เห็นกิเลสเกิดขึ้นมา แล้วฆ่ามันยังไงกัน ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขี้เมา, 25 มีนาคม 2013.

  1. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ตามเหตุปัจจัยท่านอิน ผมเฉยๆรู้สึกว่าหลุดพ้นกับเรื่องแบบนี้นะทำอะไรไม่ได้หวังผลนี้มันสุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรมาเป็นพันธนาการให้จิตเศร้าหมอง
     
  2. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    กิเลส เหมือน น้ำที่อยู่ในใบบัว
    มีอยู่ แต่ไม่ติด และไม่ยึด จึงแยกกันอยู่ได้

    หลวงตามหาบัวเคยบอกว่า ถ้าพ่อของพระอรหันต์ตาย
    ท่านย่อมปลงสังเวช ในอนิจจัง ท่านคงไม่ขำหรอก

    นั้นแสดงว่าท่านก็มี อารมณ์ แต่ไม่ยึดในอารมณ์ เหมือนกับ พระอรหันต์หัวเราะ

    การปรุงแต่งสิ่งที่มากระทบไม่ใช้เรื่องผิดอะไีร ขำได้ เศร้าได้ หงุดหงิดได้ แต่ท่านไม่ได้เอามาใส่ในใจแสดงแต่ตามที่เกิด แล้วปล่อยให้มันไป
    ส่วนพวกกิเลสหนา ก็เอาอารมณ์ที่ท่านแสดง ไปว่า ท่านยังไม่หมดกิเลส อันนี้สิน่ากลัว
     
  3. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    รู้ไม่รู้ไม่สนใจผมใช้ศรัทธาความเชื่อมั่น องค์ไหนคำสอนแนวทางเดียวกับพุทธองค์จริยาวัตรงดงามผมนับถือหมดล่ะ ส่วนตัวผมคิดว่าความโกรธสูญไหมสำหรับพระอรหันต์ ผมคิดว่าไม่ แต่ท่านใช้ความเข้าใจ ยอมรับ ความเป็นธรรมชาติ มิได้ปรุงแต่งจินตนาการ ใช้ชีวิตสบายๆปล่อยวาง และที่สำคัญท่านสงบ ไม่ใช่ไม่มีความโกรธแต่ท่าสเข้าใจและไม่เอามัน คือพูดง่ายท่านฝึกจิตกันมาดีแล้ว ท่านก็เหมือนมนุษย์เราทั่วไปนี่แหละเพียงแต่ท่านข้ามไปอีกฝั่งแล้ว เพราะท่านก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต่างจากเรา แต่ที่ต่างคือท่านเข้าใจแล้ว รับได้แล้ว เห็นเป็นปกติธรรมดาแล้ว ท่านสบายๆแล้ว ไม่มีห่วงอะไรอีกแล้ว ไม่ยึดติดกับสิ่งใดอีกแล้ว เข้าใจและยอมรับในธรรมชาติ เห็นเป็นธรรมดา มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ท่านจึงเฉยๆกับทุกเรื่อง ไม่ดิ้นรนแส่ส่ายกระโตกกระตากไปตามโลก เค้าเรียกว่าเห็นสัจธรรม องค์ไหนที่ผมศึกษามาแล้วน่าเคารพ ดูเป็นอย่างที่ผมกล่าวมาผมก็เคารพ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างที่ผมกล่าวมาผมก็เค้ารพเช่นเดิมครับ อิอิ
     
  4. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    คนเรานั้นมันมีหลายประเภท วาสนาที่สั่งสมมาไม่เหมือนกัน บางคนวางเฉยได้เข้าใจสัจธรรม สบายๆไม่คิดอะไร อันนั้นก็ดี แต่บางคนยังมีโลภมีห่วง ครอบครัวเอยสมบัติเอย รู้แน่ชัดว่ายังไงก็ไม่พ้นวัฏสงสาร มีทุกข์เอย ทีนี้ใจเขาต้องการที่พึ่ง กลัวบาป กลัวกรรม กลัวนรก กลัวไม่ได้ขึ้นสวรรค์เพราะรู้แน่ชัดยังไงก็ไม่หลุดพ้นแน่นอน ชาตินี้ ก็เลยอ่านศึกษา องค์ไหนเขาว่าเป็นพระอรหันต์อ่านศึกษาไปหาหมด ด้วยความคิดที่ว่าทำบุญกับพระอรหันต์นั้นได้บุญเยอะก็แห่กันไปทำ บางคนก็อาศัยว่ารวยมีเงินมีทอง ทำเยอะบริจาคเยอะก็ไปตีซี้ท่านไปตีสนิทท่านเป็นเจ้าข้าวเจ้าของท่าน ใครไปหาก็หวงก้าง สเมือนว่าเป็นเพราะของเขาและพวกพ้องเพียงกลุ่มเดียว พวกตัวเองอยากจะไปหาเมื่อไหร่ก็ได้ สำหรับคนอื่นหลวงปู่พักผ่อนบ้างกลัวเกินหน้าเกินตาอันนี้ผมเจอมาเยอะ ไอแบบนั้นจะเป็นบาปไม่รู้ตัว เอาล่ะทีนี้คนเราวาสนามันไม่เหมือนกัน คือต่างคนต่างรู้วาสนาตัวเองหน้าที่ของตัวเอง เส้นทางคนเราๆม่เหมือนกันอาจเลี้ยวลดคดเคี้ยวสมบักสมบัน แต่ท้ายที่สุดก็เป้าหมายเดียวกัน เส้นทางคนเราๆไม่เหมือนกัน วาสนาใครวาสนามัน
     
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ที่นี้มาดู ศรัทธาของผู้มีศรัทธา ตามพุทธวจน
    สุภูติสูตร
    [๒๒๑] ครั้งนั้นแล ท่านพระสุภูติกับสัทธภิกษุ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
    ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส
    ถามท่านพระสุภูติว่า ดูกรสุภูติ ภิกษุนี้ชื่อไรท่านพระสุภูติกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ภิกษุนี้ชื่อว่าสัทธะ เป็นบุตรอุบาสกผู้มีศรัทธา ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรสุภูติ ก็สัทธภิกษุนี้เป็นบุตรของอุบาสกผู้มีศรัทธาออกบวชเป็นบรรพชิตด้วย
    ศรัทธา ย่อมเห็นพร้อมในลักษณะของผู้มีศรัทธาทั้งหลายแลหรือ ฯ
    สุ. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บัดนี้เป็นกาลสมควรทรงแสดงลักษณะของผู้มีศรัทธานั้น
    ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลสมควรทรงแสดงลักษณะของผู้มีศรัทธานั้น ขอพระผู้มีพระภาคพึง
    ตรัสลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธาเถิดข้าพระองค์จักทราบบัดนี้ว่า ภิกษุนี้จะเห็นพร้อมใน
    ลักษณะของผู้มีศรัทธาทั้งหลายหรือไม่ ฯ
    พ. ดูกรสุภูติ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ท่านพระสุภูติ
    ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรสุภูติ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยใน
    โทษทั้งหลายมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ดูกรสุภูติ ข้อที่ภิกษุเป็นผู้
    มีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย แม้นี้ ก็เป็นลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มี
    ศรัทธา ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีสุตะมาก ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมามาก
    ทรงไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น
    งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
    ดูกรสุภูติ ข้อที่ภิกษุเป็นผู้มีสุตะมาก ฯลฯ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ แม้นี้ก็เป็นลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา ฯ
    อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ดูกรสุภูติ ข้อที่ภิกษุเป็นผู้
    มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี แม้นี้ ก็เป็นลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา ฯ
    อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ว่าง่าย ประกอบด้วยธรรมเครื่องกระทำให้เป็นผู้ว่าง่าย เป็น
    ผู้อดทน เป็นผู้รับอนุศาสนีย์โดยเคารพ ดูกรสุภูติ ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ว่าง่าย เป็นผู้ประกอบด้วย
    ธรรมเครื่องกระทำให้เป็นผู้ว่าง่าย เป็นผู้อดทนเป็นผู้รับอนุศาสนีย์โดยเคารพแม้นี้ ก็เป็นลักษณะ
    แห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้าน ในกรณียกิจทั้งสูงและต่ำของเพื่อน
    สพรหมจารีทั้งหลาย ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาอันเป็นอุบายในกรณียกิจนั้น
    อาจทำ อาจจัดได้ ดูกรสุภูติ ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้าน ฯลฯ อาจทำ อาจจัดได้ แม้นี้ ก็เป็น
    ลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ใคร่ธรรม กล่าวคำเป็นที่รัก เป็นผู้มีความปราโมทย์อย่างยิ่ง
    ในธรรมอันยิ่ง ในวินัยอันยิ่ง ดูกรสุภูติ ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ใคร่ธรรม เป็นผู้กล่าวคำอันเป็นที่รัก
    มีความปราโมทย์อย่างยิ่งในธรรมอันยิ่ง ในวินัยอันยิ่ง แม้นี้ ก็เป็นลักษณะแห่งศรัทธาของ
    ผู้มีศรัทธา ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรม
    ให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม ดูกรสุภูติ ข้อที่ภิกษุ
    ปรารภความเพียร ฯลฯ แม้นี้ ก็เป็นลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา ฯ
    อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ได้ตามปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ทั้ง ๔
    อันมีในจิตอันยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ดูกรสุภูติข้อที่ภิกษุเป็นผู้ได้ตามปรารถนา
    ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ทั้ง ๔ อันมีในจิตอันยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
    แม้นี้ ก็เป็นลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา ฯ
    อีกประการหนึ่ง ภิกษุระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง
    สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้างยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง
    สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็น
    อันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้น
    เราได้มีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวย
    ทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น
    เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น เสวยสุขมีอาหารอย่างนั้น เสวยทุกข์
    อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึก
    ถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุทเทส ด้วยประการฉะนี้ ดูกรสุภูติ
    ข้อที่ภิกษุระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ เธอย่อม
    ระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุทเทส ด้วยประการฉะนี้ แม้นี้
    ก็เป็นลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีตมีผิวพรรณดี
    มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์
    ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน
    พระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไป จึงต้องเข้าถึงอบาย
    ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
    ไม่ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นสัมมาทิฐิ เมื่อตายไป จึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์
    ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วย
    ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้
    ดูกรสุภูติ ข้อที่ภิกษุเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลวประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณ
    ทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์
    ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ แม้นี้ ก็เป็นลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา ฯ
    อีกประการหนึ่ง ภิกษุทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ
    ทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ดูกรสุภูติ ข้อที่ภิกษุทำให้แจ้งซึ่ง
    เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
    ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ แม้นี้ ก็เป็นลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา ฯ

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระสุภูติ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลักษณะศรัทธาของผู้มีศรัทธา ที่พระผู้มีพระภาคตรัสนี้นั้น มีพร้อมอยู่
    แก่ภิกษุนี้ และภิกษุนี้ย่อมเห็นพร้อมในลักษณะศรัทธาของผู้มีศรัทธาเหล่านี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ภิกษุนี้เป็นเป็นผู้มีศีล ... สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ภิกษุนี้เป็นผู้มีสุตะมาก ... ประกาศ
    พรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ภิกษุนี้เป็นผู้มีมิตรดี
    มีสหายดี มีเพื่อนดี ภิกษุนี้เป็นผู้ว่าง่าย ประกอบด้วยธรรมเครื่องกระทำให้เป็นผู้ว่าง่าย เป็นผู้
    อดทน เป็นผู้รับเอาอนุศาสนีย์โดยเคารพ ภิกษุนี้เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในกรณียกิจทั้งหลาย
    ทั้งสูงและต่ำ ของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาอันเป็น
    อุบายในกรณียกิจนั้น อาจทำ อาจจัดได้ ภิกษุนี้เป็นผู้ใคร่ในธรรม กล่าวคำอันเป็นที่รัก เป็น
    ผู้มีความปราโมทย์ยิ่งในธรรมอันยิ่ง ในวินัยอันยิ่ง ภิกษุนี้เป็นผู้ปรารภความเพียร มีกำลัง มีความ
    บากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม ภิกษุนี้เป็นผู้ได้ตามปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ได้โดย
    ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตอันยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ภิกษุนี้ย่อมระลึกถึง
    ชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้างสองชาติบ้าง ฯลฯ เธอระลึกถึงชาติก่อนได้เป็น
    อันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุทเทส ด้วยประการฉะนี้ ภิกษุนี้พิจารณาเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ
    กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอัน
    บริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ เธอย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้
    ภิกษุนี้ย่อมทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป
    ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลักษณะศรัทธาของผู้มีศรัทธา
    ที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วนี้ มีพร้อมอยู่แก่ภิกษุนี้ อนึ่ง ภิกษุนี้จักปรากฏในลักษณะศรัทธา
    ของผู้มีศรัทธาเหล่านี้พระเจ้าข้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  6. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    จะเห็นได้ว่า ศรัทธา่นั้น มันต่างจากความเชื่อมาก ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรก็ได้ แต่ลักษณะศรัทธาของผู้มีศรัทธานั้น ต้องเป็นไปตามพุทธวจน
     
  7. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    เห็นให้ได้ทุกตัวที่โผล่ขึ้นมายิ่งดีค่ะ และยิ่งเห็นเร็วเท่าไรยิ่งดีค่ะ อิอิอิ

    แล้วชี้หน้าไปเลยว่า เธอไม่เที่ยง เธอเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วดับ
    เธอไม่ใช่ตัวเราของเรา เธอเป็นอนัตตา เธอมีขึ้นชั่วคราวแล้วดับไป
    เธอเป็นมายาลวงโลก เธอไม่มีแก่นสาร ... อิอิอิ
     
  8. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    การลด การละ การฆ่ากิเลส เริ่มที่ความเบื่อ

    ขออนุญาตครับ

    การฆ่ากิเลสมีหลายๆระดับ แล้วแต่ภูมิรู้ ภูมิธรรม ที่เกิดจากการปฏิบัติ

    ระดับต้นๆ ในคนธรรมดาทั่วๆไป คือ "การหักห้ามใจตนเอง"
    ระดับต้นๆ สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ คือ "การระลึกถึง ศีลห้า"
    ระดับถัดมาอีกหน่อย คือ "กาีระลึกถึง กุศลกรรมบทสิบ"
    ระดับถัดมา คือ "การมีสติ รู้เท่าทัน"
    ระดับถัดมา คือ "การตัดวงจรความคิดในทางอกุศลกรรม ไม่ให้เกิดขึ้น"

    เอาแค่นี้ก็น่าจะพอก่อนนะ

    ส่วนความ เบื่อหน่าย นั้น มันเกิดขึ้นเอง ไปกำหนดบังคับอะไรไม่ได้
    จะเบื่อหน่ายมาก จะเบื่อหน่ายน้อย จะเบื่อหนายส่วนไหน จะเบื่อหน่ายเรื่องอะไรบ้าง

    มันเกิดขึ้นได้ทุกแบบ ทุกระดับ

    เห็นบางคนบ่นว่า "เลิกกับแฟนแล้ว มันเบื่อหน่าย มันไม่คึก มันไม่มีอารมณ์"

    นี่ก็ความเบื่อหน่าย แต่บางคน เบื่อหน่าย แฟนคนนี้ ก็เห็นไปมีแฟนคนใหม่ ไปเรื่อยๆ ก็มี

    แต่บางท่าน เบื่อหน่าย ผู้หญิงไปหมดทุกคน ถือเพศพรหมจรรย์ ทั้งๆที่เป็นฆราวาส หนุ่มแน่นแข็งแรงอยู่ก็มี

    เมื่อ มันเบื่อ ก็คือ มันเบื่อ ไม่อยากรู้ ไม่อยากดู ไม่อยากเห็น ไม่อยากทำมันอีก

    แต่ความเบื่อในทางธรรม คือ การเบื่อหน่าย ในอกุศลกรรม แต่ไม่เบื่อหน่ายในกุศลกรรม

    มันมีแค่นี้จริงๆ

    จะให้ดีจริงๆต้องปฏิบัติ ให้กำลังสติ กำลังสมาธิ เต็มจนล้น
    แล้ว สติจะเร็วจนตัด วงจร อกุศลกรรม ออกจากจิต ให้ได้ มากที่สุด

    เหลือไว้แต่การคิดถึง กุศลกรรมเท่านั้น

    เมื่อเก่ง เมื่อชำนาญแล้ว จึงจะสามารถ พิจารนา อกุศลกรรม ได้

    ขอโมทนา ขออนุโมทนา ร่วมกับผู้มีบุญบารมีทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
  9. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ถ้าคุณยังอาศัยความเชื่อ
    แล้วคุณเชื่อว่า ท่านสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้า ทำไมถึงเชื่อล่ะ
    แล้วคุณเชื่อไหม ว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์??


    ถึงบอกว่า โสดาบัน ผู้เข้าถึงกระแสนิพพาน ทำไมถึงมั่นคงต่อพระรัตนตรัยไม่คลอนแคลน ..ก็เพราะท่านปฏิบัติตามคำสอน เข้าถึงในส่วนหนึ่งแล้ว.. ไม่ใช่อาศัยแค่ความเชื่อ(ที่ไม่รู้)..
    และถึงบอกว่าอยากรู้ว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์หรือไม่ให้ปฏิบัติตามดูก็รู้เอง
    หรือตกลงลูกศิษย์หลวงปู่มั่นไม่มีใครรู้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ คงอาศัยแค่ความเชื่อเนอะ..แม้แต่ลูกศิษย์ของท่านที่ถึงธรรมแล้วด้วย
    คงจะเป็น..พระโสดาบันอย่างคุณ เลยเข้าถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ โดยอาศัยแค่ความเชื่อ และตีความการเสื่อมใสในพระรัตนตรัยแค่ในส่วนบุญ จะได้ไม่ได้ไม่เป็นไร สั่งกุฏิให้พระอะไรก็ได้ โดยไม่ตรวจสอบวัดเลยหรือ...หรืออย่างน้อยคุณตรวจสอบว่าเป็นพระที่ไม่มีออะไรไม่ชอบมาพากล หรือไม่จำเป็นอีก...

    มีพระอริยะท่านนึง ท่านกล่าวว่าท่านไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม แต่ท่านรู้เลยว่ามันเป็นจริง..
    (แต่ถ้าใช้ความเชื่อในลักษณะรู้ว่าเป็นจริงไม่คลอนแคลน จะไม่ได้หมายถึงความเชื่อโดยที่ไม่รู้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  10. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ลองอธิบายให้เข้าใจหน่อยจ๊ะ

    ...
    ศรัทธาที่ขาดปัญญา ก็ไม่ต่างจากความเชื่องมงาย
    ยังไม่เป็นอจลศรัทธาหรือเชื่อเพราะรู้..
    เป็นศรัทธาที่มั่นคงไม่หวั่นไหา หรือเป็นศรัทธาของพระอริยะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  11. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เป็นพระอรหันต์แล้วหรือ เห็นโม้แค่เป็นโสดาบัน

    พระโสดาบันเป็นผู้ทันความคิด เห็นกิเลสในใจตนได้ไวที่สุด ถึงเป็นผู้ตรงต่อนิพพาน คือจะขจัดกิเลสในตนต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  12. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ก็บอกแล้วไงว่า ความเชื่อใครจะเชื่ออะไรก็ได้ แต่ความจริงที่จะรู้ว่าใครเป็นอรหันต์นั้นถามว่ารู้ได้อย่างไร? คนล่ะเรื่องกันใช่มั้ยครับ ผมเองก็ไม่รู้จริงๆว่าจะรู้ได้อย่างไร

    แต่การที่ผมเขื่อพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นั้นคงเป็นเพราะผมมีความเชื่อ เพราะธรรมมะที่ท่านแสดงนั้นมีเหตุผลที่ทนต่อการพิสูจน์ เมื่อนำมาปฎิบัติแล้วเกิดผลดีต่อ ตนเองและผู้อื่น จึงทำให้เชื่อ

    ส่วนการที่เราจะรู้ว่าท่านใดเป็นอรหันต์นั้นไม่มีใครรู้ได้ (เพราะพระศาสดาเองก้บอกไว้อย่างนั้นท่านจะเชื่อใคร นี่ไม่ใข่คำพูดผมนะครับ) สมมุตติว่าผมกล่าวคำใดๆก็ตามเหมือนพระศาสดาหรือเหมือนหลวงปู่ หลวงตาที่ท่านเคารพพ และท่านทั้งหลายก็เอาไปปฎิบัติ แล้วท่านเกิดผล ท่านก็เชื่อว่ากระผมเป็นอรหันต์หรอครับ สมัยพุทธกาลพระอรหันต์ยังไม่ทราบกันเลยว่าท่านใดเป็นจึงต้องให้พระพุทธองคืรับรองครับ

    ฉะนั้นการที่จะรู้ว่าเป็นอรหันต์นั้นต่างจากการเชื่อเพราะการเชื่ออยู่บนสมุตติฐานครับ พิจารณาในคำกล่าวนี้ดีๆแล้วจะรู้ว่า ทำไมพระพุทธองค์ถึงทรงตรัสกับผู้ที่ถามพระองค์ ว่าไม่สามารถรู้ได้ จึงให้ถวายเป็นสังฆทานครับ ผมถวายเป็นสังฆทานครับ
     
  13. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    คนพูดได้ ทำไม่ได้ มีเยอะ...
    ถ้าพระพุทธองค์ทำไม่ได้อย่างที่พระองค์สอน ใครจะนับถือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  14. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมยังไม่สำเร้จอรหันต์หรอกครับ แต่เรื่องบางเรื่องเช่นการทำบุญเพื่อหวังผลนั้นไม่เป็นพันธนาการให้จิตผมเศร้าหมองอีกแล้ว เพราะผมไม่ปราถนาในผลของบุญนั้นเพียงเพื่อทำให้จิตปรุงแต่งไปในการละอัตตา ละความตระหนี่ โสดาบันขึ้นไปที่ทำบุญโดนไม่หวังผลตอบแทน ไม่มีใครรู้ได้ลองถามใจตัวเราเอเวลาทำบุญนั้นหวังอะไรมั้ย ต้องตรงต่อตัวเอง และคุณสมบัติของโสดาบันนั้นจะต้องชุ่มไปด้วยการให้
     
  15. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อันนี้ถูกต้องครับ ผมถึงบอกไงว่าไม่มีใครรู้
     
  16. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เว็บนี้มีคนมาโชว์โสดาบันเยอะ
    แต่กล่าวภูมิธรรมตนราวพระอรหันต์
     
  17. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ท่านเคยเห็นคนนับถืออย่างอืนมั้ยครับ ขนาดทำคนละเรื่องต่างจากคำสอนพระพุทธองค์ยังมีคนนับถือเลย ฉะนั้นการนับถือของบุคคลมันมาจากความเชื่อครับ บางสิ่งนับถือโดยปราศจากความจริงมีเยอะครับ ลองสำรวจตรวจดูตนเองนะครับว่าเราเคารพเพราะอะไร
     
  18. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ถึงแนะให้ไปศึกษาโสดาปัตติยังคะ
     
  19. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    คุณโชว์โสดาบัน น่าจะเกินความเชื่อ
    หรือเชื่อเพราะรู้แล้ว ไม่ใช่ไม่รู้อะไร
     
  20. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมบอกเรื่องนี้มานามมากแล้ว ใครๆก็พูดอะไรได้ทั้งนั้น พูดได้ดีได้สวยหรู ผมเองจึงมีบทพิสูจน์ด้วยการให้บริจาคไงครับ การบริจาคนั้นเป็นการพิสูจน์ความจริงของคนได้ดีที่สุด เพราะคนที่มีตัวตน มีความตระหนี่บริจาคไม่ได้หรอกครับ ถึงทานนั้นจะไม่ใช่เป็นขั้นตอนในการปฎิบัติ แต่ทานเป็นเครื่องพิสูจน์ขั้นแรกเลย สมบัติภายนอกยังบริจาคไม่ได้แล้วจะไปละตัวตนจริงๆได้อย่างไร เวลาผมทำอะไรไปก้ว่าผมอวด ผมจะอวดไปทำไมมันไรสาระสิ้นดี ผมทำเพื่อให้เป็นตัวอย่างมันอาจจะดูเหมือนอวดแต่ขอให้เชื่อเถอะ มันไรสาระมากเลย ผมหยั่งลงมั่นในศาสนาไม่มีอะไรดีในชีวิตเท่ากับสิ่งนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...