จริงหรือไม่ สุราเพียงหนึ่งจอก ทำให้จิตปราศนิวรณ์ได้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย aapinyah, 12 มีนาคม 2013.

  1. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    ถูกต้องทีเดียวล่ะท่าน...

    เช่นเดียวกัน กับการบอกสาส์นต่อผู้เฒ่าทั้งหลาย ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยต้องทำหน้าที่แปลงสาส์นนี้ออกไป เพื่อไขข้อสงสัยทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้ามิได้ปริปากบ่น ต่อท่านที่ดื่มแล้วมิได้รบกวนหรือทำร้ายใคร...
    แต่กาละเทศะในการบอกกล่าว มีผลอย่างมากมาย หากมีความคึกคะนองอยู่ตรงหน้า....ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่า วิทยาทานที่ท่านนำมาให้ ข้าพเจ้าสามารถทำให้สมบูรณ์ได้...

    ในขณะเดียวกัน กับสังคมคนรุ่นใหม่ สิ่งที่กำลังแพร่หลายในปัจจุบัน รอบๆ บ้าน มันมิใช่เพียงแค่ สุราวันละจอก หรือสูบบุหรี่วันละไม่กี่มวนของท่านผู้เฒ่าเท่านั้นดอก หากแต่เป็นยาเสพติด ซึ่งมาในรูปแบบที่ไม่ค่อยซัำกันสักเท่าใดของผู้นิยมในวัยรุ่น...ซึ่งก็ยากพอควรกับการนำธรรมะไปบอกกล่าว

    สาส์นที่ได้ก็ต้องถูกแปลงไปเป็นอีกภาษา มันช่างน่าวุ่นวายจริงหนอ

    ขออนุโมทนาด้วยใจ กับธรรมะทานที่ท่านให้ ผลใดๆ ที่เป็นกุศลโปรดจงถึงท่านโดยตรงเทอญ

    สาธุ ๆ ๆ กับท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านด้วย
     
  2. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    สิ่งใดก็ตาม ที่เกิดขึ้น เมื่อ..ไม่ถูกใจเรา เราก็(คิดว่า) เป็นทุกข์
    พูดจา ไม่ถูกใจ ก็เป็นทุกข์
    กระทำ ไม่ถูกใจ ก็เป็นทุกข์
    คิดแย่ๆ เกิดไม่ถูกใจ ก็เป็นทุกข์
    เลยนึกว่า ทำไม เขาทำกับข้าฯ ได้ถึงเพียงนี้....

    เป็นเรื่องบังเอิญที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เมื่อครู่นี้
    "ปัญหาเรา มักจะใหญ่โตคับโลกเสมอ"

    ตัวกู ของกู เบ้อเร่อเลย ใช่ไหมท่าน

    เฮ้อ...อนิจจัง อนิจจา...
     
  3. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    นั่นแหละ...ถ้ารู้ว่าตัวเองทำผิด แล้วปรับตัวใหม่ กิเลสก็ค่อยๆ ขัดเกลา
    ถ้ารู้แล้วยังทำอีก ไม่คิดจะขัดเกลากิเลส..
    ก็ไม่มี ประโยชน์
    เกิดเป็นมนุษย์ แสนยากนัก เมื่อได้เกิดมาแล้วจงสร้างแต่ความดี และรับผลทีเคยทำเอาไว้ สักวันตัวกู ก็คงจะหมดไป
     
  4. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    ถ้าใช้สุรา ดับนิวรณ์ 5 ได้ทั้งหมด แล้วไม่ติดสุรา หรือไม่นึกอยากเพราะสภาวะร่างกายถามหา
    ตามความคิดของเราน่าจะใช้ได้ แต่ถ้ายังมัวเมาในสุรา แปลว่ายังมีกิเลส ย่อมไม่มีประโยชน์แน่นอน ตามตำนานพระโพธิสัตว์หลายท่าน ก็ดื่มสุราเพื่อเป็นตัวนำในการเข้าสู่สังคมนั้นๆ เพื่อโปรดสัตว์โลก
    แล้วเราทำได้เหมือนท่านพระโพธิสัตว์หรือไม่ ต้องตอบคำถามตัวเอง
     
  5. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    สาธุ ๆ ๆ
    ขอบคุณทุกท่านยิ่งนักที่ให้ความกระจ่าง
    ข้าพเจ้าเข้าใจถึงห้วงวิถึของคำว่า "ใจ" แล้ว
    ขอบคุณ ๆ ๆ จริงๆ
     
  6. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    ขอสอบถามเพื่อความกระจ่างอีกสักข้อ....
    หากพบสัตว์สองชนิด ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย...
    ย่อมต้องมีผู้แพ้อย่างแน่นอน...
    หากเรา...เป็นเพียงผู้สัญจร ผ่านไปมา
    เห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว เกิดความสงสารผู้แพ้อย่างจับใจ...

    ผิดหรือไม่ ที่เข้าไปช่วยผู้แพ้...

    เพียงแค่ถาม เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เห็นเป็นประจำ ในระหว่างทางที่ผ่านไป

    ขออนุโมทนา....
     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เรื่องของกรรมเป็นเรื่องอจินไตย ข้อนี้ไม่สามารถตอบอะไรได้ครับ
    จะเป็นกรรมเก่าผูกพันกัน หรือเป็นกรรมใหม่ เราจะเป็นส่วนหนึ่งของวงจรกรรมของเขาหรือเปล่า วงจรของเขากำลังจะคลาย แล้วเราเข้าไปผูกใหม่ หรือการที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง ทำให้วงจรกรรมคลายตัวชดใช้จนหมด
    ทั้งหมดที่ว่า เป็นไปได้หมด แต่ผมไม่สามารถตอบอะไรได้ครับ

    แต่โดยส่วนตัวแล้ว สำหรับผมเอง จะพยายามเข้าไปช่วยเหลือบ้าง ไม่ให้สู้กันจนถึงพิการหรือเสียชีวิต ครับ
     
  8. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    โอ้โห มาศัพท์ใหม่อีกแล้ว ท่านอิน ขอถามหน่อยนะ คงไม่ว่ากัน ขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาคำศัพท์สักคนนะ

    "อจินไตย" แปลว่าอะไร

    ขอบคุณล่วงหน้านะ
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่

    พุทธวิสัย วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เช่น การเดินบนดอกบัว7ก้าวและเปล่งอาสภิวาจาของพระพุทธเจ้า
    ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์ และเทวดา
    กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม และวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ
    โลกวิสัย วิสัยแห่งโลก คือการมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสาระวัฏ [1]

    ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้

    อนุโมทนา สาธุ แต่ผมไม่ใช่ผู้ที่แตกฉานในพระไตรปิฎก และไม่ได้เชี่ยวชาญด้านปริยัติเสียทีเดียว ตัวผมนั้น ไม่มีของดีอะไรจะให้ใคร อาจจะพอยกเว้นได้เรื่องเดียว คือ สติปัฏฐาน ที่พระพุทธองค์สอน เพื่อเป็นทางพ้นทุกข์ พอจะบอกต่อกันได้บ้างในการปฏิบัติชั้นต้น ครับ
     
  10. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    เจ้าของกระทู้นี้ เงียบอีกแล้ว ไม่เป็นไรเนอะ เราสงสัยเราก็ถาม จริงๆ เราก็ชอบท่องเว็ปอ่านโน่นนี่เหมือนกัน แต่ไม่เข้าใจ บางทีอ่านเยอะ คำบางคำติดหัวมา เลยต้องมานั่งคิด แล้วก็ต้องหาความหมาย บางคำหาอย่างไรก็ไม่เข้าใจ บางทีจำได้ติดอยู่ที่สมองเลย ค้างอยู่นั่น จนกว่าจะหาคนมาช่วยคลาย คำนี้ก็เหมือนกัน เจอบ่อย
    ตอนนี้เข้าใจเยอะเลย เลยต้องขอบคุณมากๆ
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อ่านเยอะจะติดเป็นสัญญาครับ แล้วถ้ามันฝังหัวมากๆ เวลาปฏิบัติธรรมจริง มันจะคอยมาพูดธรรมะให้ฟัง แต่เป็นธรรมะแบบลอยๆ อยู่ในหัว แบบเล่นซ้ำจากที่อ่านมา ไม่ใช่จากการปฏิบัติจริงขณะนั้นครับ
     
  12. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    ใช่ ๆๆ ถูกจำแล้วฝังไว้ลึกๆ ในจิตใต้สำนึก ถึงเวลามันออกมาสอนตัวเอง อือ เหมือนสะกดจิตตัวเอง แต่บางครั้งนะ ก็เข้าใจคำบางคำได้เองโดยอัติโนมัติ
    จริงๆ ไม่มีเวลานั่ง เดินหรือยืน ปฏิบัติเป็นเรื่องเป็นราว แต่ปกติเวลาทำงานหรือทำโน่นทำนี่ ก็ดูลมหายใจไปเรื่อยๆ บางทีสมาธิก็เกิด ใครเรียกอะไรก็ไม่ได้ยิน ทำงานเพลิน จนกระทั่งมีคนมาสะกิด ก็เกิดอาการตกอกตกใจเสียขวัญไปเลย
    ไม่ดีเลยเนอะ ทำไงดี
    ขอบคุณท่านมากนะ ได้ความรู้เยอะเลย
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อาการเหล่านี้ คือ อาการของมิจฉาสมาธิ ครับ

    ผู้ที่แจ้งในธรรม จะรู้ว่า
    เวลาใด จิตควรเพ่งรวมเป็นสมาธิ ตัดการรบกวนจากภายนอก (เวลาส่วนตัวที่ฝึกสมาธิ หรือ เวลาต้องการพักผ่อน)
    และเวลาใด ที่จิตต้องแผ่ออกมารับรู้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยทั่วๆ ไม่หนีเข้าไปรวมตัวเป็นสมาธิ (เวลาที่อยู่ในสังคมปกติ)

    หากจิตมีการรวมตัวเข้าเป็นสมาธิแบบดิ่ง โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจให้เกิด และเริ่มเป็นโทษในการใช้ชีวิตประจำวัน

    ให้ฝึกการเจริญสติเยอะๆ ครับ

    ตัวอย่างการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ให้เริ่มฝึกตามนี้
    ตัวอย่างการเจริญสติในชีวิตประจำวัน - ธรรมะทั่วไป - www.indraphong.com - Powered by Discuz!

    ในการฝึกชั้นนี้ ให้เลิกเพ่งลมหายใจนะครับ ให้รู้ตามจริงไปเรื่อยๆ
    บางครั้ง มันจะกลับไปรู้ลมหายใจ ก็ให้รู้ลมหายใจ ไม่ต้องไปบีบบังคับมัน แต่อย่าให้สติขาดลงไป
    บางครั้งมันรู้อย่างอื่น ก็รู้อย่างอื่น ไม่ต้องกลับไปจับลมหายใจตลอดเวลาครับ

    อาการนี้ ให้ฝึกไปเรื่อยๆ แล้วรบกวนท่าน มาคุยกับผมบ่อยๆ นะครับ เพราะอาการพวกนี้ ส่วนใหญ่แล้ว เป็นนิสัยจากชาติก่อนๆ น้อยคนที่จะหลุดจากอาการพวกนี้ด้วยตัวเอง โดยไม่มีคำแนะนำจากภายนอกครับ
     
  14. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    ดีจังเลยมีคนแนะนำ ขอบคุณท่านมาก ก็ถือโอกาสนี้ขออนุญาตท่านเจ้าของกระทู้ ใช้กระทู้นี้สอบถามท่านครูอินแทนก็แล้วกัน (น่าจะได้ เพราะกระทู้นี้เงียบอ่ะ)

    เราเคยขับรถ สงสัยเป็นแบบท่านว่า ติดไฟแดงเท้าก็เหยียบเบรคอัตโนมัติ อีกใจก็งง สั่งว่าลองปล่อยเท้าสิ ก็ปล่อยแต่โชคดีที่ไม่ได้เหยียบคันเร่งและทิ้งระยะห่างคันหน้าพอสมควร เลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เริ่มรู้สึกตัว นึกเอะใจเกือบแย่นะ บางทีเหมือนไม่คุ้นทาง แต่ในความเป็นจริง แล้วทางนี้ผ่านเป็นปกติ (เป็นเซลล์อ่ะ) คิดในใจว่าเกิดอะไรขึ้นเนี่ย เคยเข้าไปหาอ่านตามเว็ปไม่พบคำถาม-คำตอบน่ะ โชคดีที่ได้ท่านมาช่วยไขข้อข้องใจ

    รบกวนหน่อย เว๊ปที่ท่านให้มา เข้าไม่ได้ ทำไงดี

    อนุโมทนา สาธุ นะท่านครู

    อีก 2 คำถาม
    1. มิจฉาสมาธิ เป็นอย่างไรหรือ (น่าจะไม่ดีใช่ไหม)
    2. ท่านครูว่า "เป็นนิสัยจากชาติก่อนๆ " หรือ นิสัยก่อนๆ เป็นอย่างไร ชอบเข้าสมาธิหรือ ?

    รบกวนท่านคือด้วยนะ ขอบคุณมากๆ
     
  15. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ผมยังไม่มีความดีพอจะเป็นครูบาอาจารย์ได้หรอกครับ ยังต้องฝึกอีกเยอะเช่นกัน ถือซะว่าเป็นผู้ร่วมเดินทาง ที่พอจะช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ ก็แล้วกันครับผม

    1. มิจฉาสมาธิ ไม่ดี ถูกต้องแล้ว เพราะ มิจฉาสมาธิ คือ การที่จิตเข้าไปติดสุขรูปแบบนึง เพียงแต่สุขแบบนี้ ไม่ใช่สุขแบบโลกๆ ไม่ใช่สุขแบบอารมณ์ที่มนุษย์เป็นกัน แต่เป็นสุขแบบละเอียด ของความสงบของสมาธิ

    การติดนี้ มีได้ทั้งแบบรู้ตัว และ ไม่รู้ตัว กรณีรู้ตัว เช่น มีอาการชอบความสงบเงียบ อยากหนีจากความวุ่นวายไปนั่งเข้าสมาธิ อยากเลิกงานเร็วๆ เพื่อกลับบ้านนั่งปฏิบัติธรรม อาการระดับเริ่มต้น คือ อาการ "ชอบความสงบ"

    กรณีไม่รู้ตัว จะมีอาการออกไปทางแนว เหม่อลอย บางทีก็หลุดออกจากโลกของความเป็นจริง ไปสู่อาการสงบ นิ่ง โดยไม่ทันตั้งตัว เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ นอกเหนือการควบคุม อาการแบบไม่รู้ตัว นี่ค่อนข้างอันตราย

    เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีร่างกาย มีจิตใจ ก็เพื่อมาสร้างประโยชน์ สร้างบารมี และ เพื่อเอาร่างกายนี้แหละ เป็นเครื่องศึกษาธรรมะเพื่อการหลุดพ้น

    หากแต่ มนุษย์นั้น มีอวิชชา มีความหลงเพลิน เป็นสิ่งที่ทำให้ไปกันไม่ถึงจุดหมาย เมื่อมีร่างกาย ก็เอาร่างกายไปเสพความสุขแบบต่างๆ ในทางโลก เช่น การ กิน ดื่ม การเสพความสุขในรูปแบบต่างๆ นาๆ

    ในชั้นที่ละเอียดขึ้น ก็จะมีมนุษย์อีกกลุ่มนึง ที่เข้าถึงสภาวะสมาธิ ก็จะเสพสุขจากอารมณ์ของสมาธิได้ แต่ก็ยังไม่พ้นเป็นการติดมัวเมาในความสุข

    หากติดมัวเมาในความสุข ก็เป็นการสร้างชาติภพ ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น

    2. ถูกต้องแล้วครับ เป็นจริตของการชอบความสงบสุข และ สามารถเข้าสมาธิได้ เข้าถึงอารมณ์ละเอียดประณีตของสมาธิ เหมือนคนปกติทั่วไป เขาเสพความสุขโดยการ ดูหนังฟังเพลงได้ เราก็เสพความสุขโดยการเข้าสมาธิได้

    บุคคลทั่วไปผู้ใด เสพความสุขทางโลกๆ จนติดเป็นนิสัย กระทบกับชีวิต ก็เปรียบเสมือน คนมัวเมาในการดูหนังฟังเพลง ติดเพลงจนต้องฟังตลอดเวลา ฟังตลอดเวลาแล้วก็ทำให้หลุดจากโลกของความเป็นจริงไป ยกตัวอย่างเช่น กรณีของนิสิตจุฬา ที่มีข่าวว่าถูกรถไฟชน เนื่องจากฟังเพลงจากหูฟังจนไม่ได้ยินเสียงรถไฟ กรณีนี้จัดว่าเป็นตัวอย่าง ของการเสพสุขจนหลุดจากโลกความเป็นจริง ทำให้เกิดผลเสีย

    การที่เราติดสมาธิแบบไม่รู้ตัว ก็ให้ผลในแนวเดียวกัน เพียงแต่จิตของเรา ไม่ได้หลงไปในความสุขแบบโลกๆ แต่หลงเข้าไปในสภาวะสงบนิ่ง จิตไม่ออกมารับรู้เรื่องราวปกติของโลก ที่ควรจะเป็น ก็ย่อมเกิดผลเสียเช่นเดียวกันครับ



    ท่านนับว่าเป็นผู้มีบุญบารมีครับ ที่ยังรู้ตัวว่าเจออาการเหล่านี้ และโชคดีได้มาเจอกัน
    เพราะตัวผมเอง ก็มีอาการติดในสมาธิเหล่านี้มาก่อน เจอผลเสียของมันมาก่อนแล้ว และได้หลุดพ้นจากมันมา จึงพอจะช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ในเรื่องนี้ครับ
     
  16. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    แล้วควรที่จะทำอย่างไรต่อล่ะท่าน
    เมื่อ 2-3 ปีก่อนยังทำงานในกรุงเทพฯ อยู่ ก็อาศัยรถเมล์นี่แหละไปทำงาน มีคนเตือนเหมือนกัน ให้ระวังดีๆ เดี๋ยวเดินตกหลุมตกบ่อ คงเป็นเพราะลงจากรถเมล์ก็ไม่ค่อยชอบมองใคร มองแต่เท้าตัวเองเวลาก้าวเดินไป ก็เกือบเดินชนคนเหมือนกัน แล้วต่อมาเบื่อความวุ่นวายของเมืองหลวงมาก หาเรื่องออกไปต่างจังหวัดเลยได้เรื่องอย่างที่เล่าให้ฟัง ตอนนี้เอาใหม่พยายามไม่อยู่คนเดียว แต่คอยระวังไม่ให้เพลินนะท่านครู ต้องเงี่ยหูฟังตลอดว่ามีใครจะเรียกหรือเปล่า ก็เลยออกจะขี้หงุดหงิดนะเวลาคนชอบเข้ามาคุยด้วย เหมือนมาขัดจังหวะความเพลินของเราน่ะ เบื่อจัง
    ทำไงดีล่ะ แก้ไง ดี
    ขอบคุณท่านครูมากๆ นะ
     
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ให้สังเกตอาการนี้นะครับ
    อันนี้เป็นตัวบอกชัดเจน ของอาการติดสมาธิ ที่ว่า

    วิธีแก้ มีทางเดียว คือ เจริญสติ เอาจิตออกมารับรู้ภายนอก อย่าปล่อยให้จิตไหลลงไปเป็นสภาวะสมาธิแช่นิ่งครับ

    มีทางเดียวจริงๆ ครับ เพราะตัวนี้เป็นกิเลสแบบละเอียด ไม่สามารถแก้ได้ด้วยวิธีอื่นใดๆ เลย

    แรกๆ จะทำยาก เพราะว่า มันติดนิสัยมา มันจะชอบไหลกลับไปแช่นิ่ง แล้วตัวเราเองก็ชอบเสียด้วย ดังนั้น มันจะขัดๆ เหมือนกับติดยาเสพติด แล้วเลิกยา นั่นแหละครับ แต่ถ้าอยากพ้นจากมัน ก็ต้องตัดใจเลิกให้ได้ครับ
     
  18. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    เพิ่งจะรู้ว่าเป็นอาการติดสมาธิ เคยคิดว่าน่าจะเป็นกับคนที่ปฏิบัติมากๆ
    หลายวันมานี่ สังเกตุตัวเองว่า ตกเย็นมาจะเริ่มรู้สึกปวดตามขมับ ไล่ลงมาที่คอ และที่ไหล่ พอท่านพูดถึง การเอาจิตออกมารับรู้ภายนอก น่าจะหมายถึง การพูดคุย เฮฮา ปาร์ตี้ กับคนอื่นเขา ก็เลยนึกได้ว่า อาการปวดที่เกิดขึ้น น่าจะเกิดจากการที่ร่างกายเรา ตื่นตัวตลอดเวลา ปรับประสาทใหม่ ทั้งการรับรู้จากภายนอกของหู ตา จมูก ฯลฯ ทำให้ร่างกายเกร็ง แต่ตอนนั้นเราไม่ทันคิด คิดแต่เพียงว่า เราไม่ค่อยอยู่กับตัวเองเลย คือไม่ค่อยได้ทำสมาธิ ตกเย็นมาเลยถือโอกาสดูลมหายใจ บางทีก็ยืน บางทีก็นั่ง อีกประมาณ 5-20 นาที ก่อนนอน ปรากฎว่า อาการดีขึ้น เราเลยคิดว่าเราชอบดูลมหายใจตัวเองบ่อยๆ เพราะเรารู้สึกสบายตัวนะท่านครู (จนทำให้เกิดการติดสมาธิ)
    ไม่รู้ว่าจะใช่ ตามที่วิเคราะห์ตัวเองแบบนี้ หรือเปล่า รบกวนท่านครูช่วยให้คำแนะนำหน่อย
     
  19. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    การเอาจิตออกมารับรู้ภายนอก นี้ หมายความกันคนละความหมาย
    สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคือ จิตที่ติดสมาธิ จะเป็นจิตที่มีสภาวะ "เพ่งภายใน" คือ มันจะจดจ้องกับอะไรสักอย่าง ภายในร่างกาย หรือ ภายในจิตใจของเรา จนตัวจิตมันไม่รับรู้เรื่องอื่นๆ

    การเอาจิตออกมารับรู้ภายนอก ในความหมายของผมก็คือ ทำให้จิตมันเลิกจดจ่ออยู่กับสิ่งเดียว แต่ให้ออกมารับรู้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำงานเป็นปกติ ไม่ใช่เพ่งอยู่กับความสงบ นิ่ง

    สำหรับอาการของท่าน Nagar

    ในวงจรชีวิตปกติ ช่วงเวลาเย็นๆ จะเป็นช่วงเวลาที่ปลดปล่อยความเครียดจากการทำงาน และ ในทางชีววิทยา ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่ตัวร่างกายธาตุ 4 เอง ต้กงการการพักผ่อนด้วย หากนั่งเฉยๆ ไม่มีการออกกำลังกาย อาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ คนส่วนใหญ่ จึงออกกำลังกาย เดินเล่น พักผ่อน พบปะผู้คนตอนเย็นๆ

    จริงๆ แล้ว อยากจะแนะนำว่า ให้ทำกิจกรรมเหมือนคนปกติทั่วไป จะดีกว่าการใช้เวลาช่วงนี้ปฏิบัติสมาธิ เพราะจะทำให้วงจรชีวิตปกติไม่เพี้ยนไปนะครับ
    การทำสมาธิในช่วงเวลานี้ คือ เอากำลังของสมาธิ เอาอาการเบาสบาย ของจิต ไปกดทับสภาวะของร่างกายไว้ ดังนั้นแม้จิตเราจะรู้สึกสบาย ร่างกายของเรามันไม่ได้สบายไปด้วยเสียทีเดียว (หากปฏิบัติไปเรื่อยๆ ในระดับชั้นสูง สามารถใช้กำลังของจิต คลายสภาวะเครียดของร่างกายได้จริง แต่ในชั้นต้นๆ นี้ยังเป็นแค่การกดทับอาการเฉยๆ)

    แม้จิตจะมีอำนาจเหนือร่างกายได้ แต่กลไกการทำงาน พวกฮอร์โมน และ การต้องการพักผ่อน ยังต้องมีเป็นปกติ แม้พระอรหันต์ก็หนีข้อนี้ไม่พ้น แต่ท่านเลือกที่จะไม่เอาจิตไปรับเวทนาได้
     
  20. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    จะลองพยายามทำตามที่ท่านครูว่านะ ยากเหมือนกันแฮะ เพราะกลับมาจากทำงาน ถึงที่พักก็อยากสลบแล้ว บางทียังลืมฝันเลย
    แล้วจะมาเล่าให้ฟังเรื่อยๆ รบกวนท่านครูอย่าลืมเข้ามาในกระทู้นี้อีกนะ ขอเวลาปรับตัวสัก 2-3 วันนะ
    ขอบคุณมากๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...