 มีนาคม 2013.

  1. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    มีท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งได้กล่าวกับข้าพเจ้าไว้ว่า

    "ข้ารู้ว่า การเสพสุราเป็นการผิดศีลข้อ 5 แต่ข้ามิได้เสพอย่างมึนเมาโดยที่ไม่รู้สึกตัวเลย ข้าว่าสุราเพียงหนึ่งจอกนี้แล ทำให้จิตของข้ามิได้มิอคติใดๆ ต่อผู้ใด แม้กระทั่งอาหาร หากแต่ว่าหากข้าเสพมันไปมากกว่านี้ อาจจะไม่ดีนัก เพราะอาจทำให้หลับๆ โดยมิรู้สึกตัว ข้าจำเป็นต้องรู้สึกตัวตลอด แม้ว่าข้าจะบังคับร่างกายของข้าไม่ได้มากก็ตาม เช่น ตักกับข้าวไม่ให้หกเลอะเทอะ หรือเดินให้ตรงทางแบบปกติ ข้าทำไม่ค่อยสมบูรณ์ดีนัก แต่ข้ามีสติดีกว่าปกติ เพราะนิวรณ์ทั้ง 5 มาหาข้าไม่ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า..."

    ท่านผู้เฒ่าผู้นี้ ในสายตาข้าพเจ้า ที่ได้รู้จักมาเกือบเท่าอายุข้าพเจ้า ท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง เวลาใด ที่ว่างเว้นจากงานการ ข้าพเจ้ามักเห็นท่านสวดมนต์บ้าง เดินจงกรมบ้าง นั่งขัดสมาธิบ้าง เป็นประจำ เมื่อท่านผู้เฒ่าพูดเช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสงสัยว่า จะเป็นการผิดศึลข้อที่ 5 เต็มๆ หรือไม่ (แต่ท่านผู้เฒ่าผู้นี้ มิได้เสพทุกวันดอก เดือนละครั้ง สอง-สาม ครั้ง น่าจะได้)

    อยากรบกวนถามผู้รู้ทั้งหลายว่า ผิดศีลหรือไม่ อย่างไร หากผิดตรงๆ ข้าพเจ้าจะได้นำสาส์นนี้ ที่เป็นลายลักษณ์อักษรไปเรียนท่านผู้เฒ่าตามตรง เผื่อจะได้มีอานิสงค์ที่ได้ชึ้แนะทางสว่างกับเขาบ้าง...
     
  2. รัศมีสีทอง

    รัศมีสีทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +391
    อบายมุขก็คืออบายมุข เพราะงั้นจะบัญญัติศีล 5 มาเพื่ออะไร ใครที่ต้องการพ้นทุกขืจริงๆ ต้องงดเว้นให้ได้
    มันเป็นคำพูดของคนที่พูดเข้าข้างตนเองเพื่อสนองความอยากให้กับตนเอง ฝืนอะไรฝืนได้ แต่ฝืนคำสอนของพระพุทธองค์ก้ลองดู ถ้ามันดีจริงพระพุทธองค์ตองบอกให้ลองมาแล้ว
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ถ้ายังต้องอาศัยเวลาว่างนั่งขัดสมาธิอยู่ ก็ยัแสดงว่ายังฝึกจิตได้ไม่ถึงที่สุด
    ถ้ายังต้องอาศัยธาตุ 4 เพื่อระงับนิวรณ์ ก็แสดงว่ายังฝึกจิตได้ไม่ถึงที่สุด

    สิ่งใดเกิดที่จิต สิ่งนั้นดับลงที่จิต
     
  4. sornsill

    sornsill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +515
    ศีลก็คือศีล แม้หยดเดียวศีลก็ขาด ขาดจากความดีไป
     
  5. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    มิจฉาทิฐิ
     
  6. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    ข้าพเจ้าขอขอบคุณในเมตตาจิตที่ได้ชี้แนะทางสว่าง...ทุกท่าน

    และเพียงแค่สงสัย จึงอยากถาม

    เพราะท่านผู้เฒ่าบ้านเราส่วนมาก เมื่อยามชรา หากได้ซดสุราสักจอก ท่านว่าเป็นยาและต่ออายุ มีเรี่ยวแรงในการทำงานในวันรุ่งขึ้น

    อีกประการ...หากใจมีเรื่องทุกข์ ก็เลยใช้สุราดับทุกข์

    สาส์นของท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะขอนำไปบอกต่อเพื่อเป็นวิทยาทาน

    สาธุ....
     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อันนี้แหละ "สีลพตปรามาส" แท้ๆ เลย
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    การดับทุกข์ให้สิ้นไป ตามทางที่พระพุทธองค์สอนนั้น ให้ดับที่ใจ ไม่ใช่ให้ดับที่ร่างกาย

    เพราะการไปตามใจร่างกาย นั้นคือบ่อเกิดของทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด
    การเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของที่รัก ประสบสิ่งที่ไม่น่ายินดี ไม่ได้ในสิ่งที่น่ายินดี ทั้งหลาย ทั้งหมดทั้งสิ้น เกิดจากการไปตามใจความอยากของร่างกายทั้งนั้น

    ทุกข์ที่ใจ ดับที่ใจ
     
  9. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    ขอขอบคุณท่านมากจากใจจริง...

    หากท่านเมตตาอีกครั้ง โปรดให้ความกระจ่างกับคำนี้ "สีลพตปรามาส" ต่อข้าผู้น้อยที่มีปัญญาอันน้อยนิดนี้ด้วยเถิดท่าน

    สาธุ...
     
  10. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    สาธุ ๆ ๆ ๆ....

    ข้าพเจ้ามีข้อสงสัยอีกประการหนึ่ง โปรดให้อภัยที่ช่างสงสัยหรือเกิน นิวรณ์ 5 ที่มีอยู่ในตัว คงกำจัดได้อย่างยากเย็น

    หากจำเป็นต้องดื่มสุราที่ดองยาด้วย เพื่อความจำเป็นบางอย่างในการรักษาร่างกาย ถือว่าเป็นการผิดศีลหรือไม่

    ขออนุโมทนาในเมตตาของท่าน ที่ได้เข้ามาให้ความกระจ่างในข้อสงสัย บุญกุศลใดๆ ที่เกิดนี้ ขอแผ่ถึงท่านและครอบครัวด้วยเทอญ...
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ขอตอบรวมทั้ง 2 ข้อเข้าด้วยกัน

    สีลพตปรามาส คือ การยึดถือข้อปฏิบัติ ข้อพรต ข้อวัตร ของความเชื่อนอกพุทธศาสนา หรือ แม้แต่ข้อปฏิบัติ และ ตัวศีลในพระพุทธศาสนา ว่าการยึดถือในสิ่งเหล่านี้ จะทำให้หลุดพ้นได้

    แท้จริงแล้ว ศีล ไม่ทำให้หลุดพ้น แต่การจะหลุดพ้นนั้น เกิดจากการปฏิบัติธรรมให้เกิดปัญญาเห็นชัดเจน ถึงพฤติกรรมต่างๆ ของจิต เห็นจนละเอียดจนไปเห็นถึง กลไกที่พาไปเกิด และหยุดสิ้นกระบวนการดังกล่าวไปได้

    ดังนั้นแล้ว สิ่งใดเกิดที่จิต สิ่งนั้นดับลงที่จิต

    กลไกการพาไปเกิดใหม่ เกิดที่จิต การดับกลไกนี้ ก็ย่อมดับที่จิต ไม่ใช่ดับที่ร่างกาย ไม่ใช่ดับที่การปฏิบัติทางร่างกาย ไม่ใช่ดับที่การไม่รับธาตุ 4 บางชนิด เข้าร่างกาย

    ส่วนเรื่องของยาดองกับเหล้า
    ตนเองย่อมรู้จิตของตนเองดีที่สุด ว่ามีเจตนาใด มีความต้องการใด
    หากจิตเรารับรู้ว่าเป็นยา กินเพื่อเป็นยารักษา โดยไม่มีเจตนาอื่นเจือปน
    เมื่อไม่มีความต้องการเสพให้มัวเมา จิตย่อมไม่มีอะไรผูกพันกับเหล้า ที่เป็นเพียงของเหลว ธาตุ 4
    ก็เป็นเพียงกิริยาอาการของการรับธาตุ 4 เข้าร่างกาย เพื่อรักษาร่างกายให้สมบูรณ์ เท่านั้นเอง

    แต่หากจุดประสงค์ในการเสพนั้น มีเพื่อความมัวเมา เพื่อสนองความอยาก เพื่อกระตุ้นให้เกิดสภาวะของความัวเมา ความเคลิบเคลิ้ม ความเพลิดเพลิน ให้เกิดในจิต เพื่อที่จิตจะได้เข้าไปเสพอารมณ์นั้น นั่นแหละ คือการผิดศีล เพราะเป็นการตามใจกิเลสตัณหา เสพเพื่อสร้างสภาวะ สร้างสภาวะเพื่อเสพติด
     
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
  13. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    สาธุ ๆ ๆ ...ขอบคุณที่ให้ความกระจ่าง...
    หากข้าพเจ้าเดาไม่ผิด ความหมายนี้คือส่วนหนึ่งของการละขันธ์ทั้ง 5 ใช่หรือไม่....

    ขอบคุณ ๆ ๆ ๆ
     
  14. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    อ่านแล้วซาบซึ้ง คำเดียวสั้นๆ คือรักษาใจ.....
    เป็นความหมายที่กระจ่างใสแจ๋ว...

    ข้าพเจ้าจะนำสาส์นที่ท่านได้กล่าวมา ไปบอกกล่าวกับท่านผู้เฒ่าชราทั้งหลายที่อยู่ในละแวกเดียวกันให้เข้าใจ แต่ข้าพเจ้ายังติดอยู่นิดนึง ตรงที่ว่า ด้วยปัญญาอันน้อยนิดของข้าพเจ้านี้ จะประสบผลสำเร็จในการส่งสาส์นได้มากแค่ไหน...

    ทั้งนี้เพราะท่านผู้เฒ่าบ้านเรา ต่างก็มีเหตุผล เนื่องเพราะอาบน้ำร้อนมาก่อน...(บวกกับอากาศที่บริสุทธิ์) ทำให้คิดไปว่า มีอายุยืนยาวเพราะซดสุราครั้งละจอก เรื่อยๆ ....

    ขออนุโมทนา...กับวิทยาทานที่ท่านให้มา
    สาธุ ๆ ๆ
     
  15. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ และทำงานเป็นปกติตามธรรมชาติ แต่อย่าได้ยึดถือเป็นสาระสำคัญ เพราะขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา

    การยึดถือในขันธ์ นำมาซึ่งความทุกข์ทั้งมวล และเป็นบ่อเกิดของชาติภพ
    การรังเกียจในขันธ์ ปฏิเสธขันธ์ ก็นำมาซึ่งความทุกข์ และเป็นบ่อเกิดของชาติภพเช่นเดียวกัน
    ดังเช่นที่พระพุทธองค์แสดงธรรม ถึงทางสายกลาง ที่ไม่เอนเอียงไปในทางสุดโต่งทั้งสองฝั่ง

    ขันธ์ทั้งหลายนั้นมีอยู่ เกิดดับอยู่ เปลี่ยนแปลงอยู่ และถูกใช้อยู่ตลอดเวลา
    ขันธ์ทั้งหลายนั้นไม่ใช่เรา เราไม่ใช่มัน ไม่มีส่วนใดของมันเป็นเรา ไม่มีส่วนใดของเราเป็นมัน
    ให้เราเป็นผู้ใช้มัน ใช้แบบไม่ติดข้องกับมัน เราใช้งานมัน แต่อย่าให้มันครอบงำเรา

    ในระหว่างที่เรายังมีเวลาอยู่บนโลกนี้ ใช้ขันธ์ เพื่อประโยชน์ของตน และประโยชน์ของผู้อื่น อยู่บนโลก อยู่ในโลก อยู่กับโลก แต่ไม่ติดโลก

    ขออาราธนาธรรม ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล จากหนังสือ หลวงปู่ฝากไว้ มาประกอบไว้นะครับ

    มีผู้เรียนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม?"
    หลวงปู่ตอบสั้นๆว่า "มี แต่ไม่เอา" (น.๔๖๑)
     
  16. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    ขออนุโมทนา ที่กรุณาให้ธรรมะเป็นวิทยาทานเรื่อยๆ แก่ข้าพเจ้าที่ด้อยปัญญานัก...

    เมื่อยังเล็ก...ความรู้ทางธรรมยังน้อยนัก หรือรู้เพียงแค่ท่องเจึ้อยแจ้วเป็นนกแก้ว นกขุนทอง

    เมื่อเราโตขึ้น...เราอ่าน เราทำ เราศึกษามากขึ้น เริ่มรับรู้ว่ามันยากยิ่งนัก...แม้กระทั่งศีล 5 ข้อสำหรับคนธรรมดาทั่วไป บางทียังถือไม่ได้ เหมือนตามกระทู้ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ เพราะเรายังเบาปัญญาอยู่ มิได้รู้ซึ้งถึงแก่นธรรมะ มากมายนัก

    การละขันธ์ทั้ง 5 ในวิถีชีวิตของปุถุชนที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ย่อมยากยิ่ง เคยได้ฟังธรรมะโอวาท ของหลวงพ่อท่านหนึ่ง ท่านเล่าถึงขันธ์ 5 ที่เกี่ยวโยงกับน้ำหวาน 1 แก้ว ข้าพเจ้าฟังแล้ว เริ่มเข้าใจในวันรุ่งอีกวันถึงความหมายที่ท่านเล่า
    ...ไม่ธรรมดา กับการละความอยาก ความชอบ ในอารมณ์ของตน

    กับข้อความที่ท่านว่า "...ในระหว่างที่เรายังมีเวลาอยู่บนโลกนี้ ใช้ขันธ์ เพื่อประโยชน์ของตน และประโยชน์ของผู้อื่น อยู่บนโลก อยู่ในโลก อยู่กับโลก แต่ไม่ติดโลก..."
    ความหมายที่แท้จริงเป็นเช่นไรหรือ...การใช้ขันธ์ให้เป็นประโยชน์ ...แสดงว่ามันยังมีประโยชน์กับเราและคนอื่นๆ หรือท่าน ...ข้าพเจ้าคิดได้แต่เพียงว่าเราต้องละ..เท่านั้นเอง

    ขออนุโมทนาทาน...ขอบคุณ ๆ ๆ
    สาธุ ๆ ๆ
     
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ขันธ์ทั้งหลายเป็นของกลางของโลก
    โดยตัวของมันเองนั้น ไม่มีโทษภัยใดๆ มันเป็นแค่สิ่งที่มีตามธรรมดา ธรรมชาติ ของโลก เท่านั้นเอง

    โทษภัยมันเกิดจากการที่เรา ไปยึดถือครอง เอาขันธ์ ที่เป็นของกลางของโลก มาเป็นของตัวเอง

    ของที่มันไม่ใช่ของเรา ไปยึดมาเป็นของตัวเอง มันก็พาทุกข์มาให้ เพราะมันจะเสื่อมสลายจากเราไปได้ทุกเมื่อ จะเปลี่ยนแปลงพ้นจากที่เราอยากให้มันเป็นได้ทุกเมื่อ

    การไม่ยึดมั่นในขันธ์ คือการไม่ยึดมั่นในทุกข์

    แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นที่อยู่ในโลก ก็มีดำรงอยู่ด้วยขันธ์ทั้งสิ้น

    รูปกายที่เป็นธาตุ 4 นี้ก็เป็น รูปขันธ์
    สภาวะความรู้สึก นี้ก็เป็น เวทนาขันธ์
    การจำได้หมายรู้ นี้ก็เป็น สัญญาขันธ์
    การนึกคิด นี้ก็เป็น สังขารขันธ์
    สิ่งที่ทำให้เราไปรับรู้สิ่งต่างๆได้ นี้ก็เป็น วิญญาณขันธ์

    จะพิจารณาเห็นได้ว่า ขันธ์ทั้ง 5 นี้ โดยตัวของมันเองไม่ได้มีโทษ หรือ มีประโยชน์ อะไรเลย

    แต่ผู้ที่หยิบขันธ์มาใช้ต่างหาก จึงจะทำให้เกิด ประโยชน์ หรือ โทษ หากยึดเมื่อไหร่ ก็เป็นโทษเมื่อนั้น

    แล้วพระอรหันต์ทั้งหลายเล่า ท่านทำอย่างไร?
    ท่านก็ไม่ยึดในขันธ์ทั้งหลาย แต่ท่านหยิบมันมาใช้ตามวาระเวลาตามสมควร เพื่อโปรดสัตว์โลก นั่นเอง
    เมื่อหยิบยืมมาใช้ เกิดขึ้น และดับสลายไป ตามธรรมดา โดยไม่มีการยึดถือครอง ใช้ขันธ์ แต่ไม่แบกขันธ์เอาไว้ ก็ย่อมเกิดประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อื่น โดยไม่เกิดโทษ
     
  18. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    สาธุ ๆ ๆ

    ห่างไกลยากมาก...กับการไม่เอาความโกรธ

    ท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งรับทราบสาส์นแล้ว ท่านสงสัยอยู่ครามครันว่า "แล้วสูบบุหรี่...มีผิดศึลข้อไหน หรือไม่...."

    อยากได้ความกระจ่างอีกสักหน ว่าจะตรงกับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ตอบไปหรือไม่

    ขออนุโมทนา..
     
  19. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    ขออนุโมทนา

    มันเป็นการยากอย่างยิ่ง ...เพราะในการดำรงชีวิตในแต่ละวัน บางเรื่อง บางคน ที่เข้ามา บางครั้งก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง ความเจ็บปวด ความไม่ชอบ อันเป็นเหตุให้คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ปกติ..

    น่าแปลกใจเช่นกัน ที่พระอรหันต์ ท่านปฎิบัติได้อย่างประเสริฐยิ่ง...
    สาธุ ๆๆ
     
  20. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เรื่องข้อของศีลที่บัญญัติไว้เป็นข้อๆ นั้น เป็นเพียงส่วนหยาบของการปฏิบัติทางจิต เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกสิ่ง พิจารณาที่เจตนา ประธานของทุกสิ่งทั้งปวง คือ ใจ ครับ

    หากสูบบุหรี่ ด้วยความอยาก หรือแม้แต่จะไม่ใช่บุหรี่ก็ตาม แค่เป็นการฟังเพลง เป็นการกินอาหารอร่อยๆ หากเสพด้วยความอยาก ด้วยตัณหาแล้ว ผลนั้นส่งเข้าไปที่ใจ จะกลายเป็นความมัวเมา และกลายเป็นเชื้อให้เกิด

    หากสูบบุหรี่ไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้เอาใจไปยึดถือมั่น ควันบุหรี่ มันก็ทำอันตรายแค่ร่างกาย แต่ไม่ได้มีผลอะไรส่งเข้ามาถึงใจเลย

    เช่นนี้แล้ว สูบบุหรี่ แม้จะบอกว่าไม่ผิดศีล แต่ก็เป็นข้ออ้างของการปล่อยปละละเลยใจ ให้มัวเมาลงไป เพื่อไปเสพอารมณ์

    แต่ถ้าผู้ใดพ้นแล้ว อย่าว่าแต่บุหรี่เลย แม้แต่สุรา ท่านก็สามารถดื่มได้ เพราะใจนั้นพ้นจากเชื้อแห่งการเกิดแล้ว กายมันจะทำอย่างไร ก็ ไม่เกิดโทษต่อใจแล้ว (แต่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านไม่ทำ เพราะผู้ที่ไม่เข้าใจจะติเตียนเอาได้)

    แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ห้ามกระแสนิยมทางโลก กระแสความเชื่อทางโลกไม่ได้ครับ

    เราจะไปอธิบายการรักษาศีลแบบรักษาใจ ให้ผู้ที่ยังปฏิบัติทางจิตที่ยังไม่ถึงขั้นเห็นจิต เขาย่อมจะไม่เข้าใจ และไม่สามารถปฏิบัติได้

    เพราะเหตุนี้แหละ ศีลต่างๆ จึงถูกบัญญัติขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อพระอริยเจ้าผู้พ้นจากโลกแล้ว (เพราะใจท่านเป็นศีลโดยตัวเองแล้ว) แต่โดยเพื่อเหตุผล 3 อย่าง คือ

    1. เพื่อเป็นเกราะป้องกันใจ ให้ผู้ที่อยากจะเดินทางไปสู่การเป็นพระอริยเจ้า ได้มีสิ่งป้องกันใจ จากความมัวเมารุนแรง ที่จะเป็นผลเสียต่อการปฏิบัติทางจิตครับ

    2. เพื่อไม่ขัดกับธรรมเนียมประเพณีของโลก ซึ่งบางข้อนั้น ไม่ได้มีผลกระทบกับด้านจิตใจเลย แต่มีผลกระทบเนื่องจากขนบธรรมเนียม เขาเชื่อแบบนั้น จึงต้องบัญญัติไว้ ไม่ให้ชาวโลกทั้งหลายติเตียนเอา

    3. เพื่อเป็นการเอื้อต่อการปฏิบัติทางจิต เช่น การงดอาหารมื้อเย็น หากปรับวงจรชีวิตให้งดอาหารมื้อเย็นได้ และ ตื่นนอน-เข้านอน ตามตารางที่พระพุทธองค์กำหนดไว้ได้ จะเป็นการเอื้อต่อการปฏิบัติธรรมได้ดีครับ (แต่เป็นข้อที่ปฏิบัติในปัจจุบันลำบาก เพราะหน้าที่การงานของโลกปัจจุบัน จะใช้ตารางชีวิตแบบนั้นก็ยากมาก)
     

แชร์หน้านี้

Loading...